The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 6.3 จักราวุธ
The Zodiac บทที่ 6.3 จักราวุธ
‘นายท่าน คันชั่งน้อยใคร่ทราบว่า ท่านผู้บรรลุปราณสุญญตาที่นายท่านเคยสนทนาในมหาอาณาจักรปราณนั้น เคยบ่งบอกถึงจักราวุธแห่งจักรดาราไว้ประการใดบ้าง..’
‘เทวะแห่ง จักรดาราในยุคนั้นหาได้หาได้อุทิศจิตให้กับปราณดังเช่นเหล่าเทพเจ้าในยุคมหา อาณาจักรปราณไม่ แต่เหล่าเทวะนั้นกลับค้นคว้าพลังแห่งจักรวาลเพื่อนำมาใช้ควบคุมพิภพ ความลับแห่งมวลธาตุทั้งปวงถูกพวกเขาศึกษากระจ่างแจ้งจนสามารถสร้างจักรกล สมดุลขึ้นมาสำเร็จ..’
‘อันใดคือสิ่งที่เรียกว่าจักรกลสมดุลนายท่านบ่งชี้ให้ลูกศรน้อยทราบได้หรือไม่…’
‘ลูก ศรน้อยเจ้ายังคงติดอุปนิสัยไม่ปล่อยให้ความสงสัยใดๆ ผ่านพ้นไปได้แม้แต่น้อยเสมอมา จักรกลสมดุลนั้นคือเครื่องจักรในอุดมคติ ซึ่งแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบันก็ยังพยายามสร้างขึ้นมาตลอด แต่ยังไม่มีผู้ใดประสบความสำเร็จแม้แต่ผิวเผิน แก่นความคิดของจักรกลสมดุลนั้นจำกัดอยู่ในความคิดที่ว่า “เครื่องจักรที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติ คือเครื่องจักรที่ปราศจากชิ้นส่วนเคลื่อนไหว สามารถดำรงอยู่ด้วยตนเองชั่วนิรันดร์” ซึ่งหมายความว่าธาตุที่ใช้ในการสร้างจักรกลสมดุลนั้นต้องปราศจากการเสื่อม สลายของอะตอมที่ก่อตัวเป็นธาตุ วงจรการควบคุมเครื่องจักรนั้นก็ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากความผิดพลาด และกลไกของจักรกลนั้นจะต้องทำงานโดยไม่มีชิ้นส่วนใดเคลื่อนไหว คือการใช้พลังงานเป็นวัตถุกำเนิดและส่งพลังงานต่างรูปแบบที่สามารถควบคุม วัตถุออกมาใช้งาน เมื่อบรรลุถึงสองข้อนี้จักรกลสมดุลก็จะกำเนิดขึ้น และดำรงตนเองอยู่ได้ตลอดกาล’
‘หมายความว่าเทวะแห่งจักรดาราบรรลุ ถึงเทคโนโลยีที่สามารถสร้างเครื่องจักรสมดุลและเมื่อเผชิญกับอำนาจของจิต จักรวาล พวกเขาก็ได้จัดสร้างจักรกลสงครามขึ้นมาต่อต้าน ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าจักราวุธ แฝดน้อยเข้าใจถูกต้องหรือไม่’
‘มิ เสียทีที่แฝดน้อยกำเนิดในภพนี้จากเชื้อสายของนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่อง ที่สุดแห่งยุค ถูกต้องแล้ว จักราวุธถูกจัดสร้างขึ้นด้วยความรู้แห่งจักรกลสมดุล เทวะแห่งจักรดาราทั้ง 60 แบ่งตนเองออกเป็น 12 กลุ่ม อาวุธทั้ง 12 จึงถูกเรียกว่าจักราวุธ ตามนามของจักรดาราที่จัดสร้างขึ้น’
‘จักราวุธทั้ง 12 นั้นมีอำนาจถึงเพียงใดกัน…มังกรน้อยใครรู้นัก’
‘สมควร แล้วที่มังกรน้อยผู้เป็นแม่ทัพแห่งเหล่าเทวนารีจะต้องสนใจ..จักราวุธทั้ง 12 นั้นมีอำนาจควบคุมธาตุต่างๆ กัน แต่ล้วนมีพลังทำลายฟ้าดิน..หากจักราวุธทั้ง 12 ถูกใช้ออกพร้อมกัน พิภพนี้และเหล่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวงจะสูญไปจากจักรวาลทันที และนี่เองทำให้จิตจักรวาลทั้งสองต้องสูญเสียพลังงานแห่งจิตกว่าครึ่ง จนสามารถสะกดอำนาจของจักราวุธเอาไว้ได้ แต่จิตจักรวาลทั้งสองก็ต้องสูญเสียอัตตลักษณ์เหนือจักรวาลของตนเอง กลับกลายเป็นสองมหาเทพที่หลงเชื่อว่าตนเองคือผู้สร้างพิภพนี้ขึ้นมา…’
‘นาย ท่านเคยบ่งบอกว่าจักราวุธทั้ง 12 ถูกสองมหาเทพส่งไปผนึกไว้ในมิติอื่น แต่แมลงป่องน้อยสงสัยว่าในเมื่ออำนาจในการทำลายล้างของจักราวุธนั้นเป็น อันตรายยิ่งต่อพิภพ เหตุใดสองมหาเทพจึงเลือกส่งไปผนึกไว้โดยไม่ทำลายเสียให้สิ้นสูญไป’
‘คำ ถามของแมลงป่องน้อยนี้เป็นคำถามเดียวกันกับที่เราเคยถามต่อจิตของท่านผู้ บรรลุปราณสุญญตาในมหาอาณาจักรปราณ คำตอบของมันก็คือจักราวุธเหล่านี้จัดสร้างขึ้นด้วยธาตุที่คงทนตลอดกาล การทำลายนั้นแม้สองมหาเทพจะอาจสามารถกระทำได้ แต่ก็หมายความว่าจะต้องสูญเสียพลังทั้งหมดไป ดังนั้นสองมหาเทพสูงสุดจึงเลือกที่จะส่งพวกมันไปเก็บไว้ต่างมิติ เพราะนอกจากจะใช้พลังไม่มากนักในการเปิดประตูมิติ เมื่อเทียบกับการทำลาย มันยังเป็นการรักษาอำนาจทำลายล้างของจักราวุธเพื่อใช้ในอนาคตหากเกิดเหตุที่ เหนือการคาดคำนึงอีกด้วย…ดังนั้นจักราวุธจึงถูกเก็บรักษาเอาไว้ โดยมีแต่เพียงสองมหาเทพที่ต้องเห็นพ้องกันในการเปิดประตูมิตินำออกมาได้เท่า นั้น..’
‘นายท่านบ่งบอกถึงอำนาจแห่งจักราวุธทั้ง 12 พรหมจรรย์น้อยใคร่รู้ว่าจักราวุธทั้ง 12 นั้นแต่ละจักราวุธมีนามใด และมีอำนาจเช่นไร เพื่อที่หากพวกเราต้องเผชิญกับจักราวุธในอนาคต เหล่าเทวนารีจะได้พร้อมสำหรับต่อสู้ในสงครามนี้..’
‘พรหมจรรย์ น้อย…เจ้ามีจิตที่รอบคอบของรินรดาผู้เป็นดังน้องสาวเราสถิตย์อยู่เสมอมา คำถามนี้เรารับรู้ได้พียงบางส่วนจากคำบอกเล่าในอดีตเท่านั้น แต่เราก็สามารถบอกพวกเจ้าเหล่าเทวนารีได้ว่า จักราวุธทั้ง 12 ในเบื้องต้นนั้นปราศจากชื่อ แต่เมื่ออำนาจของมันปรากฏแก่โลก เหล่าเทวะในยุคนั้นได้ตั้งชื่อที่คล้องจองเรียกหา ซึ่งแต่ละชื่อนั้นบ่งถึงอำนาจของพวกมันเอาไว้ให้เราคาดเดาได้…’
‘นายท่านจะประทานชื่อเหล่านั้นให้ลูกวัวน้อยรับรู้ได้หรือไม่?’
‘ยาก นักที่ลูกวัวน้อยผู้เงียบขรึมของเราจะต้องการรู้เห็นขึ้นมาเช่นนี้ จักราวุธทั้ง 12 ได้รับการขนานชื่อตามเดือนแห่งจันทรคติ ว่า เล็บมังกร อมรพิสุทธิ์ สมุทรดารา ภูผาเทวะ มหเพลิงยะเยียบ เทียบคู่วิญญาณ ผลาญจักรา มหากัมปนาท พิฆาตฟ้าดิน พิณจตุธาตุ ชาดสลายอณู ธนูดับอาทิตย์…’
‘นาม ที่ประหลาดนัก แต่ก็เป็นดังที่นายท่านบ่งบอกไว้จริงๆ เพราะเพียงนามเหล่านี้คนโฑน้อยก็พอจะคาดเดาอำนาจของพวกมันบางชิ้นได้ เล็บมังกรแห่งราศีมังกรน่าจะเป็นอาวุธที่ทำลายศัตรูด้วยคมอาวุธ อมรพิสุทธิ์แห่งราศีกุมภ์ อันเป็นราศีแห่งลมน่าจะเป็นการใช้วายุกำจัดศัตรูจนปราศจากร่างอีกต่อไป มหเพลิงยะเยียบแห่งราศีพฤษสภ น่าจะเป็นอาวุธที่ผสานความร้อนกับความเย็นก่อเกิดพลังทำลายที่ตรงข้ามกัน มหากัมปนาทแห่งราศีสิงห์ก็สมควรเป็นอาวุธที่ใช้คลื่นเสียงผนึกเป็นวัตถุจน สามารถทำลายล้างสรรพสิ่ง พิณจตุธาตุแห่งราศีตุลย์ก็น่าจะเป็นอาวุธที่ใช้คลื่นเสียงเช่นกัน ส่วนธนูดับอาทิตย์แห่งราศีธนูนั้นแจ่มแจ้งด้วยตัวเองว่าคืออาวุธที่ทำลาย ระยะไกล แต่สำหรับสมุทรดาราแห่งราศีมีน ภูผาผาเทวะแห่งราศีเมษ เทียบคู่วิญญาณแห่งราศีเมถุน ผลาญจักราแห่งราศีกรกฏ พิฆาตฟ้าดินแห่งราศีกันย์ และชาดสลายอณู แห่งราศีพฤศจิก นั้น คนโฑน้อยยอมรับว่าไม่สามารถคาดเดาได้ คงต้องให้พี่มังกรน้อยผู้เป็นแม่ทัพของพวกเราวิเคราะห์ดูสักคราแล้ว..’
‘คน โฑน้อยยังคงเป็นทิพย์วารีที่ปิดบังความเฉลียวฉลาดเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ เสมอมา ที่คนโฑน้อยคาดเดานั้น มังกรน้อยเห็นพ้องยิ่ง และเห็นเพิ่มเติมว่าสมุทรดาราแห่งราศีมีนนั้นน่าจะเป็นอาวุธที่มุ่งควบคุม พลังน้ำแห่งมหาสมุทรทั้งสี่ให้เกิดพลังทำลายที่ไม่สามารถต่อต้านได้ ภูผาเทวะแห่งราศีเมษน่าจะเป็นอาวุธเชิงรับที่มุ่งป้องกันตนเองเป็นหลัก มากว่าจะจู่โจม แต่มันก็น่าจะแฝงอำนาจตอบโต้ศัตรูที่รุนแรงเอาไว้เช่นกัน เทียบคู่วิญญาณแห่งราศีเมถุนน่าจะเป็นอาวุธทางจิตมีต้องใช้ออกพร้อมกันสอง ชิ้นโดยมุ่งทำลายจิตของศัตรูแทนที่จะทำลายวัตถุธาตุ สอดคล้องตามหลักยุทธศาสตร์ที่ว่าหากปราศจากผู้ควบคุมแล้วอาวุธใดก็ไร้ความ หมาย เช่นเดียวกับผลาญจักราแห่งราศีกรกฏ ซึ่งน่าจะเป็นอาวุธที่มุ่งทำลายจักรปราณของศัตรู แต่สำหรับพิฆาตฟ้าดินแห่งราศีกันย์ และชาดผนึกอณูแห่งราศีพฤศจิก นั้น มังกรน้อยเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้..’
‘สมแล้วที่มังกรน้อยคือแม่ ทัพแห่งจักราศี ทุกสิ่งที่มังกรน้อยระบุนั้นถูกต้องตรงตามที่เราได้รับรู้จากท่านผู้บรรลุ ปราณสุญญาตาท่านนั้น จะมีแต่เพียงจักราวุธนามพิฆาตฟ้าดิน และชาดผนึกอณูเท่านั้นที่อาจจะยากต่อการคาดเดา ที่เรารับรู้มานั้นพิฆาตฟ้าดินแห่งราศีกันย์ ที่แม้จะเป็นราศีแห่งความบริสุทธิ์ แต่อำนาจของจักราวุธนามพิฆาตฟ้าดินนี้กลับเป็นพลังที่ทำลายสิ่งแวดล้อมของ ศัตรูให้สูญสิ้นไปด้วยอำนาจในการสลายวัตถุบริสุทธิ์เป็นพลังงาน เช่นที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่าอาวุธนิวเคลียร์ ที่ต้องใช้ธาตุกัมมันตรังสีบริสุทธิ์เป็นต้นกำเนิด ส่วนชาดผนึกอนูแห่งราศีพฤศจิกนั้นกลับตรงข้าม เพราะมันกลับเป็นอาวุธที่สามารถรวบรวมอณูระดับอะตอมของสสารสร้างเป็นวัตุถุ ธาตุทุกรูปแบบตามแต่ลักษณะจุดอ่อนของศัตรู ..’
‘ในเมื่อพวกเราได้ ร่วมรับรู้ถึงจักราวุธทั้ง 12 แล้ว พรหมจรรย์น้อยใคร่ถามนายท่านว่าจักราวุธใดที่ทรงพลังอำนาจทำลายล้างมากที่ สุดในบรรดาจักราวุธทั้งหมด’
‘สิ่งที่พรหมจรรย์น้อยถามนั้นเราเอง ก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะจักราวุธทุกชิ้นล้วนมีพลังทำลายที่แตกต่าง แต่ก็ถ่วงดุลกันเองจนไม่มีจักราวุธใดสามารถครองอำนาจเป็นหนึ่งเหนือจักราวุธ อื่นได้..นี่คือเหตุผลที่ทำให้จักรดาราทั้ง 12 ต่างแยกกันปกครองโลกในพื้นที่ของตนเองโดยไม่กล้าเข้าไปรุกล้ำ เพราะหากมีจักราวุธชิ้นใดถูกทำลาย สมดุลแห่งอำนาจก็จะสิ้นสูญนำมาซึ่งการทำลายล้างกันจนโลกนี้มิอาจดำรงอยู่ได้ ’
———————————-
‘เทวนารีแห่งเรา ผนึกเกราะปราณขึ้นเดี๋ยวนี้ นั่นคือดาราสมุทร จักราวุธที่สาบสูญแห่งจักรดารา’
ทันที ที่จิตถ่ายทอดคำสั่งของไกรวิทย์กระจายออก ร่างเปลือยเปล่าของเซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา ต่างเกิดประกายแสงสว่างวาบออกจากร่างพร้อมๆ กัน ก่อนที่แสงนั้นจะสลายตัวก่อเกิดเกราะปราณแห่งเทวนารีขึ้นบนร่างทั้งสี่ พร้อมกับที่เหล่าเทวนารีกระจายตัวออกเป็นพยุหะจตุกาฬ อันเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เหล่าเทวนารีแห่งมหาอาณาจักรปราณทุกนางร่วมกัน ฝึกฝนขึ้นภายใต้การชี้แนะของมหาเทพวิรุณปักขะในอดีต ที่ได้กำหนดรูปแบบต่อต้านศัตรูตามจำนนวนเหล่าเทวนารีที่เข้าสู่การต่อสู้ ร่วมกัน ภาพของพยุหะที่ใช้สำหรับเทวนารีสี่นางร่วมกับเทพวิรุณปักขะ ซึ่งเทวนารีทั้งสี่สามารถใช้ออกพร้อมกันในทันที แม้กระทั่งแอนโดรเมดาผู้ที่จิตแห่งเทวนารีเพิ่งกลับสู่ร่างเมื่อไม่กี่อึดใจ ที่ผ่านมา ก็ยังสามารถใช้ออกร่วมกับทุกคนได้ราวกับได้ผ่านการฝึกซ้อมร่วมกันมาตลอด ทำให้ไกรวิทย์ต้องส่งจิตที่แฝงความชื่นชมเอาไว้ออกมา
‘มังกรน้อย ลูกศรน้อย ปูน้อย สิงห์น้อย พวกเจ้ายอดเยี่ยมยิ่งที่ผนึกพยุหะจตุกาฬในทันทีโดยที่เราไม่จำเป็นต้องกำหนด แม้แต่น้อย แต่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านั้นคือปูน้อยและสิงห์น้อย พวกเจ้าทั้งสองเพิ่งฟื้นคืนสู่ฐานะเทวนารี แต่กลับสามารถร่วมกับมังกรน้อย ลูกศรน้อย สร้างพยุหะในพริบตา บอกให้เรารู้กาลเวลาที่ผ่านพ้นไปกว่าหมื่นปีนี้มิได้ทำให้จิตแห่งเทวนารีของ พวกเจ้าทั้งสองคลายความตื่นตัวต่อศัตรูแม้แน่น้อยนิด…’
พวงแก้มเปล่งปลั่งของเมดูซ่าและแอนโดรเมดาเกิดสีแดงระเรื่อกับคำชมจากผู้เป็นเจ้าชีวิต พร้อมกับจิตเมดูซ่าส่งออกมาเบาๆ
‘ปู น้อยไม่เคยลืมเลือนสิ่งที่นายท่านสั่งสอนแม้แต่เศษเสี้ยว แต่สิงห์น้อยสิน่าชื่นชมยิ่งกว่า เพราะนางเพิ่งเย็ดฟื้นจิตแห่งเทวนารีกับนายท่านไม่กี่อึดใจ และผนึกเกราะปราณเป็นครั้งแรกหลังผ่านกาลเวลามานับหมื่นปี จิตของสิงห์น้อยกลับประสานกับพวกเราทุกคนโดยไม่ผิดพลาด..โอ…เกราะปราณแห่ง เทวนารีราศีสิงห์ผู้กราดเกรี้ยว วิชานขยุทธ์ ที่ไร้ผู้ต้านทาน ปูน้อยไม่ได้เห็นมานานนักหนาแล้ว…’
จิตของเมดูซ่าที่ถ่ายทอดออก มาด้วยความชื่นชม ทำให้ไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง และเรอินะ ที่แม้จะจับตาการปรากฏของดาราสมุทรแห่งจักรดาราอยู่ตลอดเวลา ยังอดเบนสายตามายังแอนโดรเมดาไม่ได้
ดวงหน้างามของแอนโดรเมดา ปรากฏแถบสีทองสุกปลั่งคาดอยู่ที่หน้าผาก ประดับไว้ด้วยดวงตรารูปใบหน้าสิงห์ เรือนผมสีทองสุกกระจ่างที่เคยทิ้งตรงเรียบลื่นราวสายไหมกลับกระจายตัวออกไป รอบศีรษะด้วยพลังจากเกราะปราณ ส่วนปลายเส้นผมไหวกระพือจนดูราวกับเปลวเพลิงสีทองที่กระจายออก ทำให้ดวงหน้าของเจ้าหญิงผู้อ่อนหวานราวเทพธิดาแห่งอาณาจักรกรีก กลับกลายเป็นหญิงสาวที่สง่างามทรงอำนาจราวกับพญาราชสีห์ สายเกราะปราณสีทองขดเป็นวงบางเบากระจายปกคลุมทั่วร่างแต่ไม่สามารถปกปิดผิว กายขาวผ่องที่ส่งประกายออกมาได้ มีเพียงตำแหน่งปลายยอดของงทรวงอกเต่งตูม และเนินรักตระหง่านง้ำเท่านั้น ที่สายเกราะปราณสีทองขดเป็นวงซับซ้อนหนาทึบจนสายตาไม่สามารถผ่านเข้าไป สัมผัสความงามทั้งสองตำแหน่งได้ ส่วนที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าปรากฏเกราะปราณก่อรูปเป็นกรงเล็บสิงห์ สะท้อนแสงอันเกิดจากดาราสมุทรเบื้องหน้าวาววับ
‘นายท่านจะให้สิงห์น้อยใช้..นขยุทธ์…ทำลายวัตถุเบื้องหน้านี้หรือไม่…’
จิต แอนโรเมดาส่งออกมาอย่างหนักแน่นมั่นคง แต่แฝงความกราดเกรี้ยวดุดันเอาไว้ในน้ำเสียงอย่างชัดเจน แตกต่างกับบุคลิกของเจ้าหญิงแอนโรเมดาแห่งอาณาจักรกรีกโบราณผู้นุ่มนวลอ่อน โยนเป็นตรงกันข้าม แต่นั่นไม่ได้ทำให้ไกรวิทย์ และเหล่าเทวนารีแปลกใจแม้แต่น้อย ความทรงจำแห่งอดีตกาลที่สร้างสมในจิตทุกคนรู้ดีว่า เทวนารีแห่งราศีสิงห์นามมูนีนในอดีตนั้น คือคือสาวน้อยผู้อ่อนโยนนุ่มนวลเสมอมา แต่ยามใดที่หญิงสาวผนึกปราณแห่งราศีสิงห์กำเนิดเกราะปราณขึ้น หญิงสาวผู้นุ่มนวลนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นพญาราชสีห์ที่ดุดัน พร้อมที่จะบดขยี้ศัตรูด้วย…นขยุทธ์….ซึ่งเป็นวิชาปราณเดียวแห่งเหล่าเท วนารีที่ใช้การโจมตีประชิดตัวด้วยร่างกายอันแกร่งกร้าวสุดยอดของตนเอง
‘สิงห์ น้อยระงับใจไว้ก่อน ดาราสมุทรที่สาบสูญไปหลายหมื่นปีกลับปรากฏต่อหน้าพวกเราเช่นนี้ ย่อมหาใช่เหตุบังเอิญไม่ จักราวุธทั้งสิบสองนั้นแม้จะเป็นจักกลสมดุลที่ดำรงอยู่ชั่วกาล แต่ก็ต้องมีผู้ควบคุมให้จักราวุธทำงาน…และบุคคลนั้นจะต้องเปิดเผยตนต่อพวก เราอย่างแน่นอน’
จิตที่เปี่ยมล้นด้วยพลังปราณของไกรวิทย์ส่งออกไป ยังแอนโดรเมดาอย่างหนักแน่นอย่างหนักแน่น ทำให้เส้นผมสีทองที่กระจายกระพือไปทุกทิศราวแผงคอแห่งราชาสีหราชแปรเปลี่ยน เป็นเคลื่อนไหวเป็นระลอกราวคลื่นน้ำ แต่ดวงตาที่ดุดันของเทวนารีแห่งราศีสิงห์ยังคงจับจ้องวัตถุที่ไกรวิทย์บ่ง นามดาราสมุทรอย่างไม่กระพริบ
‘นายท่าน มังกรน้อยระลึกถึงคำบอกของนายท่านที่เล่าถึงอำนาจแห่งสมุทรดาราซึ่งเป็นพลัง ที่สามารถควบคุมคลื่นน้ำเป็นพลังทำลาย แต่สมุทรดาราเบื้องหน้าเรานี้กลับส่งพลังความร้อนมหาศาลออกมาจากช่องเปิดที่ ส่วนล่าง ผลาญน้ำในมหาสมุทรให้เป็นไอน้ำตลอดเวลาแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีผลใดๆ ที่จะเป็นอาวุธได้…นี่น่าแปลกใจนัก…’
จิตที่มั่นคงแต่แฝงน้ำ เสียงที่บอกถึงความประหลาดใจไว้ออย่างชัดเจนของเซี่ยวเล้งทำให้ไกรวิทย์ต้อ งงผนึกปราณกระจายออกตรวจสอบสภาพของสมุทรดาราเบื้องหน้า…แต่ยังไม่ทันที่ ไกรวิทย์จะส่งจิตตอบรับข้อสังเกตของเซี่ยวเล้ง มวลปราณในร่างพลันสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของลูกกลมสมุทรดาราที่พลัน ปรากฏช่องเปิดรูปวงกลมด้านบนพร้อมกับพลังปราณมหาศาลเจ็ดขุม สาดพุ่งออกจากช่องเปิดมายังตำแหน่งที่ไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีลอยตัวอยู่ พร้อมกับกระแสจิตที่หวานใสราวระฆังแก้วดังกังวานขึ้น
‘พี่เซี่ยวเล้งยอดเยี่ยมเสมอมา ซาโรยีนับถือยิ่ง….’
ท่าม กลางหมอกควันอันเกิดจากไอน้ำจากพื้นสมุทรที่เดือดพล่าน ร่างหญิงงามเหนือโลก 7 นางสาดพุ่งขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งประจันหน้ากับไกรวิทย์และเหล่าเทวนารี เกราะปราณต่างสีสันลักษณะแผ่คลุมร่างงามทั้ง 7 นั้นส่องประกายเจิดจ้าผ่านทะลุหมอกควันไอน้ำ โดยมีหญิงสาวผิวดำสนิทในสายเกราะปราณสีม่วงเข้มแวววับ ถักทอเป็นตาข่ายรูปขดวงกลมขนาดเล็กนับพันปกคลุมผิวกายดำสนิทนั้นไว้ ดวงหน้าหญิงสาวล้อมไว้ด้วยข่ายเกราะปราณ ส่วนหูก่อเกิดเกราะปราณเป็นวัตถุม้วนรูปก้นหอยราวมวยผมสตรี ด้วยลักษณะของเขาแกะ แต่สิ่งประดับนั้นกลับยิ่งเพิ่มให้เห็นใบหน้างามราวเทพธิดาที่จับจ้องดวงตา สีฟ้าอ่อนตัดผิวกายมายังไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีเบื้องหน้าขณะส่งจิตที่ออก มา
‘ซาโรยี เทวนารีแห่งราศีเมษ พวกท่านไม่ได้ถูกกักไว้ในแชงกรีล่า เซี่ยวเล้งดีใจนัก..’
จิต ที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจและยินดีของเซี่ยวเล้งดังขึ้นพร้อมกับร่าง งามขยับวูบเตรียมพุ่งกายไปหาเพื่อนเทวนารีในอดีต แต่ยังไม่มันที่ร่างของเทวนารีแห่งราศีมังกรจะเคลื่อนคัว มือเรียวงามของเซี่ยวเล้งก็ถูกมือเรอินะกุมไว้พร้อมส่งกระแสจิตออกมาอย่าง เร่งร้อน
‘พี่เซี่ยวเล้ง….อย่าลืมว่าพวกนางปรากฏตัวในเกราะปราณ…’
จิต ที่เรอินะ เทวนารีแห่งราศีธนูส่งมาทำให้ร่างเซี่ยวเซี่ยวเล้งสะท้านขึ้นวูบหนึ่ง เมื่อระลึกได้ว่าเทวนารีทั้ง 7 เบื้องหน้านั้น หาใช่สหายร่วมจักราศีเช่นกาลก่อน และการปรากฏร่างในเกราะปราณของเหล่าเทวนารีนั้นจะกระทำต่อเมื่อเตรียมพร้อม รับมือศัตรูเท่านั้น เทวนารีผู้เป็นเลิศในยุทธศาสตร์สูดลมหายใจเข้าสู่ร่างเพื่อปรับจิตใจตนเอง เกราะมังกรฟ้าที่อ่อนแสงลงเมื่อครู่กลับคืนสู่ประกายเจิดจ้า ก่อนส่งจิตหนักแน่นกังวานออกไปยังกลุ่มเทวนารีทั้ง 7
‘อภัยด้วย ที่มังกรน้อยเสียกริยาจากความยินทีที่ได้พบซาโรยีผู้เคยเป็นสหายร่วมศึก แต่ในเมื่อได้พบเหล่าเทวนารี เซี่ยวเล้งก็ใคร่ขอเป็นตัวแทนมหาเทพน้อมรับ ซาโรยี…แห่งนามีเบียเทวนารีราศีเมษ นาเดีย….แห่งปรัสเซียเทวนารีราศีพฤษภ โยนา….แห่งออสเตรเลียเทวนารีราศีกุมภ์ แองเจลีน..แห่งบริเทนเทวนารีราศีกรกฏ อาชีร่า…แห่งชมพูทวีปเทวนารีแห่งราศีสิงห์ มารีอา..แห่งแคนาดาเทวนารีราศีกันย์ และ อิอาร่าแห่งบราซิลเทวนารีราศีพฤศจิก แต่ไซเรน สุรีย์มัจฉาแห่งราศีมีนอยู่ที่ใด เหตุใดจึงไม่ปรากฏร่างให้เซี่ยวเล้งน้อมรับในคราวเดียว..’
จิตที่ ราบเรียบแต่เปี่ยมพลังของเซี่ยวเล้งกระจายออกไปยังเหล่าเทวนารีทั้ง 7 เพื่อทักทายตามรูปแบบการพบหน้าของเหล่าเทวนารี ซึ่งทำให้เมดูซ่าและแอนโดรเมดาซึ่งไม่เคยรับรู้ความเป็นมาของเหล่าเทวนารี ทั้ง 7 ได้รู้ถึงชื่อ สถานที่กำเนิด และตำแหน่งในจักราศีของทุกคนในคราวเดียว..และในทันทีที่จิตเซี่ยวเล้งส่งออก ไปจบสิ้น จิตของเหล่าเทวนารีทั้ง 7 ก็ตอบรับออกมา ร่าง 6 ร่างที่อยู่ด้านหลังซาโรยีพลันเคลื่อนออกมาอยู่ในระนาบ ก่อนที่จิตราบเรียบปราศจากความรู้สึกของซาโรยีจะส่งออกมา
‘เซี่ยว เล้งแห่งอาณาจักรสยาม เทวนารีราศีมังกร เรอินะแห่งหมู่เกาะทะเลตะวันออกเทวนารีราศีธนู เราซาโรยีเทวนารีราศีเมษขอเป็นตัวแทนน้อมรับพวกท่าน แต่เราแปลกใจนักที่จานีน แห่งธิเบตไม่ได้ร่วมทางมากับเหล่าผู้ทรยศเช่นท่าน’
คำ กล่าวของซาโรยี ทำให้เซี่ยวเล้ง เรอินะและไกรวิทย์ต้องงุนงงไปวูบเมื่อมีการระบุว่าจานีน ผู้สูญจิตไปโดยมีจานีสเข้าครอบครองร่างแทนที่ กลับถูกระบุเป็นผู้ทรยศต่อจักราศีร่วมกับเซี่ยวเล้งและเรอินะ ทำให้เรอินะต้องส่งจิตออกไปด้วยความแปลกใจ
‘ซาโรยีท่านกล่าวเหลว ไหล จานีนแห่งราศีตุลย์ถูกจิตราสูญของนางเองทำลายสิ้นทั้งร่างกายและวิญญาณ ไปกว่าสองปีแล้วท่านอาศัยสิ่งใดมาระบุว่านางอยู่ร่วมกับเรา’
‘ว่ากระไร….’
จิตเหล่าเทวนารีทั้งเจ็ดอุทานขึ้นมาพร้อมกันกับคำบอกเล่าของเรอินะ พร้อมกับจิตกราดเกรี้ยวของซาโรยีสวนกลับมาทันที
‘เร อินะ เสียทีที่ท่านเคยอยู่ในจักราศี ท่านย่อมต้องรู้ว่าเมื่อเทวนารีถูกสังหาร ผลึกราศีของนางจะโบยบินกลับสู่หอผลึก ไม่ว่าจะอยู่ซอกมุมใดบนพิภพ แต่ในหอเก็บผลึกหาได้มีผลึกราศีของจานีนกลับมาไม่ นั่นหมายความได้ประการเดียวเท่านั้นคือจานีนยังคงมีชีวิตอยู่ และต้องอยู่ร่วมกับเหล่าคนทรยศเช่นท่าน’
‘มิตินิรกาล’
จิต ไกรวิทย์ส่งออกมาทันทีที่ซาโรยีส่งจิตเสร็จสิ้น ทำให้เรอินะผู้เคยผ่านเหตุการณ์ในมิตินิรกาล และเซี่ยวเล้งผู้รับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากคำบอกเล่าของไกรวิทย์ เข้าใจได้ในทันทีว่า ผลึกราศีตุลย์ที่หลุดพ้นจากร่างกายเทวนารีราศีตุลย์หลังจากไกรวิทย์ทำลาย เยื่อพรหมจรรย์ของจานีนนั้น หาได้กลับสู่หอผลึกตามที่ควรจะเป็นไม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภายในมิตินิรกาลนั้นเป็นกาลอากาศที่ต่างมิติกับโลกภายนอก ทำให้ผลึกราศีตุลย์ยังคงติดค้างอยู่ในมิตินิรกาลโดยไม่กลับไปสู่หอเก็บผลึก ตามที่ควรเป็น จนทำให้จักรราศีเชื่อว่าจานีนได้ทรยศเข้าร่วมกับไกรวิทย์ แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะตอบสิ่งใด จิตซาโรยีก็พลันดังขึ้นอีกครั้ง
‘การ ที่พวกท่านนิ่งงันไปแสดงว่าจานีนยังคงอยู่กับพวกท่าน เฮอะ…เทวนารีหาเคยกล่าววาจาเท็จไม่ เซี่ยวเล้ง เรอินะ ท่านยังกล้าใช้ศักดิ์ของเทวนารีได้อย่างไรกัน ส่วนท่าน บุรุษผู้อยู่ในเกราะปราณนี้ หากเราคาดเดาไม่ผิด ท่านคือไกรวิทย์ คชสีห์ ผู้ครอบครองไตรปฐมธาตุ อันได้แต่อัคคีเทพ จิตมาร วารีนาคราช ก่อกำเนิดกาฬปราณ อวดอ้างตนเป็นมหาเทพวิรุณปักขะหลอกลวงเซี่ยวเล้ง เรอินะ และจานีน พร้อมกับสังหารมิถุกานารีแห่งราศีเมถุน ใช่หรือไม่?’
ถ้อย คำจากจิตที่ซาโรยีส่งออกมา ทำให้ไกรวิทย์ต้องหันไปสบตากับเซี่ยวเล้งด้วยประกายตาที่แฝงความโล่งใจออกมา อย่างชัดเจน ซึ่งเทวนารีแห่งราศีมังกรก็รับรู้เช่นเดียวกันว่าการที่ซาโรยีระบุถึงการ ครอบครอง ปฐมธาตุทั้งสาม โดยไม่ระบุถึงธารอสุระ นั้น บอกให้รู้ว่าแม้เทพสุรัสวดีจะรอบรู้ทุกสิ่งแต่ก็ยังคาดไม่ถึงว่าพิมพ์มาดา ผู้ครอบครองธารอสุระจะผ่านประสบการณ์ปาฏิหาริย์ในมิตินิรกาล จนสามารถถ่ายทอดธารอสุระให้ไกรวิทย์ได้ก่อนเวลาที่เหล่าโหราจารย์แห่งจัก ราศีคาดคำนวน แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะตอบคำถามของซาโรยี กระแสจิตเกรี้ยวกราดของเรอินะที่ด้านข้างก็พลันส่งออกไป
‘พี่ซาโร ยีกล่าวเหลวไหล ทั้งพี่เซี่ยวเล้งและเรอินะหาได้ถูกหลอกลวงจากพี่เอ..เอ้อ..ท่านไกรวิทย์ไม่ จิตของมหาเทพวิรุณปักขะและวิชากาฬปราณนั้นสถิตย์อยู่ในท่านไกรวิทย์มานับ หมื่นปี สิ่งที่พี่เซี่ยวเล้งและเรอินะทำคือการถอนตัวออกจากความไร้เหตุผลมุ่งทำลาย ล้างผู้ปราศจากความผิดของเทพสุรัสวดี กลับมาสู่ร่มเงาแห่งมหาเทพผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณ ผู้เป็นนายเหนือที่แท้จริงของเหล่าเทวนารี ต่างหาก…’
ทันทีที่ จิตเรอินะส่งเนื้อความเสร็จสิ้น ร่างหญิงสาวแรกรุ่นร่างหนึ่งพลันเคลื่อนออกมาเผชิญหน้าเรอินะ พร้อมส่งกระแสจิตเกรี้ยวกราดตอบโต้
‘เฮอะ.. เรอินะ..เสียทีที่เคยดำรงศักดิ์แห่งเทวนารีราศีธนู ท่านกล้าหลอกลวงเหล่าเทวนารีเราได้อย่างไร แต่นั่นยังไม่เท่ากับที่ท่านกล้าลบหลู่เทพสุรัสวดีที่เคยสาบานที่จะรับใช้ ตราบสิ้นชีวิต…เรอินะจงออกมาเบื้องหน้า เราอาชีร่า เทวนารีแห่งราศีสิงห์จะขอลงโทษท่านเพื่อเทพสุรัสวดี ณ บัดนี้..ผู้อื่นอาจเกรงธนูพิฆาตฟ้า แต่กรงเล็บแห่งนขยุทธ์ของเราหาได้หวาดหวั่นไม่..’
‘อาชีร่า หากนี้คือคำท้าทาย เรอินะหาได้หวาดกลัวกรงเล็บท่านไม่ พี่เอ..เรอินะขอ….’
จิต เกรี้ยวกราดของเรอินะตอบโต้เทวนารีแห่งราศีสิงห์เบื้องหน้าอย่างไม่กลัวเกรง เกราะปราณสีส้มทอประกายวูบ ขณะที่หญิงสาวส่งจิตมายังไกรวิทย์เพื่อขออนุญาตเข้าต่อสู้ แต่จิตนั้นต้องชะงักลงเมื่อไกรวิทย์เอื้อมมือมาแตะไหล่นุ่มเนียนและสั่น ศีรษะอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะเคลื่อนร่างมาหน้าเหล่าเทวนารีทั้งสี่
‘เหล่า เทวนารีแห่งเทพสุรัสวดีจงฟังเรา..สิ่งที่ลูกศรน้อย ผู้ที่พวกเจ้าเรียกหานามเรอินะนั้นกล่าวล้วนเป็นความจริง เราคือผู้ครองจิตแห่งความทรงจำของเทพวิรุณปักขะผู้เป็นผู้นำแห่งจักราศีที่ พวกเจ้ารับรู้จากตำนานในนามวิรุณปักขะ…มังกรน้อยที่พวกเจ้ารู้จักในนาม เซี่ยวเล้ง และลูกศรน้อย ล้วนธำรงจิตแห่งเทวนารีของเรามานับหมื่นปี ดังนั้นการที่พวกนางกลับเข้าสู่เรานั้นหาใช่การผิดคำสาบาน เพราะคำสาบานแห่งเทวนารีเมื่อหมื่นปีก่อนนั้นหาได้สิ้นสุดลงไม่ ส่วนมิถุกานารีนั้น เราหาได้สังหารนาง หากแต่เป็นนางเองที่ข่มขืนน้องสาวของเราจนถูกวิชาปราณราหูกลืนกินพลังแห่ง ผลึกราศีจนร่างนางระเบิดสิ้น ตุลยาเทวีก็สิ้นสูญด้วยวิชาจิตรสูญของนางเองหลังจากการพยายามสังหารผู้ไร้ ปราณไม่ประสบความสำเร็จ และยังลอบทำร้ายลูกศรน้อยที่กำลังต่อสู้กับเรา ความผิดของนางทั้งสองนั้นล้วนผิดต่อกฎแห่งเทพเจ้าที่ต้องมีโทษสังหารจิต วิญญาณ ในเมื่อพวกเจ้าเหล่าเทวนารีล้วนเรียนรู้วิชาเนตรกระจ่าง ก็จงจับจ้องดวงตาเราเพื่อพิสูจน์เถอะว่าเรากล่าวเท็จต่อพวกเจ้าหรือไม่…’
ดวงตาเหล่าเทวนารีทั้ง 7 จับจ้องดวงตาไกรวิทย์เขม็ง ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณชั่วขณะ ก่อนที่ซาโรยีจะถอนใจออกมาเบาๆ
‘มิผิด…ท่านไกรวิทย์หาได้กล่าวเท็จไม่…เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็…..’
‘ถึงจะเป็นความจริง แต่ซาโรยีท่านลืมแล้วหรือว่าคำสั่งของเทพสุรัสวดีคืออะไร’
‘เรื่องนี้เราเองก็….’
