The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 6.2 คำสาปแห่งอดีตกาล
The Zodiac บทที่ 6.2 คำสาปแห่งอดีตกาล
ฟองคลื่นสีขาวแตกตัวเป็นประกายสะท้อนแสงอาทิตย์ เมื่อถูกแหวกผ่านจากส่วนหัวเรือเหล็กกล้าสีขาวบริสุทธิ์ของเรือเดินสมุทร ขนาดกลางความยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตร ที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่า 20 น๊อตฝ่าผืนน้ำที่เงียบสงบของทะเลญี่ปุ่นมุ่งหน้าลงทิศใต้ กราบบนด้านขวาของเรือปรากฏตัวอักษรสีน้ำเงินเข้มว่า Andaman Queen ซึ่งเป็นชื่อที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันในประเทศไทยว่าเป็นเรือเดินสมุทร สัญชาติไทยลำแรกที่กำหนดจะให้บริการการท่องเที่ยวในทะเลอันดามันและอ่าวไทย ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ลมทะเลยามเย็นพัดผ่านร่างชายวัยกลางคนสองคนในชุดเครื่องแบบกับตันและต้นเรือ ที่ยืนอยู่บนสะพานเดินเรือ ใบหน้าชายทั้งสองเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ทางทะเลอันยาวนาน แต่ดวงตาทั้งสองนั้นทอประกายสดใสราวกับเด็กที่กำลังชื่นชมของเล่นชิ้นใหม่ ภายใต้การบังคับของตนเอง
“เครื่องยนต์ของเรือทำงานเต็มที่แล้วครับกัปตัน..วิศวกรรายงานขึ้นมาว่าหลัง จากผ่านการยกเครื่องใหญ่ที่ท่าเรือโยโกฮามา ตอนนี้เครื่องเดินเรียบนิ่งอย่างกับเครื่องใหม่ๆ เลย”
เสียงชายด้านขวาที่สวมเครื่องแบบต้นหนรายงานต่อผู้เป็นกับตันที่ด้านข้าง ขณะที่ผู้รับฟังหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนตอบกลับมาอย่างร่าเริง
“ผมก็บอกทางสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพไว้แล้วล่ะว่าค่ายกเครื่องจากอู่ในญี่ปุ่น ที่นี่แม้จะแพงกว่าอู่ในสิงคโปร์แต่คุณภาพผิดกันมากมายทีเดียว…อย่างนี้ ค่อยสมกับจะเป็นบ้านหลังใหม่ของพวกเรา..จริงไหมคุณประสิทธิ์ อ้อ ว่าแต่ว่าคุณได้สั่งลูกเรือเตรียมเรือสปีดโบ้ทพร้อมสำหรับคืนนี้หรือยัง แขกของเราจะขอใช้ในคืนนี้ เห็นว่าจะไปดำน้ำกลางคืนที่เกาะร้างระหว่างทางที่เราจะผ่านโอกินาวา”
“เรียบร้อยแล้วครับกัปตัน น้ำมันเต็มเปี่ยมพร้อมถังสำรองตามที่สั่งไว้ทุกอย่าง ดูแล้วน้ำมันขนาดนี้จะให้ขับกลับไปโตเกียวยังได้เลย…”
“แล้วเครื่องยนต์ของสปีดโบ้ทไม่มีปัญหาแน่นะ”
“ตรวจเช็คเรียบร้อยจากอู่ที่บำรุงรักษาเรือเราโดยตรงเลยครับ ..คุณภาพดีเยี่ยมสมกับเป็นอู่บำรุงรักษาอันดับหนึ่งของเอเซีย ผมสารภาพว่าทีแรกก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าทำไมกัปตันถึงยืนยันให้มาทำที่ ญี่ปุ่น..ทั้งที่เปลืองน้ำมันเดินทางมหาศาล..”
บุรุษผู้สูงวัยกว่าหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนหันมาตบไหล่ผู้ใต้บังคับบัญชา
“ผมจะบอกความลับให้นะ ทีแรกคุณดวงเดือนเจ้าของเรือ เธอก็ต้องการจะเอาเข้าที่สิงคโปร์นั่นแหละ แต่ปรากฏว่าเธอได้รับการติดต่อทางตรงมาจากสหรัฐฯ สำรองค่าใช่จ่ายทั้งหมดในการเดินทางมาญี่ปุ่นให้ โดยมีเงื่อนไขให้จัดพนักงานบริการของเรือเต็มรูปแบบสำหรับคณะ VIP ชาวไทย ให้เดินทางกลับจากญี่ปุ่นมากรุงเทพฯ ด้วย”
ดวงตาต้นหนประสิทธิ์เบิกกว้างพร้อมส่งเสียงอุทานออกมาทันทีที่ผู้เป็นกัปตันกล่าวจบ
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าผมเองทีแรกก็ยังงงเหมือนกันว่าผู้โดยสารชุดแรกของเรือเราเป็นใครมาจาก ไหนกัน แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอย่างหนึ่งว่า VIP พวกนี้เป็นใครกัน เพราะผมเองก็คุ้นเคยกับคนในสังคมชั้นสูงของกรุงเทพมานาน แต่ไม่เคยเห็นหรือได้ยินเรื่องของคนกลุ่มนี้เลย”
“ก็ไม่แปลกหรอกนะที่คุณไม่รู้จัก ผมเองก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แถมที่น่าแปลกใจคือไม่มีการระบุชื่อคนกลุ่มนี้แม้แต่คนเดียว ทีแรกผมก็พยายามถามหาพาสปอร์ตตามระเบียบ แต่ปรากฏว่าท่านเอกอัครราชทูตไทยและสหรัฐประจำโตเกียว พวกท่านเอาแต่ยิ้ม และบอกว่านี่เป็นกรณีพิเศษและรัฐบาลไทยก็รับรู้แล้ว ผมเชื่อว่าแขกผู้ชายท่าทางภูมิฐานที่เป็นหัวหน้ากลุ่มนี้น่าจะมีสายสัมพันธ์ พิเศษกับผู้ทรงอิทธิพลระดับโลกในสหรัฐไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง..แต่นั่นก็ไม่ใช่ เรื่องที่เราจะต้องไปเกี่ยวไม่ใช่หรือ..”
“ครับ กัปตัน”
ต้นหนประสิทธิ์พยักหน้ารับความเห็นของกัปตันอย่างหนักแน่น แต่ก็ยังถอนใจเบาๆ ราวกับมีความอัดอั้นในใจบางอย่าง จนทำให้บุรุษผู้มีอำนาจสูงสุดบนเรือ Andaman Queen ที่รู้จักต้นหนมานาน อดถามไม่ได้
“คุณประสิทธิ์ ไม่สบายใจกับผู้โดยสารของเราตรงไหนหรือ?”
“ผมไม่ได้ไม่สบายใจกับพวกเขาหรอกครับกัปตัน ตรงกันข้าม ผมกำลังกังวลกับความรู้สึกตนเองมากกว่าเวลาเห็นสมาชิกของแขกกลุ่มนี้…”
“ใช่กลุ่มเด็กสาว คนที่อยู่กับเด็กหนุ่มคนนั้นหรือเปล่าคุณประสิทธิ์”
กัปตันกล่าวเบาๆ พร้อมชี้มือไปยังเด็กหญิง 8 คนในชุดว่ายน้ำแบบบิกินี่ที่จับกลุ่มกันอยู่ที่สระน้ำขนาดเล็กบริเวณดาดฟ้า หัวเรือ ล่อมรอบเด็กหนุ่มวัยประมาณ 15 – 16 ปี โดยมีชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ สองคน และเด็กสาวอีก 2 คนยืนอยู่ด้านนอกวงราวกับเป็นผู้ดูแล กลุ่มคนทั้งหมดกำลังชื่นชมความงามของท้องทะเลยามเย็นด้วยท่าทางแจ่มใส เสียงหัวเราะด้วยความเบิกบานดังแว่วขึ้นมาห้องบังคับการที่ตั้งอยู่เหนือสระ น้ำไม่ขาดระยะ
“ เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใครผมก็ไม่ทราบ แต่ได้ยินเด็กสาวคนอื่นเรียกว่าพี่เอ…ท่าทางจะเป็นศูนย์กลางของเด็กหญิง ทุกคน เท่าที่ผมรู้คณะแขกวีไอพีชุดนี้มี 35 คน นำโดยคู่สามีภรรยาอายุประมาณ 30 ปีเศษ ที่ทุกคนเรียกว่าคุณพ่อคุณแม่ แต่ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่อายุเพียงเท่านี้จะมีลูกในวัยนี้ น่าจะเป็นการเรียกด้วยความเคารพมากกว่า แถมที่น่าประหลาดคือมีเด็กหญิงอายุประมาณ 6 ขวบอีก 4 คน ต่างเรียกเด็กหญิงในกลุ่มว่าคุณแม่บ่าง คุณน้าบ้าง. ทั้งที่ดูแล้วเด็กหญิงกลุ่มนี้น่าจะอายุอย่างมากไม่เกิน 14 ปีสักคนเดียว….”
“ใช่ครับกัปตัน เด็กสาวกลุ่มนี้ผมคิดว่าแต่ละคนอายุไม่น่าเกิน 15 ปี ทุกคนสวยน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อ เวลาเห็นเด็กสาวกลุ่มนี้ทุกครั้งผม เอ้อ ขอโทษที่ต้องบอกกัปตันตรงๆ ว่าควยผมลุกแข็งโป๊กอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งที่ผมเองก็อายุเกือบ 60 เรื่องเพศนี่ไม่ได้อยู่ในความคิดผมมาหลายปีแล้ว แต่เด็กพวกนี้กลับกระตุ้นความต้องการของผมให้ลุกโพลงอย่างไม่น่าเป็นไป ได้…ผม ผม ขอโทษกัปตันด้วยที่ต้องสารภาพความรู้สึกที่ขัดต่อระเบียบการเดินเรือของเรา ออกมาตรงๆ แบบนี้..”
กัปตันผู้สูงวัยกว่ารับฟังคำสารภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือที่คร่ำอยู่กับการเดินเรือหลายสิบปีตบบ่าเพื่อนผู้ใต้บังคับบัญชาเบาๆ เมื่อรับฟังคำพูดจบ
“คุณประสิทธิ์ ขอบคุณที่บอกผม แต่ผมก็ต้องบอกคุณเหมือนกันว่าผมเองก็ไม่ได้แตกต่างกับคุณแม้แต่น้อย…เวลา สวนกับเด็กสาวคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนี้ ควยผมเองก็ลุกตุงทันทีเหมือนกัน และผมเชื่อว่าไม่พียงแต่พวกเราหรอก แต่แม้กระทั่งลูกเรือของงเราทุกคนต่างตกอยู่ใต้มนต์เสน่ห์ลึกลับของเด็ก สาวกลุ่มนี้ทั้งนั้น…”
“สวยราวกับเทพธิดาจริงๆ…”
ดวงตาของต้นหนประสิทธิ์จับจ้องร่างเด็กสาวคนหนึ่งที่แยกออกมายืนเกาะราวกราบ เรือ ร่างเพรียวของเด็กสาวอยู่ในชุดบิกินี่สีขาวสะอาดที่เมื่อกระทบแดดยามเย็นของ ท้องทะเลทำให้เกิดประกายกลืนไปกับผิวเนื้อขาวผ่อง จนดูราวกับเป็นร่างเปลือยของเทพธิดาที่มาประทับอยู่บนโลกหล้า
“เด็กคนที่คุณประสิทธิ์มองอยู่นั้นผมได้ยินเด็กหนุ่มคนที่อยู่ตรงกลางเรียก ว่าเซี่ยวเล้ง ท่าทางเธอจะเป็นชาวจีน แต่กลับพูดไทยได้ชัดมาก เมื่อวานผมก็สวนยายหนูคนนี้ที่ห้องจากุสชี่ เธอเพิ่งขึ้นมาจากสระ ผมไม่อยากบอกเลยว่าชุดว่ายน้ำชุดนั้นมันแนบเนื้อทุกส่วน นมเป็นลูกกลม หัวนมผุดออกมาเป็นเม็ด ผ้าบิกินี่ชิ้นล่างแทรกเข้าแคมหีจนเห็นทุกส่วนเลยว่าสองแคมนั้นเต่งอย่างกับ ะระเบิดออกมาได้ทุกขณะ แค่เธอยิ้มให้ผม ผมก็ต้องแอบเข้าห้องน้ำไปชักว่าวมารอบหนึ่งทันทีเลย….บอกตรงๆ ถ้าผมได้เย็ดเด็กคนนี้ จะให้ผมตายไปหลังจากนั้นผมก็ยอม”
กัปตันผู้สูงวัยกว่าพูดกับต้นหนด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นการพูดกับตนเอง แต่เนื้อหาของมันกลับทำให้ผู้ฟังต้องหันมาจับจ้องกัปตันของเรืออย่างงุนงงใน การใช้คำพูดเรื่องเพศที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ความแปลกใจนั้นก็คงอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏบนใบหน้า
“แสดงว่ากัปตันชอบหนูหมวยคนนี้เป็นพิเศษ แต่ผมกลับชอบเด็กสาวที่กำลังเดินไปกอดเอวเซี่ยวเล้งของกัปตันมากกว่า ผมได้ยินว่าเธอชื่อเรอินะ ท่าทางจะเป็นคนญี่ปุ่น แต่พูดไทยได้คล่องเชียว คนนี้ท่าทางจะอายุน้อยกว่าคนอื่น แต่เธอสวยคม เนื้อหนังแน่นเพรียวไปทุกสัดส่วน เพียงแค่จินตนาการถึงสองขาเรียวนั้นมาโอบเอวผมไว้ตอนที่ผมอัดควยเข้าไปยัน มดลูกแรกสาวนั้น…ผมก็กระฉูดแล้วล่ะ…”
สองบุรุษหันมามองหน้ากันครูใหญ่ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน เมื่อได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็เกิดความรู้สึกทางเพศกับกลุ่มเด็กสาวเบื้อง ล่าง…ก่อนที่เสียงหัวเราะจะลดลง ตามมาด้วยเสียงพึมพำของกัปตัน
“ไม่นึกเลยว่าวัยอย่างพวกเราจะกลายเป็นพวกโลลิคอนไปได้….”
———————————–
“พี่เซี่ยวเล้งได้ยินที่กัปตันกับต้นหนพูดถึงพวกเราไหม?”
เสียงหวานใสของเรอินะถามหญิงสาวผู้พี่ที่ยืนอยู่เคียงข้างกันบริเวณราวกราบ เรือ แยกจากกลุ่มของไกรวิทย์และเหล่าเทวนารี 6 นางที่ห้อมล้อมร่างของเด็กหนุ่มวัยไม่เกิน 15 ปีไว้ตรงกลาง
“ได้ยินสิน้องเรอินะ ถึงพี่เอจะสั่งการไม่ให้พวกเราผนึกปราณและใช้ปราณสนทนา เพื่อป้องกันการตรวจพบจากจักราศี แต่ประสาทรับรู้แห่งเทวนารีนั้นหาได้ปิดไปด้วยไม่ ว่าแต่พี่ก็เห็นใจพวกเขานะ เพราะการที่เรอินะถ่ายทอดวิชาพรางกายให้พวกเราอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มเด็ก สาววัยไม่เกิน 15 ปีแบบนี้ ในขณะที่กลิ่นกายและฟีโรโมนของสตรีในร่างพวกเรากลับเป็นของสตรีเต็มสาว จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ชายทุกคนเมื่อได้พบเราเกิดความปรารถนาที่จะเย็ดพรู พลั่งออกมาโดยควบคุมไม่ได้…”
“แต่เรอินะว่าหากผู้ชายทุกคนได้เห็นพี่เซี่ยวเล้งในสภาพจริง ก็ไม่มีใครต้านทานเสน่ห์ของพี่เซี่ยวเล้งได้หรอก.. เรอินะเองยังอิจฉาเลยเวลามหาเทพ เอ๊ย..พี่เออัดควยเข้าไปแน่นในหีอวบอิ่มของพี่เซี่ยวเล้ง…มันคงทั้งดูด ทั้งอัดควยพี่เอจนเสียวแทบขาดใจแน่ๆ…”
เด็กสาวร่างเพรียวผู้รับสนองบัญชาเทวะในตำแหน่งเทวนารีแห่งราศีธนูกระซิบบอก เพื่อนรุ่นพี่อย่างหยอกล้อ ขณะมือเรียวน้อยๆ ฉกแวบเข้าไปประกบเนินนูนอวบนอกบิกินี่ที่
เทวนารีแห่งราศีมังกรผู้พี่สวม ใส่อยู่ จนเซี่ยวเล้งต้องอุทานเบาๆ แต่ก็ไม่ได้หลบหนีการเกาะกุมนั้นแต่อย่างใด ตรงข้ามมือของเด็กสาวกลับตอบโต้ด้วยการพุ่งเข้าไปใต้บิกินี่ท่อนบนที่ปกปิด ทรวงอกคู่น้อยของเรอินะเอาไว้ละบีบเค้นความตึงแน่นของเต้านมวัยสาวนั้น
“แล้วร่างของเรอินะในรูปของเด็กหญิงวัย 12 นี่ล่ะ ต่างกันที่ไหน..แน่นและเคร่งครัดไปทั้งตัวแบบนี้ เวลาพี่เอเย็ดแต่ละทีสองแคมเรอินะบรัดเสียจนควยพี่เอแทบจะผ่านเข้าไปไม่ ได้..
พี่เชื่อว่าบางทีพี่เอจะติดใจร่างเด็กหญิงของเรอินะนี้มากกว่าร่างจริงด้วยซ้ำไป..อุ๊ย บ้า…มาเขี่ยพี่ทำไม”
เซี่ยวเล้งสูดปากน้อยๆ เมื่อรับรู้ว่ามือของเรอินะที่กุมเนินรักอวบนั้นพยายามตอบโต้ด้วยการใช้นิ้ว กดบี้เม็ดเสียวเหนือร่องรักจนสัญญานแห่งความเสียวพลุ่งขึ้น พร้อมกับเสียงใสๆ โต้ตอบกลับมา
“แล้วพี่เซี่ยวเล้งรู้ไหมว่าร่างที่อยู่ในวัย 14 ของพี่เซี่ยวเล้งตอนนี้น่ะมันเนียนแน่นขนาดไหน ยิ่งหีของพี่เซี่ยวเล้งด้วยแล้ว ยิ่งทั้งแน่นทั้งเนียน ขนบางๆ นุ่มมือ…ถ้าเรอินะเป็นพี่เอ เรอินะจะไม่ยอมให้ควยห่างจากหีพี่เซี่ยวเล้งเลย….อูยพี่เซี่ยวเล้ง…ยะ อย่าบี้หัวนมแบบนั้น.หะ หะ เห็นไหมว่าบนสะพานเดินเรือพวกกัปตันเขามองลงมาอยู่”
“ช่างเขาเถอะเรอินะ….ความต้องการทางเพศไม่ใช่เรื่องที่ต้องอับอายสัก หน่อย..เซี่ยวเล้งก็เพิ่งได้รับรู้ความจริงข้อนี้หลังจากที่ได้เย็ดกับพี่เอ และเข้าใจได้ว่าการปิดกั้นความต้องการทางเพศของพวกเราเหล่าเทวนารีโดยอ้าง ประเพณีโบราณเหล่านั้น เนื้อแท้เป็นเพียงการปิดกั้นให้เหล่าเทวนารีที่ได้รับพลังจากผลึกแห่ง จักรราศียอมอุทิศชีวิตรับใช้เทพสุรัสวดีเท่านั้นเอง…”
“เรอินะก็เพิ่งรับรู้ความจริงข้อนั้นเช่นกัน….ซีดส์….พี่เซี่ยวเล้ง …ตอนนี้ถึงจะไม่ได้โคจรปราณแต่จิตเรอินะสัมผัสได้ถึงการช่วยตัวเองของ กัปตันกับผู้ช่วยข้างบนนั่น…สงสัยจริงๆ ว่าเป้าหมายจินตนาการของสองคนนั้นคือพี่เซี่ยวเล้ง หรือเรอินะกันแน่….ว๊าย…”
เทวนารีแห่งราศีธนูผู้อยู่ในร่างเด็กหญิงวัย 12 ร้องอกมาอย่างตกใจเมื่อรับรู้ว่าเซี่ยวเล้งแอบดึงขอบบิกินี่สีนำทะเลที่เด็ก หญิงสวมใส่อยู่ลงมาพรวดเดียวถึงเข่า ปล่อยให้สะโพกครัดเคร่งด้วยวัยเยาว์เปลือยเปล่าอยู่ท่ามกลางแดดยามบ่าย..โดย มีสองกลีบเปล่งปลั่งอวดความงามทางด้านหลังออกมาอย่างเต็มที่…ทำเรอินะต้อง รีบคว้าขอบบิกินี่กลับขึ้นมาที่เดิม พร้อมกับจิตที่รับรู้ถึงการระเบิดน้ำรักของสองชายสูงวัยบนสะพานเดินเรือออก มาพร้อมกัน
เด็กสาวหัวเราะกิ๊กก่อนหันมาทุบเพื่อนรุ่นพี่ที่ผละหนีไปยังกลุ่มของไกร วิทย์พร้อมด้วยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง แต่บนสะพานเดินเรือนั้น สองชายที่เฝ้าดูภาพอยู่ด้านบนต้องรีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับหยาดแห่งความ ใคร่ที่ทะลักออกมาด้วยมือตัวเองอย่างเป็นระวิง
——————————————-
“อ้าว เซี่ยวเล้งกับเรอินะตีกันทำไมน่ะ…”
เสียงกังวานใสของเด็กหญิงในชุดว่ายน้ำสีเหลืองสดถามออกมาอย่างไม่จริงจังนัก เมื่อเห็นเซี่ยวเล้งวิ่งหนีการไล่ทุบของเรอินะพร้อมเสียงหัวเราะ ดวงหน้างามคมคายยิ้มน้อยๆ กับภาพเบื้องหน้า จนเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปากที่ยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับดวงหน้านั้นมากยิ่งขึ้น จนไกรวิทย์อดไม่ได้ที่จะต้องโอบเอวอ้อนแอ้นดึงเขามาแนบร่าง ขณะกระซิบข้างหูขาวสะอาดนั้น
“เห็นน้องรินในร่างนี้ทีไรพี่อดคิดถึงวันที่ริมห้วยนั้นไม่ได้เลยสักที…”
รินลดาผู้ถูกดึงเข้าไปแนบร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อวัยหนุ่มหน้าแดงวูบ พร้อมกับทุบอกผู้เป็นที่รักอย่างแง่งอน
“พี่เอบ้า…รินอายนะ ตอนนั้นรินเพิ่งอายุ 12 เอง พี่เอมาเย็ดรินได้อย่างไรก็ไม่รู้ เจ็บจะแย่ แล้วนี่ยังเอามาล้อรินอีก รินอายน้องๆ นะ”
คำตัดพ้อของรินลดาส่งผลให้เหล่าเด็กหญิงทุกคนในวงหัวเราะออกมาพร้อมกัน ยิ่งทำให้ดวงหน้าที่แดงระเรื่อของรินลดาเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใสด้วยความอาย
“พี่รินอย่าอายเลย พวกเราทุกคนเสียสาวให้พี่เอก็ในสภาพที่ไม่ต่างกับพี่รินหรอก อย่างตกิฟท์เองนี่เสียสาวในลูกกลมเวลาสถิตย์ระหว่างการต่อสู้ ที่คับแคบขนาดนั้นพี่เอยังอุตส่าห์จัดท่าทางเย็ดกิฟท์จนได้…เจ็บยิ่งกว่า พี่รินอีก ตอนนั้นกิฟท์ยังไม่เต็ม 12 ดีด้วยซ้ำ พี่เอลามก….”
เสียงอัจฉริยาผู้เติบโตมาพร้อมกับไกรวิทย์และรินลดา กระเง้ากระงอดแทรกขึ้นมาท่ามกลางเสียงหัวเราะ ของทุกคน
“พี่รินพี่กิฟท์เสียสาวในสภาพแบบนั้นคนเดียวเมื่อไหร่ ทิพย์เองก็โดนพี่เอเย็ดเปิดบริสุทธิ์เอาในบ่อมังกรฟ้า…ทุลักทุเลจะตาย…. แต่ แต่..ก็เสียวจริงๆ จริงไหมพี่จานิส…”
ทิพย์วารีส่งเสียงแทรกขึ้นมาเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกของตนเองบ้าง พร้อมกับหันไปทางจานีสที่ด้านข้างในเชิงบอกใบ้ให้เด็กสาวชาวเนปาลีผู้มี ประสบการณ์ทางเพศในสถานที่และเวลาเดียวกันเล่าด้วย… ทำให้จานีสต้องสะดุ้งเฮือกใหญ่ สองพวงแก้มเปล่งปลั่งแดงสดใสขณะก้มหน้าก้มตาพึมพัมเป็นภาษาไทยเบาๆ
“ทิพย์นี่ ..จะให้เล่าอะไร จานีสก็ทั้งเสียวทั้งเจ็บพอกันกับทิพย์นั่นแหละ ควยพี่เอใหญ่จะตาย ตอนนั้นหีจานีสทนได้อย่างไรก็ไม่รู้..แต่ก็ยังดีกว่าเซี่ยวเล้งนะ เสียสาวกลางอากาศเลย”
เสียงกระท่อนกระแท่นของจานีสผู้ซึ่งปกติไม่เคยชินกับการใช้ภาษาไทยเช่นคน อื่นๆ ยิ่งทำให้เสียงหัวเราะเย้าแหย่ดังประสานกันเซ็งแซ่ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ทำให้เทวนารีแห่งราศีมังกรต้องอุทานออกมาเบาๆ แล้วระดมกำปั้นน้อยๆ ของร่างเด็กหญิงวัย 14 ปีรัวใส่ไหล่จานีสถี่ยิบ
“พี่จานีสนี่ เห็นเป็นผู้คงแก่เรียน แต่อยู่ดีๆ ทำไมมาเล่นงานเซี่ยวเล้งเสียแล้ว….”
“พี่เซี่ยวเล้งอย่าโมโหไปเลย..ทิพย์เองก็ยังจำภาพท่านเทวนารีผู้กราดเกรี้ยว โดนควยพี่เอเลือดกระฉูดกลางอากาศ ทำลายพลังผลึกราศีจนร่างกายอ่อนระทวยปล่อยให้พี่เอเย็ดมาตลอด..นึกถึงทีไร ทิพย์ยังอดเสียวแทนพี่เซี่ยวเล้งไม่ได้สักที…อ้าวน้องนิวไม่ต้องหัวเราะไป เลย มีใครในที่นี้บ้างที่เสียความบริสุทธิ์ได้สามครั้งเหมือนน้องนิว…”
ทิพย์วารีเย้าแหย่เซี่ยวเล้ง ก่อนที่จะหันไปกระเซ้าปณิตาที่กำลังหัวเราะตัวงออยู่ แต่เมื่อกระแสการหยอกเย้ากลับพุ่งเป้ามาที่ตนเอง เด็กสาวกลับสะดุ้งเฮือกหยุดการหัวเราะทันที และส่งเสียงอุบอิบออกมา
“พี่ทิพย์บ้า…นิวไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นสักหน่อย….”
“ไม่เอาน่าทิพย์ อย่าลืมนะว่าการอุทิศเยื่อพรหมจรรย์ของหนูนิดในอดีตเพื่อต่อสู้กับมิถุ กานารีนั้น ทำให้พวกเรารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด….แต่พูดก็พูดเถอะ…กิฟท์เองก็อด อิจฉาน้องนิวไม่ได้เลยนะ…ได้เปิดซิงกับพี่เอสองครั้ง ครั้งแรกกับพี่เหมียว…ครั้งที่สองหลังรวมร่างแล้ว แต่กิฟท์ก็ยังจำภาพที่หนูนิดเย็ดกับพี่เอด้วยความรักครั้งแรกได้ดี ถึงตอนนั้นหนูนิดจะถูกมิถุกานารีทำลายความสาวไป แต่นั่นไม่ใช่ความสุขเลย การเย็ดกับพี่เอหลังจากนั้นต่างหากจึงเป็นความสุขครั้งแรกของหนูนิด….ถ้า พูดจริงๆ แล้ว น้องนิวถูกพี่เอเปิดซิงสามครั้งเลยนะ…”
“ไม่เอาแล้ว นิวไปว่ายน้ำดีกว่า…”
ปณิตาสะบัดเสียงราวกับขัดเคืองใจที่ถูกอัจฉริยาหยอกล้อ แต่ดวงตากลมโตบนใบหน้างามคมคายที่ผสานความงามแบบชาวจีนของเหมียวเพื่อนร่วม สถาบันของไกรวิทย์ และใบหน้างามคมคายแบบไทยแท้ของหนูนิดผู้เป็นน้องสาวบุญธรรม ส่งประกายวูบวาบบอกให้รู้ว่าท่าทางขัดเคืองใจนั้นถูกปั้นขึ้นมาเพื่อกลบ เกลื่อนความอายที่ถูกหยอกล้อเท่านั้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ดวงหน้านั้นเพิ่มความน่ารักขึ้นเป็นทวีคูณ จนไกรวิทย์ผู้ซึ่งร่วมการสนทนาอยู่กลางวงล้อมของเด็กหญิงทั้งแปดต้องดึงร่าง งามนั้นเข้ามากอดไว้หลวมๆ
“น้องนิวไม่ต้องขุ่นใจไปหรอก…ทุกคนเขาล้อเล่นเท่านั้นเอง…ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวคืนนี้พี่จะเย็ดน้องนิวนำร่องเป็นคนแรกดีไหม…”
เสียงหัวเราะดังประสานอีกครืนใหญ่ ขณะที่ปณิตาซึ่งกลับมาเป็นจุดสนใจของการสนทนาทำได้แต่เพียงบิดร่างไปมาราว กับจะพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบรอบอยู่ แต่สองเท้ากลับไม่ยอมขยับออกจากตำแหน่ง ทำให้ร่างงามในชุดบิกินี่สีขาวมุกนั้นเสียดสีกับร่างกายไกรวิทย์ไปมาจนทุกคน รับรู้ได้ว่าสมองที่ชาญฉลาดของปณิตานั้นกำลังวางอุบายเพื่อตัดหน้าเหล่าเท วนารีทุกนางในยามค่ำคืน
“น้องนิว นี่แน่ะ เจ้าเล่ห์นักนะเรานี่…”
เสียงดุอย่างไม่จริงจังของรินลลาดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะที่ศรีษะปณิตา ทำให้เด็กหญิงผู้มีฐานะเทวนารีแห่งราศีเมถุนต้องทำคอย่น แล้วหัวเราะกี๊กออกมาเบาๆ
“หลอกใครก็หลอกได้ แต่นิวหลอกพี่รินไม่ได้สักที…ไม่ว่าจะเป็นในฐานะของเหมียวหรือหนูนิด…. งั้นนิวจะไม่แซงคิวน้องพิมก็ได้…คืนนี้น้องพิมต้องถวายตัวเป็นคนแรกใช่ ไหม”
ปณิตาบิดร่างออกจากวงแขนไกรวิทย์แล้วหันไปยังเด็กหญิงรูปร่างอวบอิ่มด้วย เนื้อหนังเปล่งปลั่งในชุดบิกินี่สีตองอ่อนตัวจิ๋ว ที่กำลังยืนอมยิ้มอยู่ แต่เมื่อรับรู้ว่าปณิตาพยายามหันเหเป้าการเย้าแหย่มาที่ตนเอง พิมพ์มาดาก็รีบออกตัวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ก็ ก็ ทุกคนจัดตารางแล้ว….แต่ แต่ ถ้าพี่นิวต้องการแซงคิว พิมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ…”
“อื๋ยน้องพิม…ไม่ต้องมาแก้ตัวหรอก ฟังเสียงดูก็รู้แล้วว่ากำลังตั้งตารอให้พระอาทิตย์ตกใจจะขาดอยู่แล้ว…แต่ เอ ว่าแต่รู้สึกว่าน้องพิมนี่จะเป็นเทวนารีนางเดียวนะ ที่เย็ดกับพี่เอด้วยท่าปกติบนเตียงทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเสียสาวที่คลองน้อย หรือการมอบพรหมจรรย์ที่จักราศูนย์ …อย่างนี้พี่เอต้องหาทางเพิ่มความตื่นเต้นให้น้องพิมสักหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นน้องพิมจะเสียใจนะ..”
“มะ มะ ไม่นะ..พี่นิว…พิมเคยนะ…เมื่ออาทิตย์ก่อนที่เอยังเย็ดกับพิมพ์บนคบไม้ที่หลังบ้านคชสีห์เลย..อุ๊ย…ตายแล้ว”
เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นในทันทีพิมพ์มาดาผู้เรียบร้อยนุ่มนวลพยายามแก้ตัว กับการหยอกเย้าของปณิตาพัลวัน จนเผลอเล่าถึงเหตุการณ์การร่วมรักแบบพิสดารออกมาโดยไม่ตั้งใจ..ร่างอวบอิ่ม ย่อตัวลงนั่งกับพื้นสองมือปิดหน้าด้วยความอายสุดขีด ทำให้ไกรวิทย์ต้องย่อตัวลงไปดึงร่างงามให้ยืนขึ้นแล้วปล่อยให้เด็กหญิงซุก หน้าลงกับแผ่นอกแน่นสนิท ขณะส่งเสียงอู้อี้ลอดออกมา
“ไม่เอาแล้ว…พี่นิวเนี่ย พิมไม่ได้เกี่ยวด้วยสักหน่อย…”
“โอ๋ โอ๋ หยุดล้อน้องพิมก็ได้ แต่พวกเราเล่าเรื่องตอนเย็ดพี่เอออกมานี่ ยังเหลืออีกคนที่ยังไม่สารภาพใช่ไหม เอาล่ะ เรอินะว่าไง….จะสารภาพดีๆ หรือจะให้พี่เอเล่าแทน…”
ปณิตาปลอบพิมพ์มาดาพร้อมกับหัวเราะ ก่อนเปลี่ยนเป้าหมายมายังเด็กหญิงร่างเพรียวบางที่กำลังหันหลังให้กับกลุ่ม เกาะราวกราบเรือมองไปที่ท้องทะเล ทำให้เทวนารีแห่งราศีธนูต้องหันกลับมายิ้มอย่างสดใสกับทุกคน
“จะให้เรอินะเล่าอะไรล่ะ เรอินะจำได้แต่ว่าครั้งแรกที่เย็ดกับพี่เอนั้น เรอินะ พี่จานีส น้องพิมอยู่ในสถานที่ประหลาดไร้แรงดึงดูด ออกแรงอะไรก็ไม่ได้ทุกลักทุเลที่สุด แถมเจ็บแทบตาย พี่เอก็เย็ดแบบไม่ยั้งเลย…”
“ก็ตอนนั้นชีวิตของเรอินะอยู่ในห้วงความเป็นความตายนี่นา หากช้าไปเพียงนิดเดียวกาฬปราณอาจแทรกเข้าชีพเรอินะ จานีสว่าพี่เอคงไม่สามารถปลุกอารมณ์ให้เรอินะพร้อมได้ทันหรอก….”
จานีสส่งเสียงคัดค้านคำบอกเล่าของเรอินะเบาๆ ราวกับจะพยายามแก้ตัวให้กับไกรวิทย์
“พี่จานีสนี่สมกับเป็นเทวนารีผู้รอบรู้แห่งราศีตุลย์จริงๆ เรื่องการเย็ดไม่ว่าทฤษฏีหรือปฏิบัติ พี่จานีสล้วนเจนจบ….สงสัยคืนนี้ตอนถึงคิวพี่จานีส เรอินะคงต้องขอเข้าร่วมทำการศึกษาเชิงประจักษ์ที่ข้างเตียงแล้ว…”
“เอ้อ…เรอินะ..ชะ เชิงประจักษ์แปลว่าอะไรจานีส..ไม่เข้าใจ…เอ๊ะ..”
ใบหน้างามของจานีสที่แสดงความงุนงงกับศัพท์ภาษาไทยแปลกๆ ที่เรอินะใช้เปลี่ยนเป็นสีแดงสดใสทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะประสานกันของ ทุกคนดังขึ้น…
“บ้า..รู้ว่าจานีสไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทย ยังมาแกล้งกันอีก…”
—————————–
“นั่น พวกเรา ดูพระอาทิตย์สิ สวยจังเลย…”
เสียงอุทานเบาๆ ดังออกมาจากริมฝีปากทิพย์วารี ทำให้ทุกคนต้องหันไปจับจ้องท้องทะเลยามเย็น เพื่อพบกับภาพดวงอาทิย์กลมแดงเจิดจ้ากำลังทอแสงสุดท้ายผ่านกลุ่มเมฆยามเย็น เป็นลำสีทองนับสิบสาย พร้อมสะท้อนกลุ่มปุยเมฆด้านบนเป็นสีแดงแวววาวราวผลึกทับทิม ระยิบระยับไปทั่วท้องน้ำ เป็นภาพที่งดงามจนทำให้เสียงสนทนาและเสียงหัวเราะหยุดนิ่งลง เมื่อสายตาทุกคู่จับจ้องความงามแห่งธรรมชาตินั้น จนกระทั่งดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลดตัวลงผ่านเส้นขอบฟ้า หายลับไปจากสายตาพร้อมกับหมู่ดาวที่เริ่มส่งแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
“โลกนี้เต็มไปด้วยความงดงาม น่าเสียดายนักที่เหล่ามนุษย์กับไม่เห็นคุณค่าและพยายามทำลายมันเพียงเพื่อ ประโยชน์ส่วนตัว ความเลวร้ายของมนุษย์นั้นมีมากเสียจนบางครั้งเราเองก็อดที่จะคิดถึงความต้อง การทำลายล้างมนุษย์ของเทพสุรัสวดีไม่ได้ว่า บางทีสิ่งที่เราเพียรกระทำมานับหมื่นปีนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่จะปก ป้องมนุษย์เอาไว้ให้ทำลายโลกนี้ มนุษย์อาจจะสมควรถูกทำลายมากกว่า…เทพสุรัสวดีอาจเป็นฝ่ายถูกก็ได้…”
เสียงแผ่วทุ้มที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจของไกรวิทย์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ ทำให้รินลดาเทวนารีแห่งราศีกันย์ผู้มีฐานะเป็นผู้นำแห่งเหล่าเทวนารีต้องถอน ใจออกมาเบาๆ ก่อนเอื้อมไปจับมือไกรวิทย์มาวางไว้ที่ตำแหน่งหัวใจของตนเอง
“มหาเทพ เหตุใดจึงกล่าววาจาแสดงความท้อแท้ออกมา หากมหาเทพมีปมปัญหาอันใดที่ขัดข้องใจ พวกเราเหล่าเทวนารีผู้ภักดีทุกนางต่างพร้อมที่จะร่วมถวายการรับใช้มหาเทพ ด้วยชีวิตและวิญญาณ..”
