The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 6.4 ไซเรน
The Zodiac บทที่ 6.4 ไซเรน
‘ในเมื่อพวกเจ้าต่างรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และรับรู้การตัดสินใจของเราที่หลงเหลือเพียงทางเดียวที่จะปกป้องมนุษย์เอาไว้ได้ เช่นนั้นจงฟังเรา….การผสานจักราวุธทั้งสองนั้นทำให้เกิดพลังอำนาจที่สามารถทำลายล้างพิภพได้ก็จริงอยู่ เมื่อครู่เราใช้กาฬปราณกับจักราวุธทั้งสองแล้วพบว่าสสารธาตุที่ใช้สร้างจักราวุธทั้งสองนั้น ไม่มีหนทางใดสามารถทำลายได้ แต่…………….’
จิตไกรวิทย์ที่ส่งออกมาหลังการตัดสินใจที่จะสละตนเองเพื่อปกป้องมนุษย์ทั้งสองฝั่งมหาสมุทร ดังขึ้นอย่างสงบราวกับเป็นการสนทนาตามปกติ แต่เนื้อหาของมันนั้นทำให้เหล่าเทวนารีทั้งสิบเอ็ดสงบจิตนิ่งฟังคำสั่งของผู้เป็นเจ้าชีวิต..
‘…แต่การเชื่อมจักราวุธทั้งสองเข้าด้วยกันนั้น ด้วยวิทยาการปัจจุบันยังไม่มีหนทางที่จะค้นคิดสสารธาตุที่ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อเดิมของจักราวุธได้ ดังนั้นจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของดาราสมุทรและมหเพลิงยะเยียบจึงเกิดขึ้น….’
ยังไม่ทันที่ไกรวิทย์จะส่งจิตเสร็จสิ้นสิ้น เสียงอุทานเบาๆ ก็ดังขึ้นจากเหล่าเทวนารีทั้งสิบเอ็ดพร้อมกัน ร่างทั้งหมดกระจายออกไปจากศูนย์กลางเข้าหาขอบม่านพลังของดาราสมุทรที่ส่งพลังงานลงไปยังพื้นทะเล พร้อมกับพลังงานร้อนเย็นสุดขั้วของมหเพลิงยะเยียบที่ส่งออกมาเป็นวงแหวนพุ่งลงทะลวงพื้นสมุทรจนถึงชั้นแมกม่าใต้พิภพ ดวงตาทั้งสิบเอ็ดคู่จับจ้องไปยังตำแหน่งเหนือลูกแก้วกลมใจกลางดาราสมุทร อันเป็นที่ตั้งของมหเพลิงยะเยียบซึ่งปรากฏแท่งโลหะสีเงินยวงขนาดเท่าลำขามนุษย์ยึดจับวงแหวนเอาไว้สี่จุดเป็นรูปกากบาท ตรึงตำแหน่งมหเพลิงยะเยียบให้อยู่เหนือลูกแก้วพลังเบื้องล่าง สายตาที่ไวกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่าของเหล่าเทวนารีไล่ตามแท่งโลหะที่ผนึกแน่นกับของผนังด้านดาราสมุทรลงมาทั้งสี่ด้าน ก่อนเชื่อมต่อกับวงแหวนรูปวงกลมที่ขอบช่องเปิดรูปวงกลมด้านล่าง
‘เซี่ยวเล้งเข้าใจแล้ว…..หากจะเชื่อมต่อจักราวุธทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว จุดเชื่อมต่อนั้นก็จะต้องใช้สสารธาตุที่สร้างขึ้นธาตุเดียวกันเท่านั้น เพราะไม่มีเครื่องมือโลหะธาตุใดที่จะเจาะทะลุเนื้อสสารแห่งจักราวุธได้ ในเมื่อสสารธาตุที่สร้างดาราสมุทรนั้นไม่สามารถหาได้อีกแล้ว โลหะที่ตรึงมหเพลิงยะเยียบไว้ในดาราสมุทรจึงต้องเป็นโลหะที่จัดสร้างด้วยวิทยาการของโลกยุคปัจจุบัน..โลหะที่ยึดมหเพลิงยะเยียบเอาไว้จึงเป็นเพียงการตรึงจักราวุธนี้เอาไว้ในโครงสร้างของดาราสมุทรเท่านั้น หาได้เป็นเนื้อเดียวกับจักราวุธทั้งสองไม่…แต่พวกเราจะ…….’
จิตเทวนารีแห่งราศีมังกรดังขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เมื่อพบข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่น่าจะเป็นจุดอ่อนของการผสานจักราวุธทั้งสอง แต่เมื่อถึงประโยคสุดท้ายจิตของเซี่ยวเล้งก็กลับเปลี่ยนเป็นความสับสนราวกับตระหนักถึงปัญหาบางประการขึ้นมา…
‘สิ่งที่เซี่ยวเล้งกังวลนั้นนาเดียก็เข้าใจเช่นกัน…เป้าหมายของเราคือต้องทำลายจุดเชื่อมต่อนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพวกเราทุกคนก็ได้ทดลองใช้ปราณที่หลงเหลือในร่างพยายามทำลายกระแสพลังของดาราสมุทรและมหเพลิงยะเยียบที่รอบตัวมาแล้ว แต่ปราณของพวกเรากลับสะท้อนคืนมาโดยไม่สามารถแหวกผ่านพลังงานของสองจักราวุธนี้ได้แม้แต่น้อย….นาเดียเห็นว่า…’
จิตนาเดียเสริมข้อสงสัยของเซี่ยวเล้งขึ้นมาเบาๆ แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจในยุทธศาสตร์และวิชาปราณของเทวนารีแห่งราศีพฤษภผู้นี้หาได้ด้อยกว่าเซี่ยวเล้งผู้เป็นขุนพลนำทัพแห่งเทวนารีโบราณไม่ แต่ยังไม่ทันที่จิตของนาเดียจะถ่ายทอดเสร็จสิ้น จิตกังวานใสของเซี่ยวเล้งก็ดังแทรกขึ้นเบาๆ
‘ปัจเจกปราณหรือปราณส่วนตนของเทวนารีไม่สามาถผ่านม่านพลังของจักราวุธได้ก็จริง แต่หากปราณนั้นผสานเป็นสายเดียวเซี่ยวเล้งไม่เชื่อว่าปราณนั้นจะผ่านออกไปไม่ได้…..ในสภาพนี้เรอินะของเราคงต้องลำบากแน่แล้ว…’
‘เซี่ยวเล้งหมายความว่ากระไร…แล้วเหตุใดเรอินะจึง….’
จิตนาเดียส่งออกมาด้วยความแปลกใจกับจิตของเรอินะ และแปรเปลี่ยนเป็นงุนงงเมื่อเห็นว่าพวงแก้มเต่งตึงด้วยวัยเยาว์ของเทวนารีแห่งราศีธนูเกิดสีแดงจัด ขณะถอนใจและส่งจิตแผ่วเบาออกมา
‘พี่เซี่ยวเล้งไม่ต้องบอกเรอินะก็รู้อยู่แล้วว่า ครั้งนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของเรอินะอีกครั้งในการรวมปราณเป็นหนึ่งเดียวผ่านธนูพิฆาตฟ้า…..แต่ในเมื่อครั้งนี้พวกเราทุกคนคงไม่มีทางรอดจากการดับสูญ พร้อมกับพี่เอ…การได้เย็ดกับพี่เอก่อนดับสูญนับว่าเป็นสิ่งที่เรอินะปราถนาอยู่แล้ว…’
เทวนารีแห่งราศีธนูส่งจิตพร้อมกับสูดลมหายใจลึกยาว เกราะปราณสีส้มสดพลันสลายวับคงเหลือเรือนร่างเพรียวงามเปลือยเปล่าลอยอยู่กลางอากาศ และส่งจิตแน่วแน่ไปยังไกรวิทย์
‘นายท่าน…ในสถานการณ์นี้ ลูกศรน้อยขอรับหน้าที่เป็นสื่อกลางผสานมวลปราณจากเหล่าเทวนารีเข้าสู่นายท่าน…พี่เซี่ยวเล้งช่วยเรอินะในการรวบรวมปราณเป็นหนึ่งด้วย….’
ท่ามกลางสายตางุนงงของเทวนารีทั้งเจ็ดที่เคยอยู่ใต้บัญชาเทพสุรัสวดี เซี่ยวเล้ง แอนโดรเมดา และเมดูซ่า พากันแยกย้ายไปกุมมือเทวนารีทั้งเจ็ดเอาไว้แล้วชักนำมาล้อมเป็นวงกลมรอบร่างเปลือยเปล่าของเซี่ยวเล้งซึ่งเคลื่อนมาอยู่เบื้องหน้าไกรวิทย์
‘หรือมหาเทพกับเรอินะจะ…..’
จิตซาโรยีส่งออกมาตะกุกตะกักเมื่อพบว่าเกราะนิลกาฬบนร่างไกรวิทย์พันสลายตัว ร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชายหนุ่มเปลือยเปล่า ขณะเคลื่อนเข้ากอดร่างเพรียวงามของเรอินะเอาไว้ในวงแขน ริมฝีปากเรียวบางถูกประทับจูบหนักแน่น สองมือไกรวิทย์เลื่อนไล้ไปตามร่างกายบอบบางแต่แน่นไปด้วยเนื้อเนียน เช่นเดียวกับสองมือของเรอินะที่เคลื่อนไหวตามและเลื่อนลงมาเกาะกุมแก่นเนื้อยาวเหยียดของไกรวิทย์ที่แข็งตัวเป็นลำขนานกับร่าง มือน้อยๆ ขยับถอกส่วนปลายที่บานออกนั้นแผ่วเบา ก่อนจะชักนำเข้ามาจ่อกับร่องรักที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำรักหอมจรุงเป็นสาย ดวงตาเหล่าเทวนารีทั้งเจ็ดจับจ้องภาพแก่นเนื้อไกรวิทย์ ที่กำลังเตรียมผ่านเข้าสู่ร่างเรอินะอย่างตกตะลึง แต่สติของทุกนางพลันกลับคืนสู่ร่างอีกครั้งเมื่อจิตที่สั่นระริกของของเซี่ยวเล้งดังขึ้น
‘เทวนารีทุกท่าน…อย่าเพิ่งสงสัยหรือแตกตื่น…ขณะนี้มหาเทพกำลังจะร่วมเรอินะเพื่อ…’
‘อะ อะ อะไรกัน เหตุใด เราจึง….’
