ปกขาว
  • Home
  • Home
  • Manga
  • Doujin-TH
  • Manhwa
  • เรื่องเสียว
  • เรื่องเสียวซีรี่ย์
  • Cosplay
  • H-Anime
  • A.I.
  • Onlyfan
Prev
Next
The Dark side_1

การ์ตูนแผ่น (ตอน) เดียวจบ

May 16, 2022
น้องรหัส | [Doujin Sak] Peer Mentee การ์ตูนแผ่นเดียวจบ by Xter
Specials_Vol15_001 (Large)

เปิดบริสุทธิ์

October 8, 2024
061 เปิดบริสุทธิ์ สาวมหาลัย (แหม่ม นันทิชา) 060 เปิดบริสุทธิ์ สาวเพนเฮ้าส์

คฤหาสน์โลกีย์

May 24, 2022
ตอนที่ 38 ตอนที่ 37
Nong Earn – น้องเอิร์น Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน_Page_170

ได้เวลาเปลี่ยนกะ (น้องเอิร์น) (Nong Earn) ตอนที่ 1-9 ตอนพิเศษ 2 ตอน + PDF

May 13, 2022
ตอนที่ 10 ได้เวลาเปลี่ยนกะ Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน [JPG][PDF] แก้ลิ้งแล้ว ตอนที่ 9 ฝึกงาน

ครอบครัวหฤหรรษ์

February 14, 2023
ตอนที่ 9 ครอบครัวคุณมรกต ตอนที่ 8 ครอบครัวของเรวดี (คุณพิชาญ,เรวดี,ยุ้ย,โจ้ )

เรื่องเสียวจากหนังสือปกขาว/ปกสี

May 1, 2023
106 เสน่ห์ชาย 105 ผัวน้อยผัวหลวง

นางฟ้าน้อย ๆ กับไอ้เฒ่าบ้ากาม ภาค 1 – 2

July 9, 2022
ภาค 2 ตอนที่ 3 เรอิ สาวน้อยผู้ไร้เดียงสา ภาค 2 ตอนที่ 2 หนิง...สาวน้อยผู้เร่าร้อน
Xter My Mother

My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป

August 17, 2024
003 My Mother The Animation พากย์ไทย 002 My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป ZIP

ครูเจ้าเล่ห์

April 30, 2023
ตอนที่ 40 ตอนที่ 39

รสสวาทแรงหึง (นัฐถิยา ภาค 2)

May 27, 2022
รสสวาทแรงหึง 100 รสสวาทแรงหึง 99
hard36a001

A4U Hard Series 80 Albums

October 15, 2024
80 79

คุณนายผู้น่าสงสาร ตอนที่ 1-21

August 21, 2022
ตอนที่ 21 ตอนที่ 20 เมื่อคุณนายผการับเป็นพรายเสน่ห์

Xtreme Online 40 - ปริศนาธรรม

  1. Home
  2. Xtreme Online
  3. Xtreme Online 40 - ปริศนาธรรม
Prev
Next

XO ตอนที่ 40 – ปริศนาธรรม

“ว้าว หนูบอกแล้วไงว่าถ้าพี่แม็กใส่ชุดนักบวชระดับสูงแล้วต้องดูดีมากเลย เข้ากันดีจัง”

แองจี้สาวสวยเจ้าของดวงตาและเส้นสีทองยืนกระพริบตาระยิบระยับ เธอกำลังมองดูเงาของผู้เป็นพี่ชายบุญธรรมในกระจกด้วยความชื่นชมหลงใหล ส่วนหนุ่มหล่อเจ้าของร่างสูงสง่าในชุดนักบวชระดับสูงก็กำลังยืนมองดูภาพเงาตนเองในกระจกด้วยความสนอกสนใจเช่นเดียวกัน

ดวงตาของทั้งคู่กำลังจับจ้องมองดูชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าเส้นผมสีดำในกระจกเงา ชุดนักบวชระดับสูงสีน้ำเงินเข้มสลับขาวนั้นขับเน้นสง่าราศีของผู้สวมใส่ราว กับเทวทูตองค์หนึ่ง ภาพภายนอกที่เห็นนั้นไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดก็เป็นชายหนุ่มโอบอ้อมอารีซึ่ง เต็มไปด้วยศรัทธาต่อพระเจ้าคนหนึ่ง

“ชุดนักบวชระดับเจ็ดดาวนี่ก็เท่ห์ดีแฮะ ไว้พี่ขอยืมไปใส่บ้างซิ”

แม็กมองดูความสง่าของตนเองในชุดนักบวช พลางใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามเอวอ้อนแอ้น และสะโพกผึ่งผายของแองจี้จนเธอครางสะท้านหน้าแดงก่ำ หากทว่านั่นยังดูจะไม่เพียงพอเพราะมือที่แสนซุกซนนั้นยังเลื่อนขึ้นมาทีละน้อยจนถึงทรวงอกอิ่ม เธอจึงต้องบิดกายส่งเสียงครางพลางมองเขาด้วยดวงตาแง่งอนวูบหนึ่ง ก่อนจะซุกใบหน้าและเบียดทรวงอกหนั่นแน่นกระแซะเข้าหาร่างแกร่งราวกับลูกแมวน้อยที่เชื่องเชื่อ

“พี่แม็กขาไม่เอาค่ะอย่าแกล้งหนูซิเดี๋ยวไม่ทัน พวกเรารีบไปทำภารกิจกันก่อนนะคะ เหลือเวลาออนไลน์อีกแค่สี่ชั่วโมงเอง ไว้พอออฟไลน์แล้วพี่แม็กอยากทำอะไรก็ค่อยทำนะคะหนูยอมให้พี่ทำทุกอย่างอยู่แล้ว”

“ลงโทษที่เมื่อคืนแองจี้หายไปไงล่ะ ว่าแต่เมื่อคืนหายไปไหนมา เห็นบอกว่าไปทำภารกิจพิเศษ”

“ก็หนูต้องไปช่วยทำภารกิจพิเศษจริง ๆ นี่นา แต่บอกไปพี่คงไม่เชื่อแน่เลยว่าหนูไปทำภารกิจกับใครมา”

แองจี้ส่งเสียงออดอ้อนพลางกอดเบียดออดอ้อนกับร่างแกร่งกำยำมากกว่าเดิม ดวงตาของเธอเปล่งประกายระยิบระยับราวกับกำลังนึกถึงช่วงเวลาเหตุการณ์แสนประทับใจ

“ไม่บอกแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเชื่อหรือเปล่า”

“คิก คิก บอกแล้วเงียบไว้เลยนะคะ นี่เป็นความลับสุดยอด เมื่อคืนหนูเพิ่งทำภารกิจระดับเจ็ดดาวได้สำเร็จล่ะ มันสุดยอดมากเลยนะ”

สาวสวยกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กน้อยที่โอ้อวดวีรกรรมของตนเองให้ผู้ปกครองฟัง ซึ่งความจริงแล้วสำหรับผู้เล่นทั่วไปนั้นการทำภารกิจระดับเจ็ดดาวได้สำเร็จ นับได้ว่ายอดเยี่ยมควรค่าแก่การเฉลิมฉลองอย่างยิ่ง เพียงแค่รับภารกิจระดับเจ็ดดาวให้ได้ก็ยากยิ่งแล้ว อย่าว่าแต่จะกระทำให้ภารกิจสำเร็จ เพราะแค่ภารกิจระดับหกดาวก็ยากยิ่งจนต้องขนผู้เล่นกันไปแทบยกกิลด์แล้ว

น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่คนฟังได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ ไม่เข้าใจความยอดเยี่ยมนี้ เพราะว่าแม็กนั้นเคยทำภารกิจระดับแปดดาวสำเร็จมาแล้ว และยังมีภารกิจระดับสิบดาวอยู่ในมือถึงสองภารกิจ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าภารกิจระดับเจ็ดดาวนั้นยอดเยี่ยมอย่างไร แต่ว่าแองจี้กลับแปลความหมายไปอีกแบบหนึ่ง

“แหะ แหะ หนูก็ลืมไปว่าพี่ยังไม่ค่อยเข้าใจเกม ปกติผู้เล่นอย่างพวกเราไม่ค่อยได้รับภารกิจระดับเจ็ดดาวกันหรอกค่ะ เพราะว่าหายากมาก หรือต่อให้รับมาได้ก็ทำกันไม่ค่อยไหว แต่คราวนี้หนูโชคดีได้เข้าร่วมกับพวก NPC ก็เลยพอลุยไหว เมื่อคืนหนูไปร่วมรบกับเจ้าหญิงเรนเน่รัชทายาทอันดับหนึ่งของเมืองด้วยนะคะจะบอกให้ หนูได้เลเวลอัพมาตั้งสองเลเวลแน่ะ”

“เจ้าหญิงเรนเน่? ภารกิจอะไรกัน?”