จิตกราด เกรี้ยวของหญิงสาวนามอาชีร่าผู้เป็นเทวนารีแห่งราศีสิงห์แทรกผ่านจิตของซาโร ยีกลางคัน ทำให้ไกรวิทย์อดหันไปพิจารณาหญิงสาวแรกรุ่นเบื้องหน้าไม่ได้
ผิว กายสีน้ำตาลเข้มนวลเนียนบนเรือนร่างเพรียวงามต่างจากสตรีชาวอินเดียทั่วไป ปกคลุมไว้ด้วยเกราะปราณสีทองที่เหมือนกับเกราะปราณของแอนโรเมดาราวกับจัดทำ ขึ้นพร้อมกัน หากแต่ดวงตรารูปสิงห์ที่ประดับศีรษะนั้นกลับมีลักษณะแตกต่าง โดยแทนที่จะเป็นรูปหน้าสิงห์กำลังขู่คำรามดังเช่นดวงตราสิงห์ของแอนโดรเมดา กลับเป็นรูปของราชสีห์โผนทะยานออกตะปบเหยื่อ รวมทั้งประกายสีทองของเกราะปราณนั้นปราศจากความสุกใสแวววาวของธาตุทองแต่ กลับเปล่งประกายแสงสว่างจ้าจนแทบจะเป็นสีขาวออกมา ดวงตากลมโตคมกริบของอาชีร่าจับจ้องไกรวิทย์ด้วยแววตากราดเกรี้ยว แต่ก็ยังคงเห็นถึงความงามคมเข้มของรูปหน้าที่งามราวกับรูปแกะสลัก ผิวกายสีน้ำตาลเข้มนวลเนียนปราศจากตำหนิ แม้จะปรากฏไรขนทั่วร่างแต่ก็ไม่ทำให้ความงามของผิวกายนั้นลดลงแม้แต่น้อย หน้าอกอิ่มขนาดใหญ่ตัดกับเรือนร่างผอมเพรียวที่ถูกปกคลุมด้วยเกราะปราณ พุ่งตระหง่านง้ำออกมาในรูปทรงสมบูรณ์เต่งตึงเต็มที่ ลาดหน้าท้องราบเรียบแผ่กว้างที่สะโพกอวบใหญ่ ที่กึ่งกลางสะโพกซึ่งปกคลุมด้วยเกราะปราณขดเป็นวางซ้อนกันนั้นตระหง่านง้ำ ออกมา กลุ่มขนดกดำสนิทที่ขดแน่นอยู่รอบเนินรักแทรกตัวอยู่ทุกช่องว่างของของเกราะ ปราณ จนไม่สามารถเห็นรูปร่างที่แท้จริงของเนินรักที่นูนเด่นนั้นได้ แต่กลุ่มขนดกดำนั้นเมื่ออยู่บนร่างที่สมบูรณ์ด้วยเลือดเนื้อวัยสาวกลับยิ่ง เพิ่มความเย้ายวนใจขึ้นทบทวี ..ทั้งหมดกอปรเป็นภาพของสตรีสาวที่สมบูรณ์พร้อม งามเทียบเทียมธิดาแห่งพญามารในตำนานที่สามารถกระตุ้นเร่งเร้าความต้องการของ บุรุษได้ในทันทีที่พบเห็น
‘อา ชีร่า เซี่ยวเล้งเข้าใจดีว่าท่านสนิทสนมกับเทวนารีแห่งราศีเมถุน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมเชื้อสายใกล้เคียงที่ใกล้ชิดกับจานีนแห่งเนปาล เทวนารีแห่งราศีตุลย์ ดังนั้นความโกรธของท่านเซี่ยวเล้งจึงไม่ตำหนิ แต่ในฐานะที่ท่านเองก็เคยให้สัตย์สาบานต่อกฎเทพเจ้าจักราศี เช่นกัน เซี่ยวเล้งจึงขอบังอาจถามท่านว่าพฤติการณ์ของเทพสุรัสวดีในการสั่งสังหารผู้ ไร้ความผิด การลอบสั่งให้ตุลาเทวีสังหารเรอินะเมื่อมีโอกาส หรือแม้กระทั่งการสั่งให้ล้มล้างตระกูลผู้ทรงปราณที่ต่อต้านนั้น เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับกฎแห่งเทพเจ้าที่ท่านให้สัตย์สาบานหรือไม่ อาชีร่าจงตอบเรา ท่านเลือกที่จะภักดีต่อกฎเทพเจ้าที่ดำรงอยู่ภายใต้คุณธรรม หรือภักดีต่อเทพสุรัสวดีที่ละเมิดหลักแห่งคุณธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้…’
จิต เซี่ยวเล้งแทรกผ่านการโต้แย้งของซาโรยีและอาชีร่า โดยยกกฎเทพเจ้าแห่งเหล่าเทวนารีขึ้นตอบโต้อาชีร่า จนทำให้ดวงหน้างามของเทวนารีแห่งราศีสิงห์เกิดสีแดงซ่านแผ่ขึ้นปกคลุม ดวงตากลมโตจับจ้องเซี่ยวเล้งด้วยความแค้นเคือง พร้อมกับพลังปราณที่แผ่ซ่านออกจากร่างราวกับวัตถุมีสภาพ
‘เซี่ยวเล้งท่านกล่าวกับเราในฐานะใด คนทรยศจักราศีเช่นท่านหามีสิทธิ์อ้างถึงกฎแห่งเทพเจ้าไม่…’
‘อา ชีร่าท่านจงดูเราให้แจ่มแจ้ง เกราะมังกรฟ้าที่เราสวมใส่อยู่นี้คือเกราะปราณแห่งเทวนารีราศีมังกรใช่หรือ ไม่ เราคือผู้ทรงสิทธิ์แห่งเทวนารีที่แท้จริง เช่นเดียวกับเรอินะผู้เป็นเทวนารีราศีธนู แต่ในเมื่อท่านอ้างสิทธิ์นี้ เราก็ขอแนะนำท่านให้รู้จักกับเมดูซ่าแห่งกรีซ เทวนารีราศีกรกฏและ แอนโดรเมดาราชธิดาแห่งกรีซ เทวนารีแห่งราศีสิงห์ที่แท้จริงให้พวกท่านได้รู้จักเถอะ..’
ทันที ที่เซี่ยวเล้งถ่ายทอดจิตพร้อมผายมือไปยังเมดูซ่าและแอนโรเมดาที่ด้านข้าง จิตของเหล่าเทวนารีทั้ง 7 ก็อุทานออกมาพร้อมกัน พร้อมกับร่างปราดเปรียวสายหนึ่งหนึ่งถลันวูบมาเผชิญหน้าเมดูซ่า
‘ท่าน เป็นใครจึงบังอาจแอบอ้างนามเทวนารีราศีกรกฏ เราแอนเจลีนแห่งบริเทน เทวนารีราศีกรกฏ ไม่สามารถปล่อยให้ท่านกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้..’
ดวง ตาเมดูซ่าจับจ้องร่างหญิงสาวชาวตะวันตกผู้มาจากเกาะอังกฤษอย่างเยือกเย็น ริมฝีปากบางเผยอยิ้มอย่างอ่อนโยน เมื่อพบว่าหญิงสาวเบื้องหน้าสวมใส่เกราะปราณสีเขียวเข้มราวแห่งราศีกรกฏใน รูปลักษณ์เดียวกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ประกายของเกราะปราณที่แผ่ซ่านออกมานั้นดูสว่างเรืองรองราวกับเกิด แสงจากภายใน ในขณะที่เกราะปราณของเมดูซ่ากลับเป็นสีเขียวเข้มลึกล้ำราวสีของห้วงลึก ของมหาสมุทรที่สุดหยั่งคาด ริมฝีปากบางได้รูปของเมดูซ่าเผยอยิ้มขณะส่งจิตนุ่มนวลออกไป
‘งาม ยิ่งนักแต่แฝงไปด้วยกร้าวแกร่ง สมแล้วที่ท่านครอบครองศักดิ์แห่งเทวนารีราศีกรกฏในยุคนี้ แต่เราผู้เป็นเทวนารีราศีกรกฏใต้บัญชามหาเทพวิรุณปักขะขอน้อมเตือนท่านว่า ปุษหัตถ์นั้นหาได้พึ่งพาความก้าวแกร่งของปราณเพียงถ่ายเดียว ร่างท่านเปี่ยมล้นไปด้วยพลังรุนแรงพร้อมจะระเบิดออก แต่นั่นหาใช่พลังที่แท้จริงของปุษหัตถ์ไม่…’
‘บังอาจนัก…ท่านอาศัยสิ่งใดมาวิจารณ์ปุษหัตถ์ที่ปราศจากวัตถุธาตุใดต้านทานได้…’
จิต ที่เต็มไปด้วยความโกรธของแอนเจลลีนตวาดลั่น สองมือผนึกเข้าหากันที่ทรวงอกจนปรากฏกระแสปราณกระจายออกมาจากมือทั้งสอง อันเป็นท่วงท่าที่เหล่าเทวนารีทุกนางรูดีว่านี่คือสภาพการผนึกวิชาปุษหัตถ์ แห่งเทวนารีราศีกรกฏที่สามารถตัดทำลายภูเขาทั้งลูกในคราวเดียว
เรือน ผมสีทองที่คาดศีรษะไว้ด้วยสายมรกตสลักรูปปู กระจายออกจากใบหน้างามที่ดูราวกับเด็กสาวแรกรุ่น พวงแก้มขาวละเอียดปรากฏสีแดงสดใสด้วยความโกรธ แต่ก็ยังไม่อาจบดบังความงามสะท้านใจของดวงหน้านั้นได้ ริมฝีปากรูปกระจับเม้มแน่น สองมือเรียวงามขาวผ่องปานหิมะด้วยเชื้อชาติไขว้ประสานกันกลางทรวงอกที่แม้จะ ไม่ตั้งเต้าชี้ตระหง่านดังหญิงสาวจากเผ่าพันธ์ตะวันตก แต่ทรวงอกขนาดเล็กนั้นก็เต่งตึงจนแม้ว่าจะถูกสองแขนกดทับก็ยังคงรูปอยู่ อย่างสมบูรณ์ เรือนกายเพรียวบางที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเต้นระริกอยู่ภายใต้เกราะปราณสี เขียวเจิดจ้า สายเกราะปราณที่ประสานเป็นรูปปูที่ห่อหุ้มเนินรักเบื้องล่างนูนเด่นตระหง่าน ง้ำและสั่นไหวระริกด้วยกระแสปราณที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างจนดูราวกับเป็นปูที่มี ชีวิต สองขาเรียวยาวเบียดชิดกันประสานเป็นหนึ่งเดียว ภาพเบื้องหน้าแม้จะเป็นภาพของเทวนารีที่พร้อมจะต่อสู้ด้วยพลังกราดเกรี้ยว สุดขีดของปุษหัตถ์ แต่ความงามเหนือโลกของเทวนารีนั้นเองกลับทำให้กลายเป็นความงามอีกรูปแบบ หนึ่งที่แม้กระทั่งเมดูซ่าผู้ครองศักดิ์เทวนารีแห่งราศีกรกฏเช่นกันยังอด ชื่นชมกับความงามเบื้องหน้าไม่ได้
‘แอนเจลีน ระงับพลังไว้ก่อน เรามีคำถามสำหรับนางผู้อ้างตนเป็นเทวนารีแห่งราศีสิงห์ผู้นี้ด้วยเช่นกัน…’
จิต อาชีร่า เทวนารีราศีสิงห์ใต้เทพสุรัสวดี ส่งกังวานออกมายังเพื่อนเทวนารี ทำให้กระแสปราณปุษหัตถ์ที่พร้อมจะโจมตีถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างในพริบตา ในขณะที่ซาโรยีซึ่งในครั้งแรกดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นผู้นำของเทวนารีทั้ง 7 กลับนิ่งสงบลงโดยเพียงแต่จับจ้องสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเท่านั้น
‘ท่าน อาชีร่า ผู้ที่อ้างตนเป็นเทวนารีราศีสิงห์นั้นหาใช่เรา…ศักดิ์ของเราได้รับมาจาก เทพวิรุณปักขะผู้กำเนิดเทวนารี หาใช่จากเทพสุรัสวดีผู้แอบอ้างตนเป็นผู้นำจักราศีไม่….’
จิต แข็งกร้าวปราศจากท่าทีผ่อนปรนของแอนโดรเมดากระจายออกจากร่างหญิงสาวผู้ก่อน หน้านี้เคยเป็นหญิงงามสูงศักดิ์ที่อ่อนหวานนุ่มนวล แต่เมื่ออยู่ภายใต้เกราะปราณแห่งราศีสิงห์ กริยาที่อ่อนหวานนั้นพลันกลับกลายเป็นแข็งกร้าวพร้อมที่จะเข้าสู่การต่อสู้ ตลอดเวลา ดวงหน้างดงงามประสานสายตากับอาชีร่าอย่างปราศจากความเกรงกลัว พร้อมกับหมอกเลือนลางดำสนิทปรากฏขึ้นที่มือทั้งสองข้าง อันเป็นสัญญาณบอกถึงการผนึกพลังเข้าสู่มือพร้อมใช้กระบวนท่าร่างแห่งนขยุทธื เข้าสังหารศัตรูทุกขณะ
‘หญิงโสโครกเช่นเจ้ากลับบังอาจล่วงเกินเทพสุรัสวดี โทษนี้มีเพียงการสูญสลายร่างด้วยนขหัตถ์เท่านั้น…’
จิต อาชีร่าตวาดกึกก้อง ประกายแสงสีขาวเรืองรองกระจายออกเป็นรูปกรงเล็บสิงห์ ขณะที่ร่างอวบอัดพุ่งวาบเข้าใส่แอนโดรเมดา ขณะที่แอนโดรเมดาพลันแค่นเสียงออกมา ละอองหมอกสีดำสนิทกระจายออกจากฝ่ามือเป็นรูปกรงเล็บสิงห์เช่นกัน ร่างพุ่งโถมเข้าปะทะอาชีร่าพร้อมกับจิตกร้าวแกร่งตวาดออกมากึกก้อง
‘นขยุทธ์ที่ปราศจากกาฬปราณหนุนเสริม ก็เป็นเพียงของหลอกลวงทารก หาอยู่ในสายตาเราไม่.’
……………..แซด………………
แทน ที่กรงเล็บสิงห์จของสองเทวนารีจะปะทะกันจนระเบิดกึกก้อง พลังแกร่งกร้าวสุดแสนของกรงเล็บทั้งสองกลับตกเข้าสู่กลุ่มพลังประหลาดที่ เคลื่อนวาบเข้ามาระหว่างกลางหญิงสาวทั้งสอง เกิดเสียงสะท้อนออกมาราวกับถ่านไฟลุกแดงตกลงสู่ธารน้ำเย็น โดยที่สายตาของเหล่าเทวนารีทุกนางที่ไวกว่ามนุษย์ธรรมดานับพันเท่า กลับไม่สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังนั้นได้แม้แต่น้อย พลังนขหัตถ์สองขุมกลับ สูญสลายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน พร้อมกับร่างของไกรวิทย์ปรากฏอยู่ระหว่างอาชีร่าและแอนโดรเมดา สองแขนขายหนุ่มกางออกฝ่ามือทั้งสองประกบอยู่กับกรงเล็บแห่งนขยุทธิ์ ของทั้งอาชีร่าและแอนโดรเมดา แสงสีเงินยวงสุกปลั่งกระจายออกจากฝ่ามือที่ประกบอยู่ทั้งสองก่อนที่จะค่อยๆ สลายตัวไป ทำให้อาชีร่าและแอนโดรเมดาต้องรีบดีดตัวออกจากร่างไกรวิทย์ และส่งจิตสั่นสะท้านออกมาพร้อมกัน
‘ปะ ปะ เป็นไปไม่ได้ นขยุทธ์ไม่สามารถสลายไปในลักษณะนี้’
‘นายท่าน นี่คือพลังใดกัน เหตุใดนขยุทธ์ของสิงห์น้อย จึงถูกสลายพลังได้’
ไกร วิทย์ถอนใจเบาๆ แต่ไม่ตอบคำถามของสองเทวนารี มีเพียงจิตที่แจ่มใสของเซี่ยวเล้งที่ส่งออกมายังแอนโดรเมดา แต่เหล่าเทวนารีทุกนางก็ได้รับรู้พร้อมกัน
‘สิงห์น้อย ไม่ต้องแตกตื่นไป เจ้าก็รู้ดีว่าวิชาปราณแห่งเหล่าเทวนารีนั้นแม้การใช้พลังจะแตกต่าง แต่ก็ยังคงอยู่บนพื้นฐานของการใช้ธาตุทั้งสี่แห่งจักรวาลมาผสานในระดับที่ แตกต่างกัน ก่อกำเนิดปราณอันเป็นอัตตลักษณ์ของเทวนารีแต่ละนาง วิชาเหล่านี้ล้วนคิดค้นขึ้นจากมหาเทพวิรุณปักขะทั้งสิ้น ผู้ให้กำเนิดนขยุทธ์ ย่อมรู้จักพลังที่ใช้ออกและวิธีสลายไม่ต่างอันใดกับการรู้จักร่างกายตนเอง’
‘สิงห์น้อยขอบคุณพี่มังกรน้อย…ที่แท้นายท่านบรรลุถึงการควบคุมธาตุทั้งสี่แล้ว สิงห์น้อยยินดีนัก’
‘ไกรวิทย์….. ท่าน…….. ท่าน คือเทพวิรุณปักขะจริงๆ .’
จิต ที่เต็มไปด้วยความยินดีของแอนโดรเมดาและจิตที่สั่นสะท้านด้วยความแตกตื่นของ อาชีร่า สองเทวนารีราศีสิงห์ดังขึ้นพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกของเทนารีแห่งเทพสุรัสวดีทั้งหมด เมื่อพบเห็นว่าวิชานขยุทธ์แห่งเทวนารีราศีสิงห์ถูกสลายไปราวกับหมอกยามเช้า ต้องแสงอาทิตย์ ทั้งที่เหล่าเทวนารีทุกนางรู้ดีว่านขยุทธ์คือวิชาต่อสู้ประชิดตัวที่รุนแรง ที่สุดแห่งจักราศี ที่แม้เหล่าเทวนารีผู้คุ้มครองร่างด้วยเกราะปราณยังไม่กล้าปะทะด้วยตรงๆ
‘อา ชีร่า คำถามของเจ้านั้นไร้ความจำเป็น เจ้าควรรู้ว่าจักราศียึดถือสัจจะแห่งวาจาเทียบเทียมกฏเทพเจ้า คำเท็จไม่เคยเปล่งออกมาจากจิตของเราและเทวนารีแห่งจักราศีมานับหมื่นปี ความแตกตื่นของเจ้าบอกให้เรารู้ว่าแม้เจ้าจะดำรงศักดิ์แห่งเทวนารีของเทพ สุรัสวดี แต่จิตเจ้านั้นกลับไม่เชื่อมั่นในสัจจะแห่งจักราศี ไม่เชื่อมั่นใจวิชาเนตรกระจ่างที่เผยความเท็จทุกอย่างของคู่ต่อสู้ เมื่อเจ้าไม่ยึดมั่นใจวิชาปราณ ไม่สามารถคุมจิตให้มั่นคงต่อวิชานขยุทธ์ เช่นเดียวกับดวงตาเจ้าที่ตอนนี้ลุกโพลงด้วยความโกรธกับคำสั่งสอนของเรา เจ้าก็ไม่สมควรที่จะดำรงศักดิ์แห่งเทวนารีราศีสิงห์เลย…’
จิต ไกรวิทย์ส่งออกมาอย่างอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยถ้อยคำที่กระทบต่อความเชื่อมั่น ในตนเองของอาชีร่าอย่างรุนแรง ดวงตาดำขลับสาดประกายเจิดจ้าด้วยความโกรธเมื่อรับฟังสิ่งที่ไกรวิทย์ตำหนิ แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะตอบโต้ จิตที่อ่อนโยนสายหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างหญิงสาวสาวในเกราะปราณสีเทาเข้ม เคลื่อนวาบมา
‘อาชีร่า ขอให้เราสนทนากับมหาเทพวิรุณปักขะก่อนเถอะ…’
จิต ของเทวนารีผู้ที่ก่อนหน้าเคยเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ด้านหลัง พลันดังขึ้นพร้อมกับดึงมือของอาชีร่าให้ถอยกลับไปด้านหลัง และหันขวับมาเผชิญหน้าไกรวิทย์โดยตรง
‘เทพวิรุณปักขะ คำสั่งสอนที่ท่านประทานให้อาชีร่านั้นสมควรแล้ว เรานาเดียแห่งปรัสเซีย เทวนารีราศีพฤษสภ ผู้ได้รับมอบหมายจากเทพสุรัสวดีให้เป็นผู้นำเหล่าเทวนารีในการเดินทางมายัง ทะเลบูรพาครั้งนี้ ขอน้อมรับคำสั่งสอนนี้ไว้แทนเพื่อนเทวนารีทั้ง 6 แต่ด้วยเหตุที่เหล่าเทวนารียุคนี้อยู่ภายใต้คำสัตย์ที่ให้ไว้ต่อเทพสุรัสวดี แม้ท่านจะทรงไว้ซึ่งปราณแห่งเทพเจ้าเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาเราก็ตาม พวกเราก็ยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดท่านตามบัญชาแห่งเทพสุรัสวดีได้’
ไกร วิทย์จับจ้องใบหน้าของหญิงสาวผู้ดำรงศักดิ์เทวนารีราศีพฤษภด้วยสายตาชื่นชม เมื่อพบว่าดวงตาเรียวยาวของหญิงสาวประสานสายตาตอบโต้โดยไม่หวั่นเกรงแม้จะ รับรู้ว่าบุรุษเบื้องหน้านี้คือเทพวิรุณปักขะผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณใน อดีต ใบหน้ากลมราวกับดวงจันทร์ของหญิงสาวแทนที่จะเป็นใบหน้าของชนชาวคอเคซอยด์ เช่นชาวรัสเซียทั่วไป กลับเป็นดวงหน้าของชาวเอเชียผู้มีเชื้อสายจีนอย่างชัดเจน แต่ไกรวิทย์ก็ไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะเคยได้รับรู้จากเซี่ยวเล้งมาก่อนหน้านี้แล้วว่า นาเดียผู้เป็นเทวนารีราศีพฤษภเกิดในรัสเซียตอนใต้ซึ่งอยู่ติดกับภาคเหนือของ ประเทศจีน และสืบสายเลือดผสานระหว่างชาวจีนกับชาวรัสเซียในแคว้นอุซเบกิสถาน
ดวง ตาเรียวยาวราวหงส์ของนาเดียส่งประกายวาวแวว เรือนผมดำสนิทยาวปรกไหล่ขับเน้นพวงแก้มกลมให้โดดเด่น ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอ ออกน้อยๆ จนกลับกลายเป็นความน่ารักราวกับเด็กหญิงแรกแย้ม ศีรษะหญิงสาวปกคลุมด้วยเกราะปราณสีเทาวาววับประดับหน้าผากนูนเด่นด้วยแก้วใส สลักลวดลายรูปศรีษะวัวอันเป็นลวดลายเดียวกับเกราะปราณของพิมพ์มาดา ลวดลายนั้นต่อเนื่องมารวมกันเป็นเขาสีขาววสะอาดสองข้างใบหู เรือนร่างหญิงสาวขาวผ่องอวบอิ่มปราศจากไร้ตำหนิราวกับหยกขาวเนื้อดีด้วยสาย เลือดของชาวรัสเซีย หน้าอกขนาดมหึมาล้นทะลักจากสายเกราะปราณซึ่งถักทอปกปิดปลายยอดกลางป้านสี ชมพูเข้มเอาไว้ แต่ด้วยขนาดของหน้าอกที่อัดแน่นทำให้ป้านสีชมพูนั้นเผยตัวออกมารำไร ต่ำลงไปเป็นลานหน้าท้องที่อิ่มแน่นเต่งตึงไปด้วยเนื้อหนังนุ่มนวล ขยายออกตามสะโพกกว้างที่ทะลักล้นออกจากสายเกราะปราณที่แผ่คลุมเนินรักกว้าง ใหญ่นูนโหนกเป็นรูปโดมขนาดย่อม บอกถึงความโอฬารแห่งอวัยวะเพศสตรีที่สมบูรณ์ถึงที่สุด เรือนสะโพกอวบแน่นปกคลุมด้วยใยเกราะปราณผ่านต้นขาอวบตึง แม้ปลายเท้าขาวสะอาดนั้นจะแยกออกจากกัน แต่ต้นขาที่แน่นไปด้วยเนื้อหนังนั้นก็ยังไม่ปรากฏช่องว่างให้เห็นแม้แต่ น้อย ซึ่งเมื่อเทียบกับเรือนร่างพิมพ์มาดาผู้ที่มีเรือนกายอวบอิ่มที่สุดในเหล่า เทวนารีแล้ว เรือนร่างของพิมพ์มาดาก็จะดูเป็นร่างหญิงสาวผู้ผอมบางไปในทันที
‘หรือ ท่านเทวนารีแห่งราศีพฤษสภต้องการจะบอกเราว่าความเคลื่อนไหวของเราและเหล่าเท วนารีอยู่ในความคาดคำนึงของเทพสุรัสวดีล่วงหน้า นางจึงส่งพวกท่านทั้ง 7 จึงรอมาทำหน้าที่สังหารเราในวันนี้’
จิตที่ราบเรียบสงบนิ่งของไกร วิทย์ส่งกังวานออกไปด้วยคำถามซึ่งเป็นคำถามเดียวกับคำถามที่อยู่ในใจของ เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดาเช่นหัน แต่นาเดียเบื้องหน้ากลับสั่นศีรษะน้อยๆ และส่งจิตตอบมา
‘เทพ สุรัสวดีหาได้ล่วงรู้ล่วงหน้าไม่ว่าเทพวิรุณปักขะและเทวนารีทั้งสี่ใต้บัญชา จะปรากฏในวันนี้ เพียงแต่นางทราบดีว่าไม่ช้าก็เร็วท่านจะต้องมายังทะเลบูรพาเพื่อหาหนทางกลับ ลงไปสู่มหาอาณาจักรปราณที่จมอยู่ใต้พื้นพิภพ ทั้งที่ท่านเองก็ทราบดีเท่ากับเทพสุรัสวดีว่าหนทางที่จะผ่านลงไปนั้นหามีไม่ ซากแห่งมหาอาณาจักรปราณจมลงใต้ทะเลแห่งหินหลอมเหลวใต้พื้นโลกลึกลงไปจนสุด ความสามารถผู้ใดจะผ่านลงไปได้…แม้แต่มหาเทพสูงสุดทั้งสองก็ตาม แต่ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ของเทพวิรุณปักขะ เทพสุรัสวดีรู้ดีว่าท่านต้องไม่ยอมล้มเลิกความคิดและสั่งให้เหล่าบริวารแห่ง เผ่าพันธุ์มัจฉาเฝ้าระวังทุกผู้คนที่เดินทางเข้าในในอาณาบริเวณนี้ ส่วนพวกเราเทวนารีทั้ง 7 หาได้น้อมรอรับท่านไม่ พวกเรารับบัญชาจากเทพสุรัสวดีให้เริ่มใช้ดาราสมุทร อาศัยอำนาจของมันทำลายมนุษย์ในสองฝั่งสมุทรให้สูญสิ้นไปเป็นอันดับแรก’
‘นาเดียท่านคุ้มคลั่งไปแล้วหรืออย่างไร เหตุใดจึงบ่งบอกทุกสิ่งให้ศัตรูรับรู้เช่นนี้….’
ยัง ไม่ทันที่นาเดียจะส่งจิตเสร็จสิ้น จิตที่กราดเกรี้ยวของอาชีร่าที่เพิ่งถูกสะกดพลังเอาไว้พลันแทรกสอดขึ้นมา ด้วยความแตกตื่น พร้อมกับที่ไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูช่าและแอนโดรเมดาต่างสะท้านไปทั้งร่างเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิด ขึ้นจากจักราวุธเบื้องล่าง
‘อาชีร่าจงฟังเรา ท่านไม่เห็นเกราะนิลกาฬแห่งเทวะในตำนานที่ปกคลุมร่างชายผู้นี้อยู่หรือ ผู้อยู่เบื้องหน้านี้หาใช่มนุษย์โลกที่เราต้องปกปิดตนเองและการทำหน้าที่ ไม่ หากแต่เป็นมหาเทพที่มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่าเทพสุรัสวดีของพวกเรา เทวนารีไม่สามารถกล่าวคำเท็จ หากเทพสุรัสวดีต้องการให้เราปกปิดนางย่อมไม่บ่งบอกทุกสิ่งให้เรารับรู้ ดังนั้นหากเทพวิรุณปักขะสอบถามพวกเราก็ย่อมต้องบ่งบอกออกไปไม่ช้าก็เร็ว การที่ท่านมีจิตต้องการปกปิดนั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าคำตำหนิที่เทพวิรุณปัก ขะมีต่อท่านเมื่อครู่นั้นถูกต้องยิ่งแล้ว’
แม้จิตไกรวิทย์และเท วนารีทั้งสี่ยังคงตระหนกกับสิ่งที่นาเดียบ่งบอกออกมา แต่ทุกคนก็ยังอดชื่นชมเทวนารีแห่งราศีพฤษภผู้เยือกเย็นและหนักแน่นต่อกฏแห่ง เทพเจ้าเบื้องหน้าไม่ได้ ท่าทีมั่นใจในหน้าที่แห่งเทวนารีที่ตั้งไว้บนความยุติธรรม ทำให้แม้กระทั่งอาชีร่าผู้ซึ่งใบหน้างามกำลังแดงฉานด้วยความโกรธระคนอับอาย ก็ยังไม่กล้าส่งจิตถกเถียงสืบไป
‘นาเดีย…เมื่อไม่กี่ชั่วยาม ที่ผ่านมานี้ เซี่ยวเล้งเพิ่งได้รับรู้จากแม่ทัพแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาว่าพวกท่านทั้ง 8 ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของเทพสุรัสวดี และถูกกักตัวไว้ในหอเก็บผลึกในแชงกรีล่า แต่เหตุใดพวกท่านกลับมาควบคุมจักราวุธเพื่อทำลายล้างชีวิตมนุษย์ นี่ไม่ใช่เป็นการละเมิดกฎแห่งเทพเจ้าหรือ?”
คำถามซึ่งเซี่ยวเล้ง ส่งออกไปอย่างหนักแน่น ทำให้ประกายในดวงตาเรียวยาวของนาเดียหม่นลงแว่บหนึ่ง ราวกับว่าคำถามนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในใจของเทวนารีแห่งราศีพฤษภ แต่ประกายตานั้นก็กลับคืนสู่สภาพปกติในพริบตา ขณะส่งจิตตอบ
‘เซี่ยว เล้ง ท่านกล่าวได้ไม่ผิด จริงอยู่ที่ในครั้งแรกนั้นพวกเราทั้งแปดต่างตระหนกกับการตัดสินใจของเทพ สุรัสวดี ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกกำหนดการคัดสรรเทวนารีรุ่นต่อไป การนำเหล่าเด็กหญิงจากทุกเชื้อชาติมารวมกันถ่ายทอดพลังแห่งจักรดาราก่อเกิด 60 ขุนพลเทพจนสำเร็จเป็นเทวีสงคราม การร้องขอต่อสองมหาเทพสูงสุดนำจักราวุธทั้ง 12 และการใช้จักราวุธนั้นทำลายชีวิตมนุษย์ที่เหล่าเทวนารีมีหน้าที่ปกป้อง การตัดสินใจเหล่านี้ทำให้พวกเราทั้งแปดต่างคัดค้านจนถูกควบคุมไว้ในหอผลึก แต่ไม่นานนัก เทพสุรัสวดีได้ปรากฏร่างมาพบพวกเราโดยตรงและบ่งบอกถึงการกำเนิดแห่งกัลป์สูญ ที่จะทำลายล้างเทพเจ้าและจักราศี พวกเราจึงรับรู้ว่าการสังเวยชีวิตมนุษย์ในครั้งนี้เป็นความจำเป็นยิ่งเพื่อ ดึงปราณชีวิตของมนุษย์กลับสู่ธรรมชาติ แปรเป็นพลังให้สองเทพสูงสุดใช้ปกป้องการดำรงอยู่ของเทพเจ้าแห่งแชงกรีล่าและ จักราศี พวกเราทั้งหมดยกเว้นสุรีย์มัจฉาจึงน้อมรับบัญชาของเทพสุรัสวดี และนำจักราวุธมายังที่นี้ ’
ตลอดเวลาที่นาเดียส่งจิตบอกเล่าออกมา ด้วยเนื้อความที่ทำให้ ไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง เมดูซ่า ต่างตกตะลึงกับแผนการที่เทพสุรัสวดีกำหนดไว้ แต่สำหรับเรอินะผู้มีนิสัยร้อนแรงดูจะไม่สนใจเนื้อหาเกี่ยวกับการล้างเผ่า พันธ์มนุษย์ของปวงเทพเจ้า ร่างปราดเปรียวพลันพุ่งมาเผชิญหน้ากับนาเดีย และส่งจิตเกรี้ยวกราดออกมาตามนิสัยประจำตัวอันไม่ยอมให้ความสงสัยใดๆ ตกค้างอยู่ในใจ
‘ในเมื่อพี่ไซเรน สุรีย์มัจฉาหาได้ยอมร่วมล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับพวกท่าน บัดนี้นางอยู่ที่ใด’
‘น่า เสียดายนักที่ไซเรนกลับไม่ยอมรับความจำเป็นนี้ ทั้งที่นางมาจากต่างเผ่าพันธุ์กับมนุษย์แต่นางกลับยืนกรานที่จะรักษาชีวิต มนุษย์เอาไว้ และบังอาจประกาศถอนตนออกจากจักราศีอันเป็นความผิดรุนแรงที่สุดของเหล่าเทวนา รี นางจึงถูกเทพสุรัสวดีลงโทษด้วยทัณฑ์ที่จะทำให้จิตของนางต้องทรมานไปชั่วกาล แต่เรอินะท่านจะโกรธแค้นไปด้วยเหตุใด ในเมื่อก่อนนี้ท่านกับไซเรนต่างขัดแย้งกันแทบทุกเรื่องในจักรราศี ท่านเองก็เคยท้าทายนางต่อสู้มาแล้วด้วยซ้ำ’
นาเดียส่งจิตตอบเทวน นารีราศีธนูด้วยน้ำเสียงปกติราวกับสุรีย์มัจฉาผู้ต้องโทษนั้นไม่ใช่เทวนารี ผู้เคยร่วมอยู่ในจักราศี แต่ในช่วงท้ายน้ำเสียงนั้นกลับแฝงความแปลกใจเอาไว้เมื่อพบว่าเรอินะแสดงท่า ทีเกรี้ยวกราดกับการลงโทษสุรีย์มัจฉาทั้งที่เหล่าเทวนารีรู้ดีว่าเรอินะจะ ยอมลงให้เซี่ยวเล้งเพียงผู้เดียว แต่สำหรับเทวนารีอื่นนั้น เด็กสาวผู้ร้อนแรงหาได้ยอมคล้อยตามไม่ โดยเฉพาะสุรีย์มัจฉาผู้ซึ่งขัดแย้งและประณามพฤติการณ์นอกคำสั่งของเรอินะมา ตลอดในจักราศี
‘เรอินะยอมรับว่าในห้วงที่เรอินะอยู่ในจักราศีนั้น เรอินะหาได้ยอมรับพี่ไซเรนไม่ เพราะเรอินะเป็นผู้ที่ไม่ยึดติดกับระเบียบใดๆ ขณะที่พี่ไซเรนนั้นกลับเคร่งครัดไม่ยอมผ่อนปรนในทุกสิ่ง น้ำกับไฟไม่อาจร่วมกันได้ฉันใด นิสัยเรอินะกับพี่ไซเรนก็หาไปด้วยกันได้ไม่ฉันนั้น แต่ในครั้งนี้เรอินะกลับต้องน้อมคารวะพี่ไซเรนผู้ครองนามสุรีย์มัจฉาที่ความ ซื่อตรงของนางทำให้นางเป็นเทวนารีเดียวที่ยังคงยึดมั่นในกฏเทพเจ้า พวกท่านทั้งเจ็ดต่างหากที่กลับกล้าเอ่ยคำล้างเผ่าพันธ์มนุษย์โดยไม่รู้สึก อันใด เพียงเพื่อความอยู่รอดของจักราศีของท่านเอง…พวกท่านล้วนเคยเป็นมนุษย์ พวกท่านละอายใจบ้างหรือไม่.. เฮอะ… บัดนี้เรอินะไม่ขอรับพวกท่านในฐานะเทวนารีอีกต่อไป นาเดีย ซาโรยี แองเจลีน อาชีร่า ส่วนพวกท่าน อีกสามที่เหลือ มารีอา โยนา อิอาร่า พวกท่านทั้งสามที่ไม่ยอมกล่าววาจาใด หากพวกท่านยืนยันที่จะร่วมกับความไร้เหตุผลนี้ เรอินะก็ขอประกาศตนเป็นศัตรูกับพวกท่านเช่นกัน’
กระแสจิตกราด เกรี้ยวด้วยความโกรธของเรอินะกระจายออกจากร่างราวคลื่นไฟร้อนแรง สามเทวนารีที่ปักหลักอย่างสงบเงียบด้านหลังพลันแค่นเสียงออกมาเบาๆ ร่างงามทั้งสามเคลื่อนมาอยู่ในระนาบเดียวกับเพื่อนเทวนารีทั้งสี่ ก่อนที่จิตทั้งสามจะส่งออกมาพร้อมกัน
‘เรอินะ เจ้ากล้าท้าทายเช่นนี้ เราโยนาแห่งราศีกุมภ์หาได้เกรงกลัวธนูของเจ้าไม่’
‘นิสัย เจ้ายังคงวู่วามเสมอมา ควรแล้วที่เทพสุรัสวดีจะกำจัดเจ้าออกจากจักราศี เรามารีอาแห่งราศีกันย์พร้อมที่จะทำหน้าที่นี้แทนเทพสุรัสวดีเอง’
‘เรา อิอาร่าแห่งราศีพิจิก ยืนยันที่จะสังหารมนุษย์สกปรกตามบัญชาแห่งเทพสุรัสวดี หากเรอินะเจ้าไม่พอใจ ก็จงก้าวออกมา เราจะกำจัดเทวนารีนอกคอกเช่นเจ้าด้วยตนเอง’
คลื่นจิตของสามเทวนา รีแผ่พุ่งออกมาพร้อมกันด้วยความเกรี้ยวกราดราวกระแสน้ำคลั่ง แต่ไม่ได้ทำให้เรอินะ เทวนารีแห่งราศีธนูครั่นคร้ามแม้แต่น้อย ริมฝีปากบางแค่นเสียงออกมาอย่างชาเย็น พร้อมกับกระแสปราณผนึกกระจายไปทั่วร่าง สองมือเรียวก่อประกายสีส้มสดอันเป็นสัญญลักษณะแห่งคันศรและลูกศรแห่งไตรธนู พร้อมที่จะรับการต่อสู้ แต่ยังไม่ทันที่เรอินะจะตอบรับการท้าทายของสามเทวนารี จิตราบเรียบแต่แฝงไปด้วยพลังปราณของไกรวิทย์ก็ดังกึกก้องขึ้นในจิตของทุกคน
‘เท วนารีทั้งเจ็ดใต้บัญชาแห่งเทพสุรัสวดีจงฟัง แม้เราจะไม่เคยได้รู้จักคุ้นเคยกับจิตพวกเจ้าอย่างใกล้ชิด แต่มังกรน้อยและลูกศรน้อยก็เคยบ่งบอกเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเจ้าทั้งเจ็ดจน เรารับรู้ว่า พวกเจ้าแม้จะมีอุปนิสัยแตกต่างกัน มีจิตแก่งแย่งกัน และขัดเคืองใจกันบ้างในจักราศี แต่ส่วนลึกของจิตใจพวกเจ้าทุกคนล้วนยึดมั่นในคุณธรรมแห่งกฏเทพเจ้า เราจึงไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าปฏิเสธคำสั่งของเทพสุรัสวดีจนถูกกักอยู่ในหอ เก็บผลึก และยังตั้งใจมั่นที่จะนำพาเหล่าเทวนารีทั้งหมดไปบุกสู่แชงกรีล่าเพื่อช่วย เหลือพวกเจ้าออกมา แต่ถ้อยคำที่พวกเจ้าทั้งเจ็ดบ่งบอกมาในครั้งนี้ดูจะแตกต่างกับจิตที่แท้จริง ของเจ้าซึ่งเราเคยรับรู้ พวกเจ้าระลึกได้หรือไม่ว่าจิตของพวกเจ้าก่อนที่เทพสุรัสวดีจะมาเยือนที่หอ เก็บผลึก กับจิตภายหลังที่นางถ่ายทอดความเลวร้ายของมนุษย์ให้พวกเจ้ารับรู้นั้น แตกต่างกันอย่างไร…เหตุใดการบ่งบอกด้วยถ้อยคำของเทพสุรัสวดีจึงสามารถ เปลี่ยนจิตใจของพวกเจ้าให้เกลียดชังมนุษย์จนสามารถทำลายล้างโดยปราศจากความ ปราณีได้เช่นนี้’
คลื่นจิตที่แม้จะสงบราบเรียบ แต่กลับเกิดภาพนิมิตราวกับสายฟ้าแลบส่งเสียงกึกก้องอยู่ในจิตของเทวนารีทุก นางในบริเวณ ซึ่งสำหรับ เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา ที่จิตทั้งสี่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตเทวนารีแห่งมหาอาณาจักรปราณโบราณ ล้วนรู้ดีว่าจิตไกรวิทย์ที่ถ่ายทอดออกมาในครั้งนี้ เป็นการผนึกกับปราณด้วยวิชาจิตบัญชาเทพ อันเป็นวิชาฌฉพาะตนของทพวิรุณปักขะที่ใช้สั่งการในสมรภูมิ แต่สำหรับเหล่าเทวนารีทั้งเจ็ดแห่งเทพสุรัสวดีนั้น จิตบัญชาเทพที่ได้สัมผัสเป็นครั้งแรก ทำให้เทวนารีทั้งเจ็ดสะท้านร่างพร้อมกัน ดวงตาทั้งเจ็ดคู่ที่เคยส่งประกายกราดเกรี้ยวสั่นระริกด้วยความสับสนกับถ้อย คำที่ไกรวิทย์ถ่ายทอดออกมา จิตของเหล่าเทวนารีทั้งเจ็ดหวนประหวัดไปถึงจิตของตนเองที่ยืนกรานต่อต้านคำ สั่งอันขัดแย้งต่อกฏเทพเจ้า และเปรียบเทียบกับจิตปัจจุบันหลังผ่านการเยือนของเทพสุรัสวดีที่หอเก็บผลึก กระแสปราณของเหล้าเทวนารีที่เคยพุ่งขึ้นพร้อมจะระเบิดออกเมื่ออึดใจที่ผ่าน มา กลับอ่อนลงวูบหนึ่ง แต่ทันใดนั้นใบหน้างดงามเหนือโลกของเทวนารีทั้งเจ็ดพลันกระตุกด้วยความเจ็บ ปวดราวกับถูกทำร้ายจากจิตที่ทรงอานุภาพ ประกายตาที่สับสนทั้งเจ็ดคู่พลันเปลี่ยนกลับไปเป็นความกราดเกรี้ยว พร้อมกับพลังปราณในร่างที่กระจายออกมาในสภาพพร้อมเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง
‘เทพ วิรุณปักขะ…แม้ท่านจะทรงไว้ด้วยปราณแห่งเทพเจ้าแต่เราอิอาร่าแห่งราศีพิ จิก หาได้เกรงกลัวท่านไม่ บัญชาแห่งเทพสุรัสวดีไม่สามารถล้มล้าง เราขอสละชีวิตแลกกับท่านเอง…รับดัชนีอัคคีของเราไปเถอะ..’