จิตตะกุกตะกักของโยนาดังขึ้นเบาๆ เมื่อรับรู้ว่าร่างกายของตนเองสั่นระริก ความต้องการทางเพศที่ไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจของเทวนารีผู้ทรงพรหมจรรย์ พลันระเบิดขึ้นในจิต กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนเต้นระริกเรียกร้องการสัมผัส สองแคมอวบปรากฏน้ำรักไหลเอ่อซึมออกมาเป็นสายจนปอยไหมบางเบาราบลู่ไปกับสองแคม….มือของเทวนารีแห่งราศีกุมภ์เอื้อมมือไปยังตำแหน่งเหนือร่องรักของตนเองอย่างไม่รู้ตัวเพื่อจะสัมผัสกับตำแหน่งที่ไวต่อความรู้สึกของสตรี แต่ยังไม่ทันที่มือนั้นจะแตะเป้าหมาย มือขาวผ่องของเซี่ยวเล้งก็พลันคว้าข้อมือโยนาไว้ ก่อนส่งจิตที่สั่นไหวไปด้วยอารมณ์มา
‘โยนาระงับใจไว้…เมื่อครู่ท่านได้รับการถ่ายทอดปราณจากพี่เอโดยตรง…พลังชีวิตแห่งผลึกมังกรที่ผนึกอยู่ในปราณพี่เอจึงเข้าสู่ร่างกายท่าน สัมพันธ์กับความต้องการของพี่เอ…นั่นเป็นสิ่งเดียวกับที่เรอินะ เซี่ยวเล้ง แอน และเมย์ กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน…แต่ท่านต้องพยายามระงับจิต ผนึกสมาธิโคจรปราณผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นความพยายามของมหาเทพที่จะปกป้องมนุษย์จะต้องสูญ เปล่า…’
จิตเซี่ยวเล้งถ่ายทอดออกมาเพื่ออธิบายให้โยนาได้รับรู้ถึงสาเหตุของความต้องการทางเพศที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกระทันหัน…
‘แล้วเซี่ยวเล้งจะต้องให้พวกเราทำสิ่งใด…….’
จิตนาเดียส่งออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง ราวกับว่าภาพของไกรวิทย์ที่กำลังแทรกสอดแก่นเนื้อเข้าสู่หลืบน้อยของเรอินะเบื้องหน้านั้น ไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเทวนารีแห่งราศีพฤษภแม้แต่น้อย
‘สิ่งที่พวกเราต้องทำคือล้อมพี่เอกับเรอินะไว้ไว้ที่จุดศูนย์กลาง เทวนารีทุกท่านประสานมือเป็นวง โคจรพลังผ่านจักรวารีที่ทรวงอก กระจายออกมาให้โคจรไปตามสองแขน แต่สำหรับนาเดียเซี่ยวเล้งขอบังอาจให้นาเดียกระทำสิ่งที่อาจขัดต่อทุกสิ่งที่เหล่าเทวนารียึดถือ ขอให้นาเดียจงรับรู้ว่าการ…’
‘เซี่ยวเล้งไม่ต้องกล่าวต่อ ตอนนี้นาเดียเข้าใจแล้วว่ามหาเทพกำลังจะกระทำสิ่งใด การเชื่อมโยงปราณในรูปแบบวงจักราที่เซี่ยวเล้งบ่งบอกมาต้องมีจุดถ่ายพลังเข้าออก ซึ่งร่างกายมนุษย์จะมีสองจุดเท่านั้นที่สามารถรับพลังปราณนี้ได้.. นาเดียเข้าใจแล้วว่าเซี่ยวเล้งต้องการสิ่งใด..ขณะนี้มหาเทพกำลังร่วมรักเรอินะ มวลปราณกำลังใกล้ทะลักเข้าสู่ร่างเทวนารีราศีธนู พวกเราทุกคน เริ่มโคจรพลังได้ นาเดียจะเป็นศูนย์กลางส่งผ่านให้เซี่ยวเล้งเอง…’
โดยไม่รอคำตอบใดๆ จากเซี่ยวเล้ง นาเดียเทวนารีราศีพฤษภพลันกลับสู่หน้าที่ผู้นำแห่งเทวนารี ร่างอวบอัดเคลื่อนวาบนำเหล่าเทวนารีทุกนางเข้าสู่วงกลมประสานมือเป็นหนึ่งเดียว.. ดวงตาคู่งามทั้งเก้าพริ้มตาลง จิตดิ่งลงสู่สมาธิก่อกำเนิดปราณขึ้นจากจักรอัคคี ผ่านจักรวายุเข้าสู่จักรวารีและกระจายออกจากสองแขนในรูปแบบการชักนำพลัง รอบแล้วรอบเล่า…
‘ซีดส์…พี่เอ.พี่เอ..เรอินะ…กะ ใกล้มากแล้ว….พี่เซี่ยวเล้ง..พะ พร้อมหรือยัง..’
จิตครางกระเส่าของเรอินะดังสะท้านเมื่อความเสียวจากการร่วมรักกับไกรวิทย์กำลังทะยานสูง ทุกขณะที่แก่นเนื้อเคลื่อนเข้าออกหลืบน้อยถี่ยิบ เซี่ยวเล้งสูดลมหายใจยาว เกราะมังกรฟ้าบนร่างพลันสลายวับ ร่างงามเปลือยเปล่าขาวสะอาดปราศจากตำหนิลอยขึ้นเหนือตำแหน่งการร่วมรักก่อนหมุนกลับลงให้ศีรษะลงด้านล่าง สองขากลับชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า ริมฝีปากเทวนารีแห่งราศีมังกรเคลื่อนเข้าประกบปากไกรวิทย์ที่เผยอออกรับอย่างนุ่มนวล ขณะที่สองขาเรียวงามแยกออกกว้าง เพียงอึดใจต่อมา เนินรักนูนเด่นของเทวนารีแห่งราศีมังกรก็เกิดประกายแสงเรืองปกคลุม พร้อมกับจิตเซี่ยวเล้งที่ส่งออกมาเบาๆ
‘นาเดีย….ได้เวลาแล้ว…’
ร่างอวบอิ่มของนาเดียเคลื่อนเข้าหาภาพการ่วมรักเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล ทั้งที่มือทั้งสองข้างยังประสานถ่ายทอดพลังปราณหมุนเวียนของเหล่าเทวนารี ส่งผลให้วงกลมของเทวนารีทั้งเก้าเคลื่อนเข้าล้อมร่างไกรวิทย์ เรอินะและเซี่ยวเล้งเอาไว้ ขณะที่นาเดียเคลื่อนเข้าหาช่วงขาที่แยกออกจากกันของเซี่ยวเล้ง ริมฝีปากอิ่มของเทวนารีราศีพฤษภปะกบเข้าหาเนินรักเซี่ยวเล้งเอาไว้ พร้อมกับปล่อยพลังปราณที่รวมมาจากเก้าเทวนารีเข้าสู่จักรอัคคีเทวนารีราศีเมษ แสงเรืองรองที่ปกคลุมเนินรักนั้นพลันขยายวงกว้างออกเป็นกลุ่มแสงกลืนร่างเก้าเทวนารีเข้าอยู่ในรัศมีวงกลม พลังปราณทุกสายที่เคยหมุนวนอยู่ในร่างเหล่าเทวนารีถ่ายเทผ่านริมฝีปากนาเดียเข้าสู่ร่างเซี่ยวเล้งที่ทำหน้าที่สื่อกลางผสานพลังที่แตกต่างกันเก้าสายเป็นหนึ่งเดียว ส่งต่อเข้าริมฝีปากไกรวิทย์ ผู้กำลังเพิ่มความเร็วในการกระเด้าแก่นกายเข้าออกกลีบรักเรอินะ
‘นี่คือวิชาอันใดกัน…ปราณทุกสายมุ่งสู่ศูนย์กลางที่มหาเทพวิรุณปักขะ…แต่เหตุใดร่างของเราจึงร้อนผ่าว…ความต้องการทางเพศที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเรามาก่อน กลับปะทุขึ้น อวัยวะเพศเรากระตุกราวกับจะรอลำเนื้อมหาเทพเข้าทำลายพรหมจรรย์…’
จิตที่สั่นสะท้านของโยนาดังขึ้นราวกับจะรำพึงกับตนเอง แต่เหล่าเทวนารีทุกนางล้วนรับรู้แต่ก่อนที่สมาธิของโยนาจะแตกซ่านจากความต้องการที่ปะทุขึ้น จิตอ่อนโยนของแอนโดรเมดาก็ดังขึ้น
‘โยนา เทวนารีราศีกุมภ์จงระงับใจไว้…ร่างท่านได้รับการถ่ายทอดปราณโดยตรงจากมหาเทพ ทำให้พลังชีวิตจากผลึกมังกรอัคคีกระตุ้นความต้องการทางเพศของท่านขึ้น นี่หาได้แตกต่างจากเรา เมดูซ่า เรอินะ และเซี่ยวเล้งไม่ แต่ท่านต้องพยายามสำรวมสมาธิผนึกปราณให้เป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราทุกคน มิฉะนั้นกระแสปราณที่มหาเทพจะส่งผ่านเข้าร่างเรอินะจะขาดตอนจนไม่สามารถผนึก….’
ยังไม่ทันที่แอนโดรเมดาจะส่งจิตจบสิ้น ร่างงามของเรอินะก็กระตุกเฮือก น้ำรักไกรวิทย์ฉีดพุ่งเข้าสู่หลืบรักเทวนารีราศีธนูราวน้ำพุ กาฬปราณอันเกิดจากการรวมพลังจากไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีทุกนางหลอมรวมเข้ากับสายน้ำรัก กระจายผ่านจักรปราณทั่วร่างเรอินะจนร่างงามปราดเปรียวนั้นเปล่งแสงสว่างขึ้น พร้อมกับแสงที่ล้อมร่างเหล่าเทวนารีทุกนางดับวูบลง สองมือเรอินะพลันปรากฏประกายแสงหลากสีสัน อันเป็นสัญลักษณ์แห่งวิชาปราณลับของเทวนารีราศีธนูนาม ธนูพิฆาตฟ้าขึ้น พร้อมกับจิตที่ส่งออกมาอย่างมั่นคง
‘มหาเทพ ปราณในร่างเรอินะกำเนิดธนูพิฆาตฟ้าแล้ว บัดนี้การทำลายเป้าหมายขึ้นอยู่กับการชี้นำจากมหาเทพ….’
ทันทีที่จิตเรอินะส่งออกมาเสร็จสิ้น ดวงตาไกรวิทย์พลันสาดประกายเจิดจ้า ประกายสีจากมือเรอินะแยกตัวออกเป็นสี่สาย พุ่งวาบทะลวงผ่านม่านพลังของสมุทรดาราและมหเพลิงยะเยียบออกไปราวกับธนูแห่งเทพเจ้าที่ปราศจากสิ่งใดต้านทาน
…………..บรึม…………..บรึม……….บรึม……..บรึม……..
เสียงระเบิดสี่ครั้งดังประสานกันจนแทบเป็นเสียงเดียว ม่านพลังงานวงแหวนของมหเพลิงยะเยียบที่เคยพุ่งลงสู่พื้นสมุทรพลันเบี่ยงเบนทิศทางค่อยๆ หมุนกลับขึ้นสู่ด้านบน ประทะพลังงานของดาราสมุทรที่ล้อมรอบอยู่
……..เปรี้ยง……..เปรี้ยง…….เปรี้ยง…..