ดวงตาไกรวิทย์หันมาจับจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหญิงวัย 12 ปีที่ด้านข้างขณะเผยอยิ้มอย่างอ่อนโยน
“รินลดาที่รักของเรา…เราตระหนักถึงความรักความภักดีที่เหล่าเทวนารีมีให้ อภัยแก่เราด้วยที่กล่าวถ้อยคำแสดงความสับสนในใจออกมาให้ทุกคนได้ยิน เพียงแต่เราอดกังวลถึงการต่อสู่กับจักราศีไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อพวกเราต้องต่อสู้โดยปราศจากเทวนารีอีกสี่นางที่จนบัดนี้เรายัง ไม่สามารถพบพาน .. หากเหล่าเทวนารีทั้งสิบสองอยู่เคียงข้าง พร้อมกับสี่ขุนพลเทพและเหล่าผู้ทรงปราณแห่งตระกูลคชสีห์ โรหิณี ต่อให้จักรราศีสามารถเพาะสร้างขุนพลเทพทั้ง 60 จนสำเร็จก่อเกิดเป็นเหล่าเทวีสงครามด้วยพลังแห่งจักรดารา…เราก็หาเกรงกลัว ไม่…”
ขณะที่ไกรวิทย์กล่าว เหล่าเทวนารีทั้งแปดต่างสงบนิ่งรับฟังโดยปราศจากท่าทีสนุกสนานร่าเริงเหมือน ช่วงที่ผ่านมา ดวงหน้างามของเหล่าเทวนีที่อยู่ในร่างของเด็กหญิงทุกนางสงบนิ่ง ด้วยรับรู้ดีว่าผู้ที่กำลังกล่าววาจาอยู่เบื้องหน้านั้น กำลังใช้ฐานะของมหาเทพวิรุณปักขะแห่งมหาอาณาจักรปราณ กล่าวกับเหล่าเทวนารีในบังคับบัญชา ดวงจิตทั้งแปดที่ผ่านกาลมานับหมื่นปีจึงกลับเข้าสู่ภาวะของเทวนารีแทนที่จะ เป็นเด็กหญิงที่ร่าเริงเช่นที่ผ่านมา
ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่อึดใจ ก่อนที่จานีสจะขยับร่างเขาหาไกรวิทย์ และย่อตัวลงในท่าคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นเรือ สองมือเด็กหญิงประคองมือที่ยังเป็นอิสระของผู้เป็นนายเหนือและยกขึ้นมา ประทับไว้ที่ศีรษะของตนเอง ซึ่งเป็นท่วงท่าที่เหล่าเทวนารีรับรู้ว่าคือการแสดงความเคารพสูงสุดตามแบบ แผนแห่งราชสำนักอาณาจักรปราณโบราณ
“มหาเทพแห่งข้า ข้าผู้เป็นเทวนารีแห่งราศีตุลย์ ใช้วิชาเนตรจักรวาลตรวจพลังชีวิตของพี่น้องเทวนารีทั้งสี่อยู่ไม่ขาดระยะ และพบว่าเทวนารีแห่งราศีสิงห์ มีน กรกฏ ยังคงจิตอยู่ในโลก เพียงแต่ขณะนี้จิตของเทวนารีในร่างพวกนางยังไม่ตื่นด้วยไม่ได้รับการกระตุ้น จากมหาเทพ…แต่…แต่..”
การรายงานของจานีสชะงักลงด้วยน้ำเสียงลังเล คล้ายกับกำลังพยายามตัดสินใจที่จะกล่าวต่อไป
“จานีสผู้เป็นที่รักแห่งเรา จงอย่าลังเลที่จะกล่าว ถ้าเราคาดไม่ผิด เจ้าคงจะหมายถึงการตรวจจิตของเทวนารีแห่งราศีเมษ ลูกแพะน้อยที่แสนเจ้าอารมณ์ของเราใช่หรือไม่…”
น้ำเสียงที่แฝงความห่วงใยของไกรวิทย์เมื่อกล่าวถึงเทวนารีแห่งราศีเมษ ทำให้เทวนารีทุกนางหันมาสบตากันด้วยแววตาสับสน ขณะที่จานีสสูดลมหายใจลึกยาว ก่อนกล่าวต่อไป
“มหาเทพคาดเดาถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่จานีสกังวล เพราะการที่พลังชีวิตของลูกแพะน้อยของพวกเราไม่ปรากฏเมื่อใช้วิชาเนตร จักรวาลนั้น สามารถตีความได้เพียงสองทาง และแต่ละทางล้วนเป็นผลเสียต่อเราทั้งสิ้น ทางแรกนั้นคือดวงจิตของนางไม่ได้กลับมากำเนิดในภพภูมินี้พร้อมกับเรา …. ส่วนอีกทางหนึ่งนั้น……”
คำกล่าวของจานีสชะงักไปราวกับไม่ต้องการเปล่งคำพูดออกมา ขณะที่ไกรวิทย์ระบายลมหายใจออกมายาวนาน
“จานีสไม่ต้องกล่าวก็ได้ เราทราบดี นั่นหมายความว่าจิตของนางถูกทำลายสูญสิ้นไปตลอดกาลด้วยวิชาปราณแห่งเทพเจ้า เช่นจิตราสูญ ธนูพิฆาตฟ้า หรือเทพปราณอันตภาคของเทพสุรัสวดี…”
“มหาเทพ เซี่ยวเล้งผู้ครองฐานะเทวนารีแห่งราศีมังกรใคร่ขออนุญาตกล่าวาจาต่อมหาเทพ”
“จงกล่าวเถอะมังกรน้อย”
ดวงตาเรียวยาวที่ทอประกายสุกใสของเซี่ยวเล้งจับจ้องใบหน้าไกรวิทย์ ขณะเริ่มกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความกังวลเอาไว้
“มหาเทพคงรับรู้จากคำบอกเล่าของพวกเราทุกคนถึงเหตุการณ์ที่เหล่าเทวนารีทั้ง สิบสอง ร่วมกับสลายจิตในการปะทะกับเทพมังกรอัคคีดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเซี่ยวเล้งระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าในทุก ชาติภพที่ผ่านมา ลูกแพะน้อยของเราไม่เคยเวียนว่ายร่วมภพภูมิเดียวกับพวกเราเลย…เซี่ยวเล้ง บังอาจตั้งข้อสันนิษฐานถึงเหตุการณ์ในครั้งที่พวกเราต่อสู่กับเทพมังกรอัคคี พี่จานีสจำได้หรือไม่ว่าพวกเราทำลายเกราะพลังคุ้มครองร่างของเทพมังกรอัคคี ได้อย่างไร…”
ดวงตาจานีสทอประกายวูบวาบขณะกล่าวตอบเบาๆ
“จานีสจำได้ดี เทพมังกรอัคคีใช้พลังจากผลึกมังกรในร่างกระจายออกเป็นม่านพลังที่แข็งแกร่ง ไร้หนทางทะลวงผ่าน แม้กระทั่งธนูพิฆาตฟ้าของเทวนารีแห่งราศศีธนูที่สามารถทำลายเทพเจ้าก็ยัง เพียงแต่ทำให้เทพมังกรอัคคีบาดเจ็บทางผิวกายเท่านั้น ทางเดียวที่พวกเราจะทำลายม่านพลังนี้ได้ ก็คือการสะกดพลังจากผลึกมังกรลงชั่วขณะ ในครั้งนั้นลูกแพะน้อยที่ใจร้อนดั่งเพลิงกัลป์ แยกตัวออกจากกลุ่มผนึกพุ่งเข้าหาเทพมังกรอัคคี โดยสลายปราณทั่วร่างผนึกเป็นพลังมหาวายุประจำตัวของนาง ฝ่าเพลิงมังกรเข้าไปในลำคอเทพมังกรอัคคีจนร่างนางระเบิดสลายเป็นธุลี แต่นั่นกลับทำให้กระแสพลังจากผลึกมังกรที่หัวของเทพมังกรอัคคีชะงักลง พวกเราจึงสามารถรวมปราณทั่วร่างสลายเป็นกาฬปราณสายเดียวกระแทกเข้าใส่หัวใจ เทพมังกรอัคคี ปิดกั้นพลังชีวิตทั้งปวงได้สำเร็จ….ถ้าจานีสเข้าใจไม่ผิด เซี่ยวเล้วคิดว่าเพลิงมังกรและพลังจากผลึกมังกรอัคคีที่สลายร่างเทวนารีแห่ง ราศีเมษ ทำลายจิตของนางไปพร้อมกันใช่หรือไม่”
คำพูดของจานีสทำให้ไกรวิทย์และเทวนารีทุกนางนิ่งอั้นไป ขณะที่เซี่ยวเล้งส่งเสียงตอบเบาๆ
“พี่จานีสคาดเดาถูกแล้ว เพราะในฐานะที่เซี่ยวเล้งเคยอยู่ในจักราศีใต้บัญชาเทพสุรัสวดี ไม่เคยมีบันทึกแม้แต่ครั้งเดียวว่ามีการใช้วิชาปราณที่ทำลายจิตเช่นจิตราสูญ ธนูพิฆาตฟ้า ต่อสตรีนางใด ยิ่งวิชาปราณเทพอนันตภาคของเทพสุรัสวดีนั้น ยิ่งเป็นไปไมได้ เพราะนางไม่เคยใช้ออกอีกเลยหลังการล่มสลายของมหาอาณาจักรปราณ จนกลายเป็นตำนานที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมานานนัก…ดังนั้นเซี่ยวเล้งจึงคิด ว่าสาเหตุเดียวที่จิตของลูกแพะน้อยไม่เคยปรากฏร่วมภพกับพวกเรา น่าจะสรุปได้ในทางเดียวว่าจิตและกายของนางสูญสลายไปกับการต่อสู้ในครั้งนั้น แล้ว….”
ความเงียบพลันเข้าครอบคลุมทุกคนอีกครั้ง…ก่อนที่เสียงหวานใสของอัจฉริยาจะดังขึ้นอย่างลังเล
“หากพักปมปริศนาของลูกแพะน้อยไว้ก่อน แมลงป่องน้อยยังคิดถึงปมของเพื่อนเทวนารีอีกสองนางคือเทวนารีแห่งราศีสิงห์ และราศีกรกฏ ซึ่งจากความทรงจำนับหมื่นปีที่พวกเราได้รับกลับมานี้ แมลงป่องน้อยจำได้ว่าห้วงเจ็ดพันปีแรกพวกนางทั้งสองต่างร่วมชาติภพกับพวกเรา ในรูปต่างๆ แต่หลังจากนั้นมาถึงบัดนี้เป็นเวลากว่าสามพันปี พวกนางกลับไร้ร่องรอยการเวียนว่ายในภพภูมิ..ดังนั้นแมลงป่องน้อยจึงขอถามพี่ จานีสเพื่อยืนยันอีกครั้งว่าพวกนางทั้งสองยังดำรงจิตอยู่ในจักรวาลนี้หรือ ไม่”
คำถามของอัจฉริยาทำให้ทุกสายตาหันไปจับจ้องจานีส ซึ่งสะท้อนว่าปมปัญหานี้ก็ยังคงติดค้างอยู่ในจิตใจของไกรวิทย์และเหล่าเทวนา รีทุกนางเช่นกัน
“จานีสยอมรับว่าการที่พวกนางทั้งสองไม่ได้เข้าสู่ภพภูมิร่วมกับเราในสาม พันปีที่ผ่านมานั้น ยังเป็นปัญหาที่จานีสคาดเดาไม่ได้ แต่สิ่งที่เดียวที่จานีสตอบได้ก็คือจิตของพวกนางยังดำรงอยู่ในจักรวาลนี้ อย่างแน่นอน เพียงแต่การดำรงอยู่ของพวกนางนั้นแตกต่างจากจิตของพวกเรา เพราะมันดูราวกับว่าพลังชีวิตของพวกนางจะสงบนิ่งแทบจะตลอดเวลา ราวกับการเข้าฌานของผู้ทรงศีล มีเพียงทุกวันที่จันทร์เพ็ญเต็มดวงส่องกระจ่างจ้าเท่านั้น ที่จานีสได้สัมผัสพลังชีวิตของพวกนางพร้อมกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามในตอน เที่ยงคืน ด้วยความรู้อันน้อยนิดที่จานีสศึกษามานั้นยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ ได้เลย”
คำบอกเล่าของจานีสยิ่งทำให้ไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีทุกนางตระหนักถึงความยาก ลำบากในการติดตามหาเทวนารีที่จิตยังคงหลับใหลกลับมาร่วมอยู่ในจักราศีอีก ครั้ง ขณะที่ไกรวิทย์ถอนใจยาวก่อนกล่าวกับเด็กหญิงรอบกายด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็ม เปี่ยม
“ถึงแม้ว่าข้อสันนิษฐานของเซี่ยวเล้งจะเป็นสิ่งที่ปฏิเสธได้ยาก แต่เราเองก็ยังคงเชื่อมั่นในความกร้าวแกร่งของจิตลูกแพะน้อย และยังคงเชื่อมั่นว่าเราจะต้องพบนาง เช่นเดียวกับสิงห์น้อยและปูน้อยที่จานีสบอกเล่ามา แต่การติดตามหาพวกนางยังคงเป็นหน้าที่หลักของพวกเราต่อไป แม้ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดจะเกิดขึ้นคือเราไม่สามารถเสาะหาทุกคนพบ แต่ด้วยพลังใจของพวกเราทุกคน เราเชื่อมั่นว่าเราจะไม่มีวันพ่ายแพ้ต่อเทพสุรัสวดีอย่างแน่ เหล่าเทวนารีที่รักของเราพร้อมที่จะเคียงข้างเราหรือไม่…”
“เหล่าเทวนารีน้อมรับเทวบัญชา”
เสียงขานรับหนักแน่นจากเด็กหญิงดังแปดดังประสานกันเป็นเสียงเดียว
————————————————
แสงจันทร์ในคืน 15 ค่ำ ส่องกระจ่างท้องทะเลจนย้อมฟองคลื่นที่กระทบท่าเทียบเรือนาฮา ซึ่งเป็นเมืองหลักของเกาะโอกินาวาให้เกิดประกายสีทอง สะท้อนกราบเรือด้านข้างของเรือเดินสมุทร Andaman Queen ที่เปิดออกด้วยระบบไฮโดรลิค พร้อมกับเรือสปีดโบ้ทลำเล็กกระทัดรัดความยาว 8 เมตรถูกกว้านหย่อนลงมามาหน้าช่องเปิดนั้น เจ้าหน้าที่ควบคุมเรือเงยหน้าขึ้นมองกราบเรือที่เปิดออก และพบว่าที่ประตูเทียบเรือยืนอยู่ด้วยเด็กชายวัยหนุ่มคนหนึ่งที่ขนาบข้าง ด้วย และเด็กหญิง 2 คนในชุดดำน้ำสีดำรัดรูป เผยให้เห็นรูปร่างเด็กหญิงวัยแรกสาวที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ สมองของเจ้าหน้าที่ควบคุมเรือจำได้ทันทีว่าเด็กหญิงคู่นี้ชื่อเรอินะกับ เซี่ยวเล้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเด็กหญิงทั้ง 10 ที่กระตุ้นความต้องการทางเพศของลูกเรือชายทุกคนทุกครั้งที่ได้เห็น
“เรือเรียบร้อยดีไหมครับ”
เสียงทุ้มหนักแฝงไปด้วยอำนาจของเด็กชายที่ดูขัดกับอายุ ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมเรือรู้สึกตัวจากความฟุ้งซ่านที่ได้พบเห็นเด็กหญิง ทั้งสอง แล้วหันมาตอบเด็กชายอย่างนอบน้อมขณะโหนร่างกับเส้นเชือกยึดเรือขึ้นมายืน เคียงข้างเด็กชายโดยพยายามไม่สนใจกับกลิ่นหอมแรกสาวของเด็กหญิงทั้งสองที่ กระจายอบอวลอยู่ไม่ขาดระยะ
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ เอ้อ แต่คุณผู้ชายรู้จักวิธีบังคับทั้งหมดแล้วหรือไม่ครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมขับเรือแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้แล้ว…ผมขอเอาไปดำน้ำกลางคืนสักหน่อย แล้วจะกลับมาตอนเช้าๆ ช่วยบอกเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ ว่าไม่ต้องรอ…”
เจ้าหน้าที่ควบคุมพยักหน้ารับ ก่อนปลดสายยึดเรือ สปีดโบ้ทและเปิดทางให้แขกทั้งสามลงไปในเรือ เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้น มือขวาเด็กชายดันคันบังคับไปข้างหน้าปล่อยให้เรือทำความเร็วพุ่งห่างออกจาก เรือแม่ ทิ้งพรายฟองเป็นสายมุ่งหน้าไปยังท้องทะเลสุกกระจ่างด้วยแสงจันทร์เบื้องหน้า ขณะเจ้าหน้าที่ควบคุมเรือกดปุ่มปิดกราบเรือพร้อมกับพึมพำกับตนเองเบาๆ
“ดำน้ำอะไรกัน ไม่เห็นมีถังออกซิเจนมาด้วยเลย สงสัยจะไปเย็ดกันกลางทะเลมากกว่า เฮ้อ อิจฉาไอ้หนุ่มจังโว๊ย…..ชาติก่อนมันทำบุญมาด้วยอะไรวะ”
————————————
“ พี่เอ….ตั้งเข็มเรือไปทางตะวันตกนะ มุ่งหน้าไปที่ดาวดวงที่สามของเข็มขัดนายพรานในกลุ่มดาว Orion”
“ในเมืองไทยเขาเรียกกลุ่มดาวนี้ว่าดาวไถนะเรอินะ…”
เสียงหวานใสของเทวนารีแห่งราศีธนูบอกเส้นทางเดินเรือให้ไกรวิทย์อย่างมั่นใจ ตามมาด้วยเสียงกังวานหวานของเทวนารีแห่งราศีมังกรที่แทรกขึ้นราวกับต้องการ จะหยอกล้อเทวนารีผู้เป็นมิตรสนิทมานับหมื่นปี ทำให้ไกรวิทย์อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะเมื่อครู่ที่ผ่านมาเหล่าหญิงสาวทั้งแปดต่างพยายามแย่งชิงกันร่วมเดิน ทางมากับไกรวิทย์และเรอินะ แต่การถกเถียงนั้นก็ยุติลงด้วยการตัดสินใจของจานีสที่เห็นว่าการเดินทางไป เกาะร้างกลางทะเลครั้งนี้ ควรให้เซี่ยวเล้งผู้เคยเป็นหนึ่งในเทวนารีแห่งจักราศีร่วมกับเรอินะ และมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่าทุกคน
“ตอนนี้เราอยู่ห่างจากชาวโลกแล้ว พวกเรากลับสู่ร่างเดิมดีกว่าไหมจะได้สะดวกขึ้น เพราะในสภาพที่ไม่ได้ใช้ปราณแบบนี้พี่บังคับเรือไม่ค่อยสะดวกเลย ดีที่เรือลำนี้มีระบบตั้งเข็มเดินทางอัตโนมัติ ไม่อย่างนั้นพี่คงควบคุมลำบากแย่..”
เสียงไกรวิทย์ในร่างของเด็กชายวัย 15 ปีดังขึ้นในเชิงปรึกษา และเมื่อไม่ได้รับการคัดค้านจากเด็กหญิงข้างกาย เด็กหนุ่มก็สูดลมหายใจลึกยาวครู่หนึ่งก่อนปลดปล่อยกระแสปราณที่ผนึกในโพรง กระดูกออกจากตำแหน่งควบคุม ร่างของเด็กชายพลันค่อยๆ ขยายตัวออกทั้งความสูงและกล้ามเนื้อทั่วร่าง พริบตาเดียวร่างของชายหนุ่มที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ก็ปรากฏขึ้นแทนที่ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจของไกรวิทย์ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเมื่อพบว่าเด็กหญิง วัยแรกรุ่นทั้งสองที่อยู่ร่วมกันในเรือ ต่างพากันสูดลมหายใจปลดปล่อยปราณในร่าง เพียงพริบตาเดียวร่างของเทวนารีแห่งราศีมังกรที่เปล่งปลั่งไปด้วยเลือดเนื้อ วัยสาว และเทวนารีแห่งราศีธนูที่ปราดเปรียวครัดเคร่งก็ปรากฏร่างขึ้นเคียงข้างชาย หนุ่ม
“เฮ้อ…อยู่ในร่างเด็กหญิงก็คล่องแคล่วดีอยู่หรอก…แต่เรอินะไม่ชอบตรงตอน ที่เย็ดกับพี่เอโดยไม่สามารถใช้ปราณในร่างนี่แหละ….มันไม่เสียวไปทั้งร่าง เหมือนตอนที่ความรู้สึกทั้งหมดส่งผ่านปราณเข้าสู่จิตเลย….”
เสียงเรอินะบ่นพึมพำขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ทำให้เซี่ยวเล้งผู้ซึ่งเรอินะรักและเชื่อฟังเสมือนพี่สาวอดอมยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
“เรอินะควรจะดีใจนะ ที่รู้ว่ามนุษย์ธรรมดาเมื่อเย็ดกันมีขีดความสุขความเสียวเช่นนี้ ซึ่งเทียบเทียมความสุขทางเพศรสของเหล่าผู้ทรงปราณไม่ได้ สัมผัสจากการเย็ดของผู้ทรงปราณระดับสูงทั่วไปนั้น แม้จะเสียวซ่านกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่าอันเนื่องมาจากประสาทสัมผัส แห่งอวัยวะในเพศรสไม่ว่าควยหรือหีของผู้ทรงปราณเหล่านั้นล้วนไวต่อการสัมผัส กว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่าตัว แต่ความเสียวซ่านนั้นเมื่อเทียบกับพวกเราเหล่าเทวนารีที่บรรลุข้ามขอบเขตมา ยังปราณแห่งเทพเจ้า สัมผัสนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงอวัยวะแห่งเพศรส แต่ยังกระจายมายังจิต ทำให้ความรู้สึกและความสุขจากเพศรสนั้นสูงกว่าผู้ทรงปราณทั้งปวงไปหลายสิบ เท่า.. ดังนั้นเมื่อเรอินะรับรู้รสชาติการเย็ดเช่นมนุษย์ธรรมดา คราวหน้าเมื่อพวกเราสามารถโคจรปราณได้อย่างอิสระ เรอินะจะยิ่งรับรู้ถึงความสุขทางเพศที่แท้จริงที่ได้รับจากพี่เอ..”
“ที่พี่เซี่ยวเล้งบอกมาเรอินะก็รับรู้อยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ไม่คิดเลยว่า การเย็ดของมนุษย์ธรรมดาจะให้ความรู้สึกที่ด้อยกว่าการเย็ดของพวกเราเหล่าเท วนารีกับพี่เอถึงขนาดนี้…แต่สิ่งหนึ่งที่เรอินะยังสงสัยคือหากเป็นความ รู้สึกรับรู้ของเทพเจ้า..จะแตกต่างกับพวกเราหรือไม่…”
เรอินะส่งเสียงแผ่วเบาราวเป็นการพูดกับตัวเอง แต่ดวงตาเรียวคมเหลือบมองมาทางชายผู้เป็นที่รักข้างกายแวบหนึ่ง…ทำให้ไกร วิทย์ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะรู้ดีว่านี่คือวิธีการ “ถามโดยไม่ถาม” ของเรอินะอันเป็นอุปนิสัยประจำตัวของเด็กสาว
“ข้อนี้พี่ก็ยังไม่สามารถตอบเรอินะได้ เพราะแม้ในมหาอาณาจักรปราณจะขนานนามพี่เป็นเทพวิรุณปักขะ แต่ความเป็นเทพของพี่หรือแม้กระทั่งเทพสุรัสวดี ก็ยังผูกพันกับกายหยาบอันประกอบด้วยธาตุทั้งสี่เช่นสัตว์โลกทั้งหลาย แม้ปราณของพี่จะข้ามเข้าสู่ขอบเขตเทพเจ้า แต่ความรู้สึกที่ได้รับการการเย็ดเทวนารีที่รักของพี่ทุกคนก็ไม่ได้แตกต่าง กับเรอินะหรือเซี่ยวเล้ง เพราะนี่คือขีดสูงสุดที่กายหยาบจากธาตุสี่จะรับรู้ได้ แต่สำหรับเทพเจ้าที่มีแต่จิตไร้รูปอันกำเนิดจากกายหยาบ การร่วมรักของเทพเจ้าจะกำเนิดจากจิตล้วนๆ ก่อเป็นรูปกายแห่งจิต ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัมผัสทางเพศที่ให้ความสุขเหนือกว่าทุกสิ่งในห้วง จักรวาล…แต่นั่นก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่ามีความสุขเพียงใด เพราะเทพเจ้าเหล่านั้นหาได้ประทานคำตอบมาให้มนุษย์ร่วมรับรู้ไม่…”
“ไม่รู้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้..ว่าแต่ทำไมชุดดำน้ำชุดนี้มันถึงคับไปหมดแบบนี้….เรอินะอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว”
“จริงด้วย ตอนใส่ก็ดูจะพอดีหรอก…แต่ตอนนี้เซี่ยวเล้งก็อึดอัดไปหมดแล้วเหมือนกัน…”
เสียงเด็กสาวทั้งสองบ่นงึมงำ ต่างพยายามขยับซิปที่รูดปิดด้านหน้าลงเพื่อบรรเทาความอึดอัด ทำให้ไกรวิทย์อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“อ้าว..ก็ชุดที่เซี่ยวเล้งกับเรอินะเลือกมามันเป็นไซด์ S สำหรับเด็กผู้หญิงนี่นา พอกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงมันจะไม่คับได้อย่างไร…แต่ถ้าคับมากจะถอดออกไป พี่ก็ไม่ว่าหรอกนะ…”
“บ้า…พี่เอก็รู้ว่าข้างในนี้เซี่ยวเล้งไม่ได้ใส่อะไรเลย…ถอดออกไปก็ต้องแก้ผ้ากลางอากาศเย็นๆแบบนี้น่ะสิ..”
เทวนารีแห่งราศีมังกรค้อนให้ไกรวิทย์ แต่ดวงดวงตาของชายหนุ่มกลับจับจ้องไปยังร่างงามของเด็กสาวทั้งสองที่กลับ เข้าสู่ร่างเดิมในชุดดำน้ำของเด็กหญิง ทำให้ทุกสัดส่วนของร่างกายถูกรัดแน่นสนิท หน้าอกเต่งตึงพุ่งชูชันดันผ้ายางเป็นรูปร่าง เช่นเดียวกับสองแคมอวบอิ่มที่ถูกอัดแน่นเป็นรูปร่างนูนเด่นออกมาท่ามกลางแสง จันทร์ จนแทบไม่ต่างอะไรกับการเปลือยกายแม้แต่น้อย
“ไม่รู้ล่ะพี่เซี่ยวเล้ง…ใครจะว่ายังไงเรอินะก็ไม่สนใจแล้วถ้ารัดแน่นแบบ นี้เรอินะแก้ผ้ายังจะดีเสียกว่า…เอ๊ะ….พะ พะ พี่เอ……”
ยังไม่ทันที่สองมือเรอินะจะรูดซิบลงมาจนสุดทางเพื่อปลดเปลื้องความรัดรึงของ ชุดดำน้ำ สองขาเด็กสาวก็สั่นระริกและอุทานออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ถึงความต้องการทางเพศที่แทรกเข้าสู่จิต หลืบรักเริ่มขมิบตัวเป็นจังหวะบดเบียดกับความคับแน่นของชุดดำน้ำจนความเสียว พรั่งพรูออกมาเป็นสาย แต่ก่อนที่ร่างงามนั้นจะทรุดลงกับพื้นเรือ ไกรวิทย์ก็ก้าวไปดึงร่างปราดเปรียวนั้นมาประคองไว้ สองมือชายหนุ่มรูดซิปลงมาจนสุดลำรางแล้วดึงขอบด้านบนลงมาอย่างรวดเร็วจนชุด ดำน้ำที่คับแน่นนั้นหลุดลงมากองรวมกันที่เอวคอดกิ่วของเด็กสาว…
“พะ พี่เอ….ตะ ต้องการอีกแล้วหรือ….”
“ก็เรอินะบอกว่าอึดอัดไม่ใช่หรือ พี่จะช่วยให้หายอึดอัดไง…”
ไกรวิทย์พึมพำเบาๆ ใบหน้าซุกไซร้อยู่กับเต้านมครัดเคร่งที่ชูชันอวดความงามท่ามกลางแสงจันทร์ จนเรอินะต้องครางออกมาอย่างลืมตัว สองแขนเรียวโอบรอบคอชายหนุ่มไว้แน่น ปล่อยหน้าอกให้ถูกสัมผัสปลุกเร้าโดยไม่ขัดขืน มือเรียวงามของเด็กสาวขยับดันชุดว่ายน้ำที่ค้างอยู่ที่เอวลงไปทางปลายเท้า ด้วยตนเอง ขณะที่ร่างค่อยทรุดตัวลงไปนอนราบกับพื้นเรือเย็นเฉียบ พร้อมกับร่างของไกรวิทย์ทาบทับลงไป ขณะเดียวกันไกรวิทย์ก็รู้สึกถึงมือของเซี่ยวเล้งที่เอื้อมจากด้านหลังมารูด ซิบที่สวมใส่แล้วดึงออกจากร่างลงไปทางปลายเท้าอย่างนุ่มนวล ก่อนที่แผ่นหลังจะสัมผัสถึงความอบอุ่นนุ่มเนียนของทรวงอกเต่งเต้าที่ทาบลง แนบสนิท สองมือเทวนารีแห่งราศีมังกรเอื้อมผ่านเอวชายหนุ่มลงไปกุมแก่นเนื้อที่แข็ง ตัวชูชันไว้และกระทอกเบาๆ ขณะกระซิบที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
“พี่เอ…เซี่ยวเล้งก็ ไม่ไหวแล้ว…อูย ขนาดไม่ได้ผนึกปราณควยพี่เอยังแข็งขนาดนี้เลย…อุ๊ย”
เซี่ยวเล้งอุทานออกมาเบาๆ เมื่อไกรวิทย์พลิกตัวกลับมาดึงร่างงามให้หมุนลงมาอยู่เคียงข้างเรอินะ ที่พื้นเรือและกำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นเรือ ดวงตาชายหนุ่มทอประกายวาววับด้วยความต้องการกับภาพของสองเทวนารีที่เปลือย เปล่าเบื้องหน้า
ดวงตาเรอินะและเซี่ยวเล้งหลับพริ้มไปกับการสัมผัสของไกรวิทย์ที่เคล้นคลึง ทรวงอกงามทั้งสองคู่ ทรวงอกขาวผ่องชูชันที่อวบอิ่มเต็มสาวประดับด้วยยอดสีชมพูเข้มของเซี่ยวเล้ง ประชันความงามกับสองเต้าเต่งตึงของเรอินะที่เม็ดมณีสีน้ำตาลอ่อนกำลังเต้น ระริกเมื่อถูกสัมผัส ริมฝีปากอิ่มของเซี่ยวเล้งเผยอล่งเสียงครางออกมาเบาๆ ประสานกับริมปากรูปกระจับน้อยๆของเรอินะ ก่อเป็นสำเนียงที่สามารถกระตุ้นความต้องการของบุรุษทุกคนในโลกให้ลุกโพลงได้ ในทันที สะโพกของสองเทวนารีบิดส่ายไปมาเมื่อร่างเปลือยของไกรวิทย์แทรกตัวพลิกร่างลง นอนเหยียดยาวระหว่างกลางร่างงามทั้งสอง ขาอวบแน่นของเซี่ยวเล้งและขาเรียวงามของเรอินะพลิกขึ้นมากอดเกี่ยวท่อนล่าง ชายหนุ่มไว้ทั้งสองด้าน เนินเนื้อเปล่งปลั่งที่ประดับด้วยทิวขนนุ่มเนียนของเทวนารีแห่งราศีมังกรอัด บดแน่นกับสะโพกซ้ายไกรวิทย์ โดยที่เจ้าของเนินนั้นพยายามบดอัดสะโพกเป็นวงเพื่อให้แคมรักเสียดสีเพิ่ม ความเสียวให้กับตนเอง ในขณะที่เทวนารีแห่งราศีธนูทางด้านขวากลับดึงมือไกรวิทย์ไปเกาะกุมพลูเนื้อ เต่งตึงเกลี้ยงเกลาเบื้องล่าง และสั่นสะท้านไปทั้งตัวเมื่อนิ้วหัวแม่มือของชายหนุ่ม กดบี้ติ่งเสียวเล็กๆเหนือสองแคม พร้อมกับนิ้วชี้แทรกผ่านเข้าไปสัมผัสความอบอุ่นรัดรึงในหลืบรักที่ชุ่มไป ด้วยเสียวของเด็กสาว จนสะโพกครัดเคร่งนั้นบิดส่ายไปมาอย่างควบคุมไม่ได้
“พี่เอ…พี่เอ….เย็ดเซี่ยวเล้งเถอะ…อูย….พลังจากผลึกมังกรรุนแรงนัก …ขนาดพวกเราไม่ได้ใช้ปราณ…มันยัง…ซีดส์…ยังกระตุ้นความต้องการ เซี่ยวเล้งขนาดนี้…”
“เรอินะ ก็ ก็…ไม่ไหวแล้ว พี่เอ….ยะ อย่าคว้านแบบนั้น….ใจจะขาดแล้ว….”
“ก็พี่เห็นเรอินะบอกว่าเย็ดกันในสภาพมนุษย์ธรรมดามันไม่เสียวเต็มที่ไม่ใช่หรือ…”
แม้ในจิตจะลุกโพงไปด้วยความต้องการทางเพศ แต่ไกรวิทย์ก็อดหยอกเย้าเด็กสาวผู้กำลังบิดส่ายร่างไปมากับการปลุกเร้าด้วย นิ้วมือไม่ได้…ทำให้เรอินะเบิกตาโพลงสองมือน้อยทุบทรวงอกชายหนุ่มเต็มแรง
“พี่เอนี่…จะเสียวแต่ไหนเรอินะก็ไม่สนใจแล้ว ถ้าพี่เอไม่เย็ดเรอินะ…เรอินะจะหัดควยพี่เอเดี๋ยวนี้…อุ๊ย…”
เทวนารีแห่งราศีธนูผู้ดื้อรั้น ร้องออกมาอย่างจกใจเมื่อไกรวิทย์ถอนนิ้วออกจากกลางสองแคมน้อยฉ่ำชื้นและ พลิกร่างเพรียวงามนั้นมาทาบทับร่างอวบอิ่มขาวผ่องราวหิมะต้นฤดูของเซี่ยว เล้งแนบสนิท จนเนินรักของเทวนารีทั้งสองกดแนบแน่น
“อื๋ย…เรอินะ ทำอะไร…”
“เรอินะ ไม่รู้…พี่เซี่ยวเล้ง พี่เอเอาเรอินะมาทับพี่เซี่ยวเล้ง …”
“เรอินะ ยะ ยะ อย่าส่ายหีแบบนั้น เซี่ยวเล้งเสียว….”
“แล้วพี่เซี่ยวเล้ง บี้หัวนมเรอินะทำไม…..อูว์”
“ก็นมเรอินะทั้งเต่งทั้งแน่นแบบนี้……จะไม่ให้ …อาห์..พะ พี่เอ…ทำอะไร..”
“พะ พี่เอ..นั่นไม่ใช่หี….อ๊ายส์…”
สองเทวนารีที่ร่างทาบทับกันแน่นทุกสัดส่วน ร้องออกมาพร้อมกันเมื่อรับรู้ว่าแก่นเนื้อไกรวิทย์ถูกสอดเข้ามาระหว่างกลาง แคมรักที่บดอัดกันอยู่ โดยไม่ได้กดลงไปในหลืบรัก แต่กลับอาศัยแรงบดอัดของเนินรักที่ฉ่ำเยิ้มทั้งสองบีบแก่นกายแน่นราวกับผนัง ภายในของหลืบเนื้อ และเมื่อไกรวิทย์ขยับแก่นกายเข้าออกระหว่างสองเนินรัก เม็ดเสียวของสองเทวนารีก็ถูกหัวบานครูดบี้ไปมาเป็นจังหวะ จนทำให้ร่างทั้งสองสั่นระริก สองแขนกอดรัดร่างอีกฝ่ายไว้แน่น ขณะที่สะโพกทั้งสองถูกบดอัดเข้าหากันราวกับต้องการจะเพิ่มแรงบีบเคล้นให้กับ แก่นเนื้อไกรวิทย์ พร้อมทั้งเพิ่มแรงเสียดสีติ่งเสียวไปพร้อมกัน
“โอย..พีเอ…พี่เอ..คิดท่านี้ได้ยังไง….อูย…เรอินะ..พะ พี่เสียว….”