จิต ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเปล่งออกจากจิตหญิงสาวแรกรุ่นในเกราะปราณสีแดงสุก ใสราวเปลวเพลิง ข้อมือเรียวทั้งสองประดับไว้ด้วยสายใยเกราะปราณถักทอเป็นรูปแมลงป่องชูหาง แดงฉานเรืองรอง พร้อมกับแสงสีแดงเข้มข้นร้อนแรงราวเพลิงนรกสิบสายพุ่งวาบเข้าหา และบิดพันรวมกันเป็นสายเดียวจูโจมใส่ตำแหน่งกึ่งกลางหน้าผากไกรวิทย์……
………ฟุ่บ………
พริบ ตาที่พลังแสงรุนแรงแห่งดัชนีอัคคีพุ่งถึงเป้าหมาย เกราะนิลกาฬที่ปกคลุมหน้าผากไกรวิทย์ พลันส่งประกายสีฟ้าเรืองรองออกมาที่ตำแหน่งกึ่งกลางหน้าผาก และปะทะกับความร้อนแรงของดัชนี แต่แทนที่จะเกิดเสียงปะทะกึกก้อง ลำแสงสีแดงของดัชนีอัคคีกลับหายวับพร้อมกับเสียงแผ่วเบาราวกับโลหะหลอมเหลว หยดลงในน้ำแข็งเย็นจัด…โดยที่ไกรวิทย์ไม่ได้ขยับร่างป้องกันตนเองแม้แต่ น้อย
‘ปะ ปะ เป็นไปไม่ได้…ดัชนีอัคคีทะลวงทุกสสาร ไม่มีพลังหรือวัตถุใดต่อต้านได้ …นี่คือปราณอันใดกัน’
จิต สั่นสะท้านของอิอาร่า ดังขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานด้วยความตื่นตระหนกของเหล่าเทวนารีแห่งเทพ สุรัสวดี รวมทั้งเมดูซ่า และแอนโดรเมดา ด้วยทุกนางรู้ดีถึงพลังทำลายล้างของดัชนีอัคคีแห่งราศีพิจิก ดีว่าไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานรับไว้ได้โดยร่างกายเลือดเนื้อ แต่สำหรับเซี่ยวเล้งและเรอินะ ซึ่งเคยเห็นอัจฉริยาทดสอบใช้วิชาปราณสูงสุดนี้กับไกรวิทย์ที่จักราศูนย์ ทั้งสองต่างรู้ว่าปราณของไกรวิทย์บรรลุแล้วถึงการควบคุมปฐมธาตุ การใช้ปฐมธาตุแห่งวารีต่อต้านกับอัคคีที่ได้เห็น จึงเป็นการใช้ปราณผสานให้ธาตุทั้งสองหักล้างกันเองโดยไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้ แต่สำหรับเหล่าเทวนารีทั้งเจ็ด ที่แม้เมื่อครู่จะได้รับรู้การสลายนขยุทธ์ของสองเทวนารีราศีสิงห์ แต่นั่นยังไม่สามารถเทียบได้กับการเห็นดัชนีพิจิกสูญสลายวับไปโดยปราศจาก ร่องรอยเช่นนี้ ร่างทั้งเจ็ดถอยห่างออกไปอย่างลืมตัวกับอานุภาพปราณเทพเจ้าที่ปรากฏตรงหน้า พร้อมกับจิตไกรวิทย์ดังกังวานขึ้นในจิตของเทวนารีทั้งเจ็ดทุกคนอีกครั้ง
‘ใน เบื้องแรกเราไม่แน่ใจว่าข้อสันนิษฐานของเรานั้นจะถูกต้องหรือไม่ แต่เมื่อดูจากการปฏิกริยาตอบสนองวิชาบัญชาเทพของเราเมื่อครู่ ที่ส่งผ่านเข้าสู่จิตส่วนลึกของพวกเจ้าโดยตรง พวกเจ้าทุกคนล้วนเกิดความสับสนในจิตขึ้นชั่ววูบ ก่อนที่จิตจะปิดกั้นตนเองกลับสู่สภาพปัจจุบัน…บอกให้เรารู้แน่ชัดว่าจิต ของพวกเจ้าทุกคนถูกวิชาทัณฑ์ผลาญจิตของเทพสุรัสวดีปิดกั้นมโนธรรมแห่งเทพ ส่วนลึกที่แท้จริงเอาไว้ ปล่อยให้สัญชาติญาณมนุษย์กระตุ้นการทำลายล้างเข้าครอบงำพวกเจ้า จนเห็นว่าการทำลายล้างมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ชอบด้วยเหตุผล…’
‘ทัณฑ์ผลาญจิต….’
เท วนารีทั้งเจ็ดทวนนามของวิชาจิตปราณที่ไกรวิทย์ระบุออกมาพร้อมกันด้วยจิตที่ แฝงความสับสนเอาไว้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับเซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่าและแอนโดรเมดาที่ต่างจับจ้องไกรวิทย์ด้วยดวงตาที่งุนงงกับนามของวิชา ปราณที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
‘นายท่าน อันใดคือทัณฑ์ผลาญจิตของเทพสุรัสวดี..’
จิตเรอินะส่งออกมาอย่างเร่งร้อนตามอุปนิสัย ด้วยคำถามที่เหล่าเทวนารีทุกนางต่างใคร่ทราบคำตอบ
‘เมื่อ ครั้งที่เทพสุรัสวดีรับปราณจากมหาปุโรหิตปัณฑร ส่งให้นางเป็นผู้ทรงปราณที่เข้มแข็งที่สุดในมหาอาณาจักรปราณนั้น นางได้ค้นพบว่าจิตปราณของนางสามารถแทรกเข้าสู่ก้นบึ้งของจิตมนุษย์และปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปตามที่นางต้องการได้อย่างปราศจากข้อจำกัด ทำให้เหล่ามนุษย์ผู้กระทำความผิดที่เลวร้ายถูกนางทดลองปรับจิตให้มายึดถือ คุณธรรม ซึ่งในห้วงแรกนั้นดูเหมือนจะเป็นการลงทัณฑ์ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา เหล่ามนุษย์ที่ถูกปรับจิตส่วนลึกสามารถกลับไปสู่สังคมของตนได้ จนนางได้รับนามอีกนามหนึ่งเป็นมหาเทวีแห่งความเมตตา แต่การปรับจิตนี้ปรากฏผลภายหลังว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างถาวร สัญชาติญาณที่แท้จริงของมนุษย์จะค่อยๆ ฟื้นคืนและกลับยึดครองจิตอีกในเวลาไม่เกิน 1 ปี โดยกลับโหดเหี้ยมดุร้ายกว่าเดิมหลายเท่าตัว และเมื่อมนุษย์เหล่านี้ถูกนำตัวมาปรับจิตอีกครั้ง จิตปราณของเทพสุรัสวดีก็ต้องเพิ่มกำลังขึ้นทำลายจิตที่ต่อต้าน จนทำให้จิตของมนุษย์นั้นสูญสลายกลับกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ และจิตนั้นก็ไม่สามารถกลับมาเวียนว่ายในภพภูมิอีก วิชาจิตปราณของเทพสุรัสวดีจึงกลับกลายเป็นการลงโทษที่โหดเหี้ยมที่สุด และได้รับการขนานนามว่าทัณฑ์ผลาญจิต ซึ่งในที่สุดก็ถูกสองมหาเทพสูงสุดก็ต้องมีเทวบัญชาห้ามใช้วิชานี้ในการลง ทัณฑ์มนุษย์ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะมีพฤติการณ์เลวร้ายสักปานใดก็ตาม’
จิต ไกรวิทย์ส่งออกมาอย่างราบเรียบ ดวงตาชายหนุ่มทอดสายตายาวไกลราวกับกำลังระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตอันไกลโพ้น ขณะที่เหล่าเทวนารีทุกนางในบริเวณต่างสงบนิ่งรับฟังตำนานนี้อย่างตั้งใจ ท่ามกลางเสียงครืนครั่นของมหาสุมรที่ถูกจักราวุธเผาผลาญจนเกิดละอองไอน้ำปก คลุมไว้รอบด้าน
‘ท่านมหาเทพกล่าวถึงผลของทัณฑ์ผลาญจิตต่อมนุษย์ ด้วยต้องการจะบอกพวกเราว่าจิตของพวกเราเหล่าเทวนารีถูกปรับแต่งโดยเทพ สุรัสวดีให้เกิดความรังเกียจมนุษย์จนละเมิดต่อคุณธรรมแห่งจักราศีใช่หรือ ไม่’
จิตของนาเดียผู้เป็นผู้นำของเหล่าเทวนารีส่งออกมาด้วยถ้อยคำ ที่ให้ความเคารพต่อไกรวิทย์ในฐานะมหาเทพวิรุณปักขะ แต่ยังแฝงนำเสียงความไม่พอใจเอาไว้แสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับเรื่องราวที่ ไกรวิทย์บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน
‘ทัณฑ์ผลาญจิตเกิดผลต่อมนุษย์ เท่านั้นหามีผลต่อเทพด้วยกันไม่ แต่สำหรับเหล่าเทวนารีซึ่งสืบสายเลือดมาจากเทพเจ้ามีฐานะเป็นมนุษย์กึ่งเทพ แม้ทัณฑ์ผลาญจิตจะสามารถปรับจิตส่วนลึกของเหล่าเทวนารี แต่จิตปราณของเทพสุรัสวดีก็ต้องอาศัยปราณบริสุทธิ์ในจักปราณเข้าหนุนเสริม จึงจะสามารถทะลวงผ่านจิตแของมนุษย์กึ่งเทพได้ แต่การใช้ปราณบริสุทธิ์นี้จะเป็นการทำลายปราณในร่างของเทพสุรัสวดีโดยไม่ สามารถฟื้นคืนได้ ดังนั้นหลังจากนางทดลองใช้ทัณฑ์ผลาญจิตกับสตรีกึ่งเทพนางหนึ่งในอดีต นางก็ยุติการใช้วิชานี้กับเหล่ามนุษย์กึ่งเทพอีก เพราะจุดหมายของนางคือการเข้าสู่สถานะผู้ทรงปราณสูงสุด นางจึงไม่สามารถปล่อยให้ปราณในร่างนางสูญเสียไปกับวิชานี้ได้ แต่สำหรับพวกเจ้าเทวนารีทั้งเจ็ดนั้น แม้พวกเจ้าจะกำเนิดมาจากมนุษย์ธรรมดา แต่จิตขอวงพวกเจ้าทุกคนล้วนแต่เคยเป็นจิตของมนุษย์กึ่งเทพในอดีตกาลทั้งสิ้น ที่เรากล้าระบุเช่นนี้ก็เพราะจิตมนุษย์ผู้ทรงปราณธรรมดานั้นจะไม่สามารถรอง รับพลังของผลึกราศีอันเป็นที่มาแห่งปราณของพวกเจ้าได้ ดังนั้นแม้เวลาจะผ่านมานับหมื่นปี แต่จิตที่แท้จริงของพวกเจ้าทุกคนล้วนเคยร่วมภพภูมิกับเราในมหาอาณาจักรปราณ ข้อนี้เรายืนยันกับพวกเจ้าได้ด้วยวาจาแห่งเทพ ดังนั้นการปรับจิตของพวกเจ้า เทพสุรัสวดีจึงจะเป็นต้องใช้ปราณบริสุทธิ์เข้าเสริมทัณฑ์ผลาญจิตอย่างแน่นอน เราของถามพวกเจ้าทั้งเจ็ดว่าเมื่อครั้งที่เทพสุรัสวดีปรากฏร่างต่อหน้าพวก เจ้าที่หอเก็บผลึก นางใช้มือแตะศรีษะพวกเจ้าราวกับมารดาผู้เมตตาปลอบประโลมบุตรี ใช่หรือไม่’
คำ อธิบายที่จิตไกรวิทย์ส่งออกมาด้วยวิชาจิตบัญชาเทพสื่อตรงถึงจิตส่วนลึกของ เหล่าเมทวนารีทั้งเจ็ด จนดวงตาทั้ง 7 คู่ปรากฏแววสับสนและร่างสั่นสะท้านเมื่อรับรู้ถึงวิชาปราณจิตโบราณที่ถูกนำ มาใช้ปรับเปลี่ยนจิตของเหล่าเทวนารี
‘มหาเทพคาดเดาถูกแล้ว เราซาโรยีจำได้อย่างแม่นยำว่าฝ่ามือเทพสุรัสวดีที่ลูบไล้ผ่านศีรษะเรานั้น ก่อให้เกิดความอบอุ่นราวกับเด็กทารกได้รับอ้อมกอดของมารดา จิตเราคล้อยตามทุกถ้อยคำที่เทพสุรัสวดีส่งออกมาและอาสาที่จะทำหน้าที่กำจัด เทพวิรุณปักขะพร้อมกับเหล่าเทวนารีทั้งหมด ยกเว้นสุรีย์มัจฉาที่ยังคงยืนกรานต่อต้าน นี่เป็นเพราะเหตุใด’
จิต ซาโรยีแห่งราศีเมษ ส่งออกมาอย่างสงบพร้อมกับตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเทวนารีราศีมีน ผู้เป็นเทวนารีนางเดียวที่ไม่ยอมรับคำสั่งของเทพสุรัสวดี
‘ซาโรยี สงสัยในเรื่องของสุรีย์มัจฉานั้นก็สมควรอยู่ เพราะแม้พวกเจ้าจะมีศักดิ์เทวนารีแต่วิชาทัณฑ์ผลาญจิตนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกจากเหล่าเทพแห่งมหาอาณาจักรปราณ และนอกจากเทพสุรัสวดีแล้วก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจวิชานี้มากไปกว่าเราอีก ข้อสงสัยของเจ้านั้นสามารถตอบได้ว่าจิตของสุรีย์ทัจฉาเป็นจิตที่ต่างจาก เหล่าเทวนารีที่เกิดจากมนุษย์เทพ หากแต่นางสืบเชื้อสายจากเผ่าพันธ์มัจฉาที่ผสานสายเลือดกับเทพโบราณก่อเป็น มัจฉาเทพ จิตของมนุษย์มีความแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธ์อื่นในพิภพ เมื่อผสานกับเหล่าเทพก่อเป็นมนุษย์เทพเช่นพวกเจ้า จึงมีจิตแห่งมนุษย์ครองอยู่ห้าส่วนหรือเท่ากับกึ่งหนึ่งที่เทพสุรัสวดี สามารถแทรกสอดเข้าปรับแต่งได้ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์มัจฉาเทพนั้น จิตของเผ่าพันธ์มัจฉาปราศจากความแข็งกร้าวเช่นมนุษย์ จิตแห่งเทพจึงมีอิทธิพลเหนือกว่าจิตแห่งมัจฉากว่าเจ็ดส่วน จิตของมัจฉาเทพเช่นสุรีย์มัจฉาจึงแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า และทำให้เทพสุรัสวดีไม่สามารถใช้ทัณฑ์ผลาญจิตปรับเปลี่ยนจิตของนางได้’
เหล่า เทวนารีทั้งเจ็ดนิ่งงันไปกับเนื้อความที่ไกรวิทย์ถ่ายทอดออกมาครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างสูงโปร่งในเกราะปราณสีขาวบริสุทธิ์จะเคลื่อนออกมาจากกลุ่มและส่ง จิตออกมาด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
‘สิ่งที่ซาโรยีกล่าวออกมานั้นถูก ต้อง เรามารีอาแห่งราศีกันย์ขอยอมรับในข้อนี้ เช่นเดียวกับที่เรายอมรับสิ่งที่มหาเทพวิรุณปักขะบ่งบอกออกมา ด้วยฐานะและจิตแห่งมหาเทพที่ไม่เคยกล่าวคำเท็จใดๆ เราจึงรู้ว่าทุกสิ่งที่มหาเทพบ่งบอกนั้นคือเรื่องจริง พวกเราทั้งเจ็ดถูกปรับแต่งจิตให้คล้อยตามความประสงค์ของเทพสุรัสวดี แต่เหตุใดแม้จิตพวกเราจะกลับเข้าสู่สภาพปกติรับรู้ถึงความถูกต้องที่เหล่าเท วนารีเคยดำรงมา ปราณในร่างของพวกเรากลับไม่ยอมปรับเปลี่ยนตามจิต หากกลับทวีพลังเข้าสู่สภาพพร้อมรับศึก ปราณอนันตวายุแห่งราศีกันย์ในร่างเรากลับพร้อมที่จะจู่โจมต่อมหาเทพทุกขณะ แม้กระทั่งขณะที่จิตของเรานี้จะไม่ต้องการต่อสู้ก็ตาม’
ดวงตาไกร วิทย์จับจ้องสตรีงามเชื้อสายตะวันตกผู้มาจากประเทศแคนาดาเบื้องหน้าอย่าง ตั้งใจ ดวงตาแวววาวของหญิงสาวส่งประกายสับสนออกมาชัดเจน ทำให้ดวงหน้าที่งามดุจเทพธิดาผู้บริสุทธิ์แห่งราศีสตรีพรหมจรรย์เกิดเป็น ความงามที่ชายทุกคนเมื่อได้เห็นต้องเกิดความรู้สึกต้องการจะเข้าปกป้องทะนุ ถนอม ผิวกายขาวละเอียดปราศจากตำหนิจนส่งประกายเรืองรองผ่าน ผ่านเกราะปราณขาวบริสุทธิ์ ที่ถักทอเป็นสายใยลื่นไหลไปตามผิวกายทุกส่วนราวเนื้อผ้าไหม ด้วยลักษณะของเกราะเช่นเดียวกับเกราะปราณของรินลดา ผู้ดำรงศักดิ์เทวนารีราศีกันย์ เกราะปราณนั้นแยกตัวจากลำคอปกปิดทรวงอกอิ่มที่เติบโตเต็มที่ตามชาติพันธุ์ ปลายยอดหน้าอกดุนดันสายเกราะปราณออกมาเป็นรูปร่างกลมมนชัดเจน แต่ช่วงเอวกลับคอดกิ่วตัดกับความอวบอิ่มของร่างกายส่วนบน แต่กลับผายออกตามแนวสะโพกที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหนังเปล่งปลั่ง โหนกนูนรักตระหง่านอัดแน่นออกมาจากสายเกราะปราณที่ห่อหุ้มอยู่จนปรากฏเป็น รูปร่างสองแคมเต่งราวจะปริ กอปรเป็นเรือนร่างของหญิงสาวที่สามารถเร่งเร้าอารมณ์ใคร่ผสานกับความต้องการ ทะนุถนอมเอาไว้เป็นหนึ่งเดียว
‘มารีอาแห่งราศีกันย์บ่งบอกมาได้ ไม่ผิดพลาด เราอิอาร่าแห่งราศีพิจิก ยืนยันในข้อนี้ เพราะเมื่อครู่เราละการควบคุมจิตตนเองเพียงอึดใจ ปราณในร่างเราก็ระเบิดออกโจมตีมหาเทพวิรุณปักขะพร้อมกับใช้วาจาท้าทายมหา เทพออกไปทั้งที่เราไม่ได้ตั้งใจจะกล่าว….บัดนี้เราเองก็สงสัยและสับสนใน จิตของเราเองยิ่ง เพราะแม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ที่เราคุมจิตตนเองไว้ ปราณในร่างเราก็พยายามจะระเบิดอออกในการต่อสู้ทุกขณะ ทั้งที่เราไม่เต็มใจแม้แต่น้อย’
จิตที่แฝงความตื่นตระหนกเอาไว้ใน น้ำเสียงของอิอาร่า เทวนารีราศรีพิจิกถูกส่งออกมา ราวกับเป็นคนละคนกับเทวนารีผู้เพิ่งโจมตีไกรวิทย์ด้วยดัชนีอัคคีสุดกำลัง ส่งออกมาอย่างร้อนรน ดวงตาเรียวยาวบนใบหน้างามคมเข้มของหญิงสาวผู้สืบสายมาจากชาวละตินอเมริกา เบิกกว้างด้วยความสับสนในจิตใจ ริมฝีปากน้อยๆ ที่เชิดรั้นบอกความเป็นคนเจ้าอารมณ์เกลับเม้มเข้าหากันราวกับกำลังพยายาม ระงับความเคลื่อนไหวของร่างกายตนเองอย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อทุกส่วนบนผิวกายสีน้ำตาลเข้มเต้นระริก เรือนกายเพรียวบางนั้นเกิดพลังปราณมหาศาลแผ่ออกมาทุกทิศทาง ทรวงอกกระทัดรัดของหญิงสาวที่คาดไว้ด้วยสายเกราะปราณสีแดงฉานนั้นสั่นสะท้าน เม็ดยอดงามผลิพุ่งดันเกราะปราณเป็นรูปร่างกลมกลึงด้วยอารมณ์ขัดแย้งที่กำลัง ปะทุขึ้นในร่าง สองขาเรียวตรงสลับเคลื่อนไหวในตำแหน่งท่าร่างพร้อมต่อสู้ ทำให้เซี่ยวเล้งต้องเคลื่อนกายออกมาเคียงข้างไกรวิทย์และส่งจิตที่แฝงปราณ เปี่ยมล้นไปยังอิอาร่า
‘อิอาร่า จงพยายามสงบจิตไว้ก่อน ในจักรราศีนั้นท่านเป็นผู้มีอารมณ์ร้อนกราดเกรียวรุนแรงที่สุด ดังนั้นอำนาจในการควบคุมจิตจึงส่งผลกระทบต่อท่านมากที่สุดเช่นกัน แม้เราจะไม่เคยได้รับรู้ถึงวิชาทัณฑ์ผลาญจิตนี้มาก่อน แต่ก็พอคาดเดาได้ว่านี่คือการปลูกฝังคำสั่งที่ไม่สามารถต่อต้านได้ลงไปใน ส่วนลึกที่สุดของจิต อำนาจนั้นจะพยายามผลักดันให้พวกท่านต่อสู้ทำลายศัตรูที่ถูกำกำหนดไว้ หากจิตของท่านหย่อนการควบคุมเพียงเล็กน้อยร่างกายทั้งหมดจะถูกบังคับให้ ต่อสู้ทั้งที่จิตที่แม้จริงหาได้ยินยอมไม่…นายท่านเซี่ยวเล้งคาดถูกหรือ ไม่’
จิตที่แฝงปราณเปี่ยมล้นของเซี่ยวเล้งผู้เคยเป็นส่วนหนึ่งใน จักรราศี ทำให้อาการสั่นสะท้านของอิอาร่าหยุดลงชั่วขณะ จิตของเทวนารีทั้งเจ็ดรู้ดีว่าเซี่ยวเล้งคือเทวนารีแห่งราศีมังกรผู้รอบรู้ ในวิชาปราณและยุทธศาสตร์ ดวงตาทุกคู่จับจ้องมายังหญิงสาวราวกับจะขอรับคำอธิบายเพิ่มเติม แต่เมื่อเซี่ยวเล้งกลับส่งจิตไปยังไกรวิทย์ สายตาทั้งหมดก็กลับเปลี่ยนมาจับจ้องไกรวิทย์ที่กำลังผงกศีรษะรับคำอธิบาย นั้น
‘เซี่ยวเล้งคาดได้ถูกแล้ว..แม้จิตบัญชาเทพของเราจะสามารถ ปลุกจิตแท้จริงของพวกเจ้าให้พ้นจากการครอบงำของทัณฑ์ผลาญจิตได้ แต่ร่างกายของพวกเจ้ายังคงอยู่ใต้การควบคุมของอำนาจนั้น และหากจิตพวกเจ้าอ่อนกำลังลงเมื่อใด พวกเจ้าก็จะ……….’
‘มหาเทพระวังไว้ เราไม่สามารถคุมตนเองได้แล้ว…..นี่คือวารีพิฆาตของเราโยนา เทวนารีราศีกุมภ์’
ยัง ไม่ทันที่จิตไกรวิทย์จะถ่ายทอดจบสิ้น ร่างที่สูงโปร่งของเทวนารีราศีกุมภ์นามโยนา ที่เคยสงบนิ่งที่สุดกลับเป็นร่างแรกที่โถมเข้าหาไกรวิทย์ พร้อมกับม่านหมอกอันเกิดจากไอน้ำในอากาศผนึกเป็นเส้นสายหมุนวนเป็นเกลียว เข้าสู่ร่างหญิงสาวและแปรเปลี่ยนเป็นหมอกน้ำผนึกตัวจนเป็นวัตถุธาตุพุ่งออก จากพุ่งออกมาจากสองฝ่ามือวาบเข้าใส่ร่างไกรวิทย์ ทั้งที่จิตของหญิงสาวนั้นส่งออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นและพยายามเตือนให้ ไกรวิทย์รับรู้ถึงการโจมตีที่นอกเหนือการบังคับของร่างกาย ท่ามกลางเสียงอุทานด้วยความตระหนกของเซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา
…….บรึม…..
หมอกมีสภาพที่แผ่เข้า ล้อมไกรวิทย์ไว้แตกระเบิดออกดังสนั่นเมื่อไกรวิทย์ผนึกอัคคีธาตุในสัดส่วนสม ดุลย์กับมวลพลังอันเกิดจากอาโปธาตุของวารีพิฆาต จนพลังนั้นสลายตัวไป แต่ยังไม่ทันที่เสียงอันเกิดจากการปะทะจะจางลง จิตที่ตื่นตระหนกของอิอาร่าแห่งราศีพิจิก และแองเจลีนแห่งราศีกรกฏก็ดังขึ้นพร้อมกับด้วยน้ำเสียงแตกตื่นสุดขีด
‘มหาเทพ ระวังดัชนีอัคคีด้วย….อิอาร่าหยุดยั้งร่างตนเองไม่ได้แล้ว…’
‘ปุษหัตถ์ แห่งราศีกรกฏทำลายทุกสรรพสิ่ง มหาเทพ ต่อต้านตรงๆ ไม่ได้ …’
ปราณ ที่มีอำนาจทำลายสะท้านโลกของเทวนารีแห่งราศีพิจิกอันเกิดจากอัคคีธาตุ และเทวนารีราศีกรกฏอันเกิดจากปฐวีธาตุ กระหน่ำเข้าหาไกรวิทย์พร้อมกัน ตามมาด้วยหมอกที่ผนึกตัวของวิชาวารีพิฆาตของเทวนารีราศีกุมภ์ที่รวมตัวอีก ครั้งและพุ่งกระหน่ำตามมาอำนาจของวิชาปราณจากสามเทวนารีอันเกิดจากธาตุที่ แตกต่างทำให้ไกรวิทย์ไม่สามารถผนึกธาตุขึ้นต่อต้านแต่ละวิชาได้ทันในคราว เดียว ดวงตาชายหนุ่มพลันทอประกายเจิดจ้า เกราะนิลกาฬเปล่งประกายสีดำกระจายออก พร้อมกับมวลพลังสีดำเข้มข้นแผ่พุ่งออกปะทะพลังปราณสูงสุดยอดของสามเทวนารี
…….เปรี้ยง…………..ตูม…
เสียง ระเบิดกึกก้องดังขึ้นเมื่อกาฬปราณกระทบกับพลังที่แตกต่างกันสามสาย ร่างไกรวิทย์ปลิวไปด้านหลังด้วยพลังกระแทกมหาศาล เช่นเดียวกับร่างของ อิอาร่า โยนา และ แองเจลลีน ที่ปลิวละลิ่วออกไปจากศูนย์กลางการปะทะพลัง ท่ามกลางเสียงอุทานของเซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา แต่ยังไม่ทันที่เทวนารีทั้งสี่จะสาดพุ่งร่างตามไกรวิทย์ คลื่นจิตที่สั่นสะท้านจากเทวนารีสี่นางที่หลงเหลือก็ดังขึ้นพร้อมกับร่าง ทั้งสี่แยกย้ายกันพุ่งเข้าหา
‘เซี่ยวเล้ง ระวังไว้ กาสรฆาตของเรานาเดียแห่งราศีพฤษภ หยุดยั้งไม่ได้แล้ว..’
‘เรอินะ…ป้องกันตนเองด้วยซาโรยีควบคุมมหาวายุไม่อยู่….’
‘แม่นางแอนโดรเมดา…ระวังนขยุทธ์ให้ดี เราอาชีร่ายับยั้งตนเองไม่สำเร็จ ….’
‘แม่นางเมดูซ่า เรามารีอาแห่งราศีกันย์กำลังใช้อนันตวายุกับท่าน….นี่ไม่ใช่วิชาที่ตะรับโดยตรงได้’
ท่าม กลางเสียงเร่งร้อนของจิตที่ส่งออกมา ร่างอวบอัดที่ผนึกพลังกาสรฆาตของนาเดียพุ่งวาบเข้าหาเซี่ยวเล้งราวประกายไฟ พร้อมกับซาโรยีพุ่งเข้าหาเรอินะ อาชีร่าผนึกกรงเล็บนขยุทธ์วาบเข้าประชิดเมดูซ่า และมารีอาก่อพลังลมแห่งอนัตวายุโถมเข้าหาแอนโดรเมดา… ทำให้เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา ต้องละความต้องการที่จะติดตามร่างไกรวิทย์ไปในทันที และผนึกวิชาปราณประจำตนขึ้นปะทะกับมวลพลังปราณทั้งสี่สายที่กระหน่ำเข้าหา
…………..เปรี้ยง……….
————————–
ร่าง ไกรวิทย์ที่ถูกมวลพลังปราณของสามเทวนารีโจมตีพร้อมกัน ปลิวออกจากศูนย์กลางพลังไปยังตำแหน่งของจักราวุธดาราสมุทรที่ยังคงส่งคลื่น ความร้อนทะลวงผ่านพื้นมหาสมุทรลงไปอย่างต่อเนื่อง ในใจชายหนุ่มอดเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้เมื่อพบว่าพลังจากธาตุที่แตก ต่างกันทั้งสามผนึกตัวเข้าปะทะกาฬปราณที่ถูกส่งออกไปป้องกันตัวอย่างฉุก ละหุก ซึ่งแม้จะสามารถป้องกันตนเองได้ ก็ยังคงถูกพลังมหาศาลสะท้อนออกมาจนไม่สามารถควบคุมร่าง แต่เมื่อผ่านการโคจรปรับสภาพปราณเพียงวูบเดียว ร่างไกรวิทย์ก็กลับหยุดนิ่งกลางอากาศได้อีกครั้ง สายตาที่แหลมคมของเทพเจ้าจับจ้องผ่านม่านไอน้ำไปยังเงาร่างสามสายของโยนา อิอาร่า และแองเจลลีน ที่ดีดตัวกลับเข้ามาหาราวประกายไฟ พร้อมด้วยมวลปราณที่สามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง แต่ดวงหน้าที่งดงามราวเทพธิดาของเทวนารีทั้งสามกลับไม่ปรากฏสภาวะอารมณ์ของ เทวนารีผู้กำลังต่อสู้ศัตรูแม้แต่น้อย หากแต่กลับเป็นใบหน้าที่แตกตื่นอย่างรุนแรงกับการเคลื่อนที่ของร่างกายตนเอง ที่กลับอยู่เหนือการควบคุมของจิต
‘นี่เกิดอะไรขึ้น เหตุใดพวกเราจึงไม่สามารถบังคับตนเองได้ เราหาได้ต้องการต่อสู้กับมหาเทพวิรุณปักขะไม่..’
จิตของเทวนารีราศีกุมภ์นามโยนา แผดร้องออกมาอย่างแตกตื่น เมื่อพบว่าร่างของตนเองกลับหมุนคว้างเข้าหาไกรวิทย์ด้วยท่าร่างแผ่วพริ้วราว สายน้ำ มวลปราณที่ก่อตัวจากหมอกน้ำถูกสะบัดออกจากฝ่ามือทั้งสองจู่โจมใส่ไกรวิทย์ ต่อเนื่องด้วยอำนาจทำลายที่สามารถกระทแกผู้ทรงปราณทุกคนในโลกให้กลายเป็นเศษ เนื้อในพริบตา
‘ดัชนีอัคคีของเราก็ก่อตัวไม่หยุด ปราณของเราทะลักออกตลอดเวลาไม่ยอมโคจรกลับเข้าจักร หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปราณในร่างของเราก็จะเหือดหายไปสิ้น….’
จิตของอิอาร่า เทวนารีราศีพิจิก ร่ำร้องออกมาอย่างแตกตื่น แต่ร่างหญิงสาวกลับพลิ้ววูบวาบด้วยท่าร่างที่สามารถหลอนสายตาของคู่ต่อสู้ พร้อมกับปล่อยมวลพลังที่ร้อนแรงราวแสงเลเซอร์ของโลกปัจจุบันถูกปล่อยออกจาก นิ้วทั้งสิบเป็นสาย พุ่งโจมตีระดมเข้าใส่ร่างไกรวิทย์ พร้อมกับมวลพลังรูปคีมของปุษหัตถ์ที่ส่งออกมาจากสองฝ่ามือของแองเจลลีน เทวนารีราศีกรกฏ ที่พุ่งเข้าหาจากอีกด้าน ด้วยจิตที่สั่นสะท้าน
‘มหาเทพระวังไว้ แองเจลลีนควบคุมปุษหัตถ์ไม่ได้…’
พลัง ทั้งสามสายรวมตัวเข้าโจมตีไกรวิทย์อีกครั้ง ท่ามกลางจิตร่ำร้องขัดขืนของสามเทวนารี ดวงตาไกรวิทย์สาดประกายวูบ ร่างสูงโปร่งพลันหมุนคว้างขึ้นสู่อากาศเพื่อหลบหลีกการโจมตีที่มีพลัง สะเทือนฟ้าดินนั้น แต่แล้วดวงตาไกรวิทย์ก็ต้องสาดประกายวูบเมื่อพบว่าแทนที่พลังทั้งสามจะพุ่ง พลาดเป้าหมายไปดังที่ควรจะเป็น มวลปราณของปุษหัตถ์ พลันผสานเข้ากับหมอกน้ำแห่งปราณวารีพิฆาต ก่อเกิดพลังแหลมคมการเกรี้ยวหันเหทิศทางขึ้นสู่เบื้องบนตามติดร่างไกรวิทย์ พร้อมดัชนีอัคคีที่กระจายออกจากสิบนิ้วของอิอาร่าพุ่งตามขึ้นมาล้อมร่างไกร วิทย์ไว้ราวลูกกรงไฟ ก่อนบรรจบกันเหนือศีรษะไกรวิทย์ บีบให้เป้าหมายเผชิญพลังที่ผสานกันของปุษหัตถ์และวารีพิฆาต โดยไม่ยอมให้หลบเลี่ยง ทำให้ไกรวิทย์ต้องขบกรามแน่น ผนึกพลังทั้งหมดเข้าสู่เกราะนิลกาฬ กลุ่มหมอกดำพลันสนิทกระจายออกทุกทิศทาง ขณะที่พลังที่ผสานกันของปุษหัตถ์และวารีพิฆาติกระหน่ำเข้าใส่
…….เปรี้ยง………..
พลัง ปราณเกรี้ยวกราดสองสายที่ผสานกันเป็นหนึ่งเดียวกระแทกเข้าสู่ม่านหมอกดำสนิท ที่เกิดจากกาฬปราณบังเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง มวลพลังกระจายออกทุกทิศทางจนไอน้ำที่กระจายอยู่โดยรอบสลายไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นร่างไกรวิทย์ที่นิ่งสนิทอยู่กลางอากาศ ใบหน้าชายหนุ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัดบอกถึงการสูญเสียปราณในร่างเพื่อผนึก เป็นพลังคุ้มครองร่างแต่เพียงถ่ายเดียว โดยไม่ได้ใช้พลังเพื่อปะทะทำลายคู่ต่อสู้แม้แต่น้อย แต่เทวนารีทั้งสามที่ระดมพลังโจมตีก็มิได้มีเปรียบมากกว่าเท่าใด ร่างงามทั้งสามกระจายกันอยู่ในตำแหน่งสามเหลี่ยมด้านเท่าล้อมไกรวิทย์เอาไว้ ใบหน้างามซีดเผือก ดวงตาทั้งสามคู่ทอแววตื่นตระหนก เมื่อรับรู้ว่าการโจมตีที่ผ่านมาเป็นการดึงพลังปราณออกจากร่างเพื่อโจมตี ถ่ายเดียวโดยไม่มีการป้องกันตนเองแม้แต่น้อย อันเป็นรูปแบบการโจมตีที่ไม่มีเทวนารีนางใดเคยใช้ออกมาก่อน เพราะหากเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังปราณทัดเทียมกัน ย่อมหมายถึงการตกตายไปพร้อมคู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
‘มหาเทพ เหตุใดพวกเราจึงใช้ปราณโจมตีแบบนี้ พวกเราบังคับร่างตนเองไม่ได้ ตอนนี้ปราณของพวกเราที่สูญเสียไปกับการโจมตีกำลังก่อตัวขึ้นใหม่ในไม่กี่อึด ใจข้างหน้าแล้ว…’
จิตสั่นสะท้านของโยนา ส่งออกมาด้วยถ้อยคำที่แทนความคิดของอิอาร่า และแองเจลลีนไปพร้อมกัน ร่างทั้งสามแม้จะหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ แต่มวลปราณที่สูญเสียไปกำลังรวมตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง
‘ตอนนี้ปราณ คุ้มครองกายของพวกเราไม่ได้ส่งออกมาเลย..เกราะปราณพวกเรากำลังใกล้สลายตัว มวลปราณทั้หมดถูกดึงมารวมศูนย์เพื่อเตรียมโจมตี หากมหาเทพจู่โจมพวกเราในขณะนี้ ร่างพวกเราก็จะแหลกสาย….’
จิตแอ งเจลลีนส่งออกมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อรับรู้ชัดเจนว่าแม้บุรุษที่ลอยตัวอยู่ เบื้องหน้าจะมีสีหน้าซีดขาวอันเกิดจากการสูญเสียพลังปราณไปมหาศาล แต่ยังคงมีความสามารถที่จะโจมตีคู่ต่อสู้ได้ ในขณะที่เทวนารีทั้งสามกลับอยู่สภาพที่ไม่สามารถป้องกันตนเอง เพราะปราณทั้งหมดในร่างถูกระดมไปสะสมเพื่อเตรียมโจมตีอีกครั้ง ทันใดนั้นหมอกสีดำที่ห่อหุ้มเกราะนิลกาฬขบนร่างไกรวิทย์พลันสลายวับ พร้อมกับจิตแข็งกร้าวถูกส่งออกมาดังกึกก้องในจิตเทวนารีทุกนางในบริเวณด้วย ปราณแห่งวิชาบัญชาเทพ
‘วิชาปราณผสานธาตุ…นี่หาใช่วิชาที่เหล่า เทวนารีจะเรียนรู้ได้…เฮอะ…ที่แท้เราหาได้ต่อสู้อยู่กับพวกเจ้าเหล่าเท วนารีไม่ แต่ทัณฑ์ผลาญจิตกลับเชื่อมโยงจิตพวกเจ้ากับเทพสุรัสวดีโดยตรง…นางบังคับ พวกเจ้าให้ใช้พลังทั้งหมดโดยไม่ออมรั้ง ไม่ป้องกันตนเอง เพื่อให้เราใช้กาฬปราณทำลายพวกเจ้าทั้งเจ็ดในคราวเดียว’
——————————–
‘เซี่ยวเล้ง ระวังไว้ กาสรฆาตของเรานาเดียแห่งราศีพฤษภ หยุดยั้งไม่ได้แล้ว..’