เสียงระเบิดจากมวลพลังงานสองขุมที่ล้วนมีอำนาจสามารถทำลายล้างไร้ขอบเขต ดังลั่นขึ้นถี่ยิบพร้อมกับกระแสพลังงานจากการปะทะกระจายออกรอบข้าง แต่กลับทำให้ท่านพลังงานที่กักการเคลื่อนไหวของไกรวิทย์และเหล่าเทวนารี สลายลงกลายเป็นมวลพลังงานปั่นป่วนที่รุนแรงจนสามารถบดขยี้ร่างกายของทุกคนให้เป็นธุลีหากปราศจากปราณป้องกันร่าง เหล่าเทวนารีที่กระจายเป็นวงล้อมร่างไกรวิทย์สบตากันวูบหนึ่ง ปราณป้องกันตัวจากเหล่าเทวนารีพลันกระจายออกทุกทิศทาง ก่อตัวเป็นทรงกลมปกป้องทุกร่างจากกระแสพลังงานที่กระหน่ำเข้าหา
‘เทวนารีแห่งเรา กระจายปราณป้องกันตัวออกไป ในทิศทางอิสระ อย่าแข็งขืน ปล่อยปราณให้ไหลไปตามกระแสพลังงาน ทางเดียวที่จะรอดจากอำนาจการทำลายของสองจักราวุธนั้น มีแต่ต้องเคลื่อนขึ้นสู่ด้านบนของดาราสมุทรเท่านั้น…’
จิตไกรวิทย์ส่งออกมาด้วยจิตบัญชาเทพ แต่เหล่าเทวนารีทุกนางล้วนจิตสะท้านเมื่อรับรู้ว่าจิตนั้นแฝงความไม่ต่อเนื่องของปราณเอาไว้จนรู้สึกได้ บ่งบอกให้รู้ว่าการใช้ปราณบริสุทธิ์ส่งเข้าร่างเรอินะเพื่อก่อธนูพิฆาตฟ้าที่ผ่านมา ทำให้ไกรวิทย์ต้องเสื่อมสูญปราณไปบางส่วน และไม่มีโอกาสที่จะพักเพื่อฟื้นฟูปราณในร่างได้ แต่ความกังวลของเหล่าเทวนารีหาได้กระทบต่อการปฏิบัติตามบัญชาที่ได้รับมาไม่ มวลปราณทรงกลมอันเกิดจากการผนึกปราณของเทวนารีทุกนางผ่อนลง ปล่อยให้กระแสพลังงานปั่นป่วนพัดมวลปราณไปโดยปราศจากทิศทางภายในดาราสมุทร ท่ามกลางเสียงระเบิดของการปะทะพลังงานดังสนั่น จนลูกกลมม่านปราณหมุนคว้างไปอย่างไร้ทิศทาง แต่ร่างไกรวิทย์ที่ยังคงสอดใส่แก่นกายอยู่ในหลืบรักเรอินะ โดยมีเซี่ยวเล้งประทับริมฝีปากถ่ายทอดพลัง และนาเดียส่งปราณจากเหล่าเทวนารีเข้าสู่ร่างเซี่ยวเล้งผ่านริมฝีปากที่ร่องรักเซี่ยวเล้งนั้น ยังคงอยู่ในสภาพเดิม โดยปราศจากผลกระทบจากการเคลื่อนที่ของม่านปราณ มีเพียงขอบม่านชั้นนอกเท่านั้นที่หมุนวนเป็นเก้าชั้นตามการส่งปราณโดยอิสระของเทวนารีทั้งเก้าตามบัญชาไกรวิทย์
‘เหตุใดร่างมหาเทพและพวกเราจึงไม่หมุนวนตามแรงเหวี่ยง.แต่กลับหยุดนิ่งอยู่ในศูนย์กลางม่านปราณได้เช่นนี้..’
จิตซาโรยีส่งออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความประหลาดใจกับภาพที่ดูขัดกับกฏแรงดึงดูดของธรรมชาติ
‘ซายีอย่าได้แปลกใจ นี่คือความชาญฉลาดของมหาเทพที่กำหนดให้พวกเรากระจายปราณป้องกันตนเองเป็นชั้นๆ โดยอิสระ ทำให้เกิดสภาพที่วิทยาการปัจจุบันเรียกว่าไจโรเสฟียร์ อันเป็นหลักการเดียวกับที่ใช้ในเข็มทิศเดินเรือ จงสงบใจรอรับบัญชามหาเทพเถอะ ถ้านาเดียคาดเดาไม่ผิด มหาเทพน่าจะต้องใช้มวลปราณอีกครั้ง เพื่อตรึงมหาเพลิงยะเยียบไว้กับดาราสมุทรอีกครา…’
จิตนาเดียส่งออกมาอย่างมั่นใจในข้อสันนิฐานของตนเอง..แต่กลับทำให้จิตของเทวนารีทุกนางอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ
‘เมื่อครู่มหาเทพใช้ปราณผ่านธนูพิฆาตฟ้าทำลายจุดต่อเชื่อมของจักราวุธทั้งสอง เหตุใดจึงจะต้องตรึงกลับไปอีก..’
จิตแองเจลลีนส่งออกมาราวกับจะถามแทนข้อสงสัยของเทวนารีทุกนาง แต่ก่อนที่นาเดียจะส่งจิตตอบ จิตของไกรวิทย์ก็ดังแทรกขึ้น..
‘เทวนารีแห่งเราระวังตัวไว้ ตามการคำนวณของเรา อึดใจหน้ามวลปราณจะถูกเหวี่ยงขึ้นไปอยู่ที่ศูนย์กลางส่วนบนของดาราสมุทร…พร้อมกับการเคลื่อนของมหาเพลิงยะเยียบจะกลับมาที่ตำแหน่งเดิม…’
‘นายท่าน…เรอินะพร้อมจะใช้ธนูพิฆาตฟ้าเป็นครั้งที่สองแล้ว….’
จิตที่ไกรวิทย์ส่งออกมาพร้อมกับเรอินะทำให้เหล่าเทวนารีพากันสงบจิต พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
‘พี่เอ…อ๊าวส์…’
พร้อมกับจิตเรอินะที่ครางออกมาด้วยความเสียวถึงจุดสุดยอด กระแสปราณจากไกรวิทย์ก็ถ่ายเข้าสู่จักรปราณเทวนารีราศีธนูเป็นครั้งที่สอง…ก่อเกิดประกายสีรุ้งเจิดจ้าพุ่งวาบเข้าสู่ตำแหน่งเดิมซึ่งเคยเป็นจุดยึดตรึงจักราวุธทั้งคู่ในจังหวะเดียวกับที่การเคลื่อนไหวไร้ทิศทางนั้นเหวี่ยงกับมายังจุดเดิม พร้อมกันนั้นจิตที่เฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวรอบกายของนาเดียพลันรับรู้ได้ว่ากระแสพลังของธนูพิฆาตฟ้านั้นยังแตกออกไปอีกสองสายมุ่งสู่ตำแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดเชื่อมต่อเดิม แต่ด้วยประสบการณ์ของเทวนารีผู้เป็นหัวหน้าเหล่าเทวนารีในจักราศี ทำให้นาเดียรู้ว่ากระแสพลังที่แยกออกไปอีกสองสายตามการชักนำของมหาเทพวิรุณปักษ์นั้นจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่นอกเหนือการคาดการณ์และไม่จำเป็นจะต้องส่งจิตสอบถามออกมาแต่อย่างใด
………….พรึบ……………บรึม……….
มวลปราณแห่งธนูพิฆาตฟ้าที่แผ่พุ่งไปยังจุดเชื่อมต่อกลับเกิดเสียงดังสนั่นเมื่อปราณนั้นหลอมโลหะไทเทเนี่ยมอัลลอยด์ที่ประกอบเป็นจุดยึดตรึงกลับไว้ที่เดิม การหมุนวนของมหเพลิงยะเยียบภายในดาราสมุทรหยุดลงอย่างกระทันหัน พร้อมกับเสียงระเบิดกึกก้องในพริบตาต่อมา จิตของเหล่าเทวนารีพากันจับไปยังต้นกำเนิดของเสียงระเบิดครั้งที่สอง ก่อนอุทานออกมาพร้อมกัน..
‘พี่ไซเรน….’
…….เปรี้ยง……..
ลูกกลมแก้วผลึกที่บรรจุของเหลวใสกระจ่าง ตรึงไซเรน เทวนารีแห่งราศีมีน ผู้ครอง ฉายาสุรีย์มัจฉา หมุนคว้างออกจากตำแหน่งที่เคยตรึงเอาไว้กับส่วนขอบล่างดาราสมุทร สองด้านของแก้วผลึกที่เคยตรึงไว้ด้วยแกนโลหะปรากฏร่องรอยของโลหะแตกกระจายด้วยพลังมหาศาล ของธนูพิฆาตฟ้า ลูกกลมถูกกระแสพลังจากการระเบิดหมุนคว้างพุ่งเข้าหาม่านปราณที่ล้อมรอบไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีไว้ แต่ก่อนที่เหล่าเทวนารีจะสามารถตัดสินใจใดๆ ร่างไกรวิทย์ก็พลันพุ่งออกจากม่านพลัง ร่างที่ปกคลุมด้วยหมอกสีดำสนิทแห่งกาฬปราณทะยานเข้าปะทะลูกลมผลึกแก้วจนเกิดเสียงระเบิดกึกก้องของผลึกแก้วที่ห่อหุ้มร่างเทวนารีแห่งราศีมีนไว้ภายใน แต่แทนที่ลูกกลมผลึกจะแตกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่างของไกรวิทย์กลับกระเด็นออกมา ในขณะที่ลูกกลมนั้นยังคงใสกระจ่างปราศจากริ้วรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย
‘ผลึกแก้วนี้ทำจากวัตถุใด เหตุใดจึงสามารถต้านทานกาฬปราณของมหาเทพได้’
จิตของเรอินะส่งออกมาด้วยความประหลาดใจกับภาพที่ปรากฏ เทวนารีแห่งราศีธนูรู้ดีว่าแม้กาฬปราณของไกรวิทย์จะใช้พลังที่ยังหลงเหลือเพียงไม่กี่ส่วนจากปกติ แต่ด้วยอานุภาพของปราณแห่งเทพผุ้เป็นผู้นำแห่งจักรราศีนั้น ไม่น่าที่ผลึกแก้วเบื้องหน้าจะสามารถทนทานพลังนั้นได้
‘นั่นหาใช่ผลึกแก้วธรรมดาไม่ หากแต่เป็นผลึกที่กำเนิดจากพลังแห่งผลึกราศี ในใต้หล้านี้มีแต่เทพสุรัสวดีที่สามารถสร้างและสลายมันได้’
จิตนาเดียส่งออกมาด้วยกระแสเสียงแฝงความกระวนกระวายใจ ขณะที่ไกรวิทย์ซึ่งถูกแรงกระทบของปราณที่ผ่านมาก็กลับเคลื่อนร่างเข้า ดวงตาชายหนุ่มพิจารณาผลึกแก้วที่บรรจุร่างเทวนารีแห่งราศีมีนไว้แน่ว นิ่งแต่ประกายตานั้นบอกให้รู้ว่าความวิตกกับภาพที่เห็นนั้นไม่ได้น้อยไปกว่าเหล่าเทวนารีเลย
‘แม้สิ่งนี้กำเนิดจากผลึกราศี ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราซึ่งเป็นเทวนารีที่ได้รับพลังจากผลึกราศีจะทำลายไม่ได้’
จิตของนาเดียส่งออกมาแผ่วเบาแต่มั่นคง อย่างไรก็ตามในกระแสจิตได้แฝงความลังเลเอาไว้เบาบางจนไกรวิทย์ต้องหันไปพิจารณาดวงหน้างามนั้น
‘หมายความว่าเทวนารีแห่งราศีพฤษภ มีวิธีทำลายสิ่งนี้หรือ…ถ้าเช่นนั้น’
‘วิธีทำลายย่อมมีอยู่ แต่นั่นหมายความว่าพวกเราจะต้อง…’
‘ซายีเข้าใจว่านาเดียต้องการสื่ออะไร แต่เมื่อคิดถึงว่าในภาวะนี้พวกเราทุกคนก็ต้องดับสูญไปพร้อมกับมหาเทพเหนือหัว การช่วยไซเรนออกมาเพื่อให้พวกเราได้คารวะขออภัยที่ได้ล่วงเกินนางเป็นครั้งสุดท้าย น่าจะเป็นสิ่งพวกเราสามารถกระทำได้’
จิตนาเดียชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่จิตซาโรยีแทรกเข้ามาทันที พร้อมกับจิตของแองเจลีน โยนาและอาชีร่า สอดประสานเข้ามา
‘เพื่อพี่ไซเรน…มาเถอะ…’
‘ขอเพียงได้พบว่าพี่ไซเรนให้อภัย อาชีร่าก็พร้อม’
‘มหาเทพ เซี่ยวเล้ง แอน เมย์ เรอินะ ถอยออกไปก่อน พวกเราจะสลายผลึกแก้วดวงนี้เอง’
จิตของโยนาที่ส่งออกมาสุดท้าย พร้อมกับเคลื่อนร่างเข้าจับมือ นาเดีย ซาโรยี แองเจลลีน และอาชีร่าเข้าเป็นวงกลมล้อมรอบผลึกแก้ว เพียงพริบตาแสงสว่างเรืองรองก็ก่อเกิดรอบร่างเหล่าเทวนารี แล้วกระจายออกคลุมผลึกแก้วนั้นไว้
‘มหาเทพ รีบหยุดพวกนาง…พวกนางกำลังจะปลดผนึกราศีในร่าง…’
‘ไมได้นะ พวกท่านทำแบบนี้ไม่ได้…’
จิตเซี่ยวเล้งและเรอินะระเบิดออกมาอย่างร้อนรนพร้อมเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า ด้วยกำเนิดจากผลึกราศีมาก่อนทำให้ธอดามังกรฟ้ารู้ในทันที่เห็นแสงสว่างก่อกำเนิดมาจากเนินรักของเหล่าเทวนารีทุกนางก่อนที่จะปกคลุมผลึกแก้ว ร่างเทวนารีแห่งราศีเมษ ดีดตัวเข้าหากลุ่มก้อนแสงสว่างพร้อมกับเรอินะ แต่ร่างทั้งสองก็ต้องชะงักเมื่อกระทบพลังไร้สภาพที่แผ่ออกมาจากศูนย์กลาง
‘พี่เซี่ยวเล้ง เรอินะ พวกนางจะทำอะไร’
จิตแอนโดรเมดาส่งออกมาอย่างงุนงงกับสภาพเบื้อหน้า แต่ร่างก็ขยับตามไปยังตำแหน่งของเซี่ยวเล้งและเรอินะ พร้อมกับเมดูซ่า แต่ก่อนที่จะได้รับจิตจากเซี่ยวเล้งจิตแผ่วเบาของไกรวิทย์ก็ส่งคำตอบออกมา
‘พวกนางทราบดีว่าสิ่งที่ทำลายเพชรได้ก็มีเพียงเพชรด้วยกันเท่านั้น หากจะทำลายผลึกที่เกิดจากผลึกราศี ก็มีแต่ต้องระเบิดพลังจากผลึกราศีออกจากร่างเพื่อทำลาย แต่นั่นหมายความว่าพวกนางจะต้อง…….. เซี่ยวเล้ง เรอินะ แอน เมย์ พวกเจ้าจงเตรียมรับร่างพวกนางไว้ให้ดี ผนึกม่านพลังเอาไว้อย่าประมาท’
…….เปรี๊ยะ……ตูม
ไม่ทันที่กระแสจิตไกรวิทย์จะส่งจบ เสียงแก้วแตกร้าวก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงการระเบิดดังสนั่น ร่างหญิงสาวทั้งหกกระเด็นออกมาคนละทิศ แต่ละร่างล้วนเปลือยเปล่าปราศจากเกราะปราณอันเป็นสัญลักษณ์แห่งเหล่าเทวนารีบนร่างอีกต่อไป แต่ก่อนที่ทุกร่างจะตกลงไป เซี่ยวเล้งก็ขยับร่างวูบไปช้อนนาเดียและซาโรยี เอาไว้ เช่นเดียวกับที่เรอินะพุ่งเข้าช้อนรับแองเจลลีน แอนโดรเมดากอดอาชีร่าไว้ในอ้อมแขน ส่วนเมดูซ่าก็พุ่งร่างลงไปยึดแขนของโยนาและอิอาร่าที่กำลังพุ่งลงไปเบื้องล่างและเคลื่อนกลับมาบนอากาศ
เพียงสัมผัสร่างของเทวนารีผู้รับพลังจากผลึกราศีทั้งหก ทุกคนก็รับรู้ว่าบัดนี้ร่างหญิงสาวทั้งหมดปราศจากปราณที่เคยวนเวียนก่อกำเนิดพลังที่ไร้ผู้ต่อต้านอีกต่อไป.. จักรปราณทั้งสี่แยกออกจากการเชื่อมต่อ ส่งผลให้เหล่าหญิงเป็นเพียงสตรีธรรมดาที่หลงเหลือเพียงปราณปกติของมนุษย์ในการดำรงชีวิต
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้ พวกเจ้าไม่รู้ผลที่ตามมาหรืออย่างไร”
เซี่ยงเล้งส่งเสียงสั่นเครือออกมาด้วยคำพูดแทนที่จะเป็นการสื่อจิต เพราะรู้ดีว่าสภาพที่ปราศจากปราณหนุนเสริมนั้นทำให้เหล่าหญิงสาวในอ้อมแขนผู้เคยเป็นเทวนารีไม่สามารถสื่อจิตได้อีกต่อไป..
“พวกเราย่อมรู้ดี แต่พวกเราเห็นตรงกันว่าในเมื่อจะต้องดับสูญ พวกเราก็ไม่สามารถปล่อยให้พี่ไซเรนต้องดับสูญไปโดยที่พวกเราไม่ได้ขออภัยจากนาง โอ แม้ว่าพวกเราจะถูกควบคุมจิตแต่สิ่งที่พวกเราทำกับนางนั้นเลวร้ายเกินกว่าจะอภัย…ขอเพียงนางได้รับรู้ว่าพวกเราหลุดพ้นจากการควบคุมแห่งเทพสุรัสวดี และได้ขออภัยนาง…ทุกสิ่งที่สละไปก็คู่ควร”
นาเดียพยายามส่งสียงแผ่วล้าออกมาราวกับจะเป็นตัวแทนของเพื่อนเทวนารีทั้งหก
“พวกเจ้าหาใช่ผู้ผิดไม่ หากแต่การที่พวกเจ้าตั้งใจสละทำลายผลึกราศีในร่างเพื่อเพื่อนนั่นคือความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าคือเทวนารีของเราอย่างแท้จริง”
เสียงกังวานของไกรวิทย์ดังแทรกกระแสเสียงครืนครันของดาราสมุทรมากระทบโสตทุกคน ร่างชายหนุ่มลอยขึ้นมาจากผลึกแก้วทรงกลมที่แตกกระจายเบื้องล่าง ในวงแขนของชายหนุ่มปรากฏร่างของสตรีงามจากเผ่าพันธุ์มัจฉานามไซเรน ผู้ครองศักดิ์สุรีย์มัจฉาสงบนิ่งอยู่ ดวงตาหญิงสาวหลับพริ้ม ดวงหน้างามเหนือโลกซีดเผือกปราศจากสีเลือดบอกถึงสภาพปราณในร่างที่แทบจะเสื่อมสูญไปหมดสิ้น แต่ทรวงอกตูมเต่งของหญิงสาวยังคงสะท้อนขึ้นลง แสดงว่าในร่างนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ ท่อนล่างที่เคยเป็นท่อนหางมัจฉาตามเผ่าพันธุ์ ทิ้งปลายครีบหางลงโดยปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ในพริบตาต่อมาเมื่อเกร็ดมัจฉาสัมผัสอากาศที่หมุนเวียนในม่านปราณจนแห้งสนิท เกร็ดมัจฉาสีเขียวเข้มที่ปกคลุมท่อนหางนั้นก็ค่อยๆ ยุบตัวลงและแผ่ขยายออกเป็นผิวหนังเรียบละมุนของผิวกายมนุษย์ ส่วนกลางของหางมัจฉาแยกออกเป็นสองส่วนแปรเปลี่ยนเป็นท่อนขากลมกลึงเรียวยาวขาวสะอาด ไล่ขึ้นจนถึงเนินรักนูนตระหง่านที่ปราศจากเส้นไหมใดๆ ปกคลุม เผยให้เห็นกลีบเนื้อเต่งทั้งสองที่ประกบร่องรักไว้แน่นสนิท แต่ภาพการเปลี่ยนแปลงของร่างกายท่อนล่างของสุรีย์มัจฉานั้นไม่ได้ทำให้ไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีแปลกใจแต่อย่างใด เพราะล้วนทราบดีว่าเมื่อมนุษย์เทพจากเผ่าพันธุ์มัจฉาพ้นขึ้นจากน้ำ ร่างกายที่สัมผัสอากาศจะกลับกลายเป็นรูปมนุษย์ในทันทีที่น้ำแห้งจากผิวกาย และจะกลับคืนสู่สภาพแห่งมัจฉาเมื่อร่างนั้นกลับลงสู่น้ำอีกครั้ง
“สิ่งที่จำเป็นต้องทำ พวกเราล้วนทำแล้ว….ดาราสมุทรถูกพลังงานจากมหเพลิงยะเยียบปะทะจนเปลี่ยนตำแหน่งพุ่งกลับลงสู่พื้นโลก แหวกกระแสแมกม่าลงไปด้วยพลังขับดันของตนเองผสานกับพลังงานของมหเพลิงยะเยียบ การเคลื่อนตัวนี้จะดึงดูดแมกม่าตามเรากลับลงสู่พื้นพิภพ ช่องเปิดใต้พื้นสมุทรที่เคยถูกทะลวงผ่านด้วยมหเพลิงยะเยียบ กลับแทนที่ด้วยน้ำปิดกั้นไม่ให้แมกม่าระเบิดขึ้นสู่เบื้องบน นับว่ามนุษยชาติสองฝั่งสมุทรปลอดภัย แม้ว่าพวกเราจะต้องดำดิ่งลงไปสู่แกนโลกและเมื่อจักราวุธทั้งสองหมดสิ้นพลัง ความร้อนจากแกนโลกจะหลอมละลายจักราวุธทั้งสองไปพร้อมกับพวกเรา แต่เมื่อแลกกับชีวิตมนุษย์นับพันล้านและการทำลายจักราวุธที่มีอำนาจล้างโลกทั้งสองนี้ไปตลอดกาล ก็นับว่าเป็นการเสียสละที่คู่ควรแล้ว…เราขอขอบใจพวกเจ้าเหล่าเทวนารีทุกนาง ไว้ ณ ที่นี้”
จิตที่นุ่มนวลของไกรวิทย์ส่งออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ เหล่าเทวนารีทุกนางรับรู้ในทันทีว่าปราณในร่างของไกรวิทย์คงเหลือไม่ถึงสองส่วนจากเดิม
“การได้สูญจิตกายพร้อมกับมหาเทพวิรุณปักษ์นั้น หาได้เป็นสิ่งที่น่าเสียใจหวาดกลัวไม่ หากแต่เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดแห่งคำสัตย์สาบานของเหล่าเทวนารี เพียงแต่ขณะนี้อุณหภูมิจากพลังของสองจักราวุธที่กระทบแมกม่าภายนอกล้วนสะท้อนความร้อนกลับเข้ามาภายในดาราสมุทร พวกเราไม่น่าจะมีเวลาเกินสิบนาทีก่อนที่คลื่นความร้อนนั้น จะทะลวงผ่านปราณคุ้มกายที่อ่อนล้าของพวกเรา และเผาผลาญร่างเนื้อนี้เป็นธุลีในพริบตา…”
เสียงแอนโดรเมดาดังขึ้นแผ่วเบา แต่ก็ทำให้ไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีตระหนักในทันทีว่าการดับสูญการจิตของทุกคนกำลังจะมาถึงในไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“โยนาหาได้หวาดกลัวไม่ เพียงแต่คับแค้นใจนักที่เวลาอันสั้นนี้ โยนาไม่สามารถมอบพรหมจรรย์ที่เฝ้ารักษามาตลอดชีวิตให้มหาเทพได้ตามที่ตั้งใจ..”