เมื่อได้ยินชื่อนี้แม็กจึงค่อยเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาบ้าง เพราะนี่คือเจ้าหญิงที่เขาอยากพบหน้าแต่ยังไม่มีโอกาสเจอเลยสักครั้ง เขาทราบว่าเมื่อคืนและเมื่อเช้านั้นเจ้าหญิงออกไปทำภารกิจลับอะไรบางอย่าง และภารกิจที่ว่านั้นก็คงจะเป็นภารกิจระดับเจ็ดดาวที่แองจี้กำลังพูดถึงอยู่นี่เอง

“ค่ะ เจ้าหญิงเรนเน่ พวกเราไปทำภารกิจที่ดันเจี้ยนลับใต้วิหารศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าพวกเรากำลังตามหาของอย่างหนึ่งไปช่วยรักษาพระราชา และที่ดันเจี้ยนนั้นมีกระจกหยั่งรู้ที่สามารถตอบคำถามออกมาได้หนึ่งอย่าง เจ้าหญิงก็เลยพาทหารองครักษ์ระดับสูงลงไปสามสิบกว่าคน มีคนเก่งระดับคลาสสี่เพียบเลย มีองครักษ์อันดับหนึ่งเซเฟียเป็นหัวหน้ากองบุก ส่วนแนวหลังมีนักบวชสามคน มีหนู ซิสเตอร์มาเรีย แล้วก็บาทหลวงจอห์นสัน แต่กว่าจะชนะบอสเลเวลนั้นได้ก็ทุลักทุเลพอสมควรเหมือนกันนะคะ”

“สรุปว่าลงดันเจี้ยนไปถามหาของซินะ แล้วตกลงได้เจอของมั้ยล่ะ”

“ยังค่ะ แต่ก็พอรู้คร่าว ๆ ถึงจะยังไม่ได้ของ แต่พอรู้ว่าอยู่ที่ไหนเจ้าหญิงก็ดีใจมากเลย ทีแรกก็นึกว่าจะอยู่ในที่ลึกลับห่างไกลเสียอีก แต่กระจกเงานั่นบอกว่าอยู่ในเมืองนี้ อยู่กับบุรุษหนุ่มผู้มากด้วยพลังแห่งความมืดและพลังแห่งราคะ ตอนนี้ก็เหลือแค่ตามหาคนนั้นให้เจอ”

ฝ่ามือของแม็กที่กำลังลูบไล้ไปตามทรวงอกอวบอิ่มชะงักไปวูบหนึ่งคลับคล้ายจะนึกอะไรได้ แต่ความคิดวูบนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วจนไม่เข้าใจว่าตนเองนึกถึงอะไร เขาได้แต่หยักไหล่แล้วเปลี่ยนเป็นก้มลงไปจูบเส้นผมสีทองงามสลวยที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม และพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง

“หือ ฟังดูไม่ค่อยดีแฮะ มากด้วยพลังแห่งความมืดและพลังแห่งราคะงั้นเหรอ ถ้าเจอก็อย่าเข้าไปใกล้มันมากล่ะ ฟังแล้วไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ คนอะไรที่มากด้วยพลังราคะ ระวังจะโดนมันลวนลามเข้าล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ตอนนี้คงต้องลำบากเจ้าหญิงตามหาของนั้นแล้วล่ะ ที่ลำบากหน่อยก็คงเป็นเรื่องที่ป่าวประกาศออกมาไม่ได้ ไม่งั้นอาจจะเกิดเหตุแทรกซ้อน แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีเบาะแสแล้ว บุรุษหนุ่มที่มากด้วยพลังแห่งความมืด ถ้ามีจริง ๆ หน่วยค้นหาน่าจะพอตามหาได้ไม่ยาก คนที่ใช้ธาตุมืดได้มีไม่มากเท่าไหร่หรอก”

“อืม ก็ดี … เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้บอกว่าเจ้าหญิงลงไปทำภารกิจด้วย แล้วไม่อันตรายงั้นเหรอ”

“คิก คิก เรื่องนี้ความลับนะคะ เจ้าหญิงเธอเป็นเผ่าพันธุ์ผสมสืบสายเลือดจากราชินีภูติน้ำแข็ง เป็นจอมเวทย์สายน้ำแข็งระดับสูงแถมยังมีพลังป้องกันคำสาประดับสูงด้วย ที่ลงไปดันเจี้ยนเมื่อคืนถ้าไม่มีเจ้าหญิงช่วยใช้พลังยะเยือกแข็งสงสัยจะชนะบอส ไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“เป็นเจ้าหญิงแต่สู้เก่งงั้นเหรอ น่าสนใจ … ว่าแต่ของนั่นจะเอาไปช่วยพระราชาใช่มั้ย ยังไม่ได้มาเลยนี่นา แล้ววันนี้พวกเราจะเข้าวังไปหาพระราชากันทำไม?”

“เรื่องหาของก็ต้องหากันไปค่ะ แต่เรื่องช่วยพระราชาก็ต้องทำไปพลาง วันนี้หนูจะลองพาพี่แม็กไปดู อยากรู้ว่าทักษะของแองเจลัสนักบวชคลาสหกจะรักษาพระราชาได้หรือเปล่า ถ้าได้ก็ดีไป เพราะพระราชาอาการแย่มากแล้ว ถ้าครั้งนี้รักษาไม่ได้ คงมีโอกาสทำอีกแค่ครั้งเดียวหลังจากพวกเรากลับเข้าเกมมาอีกรอบ”

“แล้วพระราชาป่วยเป็นอะไร”

“ไม่ได้ป่วยหรอกค่ะ พระราชาโดนคำสาประดับสูงเล่นงาน เรียกว่าคำสาปวิญญาณกาฝาก คำสาปนี้จะใช้วิญญาณของคนเป็นไปสิงสู่ทำตัวเป็นกาฝากดูดพลังชีวิตของคนโดนคำ สาป วิธีกำจัดวิญญาณกาฝากไม่ยาก แต่การกำจัดวิญญาณกาฝากโดยไม่ทำอันตรายต่อคนโดนคำสาปนั้นยากมาก”

“อืม วิญญาณกาฝาก … วิญญาณงั้นเหรอ … แล้วจะรักษายังไง พี่จะรู้มั้ยเนี่ย”

“ก็ต้องลองไปดูก่อนล่ะค่ะ รักษาไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่อย่างน้อยก็ลองดูก่อน หนูอยากช่วยเจ้าหญิงเรนเน่ก็เลยอยากให้พี่ลองไปดูให้หน่อย … อ๊ะ พี่อย่าลืมนะคะ ว่าหนูบอกว่าอะไรเอาไว้”

“ไม่ลืมหรอกน่า วันนี้จะให้พี่สวมบทบาทเป็นนักบวชเคร่งขรึมสุภาพเรียบร้อยและเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้าใช่มั้ยล่ะ”