จิต เร่งร้อนที่เต็มไปด้วยความตกใจของนาเดีย ดังขึ้น ในเวลาเดียวกับที่เทวนารีทั้งสามโหมกระหน่ำโจมตีไกรวิทย์ ร่างในเกราะปราณสีเทาวาววับราวโลหะเปล่งประกายเจิดจ้าบนร่างอวบอัดของนาเดีย เทวนารีแห่งราศีพฤษภพุ่งวาบเข้าหาเซี่ยวเล้ง พร้อมกับพลังปราณที่หนักหน่วงราวพะเนินเหล็กแห่งวิชากาสรฆาต อันเป็นปราณที่กำเนิดจากธาตุดินและเป็นที่รับรู้กันในเหล่าเทวนารีว่านี่คือ ปราณที่แข็งกร้าวที่สุด ซึ่งแม้กระทั่งปราณมังกรวิบัติของเทวนารีแห่งราศีมังกรก็ยังมีชื่ออยู่ใน อันดับรองลงมา แต่แม้ปราณการสรฆาตจะถูกใช้ออกโจมตีเซี่ยวเล้งโดยยังไม่ทันระวังตัวเต็มที ประสบการณ์ในการต่อสู้อันยาวนานทำให้เทวนารีผู้เป็นเลิศในยุทธศาสตร์เช่น เซี่ยวเล้งรู้ดีว่า ปราณที่แหวกฝ่าอากาศเสียงครืนคลั่น เบื้องหน้านั้นไม่สามารถทำลายได้ ดวงตาเรียวยาวราวหงส์เบิกกว้างขึ้น สองมือผนึกท่านพลังขึ้นสามส่วนส่งเข้ากระแทกพลังกาสรฆาตจนบังเกิดเสียงดัง กึกก้องราวฟ้าผ่า
……….เปรี้ยง………..
ร่างสูงโปร่งในเกราะปราณสีฟ้าของเซี่ยวเล้งอาศัยแรงสะท้อนของพลังหมุนคว้าง ขึ้นสูง ปราณในร่างหญิงสาวผนึกขึ้นเต็มกำลัง กระแสพลังนับหมื่นสายที่จิตของผู้ทรงปราณระดับสูงจะรับรู้ได้ถึงภาพมังกรที่ แฝงอยู่ในพลังกระจายออกทั่วร่าง ขณะที่ร่างของนาเดียซึ่งแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการปะทะพลังเมื่อครู่ พุ่งตามขึ้นสู่เบื้องบน พลังกาสรฆาตที่เคยพุ่งออกมาตรงๆแปรตนเองกระจายออกรบด้าน โอบล้อมเซี่ยวเล้งไว้ในม่านพลังในพริบตา
‘เซี่ยวเล้ง….กาสรฆาตรวมตัวเป็นทรงกลมกักศัตรู มันจะบีบอัดร่างท่านจนเป็นผุยผงหากท่านยังไม่ยอมใช้พลังเต็มที่ต่อต้าน…’
จิต นาเดียส่งเสียงเตือนออกมาอย่างเร่งร้อน เมื่อรับรู้ว่าเทวนารีราศีมังกรผู้เป็นคู่ต่อสู้นั้นกลับใช้พลังปะทะพยายาม แยกตนออกจากการต่อสู้โดยไม่ใช้พลังเต็มที่ พลังปราณหลั่งไหลเข้าบรรจบล้อมเซี่ยวเล้งไว้ในม่านพลังที่พร้อมจะกดดันทุก สิ่งภายในให้แหลกสลาย แต่แทนที่เซี่ยวเล้งจะผนึกปราณมังกรวิบัติเข้าปะทะ ดวงตาเรียวยาวราวหงษ์ของหญิงสาวกลับทอประกายวิตก พลังปราณที่แฝงรูปมังกรนับหมื่นสายกลับหมุนวนอยู่รอบกายต่อต้านแรงกดดัน มหาศาลของกาสรฆาต ขณะส่งจิตกลับไปยังคู่ต่อสู้
‘นาเดีย เราท่านต่างรู้ดีว่ากาสรฆาตนั้นกราดเกรี้ยวรุนแรงไร้หนทางทำลาย มังกรวิบัติก็สามารถทะลวงผ่านทุกสิ่งโดยปราศจากปราณจากใดต้านทาน วิชาแห่งเทวนารีทั้งสองนี้ปะทะกันไม่ได้ เพราะมันจะทำลายล้างเราทั้งคู่ ผู้ที่มีปราณอ่อนด้อยกว่าก็จะถูกทำลายไม่เหลือซาก แต่ผู้ที่เหนือกว่าก็จะบาดเจ็บจนไม่อาจฟื้นฟูได้อีก…ท่านผนึกกาสรฆาตออกมา โดยไม่ออมรั้งปราณปกป้องร่างกายเช่นนี้ บังคับให้เซี่ยวเล้งต้องสละปราณคุ้มกายใช้มังกรวิบัติปะทะเข้าต่อต้าน จุดจบของเราทั้งสองจะมาถึงในพริบตา เซี่ยวเล้งจึงทำได้พียงการผนึกมังกรวิบัติเป็นม่านคุ้มครองร่างเช่นนี้…นา เดียท่านจงพยายามควบคุมจิตให้มั่นคงอย่าให้ทัณฑ์ผลาญจิตนี้ทำลายชีวิตของพวก เราเลย…’
‘เซี่ยวเล้ง…เรากำลังพยายามต่อต้านอย่างเต็มที่ แต่ร่างกายและปราณของเราหายอมตอบสนองไม่ ….โอ เทพสุรัสวดี ท่านอำมหิตนัก…’
นา เดียส่งจิตที่สับสนกลับมา แต่ปราณกาสรฆาตกลับเร่งกดดันปราณมังกรวิบัติที่โคจรอยู่ภายในม่านพลังอย่าง เต็มที่ จนบังเกิดเสียงดังกึกก้องสะท้อนอยู่ภายในม่านพลัง อันเกิดจากมวลปราณมังกรวิบัติพยายามผลักดันกาสรฆาตออกห่างร่างอย่างสุดกำลัง ดวงหน้างามของสองเทวนารีปรากฏแววกังวลอย่างรุนแรง และรับรู้ว่าสภาวะการปะทะพลังปราณเช่นนี้จะดำรงอยู่ได้อีกไม่นานนัก ขอเพียงฝ่ายใดอ่อนกำลังลงปราณทั้งสองก็จะระเบิดพลังเข้าหากันจนทำลายทุกสิ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
———————-
………..บรึม…..บรึม……บรึม…………..
อีก ด้านหนึ่งของการต่อสู้ระหว่างนาเดียกับเซี่ยวเล้ง ร่างโปร่งบอบบางของเรอินะ ก็กำลังพุ่งแปลบปลาบอยู่กลางอากาศราวนกถลาร่อน โดยมีร่างของซาโรยี เทวนารีราศีแห่งราศีเมษ พุ่งเข้าหา กลุ่มเกราะปราณสีม่วงที่ผนึกตัวเป็นก้นหอยข้างศีรษะของหญิงสาวผู้มาจากนามิ เบียสาดแสงเรืองรอง ส่งคลื่นแสงเป็นลำไปรวมตัวที่มือทั้งสองของหญิงสาว ก่อเกิดพลังลมหมุนวนรอบข้อมือและขยายตัวออกไปเป็นรูปกรงจักรที่คมกริบหมุนวน ด้วยความเร็วลมเสียดสีกับอากาศจนขอบด้านนอกของมวลพลังปรากฏแสงสีแดงอันเกิด จากการลุกไหม้ ร่างดำสนิทของเทวนารีแห่งราศีเมษพุ่งวาบเข้าหาเรอินะที่พยายามหลบหลีกด้วย ท่าร่างแคล่วคล่อง พร้อมกับแสงสีส้มเจิดจ้ารวมตัวกันอยู่ที่ข้อมือเป็นคันศรแสง ระดมปล่อยมวลปราณแห่งธนูสลายกายออกมาราวสายฝน จนเกิดเสียงระเบิดดังถี่ยิบเมื่อปราณของธนูสลายกายกระทบกับกงจักรลมที่แผ่ ออกมาจากสองมือซาโรยี ซึ่งแม้จะไม่สามารถทำลายกงจักรอันก่อตัวจากปราณมหาวายุได้ แต่แรงปะทะก็ยังคงทำให้ร่างซาโรยีที่พุ่งเข้าใส่ชะงักลงวูบหนึ่ง เปิดช่องให้เทวนารีแห่งราศีธนูผู้ปราดเปรียวหลบเหลี่ยงมวลพลังคมกริบที่ผนึก เข้าหาไปได้อย่างหวุดหวิดทุกครั้ง
‘เรอินะ รีบหลบออกไปเดี๋ยวนี้ ปราณในร่างเรากำลังจะก่อมหาวายุเข้าทำลายท่านแล้ว ธนูสลายกายของท่านไม่สามารถต้านทานได้ มีแต่ธนูพิฆาตฟ้าเท่านั้นที่ทรงอำนาจพอจะทำลายเราไปพร้อมกับการถูกบังคับ ร่างกายเช่นนี้…’
จิตซาโรยีร่ำร้องเตือนให้เรอินะหลบเลี่ยงจาก การปะทะ เมื่อรับรู้ว่าพลังลมรูปกงจักรที่หมุนวนอยู่ที่ข้อมือนั้นกำลังเพิ่มความ รุนแรงขั้นทุกขณะจนใกล้จะปลดปล่อยพลังพลังมหาวายุออกสู่เป้าหมาย แต่ร่างหญิงสาวกลับเร่งความเร็วไล่ตามร่างของเรอินะไม่หยุดยั้ง ทำให้เด็กสาวผู้เคยดำรงศักดิ์เทวนารีราสีธนูร่วมกับซาโรยีในจักราศี ต้องพริ้วกายหลบไปอย่างฉิวเฉียด คันธนูแสงที่เคยปล่อยพลังธนูสลายกาย พลันแปรเปลี่ยนสีส้มสุกสว่างกว่าเดิม พร้อมกับปล่อยธนูสลายจิตออกต่อต้าน จนกระแสลมที่กราดเกรี้ยวรอบด้านนั้นแตกเป็นช่องว่าง เปิดเส้นทางให้ร่างบอบบางของเด็กสาวฉวัดเฉวียนไปมาตามช่องว่างของกระแสลม กราดเกรี้ยว
‘พี่ซาโรยี…เรอินะไม่อาจใช้ธนูพิฆาตฟ้าออกได้ เพราะนั่นหมายถึงการทำลายร่างกายและจิตของท่านจนสูญสลายไป นั่นเป็นทัณฑ์สำหรับผู้เลวร้ายจนไม่สมควรจะเวียนว่ายในชาติภพต่อไป หาใช่พี่ซาโรยีที่ถูกควบคุมจากทัณฑ์ผลาญจิตไม่…’
‘แต่หากปล่อย ไว้เช่นนี้พลังของทั้งหมดก็จะปลดปล่อยออกทำลายท่าน เรายินยอมสูญเสียร่างกายและติตวิญญาณดีกว่าจะให้ร่างกายนี้ทำร้ายผู้ที่ ปราศจากความผิดเช่นเรอินะ…จงใช้ธนูพิฆาตฟ้ากับเราเถอะ..’
จิตซา โรยีเร่งเร้าออกมาไม่ขาดระยะท่ามกลางเสียงอื้ออึงของลมพายุที่กำลังก่อตัว ขึ้นรอบร่าง บอกให้เรอินะรู้ว่าจิตแห่งเทวนารีได้กลับสู่ซาโรยีโดยสมบูรณ์ จนยินยอมสละชีวิตตนเองเพื่อดำรงคำสัตย์ที่ให้ไว้กับกฎเทพเจ้าแห่งเทวนารี แต่ยังไม่ทันที่เรอินะจะโต้ตอบ พลังลมจากสองมือของซาโรยีก็พลันหดวูบลง แล้วระเบิดมวลปราณออกมาจากสองฝ่ามือด้วยพลังมหาวายุขั้นสูงสุด จิตเรอินะรับรู้ได้ถึงมวลปราณที่แฝงรูปกงจักรนับไม่ถ้วนแผ่พุ่งเข้าหา ซึ่งแม้จะมีเกราะปราณคุ้มครอง แต่เรอินะก็รู้ดีว่าวิชาปราณสุดยอดของเหล่าเทวนารีทุกนางนั้น ไม่มีเกราะปราณใดต้านทานได้ เด็กสาวสูดลมหายใจลึกยาว เตรียมปะทะกับมวลพลังแห่งมหาวายุที่กระหน่ำเข้าหา
—————————–
‘อนันตวายุ….’
จิต เมดูซ่าส่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความตื่นตัวเต็มที่ เมื่อรับรู้ถึงมวลปราณที่พร่างพรมเข้าหาราวใยไหมอันละเอียดอ่อนทอประกายเงิน ยวง แผ่ซ่านไปทุกทิศทางอันมีที่มาจากทุกรูขุมขนบนร่างของมารีอา เทวนารีแห่งราศีกันย์ ซี่งแม้จิตของเมดูซ่าจะเพิ่งตื่นจากการครอบงำด้วยอำนาจจิตอสรพิษโบราณ แต่ความทรงจำแห่งเทวนารีมหาอาณาจักรปราณนั้นยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ เทวนารีแห่งราศีกรกฏจึงทราบดีว่าสายใยอันดูเหมือนจะอ่อนโยนนุ่มนวลราวหญิง สาวพรหมจรรย์แห่งราษีกันย์นั้น หากปล่อยให้กระทบร่างกายเมื่อใด สายใยเหล่านั้นจะสลายผิวกายให้กลายเป็นฝุ่นได้ในพริบตา ด้วยอำนาจแห่งธาตุวายุที่หมุนวนเวียนอยู่ภายในทุกอนุภาคของสายใยแห่งอนันต วายุ ร่างงามของเมดูซ่าพลันกระจายพลังปราณทั่วร่างออก เกราะปราณสีเข้มเข้มเปล่งประกายราวหยก สองมือประสานไขว้ที่ทรวงอก นิ้วหัวแม่มือประกบนิ้วชี้ ก่อรูปเป็นวงกลมสองวงเกี่ยวกัน พร้อมกับพลังมหาศาลก่อตัวขึ้นในฝ่ามือ
‘แม่นางเมดูซ่า อนัตวายุกำลังจะครอบคลุมท่านแล้ว รีบหนีก่อนที่ร่างท่านจะสลาย…..’
จิต แผดร้องด้วยความตื่นตระหนกของมารีอาส่งออกมาอย่างเร่งร้อนเมื่อรับรู้ว่า ปราณของตนเองกลับก่อเกิดอนันตวายุโจมตีหญิงงามนามเมดูซ่า โดยที่มารีอาไม่สามารถควบคุมได้ แต่ทันใดใยปราณอนันตวาบุครอบคลุมลงสู่เป้าหมาย พลังปราณอันแข็งกร้าวรุนแรงก็พลันระเบิดดอกจากสองฝ่ามือของเมดูซ่า ก่อเกิดมวลพลังรูคีมสองสายหมุนเป็นเกลียววงกลมทะลวงผ่านม่านอนันตวายุออกมา จนข่ายใยอันสลับซ้อนนั้นแตกกระจายเป็นช่องว่าง และก่อนที่ข่ายใยนั้นจะปิดตัว ร่างเมดูซ่าก็หมุนควงพุ่งตามพลังปุษหัตถ์ทั้งสองออกมาจากใยของอนันตวายุ
‘ยอด เยี่ยมยิ่ง…นี่คือปุษหัตถ์เวียนวนวิชาปราณสุดยอดของเทวนารีราศีกรกฏใน ตำนาน ซึ่งแม้แต่เองเจลลีนเอง นางก็ยังไม่สามารถบรรลุถึง ที่แท้เมดูซ่าท่านคือเทวนารีแห่งมหาอาณาจักรปราณจริงๆ…แต่..ทำไมท่านจึง ไม่ใช้มันกับเรา….’
จิตมารีอาซึ่งแม้จะถูกควบคุมร่างกาย แต่ยังคงส่งจิตอุทานด้วยความชื่นชมเมื่อพบว่าคู่ต่อสู้ของตนใช้วิชาปราณที่ สาบสูญของเทวนารีราศีกรกฏทะลวงผ่านอนันตวายุออกมาโดยปราศจากอาการบาดเจ็บ ใดๆ แต่ในตอนท้ายจิตของหญิงสาวก็กลับร้องออกมาด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าพลังหมุน วนทั้งสองสายกลับถูกเมดูซ่าผลักดันออกไปสองข้างกายโดยไม่โจมตีกลับ ทั้งที่ตนเองกลับบังคับใยของอนัตวายุกลับเข้าหาเป้าหมายอีกครั้ง
‘มา รีอา แม้ท่านจะโจมตีเราด้วยอนันตวายุอันร้ายกาจ แต่เราหาใช่ศัตรูท่านไม่ พลังของท่านรุนแรงสุดแสน แต่ปราศจากความประสงค์ร้ายอันเกิดจากจิตส่วนลึกแม้แต่น้อย…เราจึงไม่ต้อง การให้ท่านบาดเจ็บกับปุษหัตถ์….อืมห์…สายคาดวายุ…นานแล้วที่ไม่ได้พบ เห็น…’
ยังไม่ทันที่เมดูจะถ่ายทอดจิตจบ หญิงสาวก็พลิกร่างวูบพุ่งลงสู่เบื้องล่าง หลบหลีกมวลพลังอนันตวายุที่กลับเข้ารวมตัวอีกครั้ง แต่แทนที่พลังนั้นจะแผ่กระจายออกล้อมร่าง สายใยปราณกลับหมุนวนเข้ารวมกันเป็นเส้นสายส่งประกายเจิดจ้า ฟาดแหวกอากาศดังสนั่นเข้าหาเมดูซ่าราวกับแส้อันกราดเกรี้ยว
‘นี่ นี่ …เราหาได้สำเร็จวิชานี้ไม่ สายคาดวายุก็เช่นเดียวกับปุษหัตถ์เวียนวนของท่าน เป็นวิชาที่สาบสูญของเทวนารีราศีกันย์ พลังทุกสายต้องถักทอสอดคล้องกันโดยที่วายุภายในไม่กระทบกระเทือน นี่เกินความสามารถของเราไปแล้ว เหตุใดเราจึงใช้ออกได้….’
จิต แตกตื่นของมารีอาร้องออกมาด้วยความตระหนก ขณะที่สายคาดวายุอันกราดเกรี้ยวกราดฝ่าอากาศพุ่งตามร่างเมดูซ่าลงไปราวกับ กับงูฉกเหยื่อ…
‘เฮอะ…หากสายคาดนี้ใช้ออกโดยเทวนารีราศีกันย์ เช่นพี่รินลดา พี่สาวเราผู้ซึ่งมหาเทพประทานบอกมาก่อนหน้านี้ เราเองก็คงหาทางรอดได้ยาก แต่สายคาดวายุของมารีอาท่านยังไม่สามารถทำร้ายเราได้หรอก..เอ๊ะ…’
จิตเมดูซ่าอุทานออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ว่าสายคาดวายุที่พุ่งเข้าหานั้นกลับแตกหมุนควงเป็นวงราวขดลวด สปริง ส่วนปลายแตกออกเป็นแปดแฉก ปิดกั้นทางหลบหนีทั้งปวง พร้อมกับพลังสายที่เก้าพุ่งออกมาจากศูนย์กลางของขดลวดวาบเข้าหาบีบบังคับให้ ไม่มีมีทางเลือกอื่นนอกจากปะทะพลังโดยตรง ดวงตาเมดูซ่าเบิกกว้าง จิตที่เคยถูกควบคุมโดยอสรพิษโบราณพลันปรากฏความทรงจำขอองการต่อสู้แห่ง อสรพิษขึ้น ร่างงามม้วนบิดในท่วงท่าขัดต่อการเคลื่อนไหวของมนุษย์ หมุนเป็นวงเคลื่อนวาบไปตามแกนกลางสายคาดวายุที่กระจายออก พร้อมกับปุษหัตถ์ที่ผนึกขึ้น
‘มารีอา ระวังไว้….’
…..เปรี้ยง…….
พลัง รูปคีมของปุษหัตถ์หมุนควงเป็นวงไปคามแกนสายคาดวายุกระแทกใส่กึ่งกลางทรวงอก ที่ปกคลุมด้วยเกราะปราณของมารีอา จนเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง ร่างมารีอาปลิวกระเด็นออกไปในอากาศราวว่าวขาดป่าน พร้อมกับเกราะปราณสีขาวบริสุทธิ์ที่บริเวณทรวงอกแตกออกเป็นวงกว้างขนาดเท่า ฝ่ามือปลิวว่อนไปในอากาศ … ใบหน้าหญิงสาวซีดเผือก พลังอนันตวายุที่เคยกระจายออกจากทุกขุมขนพลันสลายวับพร้อมเกราะปราณที่ปก คลุมร่าง ปล่อยให้ร่างเปลือยขาวโพลงร่วงลงสู่พื้นน้ำราวดาวตก แต่เพียงวูบเดียวร่างนั้นก็กลับเข้ามาอยู่ในวงแขนของเมดูซ่า ที่พุ่งตัวลงไปช้อนรับ ดวงตาเมดูซ่าก้มลงจับจ้องใบหน้ามารีอาอย่างพิจารณา มือขวาหญิงสาวเกาะกุมทรวงอกเปลือยเปล่าด้านซ้ายที่ตั้งเต้าชูตระหง่านเนื่อง จากปราศจากเกราะปราณปิดกั้นไว้ ก่อนก้มศีรษะลงแนบริมฝีปากมารีอาพร้อมกับถ่ายทอดปราณเข้าพิทักษ์หัวใจที่ สั่นระริกให้สงบลง
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของมารีอาค่อยๆ เปิดขึ้น และเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อรับรู้สัมผัสของริมฝีปากนุ่มนวลที่ประทับ กับริมฝีปากตนเอง พร้อมกับสัมผัสทางกายที่พบว่าร่างของตนเองอยู่ในอ้อมแขนของเมดูซ่า และทรวงอกถูกมือเรียวงามของเมดูซ่าเกาะกุมไว้ เทวนารีแห่งราศีกันย์พยายามสะบัดกายให้หลุดพ้น แต่พลังปราณในร่างกลับสะดุดจนไม่สามารถดิ้นรนออกจากการเกาะกุมได้ แต่เพียงแว่บเดียว เทวนารีแห่งราศีกันย์ก็รับรู้ถึงปราณอันอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดเข้าสู่หัวใจ กระจายออกไปตามจักรปราณ ทำให้หญิงสาวรู้ในทันทีว่าศัตรูของตนกำลังพยายามรักษาอาการบาดเจ็บจากพลัง อันไร้ผู้ต่อต้านของปุษหัตถ์ ร่างอวบอิ่มของหญิงสาวจากแคนาดาพลันยุติการขัดขืน ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่เคยเบิกกว้างทอประกายเกรี้ยวกราดพลันอ่อนลงขณะส่งจิตแผ่ว เบาออกมา
‘เมดูซ่า ทะ ทะ ท่าน ทำลายอนันตวายุมีเปรียบเต็มที่ เหตุใดจึงไม่ใช้ปุษหัตถ์สังหารเราไปในคราวเดียว….’
‘มา รีอา ผู้ที่เรา เมดูซ่าต่อสู้ด้วยหาใช่ตัวท่านไม่ แต่เป็นพลังที่บังคับให้ท่านใช้อนันตวายุ เราจึงไม่ต้องการทำร้ายท่านและใช้พลังปุษหัตถ์เพียงกึ่งหนึ่งเพื่อยุติการ ต่อสู้ที่ไร้เหตุผลนี้ นอกจากนั้นอนันตวายุของท่านหาได้พ่ายแพ้ไม่ เพียงแต่เราโชคดีที่เคยเรียนรู้ท่าร่างแห่งอสรพิษ จึงสามารถหลบรอดพลังอนันตวายุที่กระจายออกเป็นเก้าสายของท่าน แต่หาท่านยังคงปราณคุ้มครองร่างเอาไว้ ปุษหัตถ์ของเราก็ยังคงไม่สามารถทำลายเกราะปราณของท่านจนแตกกระจายไปได้เช่น นี้…แต่บัดนี้มวลปราณในร่างท่านกำลังเริ่มก่อตัวฟื้นกลับสู่สภาพเดิมแล้ว ท่านจงสงบใจเอาไว้ อย่าปล่อยให้อำนาจนั้นมาครอบงำจิตใจท่านอีก หากท่านฟื้นปราณได้ก็จงผนึกเกราะปราณกลับสู่ร่างเถอะ มิฉะนั้นแล้วด้วยเรือนร่างเปลือยที่งามสุดฟ้าดินของท่านนี้ แม้แต่เราผู้เป็นสตรีเองก็คงหักห้ามใจไม่ให้เล้าโลมได้อย่างแน่นอน’
จิต ที่เมดูซ่าส่งออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แผงสำเนียงหยอกล้อราวกับกำลังสนทนากับมิตรสหาย ทำให้ใบหน้ามารีอาแดงระเรื่อเมื่อระลึกได้ว่าร่างของตนเองนั้นเปลือยเปล่า อยู่ในอ้อมเมดูซ่า และส่งจิตตอบมาอย่างแผ่วเบา
‘เราไม่สามารถควบ คุมปราณในร่างได้ วิชาอนันตวายุที่เราใช้ออกก็แปลกไปราวกับไม่ใช่ตัวเราเอง ปราณทั่วร่างถูกส่งออกไปกับการโจมตีโดยไม่มีการออมรั้งป้องกันตัว….ดีที่ เมดูซ่าท่านรับรู้และยั้งปุษหัตถ์ไว้จนเราบาดเจ็บเพียงทำให้ปราณในร่างชะงัก ลง แต่ตอนนี้ปราณเรากำเนิดขึ้นในจักรอัคคีแล้ว…เพียงแต่หากเรา…เอ๊ะ…’
จิต เมดูซ่าอุทานออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ว่าปราณในร่างที่กำลังฟื้นตัวต่อเนื่องนั้น กลับอยู่ในการบังคับของจิตตามปกติ โดยปราศจากการแทรกแซงบังคับให้ปราณผนึกตัวในวิชาอนันตวายุเหมือนที่ผ่านมา หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้งพร้อมกับกระจายปราณโคจรย้อนทวนเส้นเลือดทั้งห้า กระจายไปตามเส้นเลือดเพื่อก่อเกิดเกราะปราณ แต่ในทันใดที่เกราะแผ่ออกปกคลุมร่างหญิงสาวก็อุทานออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ถึงจิตตานุภาพมหาศาลพยายามกลับเข้าครอบงำร่าง แต่กลับวนเวียนอยู่โดยไม่สามารถเข้าแทรกแซง จิตของเทวนารีแห่งราศีกันย์บังเกิดความเข้าใจสว่างวาบในจิตราวสายฟ้าทำลาย ความมืดยามราตรี พร้อมกับส่งจิตสั่นสะท้านออกมา
‘จิตนั้นยังคง อยู่ แต่เข้าบังคับเราไม่ได้ เมดูซ่าจงฟังเรา เรารู้แล้วว่าจิตเราถูกควบคุมได้อย่างไร แต่บัดนี้ปราณของเรายังไม่สมบูรณ์พอที่จะส่งจิตให้ทุกคนรับรู้ได้ ท่านจงแจ้งมหาเทพตามที่เราจะบอกเดี๋ยวนี้…’
———————————-
……….ควับ……….ควับ…………เปรี้ยง………
ตรง กันข้ามกับการปะทะปราณแห่งเทวนารีเช่นเซี่ยวเล้งกับนาเดีย เรอินะกับซาโรยี และเมซ่ากับมารีอา แอนโดรเมดา และ อาชีร่าซึ่งต่างครองศักดิ์เทวนารีราศีสิงห์ กลับทะยานเข้าต่อสู้ในระยะประชิดตัว กรงเล็บนขสิงห์ที่แข็งแกร่งสุดแสนของทั้งสองตวัดเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้อย่างดุ ร้ายราวกับสัตว์ป่ากำลังต่อสู้แลกชีวิตกัน เสียงขวับเคี้ยวของกรงเล็บปราณแหวกฝ่าอากาศมุ่งฉีกกระชากร่างฝ่ายตรงข้ามให้ แยกเป็นหลายส่วน และบางครั้งกรงเล็บทั้งสองก็ปะทะกันจนบังเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง ผลักดันให้คู่ต่อสู้ทั้งสองห่างจากกันชั่วอึดใจ ก่อนจะทะยานเร่างกลับเข้าปะทะกรงเล็บอีกครั้ง ท่าร่างปราดเปรียวแคล่วคล่องของสองเทวนารีทำให้กรงเล็บนขสิงห์นั้นเฉียดผ่าน ร่างกันและกันอย่างหวุดหวิดจนบางครั้งแทบกระทบผิวกาย เกราะปราณสีทองสุกปลั่งทั้งสองเต็มไปด้วยริ้วรอยจากพลังนขสิงห์ที่เฉียดพุ่ง ผ่าน บอกให้รู้ว่าหากพลังสามารถกระทบร่างกายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แม้แต่เกราะปราณแห่งเทวนารีนั้นก็ยังไม่สามารถต้านทานนขสิงห์ที่แข็งแกร่ง สุดยอดได้
เรือนผมสีทองยาวสยายของแอนโดรเมดาและเรือนผมดำสนิท ของอาชีร่าแผ่กระจายออกจากศีรษะราวแผงคอของพญาราชสีห์ยามศึก เศษผมสีทองและดำปลิวเวียนว่อนยามปลายผมถูกพลังนขสิงห์กวาดผ่าน แต่แทนที่เศษผมนั้นจะตกลงสู่พื้นมันกลับพัดปลิวเวียนว่อนอยู่รอบกายคู่ ต่อสู้ทั้งสองบอกให้รู้ดึงพลังปราณที่หมุนเวียนอยู่ในขอบเขตการปะทะไม่ กระจายออกสู่ภายนอก ซึ่งยิ่งแสดงให้รู้ว่าสองเทวนารีกำลังต่อสู้อยู่ภายในขอบเขตพลังปราณที่ รุนแรงเกรี้ยวกราดจนหากมีผู้หนึ่งผู้ใดอ่อนด้อยเพียงเล็กน้อย ร่างก็จะถูกนขสิงห์ฉีกกระชากออกเป็นเศษเนื้อในทันที
ปราณในร่างแอ นโดรเมดาที่ผนึกปราณแห่งเทวนารีราศีสิงห์ ปราศจากการแบ่งปราณใช้ในการป้องกันตัวแต่อย่างใด ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของเทวนารีราศีสิงห์ที่ปราณจะนำจิตใจ จนทำให้หญิงสาวผู้มีจิตอ่อนโยนเช่นเมดูว่ากลับเป็นพญาราชสีห์ที่กราดเกรี้ยว พร้อมแลกชีวิตกับคู่ต่อสุ้โดยปราศจากความเมตตา และเมื่อต้องมาปะทะกับอาชีร่าเทวนารีผู้ครองปราณจากผลึกราศีสิงห์ ที่ถูกควบคุมปราณโดยทัณฑ์ผลายญจิต ทำให้การต่อสู้ของเทวนารีทั้งสองมีสภาพดุร้ายสุดขีด โดยปราศจากจิตไตร่ตรองใดๆ
……….แคร็ง…………….
เสียง กังวานก้องดังสนั่นขึ้นเมื่อร่างแอนโดรเมดาพลันแปรท่าร่างบิดหมุนเป็นวง เกลียวราวกับพญางู เกิดช่องว่างรูปวงกลมในพริบตาทำให้ร่างที่โถมเข้าใส่ของอาชีร่าทะลวงผ่าน ช่องว่างนั้นไป พร้อมกับกรงเล็บนสิงห์ที่ส่วนเท้าของแอนโดรเมดาแหวกฝ่าลงมาในช่องว่างจากมุม ที่ขัดต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์ โจมตีลงมายังศีรษะอาชีร่า ดวงตาหญิงสาวจากอินเดียเบิกโพลงด้วยความตระหนกเมื่อรับรู้ว่านขสิงห์ไม่ สามารถกวัดแกว่งขึ้นปิดป้องได้ทัน ร่างอาชีร่าพลันหดวูบเพิ่อหลบเลี่ยงพลังเกรี้ยวกราดที่กวาดกรงเล็บเข้าหา จนนขสิงห์จากส่วนเท้าของแอนโดรเมดาพลาดเป้าหมายไปอย่างฉิวเฉียด แต่เกราะปราณที่ปกป้องศีรษะของอาชีร่ากลับถูกนขสิงห์ตัดผ่านเต็มที่จน บังเกิดเสียงดังสะท้านราวโลหะกระทบกัน เกราะปราณส่วนศีรษะของอาชีร่าปลิวว่อนออกมาหมุนคว้างอยู่วงพลัง ร่างงามของอาชีร่าพลันชะงักวูบพร้อมส่งจิตกราดเกรี้ยวที่แฝงความแตกตื่นสุด ขีดออกมา
‘นี่เป็นวิชาท่าร่างใด ในบรรดาท่าร่างแห่งเทวนารีหามีท่วงท่าเช่นนี้ไม่…’
‘เฮ อะ..ดังที่เราบอกต่อท่านมาก่อนหน้า นขยุทธ์ที่ปราศจากกาฬปราณ ก็เป็นเพียงวิชาตายตัว แม้จะแกร่งกร้าวยิ่ง แต่หากปราศจากความอ่อนหยุ่นที่จะแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะการต่อสู้ นั่นหาใช่นขสิงห์ที่แท้จริงไม่ ท่าร่างของเรานี้มาจากการต่อสู้นับพันปีกับอสูรเมดูซ่าผู้ต้องสาป เราเฝ้าศึกษากระบวนร่างการเคลื่อนไหวของอสรพิษ จนสร้างท่าร่างขึ้นมาผสานในการต่อสู้’
‘เหลวไหล นขยุทธ์แห่งจักราศี หาถูกวิชามารเช่นนี้ทำลายได้ไม่ แต่..เอ๊ะ เหตุใดเราจึงควบคุมปราณได้อีกครั้ง ทั้งที่เมื่อครู่ร่างเราถูกบังคับให้ต่อสู้กับแอนโดรเมดาท่าน’
แม้ จิตอาชีร่าในช่วงแรกยังตอบโต้กราดเกรี้ยวกับแอนโดรเมดาด้วยอำนาจปราณ แต่นขสิงห์ของหญิงสาวกลับค่อยๆ ลดระดับลง จนในช่วงหลังกลับดูเสมือนว่าสติควบคุมตนเองจะกลับเข้าสู่ร่างอีกครั้ง หลังจากเกราะปราณที่ศีรษะถูกนขสิงห์ของแอนโดรเมดาทำลายไป ดวงตาหญิงสาวทอแววสับสนงุนงง ร่างที่เคยเคลื่อนไหวด้วยท่าร่างปราดเปรียวกับหยุดนิ่งกลางอากาศ ทำให้แอนโดรเมดาซึ่งกำลังเตรียมฉกฉวยโอกาสได้เปรียบในการต่อสู้เข้าโจมตี พลอยหยุดการเคลื่อนไหวไปด้วย พร้อมกับส่งจิตอ่อนโยนนุ่มนวลอันเป็นปกติวิสัยของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรกรี กโบราณออกมา
‘อาชีร่า..เรายินดียิ่งที่ท่านกลับมีสติอีกครั้ง.. เราหาได้ต้องการต่อสู้กับท่านไม่ หากแต่การต่อต้านนขสิงห์ที่ท่านใช้ออกนั้นหากเราไม่ผนึกปราณนขสิงห์ขึ้น ผู้ที่จะกลับกลายเป็นเศษเนื้อทอดกายเป็นศพก็คือเรา…แต่เหตุใดท่านจึงคืน สติได้ ในขณะที่พวกท่านที่เหลือกลับระดมปราณต่อสู้ราวกับจะแลกชีวิตกัน…’
‘โอ เราคงต้องยอมรับแล้วว่า นขสิงห์แห่งเทวนารีของมหาอาณาจักรปราณเช่นท่านเหนือกว่าเราอย่างเห็นได้ชัด เราต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านมาก่อนหน้า และน้อมรับความพ่ายแพ้แล้ว. แต่เหตุใดเราจึงสามารถกลับมาบังคับร่างกายตนเองได้อีกครั้งนั้นเราหาทราบ ไม่ เพียงแต่ดูเหมือนว่าเมื่อเกราะปราณที่ศีรษะเราถูกนขสิงห์ของท่านทำลาย สมองของเรากลับคล้ายมีฟ้าแลบปลาบขึ้น ร่างกายเรากลับเข้าสู่การบังคับของตนเองได้อีกครั้ง…’
แอนโดรเม ดาจับข้องดวงหน้าหญิงสาวจากอินเดียด้วยประกายตายกย่อง เมื่อได้เห็นว่าแม้จะพ่ายแพ้การต่อสู้ แต่อาชีร่ากลับหาได้แสดงท่าทีโกรธแค้นให้เห็นแม้แต่น้อย สะท้อนถึงจิตใจเปิดเผยที่แยกแยะเหตุผลความถูกต้องได้อย่างปราศจากอคติส่วนตน แต่เมื่อจิตอาชีร่าส่งข้อความมาถึงประโยคสุดท้าย ดวงตาคู่งามของแอนโดรเมดาก็พลันเบิกกว้าง พร้อมกับผนึกจิตส่งออกไปหาไกรวิทย์เต็มกำลัง….
‘นายท่าน……จิตพวกนางเหล่าเทวนารีถูกบังคับผ่านเกราะปราณ……’
————————————
‘วิชา ปราณผสานธาตุ…นี่หาใช่วิชาที่เหล่าเทวนารีจะเรียนรู้ได้…เฮอะ…ที่แท้ เราหาได้ต่อสู้อยู่กับพวกเจ้าเหล่าเทวนารีไม่ แต่ทัณฑ์ผลาญจิตกลับเชื่อมโยงจิตพวกเจ้ากับเทพสุรัสวดีโดยตรง…นางบังคับ พวกเจ้าให้ใช้พลังทั้งหมดโดยไม่ออมรั้ง ไม่ป้องกันตนเอง เพื่อให้เราใช้กาฬปราณทำลายพวกเจ้าทั้งเจ็ดในคราวเดียว’
จิตไกร วิทย์เปล่งออกมาด้วยปราณซึ่งบรรจุวิชาบัญชาเทพเปี่ยมล้น ดังกึกก้องในจิตเหล่าเทวนารีทุกนางที่อยู่ในระหว่างการต่อสู้ จนทำให้พลังปราณที่กำลังเตรียมปะทะขั้นแตกหักของเซี่ยวเล้งกับนาเดีย และเรอินะกับซาโรยีชะงักลงวูบหนึ่ง พร้อมกับจิตเร่งร้อนของแอนโดรเมดา และเมดูซ่าดังตามมา
‘นายท่าน……จิตพวกนางเหล่าเทวนารีถูกบังคับผ่านเกราะปราณ……’
‘นายท่าน ทำลายเกราะปราณของเทวนารี นั่นคือช่องทางเชื่อมโยงของทัณฑ์ผลาญจิต’
ดวง ตาไกรวิทย์สาดประกายวูบกับเนื้อหาที่ร่ำร้องผ่านมาทางจิตของแอนโดรเมดาและเม ดูว่า สายตาที่เฉียบคมกวาดผ่านร่างโยนา อิอาร่า และแองเจลลีน สามเทวนารีที่แม้จะชะงักลงวูบหนึ่งเมื่อโสตถูกวิชาบัญชาเทพขัดขวางการเชื่อม โยงของทัณฑ์ผลาญจิต แต่ปราณในร่างหญิงงามทั้งสามก็กลับทวีขึ้นอีกครั้งพร้อมโถมร่างจู่โจมด้วย ปราณประจำตัวเพื่อแลกชีวิตโดยไม่ป้องกันตนเอง
‘มหาเทพ สังหารพวกเราด้วยกาฬปราณเถอะ….พวกเรารู้ว่ามหาเทพยั้งพลังของตนเองไว้ใน การปะทะเมื่อครู่ แต่หากพวกเราต้องกลับกลายเป็นหุ่นของเทพสุรัสวดี พวกเราขอสละชีวิตดีกว่าจะกลับกลายเป็นเครื่องมือทำลายมนุษย์ และบั่นทอนปราณของมหาเทพเช่นนี้’
จิตของโยนาเทวนารีแห่งราศีส่ง ออกมาด้วยน้ำเสียงคับแค้น พร้อมกับจิตสนับสนุนของอิอาร่าและแองเจลลีน ด้วยประสบการณ์ในการต่อสู้อันยาวนานทำให้ทั้งสามรู้ดีว่าไกรวิทย์ เพียงใช้กาฬปราณที่ไร้ผู้ต่อต่านปราณเพื่อป้องกันตนเองโดยไม่มุ่งหวังทำลาย ล้างคู่ต่อสู้ แต่นั่นก็เพียงเป็นการยืดระยะการต่อสู้ออกไปโดยไร้จุดหมาย เพราะในที่สุดเมื่อปราณในร่างของสามเทวนารีสิ้นสูญ พลังที่จะควบคุมผลึกราศี มวลพลังของผลึกราศีก็จะระเบิดออกจากร่างเทวนารีทั้งสามกลับไปสู่หอเก็บผลึก ซึ่งมีผลไม่แตกต่างจากการถูกสังหารด้วยกาฬปราณแต่อย่างใด
พริบ ตาที่พลังปราณที่ทรงอำนาจทำลายล้างมหาศาลทั้งสามสายจะกระทบร่าง ไกรวิทย์พลันหลับตาลง ร่างชายหนุ่มพลันกลับกลายเป็นละอองหมอกสีดำหนาทึบ รับกระแสปราณทั้งสามที่ผนึกเป็นหนึ่งเดียวโยไม่ปรากฏการส่งกาฬปราณออกต่อ ต้าน
‘มหาเทพ…ทำไม่ได้…’
จิตสามเทวนารีร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน เมื่อปราณที่ทรงอำนาจทำลายล้างทุกสรรพสิ่งพุ่งเข้าหาศูนย์กลางของละอองหมอกสีดำเบื้องหน้า
…….ฟุ่บ………
แทน ที่จะเกิดเสียงระเบิดกึกก้องของการปะทะพลัง มวลปราณทั้งสามกลับทะลุผ่านละอองหมอกโดยปราศจากการต้านทาน มีเพียงเสียงดังราวกับเหล็กร้อนแดงจุ่มลงในบ่อน้ำแข็งเกิดขึ้น ละอองหมอกสีดำนั้นพลันกระจายออกเป็นสามกลุ่มแยกกันพุ่งเข้าหาเทวนารีทั้งสาม ก่อนรวมตัวเป็นร่างของไกรวิทย์สามร่างเผชิญหน้ากับ โยนา อิอาร่า และแองเจลลีน
‘เทพกระจายร่าง…….’