โยนาส่งออกมาด้วยน้ำเสียงสะทกสะท้อนในอ้อมแขนของเมดูซ่า ร่างของเทวนารีทุกนางล้วนเคลื่อนเข้าเบียดชิดร่างชายผู้เป็นทั้งนายเหนือและผู้เป็นที่รักเอาไว้จนทุกร่างแนบแน่นราวกับเป็นกายจิตเดียวกัน
ไกรวิทย์สูดลมหายใจลึกยาว แต่ก่อนที่ส่งวาจาสุดท้ายก่อนดับสูญไปยังเหล่าเทวนารีรอบข้าง จิตที่อ่อนล้าสายหนึ่งพลันดังขึ้นในจิตของไกรวิทย์
‘ที่นี่หาได้เป็นจุดอับไม่…ช่องทางด้านบนนั้นเปิดออกไปสู่ส่วนควบคุมของดาราสมุทรได้ เพียงแต่เราเองก็หาทราบวิธีเปิดไม่…หากพวกท่านสามารถ…’
‘ไซเรน…’
จิตของเรอินะและเซี่ยวเล้งรีที่เคยร่วมจักราศีกับสุรีย์มัจฉา ดังขึ้นพร้อมกันเมื่อได้รับจิตที่คุ้นเคย ดวงตาจับจ้องใบหน้าสุรีย์มัจฉาในอ้อมแขนไกรวิทย์ที่กำลังเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างอ่อนล้า เผยให้เห็นดวงตาสีน้ำเงินครามที่ลึกล้ำราวมหาสมุทร…
‘แม้เราจะถูกเครื่องจักรที่เทพสุรัสวดีสร้างขึ้นสูบเอาพลังปราณเราไปหนุนเสริมดาราสมุทร แต่จิตเราหาได้หลับใหลตามร่างกายไม่..แผ่นกลมสีทองด้านบนที่เชื่อมต่อกับส่วนบังคับการนั้นสามารถเปิดออกได้ด้วยพลังบางประการที่เราไม่รู้จัก แต่เราเห็นเหล่าเทวีสงครามห้านางที่รับหน้าที่ควบคุมดาราสมุทร แผ่พุ่งพลังลงไปที่ตำแหน่งศูนย์กลางแผ่นกลมสีทอง เพื่อเปิดช่องทางเข้าสู่ส่วนบังคับการที่ไม่ได้รับผลกระทบจากพลังงานของดาราสมุทร..พวกท่านจง…’
ยังไม่ทันที่สุรีย์มัจฉาจะส่งจิตเสร็จ ร่างไกรวิทย์ที่เหล่าเทวนารีทุกนางกำลังกอดกระหวัดอยู่นั้นพลันเคลื่อนวูบลงไปยังตำแหน่งแผ่นกลมสีทอง ซึ่งในสภาพที่ดาราสมุทรกำลังดำดิ่งลงสู่ใต้พิภพนั้น แผ่นกลมปัจจุบันจึงกลายเป็นด้านล่างแทนที่จะเป็นด้านบนดังที่สุรีย์มัจฉาระบุออกมา
‘พี่เอ…นั่นเป็นอักษร…’
ทันทีที่ร่างไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีลงมายังตำแหน่งของแผ่นกลม ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังลวดลายวงกลมซ้อนกันสิบสองชั้น ระหว่างชั้นจารึกไว้ด้วยภาพอักขระแปลกตา แต่สำหรับเซี่ยวเล้งซึ่งเคยผ่านประสบการณ์หน้าถ้ำศิลาที่นำไปสู่มิตินิรกาล อักขระเหล่านั้นดูคุ้นตาจนเทวนารีแห่งราศีมังกรต้องส่งจิตอุทานไปยังไกรวิทย์อย่างลืมตัว…แต่ไกรวิทย์ หาได้ส่งจิตตอบไม่ สองตาชายหนุ่มผู้ครองจิตแห่งมหาเทพในอดีตกาลจับจ้องและกวาดตาไปตามแถวของตัวอักษร เบื้องหน้าอย่างตั้งใจ
‘อักขระกูโบส..แต่ลายเส้นดูเก่าแก่กว่ามากนัก…จะมีใครสามารถอ่านได้อีกในโลกปัจจุบันนี้…เอ๊ะ’
ท่ามกลางคลื่นความร้อนที่เริ่มทะลักเข้าคุกคามปราณคุ้มครองร่างที่อ่อนล้าของทุกคน จิตแอนโดรเมดาส่งเสียงแทรกขึ้นมาเบาๆ ราวกับเกรงว่าจิตนั้นจะกระทบกระเทือนต่อสมาธิของไกรวิทย์ แต่เทวนารีแห่งราศีสิงห์ก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าไกรวิทย์ผนึกกาฬปราณขึ้นจนเกิดเกิดละอองหมอกสีดำอ่อนจางที่สองมือ แล้วกดลงไปที่ตำแหน่งศูนย์กลางของแผ่นกลมสีทองเบื้องหน้า.. ละอองหมอกสีดำพลันกระจายแทรกซึมลงไปในแผ่นกลมราวกับน้ำที่เทลงไปบนทะเลทรายแห้งผาก ตามมาด้วยเสียงครืนครั่น ก่อนที่แผ่นกลมนั้นจะเริ่มเปลี่ยนมวลจากทึบตันเป็นโปร่งแสงทีละน้อย
‘ที่แท้แก่นกลางของพลังงานแห่งจักราวุธคือการดูดรับพลังจากสสารมืดที่กระจายอยู่ในจักรวาลมาตั้งแต่กำเนิดแรกของสากลจักรวาล เพียงแต่ผนึกมวลพลังงานไปในทางตรงกับวัตถุธาตุหาได้ผสานกับพลังจิตของสิ่งมีชีวิตดังเช่นกาฬปราณของเราไม่…จารึกกูโบสดั้งเดิมนี่กลับเป็นกุญแจให้กับพวกเราแล้วเซี่ยวเล้ง จงนำเทวนารีแห่งเราจงผ่านเข้าไปสู่ส่วนบังคับการของดาราสมุทรเดี๋ยวนี้ ก่อนที่มันจะปิดลงในสิบวินาทีข้างหน้า ’
จิตไกรวิทย์ส่งออกมาบ่งบอกถึงความหมายของอักขระที่บ่งชี้ถึงพื้นฐานของพลังงานที่จักราวุธใช้ พร้อมกับที่แผ่นกลมสีทองค่อยๆ สลายตัววูบเปิดเป็นช่องทางให้ผ่านเข้าไปสู่ส่วนบังคับการของดาราสมุทร และในทันทีที่แผ่นกลมสลายตัวสมบูรณ์ จิตไกรวิทย์พลันเปลี่ยนเป็นออกคำสั่งให้เซี่ยวเล้งผ่านช่องเปิดเข้าไปสู่ส่วนบังคับการเบื้องล่าง
‘เทวนารีรับบัญชา..’
จิตเซี่ยวเล้ง เรอินะ แอนโดรเมดา และเมดูซ่าเปล่งออกมาเป็นเสียงเดียว ร่างงามทุกร่างที่มีเหล่าเทวนารีผู้ปราศจากปราณในอ้อมแขนเคลื่อนวูบอย่างเป็นระเบียบผ่านลงไปในช่องว่างเบื้องล่าง โดยที่ไกรวิทย์ซึ่งโอบอุ้มร่างสุรีย์มัจฉาจะตามลงไปเป็นคนสุดท้าย และในพริบตาที่ร่างชายหนุ่มผ่านพ้นช่องว่าง แสงสีทองพลันกระจายจ้าที่ช่องเปิด และเปลี่ยนเป็นวัตถุสีทองทึบแสงปิดกั้นช่องทางเอาไว้ดังเดิม
“มหาเทพ นี่คือที่ที่พวกเราพำนักเพื่อรอคอยคำสั่งของเทพสุรัสวดีเมื่อเดือนที่ผ่านมา…’
แองเจลลีนส่งเสียงออกมาอย่างอ่อนล้า แต่ แฝงด้วยน้ำเสียงยินดีเมื่อรับรู้ว่าสามารถหลุดพ้นจากคลื่นความร้อนจากแมกม่าที่กำลังทะลักเข้ามาภายในอีกส่วนหนึ่งของดาราสมุทร ในขณะที่ส่วนบังคับการซึ่งร่างของทุกคนได้ผ่านเข้ามานั้น กลับมีอากาศเย็นยะเยือกบ่งชี้ว่าระบบการควบคุมอุณหภูมิในส่วนบังคับการนั้นยังคงทำงานอยู่โดยสมบูรณ์ หาได้มีผลกระทบจากอุณหภูมิที่สามารถหลอมเหลวโลหะของแมกม่าภายนอกไม่
ดวงตาไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา กวาดตามองภาพโค้งวงกลมเบื้องล่างอันเป็นส่วนบังคับการของดาราสมุทรอย่างประหลาดใจ เมื่อพบว่าได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่รูปทรงกลมหงายขนาดมหึมา เบื้องล่างสุดเป็นช่องว่างรูปทรงกลมเจ็ดช่อง ที่สาดประกายสีแดงอมเหลืองเจิดจ้าของแมกม่าเหลวภายนอกที่ดาราสมุทรกำลังฝ่าลงไป แต่แทนที่แมกม่าเหลวเหล่านั้นจะทักลักเข้ามาในส่วนบังคับการ มวลร้อนจัดนั้นกลับไหลผ่านช่องว่างเหล่านั้นเป็นสาย ราวกับมีกระจกทนความร้อนมหาศาลขวางกั้นอยู่.. ทั้งที่สายตาทุกคนเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีวัตถุใดขวางกั้นอากาศภายในดาราสมุทรกับแมกม่าภายนอกแม้แต่น้อย
“สนามพลังงานที่สมบูรณ์นัก แม้แต่ความร้อนสักเสี้ยวหนึ่งยังไม่อาจผ่านเข้ามาในนี้ได้….”