“พี่เซี่ยวเล้ง…เรอินะ ก็ เสียว…ควยพี่เอ..บี้แตกเรอินะ….อูย…”
ไกรวิทย์จับสะโพกครัดเคร่งของเรอินะเป็นหลัก ขณะกระเด้าลำลึงค์ยาวเหยียดระหว่างสองเนินรักที่สันสะท้านไปกับความเสียวจา กากรสัมผัส ทั้งที่แก่นกายยังไม่ได้แทรกลงไปภายใน แต่ความรู้สึกของไกรวิทย์กลับแทบแยกไม่ออกว่ากลีบเนื้อชุ่มฉ่ำทั้งสี่กลับ ที่กำลังบดอัดแก่นเนื้อนั้นให้รสสัมผัสแตกต่างกับพลืบเนื้อภายในของเทวนารี ผู้งดงามทั้งสองเพียงใด..ชายหนุ่มกัดริมผีปากแน่น ขณะเพิ่มความเร็วในการกระเด้าเข้าออกจนหญิงสาวทั้งสองร่างสั่นสะท้านอย่าง รุนแรง ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน
“ อ๊าย…พี่เอ เร็วๆ …เร็วอีก…เซี่ยวเล้งจะ….จะ…”
“เรอินะ…ก็ ก็…อ๊าวส์….”
ร่างเปลือยขาวโพลงของสองเทวนารีสะท้านเฮือกขึ้นพร้อมกัน ผิวกายทุกส่วนสั่นระริกเมื่อความเสียวจากการสัมผัสมาถึงจุดสุดยอด แต่ก่อนที่อาการสั่นสะท้านนั้นจะคลายตัวลง ทั้งสองก็ต้องร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เมื่อไกรวิทย์ดึงแก่นกายออกจากระหว่างสองเนินรักแล้วกดพรวดลงไปในหลืบรักคับ แน่นที่ยังคงกระตุกอยู่ของเซี่ยวเล้งที่นอนอยู่ด้านล่าง จนมิดโคน ก่อนดึงออกมาจนพ้นสองแคมแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปยังกลีบเนื้อไร้ขนของเรอินะ ที่ด้านบน แก่นเนื้อมุดรวดเดียวผ่านหลืบเนื้อจนหัวบานชนปากมดลูกเรอินะ แล้วดึงอกสลับเป้าหมายไปยังเซี่ยวเล้งอีกครั้ง
“ซีดส์…พี่เอ..พี่เอ…เย็ดอะไรแบบนี้…..อ๋าย”
“อูย เร็วอีกพี่เอ…เร็วอีก…เรอินะ…”
“อาห์ หีเซี่ยวเล้งและเรอินะยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย…ทั้งคับทั้งแน่น อูว์….หีเรอินะบีบควยพี่จนแทบดึงไม่ออก หีเซี่ยวเล้งบดอัดควยพี่แน่นไปหมด ในเมื่อพี่แยกร่างเย็ดไม่ได้ ก็มีแต่วิธีนี้ที่จะเย็ดได้พร้อมกัน……”
ไกรวิทย์ครางออกมาด้วยความเสียว ขณะกระเด้าสองเนินรักสลับกันด้วยความแม่นยำราวกับเป็นการร่วมรักกับคนๆ เดียว
“ เย็ดเรอินะแรงๆ พี่เอ….ให้เรอินะ…ถะ ถะ ถึงพร้อม..พร้อมพี่เซี่ยวเล้ง….”
“เซี่ยวเล้งใกล้แล้ว พี่เอ…ใกล้แล้ว…จะ จะ จะมาแล้ว…”
“เรอินะก็…อ๊ายว์…”
“เซี่ยวเล้ง…มะ มาแล้ว…”
“พี่..พี่ ก็…อาห์”
ความเสียวทะลักมารวมกันที่ปลายแก่นเนื้อไกรวิทย์ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นขณะทะลักน้ำรักฉีดพุ่งอัดเข้าในมดลูกเทวนารีทั้งสองพร้อม กันโดยไม่หยุดการสับเปลี่ยนเนินรัก ทำให้น้ำรักที่พุ่งออกนั้นกระฉูดออกไปรอบข้างในจังหวะที่ดึงออกมาจากหลืบ เนื้อของแต่ละคน จนน้ำรักขุ่นข้นกระจายไปรอบด้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจะค่อยๆ ลดการเคลื่อนไหวลงจนหยุดนิ่งเมื่อแก่นเนื้อสงบนิ่งอยู่นอกเนินรักทั้งสอง
“โอย…พี่เอ…คิดอย่างไรถึงเย็ดเซี่ยวเล้งกับเรอินะด้วยท่านี้…นับหมื่น ปีนี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยวเล้งถูกเย็ดภายนอก แต่กลับเสียวสุดๆ อย่างกับถูกเย็ดจริงๆเลย”
เทวนารีแห่งราศีมังกรครางอออกมาอย่างอ่อนระโหย ทั้งที่ยังกอดร่างเปลือยเปล่าของไกรวิทย์เอาไว้แน่น หลังการร่วมรักด้วยท่วงท่าพิสดารผ่านพ้นไป แต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นทำให้เรอินะซึ่งนอกตะแคงกอดไกรวิทย์อีกด้านหนึ่ง ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่เซี่ยวเล้งย่อมไม่เคยรู้จักแน่ ท่านี้เรอินะบอกพี่เอเองแหละ มันเป็นท่วงท่าสำหรับการเย็ดของชายชาวญี่ปุ่นที่นิยมความตื่นเต้น ที่ผ่านมาเรอินะเล่าให้พี่เอฟังเฉยๆ แต่วันนี้กลับถูกพี่เอนำมาใช้กับตัวเองจนได้”
“ ที่แท้นอกจากวิชาแปลงกายลักษณ์แล้ว เทวนารีแห่งราศีธนูที่สูงส่งไร้สายตามองชายใด กลับเป็นฝ่ายสอนวิชาลามกให้กับพี่เอ….สงสัยจริงว่ายังมีวิชาอื่นอีกไหมที่ เรอินะแอบสอนที่เอโดยเซี่ยวเล้งไม่ล่วงรู้”
เซี่ยวเล้งยกมือที่วางทาบหน้าอกไกรวิทย์ไปจิ้มที่หน้าผากนูนกลมกลึงของเรอิ นะพร้อมกับส่งเสียงเชิงตำหนิอย่างไม่จริงจังนักกับเทวนารีผู้สนิทสนมกันราว กับน้องแท้ๆ
“เซี่ยวเล้งของพี่ไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่รับรองว่าสิ่งที่เรอินะบอกเล่ามาพี่จะนำมาใช้อย่างไม่ตกหล่นบกพร้อง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการมัดแบบมาโคอิส การใช้ไม้หนีบหนีบอวัยวะกระตุ้นความต้องการ..หรือแม้การใช้ลูกกลมสั่น สะเทือนด้วยไฟฟ้าใส่เข้าไปในหี…..”
“บ้า บ้า..งพี่เอนี่เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับเรอินะเลยนะ อยากลองก็ไปลองกับท่านเทวนารีแห่งราศีธนูเถอะ…”
เซี่ยวเล้งส่งมือน้อยๆ ทุบหน้าอกไกรวิทย์ถี่ยิบเมื่อได้รับฟังการบอกเล่าถึงวิธีการร่วมรักแบบ พิสดารของชาวญี่ปุ่น พวกแก้มขาวผ่องเต่งตึงปานจะปริเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใส ขณะที่ร่างงามพยายามจะดิ้นให้หลุดจากวงแขนไกรวิทย์อย่างงอนๆ แต่ร่างที่ดิ้นรนนั้นกลับหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อไกรวิทย์เอื้อมมือไปลูบไล้ พวงแก้มงามก่อนส่งเสียงตอบอบ่างอ่อนโยน
“มังกรน้อยจงฟังเรา…ร่างกายอันบริสุทธิ์ของพวกเรา จิตสำนึกและความต้องการทางเพศของพวกเรา ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสิ่งลามกทั้งสิ้น มนุษย์ใช้คำว่าศีลธรรมจริยธรรมมาปิดกั้นความต้องการของตนเอง ทั้งที่ความรักกับความต้องการเป็นหนึ่งกับคนที่รักนั้นคือความสัมพันธ์ที่งด งามของมนุษย์ การกระทำใดๆ ที่เร่งเร้าความสุขจากความรักให้เติมเต็มความต้องการนั้น หาใช่สิ่งที่ผิดไม่….เช่นเดียวกับความรักความต้องการที่พี่มีต่อเซี่ยว เล้ง เรอินะและเหล่าเทวนารีทุกนาง ทุกสิ่งที่พวกเราสัมพันธ์กัน มนุษย์โลกอาจจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผิดและพยายามประณาม ทั้งที่พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่าความรักที่แท้จริงนั้นคืออะไร”
เทวนารีราศีมังกรจับจ้องดวงตาที่สะท้อนประกายความรักความปราณีของชายหนุ่ม ที่เป็นเจ้าชีวิตอย่างตั้งใจ หยาดน้ำใสเอ่อคลอดวงตาเรียวยาวจนเป็นประกายท่ามกลางแสงจันทร์
“มหาเทพ มังกรน้อยทราบดี อภัยด้วยที่มังกรน้อยยังคงติดอยู่กับแนวปฏิบัติของสังคมมนุษย์ ต่อแต่นี้ไปมังกรน้อยจะสนองความต้องการทุกประการของหัวใจตนเองตามที่มหาเทพ ได้ชี้แนะ…”
“มหาเทพถ้าเช่นนั้นลูกศรน้อย ขอคำสั่งแห่งเทวะให้ลูกศรน้อยเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาแห่งกามรสของชาวญี่ปุ่นให้ กับพี่มังกรน้อยนับแต่นี้เป็นต้นไปด้วยเถิด”
“คำขอของลูกศรน้อยเป็นที่อนุมัติแห่งเรา จงเป็นไปตามนั้น…”
“มหาเทพ…….พี่เอบ้า เรอินะบ้า บ้า…ล้อเซี่ยวเล้งอีกแล้ว อืมห์”
เซี่ยวเล้งอุทานออกมากับคำสั่งแห่งมหาเทพที่ออกมาจากปากไกรวิทย์ แต่เมื่อหญิงสาวพบว่าดวงตาชายหนุ่มกลับแฝงไปด้วยแววตายั่วเย้าและพยายาม กลั้นหัวเราะเอาไว้ก็รู้ได้ทันทีว่าไกรวิทย์และเรอินะร่วมมือกันแสร้งใช้ วาจาแห่งเทพในจักราศีมาหยอกเย้าตนเอง แต่อากัปกริยาแง่งอนนั้นกลับยุติลงเมื่อริมฝีปากอิ่มถูกปิดลงด้วยริมฝีปาก ไกรวิทย์ สองมือที่ทุบอกกลับเปลี่ยนมาเป็นกอดรัดร่างชายหนุ่มไว้แน่น
“พี่เอ..พอก่อนเถอะ..เรอินะรู้ว่าพี่เอจูบพี่เซี่ยวเล้งแบบนี้ ความต้องการของพี่เอกำลังจะเริ่มก่อตัวอีกแล้ว..ขืนปล่อยไว้พวกเราคงได้เย็ด กันทั้งคืน ไม่ต้องไปที่จุดหมายกันพอดี…ตอนนี้เราใกล้เข้ามาถึงเกาะร้างไร้ชื่อที่เร อินะได้พบท่านผู้เฒ่าผู้นั้นแล้ว”
เรอินะรีบส่งเสียงเตือน เมื่อเริ่มรับรู้ถึงความต้องการทางเพศที่คุขึ้นมาอีกครั้ง จนรู้ได้ในทันทีว่าไกรวิทย์กำลังเกิดความรู้สึกต้องการร่วมรักอีกครั้งเมื่อ ได้สัมผัสเรือนร่างเปลือยเปล่าของเทวนารีแห่งราศีมังกร ทำให้ไกรวิทย์และเซี่ยวเล้งที่กำลังเริ่มจมลงไปในห้วงความต้องการเป็นครั้ง ที่สองพลันได้สติ ร่างทั้งสองผละจากกันแล้วผุดลุกขึ้นมายืนเคียงข้างเรอินะที่แผงคบคุมการเดิน ทางของเรือ
“อีกไกลไหมเรอินะ…”
เซี่ยวเล้งส่งเสียงถามเบาๆ อย่างตั้งใจแต่น้ำเสียงนั้นยังคงสั่นเล็กน้อยจากคลื่นความต้องการทางเพศที่เด็กสาวพยายามควบคุมเอาไว้
“เท่าที่เรอินะดูจากมาตรวัดระยะ เราน่าจะไปถึงตัวเกาะภายในหนึ่งชั่วโมงนี้แหละ…”
ไกรวิทย์เดินมาข้างกายเรอินะผู้กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ควบคุม และปรับเปลี่ยนความเร็วของเรือที่กำลังอยู่ในระบบบังคับอัตโนมัติ มาเป็นบังคับมือ พร้อมกดคันเร่งให้เรือพุ่งทะยานไปข้างหน้า จนกระแสลมพัดเส้นผมนุ่มสลายที่สั้นกว่าเหล่าเทวนารีผู้อื่น เปิดเผยวงหน้าคมคายผสมผสานความอ่อนหวานกับความดื้อรั้น จนเป็นบุคลิกของทอมบอยผู้สามารถตรึงสายตาของชายหนุ่มและหญิงสาวทุกคนได้ใน ทันที่ที่พบเห็น
“น่าแปลกที่เกาะนี้กลับไม่ปรากฏอยู่ในแผนที่เดินเรือ ทั้งที่เรอินะเคยบอกพี่ว่าแม้มันจะเป็นเกาะขนาดเล็ก แต่ด้วยพื้นที่กว่าพันตารางเมตรของมัน นั้นบอกได้ว่าน่าจะปรากฏอยู่ในแผนที่เดินเรือสากลแล้ว…เพราะแม้กระทั่ง เกาะปะการังขนาดเล็กกว่านี้ครึ่งหนึ่งยังมีปรากฏอยู่เลย…”
“นั่นสิพี่เอ…เซี่ยวเล้งก็สงสัยในข้อนี้เช่นกัน โดยเฉพาะน่านน้ำบริเวณนี้เป็นพื้นที่ตรวจตราที่เข้งวดที่สุดของเหล่าเผ่า พันธุ์มัจฉาในบังคับของสุรีย์มัจฉา เทวนารีแห่งราศีมีนผู้เป็นหนึ่งเดียวในเหล่าเทวนารีที่กำเนิดมาจากเผ่า พันธุ์เทพมัจฉา หรือที่ชาวโลกรู้จักกันในชื่อของเผ่าพันธุ์เงือกที่รู้จักท้องทะเลและ มหาสมุทรทั่วโลก ดังนั้นเกาะนี้จึงน่าจะปรากฏอยู่ให้โลกรับรู้ ถึงแม้แผนที่เดินเรือของมนุษย์จะไม่ปรากฏ แต่แผนภูมิของจักรราศีก็น่าจะมีอยู่ แต่พี่จานีสเองก็ยืนยันว่าไม่เคยมีบันทึกร่องรอยของเกาะนิรนามนี้ในแผนภาพ สมุทรเลย”
เทวนารีแห่งราศีมังกรส่งเสียงสนับสนุนข้อสังเกตของไกรวิทย์ ดวงตายาวเรียวจับจ้องแผนที่เดินเรือที่หยิบขึ้นมาจากลิ้นชักแผงคบคุมด้วยแวว ตาครุ่นคิด
“เรอินะเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปพบเกาะนี้ได้อย่างไร…เพราะตอนนั้นเรอินะ อยู่ในเรือใหญ่ของตระกูลที่เดินทางออกมาจากท่าเรือนาฮาในโอกินาวา แต่ด้วยความที่เรอินะกำลังหงุดหงิดกับการที่ต้องถูกส่งตัวไปยังจักรราศี เรอินะจึงแอบเอาเรือเล็กแบบเรือลำนี้แหละ ขับลึกออกนอกเส้นทางไปในทะเล โดยไม่รู้ทิศทาง แต่เมื่อเรอินะรู้ตัวว่ากำลังหลงทางนั้น กลับปรากฏเกาะนี้ขึ้นที่เบื้องหน้า และหลังจากที่ได้อยู่กับท่านผู้เฒ่า 1 คืน ท่านผู้เฒ่าก็ชี้ดวงดาวให้เรอินะขับเรือไปตามนั้น จนกลับมาพบเรือใหญ่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีใครในตระกูลล่วงรู้เลยว่าเรอินะเกือบสาบสูญไปใน ทะเลในครั้งนั้นแล้ว”
คำตอบของเรอินะทำให้เซี่ยวเล้งนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนก้าวเดินผ่านช่องกลางของแผงควบคุมไปยืนที่ดาดฟ้าเรือที่ปราศจากราว ป้องกันใดๆ ปล่อยให้ลมทะเลอันเกิดจากความเร็วของเรือที่ตัดผ่านฟองคลื่นพัดเส้นผมยาว สลวยกระจายไปด้านหลังราวคลื่นน้ำ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ปล่อยให้เรือนร่างเปลือยเปล่าขาวผ่องราวหิมะกระทบแสงจันทร์ทอประกายเจิดจ้า กับร่างของเทพธิดาผู้อยู่เหนือโลกีย์วิสัยลงมาเยือนโลกหล้า เป็นความงามของร่างกายที่บริสุทธิ์จนแม้กระทั่งไกรวิทย์ที่ต้องควบคุมเพลิง ปราถนาอันเกิดจากผลึกมังกรเอง ก็ยังไม่บังเกิดความต้องการใดๆ นอกจากชื่นชมความงามที่ดูราวศิลปกรรมนั้นอย่างลืมตัว
“พี่เซี่ยวเล้งสวยเหลือเกิน….เรอินะไม่สามารถเทียบเทียมได้เลย”
เรอินะส่งเสียงแผ่วเบาออกมากับภาพความงามที่ปรากฏ น้ำเสียงนั้นแฝงความสะท้อนใจเอาไว้เลือนรางราวกับเทวนารีแห่งราศีธนูกำลัง ไม่มั่นใจกับความงามของตน ทำให้ไกรวิทย์อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกดปุ่มบังคับเรืออัตโนมัติ ก่อนดึงร่างบางปราดเปรียวขึ้นมากอดไว้แล้วพาไปยืนเคียงข้างเซี่ยวเล้งที่ดาด ฟ้าเรือ….
“ลูกศรน้อยหาได้งามน้อยกว่าเทวนารีนางใดทั้งสิ้น หากมังกรน้อยงามเช่นเทพธิดา ลูกศรน้อยก็งามดั่งเทพอัปสรผู้กำเนิดจากเกษียรสมุทร ไม่มีชายหรือเทวเพศชายใดที่จะสามารถถอนสายตาไปจากความงามของเทวนารีผู้เป็น ที่รักของเราทั้งสองนี้ได้…”
เสียงของมหาเทพที่เหล่าเทวนารีรับรู้มาแต่โบราณกาลดังขึ้นต่อเรอินะ ขณะที่เซี่ยวเล้งหันมายิ้มให้กับเรอินะที่ถูกไกรวิทย์ปล่อยร่างไว้เคียงข้าง ก่อนหันมากอดร่างเพรียวงามไว้แน่นในวงแขน
“น้องสาวแห่งเรา…มหาเทพผู้ครองชีวิตเราสองกล่าวถูกต้องแล้ว ความงามของเรอินะน้อยนั้นหามีผู้ใดต้านทานเสน่ห์ที่ผสานระหว่างความงามนุ่ม นวลแห่งสตรีและความกร้าวแกร่งแห่งบุรุษที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวในร่างนี้ ได้….แม้แต่เซี่ยวเล้งเองก็ไม่สามารถ…..”
“พี่เซี่ยวหมายความว่า…อืมห์…”
ริมฝีปากนุ่มรูปกระจับของเรอินะที่กำลังเอ่ยวาจา ชะงักลงทันทีเมื่อเซี่ยวเล้งประคองพวงแก้มใสของเทวนารีผู้น้องไว้ในอุ้งมือ ก่อนประทับจูบลงไปอย่างนุ่มนวล จนเรอินะครางออกมาเบาๆ สองแขนเด็กสาวขยับมากอดร่างเทวนารีผู้พี่ไว้แน่นอย่างลืมตัว
ความงามของสองเทวนารีที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลางแสงจันทร์กระจ่าง ทำให้ไกรวิทย์ต้องสืบเท้าเข้าสวมกอดหญิงสาวทั้งสองเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง แก่นกายที่สงบนิ่งไปชั่วขณะกลับเปลี่ยนเป็นแข็งชูชันแทรกผ่านระหว่างสะโพก ของเรอินะและเซี่ยวเล้ง ที่เบี่ยงกายรับเปิดทางให้แก่นกายนั้นเข้ามาแนบอยู่กับเนินรักที่กำลังปรากฏ หยาดน้ำเอ่อซึมออกมาจนหัวบานไกรวิทย์เปียกชุ่ม
“นายท่าน……ยะ อย่าเพิ่ง…เรา..เรา..กำลังจะถึง…ที่…หมาย..”
“นายท่าน…เซี่ยวเล้ง..ตะ ต้านทานความต้องการไม่ได้….นายท่านต้องระงับ..ไว้ก่อน…”
เรอินะและเซี่ยวเล้ง พยายามส่งเสียงต้านทานอำนาจความต้องการทางเพศที่ถูกโน้มน้าวจากไกรวิทย์จน สุดความสามารถ แม้ว่าสองมือของสองหญิงสาวกำลังไขว่คว้าลงมาเกาะกุมแก่นกายที่แข็งตัวเต็ม ที่เบื้องล่าง สองสะโพกบิดส่ายให้หัวบานบี้คลึงกับแคมรักที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำรัก แต่เสียงนั้นก็ทำให้สติไกรวิทย์ที่เริ่มหลุดไปกับความต้องการกลับมาอยู่ใน ความควบคุมอีกครั้ง ชายหนุ่มรีบผละออกจากวงแขนสองเทวนารี ขบกรามแน่นเพื่อระงับสติตนเองครู่ใหญ่ ก่อนหันกลับมายังเรอินะและเซี่ยวเล้ง ที่กำลังลุกขึ้นจากดาดฟ้าเรือมายืนเคียงข้าง
“พี่ขอโทษด้วย…ความงามของเซี่ยวเล้งและเรอินะนั้นไม่มีเทพเจ้าองค์ใดต่อ ต้านได้จริงๆ นี่ดีที่ตอนนี้พี่ไม่ได้ผนึกปราณโคจร มิฉะนั้นด้วยปราณที่เร่งเร้า และความงามสุดฟ้าดินของเซี่ยวเล้งและเรอินะนี้ พี่คงไม่มีทางระงับใจได้แน่นอน…”
“พี่เอดเ..อย่าโทษตนเองไปเลย เรอินะรู้ดีว่าพี่เอพยายามระงับอารมณ์นี้อย่างเต็มที่แล้ว หากพี่เอควบคุมตนเองไม่ได้ เรอินะกับเซี่ยวเล้งก็ไม่สามารถต้านทานความต้องการของตนเองได้เลย…”
เรอินะส่งเสียงตอบแผ่วเบาทั้งที่ร่างกายยังคงสั่นเล็กน้อยจากความต้องการที่พลั่งพรูขึ้นเมื่อครู่ที่ผ่านมา…
“ว่าแต่เมื่อครู่พี่เห็นเซี่ยวเล้งเหม่อมองท้องฟ้าราวกับตรึกตรองบางสิ่งอยู่ใช่หรือไม่…”
“พี่เอคาดเดาได้แม่นยำ เซี่ยวเล้งคิดบางสิ่งอยู่จริงๆ ว่าแต่พี่เอจำได้ไหมว่าตอนที่เราพบกันครั้งแรกในภพภูมินี้ เราพบกันในที่ใด…”
เซี่ยวเล้งถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะที่ไกรวิทย์และเรอินะจับจ้องดวงตาเซี่ยวเล้งอย่างุนงงที่หญิงสาวเปลี่ยน หัวข้อสนทนาอย่างกระทันหัน
“จำได้สิ…เราพบกันที่นิวาศมังกร…ใช่แล้ว…พี่เข้าใจความหมายของเซี่ยวเล้งแล้ว…”
ความงุนงงในน้ำเสียงไกรวิทย์หายไปในทันทีที่เอ่ยคำว่านิวาศมังกรออกไป เช่นเดียวกับเรอินะที่เปล่งเสียงแทรกขึ้น
“เหล่าเทวนารีหากไม่ได้พำนักในสถานที่ห่างไกลมนุษย์ สถานที่พักของเทวนารีจะบรรจุไว้ด้วยผลึกซ่อนพรางแห่งจักราศี..มนุษย์จะไม่ สามารถพบเห็นได้ เช่นนิวาศมังกรของพี่เซี่ยวเล้ง หรืออาศรมธนูของเรอินะที่อยู่ใจกลางสวนสาธารณะเมืองเอโดะ… บางทีเกาะน้อยนั้นอาจจะซ่อนพรางด้วยวิธีเดียวกัน นั่นสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดมนุษย์จึงไม่พบเห็นเกาะนี้ แต่อย่างไรก็ตามมันยังไม่สามารถตอบคำถามได้ว่าเหตุใดแม้กระทั่งเทวนารีแห่ง จักรราศีก็ยังไม่พบเห็นเช่นกัน…”
เซี่ยวเล้งจับจ้องดวงตาที่เปี่ยมด้วยความสงสัยของเรอินะอย่างเอ็นดู ก่อนหันมายังไกรวิทย์
“คำพูดของเรอินะคือสิ่งที่เซี่ยวเล้งคิดอยู่ในใจ เพราะพื้นที่นี้ปกครองและดูแลโดยเทวนารีแห่งราศีมีน หากเกาะนี้ผนึกไว้ด้วยผลึกราศีซ่อนพราง สุรีย์มัจฉาย่อมต้องมองเห็นได้อย่างง่ายดาย แต่เรอินะกลับสามารถเห็นเกาะนี้ในช่วงเยาว์วัยก่อนที่จะรับฐานะเทวนารี ดังนั้นข้อสันนิษฐานเรื่องผลึกราศีซ่อนพรางจึงตกไป… นั่นเป็นสิ่งที่เซี่ยวเล้งยังขบคิดไม่เข้าใจ”
ตลอดเวลาที่เทวนารีแห่งราศีมังกรระบุความเห็น ดวงตาไกรวิทย์เริ่มส่งประกายขึ้นที่ละน้อย และแทรกขึ้นมาในทันทีที่หญิงสาวกล่าวจบ
“พี่คิดว่าพี่อาจจะตั้งสมมุติฐานมาได้ข้อหนึ่ง แต่ก่อนอื่นพี่ขอถามเรอินะว่า ขณะที่เรอินะได้พบผู้เฒ่าลึกลับผู้นั้น เรอินะมีปราณระดับสูงอยู่แล้วใช่หรือไม่”
“ตอนนั้นถึงเรอินะจะยังไม่ได้รับพลังจากผลึกราศี แต่ปราณแห่งสำนักอิโตริวที่เรอินะได้รับการถ่ายทอดมานั้น รับรองไม่เป็นรองผู้ทรงปราณระดับสูงเช่นผู้ทรงปราณแห่งบ้านคชสีห์แน่นอน แต่ต่อหน้าท่านผู้เฒ่านั้น เรอินะไม่สามารถผนึกปราณใดๆ ขึ้นได้เลย”
“พี่เคยบอกกับเรอินะแล้วว่า สาเหตุที่เป็นไปได้ก็คือผู้เฒ่าท่านนั้นสำเร็จปราณสุญญตา อันเป็นปราณสูงสุดที่ทำให้มนุษย์ก้าวพ้นขอบเขตธรรมชาติ ไปสู่อนันตภาวะ ที่แม้กระทั่งเหล่าเทพเจ้าก็ยังไม่สามารถเข้าสู่ภาวะนั้นได้ ดังนั้นผู้ทรงปราณสุญญตาจึงดำรงจิตอยู่ในมิติที่เกินการรับรู้ของเรา เท่าที่ผ่านมาพี่ได้รับคำบอกเล่าจากผู้ทรงปราณที่บรรลุถึงขั้นนี้ท่านหนึ่ง ว่าผู้บรรลุแล้วซึ่งปราณสุญญตานั้นจะสามารถกลับมาช่วยเหลือมนุษย์ได้อีก เพียงครั้งเดียว ต่อผู้ที่ผูกพันด้วยกรรมระหว่างกันเท่านั้น…ดังนั้นพี่จึงคิดว่า..”
“พี่เอหมายถึงท่านกองคำที่พี่เอบอกว่าท่านดำรงอยู่แต่เฉพาะในความทรงจำของพี่เอเท่านั้นใช่หรือไม่”
เรอินะส่งคำถามแทรกขึ้นมาทั้งที่ไกรวิทย์ยังไม่จบถ้อยคำ ทำให้เซี่ยวเล้งอดไม่ได้ที่จะต้องส่ายศีรษะอย่างระอาใจ แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ตำหนิอันใดต่อเทวนารีผู้น้อง เพราะรู้ดีว่านี่คืออุปนิสัยที่สืบเนื่องมากว่าหมื่นปีของเทวนารีแห่งราศี ธนู ที่จะถามทุกสิ่งที่สงสัยในทันที โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการขัดขวางการสนทนาอันใดทั้งสิ้น
“เรอินะคิดเดาถูกแล้ว ในครั้งนั้นพี่คือผู้ที่ใช้ปราณคชสีห์ย้อนกลับผสานปราณจักรวาลเจาะตาที่สาม ให้ท่านกองคำ จนท่านบรรลุถึงปราณสุญญตา กรรมระหว่างพี่กับท่าน ทำให้ท่านใช้พลังเหนือโลกดึงพี่กลับคืนผ่านเวลาสู่อดีตเพื่อย้อนกลับมาแก้ไข ความผิดพลาดทั้งปวง จนพี่สามารถพบกับเหล่าเทวนารีที่พี่รักในปัจจุบัน…”
“แต่พี่เอบอกว่าท่านกองคำเคยช่วยพี่เออีกครั้งในตอนที่พี่เอถูกปิดกั้นจิต โดยวิชาจิตราสูญของตุลยาเทวีมิใช่หรือ นั่นไม่ขัดแย้งกับที่พี่เอบอกหรือว่าผู้บรรลุปราณสุญญตานั้นจะช่วยเหลือ สัมพันธ์กับมนุษย์ที่มีกรรมต่อกันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
ไกรวิทย์เอื้อมมือไปลูบเรือนผมเรอินะที่ยังคงตั้งคำถามต่อเนื่องด้วยความเอ็นดูกับท่าทีสนใจใคร่รู้อันเป็นลักษณะประจำตัวของเด็กสาว
“ในครั้งที่พี่ถูกปิดกั้นจิตด้วยจิตรสูญนั้น จิตพี่หาได้อยู่ในมิตินี้ไม่ จิตราสูญส่งจิตพี่ออกไปพ้นกาลอวกาศ ทำให้ท่านกองคำสามารถติดต่อกับพี่ได้ แต่ท่านก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือพี่ด้วยข้อจำกัดแห่งธรรมชาติที่ท่านเคยช่วย พี่ไปแล้ว ผู้ที่ช่วยพี่คือแก้วคำ ที่พวกเรารู้จักกันดีในนามดารายัณ น้องสาวของมหาปุโรหิตปัณทร หญิงสาวผู้ยอมละทิ้งฐานะมหาเทวีแห่งปัญญาเพื่อความรัก…”
“พูดง่ายๆ ก็คือว่าที่มหาเทวีโดนพี่เอ..เอ๊ย มหาเทพวิรุณปักขะเย็ดเสียก่อนรับตำแหน่ง..”
เซี่ยวเล้งที่นิ่งฟังมาตลอดแทรกคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าแฝงอยู่ ทำให้เรอินะอดส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ไกรวิทย์รู้ดีว่าเซี่ยวเล้งต้องการตัดการซักถามของเรอินะเพื่อให้ไกร วิทย์สามารถถ่ายทอดข้อสันนิษฐานออกมาโดยไม่ถูกขัดจังหวะ ชายหนุ่มยิ้มให้เซี่ยวเล้งก่อนจะอธิบายต่อ
“เอาละ..เมื่อเราสามารถคาดเดาได้ว่าท่านผู้เฒ่าที่เรอินะได้พบน่าจะเป็นผู้ บรรลุปราณสุญญตา และการที่ท่านถ่ายทอดวิชาเปลี่ยนร่างให้เรอินะนั้นก็ด้วยความผูกพันแห่งกรรม ระหว่างท่านกับเรอินะ…เรอินะอย่าเพิ่งขัดพี่รู้ดีว่าเรอินะจะบอกว่าเรอินะ ไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในอดีตภพท่านอาจจะผูกพันกับเรอินะไม่ทางใดก็ทาง หนึ่ง จึงทำให้ท่านต้องช่วยเรอินะในครั้งนั้น…”
ไกรวิทย์อธิบายพร้อมขัดจังหวะการแทรกสอดของเรอินะอย่างนุ่มนวล ทำให้เทวนารีแห่งราศีธนูต้องหยุดจาจาที่จะซักถามลงกลางคัน
“ด้วยอำนาจแห่งผู้บรรลุปราณสุญญตา การปิดกั้นการรับรู้ถึงการคงอยู่ของวัตถุ หรือแม้กระทั่งเกาะทั้งเกาะนั้นไม่ได้เกินขอบเขตอำนาจของเหล่าผู้เหนือโลก เหล่านี้เลย…”
ความเงียบเข้าปกคลุมบุรุษสตรีทั้งสามครู่หนึ่ง เมื่อเซี่ยวเล้งและเรอินะต่างขบคิดข้อสันนิษฐานที่ไกรวิทย์บ่งชี้ออกมา
“เรอินะไม่สามารถหาข้อโต้แย้งพี่เอได้.. แต่หากนั่นเป็นจริงก็หมายความว่าบางทีการเดินทางมาของพวกเราครั้งนี้อาจจะ เสียเที่ยวเปล่า เพราะในเมื่อท่านผู้เฒ่าได้แก้ไขกรรมที่ตกค้างกับเรอินะแล้ว ท่านจึงไม่สามารถปรากฏตัวในโลกนี้ได้อีก ….”
น้ำเสียงท้อแท้ที่เรอินะส่งออกมา ทำให้เซี่ยวเล้งและไกรวิทย์ต้องครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่การเดินทางจะไม่ พบที่หมายที่ตั้งใจไว้ แต่เพียงครู่เดียวไกรวิทย์ส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง
“เรอินะ ถึงเราจะไม่พบเกาะก็จะเป็นไรไป. อย่างน้อยการที่ทุกคนได้ออกมาจากบ้านคชสีห์ มาสนุกสนาน มาพักผ่อน ได้อย่างเต็มที่ แล้วจะบอกว่าเราล้มเหลวได้อย่างไร…เรอินะอย่ากังวลไปเลย…พี่คิดว่า…”
“พี่เอ..เรอินะ..นั่นอะไร เห็นอย่างที่เซี่ยวเล้งเห็นไหม”
เสียงอุทานด้วยความแปลกใจของเซี่ยวเล้งทำให้ไกรวิทย์และเรอินะ ต้องหันไปมองตามมือเซี่ยวเล้งที่ชี้ไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า
ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง หมอกสีขาวลางเลือนกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่ตำแหน่งเส้นขอบฟ้าและเริ่มขยาย ตัวขึ้นตามความเร็วของเรือที่กำลังพุ่งเข้าหาด้วยความเร็วเต็มที่ ไม่นานนัก ภาพของเกาะขนาดเล็กที่ปกคลุมไปด้วยโขดหิน ไร้ต้นไม้ใดๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตาสามคู่ที่จับจ้องโดยไม่กระพริบ
“พิกัดที่เรอินะระบุมาถูกต้องสมบูรณ์ แต่ไม่ปรากฏในแผนที่เดินเรือจริงๆ ด้วย…”
เซี่ยวเล้งผละสายตาจากภาพเกาะที่เบื้องหน้ามายังแผนที่เดินเรือในมือ ก่อนหันกายไปคว้าชุดดำน้ำที่ตกอยู่กับพื้นเรือขึ้นมาสวมใส่ ทำให้ไกรวิทย์และเรอินะต่างพากันปฏิบัติตามโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำพูดใดออก มา ขณะที่เรือสปีดโบ๊ททุ่งหน้าตรงเข้าไปยังจุดหมายทุกขณะ และเมื่อเรืออยู่ห่างจากเกาะได้ประมาณ 1 กิโลเมตร ไกรวิทย์ก็เปลี่ยนการควบคุมจากระบบอัตโนมัติมาเป็นบังคับมือ พร้อมกับลดความเร็วเรือลงทีละน้อย จนในที่สุดเรือก็เคลื่อนตัวช้าๆ เข้าหาชายฝั่งที่เต็มไปด้วยโขดหิน ก่อนหยุดสนิทเมื่อท้องเรือไฟเบอร์ครูดกับพื้นกรวดที่ประกอบเป็นชายหาดเล็กๆ
ภาพเกาะร้างปรากฏเบื้องหน้าเมื่อบุรุษสตรีทั้งสามก้าวลงจากเรือมายืนที่ หาดกรวดที่แผ่ขยายเป็นเวิ้งอ่าวเล็กๆ ความยาวไม่เกิน 20 เมตร เบื้องหน้าเป็นโขดหินสูงที่ซ้อนตัวกันเป็นเนินหินขนาดย่อม ซึ่งเมื่อมองจากด้านล่างประมาณจุดสูงสุดของเกาะได้ไม่เกิน 100 เมตร เมื่อพิจารณาจากพื้นที่ด้วยตาแล้ว เกาะร้างที่ปราศจากตำแหน่งในแผนที่เดินเรือนี้ น่าจะมีพื้นที่ทั้งหมดไม่เกินสนามฟุตบอลมาตรฐาน สภาพโดยรอบปราศจากต้นไม้ใบหญ้าหรือร่องรอยของแหล่งน้ำใดๆ ลักษณะทางภูมิศาสตร์เช่นนี้ หากมีการระบุไว้ในแผนที่เดินเรือก็น่าจะมีการระบุเป็นเพียงกองหินโสโครกที่ เรือทุกชนิดพึงหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้เท่านั้น
“นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้เลย…..แต่เอ๊ะ…”
เทวนารีแห่งราศีมังกรรำพึงกับตนเองเบาๆ ก่อนอุทานออกมาด้วยความแปลกใจจนไกรวิทย์และเรอินะต้องหันมามอง และพบว่าหญิงสาวกำลังย่อตัวลงเก็บก้อนหินเล็กๆ ขนาดฝ่ามือจากหาดขึ้นมาพิจารณาอย่างตั้งใจ
“มีอะไรหรือพี่เซี่ยวเล้ง..”