“ใช่ค่ะ หนูกลัวว่าถ้าเห็นตัวจริงของพี่ เดี๋ยวบาทหลวงจอห์นสันจะตรอมใจตายเสียก่อน คิก คิก อ๊ะ ใส่หน้ากากนี้ไว้ด้วยนะคะ จะได้ไม่มีใครจำหน้าพี่ได้”

“หืม ต้องใส่ด้วยเหรอ หน้ากากเนี่ย”

แม็กมองดูหน้ากากสีเงินที่ปิดเฉพาะใบหน้าท่อนบนด้วยแววตางุนงง แต่แองจี้ยังคงยืนกรานจัดแจงสวมใส่หน้ากากให้โดยไม่สนใจท่าทีทักท้วง

“ใส่ไว้ซิคะดีกว่า แต่ถ้าพี่อยากดัง มีคนรู้จักในฐานะนักบวชคลาสหก แล้วมีคนมาขอให้ช่วยโน่นช่วยนี่ จะไม่ใส่ไว้ก็ได้นะคะ”

“อืม … งั้นคิดอีกที ใส่เอาไว้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวโดนขอให้ช่วยบ่อย ๆ คงเหนื่อยแย่ … เอ ถ้าปลอมตัวแบบนี้ เผื่อต้องต่อสู้ขึ้นมาก็ใช้ธนู หรือปราณไม่ได้น่ะซิ ไม่งั้นอาจจะมีคนนึกออก … แล้วก็น่าจะใช้โซ่ไม่ได้ด้วย เพราะเคยใช้ให้คนอื่นเห็นมาแล้ว … ต้องหาอาวุธที่เหมาะกับนักบวชด้วยซินะ”

“ไม่น่าจะต้องต่อสู้หรอกค่ะ มีทหารอารักขาเพียบเลย แต่อย่าลืมนะคะว่าพี่เป็นนักบวช ถ้ามีเหตุร้ายอะไร พี่ก็แค่ช่วยสนับสนุนด้านหลังทำหน้าที่ของนักบวชไป ไม่ต้องออกไปสู้ด้วยตัวเองหรอก และพี่ก็ไม่สมควรทำตัวเป็นจุดเด่นเกินไปด้วย”

“จริงแฮะ ตอนนี้เราต้องเป็นนักบวชนี่นา งั้นเอาเป็นว่าถ้าไม่ถึงที่สุดจริง ๆ พี่ก็จะไม่ลงมือก็แล้วกัน ขออยู่นิ่ง ๆ เอาไว้ก่อน”

“แบบนั้นก็ดีค่ะ … หน้ากากเรียบร้อยค่ะ หมวกปิดทรงผมไว้แล้วด้วย … อืม ดูดีอยู่นะคะ แต่เหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่าง … อ๊ะ นึกออกแล้ว ถ้าพี่มีนักบวชผู้ติดตามสักหน่อยน่าจะสมฐานะกว่านี้ … แต่ตอนนี้คงหาไม่ทันแล้วล่ะ ช่างมันเถอะ พวกเรารีบไปกันดีกว่าค่ะ”

“ผู้ติดตามงั้นเหรอ … จริง ๆ จะว่ามีก็มีอยู่หรอกนะ … แองจี้มีชุดนักบวชกี่ชุด”

แม็กพูดพลางยกมือขึ้นเกาคางครุ่นคิด แองจี้จึงหันมามองดูด้วยความสงสัย เพราะจากคำพูดนั้นแสดงให้เห็นว่าพี่ชายบุญธรรมของเธอมีผู้ติดตามที่สามารถเรียกหาได้อยู่

“ชุดนักบวช? มีชุดเดียวค่ะ ชุดนักบวชชายระดับเจ็ดดาวที่ให้พี่ หนูเพิ่งได้มาเป็นรางวัลจากภารกิจเมื่อคืน”

“เปล่า ๆ ไม่ใช่ชุดผู้ชาย หมายถึงชุดผู้หญิงซิ”

“เอ๋ … ชุดนักบวชผู้หญิงเหรอคะ … หนูมีชุดหกดาวชุดเดียว แต่ถ้าเป็นชุดระดับธรรมดาพวกสี่ดาวห้าดาว ก็มีหลายชุดอยู่หรอกค่ะ พี่ถามทำไมเหรอคะ หรือว่าพี่จะเอาไปใส่เอง”

“นั่น ๆ มีแซว เรื่องอะไรจะใส่ ถ้าใส่เดี๋ยวสาว ๆ ก็หนีหมดซิ ขอยืมมาใช้หน่อยซิ เอาระดับสี่ดาวมาสักเจ็ดชุดก็ได้ เอามาแล้วก็หลับตาซะ พี่จะเสกผู้ติดตามให้สมฐานะนักบวชคลาสหกขึ้นมาให้ดู รับรองแองจี้ต้องทึ่งแน่”

แม็กยิ้มให้ด้วยท่าทีเหมือนกำลังจะโอ้อวดของดี แองจี้จึงเอียงคอไปมาด้วยความสงสัย แต่ก็ยังจัดการเปิดหน้าจอระบบ เรียกเอาชุดนักบวชผู้หญิงออกมายื่นให้เป็นจำนวนเจ็ดชุดตามคำขอของแม็ก จากนั้นจึงค่อยหลับตาลงตามที่เขาบอก พร้อมกับครุ่นคิดว่าเขาจะ ‘เสก’ ผู้ติดตามที่สมฐานะนักบวชคลาสหกได้อย่างไร

เมื่อเห็นว่าเธอหลับตาลงเรียบร้อยแล้ว แม็กจึงจัดการเปิดหน้าจอของระบบ เรียกค้นหาสิ่งของในช่องเก็บ ก่อนจะจัดการเรียกเอาศพของเผ่าเทพออกมาวางเรียงรายบนเตียงนอน จากนั้นจึงค่อยชะงักและหยุดคิดไปวูบหนึ่ง เพราะเขามีศพของเผ่าเทพเจ็ดศพ แต่หากจะให้ทั้งเจ็ดเป็นผู้ติดตามก็ดูจะมากมายเกินความจำเป็นไปสักหน่อย จึงเปลี่ยนเป็นเลือกใช้แค่เพียงสองศพเท่านั้น

แม็กเลือกศพของอะเมธิสเลเวล 514 และเพิร์ลเลเวล 513 ขึ้นมา เพราะมีเลเวลสูงสุดในห้าศพของเทพธรรมดา ส่วนศพของอะโฟรไดทีนั้นมีเลเวลสูงเกินไป ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีพลังเวทย์สูงมากแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยทดลองเรียกใช้มาก่อนจึงยังไม่อยากนำมาใช้ในเวลานี้ ในขณะที่ศพของแอสโมดิอุสซึ่งเป็นเผ่าปีศาจนั้นคงไม่เหมาะกับงานนี้

เขาใช้ทักษะของผู้บงการศพควบคุมศพของสองเทพสาว จากนั้นสั่งการให้พวกเธอสวมใส่ชุดนักบวชระดับสี่ดาว แล้วจึงค่อยเดินไปจับไหล่ของแองจี้ และบอกให้เธอลืมตามองดูผลงานที่เพิ่งถูก เสกขึ้นมาด้วยตาเธอเอง

แองจี้ถึงกับผงะก้าวถอยหลังเล็กน้อยเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นสาวงามรูปร่างนางแบบในชุดนักบวชสองนาง พวกเธอทั้งสองต่างก็มีใบหน้าที่สวยงามกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด และที่โดดเด่นแปลกตาก็คือดวงตาและเส้นผมสีฟ้าที่ดึงดูดความสนใจจนแองจี้งุนงงไปวูบใหญ่

รอจนกระทั่งเธอเริ่มสัมผัสได้ถึงธาตุแสงเข้มข้นที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของ สองสาว เธอจึงค่อยสะกิดใจและนึกอะไรบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมา

เธอหันหน้าไปมองดูแม็กด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ในขณะที่แม็กนั้นเพียงยืนยิ้มกริ่มอุบเงียบไม่ยอมบอกอะไรออกมาสักคำเดียว แองจี้จึงได้แต่มองค้อนแล้วหันไปส่งยิ้ม และกล่าวทักทายต่อสองสาวที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“เอ่อ … สวัสดีค่ะ หนูชื่อแองจี้นะคะ พวกคุณคือใครคะ”

สองสาวในชุดนักบวชมองดูแองจี้ด้วยดวงตาเรียบเฉย ก่อนจะหันไปมองดูแม็กเหมือนกับจะรอคอยคำสั่งว่าจะให้พวกเธอมีปฏิกิริยาตอบโต้กับแองจี้อย่างไร และเมื่อแม็กพยักหน้าผายมือเป็นเชิงให้ตอบรับ พวกเธอจึงค่อยหันไปกล่าวตอบรับคำทักทายด้วยน้ำเสียงไพเราะชวนฟัง

“ข้าคืออะเมธิส”

“ข้าคือเพิร์ล”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณอะเมธิส คุณเพิร์ล … พวกคุณคงไม่ใช่เผ่าเทพใช่มั้ยคะ?”