ไกรวิทย์ส่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชมแฝงไว้ โดยไม่ใช้จิตเพื่อให้เหล่าเทวนารีที่ปราศจากปราณได้ร่วมรับรู้ พร้อมกับบอกให้เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดารับรู้ว่าช่องเปิดทั้งเจ็ดนั้นมีสนามพลังงานรูปแบบพิเศษจากเทคโนโลยีบรรพกาลขวางกั้นอยู่
“ที่แท้นั่นคือสนามพลังงาน…พวกเราทั้งเจ็ดพำนักอยู่ในที่นี้กว่าเดือน แต่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกเราจึงไม่สามารถผ่านออกไปไปสู่ภายนอกได้ ทั้งที่ปราณของเราไม่สามารถสัมผัสการคงอยู่ของวัตถุใดๆ ที่ช่องเปิดนั้นแม้แต่น้อย…เรากลับหลงคิดว่าเป็นพลังจิตของเทพสุรัสวดีที่ปิดกั้นไม่ให้พวกเราออกไปจากที่นี้”
ซาโรยีในอ้อมแขนเซี่ยวเล้งส่งเสียงออกมาเบาๆ บอกให้ไกรวิทย์รู้ว่าตลอดเวลาที่เหล่าเทวนารีทั้งเจ็ดอยู่ในดาราสมุทรนั้น ทุกคนก็พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ปิดกั้นช่องทาง แต่ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้
“แต่ภาพสถานที่ที่เราเคยพนักเปลี่ยนเป็นกลับทิศเช่นนี้ดูแปลกตาและไม่คุ้นเคยยิ่ง…”
โยนาส่งเสียงรำพึงออกมาเบาๆ ขณะที่ดวงหน้าหญิงสาวเงยหน้าขึ้นจับจ้องภาพด้านบนซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นส่วนพื้นห้องควบคุมดาราสมุทร แต่ปัจจุบันกลับเป็นส่วนเพดาน อาสนะทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตร จำนวนกว่าสามสิบชิ้นกระจายตัวอยู่รอบส่วนพื้น ที่ตำแหน่งกึ่งกลางอันเป็นช่องที่ทุกคนผ่านเข้ามา ปรากฏแท่นแก้วผลึกใสรูปทรงกระจ่างล้อมรอบเอาไว้ด้วยความสูงกว่าสองเมตร ส่วนพื้นผิวของแท่นแก้วจารึกตัวอักษรประหลาดกระจายอยู่โดยรอบ เหนือตัวอักษรแต่ละชุดมีแสงรูปวงกลมกระพริบเป็นจังหวะ บอกให้รู้ว่านี่คือจุดสัมผัสที่ผู้บังคับดาราสมุทรจะใช้สั่งการจักราวุธชิ้นนี้ให้เป็นไปตามความต้องการ ส่วนขอบของผนังทรงกลมที่กว้างกว่าร้อยเมตร ปรากฏห้องขนาดเล็กเรียงรายล้อมพื้นที่ผนังทั้งหมดไว้ สายตาที่เฉียบคมของไกรวิทย์บอกได้ในทันทีที่กวาดตามองว่ามีจำนวนห้องสามสิบห้องเท่ากับจำนวนอาสนะ แสดงว่าส่วนบังคับการของดาราสมุทรนี้ถูกออกแบบเป็นอาวุธมีคนควบคุมและพำนักได้สามสิบคน ซึ่งเป็นการผสานอาวุธเข้ากับพาหนะไม่ต่างกับเรือพิฆาตในกองทัพเรือของมนุษย์ปัจจุบัน
“ภายในห้องเหล่านั้นมีเตียงนอน อาหาร น้ำ เพียงพอให้ดำรงชีวิตอย่ได้นานนับเดือน และยังมีห้องน้ำขนาดใหญ่สำหรับชำระล้างร่างกายพร้อมสรรพ เพียงแต่ในสภาพที่ดาราสมุทรดำดิ่งลงเบื้องล่างในทิศกลับหัวเช่นนี้ การใช้ของเหล่านั้นคงไม่สะดวกอย่างยิ่ง….แต่.อะ อะไรกัน”
อาชีร่า เทวนารีราศีกรกฏ ส่งเสียงออกมาขยายความสิ่งที่โยนาบอกเล่าต่อไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดาผู้ที่ไม่เคยเข้ามาในส่วนบังคับการดาราสมุทรมาก่อน แต่ยังไม่ทันที่คำพูดของอาชีร่าจะเสร็จสิ้น ประสาทสัมผัสของทุกคนพลันรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดที่ก่อตัวขึ้นในดาราสมุทร ร่างไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันพลิกหมุนกลับลงในทิศตรงข้าม ทำให้สภาพภายในส่วนบังคับการรูปโดมกลับคืนสู่ภาวะปกติที่ควรเป็น ภาพของกระแสแมกม่าที่แหวกผ่านม่านพลังที่ส่วนเพดานทำให้ตารับรู้ราวกับว่าดาราสมุทรกำลังพุ่งขึ้นสู่ด้านบน แต่ประสาทการรับรู้ทิศทางของทุกคนกลับรับรู้ว่าการเคลื่อนที่ดาราสมุทรนั้นไม่ได้เปลี่ยนทิศทางตามที่สายตาเห็น หากแต่ยังคงดำดิ่งลงสู่ใจกลางโลกเช่นเดิม ความขัดแย้งระหว่างสายตา กับประสาทรับรู้ และการเปลี่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วงทำให้เทวนารีทุกนางสบตากันด้วยความสงสัย แต่เมื่อเทวนารีทุกนางสัมผัสได้ว่าไกรวิทย์ผู้เป็นศูนย์กลาง ได้สลายปราณในร่างและเคลื่อนลงไปยังส่วนพื้นตามแรงดึงดูดที่เกิดขึ้น เหล่าเทวนารีก็พากันสลายปราณในร่างเคลื่อนตามลงมาล้อมร่างชายหนุ่มไว้เป็นวงกลม พร้อมปล่อยให้ร่างเทวนารีที่ปราศจากปราณลงนั่งพักผ่อนบนอาสนะนุ่มนวลนั้น
“ทิศทางและแรงโน้มถ่วงในสถานที่นี้ประหลาดนัก แต่เรอินะเชื่อมั่นว่ามหาเทพจะสามารถอธิบายคลายความสงสัยให้พวกเราได้อย่างแน่นอน”
เสียงของเทวนารีแห่งราศีธนูผู้ไม่เคยปล่อยผ่านความสงสัยให้ค้างคาอยู่ในใจ ถามดังขึ้นราวกับจะถามแทนเหล่าเทวนารีทุกนาง ไกรวิทย์ยิ้มเล็กน้อยขณะย่อกายลงวางร่างที่ยังไม่ได้สติของไซเรน เทวนารีแห่งราศีมีนลงบนอาสนะ พร้อมกับตอบคำถามที่อยู่ในใจของเหล่าเทวนารี
“เรอินะและเหล่าเทวนารีของเราจงอย่าแปลกใจไปกับความรู้สึกที่ขัดแย้งกัน เราแน่ใจว่าภายในดาราสมุทรนี้จะต้องมีระบบสร้างแรงโน้มถ่วงเทียมที่จะทำงานในทันทีที่รับรู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการเคลื่อนที่ภายนอก เพื่อให้ผู้บังคับการภายในสามารถรักษาตำแหน่งที่จำเป็นในการบังคับการเอาไว้ ดังนั้นขอให้ทุกคนจงผ่อนคลายตนเองให้คุ้นเคยกับแรงโน้มถ่วงเทียมนี้ ขอเพียงแต่ไม่คิดถึงทิศทางภายนอกที่แท้จริง จิตเราจะปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ในทันที…นอกจากนี้เรามั่นใจว่าด้วยโลหะโครงสร้างและระบบการทำงานของเครื่องจักรสมดุลแห่งดาราสมุทรนี้น่าจะสามารถต้านรับความร้อนใต้ผิวโลกได้อย่างน้อยสิบสองชั่วยาม เพียงแต่….”
ไกรวิทย์ชะงักการถ่ายทอดวูบหนึ่ง ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงปัญหาบางประการ
“แต่สิ่งแรกที่ต้องกระทำในขณะนี้ หาใช่การดิ้นรนเอาชีวิตรอดไม่ หากแต่เป็นการรักษาชีวิตของเทวนารีแห่งราศีมีนผู้นี้โดยด่วนที่สุด ปราณของนางหลงเหลือเพียงสายใยบางเบา ปัญหานั้นอยู่ที่หากนางเป็นเทวนารีผู้กำเนิดจากมนุษย์เทพเช่นพวกเจ้าเหล่าเทวนารี เราก็สามารถเริ่มการรักษาได้ในทันที แต่นางกลับเป็นเทวนารีผู้กำเนิดจากเผ่าพันธุ์มัจฉา เมื่ออยู่ในอากาศร่างนางกลับกลายเป็นมนุษย์สตรี ทำให้จักรปราณแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาเปลี่ยนตำแหน่ง ไม่สามารถถ่ายทอดปราณเข้าสู่จักรอัคคีในร่างได้ มีแต่เพียงในน้ำเท่านั้นที่จักรอัคคีของนางจึงจะกลับมาอยู่ในตำแหน่งพร้อมรองรับปราณ แต่ในสถานที่นี้เราจะหาน้ำให้นางคืนสภาพของเผ่าพันธุ์มัจฉาได้อย่างไร?”