“เรอินะดูหินก้อนนี้สิ เห็นอย่างที่พี่เห็นไหม…”
เซี่ยวเล้งยืนก้อนหินในมือไปให้เรอินะ เด็กสาวรับก้อนหินนั้นมาพิจารณาร่วมกับไกรวิทย์ครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตของเทวนารีราศีธนูพลันทอประกาย ก่อนก้มลงมองก้อนหินบนหาดกรวดที่พื้นแล้วหยิบก้อนหินอีกก้อนหนึ่งขึ้นมาส่ง ให้ไกรวิทย์..
“จริงด้วย พี่เซี่ยวเล้ง หินเหล่านี้ประหลาดมาก ตอนที่เรอินะมาที่นี่สมัยยังเด็ก เรอินะไม่เคยสังเกตเห็นเลย…”
ไกรวิทย์พิจารณาก้อนหินก้อนใหม่ที่เรอินะส่งให้อย่างตั้งใจ เมื่อพบว่ารูปร่างลักษณะก้อนหินในมือนั้นดูราวกับเป็นก้อนหินที่ถูกแกะสลัก เป็นปูทะเลขนาดย่อม ซึ่งแม้จะผ่านการซัดจากคลื่นจนเริ่มสึกกร่อนไปบ่าง แต่ลวดลายและฝีมือการสลักกลับละเอียดเด่นชัดจนดูราวกับเป็นปูทะเลที่มีชีวิต พร้อมที่จะว่ายน้ำหนีไปจากมือที่จับไว้ได้ทุกขณะ ส่วนก้อนหินในมือเรอินะที่ได้รับมาจากเซี่ยวเล้ง กลับมีรูปร่างคล้ายปลาเก๋าขนาดเล็ก คล้ายกับสลักขึ้นด้วยฝีมือปราณีตแม้กระทั่งเกล็ดและครับที่บอบบางก็ถูกสลัก รายละเอียดออกมาเห็นได้อย่างชัดเจนท่ามกลางแสงจันทร์คืน 15 ค่ำ
“เมื่อครู่นี้เซี่ยวเล้งเหยียบไปที่หาดกรวด ฝ่าเท้าสัมผัสหินแหลมเลยรีบถอนเท้าออก แต่กลับพบว่าสิ่งที่เซี่ยวเล้งเหยียบนั้นดูคล้ายครีบปลา และเมื่อลองหยิบขึ้นมาดูก็เจอก้อนหินสลักก้อนนี้…แล้วนี่ก็อีกก้อน”
ขณะที่เซี่ยวเล้งบ่งบอกถึงการพบหินสลักประหลาด หญิงสาวก็ก้มลงไปเก็บก้อนหินอีกก้อนหนึ่งขึ้นมาให้ไกรวิทย์ดู ชายหนุ่มหยิบหินก้อนใหม่จากมือเซี่ยวเล้งมาพิจารณาแล้วพบว่ามันเป็นหินสลัก รูปเป็นรูปนกนางนวลที่อยู่ในท่วงท่าโผบิน แต่รูปสลักมีปีกข้างหนึ่งที่มีร่องรอยแตกหักไป ดวงตาคมกริบของชายหนุ่มจับจ้องรูปสลักหินในมืออย่างพิจารณาก่อนส่งกลับไปให้ เซี่ยวเล้งที่ข้างกาย
“นี่ไม่ใช่รูปสลักแล้ว…การสลักหินนั้นต่อให้ช่างผู้สลักมีฝีมือถึงเพียงใด ก็คงไม่สลักลงรายละเอียดถึงกับสลักสิ่งที่นกขับถ่ายออกมาด้วยอย่างแน่ นอน….”
คำพูดของไกรวิทย์ให้หญิงสาวทั้งสองพากันพิจารณาส่วนทวารของรูปสลักในมือ แล้วอุทานออกมาพร้อมกันเมื่อพบว่าที่รูทวารนั้นมีแท่งหินขนาดเล็กเสียบอยู่ ด้วยรูปร่างที่บอกให้รู้ว่านั่นคือมูลของนกที่ขับถ่ายออกมาเพียงครึ่ง เดียว….
“จริงด้วย พี่เอ พี่เซี่ยวเล้ง ดูนี่สิ รูปสลักปลานี้ก็เหมือนกัน ในปากของมันยังมีกุ้งเล็กที่กินค้างอยู่ด้วยเลย…นี่มันคืออะไรกันแน่… หมายความว่าสัตว์พวกนี้ถูกทำให้เป็นหินใช่ไหม”
“รูปสลักปูในมือพี่ก็มีการสลักไข่ปูที่อยู่ในตะปิ้งของมันไว้ด้วย….นี่ไม่ ใช่ฝีมือการแกะสลักแล้ว ไม่มีช่างสลักคนไหนสามารถสลักได้แน่นอน…แต่หากเป็นอย่างที่เรอินะบอก… สัตว์พวกนี้ถูกทำให้เป็นหิน เท่าที่เซี่ยวเล้งรู้ไม่มีอำนาจใดทำให้สิ่งมีชีวิตกลายเป็นหินได้แบบนี้…”
ไกรวิทย์จับจ้องหินสลักในมือหญิงสาวทั้งสองด้วยแววตาสะท้อนความกังวล ก่อนส่งเสียงราบเรียบออกมา
“บางทีเซี่ยวเล้งและเรอินะอาจจะไม่รู้ แต่ในอดีตกาลนั้นมีอำนาจเหนือธรรมชาติที่สามารถเปลี่ยนสภาพให้สิ่งมีชีวิต เป็นหินได้ในพริบตาอยู่จริงๆ”
“ เป็นไปได้อย่างไรพี่เอ ไม่มีปราณใดในโลกสามารถทำได้เช่นนี้…”
คำพูดของไกรวิทย์ทำให้สองเทวนารีสะท้านเฮือก ดวงหน้าทั้งสองหันขวับมาจับจ้องไกรวิทย์ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่บ่งบอกออก มานั้นเป็นความจริง ทำให้ไกรวิทย์ต้องถอนใจยาว ก่อนเริ่มอธิบาย
“ในอดีตกาลก่อนการผสานจิตจักรวาลกับสรรพชีวิตในโลกก่อเกิดเป็นชีวิตกึ่งเทพ นั้น สรรพชีวิตมีการก่อเกิดและพัฒนาการนับล้านรูปแบบ แต่มีรูปแบบชีวิตหนึ่งที่พัฒนามาจากสัตว์น้ำมาอยู่บนบกด้วยการคืบคลานก่อ เกิดสายพันธ์แห่งงูอันเป็นสายพันธ์เอกเทศแตกต่างจากชีวิตทั้งหลายขึ้น สายพันธ์นี่พัฒนาต่อเนื่องมานับล้านปี รอดพ้นจากอุกาบาตใหญ่ที่ทำลายเผ่าพันธ์แทบทั้งหมด จนบางส่วนวิวัฒนาการปัญญาและพลังชีวิต ก่อเกิดเป็นเผ่าพันธุ์นาคที่เจริญด้วยจารีตอันสูงส่ง แต่นาคบางส่วนกลับไม่ยอมรับแนวทางพัฒนาจารีตนี้ และพยายามต่อต้าน จนในที่สุดก็เกิดสงครามระหว่างกันขึ้นมา หลังจากสงครามที่ยาวนานนาคกลุ่มต่อต้านจารีตก็พ่ายแพ้ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง ที่หลงเหลือก็ถูกขับไล่ไปอาศัยอยู่ในความมืดแห่งป่าและบึง ถูกเรียกว่านาคฝ่ายมืด เฝ้าสะสมความแค้นเอาไว้ในเผ่าพันธุ์รอคอยการแก้แค้น”
ตลอดเวลาที่ไกรวิทย์ถ่ายทอดตำนานโบราณออกมา สองเทวนารีเบิกตากว้างรับฟังอย่างตั้งใจกับเรื่องราวที่แม้กระทั่งเทวนารี แห่งมหาอาณาจักปราณยังไม่เคยได้รับรู้ แม้กระทั่งเรอินะที่ปกติจะต้องซักถามในจุดที่สงสัยทันทีก็ยังนิ่งงันไปกับ สิ่งที่ได้รับฟัง
“เวลาผ่านไปอีกนับร้อยปี เผ่าพันธุ์นาคที่ถูกขับไล่นี้พลันบังเกิดนาคตนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับจิตตา นุภาพแข็งกร้าว สามารถสะกดให้นาคอื่นๆ มาอยู่ในอำนาจ พลังจิตตานุภาพนี้ทวีความเข้มแข็งขึ้นเมื่อนาคตนนี้สืบพันธ์กันในสายเลือดมา นับสิบช่วงอายุ จนในที่สุดราชาแห่งนาคฝ่ายมืดก็กำเนิดขึ้นด้วยพลังจิตสูงสุด ดวงตาที่เคยมีสองดวงเปลี่ยนไปเหลือเพียงดวงเดียวแต่ทรงอำนาจที่จะหยุดการ เคลื่อนไหวของเซลสิ่งมีชีวิตให้ผนึกแข็งกลายเป็นหินเพียงเพ่งมองเท่า นั้น…..”
“พลังจิต…นั่นคือพลังจิตหาใช่ปราณไม่…นี่คือการหยุดการเคลื่อนไหวของเซลและแทนที่ด้วยสสาร”
เซี่ยวเล้งพึมพำเบาๆ กับตัวเอง ขณะที่เรอินะก็พยักหน้ารับให้รู้ว่าคนเองก็เห็นเช่นเดียวกันกับเทวนารีผู้พี่
“เมื่อราชาแห่งนาคฝ่ายมืดกำเนิด การแก้แค้นต่อนาคฝ่ายสว่างก็เกิดขึ้นตามมา ทัพของราชานาคฝ่ายมือบุกออกจากขอบเขตที่ถูกขับไล่ เข้าบดขยี้อีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี เพียงเมื่อราชานาคฝ่ายมืดกวาดตาออกไปร่างของขุนทัพแห่งนาคฝ่ายสว่างก็กลับ กลายเป็นรูปหินเกลื่อนสมรภูมิ การต่อสู้นี้ดูเหมือนกับกำลังจะจบลงอย่างแน่นอนด้วยชัยชนะของฝ่ายผู้เคยถูก ขับไล่ แต่แล้ว ธนูดอกหนึ่งที่แหวกอากาศออกมาจากมือของราชธิดาแห่งนาคฝ่ายสว่างก็ปักตรึง ทำลายดวงตาของราชานาคฝ่ายมืดไป พลังจิตที่ครอบคลุมกองทัพนาคฝ่ายมืดสูญสิ้น ร่างหินของกองทัพนาคฝ่ายสว่างก็กลับคืนสู่ชีวิต โจมตีทัพของนาคฝ่ายมืดแตกพ่ายไป นับแต่นั้นนาคฝ่ายมืดก็ปราศจากผู้นำและเสื่อมวิวัฒนาการลงไปทุกชั่วอายุ จนในที่สุดก็หลงเหลือเพียงสัตว์เลื้อยคลานที่เรารู้จักกันว่างูในปัจจุบัน นี้เอง”
ขณะที่ไกรวิทย์บอกเล่าตำนานแห่งอดีตกาลด้วยความรู้ที่สะสมมานับหมื่นปีของ เทพวิรุณปักขะ ทั้งเรอินะและเซี่ยวเล้งต่างสงบใจฟังจนกระทั่งคำบอกเล่าหยุดลง
“เซี่ยวเล้งรับรู้ตำนานเรื่องนี้จากพี่เอ แต่เซี่ยวเล้งยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดในเมื่อราชานาคถูกทำลายไปในอดีตกาลก่อน การเกิดของมหาอาณาจักรปราณ เหตุใดสัตว์ที่กลับกลายเป็นหินเหล่านี้จึงมาอยู่ในที่นี้ได้”
“นั่นสิพี่เอ…ลักษณะของหินเหล่านี้ไม่ได้มีอายุเป็นหมื่นปี จะบอกว่าเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากยุคนั้นก็คงไม่ได้”
ไกรวิทย์ส่ายศีรษะไปมา คิ้วชายหนุ่มขมวดมุ่นบอกถึงความกังวลใจขณะตอบคำถามของสองเทวนารี
“ตำนานนี้พี่เองก็ได้รับรู้มาจากจานีสไม่นานมานี้เอง น่าเสียดายที่จานีสไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย มิฉะนั้นบางทีเราอาจรับรู้ถึงสาเหตุที่ปรากฏวัตถุเหล่านี้มากขึ้นก็ได้…”
“เป็นนิทานที่น่าฟังยิ่ง และบอกให้รู้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่อน…”
เสียงก้องกังวานเป็นภาษาญี่ปุ่นที่แปร่งเล็กน้อย ดังขึ้นมาจากทางทะเลที่อยู่ด้านหลังทำให้บุรุษสตรีทั้งสามสะท้านขึ้น ซึ่งแม้จะไม่ใช่ภาษาจีนอันเป็นภาษากำเนิด แต่จิตที่ผ่านภพภูมิกว่าหมื่นปีทำให้ไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีทุกนางต่าง รู้จักภาษาในโลกและสามารถใช้สนทนาได้อย่างชำนาญ บุรุษสตรีทั้งสามหันขวับไปทางที่มาของเสียงซึ่งอยู่บนผืนน้ำ ภาพที่ปรากฏทำให้เซี่ยวเล้งและเรอินะรีบขยับกายมาเคียงข้างไกรวิทย์เพื่อปก ป้องด้วยความเคยชินในฐานะเทวนารีแห่งจักราศี
บนผิวทะเลที่ราบเรียบปราศจากคลื่นลม ปรากฏร่างของบุรุษเพศครึ่งตัวทรงกายอยู่กลางน้ำ ดวงตาจับจ้องมายังไกรวิทย์ที่บนชายหาดกรวดเขม็ง พริบตานั้นด้านหลังชายแปลกหน้าพลันปรากฏฟองพรายน้ำเป็นวงผุดขึ้นมาพร้อมกับ ร่างของชายฉกรรจ์จำนวนกว่าร้อยร่างผุดตามขึ้นมาเรียงรายอยู่เบื้องหลัง แสงจันทร์คืน 15 ค่ำที่กระจ่างราวกลางวันทำให้เห็นว่าร่างกายท่อนบนของทุกคนเปลือยเปล่า ปราศจากเสื้อผ้า ผิวหนังที่ราบเรียบสะท้อนแสงนั้นเมื่อพิจารณาอย่างละเอียดจะพบเห็นลายสีคราม เข้มจางๆ เป็นรูปคล้ายเกล็ดปลาปรากฏอยู่ทั่วร่าง
ยกเว้นแต่เพียงชายที่ อยู่ตำแหน่งหน้าสุด ที่ลายนั้นเป็นสีทองจางๆ สอดคล้องกับสังวาลย์ประดับคอที่สลักด้วยฝีมือปราณีต เป็นรูปฝูงมัจฉาว่ายเวียนรอบไข่มุกที่ประดับอยู่กลางสังวาลย์นั้น
“ที่แท้เป็นขุนพลสมุทรอาคเนย์ หนึ่งในสี่ของขุนพลสมุทรของสุรีย์มัจฉา นับว่าลำบากต่อท่านขุนพลแล้วที่ทำให้ท่านต้องติดตามมาถึงที่นี่”
เซี่ยวเล้งส่งเสียงราบเรียบด้วยภาษาญี่ปุ่นชัดเจน ไปยังบุรุษลึกลับเบื้องหน้า ด้วยถ้อยคำของผู้ทรงปราณแห่งจักราศี ทำให้ดวงตาของขุนพลสมุทรทอประกายวูบราวดวงดาว ร่างที่อยู่ในผืนน้ำครึ่งตัวพลันดีดพุ่งขึ้น เผยให้เห็นท่อนล่างที่เป็นหางของหลาขนาดใหญ่ ครีบสีน้ำเงินเข้มโบกพัดด้วยพลังปราณจนเกิดกระแสลมหวีดหวิว แต่ก่อนที่ร่างกึ่งมนุษย์กึ่งปลานั้นจะตกกลับลงไปในทะเล ท่อนหางของปลาก็แยกออกเป็นสองส่วน เท้าของมนุษย์ที่นิ้วเท้าเชื่อมกันด้วยพังผืดปรากฏขึ้นแทนที่ครีบหาง ขณะร่างนั้นทิ้งตัวลงกับพื้นหาดกรวดห่างจากเซี่ยวเล้งห้าช่วงตัว ก่อนส่งเสียงตวาดกราดเกรี้ยว เมื่อพบว่าเหล่าบุรุษสตรีทั้งสามไม่ท่าทีแตกตื่นตกใจกับการเปลี่ยนท่อนหาง ของปลามาเป็นขาของมนุษย์แม้แต่น้อย
“ เหล่ามนุษย์เจ้าเป็นใครกัน…เหตุใดจึงรู้จักเราผู้เป็นขุนพลแห่งสมุทรอาคเนย์…”
“พวกเราเป็นผู้ใดหาสำคัญไม่ แต่ท่านขุนพลผู้มีชื่อเสียงสะท้านคาบสมุทรตะวันออกต่างหากที่ควรอธิบายว่า เหตุใดจึงฝ่าฝืนที่ห้ามเผ่าพันธุ์มัจฉาปรากฏตัวต่อมนุษย์หากไม่ได้รับคำสั่ง จากเทวนารีแห่งราศีมีน…”
เรอินะถลันร่างไปด้านหน้าพร้อมกับถ่ายทอดคำพูดกลับไปด้วยกฎของเทวนารีแห่ง ราศีมีนที่ปราศจากผู้ฝ่าฝืนมานับพันปี แต่เมื่อขุนพลสมุทรได้ยินกลับส่งเสียงหัวเราะที่แฝงด้วยปราณออกมาดังสนั่น พร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณให้เหล่ามนุษย์มัจฉากว่าร้อยร่างด้านหลังดีดพุ่ง กายขึ้นบนชายหาดเรียงรายเป็นแถวอยู่ด้านหลัง
“เทวนารีแห่งราศีมีนอันใด พวกเจ้าแม้จะเป็นมนุษย์ที่ล่วงรู้เรื่องของจักราศี แต่พวกเจ้าหารู้ไม่ว่าปัจจุบันกฏข้อห้ามเข้มงวดที่น่าเบื่อหน่ายของสุรีย์ มัจฉานั้นถูกยกเลิกไปแล้ว บัดนี้พวกเราเผ่าพันธ์มัจฉาสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจปราถนา แม้จะสังหารมนุษย์ไปเพื่อความบันเทิงก็หาได้มีความผิดใดไม่…”
“นั่นเป็นไปไม่ได้…เทวนารีแห่งราศีมีนอยู่ที่ใด”
“เจ้ากล่าวเหลวไหล สุรีย์มัจฉาแม้จะดุร้ายด้วยเชื้อพันธ์แห่งมัจฉา แต่จิตใจนางมั่นในคุณธรรมเยี่ยงชีวิต นางไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้”
สองเทวนารีผู้ยังคงซ่อนพรางปราณเหนือโลกเอาไว้ ส่งเสียงตงวาดออกพร้อมกันด้วยความโกรธ เมื่อพบว่าบริวารแห่งเทวนารีผู้เคยร่วมเป็นหนึ่งในจักรราศีถูกดูหมิ่น จากบริวารของตนเอง
“เฮอะ…สุรีย์มัจฉา…นางถูกมหาเทวีสุรัสวดีคุมตัวไว้พร้อมกับเหล่าเทวนารี ที่น่าเบื่อหน่ายพวกนั้น บัดนี้มหาเทวีได้แต่งตั้งเทวีสงครามทั้ง 5 เป็นนายเหนือของพวกเรา พวกนางประกาศยกเลิกกฏไร้สาระที่บังคับให้พวกเราซ่อนตัว เผ่าพันธ์มัจฉานับร้อยล้านพร้อมที่จะร่วมทัพแห่งเทพทำลายล้างมนุษย์ที่สร้าง ความโสโครกกับห้วงสมุทรแล้ว เพียงแต่รอสัญญาณเคลื่อนทัพเท่านั้น”
ขุนพลเทพสมุทรตวาดก้องด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวและความภาคภูมิใจไว้ แต่สิ่งที่ทำให้ไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง และเรอินะต้องสะท้านไปทั้งร่างนั้นไม่ใช่เสียงที่กราดเกรี้ยวสะท้านหู แต่กลับเป็นเนื้อหาที่ระบุออกมาว่าเหล่าเทวนารีที่เคยเป็นเสาหลักแห่ง จักรราศีถูกถอดถอนอำนาจไปควบคุมตัวไว้ โดยมีเหล่าขุนพลเทพทั้ง 60 มาแทนที่ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงกฏแห่งคุณธรรมอันเข้มงวดของเหล่าเทวนารีให้กลับเป็น อนารยะยุคแทนที่
“ขุนพลเทพทั้ง 60 เลื่อนฐานะเทวีสงคราม ในที่สุดพวกนางก็สำเร็จการบำเพ็ญพลังแล้ว ทั้ง 60 แยกออกเป็น 12 กลุ่มแยกย้ายกันควบคุมบริวารแห่งจักรราศีเดิมจนหมดสิ้น…นี่หมายความว่าเทพ สุรัสวดีตั้งใจจะทำลายมนุษย์แล้ว….เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
เรอินะส่งเสียงสั่นสะท้านออกมาด้วยความแตกตื่น สองมือน้อยกำแน่นด้วยความแค้นเคืองกับชะตากรรมของเหล่าเทวนารีที่เคยร่วม อยู่ในจักราศี พร้อมกับความแตกตื่นตกใจที่รับรู้ว่าหลักการแห่งเทวะที่อดีตนารีธนูแห่งจัก ราศียึดมั่นนั้นได้ถูกแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกทั้งสองที่ผสานกันทำให้ปราณที่ถูกสะกดไว้เริ่มแผ่ซ่านออกมาจนไกร วิทย์ต้องรีบกุมมือเด็กสาวไว้แน่น ทำให้เทวนารีแห่งราศีธนูผู้กำลังจะระเบิดปราณออกจากร่างรู้สึกตัวและรีบควบ คุมตนเองไว้ได้ทันก่อนที่ขุนพลสมุทรจะสัมผัสกระแสพลัง
“ท่านขุนพลสมุทรผู้ปกป้องน่าน้ำแห่งแปซิฟิคนี้ จะสามารถให้ความกระจ่างแก่เราได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงติดตามพวกเรามาถึง ที่นี้ได้….”
ไกรวิทย์ส่งคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ กับกองกำลังแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาเบื้องหน้า แต่กระแสเสียงสั่นเล็กน้อยในตอนท้ายประโยค ทำให้เซี่ยวเล้งที่ยืนอยู่ด้านข้างอดยิ้มมี่มุมปากเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อทราบว่าไกรวิทย์แสร้งแฝงเสียงสั่นนั้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด ซึ่งการคาดเดาของเทวนารีผู้เป็นเลิศในด้านยุทธศาสตร์นั้นก็ไม่ได้ผิดพลาดแม้ แต่น้อย เมื่อขุนพลสมุทรเบื้องหน้าระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างลำพอง
“เด็กน้อยเจ้าแม้จะพยายามทำทีเป็นไม่หวาดเกรง แต่เรารู้ดีว่าเจ้ากำลังหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่ก่อนที่เจ้าจะจบชีวิตเป็นคนแรก เราขอบอกว่าการปลอมแปลงสถานะเดินทางของพวกเจ้านั้นยอดเยี่ยมยิ่ง เราหาได้ล่วงรู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนในสังกัดจักรราศีไม่ แต่หากเราติดตามพวกเจ้ามาเพราะได้พบเห็นภาพพวกเจ้าเย็ดกันในเรือพาหนะของพวก เจ้า เพียงได้เห็นร่างเปลือยที่งามราวเทพธิดาของสตรีทั้งสองข้างกายเจ้า เราก็ตั้งใจในทันทีว่าพวกนางจะต้องมาเป็นนางบำเรอมนุษย์ชุดแรกที่เราจะเริ่ม ใช้บำเรอกามหาความแปลกใหม่หลังจากที่ต้องทนถูกควบคุมด้วยกฏอันคร่ำครึของจัก ราศีมานับพันปี…”
คำตอบของที่แม่ทัพแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาต่อคำถามไกรวิทย์ ทำให้ใบหน้าเซี่ยวเล้งและเรอินะ แดงฉานเมื่อรับรู้ว่าการที่ตนเองปิดกั้นปราณในร่างทำให้ไม่สามารถรับรู้ถึง การเคลื่อนไหวของศัตรูที่รอบด้าน จนภาพการร่วมรักบนเรือสปีดโบ๊ทที่ผ่านมาปรากฏแก่สายตาฝ่ายตรงข้าม และกระตุ้นอำนาจราคะจนติดตามมาเพื่อหวังระบายความใคร่กับเรือนร่างงดงามของ เทวนารีทั้งสอง แต่ความอายของหญิงทั้งสองพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธในทันทีที่พบว่าท่อนล่าง ของขุนพลสมุทรที่ปกคลุมด้วยข่ายลายเกล็ดปลาสีเงินยวงนั้นได้แหวกออก ปล่อยให้อวัยวะเพศสีดำสนิทแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาที่ยาวกว่า 1 ฟุตผงาดชูชันออกมาเบื้องหน้า ส่วนหัวที่เป็นเงี่ยงสองแฉกราวกับหัวธนูผงกตัว ปล่อยน้ำเมือกสีเขียวคาวจัดออกมาเป็นสาย เช่นเดียวกับเหล่าทัพสมุทรที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ต่างพากันปลดปล่อยอวัยวะของตนเองออกจากเกล็ดที่ปกคลุมร่าง จนกลิ่นคาวอบอวลไปทั่วบริเวณ
“ท่านขุนพลสมุทรผู้เกรียงไกร…เร่งฆ่ามนุษย์ผู้ชาย นำสตรีมนุษย์ทั้งสองมาบำเรอเผ่าพันธุ์มัจฉาด้วยเถอะ…”
หนึ่งในกองกำลังเผ่าพันธุ์มัจฉาที่อยู่ด้านหลังเปล่งวาจาออกมาอย่างหื่น กระหาย ตามมาด้วยเสียงหัวเราะหยาบช้าของกองกำลัง เร่งให้กำจัดมนุษย์เพศชายเบื้อหน้าเพื่อระบายความใคร่โดยเร็วที่สุด ขุนพลเทพหัวเราะดังกังวานก่อนตอบเหล่าบริวาร
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป เราจะเย็ดสองนางมนุษย์นี่ก่อน หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้มีโอกาสรับรู้รสชาติสุดยอดของหีมนุษย์หญิง ที่พวกเจ้ารอคอยมาเนิ่นนานทุกคน…ยิ่งเป็นหญิงวัยแรกรุ่นอย่างสองนางนี้ เรารับรองว่าเงี่ยงควยของเจ้าจะถูกบีดรัดอัดแน่นอย่างที่พวกเจ้าจะไม่เคยได้ รับจากนางมัจฉาในอาณาจักรของเรามาก่อน…”
“ท่านแม่ทัพเหตุใดจึงทราบรสชาติของนางมนุษย์ดีเช่นนี้….”
“เฮอะ…ในทันทีที่นางเทวนารีคร่ำครึนั้นถูกกำจัดไป เราก็บุกขึ้นเรือท่องเที่ยวของมนุษย์ เย็ดพวกนางจนหีฉีกขาดใจตายคาเงี่ยงควยเรามานับสิบคนแล้ว….แต่นางมนุษย์พวก นั้นหาได้มีความงามทัดเทียมสองนางเบื้องหน้าเรานี้ไม่…เราจึงตั้งใจว่า หลังจากนี้เราจะเก็บนางไว้บำเรอกามจนกว่าจะเบื่อหน่าย ดังนั้นแม้พวกเจ้าจะมีโอกาสได้เย็ดนางทั้งสองหลังจานี้ แต่ห้ามมิให้เย็ดพวกนางจนขาดใจตาย จงรักษาชีวิตและหีงามๆ ของพวกนางไว้เย็ดกันนานๆ นี่เป็นคำสั่งเข้าใจหรือไม่…”
เสียงหัวเราะที่ดังเซ็งแซ่ในกลุ่มของขุนพลสมุทร บอกให้รู้ว่าทั้งหมดมั่นใจในพลัง
อำนาจ ของตนเองที่สามารถจัดการทุกสิ่งได้ตามอำเภอใจโดยไม่สนใจว่าบุรุษสตรีมนุษย์ ทั้งสามจะมีการต่อต้านหรือไม่ ถ้อยคำที่หื่นกระหายบอกถึงความต้องการวิปริตที่ถูกปิดกั้นมานานจนพรั่งพรู ออกมาเป็นคำพูดหยาบช้า ซึ่งแม้กระทั่งเซี่ยวเล้งผู้สามารถสะกดอารมณ์ของตนเองได้เสมอมายังอดที่จะ บังเกิดความโกรธขึ้นมาไม่ได้ กระแสปราณบางเบาเริ่มกระจายออกมาจากขุมขนเทวนารีแห่งราศีมังกรตามอารมณ์ที่ เกิดขึ้นทั้งที่พยายามระงับเอาไว้อย่างเต็มที แต่สำหรับเรอินะผู้มีอารมณ์ร้อนเป็นวิสัยอยู่แล้ว คำพูดหยาบช้าของเหล่าทัพแห่งเผ่าพันธ์มัจฉาทำให้ปราณในร่างหญิงสาวบางส่วน หลุดพ้นการการปิดกั้นเริ่มโคจรไปในร่าง ทำให้เสียงหัวเราะของขุนพลสมุทรชะงักลงในทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสปราณ ที่หลุดพ้นจากการควบคุมออกมา
ร่างสูงใหญ่หันขวับมาจ้องเรอินะเขม็ง หมอกน้ำกระจายตัวออกปกคลุมร่างจากการเร่งเร้าปราณในร่าง พร้อมกับส่งเสียงตวาดออกมา
“เด็กหญิงเจ้า…ที่แท้เจ้าซ่อนปราณของตนเองเอาไว้….การซ่อนปราณให้ ปราศจากร่อยรอยอย่างสมบูรณ์เช่นนี้หาใช่ความสามารถของผู้ทรงปราณธรรมดา ไม่…พวกเจ้าเป็นใครกันแน่..เอ๊ะ..”
เสียงตวาดของขุนพลสมุทรชะงักลงทันทีเมื่อปราณในร่างได้สัมผัสกับปราณอีกสอง ขุมแผ่ซ่านออกมาจากร่างชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้างเรอินะ ขณะที่ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าสงบตลอดมานั้นส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนส่งเสียงอย่างอ่อนโยนกับหญิงสาวทั้งสองข้างกาย
“แล้วกันไปเถอะ…ในเมื่อเทพสุรัสวดีถึงกับล้างจักราศีประกาศสงครามกับ มนุษย์เช่นนี้ เราเองก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนพรางปราณอีกต่อไป ทุกสิ่งที่จะเกิดก็จำเป็นต้องเกิดหาหลีกเลี่ยงชะตากรรมได้ไม่ เซี่ยวเล้งและเรอินะจงตัดสินชีวิตเบื้องหน้าเหล่านี้ด้วยตนเองเถอะ…”
สิ้นคำพูดของไกรวิทย์ ดวงตาเซี่ยวเล้ง และเรอินะพลันสาดประกายเจิดจ้าพร้อมกับมวลปราณในร่างที่ปิดกั้นไว้ถูกปลด ปล่อยออกมาทั้งหมด ประกายแสงเรืองรองสีขาวสะอาดและสีส้มเจิดจ้ากระจายออกจากร่างสองเทวนารี ทำให้ขุนพลสมุทรผู้ที่เผชิญหน้ากับสองเทวนารีโดยตรงต้องถอยกายไปก้าวใหญ่ อย่างลืมตัว เมื่อสัมผัสได้ว่ามวลปราณที่กระจายออกมาจากมนุษย์สตรีทั้งสองนั้นมีอำนาจ เทียบเทียมได้กับสุรีย์มัจฉา เทวนารีราศีมีนผู้เคยปกครองเผ่าพันธุ์มัจฉามาก่อน แต่กระแสปราณแผ่ออกมาจากร่างหญิงสาวมนุษย์ทั้งสองนั้นกลับเทียบเทียมไม่ได้ กับปราณลึกลับจากร่างชายหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง เพราะแม้จะไม่มีกระแสปราณออกมาให้สัมผัสแม้แต่น้อย แต่ความรู้สึกของขุนพลสมุทรกลับรู้สึกราวกับถูกดูดลงไปในหลุมลึกไร้ที่สิ้น สุด มวลปราณในร่างถูกอำนาจลึกลับนั้นกดดันจนไม่สามารถโคจรได้ตามปกติ…
“นี่…นี่คือปราณใดกัน…เหตุใด…”
ขาที่กลายมาจากหางมัจฉาทั้งสองข้างพาร่างขุนพลสมุทรถอยหลังมารวมกับกลุ่ม บริวารอย่างลืมตัว ทำให้เหล่าทัพเผ่าพันธ์มัจฉาต่างมองตากันด้วยความงุนงงที่เห็นภาพผู้นำที่ เคยแสดงอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสามกลับถอยกรูดราวกับเผชิญหน้าศัตรูที่น่ากลัว ที่สุดในชีวิต ขณะที่ร่างเพียวบางของเรอินะกลับก้าวออกมาจากข้างกายไกรวิทย์ ก่อนส่งเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกกับขุนพบแผ่งเผ่าพันธุ์มัจฉาเบื้องหน้า
“ในเมื่อเจ้าผู้โอหังดูหมิ่นเทวนารีเช่นนี้ เราจะขอเป็นผู้ลงโทษเจ้าด้วยตนเอง ด้วยกฎของเทพเจ้าแห่งจักราศีที่พวกเจ้าประณามหยามเหยียด…ขุนพลสมุทร จงตอบเรามา สังหารมนุษย์ผู้ปราศจากปราณ มีโทษสถานใด..”
ร่างขุนพลสมุทรสะท้านเฮือกกับถ้อยคำที่เรอินะเปล่งออกมา ริมฝีปากสีครามส่งเสียงตอบอย่างลืมตัว…
“สังหารสิ้นทั้งจิตและสังขาร…เฮอะ..เจ้าเป็นใครบังอาจอ้างถึงกฏเทพเจ้ากับเรา”
เสียงที่สั่นสะท้านของขุนพลสมุทรพลันเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยว เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองกำลังแสดงกริยาหวาดกลัวต่อศัตรูต่อหน้าทัพเผ่า พันธุ์มัจฉาใต้บังคับบัญชา มวลปราณในร่างถูกเร่งเร้าให้โคจรเต็มกำลังจนเกิดละอองหมอกน้ำกระจายไปรอบตัว ขณะที่ร่างนั้นก้าวออกมาเผชิญหน้ากับเรอินะ
‘พี่เอ..พี่เซี่ยวเล้ง…ไม่จำเป็นต้องผนึกปราณอันใด..เรอินะจะลงโทษเผ่าพันธุ์หยาบช้านี้ด้วยตัวเอง…’
เทวนารีแห่งราศีธนูผู้ยังอยู่ในชุดยางดำน้ำที่รัดรึงไปทุกสัดส่วน ส่งจิตมายังไกรวิทย์และเรอินะที่ด้านหลัง ทำให้ไกรวิทย์และเซี่ยวเล้งถอนใจยาวก่อนผ่อนปราณในร่างลงพร้อมกับส่งจิต เตือน
‘เรอินะ…จงทำตามแต่เห็นควร แต่พึงระลึกไว้ว่าพึงอภัยต่อผู้ที่สำนึกผิด…’
‘พี่เอ..เรอินะทราบดี แต่สำหรับขุนพลสมุทรผู้หยาบช้าทำลายชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์ปราศจากความ ละอายใจผู้นี้ เรอินะไม่สามารถอภัยให้มันได้..’