แองจี้ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่ออีกฝ่ายยอมเปิดปากสนทนาด้วย เธอจึงค่อยถามสิ่งที่เธอสงสัย หากจะนับว่าใครที่คลั่งไคล้ต่อเผ่าเทพมากที่สุด แองจี้คงเป็นหนึ่งในนั้น และที่การที่เธอเลือกเล่นอาชีพนักบวชก็เป็นเพราะเธออยากใกล้ชิดกับเผ่าเทพ

เธออาจจะเคยพบเจอกับเผ่าเทพด้วยตนเองเพียงแค่ครั้งเดียวด้วยภารกิจขอพร แต่ว่าเธอได้ศึกษาถึงลักษณะของเผ่าเทพมาไม่น้อย ผมสีฟ้านั้นอาจจะย้อมสีหลอกลวงกันได้ หากทว่าดวงตาสีฟ้านั้นเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่สามารถย้อมสีลอกเลียนแบบได้ เมื่อรวมกับกระแสพลังธาตุแสงที่เข้มข้นกว่าปกติ เธอจึงคาดการณ์ว่าสองคนนี้น่าจะเป็นเผ่าเทพ

“พวกเราคือเผ่าเทพอย่างที่เจ้าสงสัย พวกเราเป็นผู้ติดตามของท่านผู้นี้”

อะเมธิสพูดตอบโต้ตามที่แม็กสั่งการผ่านกระแสจิต ไม่ว่าจะน้ำเสียง ท่าทาง หรือแววตา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่แตกต่างอะไรกับคนที่มีชีวิต แองจี้ที่ได้รับคำยืนยันจึงเบิกตาโตอ้าปากค้างคล้ายไม่อยากเชื่อว่าเผ่าเทพ ที่พบเจอได้ยากมากเผ่าหนึ่งจะกลายมาเป็นผู้ติดตามของแม็กเช่นนี้ได้

“… พี่แม็กอธิบายมาเลยนะคะ”

แองจี้หันไปจับแขนของแม็กด้วยท่าทีตื่นเต้นสุดชีวิต และนั่นก็ทำให้แม็กถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เขาพอใจที่ศพในบงการทั้งสองนั้นทำให้แองจี้ไม่พบเห็นความผิดปกติได้ และหากว่าแองจี้ซึ่งคลั่งไคล้ในเผ่าเทพยังแยกไม่ออก คนทั่วไปก็อย่าหวังว่าจะแยกออกว่านี่ไม่ได้เป็นเผ่าเทพที่มีชีวิตอยู่

ความจริงแล้วการแยกแยะระหว่างศพและสิ่งมีชีวิตนั้นไม่ได้ยากเย็นนัก ไม่ว่าจะพยายามปลอมแปลงอย่างไร ศพก็ยังไม่สามารถมีแววตาเปี่ยมพลังชีวิต ศพไม่สามารถตอบโต้ด้วยท่าทีเช่นนี้ได้ และศพจะมีกลิ่นไอแห่งความตายติดตัวอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามด้วยทักษะลมหายใจนิรันดรที่ได้รับมาจากอะโฟรไดทีเทพีแห่งความ รักนั้น แม็กสามารถกลบเกลื่อนสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ศพในบงการของแม็กนั้นมีร่างกายที่สดใหม่ไร้ร่องรอยความเน่าเปื่อย แววตาก็เปี่ยมพลังชีวิต ในร่างกายก็ไม่มีกลิ่นไอแห่งความตายหลงเหลือ อย่าว่าแต่ทักษะการควบคุมของผู้บงการศพระดับสูงนั้นยังช่วยให้ศพคนเป็นมีสติปัญญาจดจำเรื่องราวตนเองได้บางส่วน การปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปจึงแทบไม่ต่างอะไรกับคนปกติ ต่อให้มีท่าทีเย็นชาอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถแยกออกได้โดยง่าย

“เรื่องนี้ไว้ค่อยอธิบายทีหลัง เรากำลังรีบไม่ใช่เหรอ ตอนนี้แองจี้ช่วยแต่งหน้าปลอมแปลงโฉมให้สองสาวหน่อยได้มั้ย พี่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าพวกเธอเป็นเผ่าเทพ”

“พี่แม็กไม่ยอมบอกอีกแล้ว”

“เอาน่าไว้พี่บอกเองแหละ รีบจัดการตามที่บอกก่อนจะได้รีบเดินทางกัน … อ๊ะ เกือบลืมเลย พี่มีของขวัญให้แองจี้ด้วยนะ รับรองได้ว่าแองจี้จะต้องร้องกรี๊ดแน่ ๆ ตอนได้เห็นของขวัญชิ้นนี้ แต่เอาไว้ค่อยให้ตอนออนไลน์อีกรอบก็แล้วกัน”

แม็กยักไหล่และอมพะนำต่อไป แองจี้ซึ่งรู้จักนิสัยพี่ชายบุญธรรมของเธอคนนี้ดีจึงได้แต่มองค้อน และเดินเข้าไปหาสองสาวเผ่าเทพด้วยท่าทีเคารพไม่กล้าล่วงเกิน แล้วมองสำรวจโครงหน้าพวกเธอเล็กน้อย ก่อนจะหยิบเอาอุปกรณ์แต่งหน้าชุดใหญ่ของผู้หญิงออกมาจากช่องเก็บของ

ผมสีฟ้าของอะเธมิสและเพิร์ลสองเผ่าเทพโดนย้อมให้เป็นสีทองและเกล้าเป็นมวยเรียบร้อย แองจี้ใช้ปากกาเขียนแต่งหางตาและมุมปากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดท้ายด้วยลิปสติกสีหวานเป็นอันเสร็จสิ้น และเวลานี้เองที่แม็กต้องแอบทึ่งกับการแต่งหน้าของผู้หญิง

การกระทำที่ดูเหมือนง่ายดายและรวดเร็วนี้ กลับปรับเปลี่ยนจนใบหน้าของสองเผ่าเทพแทบจนกลายเป็นคนละคนกัน เวลานี้เขาเชื่อว่าต่อให้คนที่เคยใกล้ชิดกับสองศพเทพสาวนี้มาก่อนก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถจดจำพวกเธอได้

“เหลือก็แต่ตาสีฟ้านี่ล่ะค่ะที่หนูไม่รู้จะทำยังไง เพราะในเกมไม่มีคอนแท็คเลนส์ อาจจะต้องใส่แว่นปิดไว้แทน หนูมีให้ลองพอดีเลย”

แองจี้ยืนมองผลงานตนเองด้วยความพอใจ ก่อนจะล้วงหยิบเอาแว่นแฟชั่นกรอบหนาซึ่งไม่ได้เป็นแว่นสายตาขึ้นมาสวมใส่ให้สองเทพสาว ตามด้วยการหยิบเอาไอเท็มหนังสือสวดมนต์ระดับสี่ดาวของอาชีพนักบวชฝึกหัดขึ้นมาให้พวกเธอถือเอาไว้