กระแสเสียงช่วงสุดท้ายของไกรวิทย์แฝงไว้ด้วยความกังวล แต่เสียงกระตือรือร้นสายหนึ่งพลันแทรกขึ้นมา
“ถ้าต้องการน้ำนั้นไม่ปัญหาแต่อย่างใด ซาโรยีชอบแช่น้ำเป็นชีวิตจิตใจ ในส่วนท้ายของพื้นที่นี้ห้องเก็บน้ำใช้ขนาดใหญ่เพื่อใช้ในในดาราสมุทร ซาโรยีจะไปแช่น้ำในที่นั้นเป็นประจำอยู่แล้ว”
ซาโรยี ส่งเสียงออกมายังไกรวิทย์ในทันที่ที่ทราบว่าน้ำคือปัญหาสำคัญในการช่วยชีวิตของไซเรน..ร่างที่แม้จะปราศจากปราณแต่ยังคงความปราดเปรียวพุ่งควับมาดึงมือไกรวิทย์นำไปหน้าแผ่นจานรูปวงกลมเบื้องล่าง สองมือทาบกับแผ่นทองที่ติดตั้งอยู่ส่วนกลาง พลันแผ่นจานนั้นก็หมุนตัวออกแยกจากศูนย์กลางปรากฏช่องทางเข้าไปสู่ด้านใน เมื่อไกรวิทย์ย่างเท้าเข้าไปก็พบว่าเป็นส่วนของห้องทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสามสิบเมตร เนื้อที่ของห้องทั้งเกือบเป็นมวลน้ำรูปทรงกลมใสกระจ่าง ภายในเป็นน้ำบริสุทธิ์สีฟ้าใส แต่ไม่มีร่องรอยของภาชนะที่บรรจุน้ำทั้งหมดไว้แม้แต่น้อย มวลน้ำปริมาตรมหาศาลดูราวกับจะล่องลอยอยู่กลางอากาศ และกระเพื่อมเป็นระลอกไปตามกระแสการสั่นสะเทือนของดาราสมุทรที่กำลังดำดิ่งลงสู่ใจกลางพิภพ
“เพียงมหาเทพกำหนดจิตปริมาณน้ำที่จะใช้ น้ำจะเข้ามาปกคลุมร่าง หรือหากต้องการก็สามารถเข้าไปในทรงกลมน้ำแหวกว่ายได้ตามแต่ใจปรารถนา โดยไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลต่อความบริสุทธิ์ของน้ำ เพราะเพียงแต่มีเศษฝุ่นผงใดๆ เข้าไปภายใน ดาราสมุทรจะแยกสิ่งปนเปื้อนเหล่านั้นออกมาจากน้ำภายหลังทันที…”
แองเจลล่าที่เดินตามเข้ามาพร้อมเหล่าเทวนารีอธิบายโครงสร้างและวิธีใช้งานให้แก่ผู้มาใหม่ได้ทราบ
“ยิ่งกว่านั้น เมื่อเข้าไปว่ายอยู่ในมวลน้ำนี้ เราก็ยังสามารถหายใจได้ตามปกติอีกด้วย”
ซาโรยีเสริมขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงปกติในฐานะที่เป็นผู้ใช้สถานที่แห่งนี้ชำระล้างร่างกายเป็นประจำ แต่นั่นกลับทำให้ไกรวิทย์ผู้กำลังอุ้มร่างเทวนารีแห่งราศีมีนในอ้อมแขนสะท้านใจขึ้นมาทันที และก้าวเท้าไปยังเบื้องหน้าลูกกลมน้ำ พร้อมส่งจิตออกมาราวกับจะพูดกับตนเอง
“น้ำที่สามารถกำหนดได้ด้วยจิต สามารถหายใจได้…หรือว่ามันคือ”
ไม่ทันจบประโยค ชายหนุ่มพาร่างสุรีย์มัจฉาเข้าสู่มวลน้ำในทันที
พริบตาที่ไกรวิทย์สัมผัสมวลน้ำรอบกาย จิตชายหนุ่มผู้ครองความทรงจำแห่งมหาเทพวิรุณปักษ์ก็สะท้านเฮือกขณะส่งจิตอุทานออกมา
‘นี่หาใช่น้ำไม่ แต่มันคือ “น้ำมวลหนัก” อย่างแน่ชัด’
‘มหาเทพ สิ่งใดคือ “น้ำมวลหนัก”’
จิตของเรอินะส่งคำถามมาทันที ขณะที่เซี่ยวเล้ง แอนโดรเมดา และ เมดูซ่า ก็ถ่ายทอดเนื้อหาจิตของไกรวิทย์ให้เหล่าเทวนารีผู้สูญเสียปราณรอบด้านได้ร่วมรับรู้
‘น้ำมวลหนัก เป็นน้ำที่แม้จะเหมือนน้ำธรรมดา แต่โครงสร้างโมเลกุลของน้ำมีการปรับเปลี่ยนแทนที่ไฮโดรเจนด้วยดิวทอเรียม ในโลกปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สังเคราะห์มันขึ้นเพื่อเร่งปฏิกิริยานิวเคลียร์แต่น้ำในที่แห่งนี้นอกจากจะใช้ดิวทอเรียมแล้ว ยังและเพิ่มโมเลกุลออกซิเจนเข้าไปทำให้สามารถหายใจได้และยังเปลี่ยนสภาพให้มันเป็นน้ำที่สามารถดูดซับและสะสมพลังงานได้ในตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์โลกตะวันตกพยายามทำมาตลอด แต่สามารถเพียงแทนที่ไฮโดรเจนเท่านั้น ส่วนการเพิ่มโมเลกุลออกซิเจนนั้นไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน’
‘มหาเทพหมายความว่า….’
จิตแอนโดรเมดาส่งออกมาด้วยสำเนียงที่แฝงความมุ่งหวังไว้เต็มเปี่ยม
‘ด้วยองค์ประกอบของน้ำมวลหนักในที่นี้ นอกจากจะช่วยสุรีย์มัจฉาแล้ว ยังจะทำให้พวกเจ้าทุกนางสามารถฟื้นฟูปราณได้… เรอินะ เซี่ยวเล้ง แอนโดรเมดา เมดูซ่า จงสลายเกราะปราณแล้วนำเหล่าเทวนารีผู้สูญปราณเข้ามาในมวลน้ำเดี๋ยวนี้’
‘เทวนารีรับบัญชา’
จิตของ … เรอินะ เซี่ยวเล้ง แอนโดรเมดา และเมดูซ่า ประสานเป็นเสียงเดียว ก่อนถ่ายทอดคำสั่งของไกรวิทย์ไปยังเหล่าเทวนารีที่ปราศจากปราณ และนำทุกร่างเข้ามาสู่มวลน้ำทรงกลมพร้อมกัน
………………..
‘เจ้าได้สติเต็มที่แล้ว’
ไกรวิทย์ส่งจิตขึ้นมาเบาๆ เมื่อพบว่าร่างของเทวนารีแห่งราศีมีนที่เข้าสู่ลูกบาศก์น้ำทรงกลม เปล่งประกายสีครามวูบก่อนที่สองขาของหญิงสาวจะกลับคืนสู่สภาพหางมัจฉา ดวงตาสีครามที่ส่งประกายลึกล้ำราวมหาสมุทรพลันลืมขึ้น จับจ้องดวงตาไกรวิทย์พร้อมกับส่งจิตแผ่วเบา
‘ที่แท้เป็นท่าน…ท่านเองที่อยู่ในความฝันของเรามาตลอดตั้งแต่กำเนิดมาในท้องสมุทรนี้’
‘เทวนารีท่านทราบหรือว่าเราคือผู้ใด’
จิตไกรวิทย์ส่งตอบไปอย่างอ่อนโยน ขณะที่มือของสุรีย์มัจฉายกขึ้นมาแนบแก้มของชายหนุ่มไว้แผ่วเบา
‘แม้เราจะถูกกักในผลึกแก้ว แต่จิตเราหาได้หลับใหลไปด้วยไม่ เราได้รับรู้สิ่งที่ท่านและเหล่าเทวนารีกระทำเพื่อปกป้องโลกและช่วยเหลือเรา เราย่อมทราบดีว่าท่านคือผู้ทรงจิตแห่งมหาเทพวิรุณปักษ์ผู้เป็นนายเหนือที่แท้จริงของเทวนรีทั้งสิบสองแห่งจักรราศี เราสมควรแสดงอาการคารวะท่านด้วยอากัปกริยาสูงสุดตามประเพณี แต่น่าเสียดายที่ร่างกายเราบัดนี้สูญเสียปราณไปแทบสูญสิ้น ร่างกายอัปลักษณ์นี้ไม่สามารถขยับได้ ขอมหาเทพประทานอภัยให้แก่เทวนารีผู้ต่ำต้อยนางนี้ด้วย’
ก่อนที่ไกรวิทย์จะสนองตอบจิตของไซเรน ร่างของเหล่าเทวนารีต่างพากันแย่งชิงเคลื่อนที่เข้ามาล้อมรอบร่างสุรีย์มัจฉา มือทุกคู่แย่งชิงกันมาจับต้องร่างกายของเพื่อนร่วมศึก แม้เหล่าเทวนารีส่วนใหญ่จะสูญสิ้นปราณในร่าง แต่ดวงตาทุกคู่ที่จับจ้องมานั้นล้วนสะท้อนความห่วงใยไว้ในเบื้องลึกของจิตใจอย่างชัดเจน
‘พี่ไซเรน เรอินะขอน้อมพบพี่อีกครั้งและขอรับการอภัยจากวาจาที่ล่วงเกินพี่สาวคนนี้ในอดีต’
‘เซี่ยวเล้งยินดีนักที่มหาเทพสามารถช่วยพี่ไซเรนออกมาจากเครื่องมือที่อำมหิตได้ทันเวลา
จิตเรอินะและเซี่ยวเล้งส่งออกมาอย่างเร่งร้อนขณะสองมือกุมมือของเทวนารีแห่งราศีมีนไว้แนบแน่น
‘เซี่ยวเล้ง เรอินะ เรายินดีนักที่ได้พบเพื่อนเทวนารีทั้งสองอีกครั้งสำหรับเรอินะ เราขออภัยท่านเช่นกันที่อารมณ์ดื้อดึงในกฏเกณฑ์ทำให้เราใช้วาจาทำร้ายจิตใจท่านมาตลอด โดยไม่คำนึงถึงธาตุแท้แห่งเทวนารีของท่านที่ยึดมั่นในจริยแห่งเทวนารีในรูปแบบของตนเอง และบัดนี้เราก็ได้รับรู้ว่าสิ่งที่เรายึดถือเชื่อมั่นมาตลอดชีวิตนั้น ที่แท้เป็นเพียงมายาหลอนจิตที่หลอกลวงเราให้สละตนเองเพื่อสนองความต้องการอันวิปริตของมหาเทวีเท่านั้น…เสียดายนักที่เราสูญสิ้นปราณจนไม่อาจร่วมกับพวกท่านในการปกป้องสรรพชีวิตนี้ได้อีก…’
‘พี่ไซเรนท่านหาได้สูญเสียปราณไม่ ผู้ที่กำลังกอดท่านในอ้อมแขนนั้นคือเจ้าชีวิตผู้สร้างและกำหนดปราณแห่งเหล่าเทวนารีมาแต่กำเนิดมหาอาณาจักรปราณ เพียงแต่การฟื้นฟูปราณของพี่ไซเรนนั้น
จำเป็นต้องให้พี่ต้อง…เอ้อ…’
เรอินะส่งจิตออกมาอย่างเร่งร้อน แต่ในตอนท้ายกลับติดขัด ราวกับจะรู้ว่าการอธิบายวิธีถ่ายทอดปราณฟื้นฟูนั้นจะกระทบต่อจิตใจเทวนารีที่ยึดมั่นในกฏเกณฑ์เช่นไซเรนจนอาจเกิดความตระหนก แต่จิตที่ราบเรียบของเทวนารีราศีมีนกลับแทรกขึ้นมาอย่างมั่นคง
‘เรอินะไม่จำเป็นต้องกล่าว เรารู้ดีว่ามหาเทพวิรุณปักษ์ในอดีตกาลถ่ายทอดปราณแก่เหล่าเทวนารีผ่านการร่วมรัก กระตุ้นให้จักรปราณเปิดรับพลังแห่งสสารมืดในจักรวาลมาประสานกับปราณแสงสว่างที่กำเนิดมาพร้อมสรรพชีวิต ก่อเป็นปราณแห่งเทวนารี… เราหาได้เขินอายต่อการสูญสิ้นพรหมจรรย์ไม่ เพียงแต่ด้วยร่างแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาที่อัปลักษณ์นี้ คงไม่อาจกระตุ้นให้มหาเทพลดตัวลงมาฟื้นฟูปราณให้เราได้….เอ๊ะ…’
ยังไม่ทันที่จิตของไซเรนจะถ่ายทอดจบ ร่างมัจฉาก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มที่ประคองร่างอยู่ในอ้อมแขนนั้นประทับริมฝีปากลงกับปากเรียวบาง พร้อมกับกระแสจิตส่งออกมา..