กระแสปราณจากไกรวิทย์และเซี่ยวเล้งที่ลดการกดดันลง กลับทำให้ขุนพลสมุทรที่ไร้สามารถรับรู้การสื่อสารทางจิต กลับเพิ่มความฮึกเหิมขึ้น ร่างสูงใหญ่หมุนคว้างเป็นวงก่อเกิดพลังปราณรุนแรงกดดันเข้าหาเรอินะ หมอกน้ำที่ปกคลุมรอบกายพลันเปลี่ยนเป็นฝนน้ำแหลมคมนับไม่ถ้วนบรรจุปราณไว้ เปี่ยมล้น พุ่งเข้าหาเรอินะด้วยพลังที่สามรรถเจาะทะลวงหินผาให้เป็นรูพรุนอย่างง่ายดาย
“วิชาฝนวารี อันต่ำต้อย…เฮอะ…”
เรอินะส่งเสียงเย้ยหยันกับมวลเข็มน้ำแหลมคมที่สาดพุ่งเข้าหา ประกายแสงสีส้มเรืองรองขึ้นที่มือขวาหญิงสาวขณะสะบัดวูบออกกลายเป็นพลังแหลม คมนับหมื่นสายพุ่งเข้าใส่เข็มวารีทุกเล่มโดยไม่ผิดพลาด…
……ฟึ่บ……….
ปลายที่แหลมคมมวลแสงเรืองรองจากมือเรอินะพุ่งแหวกเข็มวารีแตกกระจายออกเป็น ละอองน้ำ แล้วรวมตัวเป็นสายเดียวพุ่งใส่หน้าอกขุนพลสมุทรด้วยความเร็วราวประกายไฟ
“….ธนูสลายปราณ…..”
ขุนพลสมุมรแผดร้องออกมาด้วยความแตกตื่นสุดขีด ร่างสูงใหญ่พลันถีบตัวออกจากการเผชิญหน้าสาดพุ่งลงไปในทะเล ขณะที่ธนูสลายกายที่รวมตัวเป็นเส้นสายเดียวพุ่งเฉียดเท้าไปทะลวงหน้าผากทัพ เผ่าพันธ์มัจฉาที่ยืนอยู่เบื้องหลังสามคน จนปลิวไปตามกระแสพลังกระแทกเข้ากับโขดหินเบื้องหลังเสียงดังสนั่น…
“…ทะ ทะ ท่านคือนารีธนู…เทวนารีแห่งราศีธนูผู้ครองธนูพิฆาตฟ้า….”
ความมั่นใจที่ขุนพลสมุทรพยายามปลุกปลอบให้เกิดขึ้นต่อหน้าบริวาร พังทลายลงทันทีเมื่อพบว่าปราณที่ฉีกทำลายวิชาฝนวารีที่ตนเองเคยทะนงตนว่า เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ ถูกอำนาจปราณเหนือโลกสลายไปในพริบตา และเมื่อเห็นร่างของบริวารที่ถูกสายปราณรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวทะลวงผ่านร่าง สามร่างปลิวตรึงแน่นกับโขดหินริมชายหาดกรวด ความทรงจำที่เคยเรียนรู้รับรู้ถึงวิชาปราณทั้งมวลในโลก บอกให้หนึ่งในสี่ขุนพลสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉารู้ทันทีว่านี่คือหนึ่งใน วิชาปราณที่ไร้ผู้ต่อต้านของเทวนารีแห่งจักราศีนาม ธนูสลายปราณ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของวิชาไตรธนูของเทวนารีราศีธนู ผู้เป็นที่ร่ำลือกันว่าเป็นเทวนารีที่เคลื่อนไหวโดดเดี่ยวปราศจากบริวารและ ลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎแห่งเทพเจ้าโดยปราศจากความปราณี
ร่างเพรียวบางของเรอินะลอยตัวขึ้นเคลื่อนไปในอากาศราวกับเป็นถนนที่ราบเรียบ จนมาอยู่เหนือร่างขุนพลสมุทรผู้ปักหลักอยู่ในทะเล ส่วนล่างที่เคยเปลี่ยนรูปเป็นท่อนขากลับคืนสู่สภาพหางปลาตามสภาพกำเนิดใน ทันทีที่สัมผัสผืนน้ำ ดวงตาที่สาดประกายเจิดจ้าของเรอินะจับจ้องศัตรูผู้หวาดหวั่นสุดขีดเบื้อง ล่างอย่างเย็นชา
“สมแล้วที่เป็นหนึ่งในขุนพลสมุทร เพียงสัมผัสปราณของเราก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นธนูสลายปราณ จนสามารถหลบรอดไปได้ แต่แม้ท่านจะลงไปสู่ทะเลอันเป็นถิ่นกำเนิด ก่อเกิดปราณที่สมบูรณ์เต็มที่ แต่เราขอรับรองว่าท่านจะไม่มีวันรอดพ้นธนูสลายกายที่จะสลายทุกอณุของร่าง ท่านให้กลายเป็นผงธุลีได้…”
ดวงตาเหลือกโปนของขุนพลสมุทรสอดส่ายไปเพื่อหาหนทางหนีรอดตลอดเวลาที่เรอินะ ส่งเสียง มือที่มีพังผืดระหว่างนิ้วทั้งกดปุ่มบนสลักที่สังวาลย์ประดับลำคอ ปล่อยให้ลูกกลมไข่มุกสีนวลใยที่กึ่งกลางออกมาอยู่ในฝ่ามือ แล้วตะปบเข่าปากทันที ก่อนส่งเสียงคำรามลั่น
“เทวนารีโสโครก…บริวารข้า กินมุกเสี่ยงชีวิต ตั้งพยุหหะจัดการกับนางเดี๋ยวนี้….”
ทันที่ที่คำสั่งของขุนพลสมุทรเสร็จสิ้น ทัพเผ่าพันธุ์มัจฉากว่าร้อยตนขานรับเป็นเสียงเดียว พร้อมกลืนกินมุกที่ตรึงกับเครื่องประดับลำคอแต่ละคนลงไปในทันที พริบตานั้น เรอินะสัมผัสได้ถึงพลังปราณมหาศาลที่กระจายออกมาจากร่างขุนพลสมุทรเบื้อง ล่าง พร้อมกับหมอกน้ำสีแดงราวโลหิตกระจายออกส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง เช่นเดียวกับบนชายหาดที่เหล่าทัพเผ่าพันธ์มัจฉากว่าร้อยร่างที่พากันกลืนกิน มุกประดับลงไป ต่างระเบิดพลังปราณออกจากร่างจนก่อเกิดเป็นขุมพลังมหาศาล
‘เรอินะระวังไว้ มุกเสี่ยงชีวิตของเผ่าพันธุ์มัจฉา กระตุ้นปราณในร่างทั้งหมดขึ้นในคราวเดียว ทำให้ปราณเพิ่มพูนอำนาจขึ้นกว่า 10 เท่าตัว แต่ใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้นในชีวิต แสดงว่าพวกมันตั้งใจจะสละปราณชั่วชีวิตเพื่อเอาชีวิตรอด….’
จิตไกรวิทย์ส่งออกไปเตือนเริอินะอย่างเร่งร้อน พร้อมกับผนึกกาฬปราณขึ้นเพื่อเตรียมช่วยเหลือ แต่มือเนียนนุ่มของเซี่ยวเล้งที่ด้านข้างพลิกมากุมมือชายหนุ่มเอาไว้ก่อนส่ง จิตออกมา
‘นายท่านไม่ต้องช่วยลูกศรน้อยหรอก นางเผชิญศัตรูร้อยพันหมื่นด้วยตนเองมาตลอด เพียงแต่ครั้งนี้มังกรน้อยอดคันไม้คันมือไม่ได้ เมื่อพบพลังปราณที่แกร่งกร้าวถึงเพียงนี้จากทัพเผ่าพันธุ์มัจฉา ว่าแต่….ไม่ทราบว่าลูกศรน้อยจะอนุญาตให้พี่จัดการพวกนี้แทนได้หรือไม่…’
จิตเซี่ยวเล้งที่ส่งออกในสถานะเทวนารีเปลี่ยนจากการสนทนากับไกรวิทย์ไปเป็น การสอบถามเทวนารีแห่งราศีธนูที่กำลังขจับตาการเร่งเร้าพลังของขุนพลสมุทร เบื้องล่าง
‘ในเมื่อพี่มังกรน้อยมีอารมณ์สนุกสนาน หากลูกศรน้อยจะไม่แบ่งปันความสนุกให้พี่บ้างก็คงจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป…’
จิตเรอินะส่งออกไปขณะทัพเผ่าพันธุ์มัจฉากว่าร้อยร่าง ที่กำลังส่งเสียงโห่ร้องอย่างคลุ้มคลั่งกับพลังที่ปะทุขึ้นในร่างพากันพุ่ง ขึ้นไปในอากาศเพื่อโหมโจมตีเรอินะตามคำสั่งของขุนพลสมุทร แต่ยังไม่ทันที่จะพ้นพื้นเกินความสูงของศีรษะ มวลพลังที่แกร่งกร้าวสุดขีดขุมหนึ่งพลันกระจายแผ่กว้างออกบนอากาศ
……….เปรี้ยง………..
ปราณจากเผ่าพันธุ์มัจฉากว่าร้อยร่างกระทบกับม่านพลังปราณกลางอากาศระเบิดออก ดังสนั่น ทุกร่างตกกลับลงไปบนพื้นกรวดอย่างทุกลักทุเล และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ทุกตนต่างพากันสั่นสะท้านเมื่อพบว่าหญิงงามสุดหล้าที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ ข้างกายมนุษย์ชายบนหาดนั้นกลับลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างสงบนิ่ง ร่างงามในชุดดำน้ำยางยืดเปล่งประกายออกมาสว่างจ้าราวเทพธิดามาเยือนโลก ใบหน้างามนั้นยิ้มให้กับเหล่าทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาอย่างปราณี แต่ถ้อยคำที่เปล่งออกมากลับทำให้ทุกร่างสั่นสะท้านไปทุกขุมขน
“ขอให้เราผู้เป็นเทวนารีแห่งราศีมังกรได้ดูแลพวกเจ้าแทนเทวนารีราศีธนูเถอะ”
“……..ธิดามังกรฟ้า….”
เสียงแผดร้องด้วยความหวาดหวั่นของเหล่าทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาร้องเรียกนามเดิม ที่มีชื่อสะท้านแผ่นดินของเซี่ยวเล้งเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้ขุนพลสมุทรต้องรีบตวาดเสียงกึกก้องก่อนที่ขวัญของเหล่าบริวารจะสูญสิ้น ไป
“ตั้งพยุหะ…เกรงกลัวไปใยกับเทวนารี พวกเจ้าล้วนกลืนกินมุกเสี่ยงชีวิต ปราณของพวกเจ้าเหนือกว่าผู้ทรงปราณทุกคนในโลกนี้ หากเจ้าจัดการนางได้ ร่างที่งดงามของเทวนารีผู้สูงส่งจะกลับกลายเป็นเครื่องบำบัดเงี่ยงควยของพวก เจ้าจนพอใจ….จัดการนางเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำสั่งของขุนพลสมุทร เหล่าทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาต่างกระจายตัวกันออกเป็นวงกลมล้อมเซี่ยวเล้งบนอากาศ ไว้เป็นสามชั้น ท่อนเอวของทุกร่างพลันปรากฏระยายาวราวหนวดปลาหมึกแยกออกจากสีข้างทั้งสอง เกี่ยวกับระยางของผู้อยู่ด้านข้าง พลังปราณที่รุนแรงพลันเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า น้ำที่ซึมอยู่บนพื้นหาดกรวดเคลื่อนตัวขึ้นไปตามร่างของทัพเผ่าพันธุ์มัจฉา ก่อนพรั่งพรูขึ้นสู่อากาศเป็นรูปคมมีดที่คมกริบ รายล้อมศัตรูที่กลางอากาศเป็นชั้นๆ ดวงตาเรียวยาวของเซี่ยวเล้งหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความแปลกใจกับสภาพของแท่งน้ำ รูปคมมีดที่รายล้อมอยู่ ร่างงามพุ่งวูบขึ้นไปบนอากาศให้สูงกว่าขอบเขตพลังที่แผ่พุ่งขึ้นมา มุมปากเซี่ยวเล้งเผยอยิ้มออกมาบางเบาเมื่อพบว่าช่องอากาศด้านบนถูกปิดกั้น ด้วยมวลพลังแหลมคมของสายน้ำครอบเอาไว้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เทวนารีผู้เป็นเลิศในยุทธศาสตร์และปราณทั้งมวลตกใจแม้แต่ น้อย เพราะรู้ดีว่าสภาพเช่นนี้คือรูปแบบของพยุหะปราณชั้นสูงที่ผนึกพลังของคน จำนวนมากเป็นหนึ่งเดียวกักเป้าหมายเอาไว้ในขอบเขตพลัง เพื่อเตรียมโหมทำลายในคราวเดียว หญิงสาวกรีดนิ้ววูบหนึ่งเพื่อส่งปราณแผ่กว้างออกตรวจสอบมวลพลังรอบด้าน พลันคิ้วเรียวเหนือดวงตานั้นกลับเผยอขึ้นด้วยความแปลกใจเมื่อรับรู้ว่าทันที ที่พลังขุมนั้นเข้าใกล้ แท่งน้ำรูปคมมีดนั้นพากันตวัดวูบเข้าหาด้วยความเร็วปานสายฟ้า จนมวลพลังแตกซ่านออกไปอย่างไร้ร่องรอย….ทันใดนั้นเสียงตวาดก้องของชายเผ่า พันธุ์มัจฉาที่เมื่อครู่ยืนอยู่ด้านหลังขุนพลสมุทรในตำแหน่งรองบังคับบัญชา ก็ดังขึ้นกึกก้องขึ้น
“เคลื่อนพยุหะวารีศักดิ์สิทธิ์…เอานางมาเย็ดสังเวยเงี่ยงควยของพวกเราทุกคน…”
เสียงขานรับดังสนั่นขณะคมของปราณสายน้ำฟาดลงหาหญิงสาวพร้อมกันในคราวเดียว
———————
ที่ด้านข้าง เทวนารีแห่งราศีธนูยังคงจับจาขุนพลเทพอย่างไม่ประมาท ขณะที่ร่างสูงใหญ่นั้นดูราวกับจะขยายขนาดขึ้น เส้นเอ็นทั่วร่างเบ่งพองจนปูดโปน ร่างแหสีเงินบนร่างเกิดแสงเรืองพร้อมกับน้ำทะเลรอบตัวหมุนเป็นวงรอบกายและ ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงน้ำหนากว่า 1 เมตรหมุนวนเพิ่มความเร็วขึ้นทุกขณะ
ภาพที่เห็นทำให้เรอินะอดจิตออกมาด้วยความแปลกใจ ไปยังไกรวิทย์ไม่ได้
‘นายท่าน…นี่คือวิชาสมุทรวินาศ แม้จะไม่ทรงพลานุภาพเช่นที่พี่สุรีย์มัจฉาใช้ออก แต่พลังของมันก็ก้าวสู่ขอบเขตปราณแห่งเทพแล้ว…มุกเสี่ยงชีวิตนับว่ายกระ ดับปราณของมันให้สูงขึ้นอย่างนึกไม่ถึงจริงๆ…’
‘ลูกศรน้อย อย่าประมาท สมุทรวินาศเป็นวิชาปราณที่ควบคุมสายน้ำได้ตามใจปรารถนา แม้จะ ถูกใช้จากผู้อ่อนด้อยกว่าแต่อำนาจทำลายล้างของน้ำนั้นหาใช่เรื่องล้อเล่น ไม่…ระวัง…’
จิตไกรวิทย์ที่ส่งไปยังเรอินะเปลี่ยนเป็นการตวาดเตือนทันที่ที่เห็นว่ามวล น้ำที่ล้อมกายของขุนพลเทพกำลังเปลี่ยนสภาพเป็นเสาปลายแหลมนับร้อยแท่งพุ่ง วาบเข้าใส่เรอินะที่กลางอากาศ
“….สมุทรวินาศ…..แปลกนักที่เจ้าเรียนรู้วิชาเฉพาะตนของเทวนารีแห่งราศีมีนได้..”
เรอินะออกไป ขณะร่างเพียวบางพลิ้วหลบเสาน้ำปลายแหลมที่ระดมพึ่งเข้าหาอย่างใจเย็น เสานับสร้อยต้นพุ่งผ่านเฉียดร่างที่ฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ บางต้นพุ่งวาบเข้าสู่โขดหินชายฝั่งจนทะลวงลึกเข้าไปในก้อนหินเป็นรูกลมราว กับถูกทำลายด้วยความร้อนหลอมเหลวโลหะ เกิดเสียงกัมปนาทดังสะเทือนไปทั่วบริเวณ
“เทวนารีที่คร่ำครึเช่นสุรีย์มัจฉา ไม่เคยถ่ายทอดวิชาสูงสุดนี้ให้พี่ใด แต่สำหรับเทวีสงครามทั้งห้าที่มาคุ้มครองเผ่าพันธ์เรา พวกนางรับบัญชาจากเทพสวุรัสวดีให้ถ่ายทอดแก่เหล่าขุนพลแห่งเผ่าพันธุ์ มัจฉา…เฮอะ เทวนารีราศีธนูผู้สูงส่งเอาแต่หลบหลีกเช่นนี้ กล้ารับพลังแห่งสมุทรวินาศของเราหรือไม่…”
ขุนพลสมุทรส่งเสียงท้าทายคู่ต่อสู้ทั้งที่ยังคงระดมปล่อยเสาน้ำเข้าใส่เรอิ นะตลอดเวลาโดยไม่มีการขาดตอน บอกให้รู้ว่าปราณในร่างที่ถูกกระตุ้นด้วยมุกเสี่ยงชีวิตมีความเข้มแข็งแทบ เท่าเทียมกับเหล่าเทวนารี
“รับแล้วจะเป็นไร…..”
เรอินะตวาดก้อง ร่างที่พลิ้วไปมาระหว่างช่องว่างของเสาน้ำพลันหยุดลง ปล่อยให้เสาน้ำที่บรรจุพลังอันสามารถทะลวงหินผาพุ่งเข้าใส่ร่างอย่างไม่กลัว เกรง…
………ตูม…………
เสาน้ำปลายแหลมนับสิบแท่งรวมตัวกันพุ่งวาบเข้าใส่เป้าหมายจนเกิดเสียงระเบิด ดังกึกก้อง ร่างเพรียวบางของเรอินะปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าราวว่าวขาดสายยึด พร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างลำพองใจของขุนพลสมุทร….
“ที่แม้เทวนารีล้วนมีแต่ชื่อหลอกลวงผู้คน…..เอ๊ะ…”
เสียงหัวเราะที่ดังสนั่นหยุดลงในทันทีเมื่อดวงตาขุนพลสมุทรพบว่าร่างที่ปลิว ขึ้นไปบนท้องฟ้านั้น กลับไม่ตกลงมายังผืนทะเลมีแต่เพียงเศษยางที่เคยเป็นชุดดำน้ำที่เรอินะสวมใส่ กระจายตกลงราวเม็ดฝน แต่ร่างที่ควรถูกทะลวงเป็นรูนับสิบด้วยอำนาจแห่งสมุทรวินาศนั้นกลับลอยนิ่ง อยู่กลางอากาศ พร้อมกับเสียงกังวานสำเนียงเย็นชาส่งกลับลงมา
“หากผู้ใช้สมุทรวินาศนี้คือพี่สุรีย์มัจฉา การที่เราปะทะเสาน้ำอันเกิดจากพลังสมุทรวินาศโดยตรงเช่นนี้ ต่อให้เราสวมใส่เกราะปราณแห่งเทวนารีเอาไว้ เราก็คงไม่สามารถรอดพ้นจากร่างกายถูกทำลายเป็นธุลีไปได้..แต่สำหรับเจ้า… เพียงสามารถทำลายชุดที่เราสวมใส่ก็นับได้ว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว แต่หากจะเทียบกับพี่สุรีย์มัจฉานั้น…ยังห่างไกลนัก…”
พริบตาประกายแสงเจิดจ้าก่อเกิดขึ้นจากมือของเทวนารีแห่งราศีธนู ก่อนมมวลแสงแหลมคมสีส้มสุกกระจ่าง พุ่งวาบลงมาจากอากาศเข้าหาม่านน้ำที่หมุนวนไม่หยุดยั้งเบื้องล่าง ทำให้ขุนพลสมุทรต้องร้องออกมาอย่างลืมตัว…
“….ธนูสลายกาย….”
————————
…………เปรี้ยง………..เปรี้ยง………เปรี้ยง…….
ปราณมังกรฟ้ากระจายออกจากร่างเซี่ยวเล้งที่ตกอยู่ในพลังของพยุหะวารี ศักดิ์สิทธิ์ ปะทะกับสายน้ำคมกริบราวมีดที่พุ่งวาบเข้าใส่ทุกทิศทางด้วยพลังทำลายมหาศาลจน เกิดเสียงระเบิดกึกก้อง ม่านน้ำกระจายตัวออกเป็นสายรอบทิศ แต่แทนที่จะกระจายออกไปสู่ภายนอกวงพลัง มวลน้ำนั้นกลับบิดเป็นเกลียวหมุนวนกลับเข้าไปในพยุหะอีกครั้ง ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาเทวนารีราศีมังกรที่กึ่งกลางเป็นระลอกโดยปราศจากช่อง ว่างให้ผู้ถูกกักโคจรปราณฟื้นฟูพลังแม้แต่อึดใจเดียว
ภายในพยุหะ กระแสปราณเหนือโลกของเทวนารียังแผ่พุ่งออกจากร่างเซี่ยวเล้งต่อเนื่องโดยไม่ เพลี่ยงพล้ำ แต่ชุดดำน้ำยางที่หญิงสาวสวมใส่อยู่กลับไม่สามารถต้านต้านพลังรุนแรงสองสาย ที่ระเบิดกึกก้องอยู่ตลอดเวลาได้ เศษยางชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวเวียนว่อนแล้วถูกบดสลายเป็นผลธุลีภายในวงพลัง ปล่อยให้ร่างงามของหญิงสาวเปลือยเปล่าอยู่กลางอากาศ..ทำให้เกิดเสียงแผดร้อง ด้วยความย่ามใจจากเหล่าทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาเบื้องล่าง
“โอย นี่เองความงามของเทวนารี พอมันหมดพลังกูจะเย็ดให้นี่ให้ฉีกเลย…”
“อย่าว่าแต่หีอูมๆ ของมันเลย มึงดูนมนั่น แค่คิดว่ากูจะเอานมขาวๆ นั่นมาบีบเงี่ยงควย เย็ดนมมันให้กระฉูดใส่หน้า กูก็แทบรอไม่ไหวแล้ว…”
“พวกมึงอยู่ด้านนั้นไม่เห็นอะไร ลองดูด้านหลังนี่ดีกว่า สะโพกเทวนารีนี้ทั้งอวบอิ่มขาวเป็นประกาย กูจะของจองเย็ดก้นมันเป็นคนแรก… “
ท่ามกลางถ้อยคำหยาบช้าที่ดังรอบข้าง ดวงหน้างามของเซี่ยวเล้งกลับไม่ปรากฏแววขุ่นเคืองแม้แต่น้อย แต่ดวงตาเรียวงามกับปรากฏแววกังวลขึ้นมา จนไกรวิทย์ที่ด้านข้างต้องส่งจิตถามอย่างเร่งร้อน
‘มังกรน้อย เหตุใดจึงไม่ตอบโต้….เจ้าหวาดวิตกกับการต่อสู้นี้หรือ…’
‘นายท่านเซี่ยวเล้งหาได้กังวลกับทัพเผ่าพันธุ์มัจฉากลุ่มนี้ไม่ แต่เซี่ยวเล้งกังวลถึงพลังที่พวกมันใช้ เพราะแม้จะเป็นเพียงกองกำลังพื้นฐานของเผ่าพันธุ์มัจฉาเพียงร้อยกว่าตน แต่พลังที่มันรวมกันนั้นกลับรุนแรงและเข้มแข็งจนเซี่ยวเล้งอดไม่ได้ที่จะคิด ไปถึงการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์นี้ในครั้งหน้า หากพวกมันนับล้านผนึกพลังพยุหะพร้อมกัน เซี่ยวเล้งเกรงว่าแม้แต่เหล่าเทวนารีก็ไม่สามารถต้านทานได้เกินชั่วยาม…’
คำตอบของเซี่ยวเล้งทำให้ไกรวิทย์อดถอนใจยาวออกมาไม่ได้ เมื่อรับรู้อากัปกริยาที่หญิงสาวแสดงออกจนดูเหมือนว่ากำลังเกิดปัญหาในการ ต่อต้านพยุหะวารีศักดิ์สิทธิ์นั้น ที่แท้กลับเป็นเพียงความกังวลไปถึงเหตุการณ์ข้างหน้าตามวิสัยของผู้นำทัพ แห่งจักราศีเท่านั้น
‘นั่นเป็นเหตุการณ์ที่อย่างไรพวกเราก็ต้องเผชิญ มังกรน้อยจะกังวลล่วงหน้า แล้วปล่อยให้นร่างกายอันสูงค่าของเทวนารีเปลือยเปล่าต่อหน้าพวกนี้หรือไร’
จิตที่ไกรวิทย์ส่งออกมาทำให้เซี่ยวเล้งสะดุ้งวูบหนึ่ง ดวงหน้างามเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเมื่อรับรู้ว่าตนเองกำลังครุ่นคำนึงถึง ยุทธศาสตร์การต่อสู้ในวันข้างหน้า โดยไม่รู้สึกตนว่าเครื่องปกปิดร่างกายที่มีอยู่ถูกกระแสพลังทำลายสิ้น ปล่อยร่างเปลือยเปล่าเป็นเหยื่อสายตาหื่นกระหายของเพล่าทัพเผ่าพันธุ์มัจฉา เบื้องล่าง หญิงสาวบิดกายวูบหนึ่งพลันประกายแสงเจิดจ้ากระจายออกจากร่างก่อเกิดเป็น เกราะมังกรฟ้าประจำตัวของเทวนารีรังสีมังกรห่อหุ้มร่างเอาไว้ ขณะส่งจิตกลับมายังผู้เป็นนายเหนือ
‘นายท่านอภัยให้เซี่ยวเล้งด้วยที่ปล่อยร่างกายนี้ให้พวกมันได้พบ เห็น แต่การที่มังกรน้อยสวมเกราะนี้มิได้หมายความว่าพวกมันคู่ควรให้เซี่ยวเล้ง ต่อสู่อย่างเต็มกำลัง เพียงแต่มังกรน้อยไม่มีอาภรณ์ใดจะปิดกั้นสายตาพวกมันได้เท่านั้น’
“…เฮอะ…พวกเจ้าอยากจะเย็ดเทวนารีเช่นเรา ก็จงรับพลังนี้ไว้เถอะ….”
ถ้อยคำประโยคสุดท้ายถูกผนึกปราณในคลื่นเสียงตวาดออกจากปากเรียวบาง ก่อเกิดคลื่นเสียงแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ พยุหะวารีศักดิ์สิทธิ์ชะงักตัวลงวูบหนึ่ง ร่างในเกราะปราณของเซี่ยวเล้งพลิกตัวเอาศีรษะลงพื้น สองมือผนึกพลังมังกรวิบัติเต็มกำลัง ก่อนผลักมวลปราณมหาศาลลงสู่พื้นหาดกรวดเบื้องล่าง
………บรึม………
พลังมังกรวิบัติอันเป็นพลังที่มีความแข็งกร้าวที่สุดในเหล่าเทวนารีแห่งจัก ราศี พุ่งกระแทกพื้นเต็มกำลัง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ชายหาดกรวดแตกระเบิดออกเป็นหลุมลึกที่มีรัศมีกว้างกว่า 10 เมตร ร่างของเหล่าทัพเผ่าพันธุ์มังกรกว่าครึ่งร่วงหล่นลงในหลุมลึกทำให้มวลพลัง ที่รายล้อมหญิงสาวลดอำนาจลงในทันที ดวงตาสุกใสของเซี่ยวเล้งทอประกายเจิดจ้า ร่างงามหมุนคว่างเป็นวงพร้อมกระแสปราณทะลักทะลายออกจากร่าง พุ่งวาบเข้าใส่ทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาที่หลงเหลืออยู่บนพื้นหาดกรวดราวสายฟ้า
ดวงตาของเหล่าเผ่าพันธุ์มัจฉาที่ตกเป็นเป้าของพลังมังกรวัติเบิกโพลง เมื่อรับรู้ในจิตว่าพลังรุนแรงเกรี้ยวกราดที่สุดที่เคยได้พบพานนั้นเป็น กระแสพลังที่แฝงรูปแห่งมังกรนับหมื่นทะลวงเข้าหา เหล่าทัพทุกตนต่างพยายามผนึกปราณคุ้มครองกายขึ้นก่อนกระแทกออกเพื่อปะทะกับ พลังมังกรวิบัติที่ไร้ผู้ต่อต้าน
…………แซด……บรึม………………
ราวกับมีดร้อนแดงผ่านลงไปในเนยเหลว พลังที่รุนแรงสุดขีดกระแทกผ่านปราณป้องกันตัวทั้งมวลแตกกระจายไปในพริบตา ทุกร่างที่ตกอยู่ในรัศมีพลังแตกกระจายเป็นชิ้นเนื้อแหลกลาญ ขณะมวลพลังนั้นดึงดูดเศษซากของทุกร่างไปกระทบโขดหินใหญ่จนเกิดเสียงระเบิด สนั่น ทิ้งให้เศษซากที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทัพเผ่าพันธุ์มัจฉากว่า 50 ตนกลายเป็นของเหลวคาวคละคลุ้งไหลนองอยู่บนพื้นหาดกรวดนั้น
—————————–
“ธนูสลายกาย…”
ยังไม่ทันที่เสียงแผดร้องด้วยความแตกตื่นของขุนพบสมุทรจะจางหาย ประกายแสงเรืองรองของธนูสลายกาย หนึ่งในไตรธนูที่มุ่งทำลายร่างกายของศัตรู ก็แทรกผ่านปราณคุ้มครองร่างที่ขุนพบสมุทรที่ถูกผนึกขึ้นต่อต้าน ลำแสงสีส้มสุกใส่ทะลวงผ่านมือที่แผ่พุ่งม่านพลังคุ้มครองล่างลงไปยังทรวงอก ในคราวเดียว ร่างสูงใหญ่สะท้านเฮือก แสงสีส้มกระจายอกจากรูขุมจนและเกร็ดปลาบนร่างราวตาข่ายแสงที่เพิ่มความสว่าง ขึ้นทุกขณะ และในเพียงอึดใจ ร่างที่เคยเป็นขุนพลสมุทรก็สลายไปจากตำแหน่งที่ทรงกายโดยปราศจากเสียงใดๆ ให้ได้ยินแม้แต่น้อย ทิ้งไว้เพียงผงธุลีกองหนึ่งบนผิวทะเลที่เมื่อคลื่นซัดคราวเดียวก็สาบสูญไป
ร่างเพรียวบางเปล่าเปลือยของเรอินะพลิ้ววาบลงมายืนเคียงข้างไกรวิทย์ แต่เมื่อหญิงสาวเห็นภาพหลุมลึกเบื้องหน้าที่เกิดจากพลังมังกรวิบัติ ทว่ายังคงปรากฏร่างของทัพเผ่าพันธุ์มัจฉากว่า 50 ตน ตะเกียกตะกายอยู่ภายในหล่มพยายามปีนกลับขึ้นมาสู่พื้นหาดกรวด หญิงสาวก็แค่นเสียงออกมาเบาๆ ก่อนที่แสงเจิดจ้าจะปกคลุมร่างเปลือยขาวสะอาดอีกครั้ง พร้อมกับเกราะปราณสีส้มสดแห่งเทวนารีราศีธนูปรากฏขึ้นแทนที่
‘นายท่าน…ลูกศรน้อยหาได้อยากสวมใส่เกราะปราณนี้ไม่ เพียงแต่พี่เซี่ยวเล้งบังเกิดจิตเมตตารล่อยให้พวกนี้เหลือรอดอยู่ และลูกศรน้อยก็ไม่มีอาภรณ์ใดติดกายที่จะปกปิดร่างจากสายตาพวกนี้ได้’
จิตเรอินะส่งออกมาด้วยสำเนียงแฝงความไม่พอใจบางเบา เมื่อพบเห็นผู้รอดชีวิตเบื้องล่าง แต่ยังไม่ทันที่ไกรวิทย์จะส่งจิตตอบ เทวนารีแห่งราศีมังกรที่ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ก็แผ่พุ่งพลังเป็นเส้นสายกระจายวาบลงใส่ทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาเบื้องล่าง พลังทุกสายกระจายลงไปที่ตำแหน่งกลางหน้าผากทัพเผ้าพันธุ์มัจฉาทุกตน จนศีรษะระเบิดออกราวลูกโป่งน้ำ ทิ้งซากศพเอาไว้ภายในหล่มลึกนั้น แต่ก่อนที่เซี่ยวเล้งจะกลับมาข้างกายไกรวิทย์ หญิงสาวก็โฉบวูบไปยังร่างหนึ่งที่ยังคงมีศีรษะบนบ่า ก่อนกระชากผมหิ้วร่างมาโยนลงที่แทบเท้าไกรวิทย์ พร้อมกับพริ้วร่างมายืนเคียงข้าง
‘ลูกศรน้อยอย่าเพิ่งตำหนิพี่สาวผู้นี้…เหตุที่พี่ไม่ทำลายพวกมันให้สิ้นไป ในคราวเดียวก็เพราะเห็นว่าบางทีเราอาจจะได้ทราบความเคลื่อนไหวของจักรราศี ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเราบ้างไม่มากก็น้อย พี่จึงเลือกสังหารโดยเว้นบุคคลนี้ที่มีตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพของขุนพลสมุทร เอาไว้ให้พวกเราซักถาม’
ร่างรองผู้บังคับบัญชาทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาที่ยังคงเหลือรอดเพียงผู้เดียวจาก การเว้นชีวิตของเซี่ยวเล้ง สั่นเทิ้มอยู่แทบเท้าไกรวิทย์ โดยไม่รู้ชะตากรรมตนเองเนื่องจากไม่สามารถรับรู้การสนทนาทางจิตที่ดำเนิน อยู่ได้ ใบหน้าหวาดหวั่นเงยขึ้นเพื่อพยายามขอความเมตตา แต่เมื่อเรอินะเห็นใบหน้านั้นถนัด หญิงสาวก็ต้องแค่นเสียงออกมาอย่างขัดเคือง
‘นายท่าน…เจ้าตัวนี้คือผู้ที่สำรอกวาจาหยาบช้าว่าจะรุมเย็ดพี่เซี่ยวเล้ง ถึงพี่เซี่ยวเล้งจะไว้ชีวิตมันเพื่อซักถาม แต่หลังจากนั้น เรอินะจะไม่ยอมให้มันมีชีวิตอยู่ไปได้’
‘เรอินะ การศึกเสร็จสิ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วาจาแห่งจักรราศีสนทนากับพี่ แต่สำหรับเจ้าคนนี้หากมันให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่เรา เราก็ควรละเว้นชีวิตของมันไว้ เพราะนั้นคือธรรมเนียมในการศึกของอาณาจักรปราณที่พวกเรายึดถือ…’
เรอินะค้อมศีรษะรับรู้คำสั่งของไกรวิทย์ ก่อนหันมาตวาดศัตรูผู้ทรุดตัวอยู่แทบเท้าด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ
“เอาล่ะ…เผ่าพันธุ์มัจฉาผู้บังอาจฝ่าฝืนกฏเทพเจ้าจงยืนขึ้น เรามีคำถามกับเจ้า…”
“ท่านเทวนารีแห่งราศีมังกร ท่านเทวนารีแห่งราศีธนู โปรดอภัยให้บริวารผู้ต่ำต้อยที่ปราศจากสติหลงไปกับราคะในจิตจนบังอาจคิดก้าว ร้าวล่วงเกินต่อเทวนารี…”
“หากเจ้าตอบคำถามของเรามาแต่ความจริง เราให้สัจจะว่าเราจะปล่อยเจ้ากลับไปโดยไม่ทำอันตรายแม้แต่ขุมขน….บัดนี้จง ตอบเรามาว่าเทพสุรัสวดีกักเหล่าเทวนารีไว้ ณ ที่แห่งใด”
ไกรวิทย์สืบเท้าไปข้างหน้าครึ่งก้าวขณะส่งคำถามออกไป แต่แทนที่รองผู้บัญชาการทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาจะตอบคำถาม ดวงตาที่ม่านตาเป็นแนวตั้งตามลักษณะของเผ่าพันธุ์กลับถลึงตามองชายหนุ่ม เขม็งพร้อมกระชากเสียงตอบ
“เจ้าเป็นผู้ใด บังอาจมาถามเรา เราเพียงตอบคำถามของท่านเทวนารีเท่านั้น บุรุษเพศชายที่มีฐานะเป็นเพียงข้าทาสของเหล่าเทวนารี หาคู่ควรสอบถามเราไม่…”
คำตอบของเชลยเบื้องหน้าทำให้เซี่ยวเล้งและเรอินะอดอมยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ร่างงามทั้งสองพลันย่อตัวลงพร้อมกันในท่าคารวะไกรวิทย์ พร้อมกับเสียงกังวานใสของหญิงสาวทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน
“นายท่าน เชลยผู้นี้ยังอาจล่วงเกินท่านด้วยวาจา โปรดมีเทวบัญชาบัญชาแก่บริวารด้วยว่าจะให้ลงโทษมันสถานใด”
อากัปกริยาของเทวนารีทั้งสองทำให้บุรุษจากเผ่าพันธุ์มัจฉาเบื้องหน้าอ้าปาก ค้างด้วยความประหลาดใจสุดขีด แต่เพียงครู่เดียวสมองของรองผู้บัญชาการทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาที่ต่างเคยได้รับ คำบอกเล่าถึงตำนานโบราณ ก็ระลึกได้ถึงบุคคลในตำนานโบราณที่เป็นผู้นำแห่งจักราศี ร่างกำยำพลันคุกเข่าลงกับพื้นหาดกรวด ส่งเสียงระล่ำละลัก
“ทะ ท่าน คือ เทพวิรุณปักขะ…เป็นไปไม่ได้ เทพเจ้าท่านนั้นสูญจิตไปนับหมื่นปีแล้ว….”