……เปรี้ยง….เปรี้ยง….เปรี้ยง……
จิต สามเทวนารีส่งออกมาพร้อมกัน เมื่อพบว่าไกรวิทย์ใช้วิชาแห่งเทพที่ปรากฏเพียงในตำนานเล่าขานออกมา ดวงตาทั้งสามคู่จับจ้องร่างชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง เมื่อร่างไกรวิทย์ทั้งสามพลันแยกย้ายกันใช้ปราณบริสุทธิ์กระแทกเข้าหา บังคับให้เทวนารีทั้งสามต้องส่งพลังปะทะอย่างฉุกละหุกจนเกิดเสียงระเบิดกึก ก้อง ร่างโยนา อิอาร่า และแองเจลลีน กระจายกันออกไปจากศูนย์กลางการปะทะจนไม่สามารถผนึกปราณรวมกันได้ดังเดิม พร้อมกับร่างทั้งสามของไกรวิทย์แยกกันพุ่งเข้าหาโดยไม่เปิดโอกาสให้ผนึกปราณ แห่งเทวนารีขึ้นมา ทำให้ทั้งสามเทวนารีต้องแยกกันต่อสู้โดยต่างใช้ออกด้วยท่าร่างประจำตัวที่ เหล่าเทวนารีใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด พลังปราณกระจายออกจากฝ่ามือทั้งสามคู่เข้าโจมตีร่างแยกแต่ละร่างของไกรวิทย์ ที่หมุนคว้างเข้าหา
—————————
…………..ตูม……………..
ทันที ที่ปราณแห่งวิชาบัญชาเทพดังกึกก้องในจิตเหล่าเทวนารี ปราณกาสรฆาตที่กำลังบีบอัดเข้าบดขยี้ร่างเซี่ยวเล้งก็ผ่อนตัวลงชั่วเสี้ยว วินาที แต่สำหรับเทวนารีที่จิตเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ศึกมานับหมื่นปีเช่นเทวนารี แห่งราศีมังกร เสี้ยววินาทีนั้นก็เพียงพอสำหรับการรวมมังกรวิบัติที่กระจายออกต้านทานพลัง กาสรฆาตเข้าเป็นหนึ่งเดียวแล้วทะลวงขึ้นเหนือศีรษะจนเกิดเสียงระเบิดดัง สนั่น ม่านพลังอันแกร่งกร้าวนั้นแตกเป็นช่องว่าง พร้อมกับร่างเซี่ยวเล้งพุ่งวาบหลุดออกจากม่านปราณ
‘เซี่ยวเล้ง หลบไป….อย่าให้กาสรฆาตกักท่านอีก…..แต่นี่…มันคืออะไร…’
นา เดียส่งจิตที่เต็มไปด้วยความยินดีออกมาเมื่อพบว่าเซี่ยวเล้งสามารถหลุดรอด จากการปะทะพลังกาสรฆาตจนตกตายทั้งสองฝ่ายได้สำเร็จ แต่แล้วจิตของเทวนารีแห่งราศีพฤษภก็พลันอุทานออกมาอย่างแตกตื่น เมื่อพบว่าร่างของตนกำลังกระจายพลังกาสรฆาตอีกครั้ง แต่แทนที่พลังนั้นจะเป็นพลังบริสุทธิ์เช่นที่เคย กลับปรากฏเป็นมวลพลังสีเทาเข้มพลุ่งออกจากร่าง ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วแตกกระจายออกคลุมร่างเซี่ยวเล้งเอาไว้ กระแสพลังสีเทาเข้มที่หนักหน่วงจนราวกับจะผนึกอากาศเป็นของแข็งกดดันใส่ เซี่ยวเล้งเป็นระลอกโดยไม่เปิดช่องว่างใดๆ ให้หลบหนีออกไปได้ ทำให้จิตเทวนารีราศีมังกรผู้รอบรู้ ในวิชาปราณต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจถึงที่สุด
‘นี่คือกาสร ฆาตอย่างแน่ชัด แต่พลังกดดันจนแปรมวลอากาศเป็นวัตถุนี้เป็นการผสานวิชาปราณสลายปฐพี ที่กำเนิดจากธารอสุระเอาไว้ พลังกาสรฆาตบดอัดศัตรูเป็นธุลี พลังสลายปฐพีสลายเซลในร่างแล้วดูดออกจนร่างกายสูญสลาย พลังทั้งสองนี้ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงเหตุใดจึงมาปรากฏในที่เดียวกันได้ นาเดียท่านเรียนรู้ได้อย่างไร…..’
‘เซี่ยวเล้ง นี่หาใช่วิชาปราณของเราไม่ ปราณในร่างเราโคจรเป็นสองสาย โดยเราควบคุมไม่ได้ ….’
จิต นาเดียร่ำร้องตอบมาอย่างแตกตื่นกับปราณที่ผสายเข้าเป็นหนึ่งเดียวสองสาย ขณะที่เซี่ยวเล้งซึ่งถูกกักอยู่ภายในรับรู้ถึงพื้นผิวเกราะปราณที่กำลังเกิด ละอองอันเกิดจากการสลายตัวของเกราะและผิวกายที่เซลผิวหนังเริ่มถูกพลังสลาย ปฐพีดูดออกตลอดเวลา ..ร่างงามถูกตรึงไว้ด้วยพลมวลพลังกาสรฆาตจนแทบไม่สามารถขยับร่างต่อต้านได้ แต่แทนที่จิตของเซี่ยวเล้งจะตื่นตระหนกไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงหน้าหญิงสาวกลับสงบดวงตาจับจ้องศูนย์กลางพลังที่แผ่ออกจากฝ่ามือนาเดีย เป็นรูปเกลียว พร้อมครุ่นคิดถึงจิตที่ไกรวิทย์ ส่งออกมาพร้อมกับ เมดูซ่าและแอนโดรเมดา
‘ปราณผสานธาตุ การเชื่อมโยงผ่านเกราะปราณ ดูท่าเราคงต้องเสี่ยงดูสักคราแล้ว…’
พริบ ตานั้นเกราะปราณมังกรฟ้าบนร่างเซี่ยวเล้งพลันสลายวับ ร่างงามเปลือยเปล่าเปล่งประกายเจิดจ้า พลังปราณระเบิดออกจากทุกรูขุมขน ร่างเซี่ยวเล้งหมุนวนราวสว่านมหึมาก่อเกิดพลังต้านทานการกดดันของกาสรฆาต มวลแสงก่อรูปเป็นมังกรเปล่งประกายเจิดจ้าหุ้มร่างเซี่ยวเล้งหมุนวาบที่พุ่ง วาบลงสู่ศูนย์กลางพลังรูปเกลียวที่หมุนคว้างอยู่เบื้องล่าง
‘เขี้ยวมังกร…..เซี่ยวเล้งท่านจะทำอะไร ’
จิต นาเดียร่ำร้องด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน เมื่อพบว่ามวลหมื่นมังกรที่เคยกอปรเป็นปราณมังกรวิบัติกลับแปรเปลี่ยนเป็น ร่างเซี่ยวเล้งเป็นพลังแหลมคมสายเดียว ด้วยวิชาลับของเทวนารีราศีมังกรที่สาบสูญไปจากการถ่ายทอดมานับหมื่นปีนาม เขี้ยวมังกร วาบเข้ามายังจุดศูนย์กลางกำเนิดพลังกาสรฆาตที่กำลังแผ่พุ่งคลื่นพลังกราด เกรี้ยวออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเทวนารีทุกนางล้วนรู้ดีว่าการเข้าปะทะที่ศูนย์กลางพลังอันเป็นจุดเข้ม แข็งที่สุดของคู่ต่อสู้นั้น หาต่างอันใดกับการฆ่าตัวตายไม่
…………เปรี้ยง………………
เสียง ระเบิดดังกึกก้องขึ้นเมื่อพลังที่แกร่งกร้าวที่สุดในจักรราศีสองขุมซึ่งต่าง ใช้ออกด้วยวิชาปราณสูงสุดที่ไร้การสืบทอดมานับหมื่นปี และไม่เคยมีการปะทะกันมาก่อนในประวัติศาสตร์อันยาวนาน คลื่นเสียงกัมปนาทสะท้านไปทั่วพื้นที่ คลื่นปราณกระจายออกรอบด้านก่อเกิดแสงเจิดจ้าวูบหนึ่ง ก่อนปรากฏร่างของสองเทวนารีปลิวละลิ่วไปทางด้านหลัง โดยมีเซี่ยวเล้งกอดรัดร่างอวบอิ่มของนาเดียไว้แน่น ใบหน้างามสะท้านใจของทั้งสองซีดเผือก ริมฝีปากนาเดียปรากฏเลือดไหลซึมออกมา ทรวงอกตั้งเต้าสะท้อนขึ้นลงถี่ยิบ เกราะปราณส่วนศีรษะที่เคยปรากฏเขาวัวสีขาวสะอาดประดับสองข้างหูนั้น กลับหลงเหลือแต่เพียงเขาด้านซ้าย ขณะที่เขาอีกข้างหนึ่งกลับปรากฏอยู่ในมือของเซี่ยวเล้งที่ฟุบหน้าลงกับกึ่ง กลางทรวงอกนาเดีย ด้วยอาการแน่นิ่งราวกับไร้สติ เกราะมังกรฟ้าค่อยๆ เลือนจางลงทีละน้อย แต่ก่อนที่เกราะปราณของเซี่ยวเล้งจะสลายไป ดวงตานาเดียก็สาดประกายลุกโพลง หญิงสาวสูดลมหายใจลึกยาว ร่างที่ปลิวระลิ่วกลับหยุดนิ่งกลางอากาศ มือขาวสะอาดเอื้อมมาช้อนใบหน้าเซี่ยวเล้งที่ฟุบอยู่กลางหน้าอกขึ้นมา ก่อนประทับริมฝีปากลงกับปากเรียวบางเบื้องหน้า พร้อมกับถ่ายทอดปราณในร่างไปยังคู่ต่อสู้ เพียงครู่เดียวใบหน้าซีดขาวของเซี่ยวเล้งก็ปรากฏสีเลือดขึ้น เกราะปราณที่อ่อนจางกลับปรากฏแสงสีฟ้าเรืองอ่อนๆ ค่อยๆ สานตัวกลับคืนสภาพเดิมพร้อมกับดวงตาเรียวยาวเปิดขึ้นสบกับดวงตาแวววาของนา เดียที่ยังคงประกบริมฝีปากไว้โดยไม่ยอมหยุดถ่ายทอดปราณ สองแขนเทวนารีแห่งราศีพฤษภกอดรัดร่างเซี่ยวเล้งเอาไว้แน่นราวกับเกรงว่าจะ หลุดออกจากอ้อมแขนตกลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่าง สัมผัสที่แนบแน่น ทำให้เซี่ยวเล้งต้องเป็นฝ่ายดิ้นรนถอนริมฝีปากออก จับจ้องใบหน้าแดงระเรื่อของนาเดีย ก่อนส่งจิตแผ่วเบาที่แฝงน้ำเสียงขัดเขินเอาไว้
‘นาเดีย..ปล่อยเรา เถอะ…ปราณในร่างเราฟื้นกลับมาส่วนหนึ่งแล้ว…ขอบคุณท่านที่ถ่ายทอดปราณ คุ้มครองจักรปราณเราจนสามารถกำเนิดปราณได้อีกครั้ง….’
‘เซี่ยว เล้งท่านหาต้องขอบคุณเราไม่ เราเสียอีกที่แม้จะต้องถ่ายทอดปราณทั่วร่างให้ท่านก็ยังหาเท่าเทียมกับสิ่ง ที่ท่าให้กับเราไม่ โอ…เขี้ยวมังกร สมกับเป็นวิชาปราณสูงสุดแห่งเทวนารีราศีมังกรในตำนาน ปราศจากผู้ใดต่อต้านจริงๆ นี่หากเซี่ยวเล้งท่านมิได้ประสงค์ทำลายเขากาสรของเกราะปราณ แต่มุ่งเป้าหมายมาที่ร่างเรา เขี้ยวมังกรคงทะลวงร่างเราแหลกสลาย โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องรับบาดเจ็บแม้แต่น้อย…มังกรวิบัติควรแล้วที่จะ เป็นวิชาปารณที่แข็งแก่งเป็นอันดับแรกเหนือกว่ากาสรฆาตของเรา’
ร่าง งามอวบอิ่มของนาเดียสั่นสะท้านเมื่อระลึกถึงภาพการต่อสู้แลกชีวิตที่ผ่านมา ขณะที่ส่งจิตแผ่วเบามายังคู่ต่อสู้ในอ้อมแขน ทำให้เซี่ยวเล้งต้องเอื้อมมือไปลูบไล้พวงแก้มนาเดียแผ่วเบาราวปลอบโยน
‘นา เดีย ท่านอย่าท้อแท้ไป กาสรฆาตของท่านนั้นต่างหากที่ไร้ผู้ต้านทานอย่างแท้จริง เราเพียงแต่อาศัยโชคดีตัดสินใจฝังเขี้ยวมังกรลงกับจุดกำเนิดพลังอันเป็นจุด ที่แข็งกร้าวที่สุด จนสามารถหักเขากาสรของท่านได้ทันเวลา ทำให้จิตของท่านกลับสู่ปกติ ลดทอนพลังสลายปฐพีที่แฝงอยู่ในกาสรฆาตของท่านลง มิฉะนั้นหากร่างเราสัมผัสศูนย์กลางแห่งกาสรฆาตโดยตรง แม้จะมีเกราะปราณคุ้มร่าง แต่ร่างเราก็จะกลายเป็นธุลีไปอย่างแน่นอน แทนที่จะบาดเจ็บเพียงเท่านี้…’
ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปของเทวนารีราศีพฤษสภเผยอรอยยิ้มบางเบา ขณะส่งจิตตอบ
‘เซี่ยว เล้งท่านไม่จำเป็นต้องกระตุ้นความทระนงของเราเลย เรานาเดียหาได้ยึดติดกับผลแพ้ชนะไม่ โดยเฉพาะเมื่อเราได้เห็นเขี้ยวมังกร อันเป็นวิชาเฉพาะที่สาบสูญของเทวนารีราศีมังกร เราก็รู้ได้ทันทีว่าท่านต้องดำรงจิตของเทวนารีแห่งมหาอาณาจักรปราณ เป็นเทวนารีราศีมังกรที่แท้จริง ในขณะที่พวกเราต่างหาก ที่ใช้ศักดิ์ของเทวนารีโดยไม่มีคู่ควรแม้แต่น้อย…’
‘จิตใจที่ เปิดเผยกระจ่าง เมตตาต่อคู่ต่อสู้ ไม่แสวงหาชัยชนะอย่างไร้เกียรติ…พี่นาเดีย แม้ท่านจะหาใช่เทวนารีแห่งจักราศีในอดีต แต่เซี่ยวเล้งก็ขอยึดถือท่านเป็นเทวนารีผู้เป็นสหายของเซี่ยวเล้งตลอด ไป…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…..’
จิตเซี่ยวเล้งส่งเสียงอ่อนโยนไปยัง นาเดีย ก่อนชะงักลงเล้กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มซ่อนนัยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากงาม ทำให้นาเดียอดส่งจิตถามด้วยความสงสัยไม่ได้
‘โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรกัน……….’
ดวงตาเทวนารีแห่งราศีมังกรทอประกายวาววับ ก่อนเงยหน้าขึ้นประทับจูบลงบนริมฝีปากนาเดียเบาๆ
‘โดย เฉพาะท่านเทวนารีแห่งราศีพฤษภผู้บริสุทธิ์ได้มอบจูบแรกในชีวิตให้กับเซี่ยว เล้ง เช่นนี้เซี่ยวเล้งคงต้องรับผิดชอบนาเดียท่านไปตลอดชีวิตแล้ว…’
ดวง ตากลมโตของนาเดียเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อว่าเทวนารีผู้หยิ่งทะนงเช่นเซี่ยว เล้งจะส่งจิตหยอกเย้าออกมา สองแก้มเปล่งปลั่งของหญิงสาวแดงระเรื่อ ริมฝีปากเผอออกราวกับจะกล่าววาจา แต่ร่างเซี่ยวเล้งพลันดิ้นรนออกจากอ้อมแขน ดวงตาจับจ้องไปที่วงต่อสู้ของเทวนารีทั้งสามคู่ ก่อนส่งจิตออกมาเบาๆ กับนาเดีย
‘ไปหาพวกนางกันเถอะ’
—————————
จิต ไกรวิทย์ ที่ระบุถึงปราณผสานธาตุ และเสียงร้องเตือนของเมดูซ่ากับแอนโดรเมดาที่บอกให้รู้ว่าเหล่าเทวนารีทั้ง เจ็ดล้วนตกอยู่ภายใต้การครอบงำแห่งทัณฑ์ผลาญจิตผ่านเกราะปราณที่เหล่าเทวนา รีสร้างขึ้นคุ้มครองร่าง ไม่เพียงทำให้เซี่ยวเล้งสามารถหาหนทางทำลายเกราะปราณของนาเดียจนสำเร็จ แต่ยังทำให้เรอินะ เทวนารีแห่งราศีธนูซึ่งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจากการถูกโจมตีของปราณ มหาวายุของซาโรยีแห่งราศีเมษ ได้รับรู้ถึงหนทางที่จะทำลายการครอบงำจิตของคู่ต่อสู้เบื้องหน้าในทันทีเช่น กัน
‘เรอินะ….มหาวายุกำลังรวมศูนย์ทำลายท่านแล้ว ระวังไว้…นี่ นี่ คือปราณอันใดกัน’
จิต เร่งร้อนของเทวนารีราศีเมษแผดก้องในจิตเรอินะ พร้อมกับเสียงอุทานด้วยความแตกตื่นเมื่อพบว่ามวลปราณรูปกงจักรแห่งมหาวายุ อันเป็นวิชาปราณสูงสุดนั้นกลับรวมตัวกันในรูปแบบที่เทวนารีแห่งราศีเมษไม่ เคยรับรู้มาก่อน เกราะปราณที่ขดตัวเป็นวงราวเขาแกะที่เหนือใบหูทั้งสองสาดประกายสว่างจ้า ส่งพลังออกมาเชื่อมสองมือซาโรยี เข้าประกบกันที่กลางหน้าอก มวลพลังทั้งปวงที่กักร่างเรอินะพลันถูกดูดกลับเข้าสู่ใจกลางสองฝ่ามือ ก่อนแผ่พุ่งพายุหมุนกราดเกรี้ยวออกมาเป็นลำยาว พุ่งเข้าหาเริอินะด้วยพลังที่ดูดมวลอากาศรอบด้านให้พุ่งเข้ามารวมกันอยู่ใน ลำพายุ เสียงหวีดหวิวของอากาศที่ถูกฉีกกระชากออกเป็นริ้วดังราวเสียงภูตคร่ำครวญใน นรกภูมิ ที่สามารถทำลายสมาธิขอคู่ต่อสู้ให้สลายไปในพริบตา ความทรงจำนับหมื่นปีในจิตเรอินะพลันตระหนักได้ทันทีถึงการโจมตีเบื้องหน้า
‘นี่เอง.. ..เอกวาตะ….วิชาลับแห่งเทวนารีราศีเมษ ได้เห็นอีกครั้งหลังผ่านเวลานับหมื่นปี นับเป็นวาสนาของเรอินะยิ่ง…’
จิต ที่ปราศจากความกลัวเกรงของอดีตเทวนารีผู้อ่อนเยาว์ที่สุดในบัญชาของเทพ สุรัสวดี ดังขึ้นพร้อมกับภาพแห่งเอกวาตะที่กระตุ้นจิตดื้อรั้นอันเป็นนิสัยของเรอินะ ขึ้นมาพร้อมกัน ร่างเพรียวงามในเกราะปราณสีส้มสดพุ่งวาบขึ้นสู่ท้องฟ้า สองมือหงายขึ้นประสานกันนิ้วหัวเมื่อมือทั้งสองจรดเข้าหากันในท่าสมาธิ ดวงตาเด็กสาวพลันปิดลง ความคิดทั้งปวงถูกปิดกั้นออกจากจิตก่อเกิดความว่างเปล่าราวกับการเริ่มต้น ของจักรวาล สองมือที่วางซ้อนกลับพลิกมาประกบกัน ปรากฏจุดแสงเรืองรองขึ้นภายใน ก่อนระเบิดออกเป็นแสงพร่างพรายนับร้อยสี รวมตัวกันพุ่งวาบเข้าหาเอกวาตะที่พุ่งเข้ามาปานประกายไฟ
‘ธนูพิฆาตฟ้า….เรอินะ ขอบคุณท่านยิ่งที่ให้เราได้จบชีวิตภายใต้ธนูพิฆาตฟ้าอันทรงอำนาจล้างทวยเทพนี้’
ทั้ง ที่กำลังเผชิญหน้ากับวิชาปราณอันทรงอำนาจสูงสุดในเหล่าเทวนารี จิตของซาโรยีกลับเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงตื้นตัน เมื่อรับรู้ว่าเทวนารีแห่งราศีธนูเบื้องหน้าได้ยอมรับคำขอร้องให้ทำลายร่าง ตนเองที่ถูกควบคุมจิตด้วยวิชาปราณลับแห่งราศีธนูซึ่งปราศจากเทวนารีแห่งราศี ธนูนางใดฝึกปรือสำเร็จมานับพันปี พลังหลากสีสันของธนูพิฆาตฟ้า ทะลวงเข้าสู่จุดศูนย์กลางที่หมุนวนอยู่ของเอกวาตะ พุ่งวาบไปตามสายพลังกระแทกเข้าใส่จุดกำเนิดปราณ ขณะที่เอกวาตะซึ่งหมุนวนด้วยความเร็วสุดแสนเข้าวาบเข้าใส่ร่างกลางหน้าอกเร อินะในวินาทีเดียวกัน
………………….เปรี้ยง…………………….ตูม………………………
เสียง ระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นพร้อมกับมวลพลังกรรโชกออกรัศมีการปะทะ แต่แทนที่ร่างของซาโรยีจะระเบิดอออกกลายเป็นอณูด้วยอำนาจที่ควรเป็นของธนู พิฆาตฟ้า ร่างเทวนารีราศีเมษกลับหมุนคว้างปลิวไปราวลูกข่างที่ปราศจากการควบคุม ประกายแสงระยิบระยับพรั่งพรูกระจายออกจากศีรษะหญิงสาว อันเกิดจากเกราะปราณที่ผนึกเป็นขดวงราวเขาแกะที่ด้านซ้ายแตกกระจายออก เกราะปราณทั่วร่างพลันสลายวับ พร้อมกับร่างเปลือยเปล่าที่ดำสนิทนั้นตกวูบลงสู่พื้นสมุทรเบื้องล่าง เช่นเดียวกับเรอินะที่รับพลังเอกวาตะเข้ากระทบตรงๆ โดยมีเพียงเกราะปราณต้านรับอำนาจทำลายไร้ขีดจำกัดของเอกวาตะ ก็ปลิวไปด้านตรงข้าม พร้อมกับลำโลหิตพุ่งออกจากปากเป็นทางยาว เกราะปราณสีส้มสลายวับ ร่างเพรียวบางตกวูบลงสู่พื้นน้ำเบื้องล่างอย่างไร้การควบคุม แต่ก่อนที่ร่างของซาโรยีและเรอินะจะกระทบพื้นน้ำ แสงเรืองรองสองสายก็พุ่งวาบลงมาราวประกายไฟ แยกย้ายกันช้อนร่างซาโรยีและเรอินะขึ้นมาอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
ร่าง เปลือยเปล่าของสองเทวนารีถูกประคองไว้ในอ้อมแขนของเมดูซ่าและแอนโดรเมดา สัมผัสร่างนั้นทำให้เทวนารีราศีสิงห์และกรกฏ รับรู้ในทันทีว่าทั้งซาโรยีและเรอินะประสบสภาพต่อสู้จนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ปราณในร่างชะงักงัน หัวใจทั้งสองดวงเต้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อประสบสภาวะลมปราณขาดช่วง ทำให้เมดูซ่าและแอนโดรเมดาสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนก้มศีรษะลงประทับริมฝีปากหญิงสาวทั้งสองในอ้อมแขน มือหนึ่งประกบหน้าอกเต่งตึงด้านซ้ายของเรอินะและซาโรยีเอาไว้ และเริ่มถ่ายทอดปราณเข้าควบคุมการเต้นของหัวใจ
‘แม่นางแอนโดรเมดา แม่นางเมดูซ่า ปราณในร่างซาโรยีกับเรอินะเป็นอย่างไรบ้าง…’
จิต สองเสียงถูกส่งออกมาพร้อมกันราวกับเป็นการถ่ายทอดเพียงครั้งเดียว ขณะร่างของมารีอาและอาชีร่าเคลื่อนวาบเข้ามาเคียงข้าง ดวงตาเทวนารีจากแคนาดาและอินเดียทั้งสองคู่จับจ้องร่างเรอินะและซาโรยีด้วย ความกระวนกระวาย
‘มารีอา อาชีร่า อย่าห่วงไปเลย เรอินะประสบภาวะปราณติดขัดอันเกิดจากการปะทะของปราณสูงสุดทั้งสอง ขอเพียงเราและเมดูซ่าถ่ายทอดปราณควบคุมหัวใจให้กลับสู่สภาวะปกติ สักครู่ปราณของนางก็จะเริ่มฟื้นคืน เพียงแต่พวกนางก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับพวกเรา คือปราณที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรงจนติดขัดนี้ แม้จะฟื้นคืนได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ความเข้มแข็งของปราณนั้นก็กลับลดเหลือเพียงกึ่งหนึ่งของสภาพปกติ และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน จึงจะฟื้นกลับคืนเต็มที่อีกครั้ง….’
‘แอ นกล่าวได้ถูกต้อง แต่สำหรับซาโรยีนั้น เมย์ยังคงกังวลอยู่ เพราะแม้ธนูพิฆาตฟ้าของเรอินะจะไม่ได้สังหารนางโดยตรงเนื่องจากเรอินะเพียง แต่ต้องการทำลายเกราะปราณบางส่วนเพื่อตัดการเชื่อมโยงจิต แต่อำนาจแห่งธนูพิฆาตฟ้าของเรอินะนั้นหาใช่พลังปราณธรรมดาไม่ เพราะนางต้องสลายปราณทั่วร่างเพื่อกำเนิดธนูพิฆาตฟ้า พลังที่ทำลายเกราะปราณของซาโรยีนั้นทำลายมุ่นเขาแกะที่ศีรษะอันเป็นแหล่งรวม ปราณของซาโรยีไป มันจึงกระทบกระเทือนจักรปราณของซาโรยีอย่างรุนแรงยิ่ง จนเมย์คิดว่าแม้จะสามารถพิทักษ์หัวใจซาโรยีปรับจักรปราณให้กำเนิดปราณได้ แต่พลังปราณของซาโรยีนั้นจะยังคงเหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน อย่างดีที่สุดก็น่าจะคงอยู่เพียงสามส่วนจากปกติเท่านั้น’
จิตแอ นโดรเมดาและเมดูซ่าส่งออก ทำให้ทั้งมารีอาและอาชีร่าอดถอนใจออกมาไม่ได้ แต่เมื่อเห็นร่างเรอินะกับซาโรยีเริ่มขยับตัวในอ้อมแขนของแอนโดรเมดาและเมดู ซ่า รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากทั้งสอง
‘ขอเพียงเรอินะและซาโร ยีรอดชีวิตจากการปะทะอันไม่สมควรจะเกิดขึ้นนี้ เรามารีอาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว ส่วนเรื่องปราณในร่างที่อ่อนโทรมลงเหลือเพียงกึ่งหนึ่งนั้น เราหาได้กังวลไม่ เพราะในเมื่อเราสามารถควบคุมร่างกายของเราได้ การต่อสู้ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินอีกต่อไป…’
มารีอาส่งจิตแผ่วเบา ออกมา ขณะขยับร่างเข้าช่วยประคองร่างซาโรยีในอ้อมแขนของเมดูซ่า ขณะเดียวกันอาชีร่าก็เคลื่อนกายมาตรงข้ามกับแอนโดรเมดาที่ยังคงถ่ายปราณให้ กับเรอินะ และส่งจิตออกมาเช่นกัน
‘เราอาชีร่าเองก็รู้สึกอับอาย ยิ่ง เรารอดพ้นจากชะตากรรมนี้ก็เพราะพวกท่านหาได้ตั้งใจจะทำลายพวกเราไม่ แม่นางแอนโดรเมดา ท่านมีชัยโดยไม่หยิ่งผยอง จิตใจเมตตา นี่คือจิตแห่งเทวนารีโดยแท้ อาชีร่าขอยอมรับท่านเป็นเทวนารีแห่งราศีสิงห์อย่างแท้จริง ส่วนเรานั้นเป็นเพียง….’
‘อาชีร่าท่านหาต้องกล่าวเช่นนี้ไม่ การยอมรับตนเองและยกย่องคู่ต่อสู้ของท่านนี้ แสดงว่าจิตของท่านคือจิตแห่งเทวนารีอย่างแท้จริง แอนกลับยินดีที่ได้มีศักดิ์แห่งเทวนารีราศีสิงห์ร่วมกับท่าน’
ดวง ตาอาชีร่าทอประกายเมื่อได้ยินแอนโดรเมดาแทนชื่อตนเองด้วยชื่อแอน แทนที่จะเป็นการเรียกนามตนเองตามวิถีการสนทนาแห่งเทวนารี ซึ่งสำหรับเหล่าเทวนารีนั้นการเรียกนามแทนตนเช่นนี้ แสดงถึงการยอมรับอีกฝ่ายเป็นมิตรสนิท…ทำให้อาชีร่าต้องส่งออกมาอย่างไม่ แน่ใจ
‘แม่นางแอนโรเมดา…ท่านแทนชื่อ…’
‘อาชีร่า อย่าเรียกเราเป็นแม่นางแอนโดรเมดาให้ระคายหูเลย เรียกแอนชื่อแอนดังเช่นที่มหาเทพวิรุณปักขะ ไม่ใช่สิต้องเรียกพี่เอ เรียกหาแอนเถอะ…แอนไม่ต้องการต่อสู้กับท่านอีกต่อไป แต่ต้องการให้ท่านเป็นสหายของแอนเท่านั้น อาชีร่าท่านจะยอมให้เกียรติแอนหรือไม่’
‘แอน…ท่าน ท่าน….’
จิต ตะกุกตะกักของอาชีร่าส่งออกมา ขณะดวงตากลมโตดำสนิทตามผ่าพันธุ์แห่งชมพูทวีป ปรากฏหยาดน้ำคลอดออกมา มือเรียวได้รูปเอื้อมมือมาประกบมือของแอนโดรเมดาที่ประทับอยู่บนหน้าอกเต่ง ของเรอินะวางไว้แน่น พร้อมกันมันมือขาวสะอาดราวหิมะอีกมือหนึ่งก็วางลงเหนือมือสีน้ำผึ้งของอาชี ร่า
‘แอนโดรเมดาท่านจะรับเฉพาะชีร่าเป็นสหายเท่านั้นหรือ รีอาจะขออาจเอื้อมคบหาท่านด้วยจะได้หรือไม่’
จิต ของมารีอาเทวนารีราศีกันย์ดังขึ้น โดยแทนชื่อมารีอาด้วยรีอา และอาชีร่า ด้วยชีร่าอันเป็นชื่อที่เหล่าเทวนารีเรียกหากัน ทำให้แอนโดรเมดาเผยอรอยยิ้มสดใสกระจ่างขึ้น
‘นั่นเป็นเกียรติสำหรับแอนยิ่ง’
ทัน ใดนั้นมือทั้งสามคู่ที่สางซ้อนกันอยู่พลันปรากฏ มือเรียวเล็กข้างหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสหลังมือมารีอาไว้ พร้อมกับจิตใสกังวานที่แฝงความอ่อนล้าดังขึ้นเบาๆ
‘แล้วพี่อาชีร่า พี่มารีอา จะรับเรอินะเป็นสหายด้วยได้หรือไม่’
แอ นโดรเมดา อาชีร่า และมารีอาส่งเสียงอุทานด้วยความยินดีขึ้นพร้อมกันเมื่อ รับรู้ว่าร่างเพรียวงามที่เปล่าเปลือยอวดความงามวัยแรกสาวของเรอินะเริ่ม ปรากฏเกราะปราณสีส้มสดก่อตัวขึ้นปกคลุมร่าง แต่เมื่อแอนโดรเมดาขยับจะถอนริมฝีปากที่ถ่ายทอดปราณออก มืออีกข้างของเรอินะกลับตวัดขึ้นมาโน้มศีรษะแอนโดรเมดาให้อยู่นิ่ง ขณะที่ลิ้นเรียวเล็กของเทวนารีราศีธนูสอดเข้ามาดูดดื่มความหอมหวานภายใน จนทำให้ร่างแอนโดรเมดาสั่นสะท้าน ลิ้นหอมหวานของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรกรีกตระหวัดรับสัมผัสอย่างลืมตัว แต่แล้วหญิงสาวก็ก็กลับสั่นศีรษะและถอนการจูบพร้อมกับยกมือขึ้นใช้นิ้วเรียว งามจี้หน้าผากเรอินะอย่างดุๆ
‘เรอินะนี่เล่นไม่เป็นเรื่อง…เห็นไหมว่าอาชีร่ากำลังช่วยเรอินะอยู่ด้วย….’
‘เร อินะรู้ตั้งนานแล้วล่ะ แต่อดเคลิ้มกับรสจูบของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ไม่ได้ ก็เลยต้องปล่อยให้พี่แอนจูบต่อไป แต่ตอนนี้ปราณเรอินะฟื้นคืนมาบ้างแล้ว เพียงแต่…โอ…’
จิตที่ดูเหมือนจะแจ่มใสเป็นปกติของเรอินะพลัน หม่นหมองลงเล็กน้อย เมื่อรับรู้ได้ว่าปราณในร่างนั้นลดระดับลงเหลือเพียงกึ่งเดียว ซึ่งสำหรับเทวนารีที่เปี่ยมไปด้วยพลังร้อนแรงเช่นเรอินะแล้ว การต้องพักฟื้นฟูปราณรักษาตนเองกว่า 1 เดือนนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะทนทาน
‘เรอินะอย่ากังวลไปเลย พวกเราหาได้ต้องต่อสู้กันอีกไม่…’
จิต อาชีร่าส่งออกมาอย่างนุ่มนวล ทำให้เรอินะพลิกกายออกจากอ้อมกอดของแอนโดรเมดา และโถมเข้าจับมือสองข้างของเทวนารีราศีสิงห์ผู้เคยปะทะวาจารุนแรงมาก่อนหน้า อย่างสนิทสนม
‘เรอินะไม่เคยต้องการต่อสู้กับพี่ชีร่า ถึงแม้ในจักรราศีก่อนหน้านี้เรอินะจะเคยทุ่มเถียงกับพี่ชีร่าเสมอมา แต่ในใจนั้นหาเคยเห็นพี่เป็นศัตรูไม่ ว่าแต่พี่ชีน่าและรีอายังไม่ตอบเรอินะเลยว่าพี่จะรับเรอินะเป็นสหายร่วมกับ พี่แอนได้หรือไม่…’
อาชีร่าและมารีอาพยักหน้าอย่างนุ่มนวลสองมือแยกย้ายกุมมือเรอินะและแอนโดรเมดา
โดยไม่จำเป็นต้องส่งจิตถ่ายทอดวาจาใด
‘เราหายอมรับสถานะสหายของชีร่า และรีอากับพวกท่านไม่’
จิต สายหนึ่งดังแทรกขึ้นอย่างอ่อนล้า ทำให้แอนโดรเมดา เรอินะ อาชีร่าและมารีอาหันขวับไปพบภาพของซาโรยีในอ้อมแขนของเมดูซ่า ที่ออกกำลังสูดลมหายใจลึกยาวเพื่อปรับปราณในร่างให้สามารถดำรงตนอยู่กลาง อากาศได้ เกราะปราณสีม่วงค่อยๆ ก่อตัวขึ้นปกคลุมผิวเนื้อสีดำสนิทที่เรียบเนียนทีละน้อย แต่ดูเหมือนว่าเกราะปราณนั้นไม่สามารถก่อตัวได้เต็มที่ ทำให้เกิดเพียงสายใยสีม่วงอ่อนเบาบางที่ไม่สามารถปิดกั้นทรวงอกกลมกลึงที่ ประดับไว้ด้วยเม็ดยอดสีดำสนิท และเนินรักอวบกลมที่เผยรอยแยกบางๆ สีแดงสดใสจากสายตาได้ มุ่นเขาแกะที่ด้านซ้ายปรากฏร่องรอยแตกกระจายจากผลของธนูพิฆาตฟ้า แต่ก็ดูเหมือนเทวนารีราศีเมษจะยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ ร่างงามพลิกออกจากอ้อมแขนเมดูซ่าขณะส่งจิตเพิ่มเติมไปยังเทวนารีทั้งสี่ที่ จับจ้องมองมา
‘ในเมื่อชีร่าและรีอาผู้เป็นสหายของเราเป็นสหายของพวกท่านแล้ว… เราจะอาศัยสิทธิ์นี้ส่งผ่านฐานะสหายมาให้กับเราด้วยได้หรือไม่’
จิต อ่อนล้าของซาโรยีที่ส่งเนื้อความแจ่มชัดว่าเทวนารีแห่งราศีเมษผู้มีอารมณ์ ร้อนแรงเสมอมานั้น กลับขอร่วมเป็นสหายกับอดีตคู่ต่อสู้ที่เพิ่งทำให้เกือบเผชิญความตายมาเพียง ชั่วอึดใจที่ผ่านมา ทำให้ เรอินะ แอนโดรเมดา เมดูซ่า อาชีร่า และมารีอายิ้มออกมาพร้อมกัน แต่รอยยิ้มกลับเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานด้วยความตกใจเมื่อพบว่าร่างของซาโรยี ที่ลอยตัวอยู่นั้นเริ่มตกวูบลง จนทำให้เมดูซ่าต้องเคลื่อนร่างเข้าประคองเอาไว้ทันท่วงที
‘เมดู ซ่า ขอบคุณท่าน….แต่ไม่ต้องกังวลไป เราทราบดีว่าปราณในร่างเราคงเหลือเพียงสามส่วน แต่การผนึกเกราะปราณพร้อมกับคงร่างอยู่กลางอากาศนั้นเรายังสามารถกระทำได้ อยู่…’
เมดูซ่าสั่นศีรษะช้าๆ ขณะส่งจิตตอบ
‘ซาโรยีท่านกล่าวผิดแล้ว ในเมื่อเป็นสหายก็ต้องห่วงใยกันและกัน และไม่ควรเรียกเมย์ด้วยชื่อเมดูซ่าอีกแล้ว…เรียกหาเมย์ตรงๆ เถอะ’
‘ถ้า เช่นนั้น ซายีก็ขอเรียกทุกท่านในฐานะสหาย ไม่ว่าจะเป็นแอน เรอินะ เมย์ โอ…นับว่าเป็นการต่อสู้ที่หนักที่สุดของซายีจริงๆ แต่ก็สมใจนัก…ที่ได้เห็นธนูพิฆาตฟ้าของเรอินะเป็นครั้งแรก’
จิต ซาโรยีแม้จะอ่อนล้า แต่ก็ยังส่งออกมาด้วยน้ำเสียงปิติ ทั้งจากการที่แปรเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร และการต่อสู้กับหนึ่งในวิชาที่มีอำนาจทำลายเทพเช่นธนูพิฆาตฟ้า
‘แต่มหาวายุของพี่ซายีก็ทำเอาเรอินะแทบเอาชีวิตไม่รอดเหมือนกัน…’
เรอินะเคลื่อนร่างเข้ากุมมือดำนวลราวกับนิลเนื้อดีของซาโรยีเอาไว้แนบแน่น
‘ดีใจนักที่ทุกคนสามารถรอดพ้นจากการแลกชีวิตที่ปราศจากหนทางรอดนี้มาได้…’
จิต ที่อ่อนล้าแต่แฝงความยินดีเอาไว้ดังขึ้น พร้อมกับร่างของเซี่ยวเล้งและนาเดียเคลื่อนเข้ามา ร่างเพรียวบางของเรอินะพลันขยับวูบไปหาเซี่ยวเล้งพร้อมกับส่งจิตที่แผงความ ยินดีออกไป
‘พี่เซี่ยวเล้ง…พวกเราทั้งหก………’
‘เร อินะไม่ต้องบอกเซี่ยวเล้งหรอก เห็นภาพพวกท่านทั้งหกกุมมือกันแน่นแบบนี้เซี่ยวเล้งก็รู้แล้วว่าอำนาจควบคุม จิตนั้นถูกทำลายพร้อมกับเศษเกราะปราณที่ถูกสลายไปแล้ว..…’
‘แล้วพี่เซี่ยวเล้งกับพี่นาเดีย…’
เร อินะถามขัดออกมาเบาๆ เมื่อเห็นร่างนาเดียเคลื่อนตามมาด้านหลังก่อนจะแทรกผ่านมายืนเคียงคู่เซี่ยว เล้ง ขณะที่เซี่ยวเล้งมีสีหน้าเคร่งเครียดก่อนส่งจิตตอบ
‘ เซี่ยวเล้งจำเป็นต้องรับผิดชอบนาเดียไปชั่วชีวิตแล้วเพราะบังอาจปล้นจูบแรกจากเทวนารีที่บริสุทธิ์ไร้ราคีเช่นนาเดีย…’
‘เซี่ยวเล้ง…ท่าน…ท่าน….’