เวลานี้ถึงแม้จะไม่สามารถปิดบังเรื่องดวงตาสีฟ้าได้สนิท แต่แว่นกรอบหนาซึ่งไม่รบกวนสายตาแต่มีคุณสมบัติสะท้อนแสงก็พอจะปิดบังไม่ให้มองเห็นได้ง่ายนัก สองเทพสาวในเวลานี้จึงดูราวกับนักบวชสาวผู้เคร่งในคำสอนธรรมดาคู่หนึ่ง

“ว้าว สุดยอด ดูยังไงก็เหมือนแม่ชีเคร่งศาสนา เก่งจริง ๆ เลยน้องสุดที่รักคนนี้”

แม็กพูดชมพลางขยับไปทำท่าจะสวมกอด แต่แองจี้กลับรีบถลันตัวหลบเลี่ยงแล้วแลบลิ้นใส่ ก่อนจะเดินนำออกไปทางประตูห้องพักของโรงแรม

“ไม่ต้องเลยค่ะ ถ้าให้พี่กอดอีกสงสัยพวกเราคงไม่ได้ไปทำภารกิจแน่ ๆ รีบออกเดินทางเลยกันเลยดีกว่านะคะ รถม้าจากโบสถ์น่าจะใกล้ถึงแล้ว ส่วนบาทหลวงจอห์นสันคงอยากพบกับนักบวชคลาสหกจนกระวนกระวายใจแย่แล้ว”

แม็กได้แย่ยักไหล่ด้วยความเสียดายที่ไม่ได้โอบกอดแองจี้ แต่เขาก็มิได้ทักท้วงอะไร นอกจากเดินตามแองจี้ด้วยท่าทีสำรวมราวกับนักบวชระดับสูงอันงามสง่า และเมื่อทั้งสี่เดินออกไปรอบนถนนแล้ว บุคคลภายนอกทั้งหลายต่างสงสัยและคิด ตรงกันว่านักบวชที่สวมใส่หน้ากากสีเงินปิดบังใบหน้านี้น่าจะเป็น NPC นักบวชระดับสูง เพราะเสื้อผ้าการแต่งกายที่บ่งบอกว่าเป็นไอเท็มระดับสูง รวมไปถึงการมีนักบวชสาวแสนสวยเดินห้อมล้อมด้านหน้าและหลังถึงสามนางด้วยกัน

พวกเขารอคอยอยู่เพียงครู่เดียว ก็มีกองทหารราวสามสิบคนนำรถม้าที่ประดับตกแต่งด้วยสีขาว มีภาพวาดของเทพเทวาราวกับจะบ่งบอกว่านี่คือรถม้าของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่สิ่งที่แม็กรู้สึกสนใจยิ่งกว่าก็คือ เขาสัมผัสได้ว่าเหล่าทหารที่คอยอารักขารถม้าคันนี้ดูจะเก่งกาจกว่าทหารทั่ว ไปเท่าที่เขาเคยพบเจอมา

“โอ … ท่านผู้นี้คงเป็นตัวแทนของเทวทูตแล้ว ข้าบาทหลวงจอห์นสันผู้เป็นสาวกและข้ารับใช้แห่งแสงสว่างรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบเจอกับท่าน”

เมื่อรถม้าจอดหยุดนิ่ง ประตูรถม้าก็เปิดออกพร้อมกับนักบวชในชุดสีดำที่พุ่งถลันออกมาด้วยความ ตื่นเต้นสุดระงับ นั่นคือบาทหลวงจอห์นสันนักบวชคลาสสี่ (Bishop) แห่งเมืองไวท์พอร์ท ดวงตาสีน้ำตาลบนใบหน้าอิ่มเอิบคู่นั้นสั่นไหวระริกเปี่ยมด้วยความยินดีปรีดาขณะจับจ้องมองสำรวจดูจนตาแทบไม่กระพริบ เวลานี้แม็กจึงค่อยเข้าใจว่าเหตุใดแองจี้จึงกำชับให้เขากระทำตัวเป็นนักบวชที่เคร่งขรึมสมฐานะ

“บาทหลวงจอห์นสัน ท่านนี้คือตัวแทนเทวทูตกายเวอร์”

แองจี้ชิงกล่าวแนะนำเพื่อป้องกันไม่ให้แม็กพูดมากเกินไปจนหลุดบทบาท ซึ่งความจริงแล้วหากนับกันตามมารยาททางด้านวัยวุฒิ แองจี้ควรจะกล่าวแนะนำให้แม็กรู้จักกับบาทหลวงเสียมากกว่า กระนั้นเมื่อขบคิดในแง่ของศักดิ์ฐานะแล้ว การกระทำของแองจี้ที่แนะนำตัวราวกับว่าบาทหลวงอยู่ในฐานะต่ำกว่านั้นจึงนับว่าถูกต้องแล้ว

“ท่านเทวทูตกายเวอร์”

บาทหลวงกล่าวทวนชื่อด้วยความนิยมยินดี การได้อยู่ในฐานะสาวกแห่งแสงสว่างมาอย่างยาวนาน ทำให้บาทหลวงสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งแสงสว่าง และเขาก็ได้พบว่าในร่างของแม็กนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งแสงอันบริสุทธิ์ เขาจึงปักใจเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้านี้คือตัวแทนแห่งเทวทูตผู้มากด้วยเมตตา และความรู้สึกเชื่อมั่นโดยไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความสงสัยนี้เอง ที่ทำให้แม็กรู้สึกผิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ยินดีที่ได้พบท่านบาทหลวงจอห์นสัน … ยินดีที่ได้พบอีกครั้งซิสเตอร์มาเรีย”

ความรู้สึกผิดทำให้แม็กพยายามสวมบทบาทให้สมจริงยิ่งกว่าเดิม เขาอาจไม่ได้เป็นนักบวชผู้ทรงธรรมมากเมตตา แต่เขาทราบว่านักบวชในอุดมคตินั้นเป็นเช่นไร จึงพอจะสามารถสร้างภาพอันสูงส่งให้ตนเองได้อยู่บ้าง

ผู้ที่แปลกใจกับท่าทีของแม็กย่อมเป็นซิสเตอร์มาเรีย ภาพพจน์แรกสุดที่เธอเคยเห็นในวิหารอำนวยพรนั้น แม็กเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่บังเอิญมีพรสวรรค์จนบรรลุระดับขั้นคลาสหกของนัก บวช แต่ในวันนี้เขากลับเปล่งประกายของนักบวชผู้เคร่งขรึมจนแทบจะเป็นคนละคนกันก็ยังได้ เธอจึงแสดงท่าทีสำรวมกว่าเดิมขณะกล่าวสนทนาตอบ ก่อนจะชะงักไปพร้อมกับบาทหลวงจอห์นสัน เมื่อทั้งคู่สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งท่านกายเวอร์ … และนี่คงเป็นผู้ติดตามของท่าน … เอ๊ะ”

ซิสเตอร์มาเรียและบาทหลวงจอห์นสันต่างก็ส่งเสียงร้องดังเอ๊ะออกมาพร้อมกัน แรกสุดนั้นพวกเขาเพียงต้องการทักทายผู้ติดตามของแม็ก หากทว่าเมื่อเงยหน้ามองดูจนเต็มตา พวกเขาทั้งสองก็ถึงกับแสดงความแตกตื่นออกมาเช่นเดียวกับท่าทีของแองจี้ก่อน หน้านี้ เนื่องจากสัมผัสได้ว่าผู้ติดตามทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหลังนั้นที่แท้คือเผ่าพันธุ์เทพ