“เทพหาได้อยู่ในวัฏฏะสงสารเช่นเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าไม่ แต่เจ้าจะตอบคำถามของเราได้หรือยัง”
“นามอันต่ำต้อยของบริวารคือมาคี บริวารขอน้อมพบมหาเทพผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณ และขอน้อมเรียนโดยไม่ปิดบังว่าบริวารเพียงทราบเรื่องของเทวนารีทั้งแปด ที่ถูกควบคุมตัวเพียงเล็กน้อยตามคำบอกเล่าของท่านคอลานี ขุนพลสมุทรที่ท่านเทวนารีสังหารไป เท่าที่บริวารรู้นั้น เทพสุรัสวดีได้เรียกตัวพวกนางกลับไปยังแชงกรีล่าเพื่อภารกิจบางประการ แต่ทั้งหมดถูกกักเอาไว้ในที่นั้น ขณะเดียวกันก็ส่งเหล่าเทวีสงครามทั้ง 60 นาง แบ่งเป็น 12 กลุ่ม กลุ่มละ 5 นาง เข้าแทนที่ตำแหน่งของเทวนารี ดังเช่นกลุ่มเทวีสงครามจากเผ่าพันธุ์มัจฉาทั้ง 5 ที่กำลังควบคุมกำลังทัพเผ่าพันธุ์มัจฉาอยู่ในวังวารีใต้สมุทร และนับตั้งแต่พวกนางได้มาถึงวังวารี กฎแห่งเทวนารีของสุรีย์มัจฉาทั้งหมดก็ถูกยกเลิก พวกนางเร่งระดมทัพทั้งหมดเข้าประจำฐานในมหาสมุทรทั้งสี่ และเปิดคลังสะสมมุกเสี่ยงชีวิตที่จะเปิดเฉพาะในยามสงครามออกแจกจ่ายทัพเผ่า พันธุ์มัจฉาทุกตน เพื่อให้เตรียมพร้อมกับสงครามล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ นี่เป็นข้อมูลทั้งหมดเท่าที่บริวารทราบ ขอท่านเทพกรุณาอภัยที่หลงไปกับอำนาจและความโลภในราคะจนละเมิดต่อกฎแห่ง เทพเจ้าด้วย..บริวารขอให้….”
“พอเถอะ…ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว…เพียงมองดวงตาเจ้า เราก็รู้แล้วว่าที่เรื่องเจ้าเล่ามาคือความจริง แต่ความสำนึกในความผิดของเจ้านั้นหาใช่ความจริงใจของเจ้าไม่ แต่ในเมื่อเราให้คำสัตย์ต่อกฎแห่งสงครามแล้ว …และจำไว้ว่าคำสาบานต่อเทพเจ้านั้นหาใช่เรื่องสามารถทรยศได้ พวกเจ้าทั้งเผ่าพันธุ์อาจต้องสูญสิ้นไปกับการทรยศในครั้งนี้…เจ้าจงไปตาม ทางของเจ้าเถอะ..”
ไกรวิทย์ที่ตลอดเวลานิ่งฟังคำพูดของมาคีอย่างสงบ พลันตัดบทคำพูดที่มาคีพยายามใช้ถ้อยคำแห่งจักราศีรายงานพร้อมกับขออภัยตนเอง….
“ขอบคุณในความกรุณาของมหาเทพ บริวารขออำลา…”
มาคีเปล่งเสียงเร่งร้อน ขณะที่ร่างนั้นค่อยๆ ถอยกายไปอย่างหวาดระแวง และเมื่อห่างจากไกรวิทย์ได้สิบเมตร ร่างนั้นก็ดีดพุ่งลงไปในท้องทะ พรายน้ำเป็นสายพลั่งขึ้นตามการเคลื่อนไหวที่เร่งร้อนก่อนหายไปในพริบตา
‘พี่เอก็ยังคงเป็นมหาเทพที่ยึดมั่นในสัตย์วาจาต่อศัตรูเสมอมา..เซี่ยงเล้ง ยอมรับว่าไม่เท่าเทียม เพราะอย่างไรเซี่ยวเล้งก็ไม่สามารถบังคับใจให้อภัยต่อผู้ที่บังอาจใช้วาจา ต่ำช้าเช่นมันได้….’
‘เรอินะก็เช่นเดียวกับพี่เซี่ยวเล้ง เห็นได้ชัดเลยว่าแม้มันจะพร่ำร้องขออภัย แต่เงี่ยงควยของมันไม่เคยอ่อนตัวลงเลย แสดงว่าตลอดเวลานั้นราคะเข้าครอบครองจิตใจของมันจนสามารถตลบตะแลงเอาตัวรอด ได้โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีแม้แต่น้อย…’
สองเทวนารีส่งจิตที่แฝงความไม่พอใจขึ้นพร้อมกัน ทำให้ไกรวิทย์ต้องถอนใจเบาๆ ก่อนส่งจิตตอบ
‘แม้มันจะแสร้งทำเป็นสำนึกผิด แต่ข้อมูลที่มันให้มานั้นคือความจริงที่มันรับรู้อย่างไม่ผิดพลาด แสดงว่าเทวนารีที่หลงเหลือในจักราศีทั้งแปด คือเทวนารีราศีกุมภ์ มีน เมษ พฤษภ กรกฏ สิงห์ กันย์ พิจิก ล้วนถูกควบคุมไว้ในแชงกรีล่า โดยมีเหล่าเทวีสงครามเข้าแทนที่ เมื่อพิจารณาร่วมกับการที่เทพสุรัสวดีไม่แต่งตั้งเทวนารีองค์ใหม่แทนเซี่ยว เล้ง เรอินะ ที่มาอยู่กับพี่ และมิถุกานารี กับตุลยาเทวีที่ถูกกำจัดไป ทำให้พี่คิดว่านางอาจพยายามรวบรวมพลังจากผลึกราศีมาใช้ประโยชน์ในการทำลาย ล้างมนุษย์ในทางใดทางหนึ่ง’
ริมฝีปากบางเรียวของเซี่ยวเล้งขบกันที่มุมปากครู่หนึ่ง อันเป็นลักษณะการใช้ความคิดประจำตัว ก่อนที่จะแทรกจิตแสดงความเห็นขึ้นมา
‘พลังจากผลึกราศีของเทวนารีจะมีเพียงสามวิธีเท่านั้นที่จะกลับไปยังหอผลึกใน จักราศีได้ วิธีแรกคือพวกนางพ่ายแพ้การศึกจนร่างแหลกสลาย วิธีที่สองคือเมื่อพวกนางอายุครบ 25 ปี พลังปราณในร่างที่จะควบคุมอำนาจผลึกจะแห้งหาย ผลึกนั้นจะทะลวงผ่านจักรปราณในร่างออกมา ทำให้เหล่าเทวนารีกลายสภาพเป็นผู้ไร้ปราณไปชั่วชีวิต ส่วนวิธีที่สามคือวิธีที่พี่เอใช้กับเซี่ยวเล้ง เรอินะ รวมถึงตุลยาเทวี คือการเย็ดทำลายเยื่อพรหมจรรย์ ปลดปล่อยให้ผลึกราศีออกจากร่างกาย ซึ่งจะต้องเป็นควยของเพศชายเท่านั้น หาใช้เครื่องมืออื่นทำลายเยื่อพรหมจรรย์นี้ได้ไม่ แต่เมื่อคิดว่าเทพสุรัสวดีกำลังสะสมกำลังทำสงครามขั้นสุดท้าย การรอให้เหล่าเทวนารีทั้งแปดที่อายุเพิ่งเข้าช่วง 20 ปี หมดพลังในการควบคุมผลึกราศีอีกในอีก 5 ปีนั้น คงนานเกินที่จะรอคอย…’
‘เทวนารีไม่พ่ายแพ้ต่อผู้ใดข้อแรกจึงเป็นไปไม่ได้ ข้อสองก็ไม่สามารถรอได้ หรือพี่เซี่ยวเล้งจะหมายความว่า เทพสุรัสวดีจะให้บุรุษโสโครก เย็ดทำลายพรหมจรรย์ของเหล่าเทวนารีทั้งแปดเพื่อนำผลึกราศีกลับสู่หอผลึกใช่ ไหม..นี่เลวร้ายเกินไปแล้ว’
เรอินะเปล่งเสียงร้องด้วยความแตกตื่นและโกรธแค้นเมื่อคิดถึงภาพเหล่าเทวนารี ที่งดงามเหนือโลกทั้งแปด จะต้องถูกทำลายพรหมจรรย์โดยบุรุษโดยไม่ยินยอมพร้อมใจ
‘วิธีที่เรอินะบ่งบอกมา แม้จะดูเป็นวิธีเดียวที่เทพสุรัสวดีจะได้มาซึ่งพลังจากผลึกราศีทั้งสิบสอง แต่เรอินะก็รู้ดีว่าเทพสุรัสวดีนั้นเกลียดชังบุรุษเพศเพียงใด การจะอนุญาตให้บุรุษเข้ามาในแชงกรีล่าเพื่อทำลายพรหมจรรย์เหล่าเทวนารีนั้น เป็นไปไม่ได้เลย ส่วนหากจะให้เหล่าบุรุษมาทำลายพรหมจรรย์นอกแชงกรีล่านั้น ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเทวนารีไม่สามารถถูกควบคุมให้หมดหนทางต่อต้านได้ การสกัดจุด การปิดกั้นการเคลื่อนไหวล้วนไม่สามารถทำได้กับเทวนารี ดังนั้นการควบคุมเทวนารีให้ไม่ต่อสู้จึงต้องนำพวกนางไปพำนักรวมกันในหอผลึก เพราะนั่นเป็นสถานที่เดียวในโลกที่พลังจากผลึกจะสะกดข่มกันเองจนเทวนารีไม่ สามารถดิ้นรนหลบหนีออกมาได้….’
ไกรวิทย์นิ่งฟังความเห็นของเซี่ยวเล้งอย่างสงบ สมองชายหนุ่มครุ่นคิดคิดยุทธศาสตร์ของสงครามของเทพสุรัสวดีที่ผ่านมา
‘พี่เห็นด้วยกับเซี่ยวเล้ง เทพสุรัสวดีไม่น่าจะใช้บุรุษเพศมาทำลายพรหมจรรย์เทวนารีแน่ แต่สิ่งที่พี่คิดนั้นแตกต่างจากเซี่ยวเล้ง ก่อนอื่นพี่อยากให้เซี่ยวเล้งและเรอินะลองคิดดูก่อนว่าผลึกราศีที่กลับเข่า สู่หอผลึกนั้น มีความแตกต่างกันหรือไม่ระหว่างผลึกที่กลับเข้าไปหลังจากเทวนารีอายุ 25 ปี กับผลึกที่กลับเข้าไปจากการถูกทำลายพรหมจรรย์ เมื่อคำนึงถึงข้อนี้แล้ว สมองเซี่ยวเล้งและเรอินะน่าจะได้คำตอบ’
เทวนารีทั้งสองนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จิตของเรอินะจะเปล่งออกมาอย่างตื่นเต้น
‘ใช่แล้ว เรอินะเข้าใจความหมายพี่เอแล้ว นี่คือสาเหตุที่เทพสุรัสวดีไม่แต่งตั้งเทวนารีสืบแทนพี่เซี่ยวเล้ง เรอินะ ตุลยาเทวี เพราะนางทราบว่าพลังผลึกราศีนั้นสัมผัสกับควยบุรุษ แต่การถ่ายทอดผลึกราศีเข้าสู่ร่างเทวนารีรุ่นใหม่นั้น นางต้องสัมผัสผลึกราศีเพื่อใช้พลังสลายเข้าสู่ร่างนี่เองทำให้นางไม่ยอมจับ ต้องผลึกนั้นอีก
‘ส่วนผลึกราศีเมถุนนั้นต่างกัน เพราะนางไม่จำเป็นต้องสัมผัส เนื่องจากมิถุกานารีไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ แต่การที่นางไม่สามารถแต่งตั้งเทวนารีแห่งราศีเมถุนได้ ก็เพราะปราณราหูขาดการสืบทอด..ทำให้ไม่มีทายาทที่จะรับช่วงได้..อืมห์ เซี่ยวเล้งเข้าใจความหมายของพี่เอแล้ว’
เซี่ยวเล้งและเรอินะส่งจิตออกมาแทบพร้อมกันหลังจากที่ได้รับฟังเหตุผลสิ่งที่ไกรวิทย์ถ่ายทอดออกมา
‘นั่นแหละ พี่จึงคาดว่าเทวนารีทั้งแปดน่าจะยังคงถูกกักตัวไว้ในหอผลึก เพื่อให้เทพสุรัสวดีหาหนทางใช้พลังของพวกนางในสงครามครั้งนี้ พี่เชื่อว่าสาเหตุที่เทวนารีทั้งแปดถูกกัก แทนที่จะให้พวกนางเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับพวกเรา ก็เพราะว่าพวกนางได้รับรู้ว่ากฏแห่งเทพเจ้าที่ให้ปกป้องโลกและมวลมนุษย์ถูก ทำลาย พวกนางจึงไม่สามารถบังคับตนเองให้กระทำตามบัญชาของเทพสุรัสวดีได้…ทางออก เดียวที่เหลือจึงต้องควบคุมพวกนางเอาไว้เช่นนี้’
‘พี่เอ แต่นั่นก็หมายความว่าพวกนางไม่ได้อยู่ตรงข้ามกับเราอีกต่อไป เราควรจะหาทางช่วยเหลือพวกนางหรือไม่?’
เรอินะส่งจิตที่แฝงความสับสนในใจออกมาหลังจากได้รับฟังความเห็นของไกรวิทย์ แต่เซี่ยวเล้งที่ด้านข้างกลับสั่นศีรษะแล้วเป็นฝ่ายตอบแทน
‘ข้อแรก พวกเราไม่มีทางบุกเข้าสู่แชงกรีล่าได้ในขณะนี้ เพราะแม้ปราณปัจจุบันของพี่เอจะสูงกว่าเหล่าเทวนารี แต่อย่าลืมว่าพี่เอเพิ่งเสียปราณสองส่วนในการฟื้นจิตและพลังให้หกขุนพลของ เรา อีกทั้งแม้เราสามารถบุกเข้าไปช่วยพวกนางออกมาได้ แต่พวกนางก็ไม่สามารถช่วยเหลืออันใดแก่เราได้ เพราะปราณในร่างของพวกนางยังคงเป็นปราณที่ได้รับถ่ายทอดจากเทพสุรัสวดี จิตของพวกนางยังคงไม่สามารถบังคับให้พวกนางกลับไปต่อสู้กับเทพสุรัสวดีได้ เรอินะก็น่าจะรู้ดีเพราะพวกเราก็เคยมีสภาพจิตเช่นนั้นมาก่อน การขัดแย้งโดยไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งให้ทำลายล้างมนุษย์อันขัดต่อกฏเทพเจ้า จึงเป็นสิ่งเดียวที่พวกนางสามารถทำได้แล้ว..’
‘แต่พี่เซี่ยวเล้งไม่คิดหรือว่า บางทีจิตพี่น้องของเราอาจจะหลับใหลอยู่ในร่างใดร่างหนึ่งในพวกนางทั้งแปด หากเราไม่เสี่ยงเข้าช่วย เราจะได้พวกนางกลับคืนมาในจักราศีได้อย่างไร’
ไกรวิทย์นิ่งฟังการโต้แย้งของสองเทวนารีข้างกายจนเรอินะตั้งคำถามที่แม้กระ ทั่งเซี่ยวเล้งก็อับจนคำตอบ หญิงสาวหันมามองไกรวิทย์เป็นเชิงขอความเห็น ทำให้ไกรวิทย์ต้องนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนตอบออกมาด้วยจิตที่ตัดสินใจเด็ดขาด
‘พี่รู้ดีว่าการเสี่ยงเป็นฝ่ายรุกเข้าแชงกรีล่านั้นแทบไม่ต่างอะไรกับการฆ่า ตัวตาย และหนทางที่จะประสบความสำเร็จนั้นลางเลือนอย่างยิ่ง แต่ด้วยการนำของแม่ทัพเช่นเซี่ยวเล้ง สมองของจานีส ความแกร่งกร้าวของเรอินะ ความมั่นคงของน้องริน ความปราดเปรียวของน้องกิฟท์ ความเชื่อมั่นของน้องทิพย์ ความชาญฉลาดของน้องนิว และความหนักแน่นของน้องพิม ประกอบกำลังของหกขุนพล เราก็ยังคงมีโอกาสเช่นกัน ดังนั้นพี่ขอตัดสินใจว่าเราจะกำหนดแผนการบุกเข้าแชงกรีล่าเพื่อช่วยเหลือพวก นางทั้งแปดออกมาให้จงได้….’
จิตที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจจริงของไกรวิทย์ทำให้เซี่ยวเล้งและเรอินะเผยอยิ้มออกมาและส่งจิตออกมาพรน้อมกัน
‘เชี่ยวเล้งจะติดตามพี่เอจนกว่าจิตวิญญาณจะสิ้นสูญ..’
‘เรอินะขออาสาใช้ธนูพิฆาตฟ้าทำลายประตูแห่งแชงกรีล่าเอง แต่เรอินะยังกังวลข้อหนึ่งอยู่…’
จิตช่วงท้ายของเรอินะแฝงสำเนียงเบิกบานที่ไม่น่าเกิดขึ้นในการสนทนาด้าน ยุทธศาสตร์ ทำให้ไกรวิทย์อดหันไปจับจ้องดวงตาสุกใสของเด็กสาวไม่ได้
‘เรอินะมีข้อกังวลอะไรหรือ…’
‘ข้อกังวลของเรอินะก็คือ หากพวกเราช่วยเทวนารีทั้งแปดออกมาได้ การจะเปลี่ยนนางให้พ้นจากการควบคุมของเทพสุรัสวดีมีวิธีเดียวคือต้องทำลาย พลังผลึกราศีในร่างพวกนาง นั่นหมายความว่าพี่เอต้องเย็ดเหล่าเทวนารีที่งามเหนือโลกทั้งแปดจนต้องสิ้น กำลังเป็นแน่แท้…เพียงคิดถึงความงามของพวกนาง เรอินะชักอยากเป็นผู้ชายทำหน้าที่แทนพี่เอเสียแล้ว…’
จิตของเรอินะทำให้บรรยากาศที่เคร่งเครียดคลายตัวลงไปในทันที เสียงหัวเราะจากไกรวิทย์และเซี่ยวเล้งดังประสานกัน ก่อนที่ไกรวิทย์จะดึงร่างงามในเกราะปราณเข้ามากอดไว้แน่น
‘นี่สิจึงเป็นเทวนารีแห่งราศีธนูที่ไม่เคยหวาดกลัวอันใด เอาเป็นว่าถ้าพี่ต้องเย็ดพวกนาง พี่จะขอให้เทวนารีแห่งราศีธนูผู้งดงามคนนี้อยู่ร่วมด้วยกับพี่จะได้หรือ ไม่…’
‘เรอินะยินยอม แต่พี่เอต้องกำหนดให้พี่เซี่ยวเล้งช่วยเรอินะด้วย…บอกตามตรงว่าเห็นพี่ เซี่ยวเล้งในชุดเกราะปราณนี้ทีไร เรอินะแทบจะอยากมีควยจะได้เย็ดพี่เซี่ยวเล้งให้สมใจสักที..’
‘บ้า เรอินะนี่..ชักลากมกใหญ่แล้วนะ…’
เสียงหัวเราะประสานกันของบุรุษสตรีทั้งสามดังสะท้อนท่ามกลางความเงียบสงบของ เกาะร้างไร้นาน ไกรวิทย์เหลือบมองดวงดาวเหนือศีรษะ ก่อนส่งจิตขัดขึ้น
‘ตอนนี้เวลาใกล้เที่ยงคืนแล้ว ถ้าหากพี่คาดเดาไม่ผิด พวกเราคงไม่มีโอกาสได้พบท่านผู้สำเร็จปราณสุญญตาในที่นี้แล้ว แต่อย่างไรการมาของเราก็ไม่เสียเที่ยว เพราะเราได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของเทพสุรัสวดีและเหล่าเทวนารีทั้งแปด เอาเป็นว่าพวกเรากลับไปที่เรือใหญ่เถอะ..จะได้ร่วมกันวางแผนในการบุกเข้าสู่ แชงกรีว่าโดยเร็วที่สุด…. เซี่ยวเล้ง เรอินะ ระวังไว้..’
จิตที่ราบเรียบของไกรวิทย์เปลี่ยนเป็นร้อนรนเตือนภัยกับสองเทวนารีเมื่อรับ รู้ว่าบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นที่ท้องทะเลเบื้องหน้า แต่ดูเหมือนว่าการเตือนของชายหนุ่มจะไม่จำเป็นแม้แต่น้อย เพราะสองเทวนารีต่างรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้าเช่นกัน ปราณของสองเทวนารีกระจายตัวออกจนเกราะปราณที่สามใส่สุกสว่าง พร้อมรับการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามทุกรูปแบบ
……….ซ่า………..
ผืนน้ำดำสนิทของทะเลที่เคยราบเรียบเบื้องหน้า บังเกิดเสียงซ่าของพรายน้ำจำนวนมหาศาลผุดขึ้น และเพิ่มปริมาณขึ้นทุกขณะ จนในที่สุดผืนน้ำทั้งหมดก็สั่นไหวราวกับน้ำเดือด วังวนน้ำค่อยๆ ก่อตัวขึ้นที่ตำแหน่งห่างออกไปจากฝั่งกว่าห้าสิบเมตร แต่สายตาที่แหลมคมของไกรวิทย์และสองเทวนารีเห็นชัดเจนว่ามวลน้ำที่เวียน เพิ่มความเร็วขึ้นพร้อมกับการยุบตัวของผืนน้ำลงไปเป็นเกลียว ส่งเสียงครืนครันลั่นไปทั่วบริเวณ
‘พี่เอ เรอินะระวังไว้ บางสิ่งพุ่งออกมาจากกลางวังวน..’
เซี่ยวเล้งส่งจิตเตือนทันทีเมื่อพบว่าวัตถุสีดำสนิทก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นมาจาก ใจกลางน้ำวน สูงขึ้นไปในอากาศโดยมีทิศทางพุ่งมายังชายหาดกรวดที่ทุกคนเฝ้าระวังอยู่ เพียงแวบเดียววัตถุนั้นก็มาตกลงที่พื้นหาดกรวดเกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับน้ำ กระจายไปทั่ว ดวงตาไกรวิทย์และเหสองเทวนารีเบิกกว้างในทันทีที่เห็นรายละเอียดของวัตถุ นั้นเต็มที่ท่ามกลางแสงจันทร์
มันเป็นร่างกำยำของบุรุษแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาที่ส่วนบนเป็นมนุษย์แต่ส่วนล่าง เป็นท่อนหางของปลา ใบหน้าของร่างนั้นบิดเบี้ยวด้วยความสะพรึงกลัวสุดขีด ใบหน้านั้นคือใบหน้าของ มาคี รองขุนพลแห่งเผ่าพันธุ์มัจฉาที่ไกรวิทย์เพิ่งปลดปล่อยไปไม่กี่อึดใจที่ผ่าน มา แต่สิ่งที่ทำให้บุรุษสตรีทั้งสามนั้นหาใช่ใบหน้าที่บิดเบี้ยวน่ากลัวนั้นไม่ หากเป็นเพราะว่าร่างของมาคีที่ร่วงหล่นลงมานั้นกลับไม่ได้เป็นเลือดเนื้อของ สิ่งมีชีวิต แต่กลับเป็นก้อนหินแกะสลักที่พลันแตกกระจายออกเป็นห้าส่วนเมื่อกระทบพื้น อยู่เบื้องหน้า
‘นี่มัน มาคี เหตุใดมันจึงกลายเป็นหินเช่นนี้…’
เรอินะอุทานออกมาอย่างแปลกใจเมื่อพบว่าร่างของเชลยที่ปล่อยไปนั้นกลับกลาย เป็นหินแข็งเช่นเดียวกับก้อนหินสลักรูปสัตว์ที่ได้พบเห็นมาก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่ทันที่ความแปลกใจนั้นจะจางไป เสียงดังสนั่นของคลื่นน้ำที่ถูกแหวกออกก็ดังขึ้นพร้อมแสงสว่างเรืองรองพุ่ง ขึ้นมาจากตำแหน่งศูนย์กลางวันวนนั้น ศีรษะของไกรวิทย์และสองเทวนารีหันขวับไปยังต้นเสียงและจุดกำเนิดแสง แต่ยังไม่ทันที่สายตาจะจับภาพนั้นได้ เสียงของบุรุษที่อ่อนโยนนุ่มนวลก็ดังขึ้นในจิตของทุกคนโดยปราศจากต้นกำเนิด ของเสียง
‘วิรุณปักขะ และเทวนารีแห่งมหาอาณาจักรปราณทั้งสอง แม้พวกเจ้าจะมีปราณเสมอเทพเจ้า แต่สิ่งกำลังปรากฏนั้นหาใช่สิ่งพวกเจ้าจะชมดูในระยะใกล้ได้ไม่ หากพวกเจ้าไม่ต้องการกลายเป็นหินเป็นดั่งชาวเผ่าพันธุ์มัจฉาผู้นี้ ก็จงถอยห่างจาออกไปในรัศมีหนึ่งร้อยวาในบัดดลเถอะ..’
‘พี่เอ เสียงนั่น..เสียงท่านผู้เฒ่า…’
เรอินะจิตตื่นเต้นออกมาเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในอดีต แต่ไกรวิทย์กลับรีบส่งจิตมายังเซี่ยวเล้งและเรอินะ
‘เซี่ยวเล้ง เรอินะ อย่าจับจ้องภาพที่กลางสมุทร ลอยตัวขึ้น ผนึกร่างอยู่ห่างร้อยวา ตามที่เสียงบุรุษลึกลับนั้นบอกเดี๋ยวนี้…’
เกราะปราณของสองเทวนารีทอประกายเจิดจ้า ขณะร่างทั้งสามลอยตัวขึ้นสูง แล้วดีดตัวออกห่างจุดศูนย์กลางของน้ำวนกว่าหนึ่งร้อยวาตามคำบอกของเสียงลึก ลับ ด้วยระยะห่างทำให้ภาพของสิ่งที่กลังผุดลอยขึ้นมาจากวังน้ำวนดูเล็กราวเหรียญ กษาปณ์ แต่ด้วยสายตาที่แหลมคมของไกรวิทย์และสองเทวนารี ภาพนั้นสามารถเห็นได้ชัดถึงรายละเอียดทุกส่วน
มันเป็นภาพของร่างสตรีสองร่างที่กำลังต่อสู้กันอย่างเต็มที่ด้วยพลังปราณ มหาศาลที่เทียบเทียมได้กับเหล่าเทวนารีแห่งจักราศี ร่างหนึ่งเป็นร่างเปลือยเปล่าที่ส่งประกายแสงสีเขียวเจิดจ้ากระจายออกมา ท่อนบนของสตรีนั้นคือมนุษย์อย่างไม่ผิดพลาด แต่ท่อนล่างที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศนั้นกลับเป็นท่อนหางของอสรพิษขนาดใหญ่ สะบัดพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็นหญิงสาวผู้ ห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าขาวสะอาดพริ้วเป็นระลอกราวกับชุดของเทพธิดาเหนือโลก ที่ไหล่ขวาประดับดวงตราสีทองสลักรูปสิงโตกางกรงเล็บ สองมือขาวผ่องสะบัดหมอกขาวนวลใยเป็นเส้นยาวจากฝ่ามือทั้งสองดูราวกับเส้น เชือกที่สะบัดไปมาตามใจปราถนาพุ่งวาบเข้าพันธนาการคู่ต่อสู้ แต่เมื่อเชือกแสงนั้นพันเข้ารอบร่างหญิงกึ่งอสรพิษที่เปล่งประกายสีเขียว เมื่อใด ประกายแสงสีเขียวนั้นก็กลับเปลี่ยนเป็นแผ่นแสงคมกริบตัดใยแสงสีขาวขาดสะบั้น เป็นส่วนๆ พร้อมกับพุ่งพลังเข้าใส่หญิงสาวในชุดขาว ที่พลิ้วร่างหลบไปมา ขณะที่ปลายเชือกแสงที่ถูกตัดนั้นก็กลับคืนสู่สภาพของเส้นเชือกยาวเหยียดอีก ครั้งตระหวัดเข้าโอบรัดหญิงกึ่งอสรพิษ และถูกทำลายอีกครั้ง
‘พวกนางเป็นใคร พลังปราณของทั้งสองแทบจะทัดเทียมพวกเราเหล่าเทวนารี วิชาปราณที่ใช้ก็พิสดารยิ่ง ด้วยความรู้ของเราไม่เคยรู้จักวิชาการต่อสู้เช่นนี้เลย….’
‘จริงทีเดียว พี่เซี่ยวเล้งวิชาปราณที่พวกนางใช้พิสดารอย่างยิ่ง เส้นแสงจากฝ่ามือหญิงสาวที่สวมเสื้อมีพลังที่รุนแรงจนสามารถรัดหินเป็นผุยผง แต่กลับไม่สามารถทำร้ายหญิงกึ่งอสรพิษนั้นได้..’
เซี่ยวเล้งส่งจิตรำพึงออกมากับตนเองขณะทุ่มเทสมาธิสังเกตการณ์ต่อสู้ที่ ดำเนินไปเบื้องหน้า เช่นเดียวกับเรอินะที่ส่งจิตคล้อยตามความเห็นของเทวนารีผู้พี่ ขณะที่ดวงตาจับจ้องการต่อสู้ตลอดเวลา
‘เซี่ยวเล้ง เรอินะ จงสังเกตผมของหญิงกึ่งอสรพิษนั้นให้ดี เห็นอะไรหรือไม่’
จิตไกรวิทย์ส่งเสียงราบเรียบมายังเทวนารีทั้งสอง ตามมาด้วยเสียงอุทานเมือดวงตาของเซี่ยวเล้งและเรอินะรับรู้ภาพที่เห็น
เรือนผมยาวกระซัดกระเซิงของหญิงเปลือยที่แผ่ซ่านออกไปทุกทิศทางนั้น กลับไม่ใช่เส้นผมของมนุษย์ แต่เป็นงูขนาดเล็กจำนวนมหาศาลตรึงอยู่กับศีรษะเคลื่อนไหวไปมาอย่างดุร้าย พร้อมกับส่งเสียงที่เกิดจากลิ้นงูฉกเข้าออกดังเป็นสำเนียงน่าหวาดหวั่นไม่ ขาดระยะ สายตาที่แหลมคมของเทวนารีจับจ้องใบหน้าที่เรียบเฉยของหญิงสาวผู้มีผมเป็นงู และพบด้วยความประหลาดใจว่าแม้เรือนผมของสตรีสาวจะน่าหวาดหวั่นแต่ดวงหน้า นั้นกลับเป็นดวงหน้ารูปไข่ที่งดงามไร้ตำหนิ ดวงตาสีเขียวปัดเบิกกว้างจับจ้องร่างหญิงสาวในชุดขาวที่เป็นคู่ต่อสู้ไม่กระ พริบ ริมฝีปากอิ่มได้รูปเผยอออกเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมของอสรพิษสองข้างที่พ้นออกมา จากมุมปาก แต่เขี้ยวและเรือนผมนั้นกลับไม่สามารถปิดกั้นความงามสะท้านใจของดวงหน้านั้น ได้ ผิวกายหญิงสาวแม้จะเป็นสีเขียวเรืองรองแต่ทรวงอกเต่งตึงที่แทบไม่สั่นไปตาม การเคลื่อนไหวระหว่างต่อสู้บอกให้รู้ถึงความตึงแน่นครัดเคร่งทรวงอกงามนั้น เอวคอดเรียวผายออกเป็นท่อนหางของอสรพิษขนาดใหญ่ที่มีเกล็ดเขียวครามสะท้อน แสงจันทร์วูบวาบแกว่งไปมาโดยไม่หยุดนิ่งแม้แต่อึดใจเดียว
‘พี่เอ หรือว่า..นางคือ…เมดูซ่า…แต่นางถูกสังหารไปแล้วไม่ใช่หรือ’
เซี่ยวเล้งส่งจิตออกมาอย่างลืมตัวเมื่อคิดถึงตำนานกรีกโบราณที่เคยกล่าวถึง นางอสุรีผู้เกิดจากคำสาปของเทพเจ้าที่ไม่พอใจความงามอันอยู่เหนือเหล่า เทพธิดาแห่งโอลิมปัส ทำให้หญิงสาวผู้งดงามต้องกลับกลายเป็นนางอสูรที่มีเส้นผมเป็นงู มีดวงตาที่สามารถทำให้ทุกชีวิตที่ได้สบตากลับกลายเป็นก้อนหิน แต่ต่อมาถูกวีรบุรุษชาวกรีกนามเพอซีอุสสังหารและตัดคอไปเพื่อศีรษะของเมดู ซ่ากำจัดอสุรกายกอร์กอนที่คุกคามชีวิตของชาวกรีก
‘เรอินะจำตำนานนี้ได้..แต่ภาพที่ปรากฏนี้นางคือเมดูซ่าอย่างไม่ผิดพลาด แต่อีกนางหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นคือผู้ใด เหตุใดนางจึงสามารถต่อสู้โดยไม่กลายเป็นหินดังเช่นเจ้ามาคี’
‘เรอินะจงสังเกตดวงตาหญิงชุดขาวให้ดี….’
ไกรวิทย์ส่งจิตราบเรียบเป็นเชิงตอบข้อสงสัยของเรอินะ ทำให้หญิงสาวเปลี่ยนความสนใจจากร่างกึ่งอสรพิษมายังสตรีชุดขาวที่ยังคงแผ่ พุ่งเส้นพลังปราณรูปเชือกเข้าพันธนาการหญิงกึ่งอสรพิษนั้นตลอดเวลา
เรือนผมสีทองของหญิงสาวชุดขาวกระจายราวคลื่นน้ำสะท้อนแสงจันทร์ ใบหน้าขาวผ่องส่งประกายความงามของสตรีชาวตะวันตกที่ทุกสัดส่วนของใบหน้าคม ชัด จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับกับริมฝีปากบนบางเฉียบและริมฝีปากล่างอวบอิ่ม ปากน้อยๆ นั้นเผยออกเพื่อระบายลมหายใจระหว่างการต่อสู้เผยให้เห็นฟันขาวราวไข่มุก เรียงรายเป็นระเบียบ แต่จุดสำคัญของใบหน้านั้นคือดวงตากลับปิดสนิท กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกร็งแน่น บอกให้รู้ว่าดวงตาทั้งสองปิดลงด้วยความตั้งใจเพื่อป้องกันมิให้มองเห็นดวงตา คู่ต่อสู้ที่สามารถทำให้ผู้ถูกสบตากลายเป็นหินไปได้ในทันที
‘นางปิดตาเอาไว้ และต่อสู้ด้วยความรู้สึกผ่านจิต….นั่นแปลว่าคู่ต่อสู้ของนางคือเมดูซ่าอย่างแน่ชัด แต่นางคือใครกัน….’
‘นางคือแอนโดเมดา ธิดาของกษัตริย์ซีรัส นางคือผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดปราณจากเหล่าผู้ทรงปราณในอาณาจักรกรีกโบราณ กว่าห้าร้อยคนเพื่อปฏิบัติภารกิจสังหารอสุรีเมดูซ่า หลังจากที่การขอความช่วยเหลือจากจักราศีไม่ได้รับการตอบสนอง….’
เสียงอันอ่อนโยนของบุรุษดังขึ้นในจิตของไกรวิทย์ เซี่ยวเล้งและเรอินะ โดยปราศจากที่มาของเสียง ทำให้ร่างเรอินะสะท้านขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยในวัยเยาว์ และรีบส่งจิตออกไป
‘นั่นคือเสียง ของท่านผู้เฒ่าใช่หรือไม่ โปรดปรากฏตัวให้เรอินะได้กราบพบ และแนะนำให้รู้จักกับพี่เอ พี่เซี่ยวเล้งด้วยเถิด’
‘เด็กน้อยเรอินะเจ้าเติบโตขึ้นมาก…ดำรงเป็นเทวนารีแห่งราศีธนูโดยสมบูรณ์ แล้ว แต่เจ้าหาต้องแนะนำเรากับท่านมหาเทพวิรุณปักขะนี้ไม่…เพราะพวกเราหาใช่คน แปลกหน้าไม่’
จิตที่นุ่มนวลตอบหญิงสาวโดยปราศจากอารมณ์ใดๆ ให้ปรากฏแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่เรอินะจะส่งจิตต่อ ไกรวิทย์ก็บีบมือหญิงสาวไว้เบาๆ ขณะส่งจิตออกไป
‘จิตของท่านบ่งว่าท่านต้องเป็นบุคคลในมหาอาณาจักรปราณจึงใช้คำเรียกขานเรา เช่นนี้ แต่อภัยด้วยที่เราไม่สามารถระลึกได้ว่าท่านคือผู้ใด ดังนั้นเราใคร่ขอให้ท่านปรากฏตัวขึ้นเพื่อสนทนาจะได้หรือไม่…’
‘เทพวิรุณปักขะ เราไม่สามารถปรากฏกายต่อท่าน เพราะหากเราปรากฏร่างอำนาจปราณในร่างเราจะปิดกั้นปราณของพวกท่านทุกคน รวมทั้งปราณของเมดูซ่าและแอนโดรเมดานั้นด้วย และหากการต่อสู้ของพวกนางหยุดลงเพราะปราณเรา ทั้งสองก็จะไม่สามารถหลุดพ้นจากคำสาปอันเลวร้ายของราชานาคฝ่ายมืดนั้นได้ พวกนางจะกลับเป็นหิน ซึ่งนั้นหมายความว่าเทพวิรุณปักขะท่านก็จะไม่มีวันได้พบเทวนารีแห่งราศีกรกฏ และสิงห์ชั่วนิรันดร์’
‘ว่ากระไร…เป็นไปไม่ได้..’