นา เดียส่งจิตอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าภายใต้ใบหน้าที่ปั้นให้เคร่งเครียดของเซี่ยวเล้ง กลับส่งจิตแกล้งเย้าแหย่ออกมาอย่างจงใจ ทำให้พวงแก้มขาวผ่องของหญิงสาวแดงระเรื่อและเอื้อมมือมาทุบไหล่เซี่ยวเล้ง ถี่ยิบ ราวกับอาการของเพื่อนสนิทมาตั้งแต่กำเนิด ทำให้ซาโรยี มารีอา และอาชีร่า ต้องอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าเทวนารีแห่งราศีพฤษภ หัวหน้าของเหล่าเทวนารีผู้เคยเงียบขรึมเป็นปกติวิสัยกลับแสดงท่าทางเอียง อายออกมา จนเรอินะอดส่งจิตรำพึงออกมาไม่ได้
‘พี่นาเดียดูราวกับ เป็นพี่สาวของน้องพิมจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรือนกายหรือบุคลิก โอ เรอินะเชื่อว่าหากพี่นาเดียได้พบน้องพิมผู้เป็นเทวนารีแห่งราศีพฤษภเช่นกัน พี่นาเดียจะได้น้องสาวที่แสนอ่อนหวานเอียงอายมาเป็นสหายไปชั่วชีวิต…’
‘ศึก ครั้งนี้แปรพวกเราจากศัตรูเป็นมิตร แม้จะทำให้พวกเราทุกคนล้วนบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ก็นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คู่ควรยิ่ง เซี่ยวเล้งยินดียิ่งที่ได้ช่วยพวกพี่น้องเทวนารีออกจากการควบคุมของเทพ สุรัสวดีสำเร็จ มิฉะนั้นแล้วพี่เอคงต้องนำพวกเราไปบุกแชงกรีล่าเพื่อชาวยทุกคนออกมาตามที่ ตั้งใจไว้…’
ดวงตานาเดีย ซาโรยี มารีอา และอาชีร่า ทอประกายประหลาดใจเมื่อรับรู้ว่าไกรวิทย์ตั้งใจจะนำเหล่าเทวนารีบุกแชงกรี ล่าเพื่อช่วยเหลือเหล่าเทวนารีออกมา ทั้งที่ภารกิจของเทวนารีที่ถูกสั่งมานั่นคือการสังหารไกรวิทย์เป็นอันดับ แรก นาเดียถอนใจยาวก่อนส่งจิตแผ่วเบาออกมา
‘นึกไม่ถึงเลยว่ามหา เทพวิรุณปักขะ จะห่วงใยพวกเราเหล่าเทวนารีที่มุ่งผลาญชีวิตมหาเทพและตระกูลคชสีห์ นับแต่นี้นาเดียขอให้สัตย์ว่าจะยุติการเป็นศัตรูกับมหาเทพวิรุณปักขะ และจะไม่ยอมอยู่ใต้บังคับของเทพสุรัสวดีอีกต่อไป นาเดียและเหล่าเทวนารียังมีเวลาที่จะดำรงปราณแห่งเทวนารีอยู่อีก 3- 4 ปี ก่อนที่ผลึกราศีจะทำลายร่าง ช่วงเวลานี้หากเทพวิรุณปักขะต้องการให้นาเดียรับใช้ นาเดียก็พร้อมจะใช้ปราณนี้ปกป้องความถูกต้องแห่งกฎเทพเจ้าด้วยชีวิต…’
จิตนาเดียส่งออกมาอย่างหนักแน่น พร้อมกับที่อาชีร่า มารีอา และซาโรยี ที่ต่างพยักหน้ารับรองคำของนาเดียเสมือนคำสัตย์ของตนเอง
‘พี่ นาเดีย พี่รีอา พี่ซายี พี่ชีร่า หาต้องดับสิ้นเมื่ออายุ 25 ปีไม่ พี่สามารถปลดปล่อยผลึกราศีออกจากร่างได้ในทันที และยังดำรงปราณในร่างได้ไปชั่วชีวิต โดยผ่านปราณคชสีห์ของมหาเทพวิรุณปักขะ เพียงแต่ต้อง……’
เรอินะส่งจิตแทรกออกมาตามนิสัย แต่ชะงักลงกลางคันเมื่อเซี่ยวเล้งปรายตามองห้ามปราม แต่เนื้อหาที่บ่งบอกออกมานั้นก็ทำให้นาเดีย อาชีร่า มารีอา และซาโรยีหน้าแดงวูบ เพราะเทวนารีทุกนางต่างรู้จักวิธีถ่ายทอดปราณคชสีห์ และรับรู้ความหมายของเรอินะดีโดยไม่ต้องถ่ายทอดจบสิ้น
‘เซี่ยวเล้ง พวกเราจะต้องช่วยเหลือมหาเทพวรุณปักขะที่กำลังต่อสู้อยู่กับ โยนา อิอาร่า และแองเจลลีนหรือไม่’
จิต นาเดียแทรกขึ้นมาราวกับต้องการจะเปลี่ยนประเด็นการสนทนาเกี่ยวกับการถ่ายทอด ปราณคชสีห์ ทำให้สายตาทุกคู่เปลี่ยนไปจับจ้องการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเบื้องล่าง ซึ่งร่างที่แยกออกเป็นสามของไกรวิทย์กำลังกระจายกาฬปราณออกต้านทานการโจมตี ของสามเทวนารี โดยไม่ปรากฏท่าทีเพลี่ยงพล้ำแต่อย่างใด
‘พวกเราหา จำเป็นต้องเข้าไปในวงต่อสู้ไม่ หากพี่เอต้องการสังหารนางทั้งสาม ต่อให้พวกนางใช้ออกด้วยปราณลับของเทวนารีที่สาบสูญพร้อมกัน เพียงพี่เอผนึกกาฬปราณเข้าโจมตี แม้จะมีเกราะปราณคุ้มครองร่าง แต่กาฬปราณแทรกซึมไร้หนทางต่อต้าน พวกนางก็จะสลายเป็นธุลีไปในพริบตา ที่การต่อสู้ยังคงอยู่ได้เช่นนี้ก็เพียงเพราะพี่เอก็เช่นเดียวกับเรอินะ พี่เซี่ยวเล้ง พี่แอน และพี่ เมย์ คือไม่ต้องการทำล่ายชีวิตของเทวนารีทั้งสาม หากแต่ต้องการช่วยเหลือนางให้พ้นจากการครอบงำจิตเท่านั้น…พี่นาเดียท่าน ไม่ต้องห่วง มหาเทพวิรุณปักขะคือผู้ให้กำเนิดวิชาปราณของพวกเราทุกคน พี่เอจะต้องหาทางออกให้กับพวกนางได้อย่างแน่นอน’
จิตที่เปี่ยมไป ด้วยความภักดีและเชื่อมั่นของเรอินะทำให้ เทวนารีทุกนางผ่อนคลายความวิตกลง แต่พลันจิตที่แฝงความกังวลของเซี่ยวเล้งกลับดังแทรกขึ้น
‘ที่เร อินะบอกมานั้นมีส่วนจริงอยู่ที่พี่เอได้ต้องการสังหารเทวนารีทั้งสมไม่ แต่เรอินะอาจยังไม่ทันพิจารณาว่าพี่เอแม้จะรับจิตมาร อัคคีเทพ วารีนาคราชและธารอสุระ ก่อเกิดกาฬปราณเข้าสู่ระดับเทพเจ้า แต่ปราณของพี่เอยังไม่สามารถเทียบเทียมกับปราณมหาเทพวิรุณปักขะในอดีต หากเซี่ยวเล้งประเมินไม่ผิดพลาดปราณของพี่เอหลังหลอมรวมปฐมธาตุทั้งสี่นั้น มีระดับอยู่เพียงหกส่วนของปราณแห่งมหาเทพเมื่อหมื่นปีก่อน ยิ่งก่อนที่เราจะเดินทางมายังทะเลบูรพานี้ พี่เอยังได้สละปราณสองส่วนให้กับขุนพลเทพทั้งหกไป ดังนั้นความเข้มแข็งของกาฬปราณพี่เอน่าจะคงอยู่เพียงกึ่งหนึ่งจากอดีต ซึ่งแม้จะสามารถสยบเทวนารีได้ทุกนางก็ตาม แต่อย่าลืมว่า โยนา อิอาร่า และแองเจลลีน นั้นต่างโจมตีพี่เอโดยใช้ปราณทั่วร่างโดยไม่ออมรั้ง ความรุนแรงของปราณนั้นสูงกว่าปกติเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังผสานปราณเป็นหนึ่งเดียวจนทำให้พี่เอจำเป็นต้องแยกร่างออกรับมือ ปราณในร่างแยกนั้นย่อมต้องลดลงเช่นกัน.. ดังนั้นแม้เซี่ยวเล้งจะมั่นใจว่าพี่เอสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่จิตส่วนหนึ่งของเซี่ยวเล้งก็ยังอดกระวนกระวายไม่ได้เช่นกัน…’
‘ถ้า เช่นนั้นเหตุใดพวกเราจึงไม่เข้าช่วยมหาเทพ นาเดียเชื่อว่าแม้ปราณของพวกเราทุกคนจะคงเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง แต่หากพวกเรารวมกันก็น่าจะมีส่วนช่วยเหลือมหาเทพได้ไม่มากก็น้อย..’
จิต นาเดียส่งมาอย่างเร่งร้อน พร้อมกับผนึกปราณที่คงอยู่ในร่างให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ แต่เซี่ยวเล้งกลับส่ายศีรษะเป็นเชิงห้ามปราม และส่งจิตหนักแน่นจริงจังออกมา ทั้งที่ดวงตาเรียวยาวดังหงษ์นั้นจับจ้องการต่อสู้ของไกรวิทย์เบื้องล่างโดย ไม่ยอมละสายตาไปแม้แต่แว่บเดียว
‘นาเดียอาจจะเห็นว่านี่คือสถาน การณ์มหวิกฤต อันเป็นสถานการณ์ยกเว้นให้เหล่าเทวนารีสามารถผนึกกำลังร่วมกันได้ แต่ด้วยฐานะของมหาเทพวิรุณปักขะแล้ว แม้จะต้องสูญกายและจิตในการต่อสู้ ก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าแทรกแซงทั้งสิ้น นั่นคือบัญญัติแห่งปวงเทพของมหาอาณาจักรปราณ ที่พวกเราเหล่าเทวนารีต่างต้องปฏิบัติตามโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ ..’
คำ ตอบของเซี่ยวเล้งทำให้ดวงตาเหล่าเทวนารีทุกคู่ต่างทุ่มเทสมาธิเฝ้าภาพการประ ทะด้วยพลังปราณเบื้องล่าง เสียงครืนคลั่นจากพลังปราณเหนือโลกของเทวนารีทั้งสามฝ่าอากาศเข้าทำลายร่าง ของไกรวิทย์ทั้งสามที่แยกย้ายกันต่อสู้เป้าหมายไม่ขาดระยะ โดยที่ร่างแยกของชายหนุ่มทุกร่างปรากฏหมอกดำสนิทปกคลุม เคลื่อนร่างไปมาระหว่างช่องว่างของพลังปราณแห่งเทวนารี แต่กลับไม่ยอมส่งปราณเข้าปะทะอย่างหักโหมแม้แต่น้อย
จิตที่จรดจ่อ อยู่กับการต่อสู้ของเทวนารีทั้งหก ทำให้ทุกนางไม่ได้รับรู้ว่าบนท้องฟ้าเหนือพื้นที่การต่อสู้ขึ้นไปกว่า 1 กิโลเมตร พลันปรากฏแสงเรืองรองรูปวงกลมค่อยๆ ก่อตัวขึ้น พร้อมกับมวลพลังงานมหาศาลกำลังแผ่ขยายออกรอบด้าน
——————————————–
ร่าง งามทั้งสามของ โยนา อิอาร่า และแองเจลลีน สามเทวนารีผู้ถูกเชื่อมโยงด้วยทัณฑ์ผลาญจิต ถูกร่างแยกของไกรวิทย์กระจายตัวออกบีบบังคับให้เทวนารีทั้งสามต้องต่อสู้กับ แต่ละร่าง จนไม่สามารถก่อวิชาผสานธาตุผนึกปราณประจำตนเข้าทำลายไกรวิทย์ได้ดังเดิม กระแสปราณที่รุนแรงหมุนวนรอบการต่อสู้ของแต่ละคู่จนก่อเกิดเสียงครืนครั่น ของมวลปราณที่แหวกกอากาศไม่ขาดระยะ แต่กลับไม่ปรากฏเสียงระเบิดของการประทะพลังออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งจากสายตาของเหล่าเทวนารีภายนอกวงต่อสู้ เห็นได้ชัดเจนว่าร่างไกรวิทย์ทั้งสามนั้น เลือกใช้ท่าร่างที่เคลื่อนกายจากตำแหน่งขัดต่อกายภาพของร่างมนุษย์ หลบหลีกการโจมตีที่เกรี้ยวกราดสุดแสนนั้น โดยไม่เพลี่ยงพล้ำ อย่างไรก็ตามคลื่นจิตของเทวนารีทั้งสามที่ส่งออกมาอย่างต่อเนื่องนั้นกลับ ขัดแย้งกับความรุนแรงในการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง เพราะแทนที่จะเป็นจิตเกรี้ยวกราดมุ่งหมายสังหารคู่ต่อสู้ จิตทั้งสามนั้นกลับถูกส่งออกมาด้วยความคับข้องใจ และความสิ้นหวังที่ร่างกายและปราณนั้นกลับอยู่นอกเหนือการบังคับของจิตใจตน เอง
‘ท่านไกรวิทย์ ดัชนีอัคคีของอิอาร่าแปรเปลี่ยนไปแล้ว….นี่เป็นแนวทางที่อิอาร่าไม่เคยใช้ออกมาก่อน หรือว่ามันจะเป็น……
จิตอิอาร่า เทวนารีราศีพิจิกส่งออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน เมื่อพบว่าปราณทั้งสิบสายที่เคยกระจายออกจากปลายนิ้วทั้งสิบกลับรวมตัวกันใน แต่ละมือ ก่อเป็นปราณสองสาย สายหนึ่งกระจายออกจากมือซ้ายเป็นห้าแฉก แต่ละแฉกแยกออกอีกสายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนก่อตัวเป็นตาข่ายอัคคีเจิดจ้าปิดสกัด รอบทิศทางที่ร่างแยกไกรวิทย์เคลื่อนไหว จนร่างแยกของไกรวิทย์ต้องหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ ขณะที่ดัชนีอัคคีอีกห้าสายที่มือขวากลับหมุนวนรวมกันเป็นเกลียวพุ่งวาบเข้า หาร่างไกรวิทย์ที่กึ่งกลางตาข่าย พร้อมกับจิตที่แฝงความขุ่นเคืองของไกรวิทย์ดังขึ้น
‘อัคคีพร่างฟ้า…วิชาแลกชีวิตของเทวนารีราศีพิจิก..นึกไม่ถึงว่าเทพ สุรัสวดีท่านกลับสามารถเรียนรู้และบังคับให้เด็กสาวผู้นี้ใช้ออก โดยไม่คำนึงถึงชีวิตที่ปราศจากความผิดของนางเลย…’
พร้อมกับจิต ที่ส่งออกไป ดวงตาร่างแยกไกรวิทย์พลันขยายเป็นสีดำสนิท กาฬปราณกระจายออกจากปลายนิ้วทั้งสิบหมุนวนเป็นรูปเกลียวราวกับจะลอกเลียน วิชาอัคคีพร่างฟ้าของอิอาร่า ร่างที่เคยเคลื่อนไหวหลบเลี่ยงมาตลอดกลับตรึงตนอยู่กลางอากาศ แผ่พุ่งกาฬปราณที่ผนึกเป็นเกลียวหมุนวนเข้าปะทะอิอาร่าตรงๆ
………………..ตูม…………………..
——————————-
เวลา เดียวกับที่อิอาร่าผนึกอัคคีพร่างฟ้าเข้าจู่โจมไกรวิทย์ ร่างโยนาเทวนารีราศีภุมภ์ พลันสลายวับราวกลับกลายเป็นกลุ่มละอองน้ำทรงกลม ก่อนแตกกระจายออกเป็นมวลปราณทรงกลมนับร้อย พุ่งออกจาศูนย์กลางมาล้อมร่างแยกไกรวิทย์ไว้โดยปราศจากช่องว่างให้เคลื่อน ไหวหลบหลีก บับบังคับให้ไกรวิทย์ต้องหยุดท่าร่างในทันที พร้อมกับจิตพลันรับรู้จิตของโยนาที่ร่ำร้องออกมาด้วยความแตกตื่นสุดขีด
‘เกิดอะไรขึ้น ร่างกายเราอยู่ที่ใด….นี่คือวิชาปราณอันใด’
มวล พลังอะอองน้ำรูปทรงกลมนับร้อย หมุนวนรอบร่างไกรวิทย์ พร้อมกับปราณที่กดดันเพิ่มพูนขึ้นจนร่างแทบไม่สามารถขยับได้ ทำให้จิตไกรวิทย์ต้องร้องออกมาอย่างกราดเกรี้ยว
‘หมอกฟ้าดับ สูญ…..นี่คือวิชาเดียวของเทวนารีที่สามารถสลายร่างแยกโจมตี เช่นเดียวกับเทพกระจายร่าง แต่อยู่ในรูปของมวลปราณ วิชาลับของเทวนารีราศีกุมภ์นี้ทำลายทุกสรรพสิ่งก็จริง แต่หากมีมวลปราณอันหนึ่งอันใดถูกทำลาย ก็ไม่ต่างกับการถูกทำลายอวัยวะในร่างกายไป และเมื่อกลับรวมร่างอีกครั้งความพิการนั้นก็จะคงอยู่ตลอดไป..เทพสุรัสวดี ท่านอำมหิตยิ่งนัก….’
พร้อมกับที่จิตของร่างแยกไกรวิทย์ส่งออก มา ร่างชายหนุ่มก็พลันสลายวับและกระจายออกเป็นมวลพลังสีดำรูปทรงกลมนับร้อยเช่น กัน มวลพลังทั้งหมดระเบิดออกจากศูนย์กลางที่เคยปรากฏร่างแยกไกรวิทย์ พุ่งออกไปยังมวลพลังทรงกลมที่หดวูบเข้าหาด้วยปราณที่สามารถทำลายแม้กระทั่ง ขุนเขาให้กลายเป็นธุลี
…………………..ฟุ่บ………………….
—————————————–
กระแส ปราณเกรี้ยวกราดที่กระจายออกจากร่างแองเจลลีน เทวนารีราศีกรกฏ แผ่กระทบร่างแยกของไกรวิทย์ที่เคลื่อนฉวัดเฉวียนอยู่รอบกายหญิงสาวจากอังกฤษ จนดูราวกับหมอกควันสีดำพันล้อมตัดกับร่างกายขาวผ่องที่สาดประกายราวหิมะต้น ฤดู พลังแหลมคมที่สามารถตัดภูเขาทั้งลูกให้ขาดจากกันแลบแปลบปลาบออกจากสองมือ หญิงสาว พุ่งเข้าหาร่างไกรวิทย์ราวกับมีชีวิตจิตใจ แต่ยังไม่สามารถกระทบร่างแยกที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัวได้ จนบริเวณหน้าผากนูนเด่นนั้นปรากฏเงาสะท้อนของเหงื่อที่ซึมออกมาบางเบา แต่ในพริบตานั้น เหงื่อที่หน้าผากหญิงสาวพลันสบายวูบเป็นละอองน้ำ ดวงหน้าขาวสะอาดปราศจากตำหนิกลับกลายเป็นสีแดงฉาน เกราะปราณสีเขียวเข้มแห่งเทวนารีราศีกรกฏแผ่พ่งแสงเรืองรองราวมารตตีดกับผิว กายหญิงสาวที่กลับกลายเป็นสีแดงเข้ม พร้อมกับจิตที่ส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนก
‘ปุษหัตถ์กำลังแปรปราณ..นี่เกิดอะไรขึ้น…’
พริบ ตานั้นร่างแดงฉานของแองเจลลีนพลันกลับเป็นสีขาวซีด แต่ปุษหัตถ์ที่ผนึกในมือทั้งสองที่ไขว้กันบริเวณหน้าอกอยู่กลับส่องแสงเรือง รองสีแดงเจิดจ้าที่แฝงกลิ่นคาวคละคลุ้งของเลือด ร่างไกรวิทย์พลันหยุดอยู่กลางอากาศ ส่งจิตออกมาด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
‘หัตถ์โลหิต….วิชาสลายโลหิตในกายออกมาผสานปุษหัตถ์…แองเจลลีน รู้ไหมว่านี่ไม่ต่างกระไรกับการฆ่าตัวตาย…’
‘ว่า กระไร…หรือนี่คือหัตถ์โลหิต วิชาสบายตนสังหารศัตรูของเทวนารีราศีกรกฏที่สาบสูญ มหาเทพ..สังหารเราในบัดดลเถอะ….เราไม่ต้องการดับสูญอย่างน่าสังเวชด้วย วิชานี้’
จิตแองเจลลีนแผดร้องออกมามันทีเมื่อรับรู้ว่าตนเองกำลัง ถูกบังคับให้ใช้วิชาปราณสุดท้ายแห่งเทวนารีราศีกรกฏ ที่จะต้องจบลงในสภาพร่างกายสูญเสียเลือดทุกหยด กลับกลายเป็นซากศพแห้งกรังในทันทีที่ปราณทั้งหมดสิ้นสูญ
มวล ปราณรูปคีมที่แฝงกลื่นคาวเลือดนับร้อยพลันกระจายออกจากร่างแองเจลลีน แผ่กว้างเป็นรัศมีกว่าสิบเมตร ปิดกั้นทุกหนทางหลีกเลี่ยงของไกรวิทย์ ดวงตาของชายผู้ดำรงจิตแห่งมหาเทพวิรุณปักขะสาดประกายเจิดจ้า…ร่างสูงโปร่ง พลันสลายวับกลายเป็นละอองหมอกสีดำแผ่ออกเป็นรัศมีวงกลม ก่อนม้วนตัวเข้าครอบคลุมร่างเทวนารีราศีกรกฏเอาไว้ภายใน พร้อมกับเสียงระเบิดกึกก้อง เมื่อมวลปราณแห่งหัตถ์โลหิตปะทะม่านกาฬปราณที่เกิดจากการสลายร่างของไกร วิทย์เต็มกำลัง
………..เปรี้ยง…………….
———————————
……….ตูม…….ฟุ่บ……เปรี้ยง…………….
เสียง ดังสนั่นที่แตกต่างกันสามรูปแบบดังขึ้นพร้ออมกัน จนกัมปนาทของเสียงนั้นสะท้อนคลื่นน้ำในมหาสุมทรให้แตกกระจายออกจากศูนยืกลาง การปะทะเป็นวงกว้าง ท่ามกลางสายตาเฝ้ามองของเทวนารีทั้งแปด ที่ด้านนอกซึ่งจับจ้องมาด้วยความห่วงใย พริบตานั้นเหล่าเทวนารีต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันเมื่อพบว่าร่างของอิ อาร่าและ แองเจจลีน ปลิวละลิ่วออกจากศูนย์กลางการต่อสู้ร่วงวูบลงสู่พื้นสมุทรราวกับปักษาต้อง ธนู แต่ก่อนที่ ร่างทั้งสองจะกระทบพื้นน้ำ ประกายสีฟ้าสดใสและส้มสดของเกราะปราณมังกรฟ้าและเกราะปราณราศีธนู ก็พุ่งวาบเข้าช้อนร่างทั้งสองที่เหนือพื้นน้ำนำกลับขึ้นมารวมกลุ่มกับเหล่า เทวนารีในชั่วอึดใจเดียว
‘อิอาร่า แองเจลลีน พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง…’
จิต นาเดียผู้เป็นหัวหน้าของเหล่าเทวนารี ร้องถามออกมาในทันทีที่ร่างเทวนารีทั้งสองกลับขึ้นมาในอ้อมแขนของเซี่ยวเล้ง และเรอินะ ดวงหน้าขาวสะอาดของแองเจลลียนที่เคยเปล่งกระกายอมชมพูบนพวงแก้มกลับกลายเป็น ซีดเผือก โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปากเล็กน้อย เกราะปราณสีเขียวเข้มบนร่างค่อยๆ เลือนลงกลายเป็นสีเขียวอ่อนจางโปร่งใสราวกับพร้อมที่จะสลายไปได้ทุกขณะ มวลปราณที่ถักทอเป็นสายคาดสีรษะประดับรูปปูนั้นกลับกลายเป็นว่างเปล่า ปราศจากรูปปูมรกตที่ดวงตาแดงวาววับราวทับทิมให้เห็นอีกต่อไป ส่วนอิอาร่าที่ด้านข้างในอ้อมแขนของเรอินะก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่างกัน ใบหน้างามคมเข้มด้วยเชื้อสายชาวละตินกลับซีดจางราวกับกระดาษ เกราะปราณประจำกายจางลงจนมีสภาพรวมหมอกควันที่ไม่สามารถป้องกันหน้าอกตูม เต่งตั้งสองเต้าและเนินเรียวยาวที่ประดับด้วยปอยไหมเบาบางบริเวณส่วนบนของ เนินรัก จากสายตาของเหล่าเทวนารีได้อีก บริเวณข้อมือทั้งสองที่เคยประดับไว้ด้วยกำไลทับทิมรูปแมลงป่องนั้น กลับหลงเหลือกกำไลในข้อมือด้านซ้ายเพียงวงเดียว บอกให้รู้ว่าการปะทะปราณครั้งสุดท้ายเมื่อครู่ของทั้งแองเจลลีนและอิอาร่า กับไกรวิทย์นั้น สองเทวนารีถูกทำลายชิ้นส่วนของเกราะปราณประจำกายไป
‘พี่นาเดียไม่ต้องกังวลไป ปล่อยให้เรอินะและพี่เซี่ยวเล้งดูแลอิอาร่าและแองเจลลียน เถอะ..’
‘ถูก แล้ว…เซี่ยวเล้งขอให้นาเดีย นำเหล่าเทวนารีไปช่วยพี่เอเถอะ…ปล่อยแองเจลลีนกับอิอาร่าไว้ที่นี้…พวก นางบาดเจ็บสาหัสจากกาฬปราณของพี่เอก็จริง…แต่ทั้งเซี่ยวเล้งและเรอินะต่าง มีกาฬปราณเป็นฐานอยู่เช่นกัน การฟื้นฟูปราณสำหรับทั้งสองนั้นหาได้น่ากังวลไม่ แต่สำรับพี่เอแล้ว..เซี่ยวเล้งหวั่นเกรงว่า…’
ยังไม่ทันที่ เซี่ยวเล้งจะถ่ายมอดจิตให้นาเดียจบสิ้น ร่างของแองเจลลีนในอ้อมแขนก็ถูกสองแขนเรียวของเมดูซ่าเข้าแทรกดึงออกมาพร้อม กับส่งจิตเคร่งขรึมขัดขึ้น..
‘เซี่ยวเล้งท่านสมควรไปหาพี่ เอ…ปล่อยแองเจลลียนไว้กับเมย์และแอนเถอะ..ในเหล่าเทวนารีทั้งหมด มีแต่เซี่ยวเล้งเท่านั้นที่กระจ่างแจ้งในวิชาปราณทั้งปวง…’
เท วนารีแห่งราศีมังกรสบตาเมดูซ่าแว่บหนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับพร้อมกับร่างที่เคลื่อนวูบไปยังตำแหน่งที่ปรากฏเงาร่างของ ไกรวิทย์และโยนา…โดยมีเหล่าเทวนารีเคลื่อนกายตามไปทั้งหมด แต่ในทันทีที่ภาพของไกรวิทย์และโยนาปรากฏชัดในคลองจักษุ ดวงหน้าของเหล่าเทวนารีทั้งหกที่เคยอยู่ในจักราศีแห่งเทพสุรัสวดีก็แดงวูบ พร้อมกัน…
ร่างไกรวิทย์และโยนาภาพหลังการปะทะปราณกลับไม่ได้ทำ ให้ร่างของเทวนารีแห่งราศีกุมภ์กระเด็นออกจากศูนย์กลางการปะทะดังเช่นแองเจ ลลีนและอิอาร่า ตรงกันข้ามร่างเปรียวบางที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อครัดเคร่งของโยนา เทวนารีราศีกุภม์ ผู้สืบสายชาติพันธ์ที่ผสานกันระหว่างชนเผ่าอะบอริจินกับชาวตะวันตกที่อพยพ เข้าสู่ทวีปออสเตรเลีย กลับอยู่จัดร่างให้อยู่ในท่านั่งโดยสองขาเรียวโอบรอบเอวไกรวิทย์ ผิวสีน้ำผึ้งเข้มทุกตารางวนิ้วบนร่างปราศจากเกราะปราณใดๆ ปกคลุม ทรวงอกกระทัดรัดที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อถูกมือของไกรวิทย์ประกบเต้าเต่งด้าน ซ้ายที่ตำแหน่งหัวใจเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างโอบไปด้านหลังเพื่อประคองร่างหญิงสาวให้อยู่นิ่ง ดวงหน้ารูปวงรีสมบูรณ์ซีดเผือก ริมฝีปากอวบหนาถูกไกรวิทย์ประกบด้วยริมฝีปากถ่ายทอดปราณเข้าสู่ร่างที่ ปราศจากสติอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ส่วนล่างนั้นเนินรักนูนเด่นของหญิงสาวที่ปกคลุมด้วยใยไหมขดถักกันแน่น หนา สองแคมที่นูนเด่นออกมาจากกลุ่มกลับผนึกอยู่กับส่วนปลายแก่นกายไกรวิทย์ที่ แทรกผ่านร่องรักเข้าไปเล็กน้อย จนสองแคมแผ่ออกเป็นวงกลมตึงเปรี๊ยะ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเหล่าเทวนารีนั้น ดูเสมือนว่าชายหญิงทั้งสองกำลังอยู่ในท่วงท่าที่จะร่วมเพศกันในไม่กี่อึดใจ ข้างหน้า ทำให้จิตของหญิงสาวทุกนางอุทานออกมาพร้อมกัน
‘นั่น…อะไรกัน มหาเทพกำลังจะ..จะ..’
‘พรหมจรรย์ของเทวนารี…มหาเทพกำลังจะทำลายหรืออย่างไร’
‘หากเยื่อพรหมจรรย์ของโยนาสูญสลาย นางจะกลับกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา…นั่นยิ่งร้ายกาจกว่าการสังหารนางเสียอีก…’
จิต ที่ระล่ำระลักด้วยความแตกตื่นดังออกมาพร้อมกับร่างของเทวนารีทั้งสี่พยายาม เคลื่อนร่างเข้าขัดขวาง แต่พลันร่างของเซี่ยวเล้งก็พริ้ววาบมาขวางหน้าทุกคนก่อนส่งจิตออกมาด้วยน้ำ เสียงจริงจัง
‘นาเดีย ซายี รีอา ชีร่า ฟังเซี่ยวเล้งก่อน จงดูให้ดี แม้ควยพี่เอจะแหวกกลีบแคมโยนาเข้าไป แต่นั่นเป็นเพียงการเชื่อมต่อร่างเพื่อถ้ายทอดปราณโดยตรงเข้าสู่จักรอัคคี เมื่อครู่หากเซี่ยวเล้งเป็นเพศชาย เซี่ยวเล้งก็คงฟื้นปราณนาเดียด้วยวิธีเดียวกัน เพืราะนี่เป็นวิธีที่ปราณจะเข้าสู่ร่างได้รวดเร็วที่สุด ควยพี่เอหาได้แทงทะลุเยื่อพรหมจรรย์ของโยนาไม่ เห็นไหม เกราะปราณเริ่มก่อตัวบนร่างโยนาแล้ว…’
จิตของเซี่ยวเล้งที่ถ่าย ทอดมา ทำให้เทวนารีทั้งสี่ จับตามายังตำแหน่งกลีบเนื้อของโยนาที่อ้าออกอมปลายแก่นกายไกรวิทย์ และพบว่าลำลึงค์ยาวเหยีดนั้นเพียงเชื่อมต่อกับร่องรักหญิงสาวโดยไม่มีท่าที จะบุกผ่านเข้าไปจนสุดทางแต่อย่างใด พร้อมกันนั้นร่างเปลือยเปล่าของโยนาก็เริ่มปรากฏประกายแสงขึ้นพร้อมกับเกราะ ปราณแห่งราศีกุมภ์ปีรากฏขึ้นบนร่างหญิงสาว ทำให้ไกรวิทย์ระบายลมหายใจยาวออกมา มือขวาที่เคยประกบกับทรวงอกเต่งเต้าก็เคลื่อนออกมาโอบรอบเอวคอดกิ่วเอาไว้ แทน แต่ท่อนล่างนั้นปลายแก่นเนื้อไกรวิทย์ยังคงจมอยู่ระหว่างสองแคมอวบอิ่ม ซึ่งเป็นบริเวณเดียวที่เกราะปราณไม่ก่อเกิดขึ้นปกคลุม ดวงตาโยนาค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ ก่อนอุทานออกมาด้วยความแตกตื่นเมื่อพบว่าริมฝีปากกำลังถูกสัมผัสจากปากของ เพศตรงข้าม เนินเนื้อเบื้องล่างที่ไม่เคยมีชายใดพบเห็นหรือสัมผัสกำลังแยกออกรับสิ่ง แปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย ร่างเปรียวงามไหวระริกเพื่อพยายามดิ้นรนอกจากการบุกรุก แต่ก่อนที่สะโพกจะเคลื่อนที่ ริมฝีปากไกรวิทย์พลันถอนนอก พร้อมกับจิตดังขึ้นอย่างอ่อนโยน
‘โยนา แห่งราศีกุมภ์…อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว หีของเจ้าหาได้ถูกทำลายพรหมจรรย์ไม่ เราเพียงเชื่อมต่อเพื่อส่งผ่านปราณกระตุ้นจักรอัคคีของเจ้าที่เกือบแตกสลาย จากวิชาหมอกฟ้าดับสูญ ทำให้เราจำเป็นต้องสลายกายเข้ารวมกับร่างเจ้าและปิดกั้นการเชื่อมต่อของจักร ปราณเพื่อทำลายหมอกฟ้าดับสูญก่อนที่ร่างเจ้าจะต้องกระจายออกเป็นหมอกไอน้ำ สลายร่างเจ้าไปตลอดกาล…’
จิตไกรวิทย์ที่ส่งมา ทำให้ร่างของโยนายุติความเคลื่อนไหวที่กำลังจะเริ่มในทันที เมื่อรับรู้ว่ากระแสปราณบริสุทธิ์ กำลังแผ่เข้าสู่ร่างกายจนจักรอัคคีสามารถก่อเกิดปราณสร้างเกราะขึ้นปกคลุม ร่างกายเปล่าเปลือยอีกครั้ง ดวงตาหญิงสาวจับจ้องดวงตาไกรวิทย์เขม็งด้วยประกายตาสับสน สองมือที่เคยห้อยลงกับลำตัวยกขึ้นมาเกาะกุมไหล่ไกรวิทย์อย่าลืมตัว ขณะส่งจิตแผ่วเบาที่แฝงความสับสนอย่างรุนแรงออกมา
‘มหาเทพ ดวงตาท่านเห็นร่างเปลือยของเราทุกส่วน รับจุมพิตแรกของเราไป อวัยวะเพศ ชายก็รุกล้ำเข้ามาในร่างกายของโยนา ถึงจะยังไม่ทำลายพรหมจรรย์ แต่ด้วยประเพณีแห่งชนเผ่ากำเนิด โยนามีทางเลือกสองทางเท่านั้น คือสังหารท่านเพื่อรักษาเกียรติยศ หรือไม่ก็ต้องมอบร่างกายและจิตใจให้มหาเทพท่าน แล้วนี่โยนาจะทำอย่างไรกัน…..’
ไกรวิทย์จับจ้องดวงหน้าของหญิง สาวที่ผสานสาบเลือดของชาวอะบอริจินโบราณกับชาวยุโรปในทวีปออสเตรเลีย จนกอปรเป็นความงามคมเข้มที่ยากจะถอนสายตา มุมริมฝีปากหนานุ่มเต้นกระตุกด้วยความสับสนใจใจ ขณะที่ทรวงอกคู่น้อยที่ถูกเกราะปราณซึ่งเพิ่งก่อตัวขึ้นปกคลุม ก็ปรากฏหัวนมคู่งามแข็งตัวชูชันขึ้นภายใน สัมผัสที่ปลายแก่นก่ายไกรวิทย์รับรู้ถึงความชื้นชุ่มที่ส่งกลิ่นหอมจรุงออก มา สะโพกที่เคยเกร็งตัวเพื่อจะต่อต้านการบุกรุกกลับเคลื่อนตัวเป็นวงน้อยๆ ราวกับต้องการการเสียดสีให้มากขึ้น ซึ่งแม้หยญงสาวจะไม่ได่ส่งจิตบ่งบอกสิ่งใดออกมา แต่อากัปกริยานั้นก็บอกให้ไกรวิทย์รู้ในทันทีว่าหญิงสาวเลือกทางใดสำหรับ ความสัมพันธ์ในอนาคต แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะส่งจิตตอบ ร่างของเซี่ยวเล้งพลันพุ่งวาบลงมา พร้อมกับนาเดีย อาชีร่า ซาโรยีและมารีอา
‘โยนาท่านฟื้นปราณแล้ว เซี่ยวเล้งยินดีนัก นี่หากไม่ได้ควยพี่เอ คงอีกนานกว่าที่ปราณท่านจะฟื้นกลับมาสร้างเกราะปราณได้เช่นนี้’
จิต ที่เซี่ยวเล้งส่งออกมาทำให้เทวนารีทั้งห้าขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินการ ใช้คำเรียกอวัยวะเพศชายที่ถือว่าเป็นคำหยาบออกมาจากปากเซี่ยวเล้ง…แต่ก็ดู เหมือนว่าทุกคนจะยอมรับการใช้คำนั้นโดยไม่โต้แย้งใดๆ ขณะเดียวกันนั้นไกรวิทย์ก็สูดลมหายใจลึกยาว ก่อนถอนปลายแก่นเนื้อออกจากสองแคมโยนาเบาๆ และปล่อยร่างเทวนารีแห่งราศีกุมภ์ให้ลอยอยู่ในอากาศด้วยปราณตนเอง แต่พลันที่ร่างโยนาพ้นจากการประคองของไกรวิทย์ หญิงสาวก็ก้มลงจับจ้องตำแหน่งเนินรักของตนเอง ก่อนอุทานออกมาเบาๆ เมื่อพบว่าเกราะปราณที่ก่อกำเนิดขึ้นนั้นกลับปราศจากส่วนของเกราะที่แผ่คลุม เนินรักเอาไว้ดังเดิม มีเพียงสายคาดสีทองคาดปิดร่องแยกสองแคมไว้เพียงชิ้นเดียว ปล่อยให้ความโหนกนูนของสองแคมอวบอิ่มที่ประดับด้วยเส้นไหมดกดำเผยความงามออก มาอย่างเต็มที่ มือเรียวบางของหญิงสาวรีบตะปบปิดบังเนินรักและส่งจิตออกมาอย่างเร่งร้อน
‘เกราะปราณของเราในจุดนี้หายไปที่ใดกัน….’