‘เหลวไหล ลูกปลาน้อยของเรางามสุดฟ้าดินไม่ว่าจะอยู่ในร่างใด เราเองก็แยกไม่ได้ว่าชื่นชอบร่างใดมากกว่ากันระหว่างร่างในเพศพันธุ์แห่งมัจฉา หรือร่างแห่งเทวนารีราศีมีน ในอดีตกาลเราสองแหวกว่ายในท้วงสมุทรร่วมสัมพันธ์ในร่างแห่งมัจฉานี้นับไม่ถ้วน ลูกปลาน้อยของเราเจ้าจำได้หรือไม่’
‘มหาเทพ เราเคยเฝ้าฝันถึงการร่วมรักกับชายหนุ่มเพศมนุษย์ในวารีมาแต่เยาว์วัย แต่ความทรงจำนั้นลางเลือนราวกับอยู่ในหมอกควัน..แม้เราจะพยายามกำหนดจิตสมาธิเพื่อจดจำนิมิตรเหล่านั้น แต่สิ่งที่ทำได้ก็เพียงจดจำดวงหน้าของบุรุษนั้นได้เท่านั้น… นั่นก็คือมหาเทพ…อืมห์…’
จิตเทวนารีผุ้ปกป้องคาบสมุทรทั้งสี่ครางออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ว่าทรวงอกงามกำลังถูกสัมผัสด้วยมือของผู้ที่อยู่ในความทรงจำ แต่ร่างนั้นก็ไม่ได้ขัดขืนการสัมผัส สองมือของไซเรนเอื้อมขึ้นไปกอดรอบคอไกรวิทย์และดึงลงมาราวกับต้องการรสสัมผัสที่ริมฝีปากแนบแน่นยิ่งขึ้นปลายลิ้นที่เคยสงบนิ่งเริ่มส่งออกไปรับรสสัมผัสจากลิ้นชายหนุ่มอย่างระวังในเบื้องต้นและเปลี่ยนเป็นเกี่ยวกระหวัดเมื่ออารมณ์รักค่อยๆ ปะทุขึ้น
‘หากเป็นเทวนารีเผ่าพันธุ์มนุษย์เทพ จิตแห่งความทรงจำของพวกนางจะไม่กระจ่างชัดจนปรากฏเป็นนิมิตรเช่นเจ้า แต่สำหรับเผ่าพันธุ์มัจฉาที่มีพลังจิตแข็งแกร่ง ความทรงจำนั้นจะฝังแน่นอยู่ในจิตมากกว่าเทวนารีนางอื่น นั่นทำให้เราแน่ใจว่าไซเรนเจ้าคือผู้ครองจิตแห่งลูกปลาน้อย เทวนารีที่เรารักยิ่ง…’
‘นั่นเป็นสิ่งที่เราเองก็ตระหนักอยู่ในส่วนลึกแต่ไม่สามารถบอกต่อผู้ใดได้ …แต่..เอ๊ะ…ทำไม ..เป็นไปได้อย่างไร’
จิตของสุรีย์มัจฉาชะงักไปชั่วขณะเมื่อร่างเปลือยสัมผัสความแข็งแกร่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ที่เนินหน้าท้อง มือเรียวงามคลายการกอดรอบคอชายหนุ่ม ขณะผละริมฝีปากออกก่อนก้มลงดูวัตถุที่มาสัมผัสและส่งจิตสั่นสะท้านออกมา
ตำแหน่งที่เคยเป็นแก่นกายของไกรวิทย์ เปลี่ยนรูปร่างจากอวัยวะเพศชายกลายเป็นแท่งเนื้อสีดำสนิทความยาวกว่า 1 ฟุต ส่วนปลายบานออกเป็นเงี่ยงรูปหัวธนู อันเป็นรุปลักษณ์ของอวัยวะเพศชายแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉา ส่วนปลายแหลมเคลื่นมายังตำแหน่งกลางร่างงามของไซเรนเกลี่ยเกล้ดมัจฉาสีครามออกจากกันเปิดให้เห็นอวัยวะสตรีเพศของเผ่าพันธ์มัจฉาที่เผยอออกราวกับเตรียมจะรองรับการสอดใส่ในทันที…
ท่ามกลางการจับจ้องมองของเหล่าเทวนารี กลีบเนื้อแห่งสตรีเพศเผ่ามัจฉาพลันแทรกตัวออกมาจากการปกคลุมของเกล็ด สองกลีบสีชมพูสดใสเปล่งประกายในสายน้ำ ตัดกับสีครามของเกล็ดมัจฉา ซึ่งแม้รูปลักษณ์ของกลีบเนื้อจะแตกต่างและมีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์แต่ความงามของสตรีเพศก็ยังปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด…
‘หะ หะ เหตุใดอวัยวะของเราจึงเปิดทางรอรับเงี่ยงของมหาเทพอย่างรวดเร็วโดยปราศจากการกระตุ้นเกล็ดมัจฉาทั้งเจ็ดแห่งก่อน…อ๊าวส์’
ร่างงามของสุรีย์มัจฉาสะท้านเฮือก จิตที่ส่งออกมาเปลี่ยนเป็นเสียงครางด้วยความเจ็บปวดระคนเสียวซ่านเมื่อเงี่ยงดำสนิมของไกรวิทย์กดวูบลงไปในร่องหลืบเบื้องหน้าลงไปจนมิดทในคราวเดียว เงี่ยงรูปธนูพลันเปลี่ยนทิศทางบิดตัวล็อกเข้ากับแกนหลืบเนื้อภายในร่างสุรีย์มัจฉา.พร้อมกับแสงสว่างจ้ากระจายออกมาจากตำแหน่งอวัยวะเพศ
“ผลึกราศีสลายตัว…ซาโรยี มารีอา นาเดีย โยนา แองเจลลีน อิอาร่า อาชีร่า จงฟังเรา สำรวมสมาธิ สัมผัสพลังจากผลึกราศี…เซี่ยวเล้ง เรอินะ แอนโดรเมดา เมดูซ่า ช่วยถ่ายพลังกระตุ้นจักรอัคคีให้พวกนางเดี๋ยวนี้”
ไกรวิทย์ส่งเสียงสั่งออกมาทั้งที่อยู่ในน้ำ แต่เสียงนั้นกลับสามารถถ่ายทอดเข้าสู่โสตประสาทของเหล่าเทวนารีทั้งเจ็ดที่เพิ่งสูญเสียปราณไปอย่างชัดเจน ร่างงามทุกร่างพลันเปลี่ยนท่วงท่าจากการล้อมร่างไซเรน มาเป็นการนั่งขัดสมาธิ ขณะที่เซี่ยวเล้ง เรอินะ แอนโดรเมดาและเมดูซ่า กระจายกันออกไปผนึกมือเข้ากับท้องน้อยของเมวนารีทั้งเจ้ดและส่งผ่านปราณเข้าสู่จักรอัคคีตามคำสั่งของไกรวิทย์
‘มหาเทพ ลูกปลาน้อยตื่นแล้ว…เงี่ยงมหาเทพทำลายผนึกที่สะกดกั้นจิตของลูกปลาน้อยไปหมดสิ้น…’
‘ลูกปลาน้อย…ในที่สุดเจ้าก็กลับมา…ความอบอุ่นรัดรึงในหลืบรักมัจฉาของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย’
‘ลูกปลาน้อยจำได้ดี อาห์..เงี่ยงมหาเทพกระตุกแล้ว..โอว์.’
ระหว่างที่จิตทั้งสองของไกรวิทย์และสุรีย์มัจฉาส่งออกมา เงี่ยงไกรวิทย์ที่ล็อคอยู่ในหลืบรักมัจฉาพลันพองตัวแล้วยุบสลับกันถี่ยิบ กระทบปุ่มเสียวที่กระจายตัวทั่วหลืบภายในเป็นจังหวะ โดยปราศจากการเคลื่อนไหวเข้าออกเช่นการร่วมรักของมนุษย์ ร่างมัจฉาบิดสั่นระริก…โลหิตพรหมจรรย์สีน้ำเงินเข้มของเผ่าพันธุ์มัฉากระจายออกมาเป็นสายท่าทกลางแสงสว่างที่เกิดจากการสลายตัวของผนึกราศี ก่อเป็นภาพการร่วมรักที่ราวกับมาจากเทพนิยาย…
‘มหาเทพ…ลูกปลาน้อยกำลัง..จะ..จะ…’
‘เราก็กำลังจะ…โอว…’
ร่างมนุษย์และมัจฉาสะท้านเฮือกพร้อมกัน กระแสชีวิตจากเงี่ยงไกรวิทย์ระเบิดออกทั่วในหลืบรักแห่งมัจฉา ปราณบริสุทธ์ระลอกแล้วระลอกเล่าส่งผ่านเข้าสู่จักรปราณไซเรน…กาฬปราณกระจายออกดึงดูดกระแสพลังจักรวาลเข้าสู่ร่างผสานกับปราณแสงสว่างที่ดูดซับกลับมาจากผลึกราศีที่กระจายอยู่ในน้ำมวลหนัก…หมุนเวียนในจักรปราณรอบแล้วรอบเล่าก่อนที่ดวงตาคู่งามนั้นจะเปิดออกจับจ้องบุรุษเบื้องหน้า จิตที่เต็มไปด้วยความเคารพสูงสุดถูกส่งออกมา
‘นับหมื่นปีที่ลูกปลาน้อยห่างจากมหาเทพผู้เป็นที่รัก ลูกปลาน้อยขอถวายตนต่อมหาเทพอีกครั้งในภพภูมินี้’
‘ไซเรนเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วาจาแห่งมหาอาณาจักรปราณกับเรา ในที่นี้มีเพียงเราสองที่กลับมาพบกันอีก จงใช้วาจาปกติกับเราเถอะ เพราะในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเราเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถือขนบจารีตอันใด นับแต่นี้จงเรียกพี่เป็นพี่เอ’
‘ไซเรนรับบัญชาพี่เอ..ไซเรนรู้ดีว่าดาราสมุทรกำลังตกลงไปสู่วาระสุดท้ายที่ใจกลางโลก แต่จิตของไซเรนยังคงลิงโลดที่ได้กลับมาพบผู้เป็นที่รักในวาระสุดท้ายอีกครั้ง…อ๊าย….’
เทวนารีแห่งราศีมีนร้องออกมาเบาๆ เมื่อเงี่ยงไกรวิทย์พลันหดตัวหลุดออกจากการล๊อคภายในหลืบรัก ดวงหน้างามแดงฉานขณะจับจ้องแก่นกายไกรวิทย์ที่กลับสู่อวัยวะเพศชายตามปกติ
‘แต่ตอนนี้พี่ต้องขอให้ไซเรนช่วยอีกเรื่องหนึ่งก่อน…’
‘พี่เอโปรดบัญชา แม้จะเป็นชีวิตของไซเรน ก็ยินดีมอบให้พี่เอ’
‘เราต้องฟื้นฟูปราณให้เหล่าเทวนารีทั้งหลาย มีแต่ไซเรนเท่านั้นที่สามารถช่วยได้ภายในสถานที่แห่งนี้’