‘พี่ปูน้อย พี่สิงห์น้อย…คือเมดูซ่าและแอนโรเมดา…’
จิตลึกลับที่บ่งบอกออกมาทำให้ร่างไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง และเรอินะสะท้านเฮือกและอุทานออกมาขึ้นพร้อมกัน เมื่อรับรู้ว่าสตรีทั้งสองที่กำลังต่อสู้แลกชีวิตกันนั้นคือสองเทวนารีที่ ทุกคนติดตามหามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่จิตลึกลับนั้นส่งเสียงออกมาอย่างต่อเนื่อง
‘เทพวุรุณปักขะ เทวนารีแห่งราศีมังกรและธนู จงสงบใจฟังเราให้ดี พวกท่านมีเวลาเพียงชั่วโมงเดียวที่จะยุติคำสาปซึ่งครอบงำนางทั้งสองนั้น มากว่าสามพันปี หากท่านทำไม่สำเร็จในคืนเพ็ญนี้ เมื่อพ้นเที่ยงคืนไปหนึ่งชั่วโมง อำนาจของแสงจันทร์วันเพ็ญที่จะปลดปล่อยคำสาปแห่งอดีตกาลจะหยุดลง พวกนางจะกลับเป็นหินจมลงไปในท้องทะเลอีกครั้ง จนกว่าแสงจันทร์วันเพ็ญครั้งหน้าจะกระทบร่างของพวกนางอีก’
จิตลึกลับหยุดลงอึกใจหนึ่ง ราวกับต้องการให้ทั้งสามเข้าใจในสิ่งที่ถ่ายทอดไปแล้ว และเตรียมรับรู้สิ่งที่จะถ่ายทอดต่อไป
‘เมื่อสามพันปีที่แล้ว อาณาจักรของมนุษย์กระจัดกระจายไปทั่วสี่มหาสมุทร เริ่มรวมตัวอีกครั้งหลังการล่มสลายของมหาอาณาจักรปราณ วิชาปราณได้รับการฟื้นฟู ซึ่งแม้จะไม่เข้มแข็งเท่าเทียมในอดีตแต่ก็นับว่าเหนือว่าห้วงหลังการล่มสลาย มากนัก มนุษย์ในมหาสมุทรทั้งสี่ก่อกำเนิดอารยธรรม เติบโตเป็นอาณาจักรโดยยึดถือตำนานเรื่องเล่าที่ตกทอดกันมาด้วยจาจานับแต่มหา อาณาจักรปราณก่อเกิดศาสนาแห่งเทพเจ้าขึ้นในอาณาจักรต่างๆ ซึ่งในมหาสมุทรปัจฉิมนั้นนั้นอาณาจักรที่รุ่งเรืองขึ้นมาคืออาณาจักรกรีก ที่แผ่ขยายอำนาจของตนเองไปทั่วคาบสมุทร พร้อมกับเผยแพร่ความเชื่อในศาสนาเทพเจ้าไปยังมนุษย์ ซึ่งในครั้งนั้นจักราศีที่ดูแลปกป้องมนุษย์ก็ได้ผสายอำนาจของตนเข้าไปในความ เชื่อในศาสนาเทพเจ้า เหล่าเทวนารีที่เคยปกป้องโลกอย่างลับๆ ได้รับอนุญาตจากเทพสุรัสวดีให้สำแดงร่างต่อสายตามนุษย์เป็นครั้งคราว ก่อเกิดตำนานปาฏิหารย์ต่างๆ และตอกย้ำความเชื่อถือในเทพเจ้าของมนุษย์ตลอดมา’
จิตลึกลับหยุดลงราวกับจะเปิดโอกาสให้ซักถาม แต่กลับไม่มีจิตใดสอดแทรกขึ้น
‘จริงสิ เราควรจะรู้ว่าจิตแห่งเทพวิรุณปักขะและเทวนารีกลับคืนร่างพวกท่านแล้ว ตำนานเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ความลับของผู้ที่ผ่านการเวียนว่ายในภาพมานับหมื่นปี เช่นพวกท่าน’
‘ท่านผู้เฒ่า พวกเราหาได้รับรู้ไม่ เพียงแต่เมื่อสามพันปีก่อน ภพภูมิของพวกเราและเหล่าเทวนารี กำเนิดในมหาสมุทรบูรพา ตำนานของเทพที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรปัจฉิมหรือที่รู้จักกันในชื่อแอตแลนติ คปัจจุบันนั้น เป็นสิ่งที่พวกเราใคร่รู้เช่นกัน ท่านจงบอกเล่าให้พวกเรารู้เถอะ’
ไกรวิทย์ส่งจิตตอบ ท่ามกลางเสียงการต่อสู้ระหว่างเมดูซ่าและแอนโดรเมดาที่ดำเนินห่างออกไปหนึ่งร้อยวา
‘วันหนึ่งในอาณาจักรกรีก ฟอซีส มหาเสนาบดีกลาโหมของอาณาจักรได้ให้กำเนิดธิดาน้อยที่งดงามนางหนึ่ง นางได้รับชื่อจากบิดานางว่าเมดูซ่า เมื่อนางเติบโตขึ้นเข้าสู่วัยเด็กหญิงวัยเพียงสิบกว่าปี ความงามของนางก็เลื่องระบือไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าขุนนางต่างพากันนำบุตรชายของตนมาแนะนำเพื่อมั่นหมาย แต่เมดูซ่าผู้ได้รับการถ่ายทอดปราณจากบิดาผู้เป็นมหาเสนาบดีกลาโหมอันเป็น ผู้เข้มแข็งเหนือผู้ทรงปราณใดในอาณาจักร กลับไม่ให้ความสนใจกับชายใด นางประกาศที่จะแต่งงานกับคนที่นางรอคอยเท่านั้น คนๆ นั้นแม้นางเองก็ไม่รู้จักแต่นางรู้ว่านางได้พบคนๆ นั้นในความฝันมาตลอดชีวิต คำปฏิเสธของนางยิ่งทำให้ชายหนุ่มผู้ทรงปราณทั่วอาณาจักรพยายามเข้าหานางแต่ ไม่มีใครสามารถเอาชนะไม่ว่าจะเป็นหัวใจหรือปราณที่สูงสุดยอดของนางได้ ตำนานความงามของนางยิ่งเลื่องลือ จนแม้กระทั่งกษัตริย์เซฟเฟียส ก็ยังพยายามขอนางจากมหาเสนาบดีฟอซีส ซึ่งแม้จะไม่สำเร็จเพราะฟอซีสนั้นคือผู้ทรงปราณที่บรรลุแล้วซึ่งปราณสูงสุด ของมนุษย์และกำลังจะก้าวพ้นไปสู่ขอบเขตแห่งเทพเจ้า กษัตริย์เซฟเฟียสจึงไม่กล้าบังคับมหาเสนบดีของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามนี่กลับทำให้ความริษยาของเหล่าสตรีในอาณาจักรก็ยิ่งทบทวี จนพระนางแคสิโอเปียมเหสีของกษัตริย์ฟอซีสก็พยายามหาทางกำจัดนางทุกวิถีทาง จนในที่สุดนางก็เสาะพบกริชสลายปราณโบราณที่สามารถทำลายปราณคุ้มครองร่างทุก ชนิดได้ นางสั่งให้ทหารผูกมันติดกับธนูและลอบยิงสังหารเมดูซ่าในคืนเดือนเพ็ญกลาง เทศกาลบูชาเทพเจ้า’
จิตลึกลับหยุดลงอีกครั้ง เพื่อรอคำถามที่อาจเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนผู้ฟังทั้งสามจะจรดต่ออยู่กับชะตากรรมของหญิงสาวนามเมดูซ่า จึงปราศจากกระแสจิตใดสอดแทรกเรื่องราวขึ้นมาแม้แต่น้อย
‘อาจเป็นเพราะชะตาลิขิตเอาไว้ เพราะกริชสลายปราณที่พระนางแคสิโอเปียใช้นั้นมันคือส่วนหนึ่งของปลายธนู โบราณที่ธิดาแห่งเผ่าพันธุ์นาคในยุคเริ่มต้นชีวิต ใช้ยิงเข้าสู่ดวงตาทำลายจิตายุภาพของราชานาคฝ่ายมืด จิตตานุภาพนี้หาได้สลายไปไม่แต่กลับทวีอำนาจสูงสุดในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เมื่อกริชสลายปราณถูกยิงเข้าสู่หัวใจของเมดูซ่ากลางแสงจันทร์คืนเพ็ญ จิตานุภาพนั้นจึงเข้าครอบครองร่างและจิตของนางแทนที่ เส้นผมของนางกลับกลายเป็นงูพิษ ร่างกายที่งดงามเหนือนารีใดได้แปรเปลี่ยนเป็นสตรีกึ่งอสรพิษที่พวกเจ้าเห็น เบื้องล่างนั่น เพียงนางจับจ้องมองสิ่งมีชีวิตใดในรัศมีหนึ่งร้อยวา ทุกชีวิตก็กลับกลายเป็นหินในทันที ทำให้คืนเพ็ญนั้นเป็นมหาวิปโยคของอาณาจักรกษัตริย์เซฟเฟียส ประชาชนกว่าหมื่นคนที่มาร่วมงานเทศกาลกลับกลายเป็นศิลา เมดูว่าอาละวาดอย่างบ้าคลั่งด้วยปราณดั้งเดิมในร่างผสานกับจิตตานุภาพแห่ง นาคฝ่ายมืด ปราณของนางจึงปราศจากผู้ยับยังได้ จิตที่ถูกปิดกั้นปล่อยให้จิตแห่งนาคฝ่ายมืดครอบครองทำให้นางเริ่มทำลายทุก สิ่งรอบตัวด้วยความโกรธแค้น จนกษัตริย์เซฟเฟียสต้องทำพิธีบูชาขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้า ซึ่งก็คือจักรราศี แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น ความพินาศของอาณาจักรจึงคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ..’
‘เหตุใดจักราศีจึงไม่ช่วยเหลือเมื่อได้รับการร้องขอ เรอินะเคยศึกษาตำนานแห่งจักรราศีมาแล้ว แต่ไม่เคยพบบันทึกใดที่อกล่าวถึงการขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์กรีกให้ จัดการเมดูซ่าเลย’
เรอินะอดส่งจิตขัดคำบอกเล่าออกมาไม่ได้เมื่อรับรู้ว่าจักราศีเพิกเฉยต่อคำร้องของผู้ปะสบภัย
‘เรอินะเจ้ายังคงเป็นเทวนารีที่ช่างสงสัยโดยไม่แปรเปลี่ยน ถูกแล้วจักราศีที่ตั้งขึ้นใหม่หลังจากการสูญจิตของมหาเทพวิรุณปักขะและเหล่า เทวนารี ยังคงมีหน้าที่ตามเทวบัญชาของสองมหาเทพสูงสุดให้ปกป้องโลก แต่การตัดสินใจไม่ช่วยเหลือนี้คือการตัดสินใจของเทพสุรัวสวดีเอง เพราะนางเห็นว่าชาวกรีกควรได้รับผลกรรมจากการงมงายในราคะของกษัตริย์ และความริษยาของพระราชินี นางจึงจงใจละเว้นความช่วยเหลือ ซึ่งเมื่อการสวดอ้อนวอนเทพเจ้าไม่เป็นผลและทั้งนครรอรับความพินาศนั้น พระธิดาของกษัตริย์เซฟเฟียสนามแอนโรเมดา ผู้เป็นศิษย์ที่ทรงปราณสูงสุดในเหล่าศิษย์แห่งมหาเสนาบดีฟอซีส ได้อาสาจะกำจัดเมดูซ่าด้วยตนเอง ทำให้กษัตริย์เซฟเฟียสซึ่งไร้หนทางอื่นต้องยอมรับ แต่เพื่อช่วยเหลือพระธิดา จึงสั่งเหล่าทหารรักษาพระองค์ผู้ทรงปราณระดับสูงกว่า 500 นาย ถ่ายปราณและพลังชีวิตเข้าสู่ร่างพระธิดาแอนโดรเมดา และด้วยพลังนี้เองปราณของแอนโดรเมดาจึงทะยานพ้นของเขตมนุษย์เข้าสู่ขอบเขต เทพเจ้าในระดับเทียบเคียงได้กับเหล่าเทวนารี นางได้ทะยานออกไปต่อสู้กับเมซ่าท่ามกลางซากหักพังของอาณาจักร แต่พลังของนางนั้นเพียงคู่คี่ก้ำกึ่งกับพลังของเมดูซ่าเท่านั้น จึงไม่ปรากฏผลแพ้ชนะแม้จะต่อสู้กันถึง 7 วัน 7 คืน’
‘เหตุใดแอนโดรเมดาจึงต้องรับหน้าที่นี้ ในเมื่อบิดาของเมดูซ่านั้นคือผู้ทรงปราณที่กำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวะ ทำไมจึงไม่สกัดกั้นบุตรีของตนเองและปลดปล่อยให้นางพ้นจากการครอบงำของจิตตา นุภาพแห่งนาคฝ่ายมืด’
จิตของเซี่ยวเล้งดังขึ้นระหว่างการบอกเล่าเรื่องราวในอดีต ที่ดูจะขัดแย้งกับเหตุผลที่ควรจะเป็น ทำให้จิตลึกลับนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะแฝงความเศร้าเอาไว้ เลือนราง
‘เทวนารีแห่งราศีมังกรเป็นผู้ละเอียดรอบคอบสมกับเป็นขุนทัพแห่งเทพวิรุณปัก ขะ จริงทีเดียวที่หน้าที่ในการจัดการกับเมดูซ่าควรจะเป็นหน้าที่ของมหาเสนบดี ฟอซีส แต่ด้วยกรรมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทำให้ในคืนวันเพ็ญแห่งเทศกาลนั้น กลับเป็นวันที่จิตของมหาเสนาบดีได้บรรลุพ้นขอบเขตมนุษย์เข้าสู่จิตแห่ง เทพเจ้าเป็นครั้งแรก ปราณสุญญตากำเนิดขึ้น และเพียงอีกในชั่วชั่วอึดใจเดียวกายและจิตของมหาเสนาบดีก็จะหลุดพ้นจาก จักรวาลเข้าสู่ความเป็นนิรันดร์ แต่จิตที่หยั่งรู้ถึงทุกสรรพสิ่งนั้นกลับได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเม ดูซ่าผู้เป็นธิดา สลักแห่งกรรมจึงปิดสกัดการบรรลุผ่านเข้าสู่ภาวะสุญญตาในวินาทีสุดท้าย มหาเสนาบดีผู้บรรลุปราณสุญญตาจึงติดอยู่ในวัฏฏะไม่สามารถผ่านออกไปได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะแม้มหาเสนบดีจะปรากฏร่างต่อหน้าเมดูซ่าจนทำให้ปราณในร่างไม่ก่อเกิด ก็เพียงยับยั้งการทำลายที่เกิดขึ้นได้ชั่วขณะ ดังนั้นสิ่งเดียวที่มหาเสนาบดีฟอซีสกระทำได้ คือการใช้ปราณวิญญาณซึ่งผู้บรรลุปราณสุญญตาจะใช้ได้เพียงครั้งเดียวก่อนละ จากจักรวาล ผนึกเมดูซ่าเอาไว้และย้ายร่างนางจากทะเลอีเจียนในกรีกมายังเกาะร้างที่อยู่ คนละฟากพิภพนี้ แต่ขณะที่ปราณวิญญาณเกาะกุมจิตตานุภาพแห่งนาคเผ่ามืดนั้น เป็นวินาทีที่พระธิดาแอนโดรเมดาตัดสินใจแลกชีวิตกับเมดูซ่า ด้วยการโถมกายผนึกปราณทั่วร่างเอาไว้กับดาบพุ่งทะลวงใส่หัวใจของเมดูซ่า ปิดสกัดพลังในร่างทำให้ร่างเมซ่ากลับกลายเป็นหิน แต่ก็เป็นเสี้ยววินาทีเดียวกันที่งูบนศีษะเมดูซ่าก็ฉกกัดร่างนางนับไม่ถ้วน ทำให้ร่างนางกลับกลายเป็นหินไปพร้อมกัน ดังนั้นเมื่อมหาเสนาบดีฟอซีสย้ายร่างเมดูซ่ามาในทะเลบูรพานี้ ร่างศิลาของพระธิดาแอนโดรเมดาจึงติดมาด้วย และอยู่ในที่นี้มากว่าสามพันปีแล้ว เช่นเดียวกับจิตที่ยังคงติดกับสลักแห่งกรรมของมหาเสนาบดีฟอซีส ที่เฝ้าอยู่ร่วมกับพวกนางโดยไม่สามารถก้าวข้ามพ้นจักรวาลไปได้…’
‘ที่แท้…ท่านผู้เฒ่าก็คือมหาเสนาบดีฟอซีส ผู้เป็นบิดาของเมดูซ่าและอาจารย์ของแอนโดรเมดา’
เรอินะส่งจิตอุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อจิตลึกลับ ซึ่งบัดนี้กระจ่างต่อทุกคนแล้วว่าคือจิตที่บรรลุปราณสุญญตาแต่ยังคงติดอยู่ กับจักรวาลปัจจุบันเพราะความผูกพันในฐานะบิดาบุตรและศิษย์ ก่อให้เกิดสลักกรมที่ขวางกั้นการบรรลุปราณสุญญตาขั้นสุดท้าย
‘ถูกต้องเราคือฟอซีส และเคยเป็นยังเป็นนักบวชแห่งมหาอาณาจักรปราณผู้เป็นบิดาแห่งเด็กสาวผู้งดงาม นามรีอา ผู้ต่อมาได้เข้าถวายตัวเป็นเทวนารีแห่งราศีกรกฏ และเป็นอาจารย์ของพระธิดาแอนโดรเมดา ผู้เป็นเทวนารีแห่งราศีสิงห์ในบัญชาของเทพวิรุณปักขะ บัดนี้ท่านจดจำเราได้แล้วหรือไม่…’
จิตของฟอซีสทำให้ไกรวิทย์ เซี่ยวเล้ง และเรอินะนิ่งงันไป ภาพของเด็กสาวเรือนผมยาวสยายที่ดูอ่อนโยนนุ่มนวล เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน แต่ในยามสงครามกลับกลายเป็นเทวนารีผู้ดุดันด้วยวิชาปราณนามปุสสะหัตถ์ ที่ทะลวงตัดแยกร่างศัตรูนับพันที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความแข็งกร้าวและไม่ คำนึงถึงสิ่งใดนอกจากชัยชนะ และภาพของเด็กสาวผมสีทองกระจ่างจ้าสยายไปทุกทิศในสมรภูมิราวพญาราชสีห์ที่ ปราศจากผู้ใดต้านทาน พลันปรากฏขึ้นในจิตของทุกคน
‘รีอา ปูน้อยผู้แข็งกร้าวต่อศัตรูแต่อ่อนหวานนักกับเราและเหล่าเทวนารี มูนีน สิงห์น้อยผู้ไม่เคยเกรงกลัวศัตรูใดนอกจากเพื่อนเทวนารีที่นางรัก ท่านซีลุส เราจำท่านได้แล้ว..ไม่นึกเลยว่าจะได้พบท่านในภพภูมินี้…’
ไกรวิทย์ส่งจิตคารวะไปยังจิตฟอซีส ผู้เคยมีฐานะเป็นซีลุสนักบวชแห่งมหาอาณาจักราปราณและบิดาของหนึ่งในสตรีที่รัก
‘เทพวิรุณปักขะ..ไม่สิ เราสมควรเรียกท่านด้วยชื่อในภพภูมิสุดท้าย ท่านไกรวิทย์ จงเรียกหาเราด้วยชื่อของฟอซีสเถอะ เพราะนั่นคือชื่อในภพภูมิสุดท้ายของเราเช่นกัน…’
‘ท่านฟอซีส หากเซี่ยวเล้งคิดที่ท่านผู้เฒ่าบอกเล่ามาหมายความว่าหลังจากท่านนำร่างศิลา ของเมดูซ่าและแอนโดรเมดามายังอีกซีกโลกหนึ่งนั้น ยามใดที่ร่างพวกนางกระทบแสงจันทร์วันเพ็ญ จิตตานุภาพแห่งนาคเผ่ามืดก็จะกลายร่างกลับสู่ชีวิต พวกนางจึงต่อสู้กันอีกครั้งจนกว่าหนึ่งชั่วยามผ่านพ้น แสงจันทร์หมดอำนาจ ร่างพวกนางจะกลับสู่ศิลาอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นหากเราจะช่วยให้พวกนางพ้นจากสภาพนี้เราจำเป็นต้องกระทำภายในชั่วโมง นี้เท่านั้น ถูกหรือไม่’
‘เทวนารีแห่งราศีมังกรปราดเปรื่องยิ่ง ถูกต้องแล้ว ตลอดสามพันปีมานี้ทุกหนึ่งชั่วยามในวันพระจันทร์เต็มดวง พวกนางจะกลับพื้นชีวิตและต่อสู้โดยปราศจากผู้แพ้ชนะเช่นนี้ตลอดมา และจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าโลกดับสูญ…’
จิตที่สงบนิ่งของฟอซีสตอบหญิงสาวโดยปราศจากอารมณ์ ราวกับว่ากำลังกล่าวถึงมนุษย์ทั่วๆแทนที่จะเป็นธิดาของตนเอง ซึ่งสำหรับไกรวิทย์ที่คุ้นเคยกับจิตที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกผูกพันต่อโลก เช่นกองคำ จิตของฟอซีสจึงไม่ใช่สิ่งผิดปกติสำหรับไกรวิทย์แต่อย่างใด
‘ในเมื่อท่านผู้เฒ่าเคยช่วยเหลือเรอินะมาก่อน เหตุใดจึงไม่สามารถช่วยเมดูซ่าและแอนโดรเมดาให้พ้นจากคำสาปชั่วนิรันดร์นี้ได้..’
จิตเรอินะส่งออกมาอย่างเร่งร้อน แฝงความไม่พอใจเอาไว้จนรู้สึกได้ แต่จิตของฟอร์เซียสกับตอบมาด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทเช่นเดิม
‘เรอินะเด็กน้อยเจ้าเข้าใจผิดแล้ว เราหาได้ช่วยเหลือเจ้าไม่เพราะเราไม่สามารถแทรกแซงใดๆ ต่อจักรวาลนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ในครั้งที่เจ้าหลงทางอยู่กลางทะเลนั้น เราเพียงแต่เปิดทางให้เจ้าเข้ามาพำนักในเกาะที่ไร้ตัวตนด้วยอำนาจของเราแห่ง นี้ วิชาเปลี่ยนร่างที่เจ้าได้เรียนรู้เราหาได้สอนเจ้าไม่ ทิศทางในการเดินทางกลับเข้าฝั่งที่เจ้ารู้ ล้วนเกิดจากเจ้าได้ยินสิ่งที่เรากล่าวโดยปราศจากเป้าหมาย แต่ในเมื่อเจ้าได้ยิน นั่นนับเป็นวาสนาของเจ้า ระหว่างเราสองหามีข้อผูกพันใดๆ ไม่ นอกจากนี้เรารู้ว่าเจ้ากำลังตั้งใจจะขอร้องให้เราละจากเกาะร้างแห่งนี้ไป ช่วยไกรวิทย์ในการต่อสู้กับจักราศี แต่เราขอบอกเจ้าว่าสิ่งที่เจ้ากำลังจะขอนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถช่วยเหลือชี้แนะสิ่งใดที่จะส่งผลต่อจักรวาลนี้ได้อีกต่อไป ปราณสุญญตาในร่างเราไม่ใช่ปราณในการต่อสู้หากแต่เป็นปราณที่หยุดความต้องการ และอารมณ์ทั้งปวง ดังนั้นแม้เราจะยอมตามเจ้าไปปรากฏกายในสมรภูมิระหว่างพวกเจ้ากับจักราศี สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือทุกชีวิตจะยุติการต่อสู้ ทุกชีวิตจะปราศจากความคิดมุ่งร้าย แต่นั่นเป็นการยุติชั่วคราวเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่เราจากไปการรบก็จะดำเนินต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความมุ่งหวังของเจ้าจึงปราศจากประโยชน์ใดๆ’
จิตฟอร์เซียสตอบคำถามเรอินะทั้งคำถามปัจจุบันและคำถามที่อยู่ในส่วนลึกของ จิตใจ ทำให้เรอินะต้องชะงักจิตที่พยายามเอาชนะในทันที ขณะจิตเซี่ยวเล้งแทรกขึ้นมา
‘ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าเราต้องช่วยพวกนางให้พ้นจากอาถรรพ์ของจิตตานุภาพ นาคฝ่ายมื แต่วิธีนั้นแม้ท่านฟอร์เซียสจะรู้แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกต่อพวกเราได้ใช่หรือ ไม่ เพราะนั่นจะเป็นการแทรกแซงจักรวาลนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าการช่วยเหลือพวกนางเท่ากับเป็นการถอดสลักกรรมที่ตรึงท่านอยู่ในจัก วาลนี้และทำให้ท่านหลุดพ้นจากวัฏฏะก็ตาม เซี่ยวเล้งเข้าใจถูกต้องหรือไม่…’
จิตเซี่ยวเล้งที่ส่งออกไปกลับได้รับความเงียบกลับมา ราวกับว่าจิตของฟอร์เซียสถ่ายทอดทุกสิ่งที่สามารถถ่ายทอดได้ออกมาแล้ว จึงยุติการติดต่อทั้งปวงลงในทันที
‘พี่เอ….พวกนางคือรีอาและมูนีน แล้วเราจะช่วยพวกนางได้อย่างไร…’
ดวงตาไกรวิทย์จับจ้องภาพร่างสตรีกึ่งอสรพิษ และเทพธิดาในชุดขาวที่กำลังต่อสู้กันอย่างไร้จุดหมาย ดวงจิตที่สร้างสมความรอบรู้แห่งอดีตกาลผสานเข้ากับวิทยาการปัจจุบันขบคิดไม่ หยุดยั้งถึงหนทางที่จะยุติอาถรรพ์ดึกดำบรรพ์ที่ดำเนินมาตั้งแต่ก่อนยุคมหา อาณาจักรปราณ
‘เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว เรามีเวลาอีกเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นที่จะยุติคำสาปโบราณ
และ นำปูน้อย สิงห์น้อยกลับมาหาพวกเรา…แต่เซี่ยวเล้งเองก็ยังไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร เพราะปราณที่พวกนางใช้ต้อสู้นั้นแทบจะเทียบเทียมได้กับพวกเราเหล่าเทวนารี การบังคับให้นางยุติการต่อสู้โดยไม่ทำร้ายพวกนางนั้นจึงเป็นไปไม่ได้…พี่ เอ..เซี่ยวเล้งคิดว่า…’
‘เซี่ยวเล้งเรอินะ ผนึกจิตปิดจักษุประสาท เปิดรับสัมผัสแห่งกายให้สูงสุด แยกเข้าโจมตีแอนโดรเมดา สกัดนางไว้ในพลังปราณ พี่จะรับมือเมดูซ่าเอง…’
ยังไม่ทันที่เซี่ยวเล้งจะออกความเห็นสิ้นสุด จิตของไกรวิทย์ที่เปี่ยมด้วยอำนาจก็ส่งออกมาแทรก ร่างสูงตระหง่านที่กระจายหมอกดำสนิทออกจากร่างบอกถึงการผนึกกาฬปราณพร้อม ต่อสู้ พุ่งวาบยังตำแหน่งกึ่งกลางของการต่อสู้ระหว่างสตรีทั้งสอง เรอินะและเซี่ยวเล้งหันมาสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนปิดดวงตาทั้งสองเข้าหากัน ประสาทสัมผัสในร่างถูกเร่งเร่าขึ้นสูงสุดจนสัมผัสได้ถึงอณูของสายลมที่ป่าน ร่าง ยามที่สองเทวนารีโถมลงไปยังตำแหน่งที่แอนโดรเมดาต่อสู้อยู่
………..เปรี้ยง……….
เสียงกัมปนาทดังกึกก้องเมื่อร่างที่ผนึกปราณคุ้มครองร่างไกรวิทย์พุ่งวาบลง ระหว่างกลางของเมดูซ่าและแอนโดรเมดา สองมือผนึกปราณแยกย้ายกระแทกคู่ต่อสู้ทั้งสองออกจากกันจนปลิวออกห่างกัน พร้อมกับที่เรอินะและเซี่ยวเล้งแผ่ข่ายพลังครอบคลุ่มร่างแอนโดรเมดาไว้ ดึงแยกออกจากวงต่อสู้ ปล่อยให้ไกรวิทย์เผชิญหน้ากับเมดูซ่าสตรีกึ่งอสรพิษที่โถมทะยานร่างเข้าหา ผู้มาแทรกแซงการต่อสู้เต็มกำลัง
….ฟึ่บ….
ฝูงงูที่ประกอบเป็นเส้นผมของเมดูซ่า พุ่งเข้าหาไกรวิทย์ราวกับห่าฝนด้วยความยาวที่ขยายออกมาจากสภาพปกติหลายเท่า ประสาทสัมผัสที่ผิวหนังซึ่งถูกเร่งเร้าถึงขีดสุดทำให้ไกรวิทย์รู้ถึงตำแหน่ง ที่งูแต่ตัวพุ่งเข้าฉกราวกับใช้ดวงตาจับจ้อง ปราณคุ้มครองร่างถูกเร่งเร้าเพื่อป้องกันขณะที่ร่างพุ่งเข้าประชิดตัวเมดู ซ่า แต่แล้วไกรวิทย์ก็ต้องสะท้านใจเล็กน้อยเมื่อรับรู้ว่าคมเขี้ยวของงูที่พุ่ง เข่าใส่นั้นทะลวงผ่านม่านปราณคุ้มครองกายที่แข็งแกร่งราวเกราะเหล็กกล้าเข้า มาถึงผิวหนังชั้นนอก จนสัมผัสได้ถึงเมือกคาวคละคลุ้งที่น้ำลายงูที่กระเซ็นซ่านจากเขี้ยวที่อ้า กว้างพร้อมฉกกัด ทำให้ไกรวิทย์ต้องรีบดีดตัวออกจากรัศมีรอบกายเมดูซ่าทันที ขณะที่มวลพลังเรืองแสงสีเขียวอ่อนคมกริบถูกปลดปล่อยจากรูขุมขนของสตรีกึ่ง อสรพิษ กระแทกเข้าหาปราณคุ้มครองร่างชั้นนอกจนแตกกระจาย และปะทะกับม่านปราณชั้นในจนสะเทือนไปทั่วร่าง
ไกรวิทย์สูดลมหายใจลึกยาว ร่างโผขึ้นสู่ท้องฟ้าหลบหลีกการโจมตีของพลังคมกริบรอบตัว ปราณคุ้มครองร่างทั้งหมดถูกดึงกลับแห่กระจายไปยังเส้นเลือดหลักทั้งห้า พริบตานั้นมวลปราณสีดำที่ห้อหุ้มร่างกายชายหนุ่มพลันสลายวับ ปรากฏเป็นร่างไกรวิทย์ในชุดเกราะนิลกาฬแห่งเทพวิรุณปักขะขึ้นแทนที่ พริบตาเดียวกันนั้นมวลปราณคมกริบที่พลาดจากเป้าหมายไปเมื่อครู่กลับวกย้อนมา ใส่ร่างชายหนุ่มอีกครั้ง
…….เปรี้ยง…….
ปราณสีเขียวกลับแตกกระจายออกเป็นม่านหมอกในทันทีที่กระทบเกราะนิลกาฬ ไกรวิทย์กำหนดตำแหน่งเมดูซ่าจากความเคลื่อนไหวจนแจ่มชัดในจิต ขณะพุ่งร่างลงหาจากเบื้องบน พร้อมกับส่งจิตเร่งร้อนกับคู่ต่อสู้
‘เมดูซ่า…ท่านสามารถสื่อสารกับเราได้หรือไม่’
‘………ก๊าซ……….’
แทนที่จะมีคำตอบ จิตของสตรีกึ่งอสรพิษกลับโต้ตอบมาด้วยเสียงขู่ของอสรพิษที่แทรกผ่านจิตไกร วิทย์จนสั่นสะท้าน พลังมหาศาลกวาดเข้าโจมตีมาจากด้านหลัง ซึ่งไกรวิทย์รู้ดีว่านั่นคือขนดหางอสรพิษสีทองที่พุ่งส่วนปลายเข้าหาราวกับ หอกเหล็กกล้า ร่างชายหนุ่มพลิกกลับหลัง จิตกำหนดตำแหน่งของการโจมตีขณะแผ่พุ่งพลังไว้ในฝ่ามือตะปบจับปลายหางอสรพิษ ไว้อย่างแน่นหนา ร่างไกรวิทย์กลับหมุนวนเต็มที่เพิ่มแรงกระชากหางอสรพิษในมือ โดยใช้ตนเองเป็นแกนหมุนเหวี่ยง ทำให้ร่างเมดูว่าถูกแรงหนีศูนย์กลางผลักดันจนเหยียดตรงหมุนวนตามการเหวี่ยง ของไกรวิทย์รอบแล้วรอบเล่า ก่อนที่ไกรวิทย์จะคลายมือส่งร่างเมดูซ่าให้พุ่งลงไปสู่พื้นชายหาดกรวดเบื้อง ล่างเต็มกำลัง
……โครม…..
ร่างอันน่าสะพรึงกลัวของสตรีกึ่งอสรพิษพุ่งเข้ากระแทกพื้นหาดกรวดจนเกิด เสียงดังสนั่น หาดกรวดแยกออกเป็นหลุมลึก โดยมีร่างของเมดูซ่านอนสงบนิ่งอยู่ตรงกลาง ไกรวิทย์ร่อนร่างลงยังตำแหน่งข้างหลุม โสตสัมผัสรับรู้ถึงเสียงหายใจหอบกระชั้นราวกับสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บใจกลาง หล่มลึก แต่ยังไม่ทันที่สองเท้าไกรวิทย์จะสัมผัสพื้นหาดกรวด วงหางทรงพลังของเมดูซ่าก็โฉบวูบมาพันเท้าทั้งสองไว้ราวปลอกเหล็ก ม้วนพันร่างชายหนุ่มเอาไว้ในขนดหางยาวเหยียด จนไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ร่างมนุษย์ของเมดูซ่าพลันยกตัวขึ้นจากพื้นหล่ม ดวงตาสีเหลืองส่องประกายเจิดจ้าจับจ้องเหยื่อที่ถูกรัดพันไว้ในขนดหาง ริมผีปากที่งามได้รูปของสตรีพลันแยกออกเป็นช่องกว้างเช่นงูที่กำลังกลืนกิน เหยื่อ พุ่งลงหาศีรษะไกรวิทย์ที่โผล่พ้นขนดหางเพื่อกลืนกินในคราวเดียว
—————————–
“พวกเจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงมาช่วยเหลืออสูรร้ายเมดูซ่า…”
ท่ามกลางพลังปราณที่เซี่ยวเล้งและเรอินะแผ่เป็นม่านพลังกักตัวหญิงสาวชุดขาว ที่กำลังแผ่พุ่งกระแสปราณขาวสะอาดเป็นเส้นสายฟาดใส่ม่านพลังจนกระเทือนเป็น ระลอก เสียงตวาดก้องดังออกจากปากเรียวบางของสตรีงาม ซึ่งเซี่ยวเล้งและเรอินะได้รับรู้แล้วว่าคือพระธิดาของกษัตริย์กรีกเมื่อสาม พันปีก่อนนามแอนโดรเมดา และยังเป็นสตรีผู้มีจิตแห่งเทวนารีราศีสิงห์หลับใหลอยู่ภายใน เสียงกังวานก้องที่เปล่งออกมาด้วยภาษากรีกโบราณนั้นไม่ยากต่อการทำความเข้า ใจของสองเทวนารีผู้ผ่านชาติภพมากว่าหมื่นปี แต่แทนที่จะตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกัน เซี่ยวเล้งกลับกำหนดจิตส่งไปยังแอนโดรเมดาอย่างนุ่มนวล
‘น้องสาวที่น่ารักของเรา ท่านรับการสื่อสารทางจิตนี้ได้หรือไม่…’
‘เสียง..เสียงอะไร..ทำไมดังในสมองข้า พวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดจึงขัดขวางเรา เหตุใดจึงสามารถส่งข้อความมายังสมองข้า..เหตุใด..’