ร่างอวบอิ่มของนาเดียพลันเคลื่อนวูบเข้ามาหาเพื่อนเทวนารีก่อนส่งจิตออกมา
‘โย นาอย่าตกใจไป หากเราคาดเดามิผิดพลาด เมื่อครู่ที่มหาเทพสลายร่างเข้าผนึกกับอณูร่างของโยนาที่สลายตัวจากวิชาหมอก ฟ้าดับสูญ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างท่านกลายเป็นไอน้ำนั้น มหาเทพได้กำจัดชิ้นส่วนของเกราะปราณออกจากร่างท่านเพื่อป้องกันไม่ให้ร่าง กายถูกควบคุมจากทัณฑ์ผลาญจิต ทำให้เกราะปราณบางส่วนของโยนาท่านถูกสลายไป แต่บังเอิญที่แทนที่จะเป็นเกราะปราณส่วนอื่น กลับเป็นส่วนที่ปกป้อง เอ้อ…เนินหี…ของท่านไป นั่นแม้จะทำให้เกิดความอับอายอยู่บ้างแต่ก็ทำให้ท่านหลุดพ้นจากทัณฑ์ผลาญจิต เช่นพวกเราทุกคน ที่เกราะปราณล้วนถูกทำลายบางส่วนทั้งสิ้น…’
จิต นาเดียส่งออกมาอย่างมั่นคง แต่กระตุกเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวพยายามใช้คำเรียกอวัยวะเพศสตรีเช่นเดียวกับ ที่ไกรวิทย์และเซี่ยวเล้งใช้ ทำให้ ซาโรยี มารีอา และอาชีร่า อดหน้าแดงวูบขึ้นพรีอมๆ กันไม่ได้ ขณะที่เซี่ยวเล้งกลับยิ้มให้นาเดียอย่างอ่อนโยน แต่ยังไม่ทันที่จะส่งจิตอธิบายเพิ่มเติม จิตที่สั่นสะท้านของโยนาเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นมั่นคง มือที่เคยปิดกั้นเนินรักกลับถูกยกออกอย่างไม่ลังเล ใบหน้างามหันมาจับจ้องไกรวิทย์ ร่างปราดเปรียวทรุดลงด้วยท่วงท่าถวายคำนับตามวิถีแห่งการแสดงความเคารพสูง สุด พร้อมส่งจิตออกมาด้สวยน้ำเสียงแน่วแน่
‘โยนาเข้าใจ แล้ว…เมื่อมหาเทพเป็นผู้นำชีวิตที่ไร้ค่าของเราโยนาเทวนารีราศีกุมภ์กลับ มาจากความตายอันไร้เกียรติ มอบจุมพิตแรกให้ สัมผัสร่างกายอันต่ำต้อยนี้ทุกสัดส่วน อีกทั้ง..คะ คะ ควยของมหาเทพก็ได้ผ่านเข้าสู่ปากทางแห่งพระหมจรรย์ของโยนาแล้ว ชีวิต จิตและวิญญาณของโยนาจึงต้องขอมอบให้มหาเทพ เป็นข้ารองรับคำบัญชาไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เกราะปราณของโยนาจะเปิดเผย…หะ หี ทั้งหมดต่อสายตามหาเทพ ก็หาเป็นเรื่องที่โยนาจะต้องอับอายแต่อย่างใด แต่กลับเป็นเกียรติแก่โยนายิ่ง…ดังนั้นนับแต่นี้..’
ยังไม่ทันที่โยนาจะส่งจิตจบสิ้น ไกรวิทย์พลันย่อร่างลงเบื้องหน้าโยนาแล้วประคองไหล่ที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของหญิงสาวไว้
‘โย นาเจ้าไม่จำเป็นต้องกระทำเช่นนี้ เราหาได้ต้องการให้เจ้าตอบแทนเราด้วยวิธีใดๆ ไม่ ขอเพียงแต่เทวนารีทั้งหลายได้รับรู้ถึงความต้องการที่เลวร้ายของเทพสุรัสวดี และถอนตัวออกจากการสนับสนุนความชั่วร้ายที่ขัดต่อกฏเทพเจ้า เท่านั้นเราก็ยินดียิ่งแล้ว…’
‘มหาเทพ…อภัยที่โยนามีทางเลือก เพียงสองทางเท่านี้น หากมหาเทพไม่ยอมรับโยนาเป็นบาทจาริกา โยนามีแต่ต้องสังหารตัวเองเพื่อปกป้องเกียรติที่สำคัญต่อโยนายิ่งกว่า ชีวิต…’
จิตแน่วแน่ของโยนาตอบมาอย่างหนักแน่น ดวงตาสีน้ำตาลส่งประกายวาววับขณะประสานสายตากับไกรวิทย์ บอกให้รู้ว่าทุกถ้อยคำที่หญิงสาวส่งออกมานั้นคือสัจจะที่ไม่สามารถผันแปรได้ ทำให้ไกรวิทย์ต้องถอนใจออกมา มือขวาของชายหนุ่มผู้ดำรงจิตแห่งมหาเทพวิรุถณปักขะพลันยกขึ้นวางบนศีรษะของ หญิงสาวผู้งดงามพร้อมส่งจิตที่แฝงวิชาบัญชาเทพออกไป
‘หากเป็นเช่นนั้น โยนาจงฟัง เราขอรับเจ้าไว้ในบัญชา ส่วนศักดิ์แห่งเทวนารีของเจ้านั้น…’
‘มหา เทพ..โยนาทราบดีว่าศักดิ์เทวนารีแห่งราศีกุมภ์นั้น ซ้อนทับกับเทวนารีแห่งมหาอาณาจักรปราณใต้บัญชามหาเทพ ดังนั้นโยนาหาต้องการศักดิ์แหงเทวนารีนี้ไม่’
จิตโยนาแทรกขึ้นในทันที ราวกับเกรงว่าไกรวิทย์จะลังเลกับซานะเทวนารีที่ซ้อนทับกัน แต่ไกรวิทย์กลับแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
‘เรา คือผู้กำหนดศักดิ์เทวนารี และเทวนารีหาได้จำกัดอยู่เฉพาะสิบสองจักราศีไม่ ในเมื่อเจ้าต้องการร่วมศึกกับเรา เจ้าก็จงดำรงตำแหน่งเทวนารีแห่งราศีกุมภ์ดังเดิมคู่กับอัจฉริยาผู้ถือศักดิ์ นี้เช่นกันเถอะ’
‘การได้ทำหน้าที่ข้างกายมหาเทพ ถือเป็นเกียรติสำหรับโยนายิ่ง…นับแต่นี้โยนาขอถอนตนเองออกจากจักราศีภาย ใต้บัญชาแห่งเทพสุรัสวดี และขอรับใช้มหาเทพวิรุณปักขะ เพื่อปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของกฏเทพเจ้าอันเป็นคุณธรรมแท้จริง..’
ยังไม่ทันที่ไกรวิทย์จะส่งจิตเสร็จสิ้น จิตที่อ่อนล้าแต่ยังคงความหนักแน่นหกสายพลันดังขึ้นพร้อมกัน
‘มหาเทพ นาเดีย เทวนารีแห่งราศีพฤษภ ใคร่ขอเข้าสู่สังกัดบัญชามหาเทพวิรุณปักขะ ร่วมกับโยนา มหาเทพโปรดพิจารณาคำขอของนาเดียด้วย’
‘มหา เทพ เราแองเจลลีน เทวนารีราศีกรกฏ ขอถอนตัวออกจากบังคับแห่งเทพสุรัสวดี ร่วมต่อสู้กับเมดูซ่าผู้เป็นสหาย ขอให้มหาเทพโปรดรับแองเจลลีนไว้ด้วย’
‘ข้า แต่มหาเทพวิรุณปักขะ เราอาชีร่าผู้เคยรับศักดิ์เทวนารีราศีสิงห์ขอถอนตัวออกจากจักรราศี ด้วยเหตุที่ไม่สามารถรับบัญชาที่ขัดต่อกฏเทพเจ้าของเทพสุรัสวดีได้อีกต่อไป ขอมหาเทพรับอาชีร่าร่วมต่อสู้กับโยนา และเหล่าเทวนารี เพื่อดำรงความถูกต้องแห่งวิถีเทพต่อไปด้วย..’
‘เรามารีอาแห่งราศีกันย์ ขอน้อมกายใจเข้าสู่บัญชามหาเทพวิรุณปักขะร่วมกับโยนา ขอมหาเทพดปรดรับมารีอาไว้ข้างกายด้วยเถิด’
‘มหา เทพ เราอิอาร่าแห่งราศีพฤศจิก ขอโอกาสแก้ไขพฤติกรรมในอดีตที่ได้ล่วงเกินมหาเทพ ด้วยการเข้าเป็นข้ารับใช้มหาเทพผู้เปี่ยมด้วยเมตตา ขอมหาเทพจงเมตตารับอิอาร่าไว้ด้วย’
‘ซาโรยีผู้เคยเป็นเทวนารีแห่ง ราศีเมษ ขอร่วมรับใช้มหาเทพพร้อมกับโยนา ด้วยได้รับรู้แล้วว่าทุกสิ่งที่ซาโรยีเคยยึดถือนั้น กลับกลายเป็นวิบัติแห่งมวลมนุษย์ ซาโรยีขอร่วมรับใช้มหาเทพในการปกป้องพิภพนี้’
จิตทั้งหกสายที่ดัง ประสานกัน พร้อมกับภาพที่เหล่าเทวนารีทั้งหก พากันทรุดกายลงกลางอากาศล้อมไกรวิทย์ และโยนาเอาไว้ โดยมี เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา ยืนอยู่รอบนอกด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เทวนารีทั้งหก พากันสบตากันและกันด้วยประกายตาประหลาดใจเมื่อพบว่าทุกนางล้วนส่งจิตขอเข้า มาในบัญชาของไกรวิทย์พร้อมกัน โดยไม่เคยปรึกษากันมาก่อน ทันใดนั้นร่างไกรวิทย์ที่กึ่งกลางพลันแยกออกเป็นหกสาย มายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเทวนารีทั้งหก มือชายหนุ่มยกขึ้นวางบนศีรษะหญิงสาวทุกคน พร้อมส่งจิตออกมา
‘นา เดีย แองเจลลีน อาชีร่า มารีอา อิอาร่า ซาโรยี และโยนา เรามหาเทพวิรุณปักขะผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณณขอรับพวกเจ้าทั้งเจ็ดเป็นเท วนารีแห่งเรา หวังว่าพวกเจ้าจงคงไว้ซึ่งหน้าที่ปกป้องคุณธรรมทอันแท้จริง โดยไม่หวาดหวั่น นับแต่นี้ไป เราขอถือพวกเจ้าเป็นสหายร่วมศึก จงเคียงข้างเราต่อสู้ร่วมกับเราและเหล่าเทวนารีไปจนกว่าความถูกต้องจะกลับ คืนสู่พิภพนี้เถอะ…’
‘เทวนารีน้อมรับบัญชา…’
ขณะ ที่จิตของเหล่าเทวนารีตอบรับบัญชา มือของหญิงสาวทั้งเจ็ดถูกยกขึ้นเหนือศีรษะและกุมมือของไกรวิทย์ไว้ ศีรษะก้มลงปลายคางชิดหน้าอก ด้วยกริยาแห่งการถวายตน ตามวิถีการรับศักดิ์แห่งมหาอาณาจักรปราณโบราณ ทั้งที่ท่วงท่าดังกล่าวไม่เคยมีการใช้มานับหมื่นปีภายหลังการส่มสลายของมหา อาณาจักรปราณ และเหล่าเทวนารีปัจจุบันไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน ภาพที่เห็นทำให้ไกรวิทย์ถอนใจออกมาเบาๆ มือช้อนไปที่ปลายคางหญิงสาวทุกคนให้เงยหน้าขึ้นสบตา สุกกระจ่างทั้งเจ็ดคู่นั้น
‘แม้พวกเจ้าจะไม่รู้จักตัวตนที่แท้ จริง แต่ก็ควรรู้ไว้ว่าผลึกราศีในร่างของพวกเจ้าทั้งเจ็ดนั้นนั้นไม่สามารถเข้า สู่ร่างมนุษย์ธรรมดาได้ มีเพียงผู้สืบทอดสายโลหิตแห่งมนุษย์เทพเท่านั้นที่จะสามารถกำเนิดเยื่อ พรหมจรรย์ศักดิ์สิทธิ์ที่จะกักมวลพลังจากผลึกราศีไว้ในกาย สายเลือดพวกเจ้าล้วนสืบทอดมาจากสายเลือดแห่งมนุษย์เทพโบราณ ท่วงท่าที่เจ้าแสดงออกนี้บอกให้รู้ว่าจิตแห่งความทรงจำอันสถิตย์อยู่ในวิญญา นพวกเจ้าได้เริ่มฟื้นกลับคืนเมื่อพบเรา ดังนั้นจงมั่นใจเถิดว่าในอดีตชาติ พวกเจ้าก็คือหนึ่งในเหล่ามนุษย์เทพแห่งมหาอาณาจักรปราณ และเคยร่วมรบกับเรามาก่อน..แต่เจ้าจะเป็นผู้ใดในมหาอาณาจักรปราณนั้น แม้แต่เราเองก็ไม่สามารถรู้ได้ นอกจากจิตแห่งความทรงจำของเจ้าจะฟื้นคืนขึ้นมาเท่านั้น……’
‘หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเหล่าเทวนารีผู้งามสะท้านโลกทั้งเจ็ดต้องให้พี่เอเย็ดเพื่อฟื้นความจำกลับมาโดยสมบูรณ์’
จิต ที่แฝงน้ำเสียงหยอกเย้าของเรอินะดังแทรกขึ้น ขณะที่ร่างเพรียวบางของเทวนารีราศีธนูเคลื่อนเข้ามารวมกลุ่มกับร่างไกรวิทย์ ทั้งเจ็ด ที่สลายตัวเป็นหมอกควันสีดำมาร่วมตัวกันเป็นร่างเดียว แต่จิตที่เรอินะถ่ายทอกดออกมานั้นกลับไม่ได้ทำให้เหล่าเทวนารีทั้งเจ็ดแสดง อาการแตกตื่นตกใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ปรากฏสีแดงซ่านขึ้นที่พวงแก้มทุกนาง ราวกับจะยอมรับคำของเรอินะโดยปราศจากข้อขัดแย้ง
‘แต่พี่เอคงไม่ สามารถเย็ดทุกคนได้ตอนนี้แน่ เพราะกาฬปราณจะกระตุ้นพลังแห่งเทวนารีทั้งสิบสองแห่งมหาอาณาจักรปราณเท่า นั้น แต่หาได้ส่งผลต่อเหล่าเทวนารีที่ได้รับพลังจากผลึกราศีไม่ ดังนั้นหากพี่แอเย็ดเหล่าเทวนารีเมื่อใด ผลึกราศีก็จะถูกปลดปล่อยกลับไปสู่หอผลึก ปราณที่พี่ถ่ายทอดให้นั้นขึงมีเพียงแต่ปราณคชสีห์ ซึ่งไม่สามารถเทียบเคียงได้กับพลังจากผลึกราศีได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าแทนที่เหล่าเทวนารีจะร่วมต่อสู้กับพวกเราด้วยพลังเหนือ โลก พวกนางจะกลับไปเป็นเพียงผู้ทรงปราณระดับสูงธรรมดาเท่านั้น ….แต่เซี่ยวเล้งก็สงสารพี่เอจริงๆ ที่จะต้องอยู่ร่วมกับ นาเดีย ซาโรยี อิอาร่า แองเจลลีน โยนา อาชีร่า และมารีอา ที่ทุกนางต่างงามกว่าเซี่ยวเล้งมากนัก แต่พี่เอกลับโดยไม่สามารถล่วงเกินพรหมจรรย์ของพวกนางได้..’
จิต เซี่ยวเล้งส่งออกมาเบาๆ ราวกับจะเตือนให้ไกรวิทย์ตระหนักถึงสงครามที่กำลังรออยู่ข้างหน้า แต่ก็อดไมได้ที่จะส่งจิตเย้าแหย่ออกมาในช่วงหลังไม่ได้
‘เซี่ยวเล้ง….ยะ ยะ เย็ดอะไรกัน นาเดีย และเหล่าเทวีองรักษ์หาได้ต้องการแย่งความรักของมหาเทพมาจากเหล่าเทวนารีไม่..’
จิตนาเดียส่งออกมาอย่างตะกุกตะกัก…แต่กลับปรากฏจิตที่หนักแน่นมั่นคงของโยนาดังขึ้นแทรก
‘แต่ โยนาตั้งใจที่จะมอบพรหมจรรย์นี้ให้มหาเทพผู้เป็นชายคนแรกที่โยนาได้รับรู้ ถึงหัวใจที่เสียสละ ถึงแม้ปราณของโยนาจะต้องคงอยู่ในระดับของผู้ทรงปราณธรรมดา โยนาก็ยินยอมพร้อมใจ.. ขอเพียงมหาเทพอนุญาตให้โยนาติดตามอยู่ย้างกาย โยนาก็หาต้องการสิ่งใดอีกไม่’
จิตของโยนาที่บอกถึงความตั้งใจ ของตนเองโดยปราศจากความลังเลหรืออับอายใดๆ ทำให้เทวีองครักษ์ทั้งหกต้องหันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียว ก่อนที่นาเดียจะส่งจิตแผ่วเบาออกมาราวรำพึงกับตนเอง
‘น่าอายยิ่งนักที่นาเดียกลับแสดงความอับอายของตนเองออกมาต่อหน้าทุกคน ทั้งที่ในส่วนลึกของนาเดียเองก็หาได้แตกต่างกับโยนาไม่…’
‘เอา ล่ะ…พี่นาเดียไม่ต้องอับอายอะไรหรอก…เอาเป็นว่าตอนนี้พี่เออาจจะยังไม่ สามารถเย็ดพวกพี่ๆ ทั้งเจ็ดได้ แต่เรอินะรับรองว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้น…พี่เอจะไม่มีวันปล่อยพรหมจรรย์ ของพวกพี่รอดไปได้หรอก….’
จิตเรอินะส่งออกมาขัดพร้อมกับเรอ ยยิ้มของทุกคนปรากกฏ พร้อมกับจิตไกรวิทย์ส่งออกมา ด้วยน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนจากวิชาบัญชาเทพ มาเป็นเสียงปกติที่นุ่มนวลอ่อนโยน
‘นาเดีย ซาโรยี อิอาร่า แองเจลลีน โยนา อาชีร่า และมารีอา จงลุกขึ้นจากท่วงท่านั้นเถอะ บัดนี้พวกเราถือเป็นสหายร่วมศึก เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องใช้ถ้อยคำแห่งเทวะมาสนทนากันหรอก ต่อไปนี้ขอให้ทุกคนเรียกพี่เป็นพี่เอ เหมือนพวกเซี่ยวเล้งก็พอ เช่นเดียวกับที่พี่ก็จะเรียกทุกคนด้วยชื่อปกติ…..นี่เป็นบัญชาของมหาเทพ ไม่มีข้อโต้แย้งทั้งสิ้น..’
จิตท่อนสุดท้ายของไกรวิทย์พลัน เปลี่ยนไปเป็นจิตแห่งวิชาบัญชาเทพ เมื่อพบกว่าเหล่าเทวีองครักษ์ทั้งเจ็ดที่ลุกขึ้นตามคำสั่งที่สีหน้าตกใจ เมื่อถูกสั่งให้ใช้ถ้อยคำปกติสนทนา และกำลังจะส่งจิตคัดค้าน แต่เมื่อจิตที่ใช้วิชาบัญชาเทพถูกส่งออกไปกำกับ หญิงงสามทั้งเจ็ดก็ถอนใจแล้วส่งจิตแผ่วเบาออกมาพร้อมกัน
‘พี่เอ…’
‘นั่น แหละคือสิ่งที่พี่ต้องการ แต่ตอนนี้ในเมื่อการต่อสู้ยุติลง ก่อนที่พวกเราจะกลับไปรวมกับพวกน้องรินที่เรือ พี่อยากถามทุกคนเกี่ยวกับดาราสมุทร ที่ก่อนหน้านี้ซาโรยีเคยบอกว่าเทพสุรัสวดีจะใช้มันทำลายล้างมนุษย์ แต่เท่าที่พวกเราทุกคนเห็นอยู่นั้น จักราวุธเบื้องล่างเพียงแต่ส่งพลังแผดเผาน้ำทะเลให้เป็นไอเท่านั้น นี่ดูราวกับจะไม่ใช่อำนาจที่แท้จริงของจักราวุธที่ตำนานโบราณระบุว่าแต่ละ ชิ้นมีอำนาจทำลายล้างผืนพิภพให้สูญสิ้นไปได้..’
จิตไกรวิทย์ที่ ส่งออกมาทำให้สายตาของเทวนารีทั้งสิบเอ็ดนางหันไปจับจ้องภาพของลูกกลมโลหะ มหึมาที่ลอยอยู่เหนือพื้นทะเล ท่ามกลางหมอกไอน้ำที่ถูกคลื่นพลังงานแผดเผาไม่ขาดระยะ
‘เรื่องนี้ ซาโรยีทราบเพียงว่า ดาราสมุทร หนึ่งในจักราวุธเบื้องล่างนั้นถูกส่งมาอยู่ที่ทะเลตะวันออก เพื่อรอการปรากฏกายของมหหาเทพ ไม่ใช่สิ..พี่เอ ภายในดาราสมุทรด้านบนนั้น เป็นห้องว่างที่พวกเราทั้งเจ็ดถูกสั่งมาให้ใช้เป็นที่พำนักระหว่างรอปฏิบัติ หน้าที่ ซึ่งพวกเราก็ได้เฝ้ารออยู่ในที่นั้นมากว่าเดือน โดยปราศจากการติดต่อใดๆ จนเมื่อชั่วยามที่ผ่านมา ช่องทางของสมุทรดาราด้านบนจึงเปิดออก จิตของพวกเราพลันได้รับรู้การสนทนาของพี่เอ กับ เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่า และแอนโดรเมดา ตอนนี้นจิตเราทุกคนเต็มไปด้วยความต้องการสังหารพี่เอให้สิ้นไป พวกเราจึงทะยานออกมาเพื่อทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้น แต่ส่วนพลานุภาพ อำนาจ และการบังคับดาราสมุทรนั้น ซาโรยีหาทราบไม่’
‘ที่ซายีกล่าวนั้น คือความจริงทุกประการ อิอาร่ายืนยันว่าในส่วนบนของดาราสมุทรนั้นเป็นเพียงช่องว่างพร้อมที่พำนัก ของคนหนึ่งร้อยคน มีอาหารเพียงพอสำหรับอยู่ได้กว่าครึ่งปี แต่กลับไม่ปรากฏร่องรอยของชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ฝช้ในการบังคับแม้แต่น้อย มีเพียงช่องวงกลมที่พื้นของกึ่งกลางห้องที่ผนึกไว้ด้วยโลหะประหลาดที่ ปราศจากความร้อนหรือความเย็น อันน่าจะเป็นช่องทางลงไปสู่ภายในดาราสมุทร แต่พวกเราพยายามหาทางเปิดอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ แม้กระทั้งดัชนีอัคคีของอิอาร่า ก็ยังไม่สามารถทำให้โลหะนั้นเกิดความเสียหาย หรือแม้กระทั่งเกิดความร้อนขึ้นมาได้แม้แต่น้อย..’
จิตซาโรยีและ อิอาร่าส่งออกมาอธิบายถึงสภาพภายในของดาราสมุทรให้ไกรวิทยย์รับรู้ แต่ดูราวกับว่าข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจถึงการ ปรากฏของดาราสมุทรแต่อย่างใด ไกรวิทย์จับจ้องมองภาพจักราวุธครู่หนึ่งก่อนเคลื่อนวูบลงสู่เบื้องล่างที่ บริเวณชายขอบของคลื่นพลังงานที่ส่งออกมาจากช่องเปิดรูปวงกลมด้านล่างของดารา สมุทร ผนึกปราณในร่างขึ้นและพุ่งเข้าไปสู่เขตของคลื่นพลังงงามนั้นโดยปราศจากความ ลังเล ทำให้เหล่าเทวนารีและเทวีองครักษ์ทั้งหมดอุทานออกมาเบาๆ และพากันผนึกปราณที่หลงเหลือในร่างขึ้น เคลื่อนวาบตามร่างไกรวิทย์เข้าสู่ภายใน
ดวงตาไกรวิทย์และ เหล่าเทวนารีที่เข้าสู่รัศมีของคลื่นพลัง โดยมีปราณคุ้มครองกายแผ่ปกป้องร่าง จับจ้องมองเบื้องบนไปยังภายในของจักราวุธนามดาราสมุทร ซึ่งปรากฏภาพของลูกแก้วทรงกลมรัศมีกว่า 50 เมตร ส่งแสงเรืองรองอยู่ภายใน ที่ส่วนบนของลูกแก้ว ปรากฏแท่งแก้ว 8 แท่งยื่นออกมา ส่วนปลายโค้งงอราวกรงเล็บสิงห์ สัมผัสของไกรวิทย์รับรู้ในทันทีว่าคลื่นความร้อนที่แผ่ลงมามีต้นกำเนิดมาจาก ลูกแก้วที่ส่งพลังงานมารวมศูนย์อยู่ที่ภายใต้ ก่อนรวมตัวแผ่พุ่งเป็นลำยาวผ่านช่องเปิดเบื้องล่างลงสู่พื้นมหาสมุทร ซึ่งแม้เบื้องล่างจะเกิดเสียงครืนครั่นของน้ำที่ถูกเผาผลาญเป็นไอ แต่คลื่นพลังงานที่ส่งออกมาจากลูกแก้วนั้นกลับไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวของ กลไกใดๆ ให้เกิดเสียงแม้แต่น้อย
‘คลื่นพลังงานความร้อนเพียงเท่า นี้เองหรือ ดูไม่สมกับเป็นพลังงานของจักราวุธที่ร่ำลือว่ามีอำนาจต่อต้านเทพเจ้าได้ เลย..แต่ นั่น…นั่นคืออะไร’
จิตแอนโดรเมดาส่งออกมาด้วยความ สงสัยเล็กน้อย เมื่อร่างของทุกคนเข้ามาอยู่ภายในคลื่นความร้อนที่แผ่ลงมาจากดาราสมุทร และพบว่าความร้อนนั้นแม้จะสามารถแผดเผามนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นธุลี แต่สำหรับผู้ทรงปราณระดับสูงทั่วไปก็ยังคงสามารถผนึกปราณป้องกันตนเองจาก ความร้อนระดับนี้ได้อย่างไม่ยากนัก และยิ่งสำหรับเหล่าเทวนารีผู้มีปราณเหนือโลกนั้น สภาพความร้อนภายในคลื่นพลังนี้ก็ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อร่างกายทั้งสิ้น…แต่จิตของแอนโดรเมดาพลันเปลี่ยนเป็นประหลาดใจสุดขีด มือเรียวงามชี้ขึ้นไปยังขอบด้านหนึ่งของผนังทรงกลมอันเป็นเปลือกนอกของสมุทร ดารา สายตาทุกคู่พบเห็นพร้อมกันว่าที่ชายขอบของช่องเปิดด้านล่างนั้นปรากฏ ผลึกแก้วใสรัศมีสองแมตรเศษลูกหนึ่ง ภายในบรรจุด้วยของเหลวส่งประกาย ภายนอกปรากฏสายคาดโลหะสีเงินที่คาดรอบเส้นผ่าศูนย์กลางของผลึกแก้วใส เชื่อมโยงไปตรึงไว้กับขอบด้านในของสมุทรดารา
ด้วยสายตาที่มีพิสัยรับภาพสูงกว่ามนุษย์นับร้อยเท่า ไกรวิทย์จับภาพเงาร่างของมนุษย์ถูกตรึงข้อมือทั้งสองด้วยสายโลหะเชื่อมต่อไป ยังวงแหวนที่คาดล้อมผลึกแก้วที่บรรจุเต็มไว้ด้วยน้ำใสกระจ่างภายใน ผมยาวที่สยายตัวกระจายอยู่ในน้ำ ใบหน้ารูปไข่ขาวสะอาดจนส่งประกาย จมูกน้อยโด่งเป็นสันได้รูปรับกับริมฝีปากเรียวบาง ประดับรอบกรอบใบหน้าด้วยเกราะปราณสีน้ำเงินเข้มผสานกับประกายสีเขียว ก่อเป็นใบหน้าของสตรีที่งามสุดหล้า แต่ดวงตานั้นกลับปิดสนิทราวกับไร้ชีวิต เรือนร่างอ่อนแอ้นที่มีข่ายของเราะปราณถักทอประสานห่อหุ้มทรวงอกขนาดใหญ่ที่ เต่งเต้าตระหง่าน บอกให้รู้ว่าร่างนั้นเป็นมนุษย์เพศหญิงที่งามสุดหล้าฟ้าดิน แต่ส่วนล่างของร่างนั้นแทนที่จะเป็นลำขาเรียวยาวรับกับเอวที่คอดกิ่วซึ่งคาด ไว้ด้วยสายเกราะปราณ กลับกลายเป็นท่อนหางของปลาขนาดใหญ่ ที่ปกคลุมด้วยเกล็ดปลาสีเขียวมรกตระยิบระยับ ความทรงจำนับหมื่นปีของไกรวิทย์รู้ในทันทีว่านี่คือรูปลักษณ์ของเทวนารี ราศีมีนผู้มาจากเผ่าพันธ์เทพมัจฉา ทำหน้าที่ปกป้องมหาสมุทรทั้งสี่มาแต่โบราณกาล
‘ ไซเรน….’
‘หรือนั่นคือสุรีย์มัจฉา เทวนารีแห่งราศีมีน..’
จิตของเหล่าเทวนารีอุทานชื่อของไซเรนผู้ดำรงศักดิ์สุรีย์มัจฉา เทวนารีราศีมีนออกมาพร้อมกัน ในขณะที่เมดูซ่า และแอนโดรเมดา ซึ่งในความทรงจำผนึกไว้ด้วยภาพลักษณ์แห่งเทวนารีราศีมีนผู้มาจากเผ่าพันธ์ เทพมัจฉาก็อุทานออกมาเช่นกัน
‘พี่เอ…เรอินะจะไปช่วยพี่ไซเรน…’
จิต เร่งร้อนของเรอินะ ส่งออกมาขออนุญาตไกรวิทย์พร้อมกับร่างขยับเพื่อเตรียมพุ่งขึ้นสู่ตำแหน่งของ ลูกกลมผลึกที่ตรึงร่างไซเรนไว้ภ่ยใน แต่ยังไม่ทันที่ร่างเทวนารีราศีธนูจะขยับ มือของไกรวิทย์ก็คว้าข้อมือเรอินะไว้ทันที
‘เรอินะอย่าวู่วาม การศึกนั้นต้องพิจารณาสมรภูมิทุกส่วนก่อนเคลื่อนกำลัง สภาพของไซเรนนั้นดูน่าฉงนนัก หากเราเร่งทำลายลูกแก้วผลึกในจักราวุธเช่นนี้ ผลที่ตามมาอาจเป็นมหาวิบัติที่ไม่สามารถแก้ไขแก้ได้….หากพี่คาดเดาไม่ผิด การที่ไซเรนอยุ่ในเกราะปราณในสภาพพร้อมศึก แต่กลับอยู่ในภาวะไร้สติ แสดงว่าจิตนางถูกสะกดและควบคุมปราณให้ถ่ายทอดออกมาผ่านสายโลหะที่พันธนาข้อ มือทั้งสองเชื่อมกับสายคาดรอบนอกผลึกแก้ว ส่งปราณผ่านออกมาด้วยวัตถุประสงค์บางประการ..พี่เชื่อว่า…..ทุกคนระวัง ไว้…มีพลังงานมหาศาลกำลังเคลื่อนเข้ามา…’
ยังไม่ทันที่จิตไกร วิทย์จะถ่ายทอดข้อความเสร็จสิ้น จิตนั้นพลันเปลี่ยนเป็นจิตบัญชาเทพสั่งการให้เหล่าเทวนารีและเทวีองครักษ์ ผนึกปราณป้องกันตนสูงสุด เมื่อสัมผัสได้ถึงมวลพลังงานมหาศาลที่เคลื่อนมาล้อมดาราสมุทรไว้ทุกทิศทาง ราวกับกำแพงพลังงานที่พร้อมจะบีบอัดทุกสิ่งภายในให้กลายเป็นธุลีธาตุ
‘สม แล้ว ที่ ดำรง ฐานะ แห่ง มหา เทพ ผู้ ปก ป้อง มหา อาณาจักร ปราณ เทพ วิ รุณ ปักขะ ยอด เยี่ยม ยิ่ง สามารถ รับ รู้ พลังงาน ของ เรา จาก ระยะ ไกล แต่ นั่น หา ได้ เหนือ ความ คาด หมาย ของ เทพ สุรัสวดี ไม่ บัด นี้ ท่าน และ เหล่า เทว นารี อัน คร่ำครึ ตก อยู่ ภาย ใน ม่าน พลัง จักรวาล ของ พวกเรา ที่ แม้ แต่ เทพเจ้า ก็ ไม่สามารถ หลุด รอด ออก มา ได้ หาก พวก ท่าน เข้า ใจ ก็ จง สงบ ใจ รอ รับ การ ดับ สูญ โดย สงบ เถิด การ ดิ้น รน ต่อ ต้าน ยิ่ง ทวี ความ เจ็บ ปวด ให้ จิต วิญญาณ พวก ท่าน ไม่ สิ้นสุด…”
คลื่น จิตแปลกประหลาดที่ปราศจากปราณ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังงานจิต ดังกึกก้องขึ้น ดวงตาไกรวิทย์ และเหล่าสตรี พลันพบว่าเบื้องนอกม่านพลังของดาราสมุทรนั้น ปรากฏร่างเปลือยเปล่าของเด็กหญิงวัย 11-13 ปี จำนวน 60 นาง ลอยอยู่กลางอากาศ ล้อมรัศมีพลังของดาราสมุทรเป็นวงกลม ส่งจิตออกมาคนละ 1 คำ ต่อเนื่องและสอดคล้องกัน ราวกับเป็นจิตของคนๆ เดียวใบหน้าเด็กหญิงแต่ละนางแตกต่างกันตามเผ่าพันธ์ รูปลักษณ์ สีผิว แต่ทุกนางล้วยมีใบหน้างดงามสะท้านใจของเด็กหญิงแรกสาวที่พร้อมจะเติบโตไปสู่ สตรีเต็มตัวในไม่ช้า แต่เมื่อสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เรือนร่างเปลือยของเด็กหญิงทุกคน เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพบว่าร่างกายของเด็กหญิงทุกนางล้วนปราศจากทรวงอกเต่งเต้าของวัย สาวอย่างที่ควร หน้าอกทุกนางล้วนเป็นแผ่นราบเรียบเต่งตึงปราศจากแม้กระทั่งหัวนมในตำแหน่ง อันควรปรากฏ และในส่วนกลางสะโพกอันควรเป็นตำแหน่งที่ตั้งของเนินรักแห่งอิตถีเพศ ตำแหน่งนั้นกลับกลายเป็นแผ่นเนื้อราบเรียบต่อเป็นเนื้อเดียวกันกับลานหน้า ท้อง ราวกับไม่มีอวัยวะใดเคยอยู่ในที่นั้นมาก่อน มีเพียงเนื้อนูนน้อยๆ ที่บอกให้รู้ว่าที่นั่นคือตำแหน่งที่ควรเป็นเนินรักเท่านั้น
‘พี่เอ…พวกนางคือ 60 ขุนพลเทพ ผู้สำเร็จเป็นเทวีสงคราม’
เซี่ยว เล้งส่ง จิตที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นตัว แต่ปราศจากความตระหนกออกมา ราวกับต้องการจะเตือนทุคนรอบข้าง แต่นั่นดูจะไม่จำเป็นแม้แต่น้อย เพราะเหล่าเทวนารีและเทวีองครักษ์ทุกนางล้วนรับรู้ถึงพลังงานประหลาดที่แผ่ เข้าล้อมดาราสมุทรรอบด้าน เกราะปราณถูกผนึกขึ้นเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ทุกคนต่างรับรู้เช่นกันว่าหลังการปะทะปราณครั้งใหญ่จนทุกคนได้รับบาดเจ็บ ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ระดับปราณของแต่ละคนลดลงอยู่ระดับเพียง 4 – 5 ส่วนของปราณในระดับเทวนารีเดิม เกราะปราณที่เคยส่งประกายสุกใสกลับมีสภาพหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเกราะปราณของเหล่าเทวีองครักษ์ทั้งเจ็ด ที่ล้วนถูกทำลายบางส่วนไปเพื่อตัดการเชื่อมโยงของทัณฑ์ผลาญจิต ส่งผลให้ปราณที่เคยเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวในร่างกลับชะงักงันและบั่นทอน อำนาจปราณลงกว่าครึ่ง….แต่ดูเหมือนว่าสภาวะดังกล่าวจะไม่ทำให้เหล่าเทวนา รีระย่อต่อการเผชิญศัตรูแต่อย่างใด ดวงตาทุกคู่เจ็ดคู่ต่างจับจ้องร่างของศัตรูที่รายล้อมอยู่เบื้องนอกโดย ปราศจากแววหวาดหวั่นให้เห็นแม้แต่น้อย
‘เราขอแสดงความยินดีกับพวก เจ้าเหล่าเทวีสงคราม ที่สำเร็จการบำเพ็ญพลังจักรวาลของจักดาราแห่งอดีตกาล พลังนี้หาใช่ปราณไม่ แต่เป็นพลังที่เชื่อมโยงกับสารมืดที่เป็นแหล่งพลังงานของจักรวาล ส่งผ่านมายังพวกเจ้าโดยอาศัยเครื่องมือที่ใช้พวกเจ้าเป็นทางผ่าน…ดังนั้น พวกเจ้าจึงต้องถูกปรับสภาพให้สิ้นซึ่งจิตปัจเจกของแต่ละคน เมื่อพวกเจ้าสำเร็จซานะเทวีสงคราม พวกเจ้าจึงกลับกลายเป็นสิ่งมีชิตที่ปราศจากเพศ มีจิตรวมเป็นศูนย์เดียว ทำหน้าที่ถ่ายทอดพลังจากสารมืดใช้ทำลายล้างศัตรู แต่เราก็อดหวังไม่ได้ว่าจิตที่แท้จริงของพวกเจ้าแต่ละคนยังคงสถิตย์อยู่ใน จิตแห่งความทรงจำ เพราะมิฉะนั้นแล้วจิตวิญยาณของพวกเจ้าจะดับสูญปราศจากหนทางกลับมาเวียนว่าย ในภพภูมิอีกต่อไป นี่ยเลวร้ายยิ่งกว่าความตายมากนัก…’
จิตไกร วิทย์ส่งออกไปด้วยบัญชาเทพแหวกผ่าม่านพลังออกไปยังจิตของเหล่าเทวีสงคราม ทั้ง 60 นาง แต่แทนที่จิตบัญชาเทพจะเกิดผลต่อจิตขอวงเทวีสงครามแต่ละนาง จิตที่หนักแน่นแกร่งกร้าวของเหล่าเด็กหญิงทั้ง 60 นางกลับแผ่พุ่งกลับมาเป็นเสียงเดียว
‘เทพ วิรุณ ปักขะ รอบ รู้ ยิ่ง แต่ ก็ เป็น ความ คิด ของ เทพ โบราณ ที่ คร่ำครึ ยิ่ง เช่น กัน ท่าน ยึด ติด อยู่ กับ ความ เป็น ปัจเจก ของ ตัว ตน จน ปิด กั้น ที่ จะ เรียน รู้ การ วิวัฒนาการ ของ จิต เดี่ยว ไป เป็น พหุจิต เช่น พวก เรา ท่าน ไม่ มี วัน รับ รู้ ถึง พลัง อำนาจ ของ สาร มืด ที่ เป็น ต้น กำเนิด ของ จักรวาล ท่าน ติด อยู่ กับ ปราณ จาก ร่าง ปัจเจก อัน ไม่ มี ทาง เทียบ เทียม พลัง ของ สาร มืด ได้ แม้ แต่ น้อย’
‘เหล่าเทวีสงครามท่าน ผิดแล้ว จริงอยู่ที่สารมืดคือต้นกำเนิดของพลังงานทั้งปวงในจักรวาล แต่จักรวาลนั้นหาได้เกิดจากสารมืดไม่ หากแต่เกิดความไม่สมดุลย์ระหว่างสารมืดกับแสงสว่าง ทำให้เกิดการแตกตัวครั้งแรกของจักรวาลขึ้นมา สารมืดไม่สามารถกดำรงอยู่ได้โดยปราสจากแสง และแสงก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากสารมืด การผสานพลังทั้งสองให้เกิดสมดุลย์ต่างหากที่จะก่อให้เกกิดพลังไร้ที่สุด เหนือพลังทั้งปวงแห่งจักรวาล..’