การได้พบเจอกับแม็กซึ่งเป็นนักบวชคลาสหกนั้นเป็นที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ทั้งสองจึงไม่ได้รู้สึกตื่นตกใจอันใด หากทว่ากระแสพลังแห่งแสงที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของสองสาวผู้ติดตามนั้นกลับ เป็นเรื่องกะทันหันไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน และเมื่อมั่นใจว่าผู้ติดตามทั้งสองคือเผ่าเทพโดยไม่ต้องสงสัย ซิสเตอร์มาเรียและบาทหลวงจึงได้แต่ยืนนิ่งค้างทำตัวไม่ถูกอยู่เนิ่นนาน

“ซิสเตอร์ กับบาทหลวงคะ ถ้ามีอะไร เอาไว้ไปคุยกันบนรถม้าดีกว่าค่ะ”

แองจี้ยิ้มน้อย ๆ เหมือนกับรู้ว่าทั้งคู่คิดอะไร เธอจึงรีบส่งเสียงเตือนสติเพราะเกรงว่าพวกท่านจะเสียกิริยาในสายตาคนอื่น จากนั้นทั้งหมดจึงทยอยกันขึ้นไปบนรถม้า โดยแม็กได้รับเกียรติขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยสองเทพสาว และเวลานี้ศักดิ์ฐานะของแม็กได้ถูกยกระดับขึ้นไปจนสูงส่งยิ่ง เพราะยังไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อนว่ามีเผ่าเทพลดตัวลงมาเป็นผู้ ติดตามให้แก่นักบวชผู้หนึ่ง แม้แต่บาทหลวงผู้นำของเหล่านักบวชก็ยังไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้

ตำแหน่งในการนั่งแสดงให้เห็นการวางศักดิ์ฐานะของผู้นั่ง แม็กนั่งอยู่ตรงกลางขนาบด้วยสองเทพสาว ทั้งสามหันหน้าไปยังทิศทางที่รถม้ากำลังวิ่งไป ในขณะที่ม้านั่งอีกด้านซึ่งนั่งหันไปทางด้านหลังรถม้านั้นเป็นบาทหลวงจอห์นสัน ซิสเตอร์มาเรีย และแองจี้

ภายในรถม้ากลับกลายเป็นเงียบงัน บาทหลวงจอห์นสันนั้นทั้งเคารพยินดีทั้งแตกตื่นจนไม่ทราบจะกล่าวอะไร ส่วนซิสเตอร์มาเรียนั้นกำลังเต็มไปด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยังไม่กล้าถามไถ่ ด้านแองจี้นั้นเพียงแอบนั่งอมยิ้มเงียบ ๆ ด้วยความภาคภูมิใจ ยิ่งได้เห็นว่าพี่ชายสุดที่รักของตนเองแสดงความน่าทึ่งออกมา เธอก็ยิ่งรู้สึกปิติยินดีทั้งที่ในใจยังเต็มไปด้วยความสงสัยว่าพี่ชาย ของเธอไปหาเผ่าเทพมาเป็นผู้ติดตามได้อย่างไร

“ทำตัวตามสบายเถอะครับ … ผมเป็นแค่นักบวชผู้รับใช้พระเจ้าคนหนึ่งเหมือนกับพวกท่าน … ความจริงแล้วซิสเตอร์มาเรียเองก็นับเป็นผู้สอนสั่งเส้นทางแห่งแสงสว่างให้ผม ผมเองเสียอีกที่ควรจะแสดงท่าทีเคารพต่อท่านทั้งสอง”

แม็กซึ่งไม่นิยมชมชอบบรรยากาศอันอึดอัดเผยรอยยิ้มอบอุ่น พร้อมกับเปิดการสนทนาด้วยคำพูดมากด้วยสัมมาคารวะ และนั่นทำให้สองนักบวชสูงวัยคลายความเคร่งเครียด อีกทั้งยังทำให้ซิสเตอร์มาเรียยืดกายขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะภาคภูมิใจที่เคยเป็นครูพี่เลี้ยง ถึงแม้จะแค่เพียงครู่เดียวและมิได้กระทำอะไรมาก แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเองก็ยังถือว่าเธอเคยเป็นครูสอนมาก่อนเธอก็ยินดีที่จะรับเอาความภาคภูมิใจนี้เอาไว้ ส่วนบาทหลวงจอห์นสันนั้นหันไปมองดูซิสเตอร์มาเรียด้วยความอิจฉาเลื่อมใส ก่อนจะเริ่มเปิดฉากสนทนาถามไถ่ประสานักบวช

คำสนทนาส่วนใหญ่ย่อมเป็นวิถีแห่งนักบวชและวิถีแห่งแสงสว่างซึ่งไม่ค่อยเหมาะ กับคนโลกสีเทาอย่างแม็กนัก กระนั้นทักษะกะล่อนระดับสิบดาวที่มีในสายเลือดทำให้เขาสามารถตอบโต้สนทนาได้ อย่างน่าคิดน่าฟัง เมื่อรวมไปถึงทักษะสุนทรพจน์ในเกมอีกหนึ่งอย่างทุกคำพูดที่กล่าวออกมากลาย เป็นมีพลังน่าเชื่อถือว่าปกติ แม้แต่แองจี้ยังแทบไม่อยากเชื่อว่านี่คือคำพูดของแม็ก อย่าว่าแต่ซิสเตอร์มาเรียและบาทหลวงจอห์นสันที่ยิ่งมาก็ยิ่งบังเกิดความเลื่อมใส

“ท่านกายเวอร์ไม่ทราบว่าท่านพอจะชี้หนทางแห่งแสงสว่างให้แกะดำเช่นข้าบ้างได้หรือไม่”

หลังจากการสนทนาถึงเรื่องทั่วไปครู่หนึ่ง บาทหลวงก็เริ่มเอ่ยถามตรงประเด็น เพราะสำหรับนักบวชแล้วทุกคนล้วนแล้วแต่มุ่งหวังที่จะนำพาตนเองขึ้นไปใกล้ชิด พระเจ้าให้มากที่สุด และคงจะไม่มีใครเหมาะสมให้คำสอนคำแนะนำมากไปกว่านักบวชที่มีระดับคลาสสูง กว่าแล้ว

“ท่านบาทหลวง ท่านทราบหรือไม่ว่าผึ้งและแมลงวัน สัตว์ประเภทใดที่ฉลาดกว่ากัน”

ภายใต้หน้ากากสีเงินที่ปิดบังใบหน้าครึ่งบนนั้น แม็กยิ้มอบอุ่นก่อนจะตอบคำถามด้วยคำถาม ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมไม่ทราบคำตอบที่แท้จริง เพียงแต่เขานิยมชื่นชมธรรมชาติและหลักปรัชญาในโลกแห่งความเป็นจริง จึงจดจำนำมาใช้อีกทอดหนึ่ง

การตอบคำถามด้วยคำถามนั้นมีใช้กันทั่วไป โดยเฉพาะนักปรัชญาทั้งหลาย บาทหลวงซึ่งปักใจเชื่อถือและศรัทธาในตัวแม็กจึงพยายามครุ่นคิดในเชิงลึก แม้แต่ซิสเตอร์มาเรียก็ยังพยายามขบคิดไปด้วยพร้อมกันเพียงแต่เธอเลือกที่จะนิ่งเงียบเอาไว้เท่านั้น

“แมลงวันนั้นไม่รู้จักการช่วยเหลือกันและกัน ในขณะที่ผึ้งนั้นอยู่ร่วมกัน มีระบบสังคมร่วมกัน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าผึ้งสมควรฉลาดกว่า”

“ท่านบาทหลวงทราบหรือไม่ หากจับผึ้งใส่ขวด และหันก้นขวดไปทางแสงสว่าง ผึ้งตัวนั้นจะพยายามบินเข้าหาแสงสว่างและไม่คิดจะหลบไปทางอื่นเพราะมันปักใจเชื่อว่านั่นคือทางออก แต่มันย่อมไม่มีทางออกไปได้ เพราะมันไม่ทราบว่านั่นคือก้นขวดที่ไร้ทางออก แต่สำหรับแมลงวันแล้วหากกระทำแบบเดียวกัน มันจะบินย้อนกลับไปกลับมาชนผนังขวดรอบแล้วรอบเล่า และเมื่อถึงเวลามันจะบินจนสามารถออกทางฝาขวดได้เองโดยไม่ปักใจหลงใหลไปกับทิศทางของแสงสว่าง”