ไกรวิทยืส่งจิตโต้ออกไปอย่างราบ เรียบ พร้อมกับผนึกปราณที่ยังคงอยุ่ในร่างเตรียมพร้อมรับสถานการณืเบื้องหน้า แต่จิตของบุรุษผู้ทรงจิตแห่งเทพวิรุณปักขะก็อดเกิดความตื่นตระหนกขึ้นไม่ได้ เมื่อรับรู้ว่าการใช้กาฬปราณต่อต้านวิชาเร้นลับของสามเทวนารีที่ผ่านมา ทำให้ปราณในร่างที่หลงเหลือแปดส่วนจากการถ่ายทอดปราณให้หกขุนพลเทพ กลับลดระดับลงเหลือเพียงสี่ส่วน ในขณะที่พลังงานที่รายล้อมอยู่โดยรอบนั้นกลับทวีความกดดันขึ้นทุกขณะ
‘จะ อย่าง ไร เทพ ผู้ งม งาย เช่น ท่าน ก็ คง ไม่เข้า ใจ เรา รู้ ว่า ขณะ ที่ ท่าน สนทนา จิต กับเรา ท่าน ได้ แอบ แผ่ พุ่ง กาฬ ปราณของ ท่าน พยายาม ทะลวง ผ่าน ม่าน พลัง เช่น เดียว กับ เหล่า เทว นารี ที่ คร่ำครึ ทุก นาง ก็ พยายาม แผ่ พุ่ง พลัง ออก มา ทำลาย ม่าน พลังงาน ของ เรา แต่ ตอน นี้ พวก ท่าน ก็ คง รับ รู้ แล้ว ว่า พลัง ปราณ อัน ไร้ ค่า ของ พวก ท่าน ทุก สาย ล้วน ถูก สะท้อน กลับไ ป โดย ปราศ จาก ผล..ใด ใด นี่ คือ ม่าน พลัง จาก สาร มืด ท่าน ไม่ มี ทาง ฝ่า ออก มา ได้ จง รอ เวลา ที่ ร่าง ของ ท่าน และ เหล่า สตรี คร่ำ ครึ จะ เป็น ผุย ผง ไป ใน คราว เดียว เถอะ’
จิต ที่ดังด้วยน้ำเสียงแตกต่างกัน แต่ประสานเป็นจิตหนึ่งเดียวของเหล่าเทวีสงครามดังตอบมาด้วยน้ำเสียงที่แฝง สำเนียงเย้ยหยันเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้เหล่าเทวนารีต้องสบตากันด้วยแววตาวิตกอย่างรุนแรง เพราะในห้วงอึดใจที่ผ่านมา เทวนารีทุกนางต่างพากันใช้ปราณที่หลงเหลือในร่างแผ่พุ่งออกทำลายม่านพลังรอบ ด้านแต่กลับถูกพ่านพลังงานนั้นสลายไปโดยปราศจากร่องรอย แต่สิ่งที่ทำให้เหล่าเทวนารีกังวลนั้นหาใช่ความเข้มแข็งของม่านพลังงานที่ สลายปราณทั้งหมดไม่ หากเป็นจิตของเทวีสงครามที่ระบุชัดเจนว่าได้รับรู้ถึงการใช้ปราณของเหล่าเท วนารีโดยกระจ่าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจิตของเหล่าเทวีสงครามผสานเป็นหนึ่งเดียวกับม่านพลัง จนสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวทุกประการภายในม่านพลังได้ราวกับรู้จักฝ่ามือ ของตนเอง
‘ม่านพลังนี้เข้มแข็งนักก็จริงอยู่ แต่เราอิอาร่าแห่งราศีพฤศจิก ก็รู้ดีว่าความพยายามของพวกท่านที่จะผลักดันม่านพลังเข้าบดขยี้พวกเรานั้น ยังไงไกลเกินที่ท่านจะทำได้ เพราแม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ พวกท่านก็พยายามบดอัดม่านพลังเข้าทำลาย แต่ก็ยังไม่สามารถขยับเข้ามาในรัศมีคุ้มครองของปราณแห่งเหล่าเทวนารีได้แม้ แต่กระเบียดเดียว…’
‘หากพวกท่านต้องการทำลายมหาเทพสิรุณปักขะ และเหล่าเทวนารี พลังเพียงนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก และหากท่านหวังว่าพลังแห่งจักราวุธอันน่าหัวเราะนี้จะสามารถทำลายพวกเราได้ เราขอบอกท่านว่าพลังของดราราสมุทรนั้นหาได้ส่งผลต่อพวกเราแม้แต่เส้นขนเดียว ทางที่ดีท่านจงอาศัยพลังที่แม้จริงเข้าต่อสู้กับพวกเราจะดีกว่าการใช้พลัง ของเล่นทารกเช่นนี้ เราโยนาแห่งราศีกุมภ์หาได้เกรงกลัวไม่’
จิต ของอิอาร่าเทวนารีราศีพฤศจิกที่วู่วามปานเปลวเพลิงโต้ตอบออกไปอย่างไม่กลัว เกรง ตามมาด้วยจิตของโยนาที่ถลันเข้าหาขอบม่านพลังและโต้ตอบออกไปพร้อมกับอิอาร่า
‘เท ว นารี เจ้า น่า หัวเราะ ยิ่ง พวก เจ้า ไม่ รู้ เลย หรือ ว่า การ ทรยศ ต่อ จักราศี ของ พวก เจ้า นั้น อยู่ ใน ความ คาด คิด ของ เทพ สุรัสวดี มา แต่ แรก เรา ขอ บอก ให้ พวก เจ้า กระจ่าง ก่อน ดับ สูญ ว่า เทพ สุรัสวดี ส่ง พวก เจ้า มา พร้อม กับ ทัณฑ์ ผลาญจิต เพื่อ ให้ พวก เจ้า ทำลาย ปราณ ของ เทพ วิรุณปักขะ และ เทวนารี เทพ สุรัสวดี รู้ แต่ แรก ว่า จิต พวก เจ้า นั้น ไม่ สามารถ สังหาร เทพ วิรุณปักขะ ผู้ ที่ พวก เจ้า เคย มี จิต ปฏิพัทธ์ ใน อดีตกาล ได้ ดังนั้น พวก เจ้า จึง มี ฐานะ เป็น เครื่องมือ บั่นทอน กาฬปราณ ของ เทพ วิรุณปักขะ เท่านั้น อย่าง ไร ก็ ตาม เรา ก็ ยอม รับ ว่า การ คาด หมาย ของ เทพ สุรัสวดี ที่ คิด ว่า พวก เจ้า จะ ต่อ สู้ จน ตก ตาย ตาม กัน เหลือ แต่ เทพ วิรุณปักขะ ที่ สิ้น กำลัง ต่อต้าน นั้น ผิด พลาด อยู่ บ้าง เพราะ พวก เจ้า สามารถ ทำลาย เกราะ ปราณ ตัด สาย บังคับ ของ ทัณฑ์ ผลาญจิต ไป ได้ แต่ นั่น ก็ ไม่ ได้ แปร ปเลี่ยน ผล สุด ท้าย แต่ อย่าง ใด เพราะ พวก เจ้า ขณะ นี้ หา มี ความ สามารถ ต่อ ต้าน พลัง ของ เทวีสงคราม เรา ไม่ ปราณ คุ้มครอง ร่าง ของ พวก เจ้า อย่าง มาก ก็ คง ต่อ ไป ได้ อีก ไม่ ถึง ชั่ว ยาม พวก เจ้า ก็ จะ ถก กด ดัน เป็น ธุลี แต่ เรา เทวี สงคราม หา ได้ ต้อง การ เปลือง พลังงาน รอ คอย จัด การ กับ พวก เจ้า ไม่ เพราะ จักราวุธ ที่ พวก เจ้า เห็น ว่า ไร้ ค่า นั้น จะ ทำ หน้า ที่ แทน เรา เอง….’
จิตเทวีสงครามส่งออกมาต่อเนื่อง ด้วยเนื้อความที่ทำให้ไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีสะท้านไปวูบหนึ่ง เมื่อรับรู้ว่าการต่อสู้แลกชีวิตที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ล้วนเกิดจากการวางแผน ล่วงหน้ามาจากเทพสุรัสวดี แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะส่งจิตตอบโต้ จิตของเทวีสงครามก็ดังขึ้นตามมา
‘หาก เจ้า คิด ว่า ดาราสมุทร ทำ ได้ เพียง การ แยก น้ำ ทะเล ออก เป็น ไอ นั้น พวก เจ้า ก็ คง ต้อง ดับ สูญ ไป อย่าง งมงาย ขอ บอก ต่อ เจ้า ว่า ดาราสมุทร เบื้อง บน เจ้า นั้น หา ใช่ จักราวุธ เดียว ไม่ ภาย ใน ดาราสมุทร ยัง ผ่าน การ ติด ตั้ง จักราวุธ ที่ สอง นาม มหเพลิงยะเยียบ อยู่ ด้วย … พลัง ของ สอง จักราวุธ ที่ ผ่าน การ ดัด แปลง จาก นัก วิทยาศาสตร์ ชั้น ยอด ของ โลก ที่ ถูก นำ ตัว มา ยัง แชงกรีล่า จักราวุธ ทั้ง สอง จะ ทำลาย พวก เจ้าไป พร้อม กับ มนุษย์ สกปรก สอง ฝั่ง ของ ทะเล บูรพา นี้…ใน อีก ไม่ กี่ อึด ใจ ข้าง หน้า’
ทันที ที่จิตซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งของแหล่าเทวีสงครามถ่ายทอดหมดสิ้น เสียงพลังงานของดาราสมุทรก็พลันแผ่กระจายออกด้วยความถี่ต่ำเกินกว่ามนุษย์ ธรรมดาจะได้ยิน โดยมีศูนย์กลางของเสียงจากลูกกลมเรืองแสงภายใน ก่อนคลื่นเสียงนั้นจะเพิ่มความถี่ขึ้นจนคลื่นอากาศรอบด้านสั่นสะเทือน แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงแหลมสูงที่สามารถทำลายประสาทหูมนุษย์ให้พิการได้ใน ทันที พร้อมกับหมอกน้ำที่เคยกระจายออกจากการเผาผลาญพื้นทะเลของดาราสมุทร ที่เคยปกคลุมเป็นรัศมีกว้างหลายร้อยเมตร พลันเกิดการเคลื่อนไหวรวมตัวกันเป็นสายหมอกน้ำนับไม่ถ้วน พุ่งกลับย้อนเข้าหาพื้นผิวภายนอกของดาราสมุทร ก่อนกระจายตัวออกเป็นม่านน้ำรอบด้าน เพิ่มความสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางเสียงกึกก้องแห่งจักรกลสมดุลที่เริ่มทำงานเป็นครั้งแรกหลังจากผ่าน กาลเวลามานับหมื่นปี
คลื่นน้ำแผ่พุ่งจากดาราสมุทรสู่ท้องฟ้าเป็น ลำยาวด้วยความสูงนับสิบกิโลเมตรและเริ่มก่อตัวเป็นมวลน้ำขยายขอบเขตออกจาก ศูนย์กลางจนขยายออกไปกว่าสองร้อยเมตร ขณะที่พื้นทะเลภายใต้ดาราสมุทรกลับปราศจากน้ำ สายตาไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีสามารถมองเห็นพื้นทรายและหินที่ลึกลงไปกว่า กิโลเมตรได้ว่าทรายและหินเหล่านั้นทุกสิ่งล้วนแห้งผากปราศจากแม้กระทั่งคราบ น้ำจากความชื้นหลงเหลืออยู่ บอกให้รู้ว่าพลังงานของดาราสมุทรนั้นส่งทุกโมเลกุลของน้ำออกไปก่อเป็นคลื่น กำแพงน้ำที่มีปริมาตรราวกับภูเขาลูกหนึ่งที่พร้อมจะทำลายทุกสรรพสิ่งที่ได้ สัมผัส
‘มวลน้ำที่ถูกยกขึ้นสูงกว่าสิบกิโลเมตรเช่นนี้ หากทิ้งกลับลงกับพื้นสมุทรทันที คลื่นที่เกิดจากแรงกระแทกจะก่อเกิดเป็นคลื่นสึนามิพุ่งเข้าหาสองชายฝั่งทะเล บูรพา ด้วยความสูงไม่น้อยกว่าสามกิโลเมตร เข้าทำลายแผ่นดินลึกเข้าไปนับสิบกิโลเตร ซึ่งหมายความว่ามนุษย์จำนวนนับร้อยล้านที่อาศัยอยู่ในรัศมี 20-30 กิโลเมตรจากชายฝั่งจะต้องดับสูญด้วยคลื่นน้ำ พี่เอเราจะทำอย่างไรดี’
จิต ที่เต็มไปด้วยความตระหนกของเซี่ยวเล้งดังขึ้นด้วยคำถามซึ่งไกรวิทย์เองก็ ตระหนักถึงพลังงานมหาศาลที่กำลังจะก่อวิบัติภัยครั้งใหญ่ที่สุดขึ้น มวลพลังสีดำสนิทถูกผนึกขึ้นสู่ฝ่ามือ ร่างชายหนุ่มพุ่งวาบขึ้นผ่านช่องเปิดด้านล่างของดาราสมุทร พร้อมกับร่างของเทวนารีทุกนางที่เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของไกรวิทย์ก็พากัน พุ่งร่างตามขึ้นพร้อมผนึกปราณที่หลงเหลือในร่างเต็มกำลัง
‘เทวนารีแห่งข้า จงใช้วิชาประจำตนให้เต็มกำลัง เข้าสู่ร่างเราเดี๋ยวนี้…
‘รับบัญชามหาเทพ’
จิต เทวนารีทุกนางขานรับคำสั่งของไกรวิทย์โดยไม่โต้แย้ง หรือชะงักงันไปกับคำสั่งที่ระบุให้ใช้พลังเข้าโจมตีตนเองของไกรวิทย์แม้แต่ น้อย ทุกจิตของเทวนารีเชื่อมั่นในการตัดสินใจของผู้เป็นเจ้าเชีวิต พลังปราณทั้งสิบเอ็ดสาย พุ่งเข้าหาไกรวิทย์ด้วยพลังที่สามารถทำลายทุกสิ่งให้กลายเป็นธุลีได้ในพริบ ตา แต่เมือ่มวลพลังนั้นสัมผัสกับหมอกสีดำที่แผ่คลุมร่างชายหนุ่ม พลังทั้งหมดกลับประสานหมุนวนรอบร่างไกรวิทญ์เป็นหนึ่งเดียว แล้วพุ่งวาบออกจากมือไกรวิทย์เข้าหาลูกกลมแก้วศูนย์กลางของจักรดาราที่ส่ง พลังงานออกมาไม่หยุดยั้ง
………………….เปรี้ยง……………………
กาฬ ปราณจากการผสานพลังไกรวิทย์เข้ากับเหล่าเทวนารี ระเบิดออกเป็นคลื่นพลังรุนแรงจนไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีถูกพลังสะท้อนกลับลง มาใต้ดาราสมุทรอีกครั้ง มวลพลังสีดำกระจายออกบดบังภาพในลูกกลมเอาไว้จนแม้กระทั่งสายตาของไกรวิทย์ ยังไม่สามารถรับรู้ถึงผลการโจมตีได้ แต่เพียงอึดใจเดียว หมอกสีดำนั้นก็จางหาย พร้อมกับเสียงอุทานของเหล่าเทวนารีเมื่อพบเห็นภาพเบื้องบน
ลุกกลม ต้นกำเนิดพลังงานของสมุทรดาราส่วแสงเจิดจ้า ที่ศูนย์กลาง ทุกตารางนิ้วของพื้นผิวปราศจากร่องรอยของความเสียหายใดๆ มีเพียงแรงสั่นสะเทือนของคลื่นน้ำรอบด้านที่แปรปรวนเล็กน้อยบอกให้รู้ว่า พลังปราณที่ผนึกร่วมกันของไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีทำได้แต่เพียงก่อให้เกิด การเบี่ยงเบนคลื่นพลังงานไปเล้กน้อย แต่ไม่มีผลอันใดต่อการทำงานของจักราวุธที่คงอยู่มานับหมื่นปีนี้ได้
‘มหา เทพ วิรุณปักขะ ช่าง โง่ งมงาย นัก ท่าน เอง ก็ ควร รู้ อยู่ ใน เบื้อง ต้น แล้ว ว่า สสารที่ จัด สร้าง ดาราสมุทร นั้น ไม่ มี พลัง งาน ใด สามารถ ทำลาย ได้ แม้ แต่ พลัง ของ สอง เทพเจ้า สูง สุด ใน อดีต ยัง ทำ ได้ เพียง หยุด การ ทำงาน ของ มัน ไว้ ชั่ว คราว เท่า นั้น’
จิตที่แฝง สำเนียงเย้ยหยัน ของเทวีสงครามทั้ง 60 ดังผ่านคลื่นน้ำที่ยกตัวขึ้นสูงมายังไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีซึ่งถกกักไว้ ใต้ดาราสมุทร แต่ใบหน้าของไกรวิทย์กลับไม่ปรากฏแววแค้นเคืองแม้แต่น้อย ขณะส่งจิตบัญชาเทพที่จำกัดการรับรู้กับเหล่าเทวนารี
‘ดาราสมุทรหา ได้เป็นจักราวุธเดียวไม่ เบื้องบนนั้นยังติดตั้งไว้ด้วยเครื่องจักรสมดุลอีกชิ้นหนึ่ง ที่กาฬปราณของเราสัมผัสได้ถึงพลังงานที่แตกต่างกันสองขุมกำลังสร้างสม พลังงานอยู่ เราเชื่อว่านั่นคือมหเพลิงยะเยียบ ที่เทวีสงครามประกาศมาก่อนหน้านี้ แต่เหตุผลที่นำมาติดตั้งร่วมกับดาราสมุทรนั้นเราเองก็ยังไม่เข้าใจ’
‘พี่เอ…ที่แท้พี่เอใช้พลังปราณของพวกเรารวมกันเพื่อวัตถุประสงค์อื่นหาใช่การทำลายดาราสมุทรไม่’
จิต เซี่ยวเล้งส่งออกมาด้วยความแปลกใจเมื่อรับรู้ว่ากาฬปราณที่ใช้ออกโดยไร้ผล ทำลายเมื่อครู่ กลับทำให้ไกรวิทย์ได้รับรู้โครงสร้างภายในของดาราสมุทร โดยเฉพาะตำแหน่งติดตั้งมหเพลิงยะเยียบอันเป็นจักราวุธที่ถูกติดตั้งเพิ่ม เติมเข้ามา
‘สสารที่ใช้จัดสร้างจักราวุธนั้น ตามตำนานบ่งบอกว่าเป็นสสารที่ปรากฏบนโลกจากการตกของสะเก็ดดาวดวงหนึ่งเมื่อ หลายหมื่นปีที่แล้ว เหล่าเทวะโบราณได้ค้นพบว่าสสารนั้นอ่อนเหลวราวน้ำแต่กลับคงรูปอยู่ภายใต้ อากาศของโลก พวกเขาได้ทำสงครามแย่งชิงสสารนี้จนสามารถแบ่งออกได้เป็นสิบสองส่วน จัดสร้างเป็นเครื่องจักสมดุลย์ด้วยเครื่องมือที่ผนึกพลังงานเป็นรูปร่าง และบรรจุพลังงานเหล่านั้นผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อสสสาร ก่อเกิดสารที่ไม่สามารถทำลายได้ขึ้นมา พลังของจักราวุธแต่ละชิ้นจึงไม่สามารถต่อต้านหรือทำลายได้ แต่นั่นหาได้หมายความว่ามันปราศจากจุดบกพร่องไม่ เพราะมิฉะนั้นสองมหาเทพสูงสุดคงไม่สามารถหยุดยั้งการทำงานของจักรกลสมดุล เหล่านี้ได้ในอดีต…แต่สำหรับในครั้งนี้..’
ยังไม่ทันที่ไกร วิทย์จะส่งจิตบัญชาเทพจบสิ้น แสงสีแดงและน้ำเงินสองกลุ่มพลันก่อตัวขึ้นเหนือลูกกลมศูนย์กลางดาราสมุทร แผ่พุ่งเป็นเส้นสายไปรอบของภายในของดาราสมุทร ก่อนมา ก่อเกิดพลังงานสองสายหมุนซ้อนเป็นชั้นๆ โดยไม่กระทบกัน สัมผัสของไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีรับรู้ถึงพลังงานความร้อนราวกับใจกลางดวง อาทิตย์อยู่ในเส้นพลังสีแดงเจิดจ้า ขณะที่เส้นพลังสีน้ำเงินเข้มนั้นกลับเย็นจัดจนเข้สู่อุณหภูมิศูนยองศา สมบูรณ์ที่ไม่สามารถเย็นกว่านี้ได้อีก แต่พลังทั้งสองสายกลับซ้อนกันเป็นวงราวกับความแตกต่างระหว่างความร้อนและ ความเย็นสุดขั้วนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกันหรือทำลายกันเองแต่อย่างใด พลันที่วงแสงที่ซ้อนกันก่อตัวขึ้นล้อมลูกกลมแก้วใจกลางดาราสมุทรไว้สนิท เสียงความถี่สูงที่เสียดแทงแก้วหูอย่างรุนแรงก็ดังขึ้นจนทุกอณูอากาศสั่น สะเทือน ก่อนที่วงแสงจะพุ่งวาบลงสู่พื้นทรายใต้สมุทรเบื้องล่าง
‘ทุกคนหลบมาอยู่ที่ในกลาง….’
…………..แซ่ด………………..
จิต ไกรวิทย์ตวาดก้อง เมื่อรับรู้ว่าพลังงานมหาศาลถูกปลดปล่อยออกมาจากวงแหวนสีแดงและน้ำเงินที่ กำลังพุ่งลงสู่เบื้องล่างๆ เป็นชั้นๆ ราวกับไม่มีวันสิ้นสุด เกิดเสียงระคายหูพร้อมกับหมอกควันจากการเผาทำลายหินและทรายเบื้องล่างพลุ่ง ขึ้นมาเป็นสาย ร่างเทวนารีทุกนางพลิกวูบหลบเลี่ยงการกระทบกับวงแหวนแสงมารวมตัวกันอยู่ที่ ศูนย์กลางวงแหวน พร้อมกับเร่งผนึกผนึกปราณคุ้มครองกายที่หลงเหลืออยู่ขึ้นเต็มกำลัง แต่พลังความร้อนและความเย็นที่แผ่ออกมาจากวงแหวนแห่งมหเพลิงยะเยียบนั้นยัง คงผ่านเข้ามาถึงผิวกายจนรับร้ได้ว่าหากถูกสัมผัสจากพลังนั้นโดยตรง ร่างกายของเทวนารีที่แม้จะมีเกราะปราณคุ้มครองก็ยังไม่อาจต้านทานอำนาจการ ทำลาย
ของอุณหถูมิที่แตกต่างกันสุดขั้วนั้นได้…
‘นี่คืออาวุธอันใด เหตุใดจึงปลดปล่อยพลัง โดยเปิดช่องให้พวกเราหลบอยู่ในศูนย์กลางพลังโดยไม่ทำอันตรายโดยตรง’
จิตนาเดีย เทวนารีราศีพฤษภดังขึ้นเบาๆ ราวกับเป็นการคำนึงของตนเอง
‘ความ เย็นที่ศูนย์องศาสมบูรณ์ หรือเท่ากับ -273 องศาเซลเซียส เมื่อกระทบวัตถุใดจะทำให้โมเลกุลในวัตถุหยุดนิ่ง และเมื่อกระทบความร้อนจัดในทันทีวัตถุนั้นก็จะสลายถึงระดับอะตอม ปลดปล่อยพลังงานที่ยิ่งเพิ่มความรุนแรงของพลังแห่งมหเพลิงยะเยียบมากยิ่ง ขึ้น ด้วยพลังการทะลุทะลวงเช่นนี้ อีกไม่เกินครึ่งชั่วยาม พลังนี้จะทะลุลงไปถึงชั้นแมกม่าใต้พื้นโลก หากเราคาดเดาไม่ผิด เทพสุรัสวดีต้องการผนึกจักราวุธทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่ออาศัยคลื่นน้ำจาก ดาราสมุทร ผสานเข้ากับการปะทุแมกม่าที่จะทะลักผ่านชั้นหินเปลือกโลกขึ้นมา ก่อเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด อำนาจการทำลายของมันจะไม่จำกัดเพียงสองฝั่งทะเลบูพาเท่านั้น แต่มันจะก่อสีนามิทะลวงเข้าสู่แผ่นดินหลายพันกิโลเมตร จะมีแต่เพียงเอกเขาที่สูงเกินสามพันเมตรเท่านั้นที่จะรอดจากภัยพิบัตินี้ ได้..’
จิตไกรวิทย์ส่งออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดอย่างที่เหล่า เทวนารีไม่เคยประสบมาก่อน พร้อมกับจิตแห่งเทวีสงครามทั้ง 60 ผสานตามมาเป็นเสียงเดียวกัน
‘เทพ วิรุณปักขะ ยอด เยี่ยม ยิ่ง อีก ไม่ เกิน ครึ่ง ชั่ว ยาม กระแส แมกม่า จาก ใต้ โลก จะทะลวง ผ่าน ผิว โลก เป็น ลาวา ใต้ สมุทร เปลือก โลก ที่ เปราะ บาง ใน ทะเล บูรพา นี้ จะ ยุบ ตัว ลง เกิด แผ่นดิน ไหว ที่ จะ เสริม พลัง ของ กำแพง น้ำ ดารา สมุทรให้ ทวี ขึ้น นับ ร้อ ยเท่า มนุษยชาติ ที่ ต่ำ ทราม ถึง คราว สิ้น สูญ แล้ว ถึง เวลา ที่ เหล่า เทพ จะ สร้าง โลก นี้ ขึ้น ใหม่ ให้ พ้น จาก ความ โสมม ของ มนุษย์ ใน เมื่อ ท่าน ทราบ ผล สุดท้าย แล้ว ก็ จง ยอม รับ ชะตากรรมของ ตน เอง สงบ ใจ เตรียม สูญ สลาย ไป กับ กระแส ลาวา ที่ จะ พุ่ง ขึ้น มา จาก ใต้ พื้น สมุทร เถอะ…’
‘พี่เอ….’
จิตเทวนารีทั้ง สิบเอ็ดดังขึ้นพร้อมกัน ดวงตาทุกดวงจับจ้องใบหน้าเคร่งขรึมของไกรวิทย์ ราวกับจะรอรับการตัดสินใจของผู้เป็นเจ้าชีวิต แต่แทนที่ใบหน้าชายหนุ่มจะปรากฏความหวาดหวั่นกับสถานการณ์คับขันเบื้องหน้า ดวงตาไกรวิทย์กลับปรากฏประกายวาวาราวดวงดาวและยิ้มให้กับเหล่าเทวนารีรอบ ข้าง
‘วันนี้เราคงต้องยอมรับยุทศาสตร์ของเทพสุรัสวดี ที่สามารถคาดเดาจิตของเราได้ราวกับพิจารณาฝ่ามือตนเอง เริ่มจากการใช้เหล่าเทวนารีทำลายปราณของเรา กักให้อยู่ใต้ดาราสมุทรด้วยพลังของเทวีสงคราม และประสานพลังดาราสมุทรกับพลังแห่งวงแหวนร้อนเย็นของมหเพลิงยะเยียบสุดที่ เราจะใช้ปราณที่คงเหลือในร่างฝ่าออกไปได้ แต่นั่นยัง…’
‘พี่ เอ…น้ำเสียงนี้ รอยยิ้มนี้ เซี่ยวเล้งจำได้ว่านี่คือการอำลาของมหาเทพวิรุณปักขะ กับเหล่าเทวนารีเพื่อแยกไปต่อสู้กับเทพมังกรวารีและเทพมังกรอัคคีเมื่อหมื่น ปีก่อน ซึ่งบ่งบอกว่าพี่เอกำลังจะสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องมนุษยชาติอีกครั้ง ถึงแม้เซี่ยวเล้งจะไม่รู้ว่าพี่เอจะใช้วิธีใด แต่เซี่ยวเล้งขอติดตามพี่เอไปในการพลีชีพครั้งนี้ด้วย…เซี่ยวเล้งจะไม่ยอม ดับสูญจิตห่างจากพี่เออีกแล้ว….’
จิตที่ตื่นตระหนกของเซี่ยว เล้งดังแทรกขึ้น ขณะที่ร่างงามโถมเข้ากอดร่างไกรวิทย์ไว้แน่น ท่ามกลางดวงตาตื่นตะลึงของเทวนารีที่เหลือ แต่ในพริบตา จิตของเหล่าเทวนารีก็ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวตามมา
‘พวกเราขอติดตามเทพวิรุณปักขะ สละชีพเพื่อปกป้องมนุษยชาติ มหาเทพโปรดมีปัจฉิมบัญชา…’
จิต ไกรวิทย์สั่นสะท้านเมื่อได้รับรู้ถ้อยคำที่จิตของเทวนารีทั้งสิบเอ็ดผสาน เป็นหนึ่งเดียว เพราะถ้อยคำนั้นคือถ้อยคำเดียวกับที่เหล่าเทวนารีและเหล่าแม่ทัพในมหา อาณาจักรปราณโบราณเปล่งออกมาเมื่อหมื่นปีก่อน ในสงครามครั้งสุดท้ายกับเผ่าพันธุ์มังกร ร่างของเหล่าเทวนารีทั้งสิบเอ็ดนางพากันที่พากันเคลื่อนเข้าล้อมอยู่ข้าง กาย ดวงตาทุกคู่จับจ้องไกรวิทย์รอรับคำสั่งที่จะออกมาเป็นครั้งสุดท้าย บอกให้รู้ว่าเทวนารีทุกนางยืนยันที่จะดับสูญจิตและกายพร้อมกับผู้เป็นเจ้า ชีวิตของตนเอง ไกรวิทย์สูดลมหายใจยาวและส่งจิตหนักแน่นตามมา
‘ใน เมื่อพวกเจ้าต่างรับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และรับรู้การตัดสินใจของเราที่หลงเหลือเพียงทางเดียวที่จะปกป้องมนุษย์เอา ไว้ได้ เช่นนั้นจงฟังเรา….การผสานจักราวุธทั้งสองนั้นทำให้เกิดพลังอำนาจที่ สามารถทำลายล้างพิภพได้ก็จริงอยู่ เมื่อครู่เราใช้กาฬปราณกับจักราวุธทั้งสองแล้วพบว่าสสารธาตุที่ใช้สร้างจัก ราวุธทั้งสองนั้น ไม่มีหนทางใดสามารถทำลายได้ แต่…………….’
—————————————-
ภาย นอกเขตคลื่นน้ำที่ยกตัวสูงนับสิบกิโลเมตรของดาราสมุทร เหล่าเทวีสงครามทั้งหกสิบนางที่รายล้อมอยู่จับจ้องภาพเบื้องหน้าด้วยประกาย ตาเจิดจ้า รอยยิ้มพลันเกิดขึ้นที่มุมปากของเด้กหญิงทั้งหกสิบนางพร้อมกัน เมื่อ รับรู้ถึงเสียงกึกก้องสั่นสะเทือนขึ้นมาจากพื้นสมุทร คลื่นน้ำรอบด้านแผ่กระจายออกไปเป็นระลอก พร้อมกับซากของสัตว์น้ำใต้สมุทรลอยฟ่องขึ้นมาเหนือพื้นน้ำ จากคลื่นพลังงานใต้สมุทรที่แผ่ขึ้นมา ก่อนที่มวลกำแพงน้ำของดาราสมุทรจะสั่นไหวขยายรัศมีออกไปต่อเนื่องจากพลังงาน หนุนเสริมของมหเพลิงยะเยียบ จนวงล้อมของเหล่าเทวีสงครามต้องขยายออกไปทุกขณะ
‘แหวน พลัง ร้อน เย็น แห่ง มห เพลิง ยะเยียบ ทะลวง ถึง ชั้น แมกม่า แล้ว….คลื่น สมุทร ยก ตัว ขึ้น สิบ เท่า…อีก ไม่ นาน ลา วา จะ ทะลวง ผ่าน ขึ้น มา เผา ผลาญ เทพ วิรุณปักขะ และ เทวนารี ใน คราว เดียว..เทวี สงคราม ผู้ ควบ คุม ดาราสมุทร เทวี สงคราม ผู้ ควบคุม มหเพลิงยะเยียบ แยกตัว….’
จิตที่แฝงน้ำเสียงยินดีของเหล่าเทวีสงครามเปล่งออกมา เมื่อพบว่าเสียงครืนครั่นจากใต้พื้นโลกดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับมวลน้ำที่ขยายตัวออกพร้อมที่จะก่อมหาวินาศภัยครั้งร้ายแรงที่สุดใน ไม่กี่อึดใจข้างหน้า และในทันที่ที่คำสั่งแยกตัวดังขึ้น ร่างของเทวีสงครามสิบนางก็พุ่งแยกออกจากวงล้อมมารวมตัวเป็นสองกลุ่ม ๆ ละ 5 คน กลุ่มแรกถลันวูบผ่านม่านน้ำที่แยกตัวเป็นช่องไปอยู่เหนือดาราสมุทร ขณะที่กลุ่มหลัง พุ่งตามเข้าไปและ ล้อมกลุ่มแรกเป็นวงกลม ฝ่ามือของเด็กหญิงทั้งสองกลุ่มหันลงด้านล่างแผ่พุ่งพลังงานลงไปยังจักราวุธ ทั้งสองเบื้องล่าง ขณะส่งจิตกลับมายังกลุ่มเทวีสงคราม 50 นางที่ด้านนอก
‘พวก มัน ทั้ง หมด กำลัง ผนึก ปราณ รวม ตัว กัน เฮอะ ช่าง โง่ เขลา ยิ่ง ศูนย์ กลาง พลัง งาน ของ ดาราสมุทร เป็น ผลึก ของ ธาตุ แห่ง จักร ดารา แม้ แต่ เทพเจ้า สูง สุด ทั้ง สอง ก็ ยัง ไม่ สามารถ ทำลาย ได้.. ’
‘มหเพลิง ยะเยียบ ส่ง พลัง งาน สูง สุด แล้ว…ลาวา กำลัง ปะทุ ขึ้น… พวก มัน ไม่ มี ทาง รอดออก มา จาก ขอบ พลัง ทั้ง สอง แห่ง จักราวุธได้ ระวัง..หลบอออกไปก่อนเถอะ..’
จิตเทวีสงครามสองกลุ่มดังขึ้นด้วย ความยินดีเมื่อรับรู้ว่าไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด อยู่ภายใน ตามมาด้วยจิตเตือนให้เทวีสงครามทั้งสิบที่เข้าไปตรวจบังคับอยู่ภายในม่าน พลังให้ถอยออกมา เมื่อรับรู้ว่าลาวาจากใต้พิภพกำลังปะทุขึ้น
…………บรึม……………
ร่าง เด็กหญิงทั้งสิบพุ่งวาบผ่านออกมานอกม่านพลัง ขณะที่เสียงระเบิดกึกก้องขึ้นเมื่อลาวาชุดแรกระเบิดออกจากพื้นสมุทร กระแทกดาราสมุทรเต็มกำลัง แต่แทนที่ดาราสมุทรจะกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยแรงปะทะนั้น จักราวุธโบราณกลับคงตัวแน่วนิ่งอยู่กลางอากาศ โดยกระแสลาลาที่พุ่งขึ้นกลับบานกระจายออกเป็นรูปดอกเห็ดออกรอบข้าง เสียงลาวาปะทะม่านน้ำรอบด้านดังกึกก้อง ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองของเหล่าเทวีสงคราม
‘จบ สิ้น แล้ว มหาเทพ วิรุณปักขะ และเทวนารี ศัตรู ของ มหา เทพ สุรัสวดี ต่อ ให้ เป็น ร่าง เทพเจ้า ที่ ทรง อำนาจ เพียง ใด ก็ ไม่ มี ทาง ต้าน รับ ความ ร้อน ของ ลาวา ใต้ พิภพ ได้ …. เทวีสงคราม ผู้ ควบ คุม ดาราสมุทร และ มหเพลิงยะเยียบ จง ถอน จักราวุธ ทั้ง สอง ออก มา ได้ แล้ว…ภาร กิจ ของ เรา สำเร็จ แล้ว ต่อ ไป เรา จะ ได้ …….’
………………เปรี้ยง………………….
‘……..เอ๊ะ…….’
จิต 50 เทวีสงคราภายนอก สั่งการเทวีสงครามสองกลุ่มทั้งสิบนาง ให้ถอนดาราสมุทรเพื่อปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดจากการปะทุลาวาและคลื่นน้ำออก ทำลายมนุษย์รอบทะเลบูรพา แต่ยังไม่ทันที่เทวีสงครามผู้ควบคุมจักราวุธทั้งสองจะปฏิบัติตาม จิตอันรวมเป็นหนึ่งก็อุทานออกมาเมื่อเกิดเสียงระเบิกกึกก้องขึ้น พร้อมกับดาราสมุทรที่หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ พลันเคลื่อนไหวหมุนรอบตัวเองจากบนลงล่าง ทำให้ช่องเปิดด้านล่างที่เคยส่งพลังลงไปยังพื้นสมุทรกลับกลายเป็นหงายขึ้น สู่ท้องฟ้า
…………บรึม………
พลังงานมหาศาลพลัน ระเบิดออกจากช่อง มวลพลังงานรูปวงแหวนสีแดงและน้ำเงินที่ซ้อนกันเป็นชั้นหนาแน่น พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นสายยาวเหยียด ขณะที่ดาราสมุทรกลับเริ่มหมุนเป็นวงรอบตัวเองแล้วพุ่งวาบกลับลงสู่พื้นสมุทร เบื้องล่างแหวกผ่านกระแสลาวาที่พุ่งขึ้นมาจนกระจายไปทุกทิศทาง
……………..ตูม………………….
‘ไม่…………. เป็น ไป ไม่ ได้’
‘ดาราสมุทร….’
‘มหเพลิงยะเยียบ….’
จิตร่ำ ร้องด้วยความแตกตื่นของเทวีสงครามทั้งสามกลุ่มดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อพบว่าแทนที่ จักราวุธทั้งสองจะลอยตัวกลับมา หลังจากเสร็จสิ้นการใช้พลัง ดาราสมุทรที่ติดตั้งมหเพลิงยะเยียบไว้กลับพลิกตำแหน่ง พุ่งผ่านกระแสลาวาลงไปโดยมีพลังงานจากมหเพลิงยะเยียบกลายเป็นแรงขับดัน พร้อมกับเสียงระเบิดดังกึกก้อง มวลน้ำที่ยกตัวสูงพลันทิ้งตัวกลับลงสู่พื้นสมุทรและเริ่มยกตัวเป็นคลื่นที่ มีความสูงนับกิโลเมตรกระจายออก แต่ในพริบตานั้น ตำแหน่งศูนย์กลางที่ดาราสมุทรพุ่งลงไปกลับปรากฏวังวนน้ำมหึมา หมุนวนเข้าหากระแสลาวาที่พุ่งขึ้นและกลืนลาวานั้นดับวูบในทันที วังวนน้ำหมุนวนขยายตัวแผ่กว้างออก คลื่นสมุทรที่เริ่มกระจายออกไปทำลายแผ่นดินที่งสองฝั่งทะเลกลับหยุดนิ่ง หัวคลื่นเริ่มถอยกลับมายังตำแหน่งน้ำวนที่แผ่กว้างออกราวจะกลืนทุกสรรพสิ่ง ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของเหล่าเทวีสงคราม
‘ดาราสมุทร ถูก ผลัก ดัน กลับ ลง สู่ มหา สมุทรโดย พลัง งาน ของ มหเพลิงยะเยียบ ผสานกับ แรง ดึง ดูด ของ พิภพ ดาราสมุทร พุ่ง จม ลง สู่ กระแส ลาวา และ ก่อ ให้ เกิด แรง ดูด ดึง มวล น้ำ ใน มหาสมุทร เข้า ไป ใน ช่อง ที่ ลาวา ทะลวง ผ่าน ขึ้น มา ดูด คลื่น สมุทร ที่ กระจาย ออก ให้ กลับ ลง ไป ใต้ พื้น โลก คลื่น น้ำ ผนึก ลาวา ให้ เย็น จน จับ ตัว เป็น ก้อน ปิด กั้น ทางออก ของแมกม่า นี่ เกิด ขึ้น ได้ อย่าง ไร กัน….’
จิตทั้งสิบของเทวีสงครามที่ ควบคุมดาราสมุทรและมหเพลิงยะเยียบเปล่งผสานกันออกมาด้วยความแตกตื่น ขณะที่กลุ่มเทวีสงคราม 50 นาง จับจ้องภาพน้ำวนที่หมุนกลืนคลื่นน้ำจากดาราสมุทรกลับลงไปใต้พื้นทะเลเขม็ง ใบหน้าเทวีสงครามทั้ง 50 นางสงบนิ่งราวกับกำลังรับฟังคำสั่งบางประการอย่างตั้งใจ ก่อนที่จะส่งจิตออกมา
‘เทวี สงคราม ผู้ ควบคุม ดาราสมุทร และ มหเพลิงยะเยียบ จงกลับมารวมกับเรา บัดนี้จักราวุธ ทั้ง สอง ถูก ดูด กลืน ลง ไป ใน กระแส แมกม่า ใต้ พื้น พิภพ พร้อม กับ เทพวิรุณปักขะ และ เทวนารี เทพ สุรัสวดี มี บัญชา ว่า จิต ของ เทพวิรุณปักขะ และ เหล่า เทวนารี ทั้ง 11 นาง ไม่ ดำรง อยู่ ในโลก แล้ว แม้ จะ สูญ เสีย จักราวุธ ทั้ง สอง และ โอกาส ทำลาย ล้าง มนุษย์ โสโครก ไป แต่ ก็ ยัง มี จักราวุธ อีก 10 หน่วย ที่ จะ ทำ หน้า ที่ แทน ดังนั้น เทพสุรัสวดี ก็ ยัง คง พอ ใจ ยิ่ง และ มี เทวบัญชา ให้ พวก เจ้า กลับ มา รวม จิต เพื่อ ทำลาย เป้า หมาย สุด ท้าย ที่ เป็น ศัตรู แห่ง เทพ สุรัสวดี’
‘เป้า หมาย สุด ท้าย…พวก มัน คือ ผู้ใด’
จิต เทวีสงครามทั้งสองกลุ่มส่งออกมาถาม ขณะที่ร่างทั้งสิบพริ้ววาบกลับมารวมกลุ่ม จิตทุกดวงพลันประสานกันเป็นหนึ่งเดียวส่งเนื้อความทวนคำสั่งที่ได้รับมา
‘เรือเดินสมุทรออกจากท่าโอกินาวา ทำลายตระกูลคชสีห์ให้สิ้น’
—————————————–