แม็กกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมลุ่มลึก ซึ่งความจริงแล้วนี่เป็นเพียงหลักการทางธรรมชาติในช่องสารคดีที่เขาเคยชมดู เพียงแต่เมื่อถูกนำมาปรับใช้แทนคำตอบในเชิงศาสนาและความเชื่อแล้ว นั่นกลับทำให้บาทหลวงจอห์นสันและซิสเตอร์มาเรียถึงกับครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ แม้แต่แองจี้เองก็ยังปากอ้าตาค้างครุ่นคิดตามไปด้วย

ประโยคที่กล่าวออกมานั้น คล้ายจะเปรียบเทียบบาทหลวงและซิสเตอร์มาเรียที่เอาแต่มองหาหนทางแห่งแสงสว่างเป็นผึ้งตัวหนึ่ง ผึ้งแม้จะชาญฉลาดและมีระบบทำงานเป็นทีม หากทว่ามันเป็นสัตว์ที่ทื่อด้านเชื่อในสัญชาตญาณตนเอง หากมันเห็นแสงสว่างก็จะพาลคิดว่านั่นคือทางออก ผึ้งจะพุ่งไปทางแสงสว่างโดยไม่สนสิ่งใด แม้จะมีสิ่งกีดขวางก็ยังจะพยายามดื้อรั้นเดินหน้าต่อไป ดังนั้นบทสรุปของมันจึงทำได้แต่ตายตกที่ก้นขวด

ยิ่งครุ่นคิดความนัยก็ยิ่งพบกับความลึกล้ำ บาทหลวงและซิสเตอร์มาเรียถึงกับบังเกิดความสะทกสะท้านสะเทือนใจ ความคิดแวบหนึ่งที่ผุดขึ้นมาก็คือความสั่นคลอนของความมุ่งมั่น ผึ้งตายเพราะมุ่งมั่นดื้อรั้นยึดมั่นกับแสงมาเกินไป ในขณะที่แมลงวันไร้สมองกลับสามารถลองผิดลองถูกจนหลุดรอดออกจากขวดซึ่งเปรียบ เสมือนบ่วงกรรมได้เพราะไม่ยึดติดต่อแสงสว่าง

แน่นอนว่าแม็กเองก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ตนยกอ้างมาจะสร้างความสะทกสะท้านแก่ สองนักบวชสูงอายุได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่แองจี้น้องสาวบุญธรรมของเขาเองก็ยังแสดงท่าทีขบคิดจริงจังไปด้วย เวลานี้ภายในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครพูดจาอะไรออกมาแม้สักคำเดียว

“โอ … ที่แท้กลับลึกซึ้งถึงเพียงนี้”

บาทหลวงจอห์นสันเป็นคนแรกที่ทอดถอนใจออกมาคล้ายกับเข้าถึงสิ่งใดได้ ในขณะที่ซิสเตอร์มาเรียนั้นตื่นขึ้นมาจากภวังค์ในสภาพความคิดยุ่งเหยิงคล้าย ไขว่ขว้าบางส่ิงได้ หากทว่ายังลางเลือนจนเกินไป เวลานี้ดวงตาของบาทหลวงคล้ายจะเปลี่ยนแปลงไป เล็กน้อย นั่นเป็นดวงตาของคนที่เพิ่งปลดเปลื้องภาระทางความคิดบางอย่างออกไปได้ แม้แต่แม็กเองก็ไม่นึกไม่ฝันว่าประโยคที่เขายกอ้างมามั่วซั่วนั้นจะจุด ประกายทางความคิด และทำให้บาทหลวงจอห์นสันทะลวงกำแพงความคิดเลื่อนสู่ระดับอาชีพนักบวชคลาสห้า ได้ในเวลาอีกไม่นานต่อจากนี้

“ทำไมแค่ไปเข้าวังหลวงถึงต้องมีทหารคอยคุ้มกันเยอะถึงขนาดนี้ … หือ ฝนจะตกมั้ยเนี่ย ฟ้ามืดเชียว”

แม็กหันมองไปทางหน้าต่างของตัวรถม้า และพยายามพูดเลี่ยงไปเรื่องอื่น เวลานี้ที่ด้านนอกกลายเป็นมืดครึ้มทั้งที่เป็นยามสาย เมฆฝนสีดำปรากฎขึ้นเต็มท้องฟ้าพร้อมกับละอองฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมามากขึ้น ทีละน้อย

แม็กไม่อยากให้บาทหลวงถามเจาะประเด็นเรื่องที่เขาเพิ่งพูดมั่วซั่วไป ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถตอบคำถามอันลึกซึ้งของบาทหลวงได้อย่างแน่นอน แต่ที่เขาถามคำถามเกี่ยวกับทหารออกไปนั้น เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าทหารเหล่านี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าปกติ และแสดงท่าทีเคร่งเครียดระวังภัยมากกว่าปกติแทบตลอดเวลา ทั้งที่การเดินทางในครั้งนี้อยู่ในบริเวณตัวเมืองซึ่งมีผู้คนสัญจรไปมามาก มาย จึงสมควรจะไม่มีปัญหาอะไร

“ภารกิจครั้งนี้มีความสำคัญถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายของพระราชา เจ้าหญิงเรนเน่จึงส่งกองกำลังส่วนตัวซึ่งเป็นระดับนายทหารคลาสสี่และคลาสสาม มาดูแลโดยเฉพาะ และดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มระแวงสงสัยว่าพวกเราอาจจะสามารถรักษาพระ ราชาได้ ฝั่งนั้นจึงเริ่มมีการเคลื่อนไหว หากพวกเราป้องกันเอาไว้ย่อมดีกว่าแก้ไข”

บาทหลวงจอห์นสันตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม เขาย่อมไม่ทราบว่าแม็กเพียงคิดเบี่ยงเบนประเด็นเพราะไม่อยากตอบคำถามให้เสีย หน้า แต่เขากลับคิดว่าแม็กต้องการให้เขาเลิกดื้อรั้นมองแต่เพียงแสงสว่างโดยไม่ ยอมอ้อมหลบกำแพงที่ขวางกั้น

“หรือว่าฝ่ายนั้นรู้เรื่องของผม เรื่องของนักบวชคลาสหกแล้ว?”

คำว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นย่อมหมายถึงมหาอุปราชฟาร์โก้โดยไม่ต้องสงสัย หากทว่าแม็กไม่อยู่ในสถานะที่ควรพูดชื่อนี้ออกมาโดยตรง

“มหาอุปราชฟาร์โก้สมควรจะยังไม่รู้เรื่อง เรื่องนี้เป็นความลับรู้กันเพียงพวกเรา มีตัวข้าเอง เจ้าหญิงเรนเน่ ซิสเตอร์มาเรีย และไฮพรีสแองจี้ ไม่สมควรจะมีใครรู้เรื่องนี้อีก”

บาทหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ซึ่งความจริงก็สมควรจะเป็นเช่นนั้น หากทว่าแม็กได้รับทราบเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแสนร้ายกาจของมหาอุปราชมาแล้ว เขาจึงไม่เชื่อว่ามหาอุปราชที่แสนเฉลียวฉลาดจะพลาดเรื่องแบบนี้ได้ง่าย ๆ เขาจึงครุ่นคิดและถามย้อนกลับไป

“… หลังจากที่พวกท่านรู้ข่าวจากแองจี้เรื่องนักบวชคลาสหกแล้ว พวกท่านได้พบเจอหรือพูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายนั้นหรือเปล่า”

“เจ้าหญิงและพวกเราได้สนทนากับองค์ราชินี มหาอุปราชฟาร์โก้ และหัวหน้ากรมพิธีการต้อนรับเนทีเรียน แต่ขอให้มั่นใจได้ว่าพวกเราไม่ได้พูดอะไรออกมาแน่นอน”

บาทหลวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นซึ่งความจริงสมควรจะเป็นเช่นนั้น บุคคลที่รู้เรื่องทั้งสี่นั้นสมควรจะไว้ใจได้ หากทว่ารายชื่อของบุคคลที่ทั้งสี่สนทนาด้วยนั้นร้ายกาจเกินไป ไม่ต้องนับมหาอุปราชฟาร์โก้ที่ลึกล้ำอุดมด้วยเล่ห์เหลี่ยม เพียงแค่ราชินีและเนทีเรียนก็เก่งกาจในเรื่องของการจับความรู้สึกผู้คนได้ แล้ว และความจริงอยางอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เพียงแค่สังเกตเอาจากสีหน้าและท่าทางก็สามารถทราบได้

“แล้วสีหน้าท่าทางของพวกท่านทั้งสี่ในเวลาที่สนทนากันนั้น พวกท่านอยู่ในอารมณ์นิ่งเฉย สิ้นหวัง หรือว่ามีความหวัง”

แม็กกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากทว่าบาทหลวง ซิสเตอร์มาเรีย และแองจี้ต่างก็แสดงความตื่นตกใจขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งสามต่างเริ่มรู้สึกถึงความพลาดพลั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงแม้ว่าในช่วงเวลานั้นทุกคนจะพยายามตีสีหน้านิ่งไม่ได้พูดเรื่องราวอะไร ออกมา หากทว่านั่นก็ยังไม่ถูกต้อง

หากนับกันตามความจริงแล้ว เมื่อรักษาไม่ได้พวกตนสมควรที่จะแสดงท่าทีสิ้นหวัง แต่ว่าในช่วงเวลานั้นทุกคนเต็มไปด้วยความหวังและต้องการกลบเกลื่อนจึงตีสี หน้านิ่งเฉย นั่นจึงไม่ต่างอะไรกับการบอกออกไปทางอ้อมว่ายังมีหนทางอยู่ โดยเฉพาะเมื่อรวมไปถึงการออกจากวังไปทำภารกิจเร่งด่วนของเจ้าหญิงเรนเน่ด้วย อีกทางหนึ่งแล้ว นั่นไม่ต่างอะไรกับการประกาศว่ามีความหวัง

เรื่องของนักบวชคลาสหกอาจจะยังคงเป็นความลับ แต่มหาอุปราชสมควรจะเริ่มรับทราบได้ถึงความไม่แน่นอนของแผนการ แน่นอนว่าสำหรับมหาอุปราชนั้นหากพระราชาฟื้นฟูดังเดิม ทุกอย่างจะกลายเป็นล่มสลายทันที ดังนั้นมหาอุปราชจะต้องกระทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งการรักษาให้จงได้

“โอ เช่นนี้นับว่าเป็นอันตรายแล้ว … เพียงแต่ก็ยังไม่แน่นัก เพราะเจ้าหญิงเรนเน่ได้สั่งการให้ทหารนายกองคอยจับตาดูทหารในสังกัดของมหา อุปราชเอาไว้แล้ว”

“ถ้าเกิดว่ามหาอุปราชมีกองกำลังอื่นที่ไม่มีใครทราบล่ะ?”

แม็กกล่าวเตือนเพราะเขานึกไปถึงกองกำลังของเนวาน่า ซึ่งมาจากเมืองแบล็คฟอร์ดและแอบซุ่มอยู่ในสุสานมืด เจ้าหญิงเรนเน่อาจจะรอบคอบและทำถูกต้องแล้วที่จับตาดูกองกำลังของมหาอุปราช หากทว่าเธอไม่ได้ทราบถึงกองกำลังมือที่สามซึ่งเป็นพันธมิตรกับมหาอุปราชใน แง่ที่ว่าต้องการให้พระราชาสวรรคต

สีหน้าเคร่งเครียดของบาทหลวงและซิสเตอร์มาเรียทำให้ทราบว่าพวกเขาคิดเห็นตรง กัน คำเตือนของแม็กมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้เป็นกังวล บาทหลวงจึงรีบเปิดหน้าต่างและกล่าวกำชับต่อทหารองครักษ์ จากนั้นเหล่าทหารจึงเริ่มเพิ่มความตื่นตัวและแสดงท่าทีเคร่งเครียดออกมา มากกว่าเดิม และเวลานี้สายฝนเริ่มสาดเทลงมาหนักหน่วงกว่าเดิมแล้ว

แม็กหันมาให้ความสนใจกับสัมผัสแห่งกาลเวลาเพื่อสำรวจดูความแข็งแกร่งของทหาร คลาสสี่และคลาสสามที่ว่าแทน ซึ่งความจริงเขาก็รู้สึกได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ากองทหารนี้นับว่าไม่ธรรมดา เพียงแต่ไม่ได้นึกว่าจะเป็นกองกำลังส่วนตัวของเจ้าหญิงรัชทายาท

ทหารท่าทางคึกคักเข้มแข็งที่รายรอบอยู่นอกรถม้านั้นมีทั้งชายและหญิงจำนวนราวสามสิบคน แม็กสัมผัสได้ว่ามีอยู่สี่คนที่ให้ความรู้สึกเข้มแข็งมากกว่าที่เหลือช่วงใหญ่ ซึ่งนี่น่าจะเป็นทหารคลาสสี่ และทหารทั้งทั้งสี่นี้ก็ถูกแบ่งออกมาล้อมรอบรถม้าทั้งสี่ด้านเพื่อปกป้องคุ้มครองอย่างแน่นหนา ในขณะที่ทหารคลาสสามคนอื่นนั้นกระจายตัวกันออกไป แต่ส่วนที่น่าเสียดายจนแม็กต้องลอบถอนหายใจก็คือในกองทหารเกือบสามสิบชีวิตนี้ กลับไม่มีสาวสวยน่ารักที่ถูกใจเขาเลยแม้แต่คนเดียว

“เอ๊ะ …”

แม็กส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความฉงนสงสัย เพราะระหว่างที่เขากำลังแผ่ขยายสัมผัสแห่งกาลเวลาออกไปนอกรถม้าเพื่อสำรวจเหล่าทหารนั้น เขากลับสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความตายกระจายอยู่ราวยี่สิบจุดทั่วบริเวณ และนั่นคือลักษณะพลังที่แฝงตัวอยู่กับซากศพ เมื่อเขาพยายามตรวจสอบให้แน่ชัด ก็ได้พบว่าซากศพทั้งหมดมีอยู่สิบแปดศพ และทั้งหมดนั้นแผ่พลังมาจากใต้ดินที่พวกเขากำลังจะเดินทางผ่าน

สัมผัสแห่งกาลเวลาแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อประเมินสถานการณ์ และนั่นทำให้เขารู้สึกเย็นเยียบ เพราะได้พบว่าในตัวอาคารบ้านเรือนทั้งสองฝั่งนั้นมีผู้คนติดอาวุธซุ่มซ่อน อยู่ไม่น้อยกว่าห้าสิบคน พริบตานั้นเขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความมืดอันแข็งแกร่งและคุ้นเคย นั่นคือเจ้าหญิงเนวาน่าผู้นำกองกำลังลับแห่งเมืองแบล็คฟอร์ด และนั่นทำให้เขาต้องรีบส่งเสียงร้องเตือนออกมา

“รีบบอกให้ทุกคนพร้อมรบ พวกเราโดนล้อมเอาไว้หมดแล้ว พวกนั้นซ่อนอยู่ในบ้านคนทั้งสองฝั่ง แล้วยังมีซากศพอยู่ใต้ดินด้วย”

Related

Prev
Next

Comments for chapter "Xtreme Online 40 - ปริศนาธรรม"

MANGA DISCUSSION

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*

*

© 2025 Madara Inc. All rights reserved