‘พี่มูนีน ไม่ใช่สิ พี่แอนโดรเมดา พวกเราหาใช่ศัตรูท่านไม่ เราคือเรอินะเทวนารีแห่งราศ๊ธนู และพี่สาวนางนี้คือเซี่ยวเล้งเทวนารีแห่งราศีมังกร เราสอง….’
‘พวกเจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ และไม่สนใจ เทวนารีจักราศีทอดทิ้งอาณาจักรของข้า จนข้าต้องมาทำลายนางอสูรเมดูซ่าด้วยตนเอ… พวกเจ้าปล่อยข้าจากม่านปราณเดี๋ยวนี้…’
จิตเกรี้ยวกราดแต่เต็มไปด้วยความแตกตื่นของแอนโดรเมดาสั่งออกมาอย่างเร่ง ร้อน ขณะร่างงามนั้นโฉบแวบไปมาในม่านพลังปราณ พร้อมสะบัดเชือกแสงเรืองรองกระทบม่านพลังจนเกิดเสียงระเบิดดังลั่นตลอดเวลา ด้วยพลังที่ทำให้เรอินะและเซี่ยวเล้งต้องหันมาสบตาด้วยความประหลาดใจเมื่อพบ ว่าความเข้มแข็งของพลังปราณหญิงสาวนั้นแทบจะเทียบเคียงได้กับเทวนารีแห่งจัก ราศี จนสามารถผนึกพลังจิตสื่อสารได้
‘อันโดรเมดาจงสงบสติของท่านไว้ พวกเรามาช่วยท่านให้พ้นจากคำสาปที่ทำร้ายทั้งท่านและเมดูซ่ามากว่าสามพันปีแล้ว…’
‘สามพันปี เจ้าวิปริตไปแล้วหรือไร ข้าเพิ่งปะทะกับนางอสูรนี้เมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมานี่เอง หากข้าไม่สามารถสังหารนาง อาณาจักรของข้าก็จะต้องล่มสลายไปกับอำนาจอสูรของนาง…’
‘แอนโดรเมดา พวกเราดึงท่านออกมาห่างเมดูซ่าเกินหนึ่งร้อยวาแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องปิดดวงตาของท่านไว้อีกต่อไป จงลืมตาขึ้นและมองดูรอบกายว่าท่านอยู่ ณ ที่ใด’
จิตเซี่ยวเล้งส่งออกไปอย่างนุ่มนวล ขณะที่แอนโดรเมดาหยุดการต่อสู้ผนึกประสาทสัมผัสจนรับรู้ว่าเมดูซ่าไม่ได้ อยู่ในรัศมีรอบตัว ดวงตาบนใบหน้างดงามนั้นก็เบิกขึ้นช้าๆ จับจ้องไปยังศัตรูที่กักตนเองเอาไว้ในม่านปราณ แต่ทันใดที่เซี่ยวเล้งและเรอินะได้เห็นดวงตาสุกใสนั้น สองเทวนารีก็อุทานออกมาพร้อมกัน
‘ตาท่าน….’
‘ไม่ผิดพลาดจริงๆ นางคือพี่มูนีน…พี่เซี่ยวเล้งจำดวงตรารูปสิงห์ที่กลัดไว้ที่ไหล่นางได้หรือไม่’
ดวงตาหญิงงามที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นสุกใสราวดวงดาว แต่สิ่งที่ทำให้สองเทวนารีอุทานนั้นหาใช่ความงามของดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่ แต่กลับเป็นสีของดวงตาที่ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าครามสดใส ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นกลับเป็นสีเขียวมรกตของน้ำทะเล ความทรงจำของสองเทวนารีพลันระลึกถึงดวงหน้าของเพื่อนเทวนารีผู้แก่งกร้าว แห่งราศีสิงห์ ผู้มีดวงตาสองสีเช่นนี้โดยไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยที่ไหล่ขวาของหญิงสาวอัน เป็นจุดที่ปมผ้าทั้งหมดรวมตัวกัน กลัดไว้ด้วยดวงตราทองคำขนาดฝ่ามือ สลักเป็นรูปใบหน้าสิงห์กำลังคำราม อันเป็นดวงตราประจำเกราะปราณแห่งเทวนารีราศีสิงห์ในอดีตอย่างไม่ผิดเพี้ยนไป แม้แต่น้อย
‘ใครคือมูนีน แล้วพวกท่านคือผู้ใดกันแน่ ท่านสวมใส่เกราะที่แปลกตา แต่ไม่สามารถปิดร่างกายตามที่สตรีควรปิด นับว่าเป็นการแต่งกายที่ไร้ยางอายยิ่ง..แต่เราผู้เป็นราชธิดาแห่งกษัตริย์ เซฟเฟียสไม่ต้องการจะถกเถียงกับเจ้า จงปล่อยให้เราปฏิบัติหน้าที่ของเรา..เอ๊ะ….’
จิตของแอนโดรเมดาชะงักลงทันทีเมื่อดวงตาที่ปิดสนิทมากว่าสามพันปีเปิดขึ้น และพลันพบว่าตนเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศเหนือเกาะร้างกลางทะเลที่เวิ้งว้าง สุดสายตา ปราณในร่างหญิงสาวพลันชะงักเมื่อได้รับผลกระทบจากความประหลาดใจจนร่างตกลง วูบหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่ร่างนั้นจะกระทบม่านานพลังรอบตัวที่สามารถทำลายร่างมนุษย์ เป็นธุลีได้ ร่างนั้นก็กลับควบคุมปราณได้อีกครั้งและกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม…
‘เป็นไปได้อย่างไร..ข้าอยู่ที่ไหนกัน เมื่อเจ็ดวันที่แล้วข้ายังต่อสู้กับนางอสูรกลางป่าลึกในอาณาจักร เหตุใดจึงกลับกลายเป็นกลางทะเลที่ไร้ทิศทางแห่งนี้…’
‘แอนโดรเมดา ท่านจงสงบใจไว้ก่อน ปราณในร่างท่านกำเนิดจากวิชาปราณฝ่ายมืดที่ดึงดูปราณแตกต่างกันของผู้ทรง ปราณมารวมในร่างเดียว แม้จะทำให้ท่านแกร่งกร้าวพ้นขอบเขตมนุษย์เข้าสู่ภาวะเทวนารี แต่มันไม่สามารถหล่อหลอมเป็นหนึ่งกับปราณท่านได้สมบูรณ์ หากท่านไม่ระงับจิตไว้เป็นสมาธิ ปราณในร่างท่านจะค่อยๆ สลายออกจากจักรทั้งสี่ ซึ่งนั่นจะทำลายจักรปราณของท่านจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ในที่สุด…’
จิตอ่อนโยนของเซี่ยวเล้งที่ไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์กราดเกรี้ยวของแอนโดรเมดา แม้แต่น้อย ทำให้หญิงสาวเริ่มระงับสติที่แตกตื่นของตนเองได้ และส่งที่น้ำเสียงมั่นคงขึ้นกลับมา
‘เจ้ากล่าวได้ไม่ผิด ปราณของเราเป็นปราณจากคัมภีร์ต้องห้ามที่มหาเสนาบดีฟอซีสผู้เป็นอาจารย์ของ เราเคยสั่งไว้ว่าห้ามฝึกปรือเพราะมันเป็นปราณที่ไม่สามารถดำรงอยู่ในร่างได้ ตลอดไป และกลับเป็นผลร้ายในระยะยาว แต่เราไม่มีทางเลือกเพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่เราจะมีปราณเท่าเทียมกับ นางอสูรที่อาละวาดทำลายชีวิตผู้คนไปนับหมื่น ในเมื่อเจ้าเรียกตนเป็นเทวนารี เราก็ขอเรียกร้องให้เจ้าร่วมกับเราในการกำจัดนางอสูรนี้ไปเสียในบัดนี้…’
‘พี่แอนโดรเมดา..การสังการนางนั้นหากพวกเราตั้งใจก็กระทำได้ง่ายดายยิ่ง เพียงธนูของเราก็สามารถสังหารนางจากระยะไกลโดยไม่ต้องเข้าไปในรัศมีดวงตาของ นางแม้แต่น้อย แต่พี่เอ ไม่ใช่สิเทพวิรุณปักขะผู้เป็นนายเหนือของเราทั้งสองกำลังต่อสู่กับนางเพื่อ หาทางช่วยเหลือนางและพี่แอนโดรเมดาพร้อมกันในคราวเดียว มิฉะนั้นหากพ้นชั่วยามนี้ไป พี่กับนางก็จะต้องกลับไปเป็นหินจนกว่าจะถึงวันเพ็ญหน้าและเริ่มการต่อสู้ที่ ไม่รู้จบนี้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า’
‘แอนโดรเมดา สิ่งที่เรอินะบอกท่านนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย ท่านจงระลึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้ของท่านกับเมดูซ่าที่ป่าลึกของกรีกให้ดี ท่านจำได้หรือไม่ว่าท่านตัดสินใจสละชีวิตใช้กริชสลายปราณแทงหัวใจนางจน สามารถปิดกั้นปราณในร่างทำให้เมดูซ่ากลับเป็นหิน แต่ท่านเองก็กลับถูกงูที่เป็นเส้นผมของนางฝังคมเขี้ยวเอาไว้นับไม่ถ้วน จนร่างท่านก็กลับเป็นหินเช่นกัน…ต่อเมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่อใด จิตตานุภาพของนาคฝ่ายมืดที่อยู่ร่างท่านและเมดูซ่าก็จะตื่นขึ้น แล้วเริ่มต้อสู่กันอีกโดยปราศจากจุดหมาย…’
จิตเรอินะและเซี่ยวเล้งที่ถ่ายทอดเรื่องราวซึ่งได้รับรู้จากมหาเสนาบดีฟอซี สให้ โดยปกปิดเรื่องการย้ายร่างคู่ต่อสู้ทั้งสองมายังเกาะร้างกลางทะเลเอาไว้ ทำให้อากัปกริยาของแอนโดรเมดาสงบลงทีละน้อย จนหลงเหลือแต่ปราณปกติที่เสริมการลอยตัวเอาไว้เท่านั้น เรอินะสบตากับเซี่ยวเล้งวูบหนึ่งก่อนถอนพลังปราณที่ผนึกเป็นม่านกักหญิง สาวออก โดยปราศจากเสียง
‘วิรุณปักขะ นามของบุรุษผู้ที่จั้งสองเอ่ยถึงนั้นฟังดูคุ้นในจิตเราอย่างยิ่ง แต่บุรุษผู้นี้จะช่วยเราได้อย่างไรในเมื่อหากเขาสังหารเมดูซ่าสำเร็จ ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเราให้พ้นจากพิษแห่งคำสาปที่จะทำให้ร่างกายเรากลับไป เป็นหินได้อยู่ดี…’
‘พี่แอนโดรเมดา จงเชื่อมั่นในมหาเทพวิรุณปักขะผู้เป็นที่รักของพวกเราเหล่าเทวนารี เถอะ…หากมท่านต้องการจะสังหารเมดูซ่าแล้ว เพียงมหาเทพผนึกกาฬปราณเข้าใส่เมดูซ่า นางก็จะต้องสูญสลายไปจากโลกไม่เหลือแม้ผงธุลี แต่เห็นไหมว่าพี่เอ ไม่ใช่สิมหาเทพท่านกลับพยายามบังคับให้เมดูซ่าอยู่ในความควบคุมเพื่อหาทาง ช่วยเหลือ แต่วิธีการนั้นมีแต่เพียงมหาเทพเท่านั้นที่รู้ เรอินะไม่สามารถคาดเดาได้…’
‘วิรุณปักขะ เทวนารี กาฬปราณ เหตุใดคำเหล่านี้จึงทำให้ร่างกายเราสั่นสะท้านแบบนี้..ทำไมหีของเราจึงเต้น ระริก ราวกับเรียกร้องให้เราสัมผัส…’
จิตแอนโดรเมดาส่งเสียงรำพึงกับตนเอง โดยไม่รู้ว่าทุกถ้อยคำนั้นถูกส่งผ่านให้สองเทวนารีข้างกายรับรู้ แต่ทั้งเรอินะและเซี่ยวเล้งไม่ได้ส่งจิตไปตอบคำรำพึงนั้น เพราะรู้ดีว่าธิดาแห่งกษัตริย์ผู้นี้เป็นสตรีที่ยึดมั่นในกรอบแห่งพรหมจรรย์ ตามศาสนาอย่างเคร่งครัด
‘ดูนั่นสิพี่เซี่ยวเล้ง พี่เอเหวี่ยงเมดูซ่าลงไปที่พื้นได้แล้ว….พี่เอจะ…มะ มะ ไม่นะ…’
จิตเรอินะกรีดร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อพบว่าท่อนหางของเมดูซ่าเหวี่ยงเข้า โอบรัดร่างไกรวิทย์แล้วพันไว้ด้วยพลังมหาศาลจนสองแขนขาของชายหนุ่มไม่สามารถ ขยับได้ พร้อมกับปากอ้ากว้างฉกวูบลงมาที่ศีรษะชายหนุ่มราวประกายไฟ…
———————————————
พริบตาที่ปากซึ่งเต็มไปด้วยคมเขี้ยวของเมดูซ่าฉกวูบลงมายังศีรษะของเหยื่อ ที่ดูเหมือนจะไม่สามารถป้องกันตัวได้นั้น ร่างของไกรวิทย์ที่เคยถูกตรึงอยู่ภายในวงรัดทรงพลังของขนดหางอสรพิษก็หดตัว วูบราวกับไร้กระดูกกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดช่องว่างในวงรัดวูบหนึ่ง ร่างไกรวิทย์พลันพุ่งขึ้นเหนือวงรัด สองแขนตวัดส่งพลังปราณสีดำสนิทเป็นก้อนกลมกระแทกเข้าใส่เพดานปากอสรพิษที่ กำลังพุ่งลงมานั้น
…..ตูม…..
……ก๊าซซซซ….
กลุ่มก้อนพลังจากฝ่ามือไกรวิทย์กระทบเพดานปากอสรพิษในตำแหน่งที่จะส่งคลื่น สะท้อนตรงไปยังสมอง จนเกิดเสียงดังสนั่น ศีรษะเมดูช่าผงะหงายออกไปพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดตามมา ขนดหางที่แข็งแกร่งราวปลอกเหล็กคลายออกจากกันแล้วบิดส่ายไปมาจากอำนาจคลื่น ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านจากสมองไปทั่วร่าง ไกรวิทย์พลิกร่างวูบขั้นกอดรัดร่างท่อนบนที่ลื่นไปด้วยเมือกอสรพิษของเมดู ซ่า กดทับร่างนั้นให้นอนหงายลงกับพื้นหาดกรวดโดยไม่ให้ความสนใจกับกลุ่มงูบน ศีรษะที่พากันพุ่งเข้าหาเพื่อฉกกัด แต่เมื่อคมเขี้ยวนับไม่ถ้วนนั้นเข้ามาใกล้กับเกราะนิลกาฬ หัวงูทุกหัวก็ต้องผงะออกไปกับปราณที่แผ่ซ่านออกจากเกราะจนไม่สามารถผ่านเข้า มาได้…
‘พี่เซี่ยวเล้ง…พี่เอกำลังทำอะไรกัน…’
เรอินะส่งจิตเร่งร้อนออกมาทันทีที่พบว่าไกรวิทย์สามารถหลุดรอดออกจาก วงรัดอสรพิษและกลับพลิกร่างมากอดรัดร่างเมดูซ่าเอาไว้
‘พี่เอยอมให้หางอสรพิษของเมดูซ่ารัดร่างเอาไว้ เพื่อรอโอกาสเข้าถึงเพดานปากอสรพิษ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวที่จะหยุดการโคจรพลังของสัตว์ประเภทนี้ได้ แต่พี่เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่เอจึงต้องตรึงร่างเอาไว้อย่าง นั้น…หรือว่า….’
จิตเซี่ยวเล้งที่ตอบข้อสงสัยเรอินะพลันเปลี่ยนไปเป็นจิตที่แฝงความแตกตื่นใน ทันที เมื่อพบว่าร่างของไกรวิทย์ที่กอดท่อนบนของเมดูว่าไว้ กำลังใช้บี้เคล้นเต้านมที่ชูตระหง่านของเมดูซ่าอย่างแรงจนเต้านมทั้งคู่นั้น บิดเบี้ยวไปตามแรงมือ ส่งผลให้ร่างเมดูซ่าบิดไปมาพยายามสลัดร่างไกรวิทย์ออกจากการกดทับ หางอสรพิษที่ทรงพลังพยายามตะหวัดโจมตีด้วยพลังที่สามารถทำลายก้อนหินเป็น ผุยผงในคราวเดียว แต่เมื่อหางนั้นฟาดลงสู่เกราะปราณก็กลับกระดอนออกไปโดยไม่สามารถทำอันตราย ใดๆ ได้ เช่นเดียวกับสองแขนทรงพลังที่พยายามตะปบกรงเล็บใส่แผ่นหลังชายหนุ่ม แต่เมื่อกรงเล็บนั้นปะกับเกราะนิลกาฬ เล็บที่แหลมคมก็หักกระเด็นออกไปรอบข้างในทันที
‘บุรุษผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่ง สามารถหาโอกาสกระแทกศูนย์พลังของอสรพิษทำให้พลังขาดช่วง จนลดความรุนแรงในการโจมตีไปกว่าครึ่ง เราเองก็เคยพยายามโจมตีจุดนี้มาก่อนแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย..นับเป็น บุรุษที่คู่ควรเป็นขุนพลคู่ใจแห่งกษัตริย์จริง ๆ หากเรามีโอกาสได้บุรุษที่เข้มแข็งเช่นนี้เป็นคู่ครองก็คงจะดีไม่น้อย…’
จิตที่รำพึงกับตนเองของแอนโดรเมดาดังขึ้น โดยที่หญิงสาวผู้ขาดความคุ้นเคยกับการสนทนาทางจิตไม่ทราบว่าทุกสิ่งที่ตนเอง คิดและคิดว่าเป็นความลับใจใจนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาให้เซี่ยวเล้งและเรอินะรับรู้ทั้งหมด แต่สองเทวนารีเพียงแต่อมยิ้มโดยไม่โต้ตอบให้เจ้าหญิงผู้ยึดมั่นในขนบ ธรรมเนียมโบราณผู้นี้กระดากอาย
‘นั่น ๆ บุรุษเพื่อนของพวกเจ้ากำลังทำอะไร…’
จิตแอนโดรเมดาส่งออกมายังเซี่ยวเล้งและเรอินะ เมื่อพบว่าไกรวิทย์เปลี่ยนสองมือที่เกาะกุมเต้านมเมดูซ่ามาเป็นการกดทับไว้ ด้วยท่อนแขนซ้ายเพียงข้างเดียว ส่วนมือขวาเคลื่อนกลับมาลูบคลำผ่านแผ่นท้องลื่นปลาบของเมดูซ่าในตำแหน่งใต้ รอยต่อของผิวเนื้อมนุษย์กับท่อนหางอสรพิษ เพียงครู่เดียวนิ้วมือไกรวิทย์ก็จมหายลงไปในตำแหน่งกึ่งกลางท่อนหางส่วนบน ของเมซ่า ทำให้หางที่ยาวเหยียดที่กำลังฟาดโจมตีอยู่ไม่หยุดนั้นนิ่งไปในทันที
‘พี่เอ…จะใช้วิธีนี้จริงๆ หรือ…’
เซี่ยวเล้งอุทานออกมาอย่างลืมตัว
——————————
นิ้วมือไกรวิทย์กดลงไปไปในตำแหน่งอวัยวะเพศอสรพิษจนจมถึงโคนนิ้ว และควานเป็นวงไปมาจนท่อนหางที่กวัดแกว่งนั้นหยุดการเคลื่อนไหว เปลี่ยนเป็นการขยับบิดเกลียวไปมาราวกับงูที่กำลังบาดเจ็บ สัมผัสภายในของอวัยวะเพศงูนั้นลื่นไปด้วยน้ำเมือกเหลวส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง หลืบเนื้อซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถี่ยิบเกาะนิ้วไกรวิทย์และส่งแรงดึงดูดออกมาเป็นระลอก..
เสียงขู่ของอสรพิษที่เคยดังออกจากปากเมดูซ่าเปลี่ยนเป็นเสียงหอบถี่ ขณะที่แขนซ้ายไกรวิทย์บดบี้เต้านมทั้งคู่เอาไว้และเคลื่อนไหวไปมาจนหัวนมสี เขียวคล้ำนั้นแข็งตัวชูชัน สองแขนเมดูซ่าที่ยังคงพยายามเคลื่อนไหวโจมตี ลดความรุนแรงลงทุกขณะตามการเคลื่อนไหวของนิ้วในอวัยวะเพศ จนเปลี่ยนมาเป็นโอบรัดดึงร่างไกรวิทย์ลงไปผนึกแน่นกับร่างตนเอง ไกรวิทย์สูดลมหายใจเปลี่ยนตำแหน่งปราณในร่างวูบหนึ่ง เกราะนิลกาฬที่ส่วนหน้าท้องชายหนุ่มพลันสลายตัวออก ปล่อยให้แก่นเนื้อแข็งแกร่งพุ่งออกมาจากท่อนล่าง นิ้วชายหนุ่มค่อยๆ ถอนออกจากช่องแยกของอวัยเพศงู ฝ่ามือลูบคลำอวัยวะเพศของเมดูซ่าที่กำลังแอ่นตัวขึ้นราวกับไม่ต้องการให้ นิ้วถอนออกไปจากร่าง สัมผัสของอวัยวะเพศทำให้ไกรวิทย์อดประหลาดใจไม่ได้ เมื่อพบว่าอวัยวะเพศของเมดูซ่าแม้จะเป็นร่องแยกแนวขวางเช่นเดียวกับอสรพิษ แต่ขอบของอวัยวะนั้นกลับเป็นแคมเนื้อของมนุษย์ที่อวบอิ่มเต็มที่ ปลายแคมทั้งสองด้านล้วนมีเม็ดเสียวอยู่และเมื่อฝ่ามือไกรวิทย์บี้เคล้นเม็ด เสียวทั้งสอง ร่างเมดูซ่าก็สั่นระริกไม่แตกต่างจากสตรีมนุษย์ที่ถูกเล้าโลมแม้แต่น้อย ไกรวิทย์ปล่อยมือออกจากอวัยวะเพศที่ผสมผสานระหว่างมนุษย์และอสรพิษ แทนที่ด้วยปลายแก่นเนื้อ ก่อนกดความยาวทั้งหมดจมวูบลงไปในความคับแคบของอวัยวะเพศเมดูซ่าในคราว เดียว……
……..กี๊ซซซซซซซซซซซซ………..
เสียงร้องของงูดังออกจากปากเมดูซ่าเป็นระลอก เมื่อรับรู้ว่าแก่นเนื้อมนุษย์ได้ผ่านเข้าในร่างตนเอง ขนดหางอสรพิษบิดเป็นเกลียวขณะที่ไกรวิทย์เริ่มกระเด้าแก่นกายเข้าออกในหลืบ คับแคบนั้น จนสัมผัสได้ถึงหลืบเนื้อเป็นชั้นซ้อนกันนับไม่ถ้วนที่กำลังบีบรัดและส่งแรง ดูดเป็นระลอก ซึ่งแม้จะไม่ใช่หลืบเนื้อของมนุษย์สตรี แต่อวัยวะเพศที่ผสานกันระหว่างมนุษย์กับอสรพิษก็ผิวเนื้อที่บดอัดให้ความ เสียวที่แปลกประหลาด ชายหนุ่มบิดสะโพกซ้ายขวาเพื่อให้แก่นกายสัมผัสเม็ดเสียวทั้งสองด้านอย่าง เต็มที่ ทำให้ร่างเมดูซ่าสั่นระริกราวกับถูกไฟฟ้าผ่านเข้าสู่ร่าง ขนดหางยาวเหยียดเคลื่อนไหวมาลูบไล้ร่างกายไกรวิทย์อย่างนุ่มนวลราวกับการลูบ ไล้ร่างกายคนรัก แทนที่จะมุ่งทำลายดังเช่นที่ผ่านมา
——————————-
‘นั่น พี่เอ…เย็ดเมดูซ่าจริงๆ หรือ…’
เรอินะส่งจิตสั่นสะท้านออกมาเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ไกรวิทย์พยายามทำคือการร่วม รักกับสตรีกึ่งอสรพิษที่มีแต่ความน่าขยะแขยงโดยปราศจากความสวยงามที่จะ กระตุ้นอารมณ์ทางเพศใดๆ แต่เซี่ยวเล้งที่ยืนอยู่ด้านข่างแทนที่จะประหลาดใจไปกับสิ่งที่เห็น หญิงสาวกลับส่งจิตที่แฝงความเคาระสูงสุดออกมา
‘ที่พี่เอเย็ดนั้นหาใช่เมดูซ่าไม่ จิตของพี่เอเพียงคำนึงถึงรีอา ปูน้อยของพวกเราที่อยู่ในร่างนั้นต่างหาก ดวงตาพี่เอหาได้สัมผัสความน่าเกลียดน่ากลัวของเมดูซ่าไม่ นี่คือการเย็ดจากจิตที่มั่นคงในความรักที่พี่เอมีต่อพวกเราเหล่าเทวนารี และที่สำคัญ นี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่พี่เอจะใช้จิตปราณเข้าถึงจิตานุภาพของนาคฝ่ายมือ ที่ครอบงำร่างกายและจิตใจของเมดูซ่าเอาไว้…’
‘เรอินะเข้าใจแล้ว…นี่คือการต่อสู้ด้วยปราณจิต…พี่เอยอดเยี่ยมยิ่งที่หาหนทางนี้ได้’
ตลอดเวลาที่เรอินะและเซี่ยวเล้งสนทนากันทางจิต แอนโดรเมดาเฝ้ารับฟังโดยไม่ส่งจิตโต้ตอบหรือสอบถามออกมา แต่ในจิตหญิงสาวปั่นป่วนไปด้วยความคิดสับสนกับภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
‘บุรุษผู้ที่สตรีสองนางนี้เรียกว่าไกรวิทย์คือใครกัน ฟังดูราวกับว่าทุกคนมีความผูกพันกันมาก่อน โดยเฉพาะการร่วมรักของบุรุษผู้นี้กับเมดูซ่า แม้จะดูน่าขยะแขยงหยาบช้า แต่สิ่งที่สตรีนามเซี่ยวเล้งบ่งบอกกลับทำให้เรารู้สึกว่านี่คือการช่วยเหลือ ผู้เป็นที่รักโดยไม่คำนึงถึงอัตตลักษณ์ภายนอก นี่นับเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหนกัน…หากเราสามารถได้รับความรัก จากบุรุษผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ เราก็คงไม่มุ่งหวังสิ่งใดอีกแล้ว…’
เรอินะและเซี่ยวเล้งสบตากันวูบหนึ่งเมื่อได้รับรู้ความคิดของแอนโดรเมดา ริมฝีปากงามทั้งคู่ปรากฏรอยยิ้มอย่างเอ็นดู เพราะรู้ว่าราชธิดาของกษัตริย์นางนี้กำลังถูกจิตของเทวนารีที่หลับใหลในกาย ดึงดูดให้ผูกพันหัวใจเข้ากับบุรุษผู้เป็นที่รักทีละน้อย
———————————-
หลืบรักเมดูซ่าที่แม้จะวางขวางลำตัวผิดกับมนุษย์สตรี แต่ความกระชับรัดรึงนั้นหาได้ต่างกับกลีบเนื้อของสตรีสาวเต็มวัยแม้แต่น้อย เมื่อผสานกับพลังดูดรุนแรงของร่องเนื้อนับไม่ถ้วนอันเป็นคุณลักษณะของภายใน อวัยวะเพศงู ทำให้แก่นกายไกรวิทย์ที่กำลังเคลื่อนเข้าออกภายในความบีบรัดนั้นเกิดความ เสียวพลุ่งขึ้นเป็นระรอก ร่างท่อนบนของเมดูซ่าแอ่นตัวขึ้นบดอัดร่างไกรวิทย์จนเต้านมแทบจะทะลักออก ด้านข้าง หัวนมสีเขียวเข้มสั่นไหวไปกับแผ่นอกชายหนุ่ม งูจำนวนมากที่ก่อเป็นเรือนผมเมดูซ่ายุติการเคลื่อนไหวอันเป็นปรปักษ์ แต่กลับยืดลำตัวออกมาปกคลุมศีรษะไกรวิทย์ไว้อย่างนุ่มนวล เบียดส่ายไปมาราวกับการลูบไล้คนรัก ทำให้เกราะนิลกาฬที่ไม่ได้สัมผัสประสงค์ร้ายของศัตรูมีสีอ่อนลง และส่งผ่านสัมผัสที่นุ่มนวลกลับมายังร่างกาย สมองไกรวิทย์ไม่ได้รับรู้สภาพอัปลักษณ์ของสตรีกึ่งอสรพิษที่กำลังร่วมรัก อยู่แม้แต่น้อย หากแต่กลับเป็นภาพหญิงงามเหนือโลกสตรีสาวนามรีอาผู้เป็นเทวนารีแห่งราศีกรกฏ ที่ไกรวิทย์รู้ดีว่าจิตนั้นยังคงดำรงอยู่ในร่างต้องสาปนี้
ความเสียวที่พรั่งพรูมารวมตัวกันที่ปลายหัวบาน ทำให้ไกรวิทย์ยิ่งเพิ่มความเร็วกระเด้าส่งแก่นเนื้อผลุบเข้าออกหลืบรักเมดู ซ่าถี่ยิบ ผิวกายสีเขียวที่ลื่นไปด้วยเมือกปรากฏระรอกราวคลื่นน้ำ ร่างท่อนบนของมนุษย์สั่นสะท้าน ขณะที่ท่อนหางอสรพิษเกร็งตัวบิดเป็นเกลียวด้วยความเสียวสุดยอดที่กำลังใกล้ เข้ามาทุกขณะ ไกรวิทย์กัดฟันแน่นขณะยันร่างขึ้นแอ่นหัวเหน่าเข้าอัดเนินรัดนูนเด่นของเมดู ซ่า น้ำรักระเบิดพรั่งพรูเจ้าไปสู่ภายในร่างพร้อมกับเสียงคำรามกึกก้องดังออกจาก ปากเมดูซ่าเมื่อความเสียวสุดยอดพรั่งพรูเข้าสู่จิตเป็นครั้งแรกในชีวิตของ สตรีผู้ต้องคำสาป ก่อนร่างของเมดูซ่าจะแน่นิ่งกับพื้น
กาฬปราณที่ผนึกจิตไกรวิทย์ไว้ผสานกับน้ำรักแทรกเข้าสู่ร่างเมดูซ่า แต่สภาพของปราณในร่างนั้นทำให้จิตไกรวิทย์ต้องสั่นสะท้านเมื่อพบว่ามวลปราณ ในร่างเมดูซ่าเป็นปราณที่แตกต่างจากปราณทั้งปวงเพราะแทนที่จะเป็นกระแสปราณ เคลื่อนไหวไปตามจักรปราณทั้งสี่ ปราณนั้นกลับมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนผนึกปิดล้อมจักรทั้งสี่โดยมีสายระยาง เชื่อมต่อระหว่างกัน ปลายสุดของสายระยางที่จักรพสุธาที่ศีรษะ ปรากฏส่งระยางที่ใหญ่กว่าเส้นอื่นเชื่อมตรงกับก้านสมองแผ่คลุมเนื้อสมองทั้ง หมดไว้ราวกับกระดองสีดำ โดยปราศจากช่องว่างให้จิตของไกรวิทย์สอดแทรกเข้าไปภายในได้
‘ผู้ใดบังอาจบุกรุกเข้ามาในร่างเรา…’
จิตที่ทรงพลังในร่างเมดูซ่าเปล่งเสียงเกรี้ยวกราดออกมาเมื่อจิตไกรวิทย์เข้า สู่ภายนอกของกระดองสีดำที่ปกป้องมวลจิตเอาไว้ แต่เสียงที่ดังขึ้นในจิตไกรวิทย์นั้นแทนที่จะเป็นเสียงของสตรีเพศของเมดูซ่า ตามที่ควรจะเป็น มันกลับเป็นเสียงหยาบกระด้างของเพศชายที่ก่อเกิดขึ้นพร้อมกับพลังจิตที่ รุนแรงถูกส่งมาปิดล้อมการเคลื่อนไหวจิตไกรวิทย์ไว้ทุกด้าน แต่จิตไกรวิทย์กลับโต้ตอบจิตที่คุกคามออกไปอย่างไม่กลัวเกรง
‘เราคือบุรุษผู้เป็นที่รักของจิตที่ครองร่างนี้ ท่านต่างหากคือผู้ใด เหตุใดจึงมาครอบครองจิต ปิดกั้นปราณของเมดูซ่าผู้เป็นที่รักของเรา…’
‘นี่คือร่างของเรา…ราชานาคที่ดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ ทุกสรรพชีวิตในจักรวาลล้วนเป็นร่างของเราเมื่อเราต้องการใช้ อย่านึกว่าการที่เจ้าสามารถปลุกอารมณ์เพศของมนุษย์จนทำให้ร่างนี้ยอมรับการ เย็ดจะหมายความว่าเจ้าชนะแล้ว เราสามารถทำลายจิตของเจ้าได้ทุกขณะ เพียงแต่ที่เราปล่อยให้เจ้าเข้ามาก็เพราะความอยากรู้ของเราเองนั้นว่า เจ้าคือผู้ใด…’
‘เราคือผู้ดำรงจิตในพิภพนี้มานับหมื่นปี เราคือผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณได้รับชื่อเป็นเทพวิรุณปักขะ และสตรีที่เจ้าบังอาจครอบครองร่างอยู่นี้คือหนึ่งในเทวนารีที่รักแห่งเรา เราจะไม่ยอมให้เจ้ายึดครองร่างได้อีกต่อไป ท่านมีทางเลือกสองทางคือผละออกจากร่างนี้คืนนางอันเป็นที่รักแก่เรา หรือจะต้องถูกทำลายจิตให้สิ้นสูญไปตลอดกาล…’
คำตอบของไกรวิทย์ส่งผลให้จิตแห่งนาราชานาคระเบิดเสียงหัวเราะกึกก้อง ก่อนที่มวลจิตมหาศาลจะก่อตัวเป็นม่านหมอกที่ดำสนิทปิดกั้นการรับรู้จิตไกร วิทย์เอาไว้ทั้หมด พลังกดดันรุนแรงพุ่งเข้าโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด
‘ที่แม้เป็นมนุษย์ที่คิดว่าตนเองคือเทพเจ้า จงรับพลังที่แท้จริงของเทพเจ้าไปก่อนสูญสลายไปตลอดกาลเถอะ..’
พลังจิตแข็งกร้าวที่พุ่งเข้าโจมตีไกรวิทย์ ก่อเกิดภาพของงูใหญ่นับล้านพุ่งจู่โจมเข่าใส่ ความกดดันมหาศาลบีบเค้นจิตไกรวิทย์จนพลังจิตที่ตุ้มครองสั่นสะเทือนราวกับจะ แตกออกได้ทุกขณะ จิตชายหนุ่มพลันระเบิดพลังออกเกิดเป็นภาพของประกายแสงสีขาวราวสายฟ้าแลบ แปลบออกไปทุกทิศทาง จนภาพของฝูงงูใหญ่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกไปรอบทิศ แต่แทนที่ภาพนั้นจะสลายไป เศษเสี้ยวของงูนับล้านชะงักเพียงวูบหนึ่งก็กลับรวมตัวกลับมาเป็นภาพงูใหญ่ เข้าโจมตีเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้ไกรวิทย์ต้องผนึกจิตต่อต้านด้วยประกายแสงไม่หยุดจนอดตื่นตระหนกกับความ เข้มแข็งของจิตที่ทรงพลังสูงสุดเท่าที่เคยพบพานไม่ได้
‘ราชานาค ท่านจะยินยอมปลดปล่อยร่างนี้โดยดีหรือจะให้เราทำลายจิตของท่านไปตลอดกาล’
ไกรวิทย์ส่งจิตเกรี้ยวกราดออกไป ขณะผนึกจิตในระดับสูงสุด ภาพจิตของชายหนุ่มกลับเปลี่ยนร่างตนเองเป็นดาบที่กรมกริบส่งประกายหมอกดำเส นิทกระจายออกไปทุกด้าน ขณะจิตแห่งราชานาคก็ถอนกลับออกไปพร้อมก่อเกิดภาพของงูใหญ่มหึมาที่มีหงอนสี แดงสดราวโลหิตที่ส่วนหัว ปากกว้างใหญ่ที่สามารถกลืนกินภูเขาทั้งลูกอ้าออกเผยให้เห็นคมเขี้ยววาววับ ขณะจิตส่งเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดีออกมา
‘ที่ปราณของเจ้าเป็นปราณฝ่ายมืด นี่คือพลังปราณที่มาจากรากฐานมวลสารมืดแห่งจักรวาลเช่นเดียวกับเรา หากเจ้ายอมรับที่จะผนึกพลังกับเรา โลกนี้จะปราศจากเทพเจ้าใดมาต่อต้านพวกเราได้อีก เจ้าจะยินยอมรับข้อเสนอขอเราหรือไม่…’
‘ปราณฝ่ายมืดหาได้หมายความว่าผู้ทรงปราณนั้นจะต้องมีพฤติการณ์ทำลายล้างไม่ ปราณของเรานามกาฬปราณ แม้จะเป็นปราณที่กำเนิดจาดมวลสสารมืดแห่งจักรวาลเช่นเจ้า แต่จิตเราผสานแสงสว่างแห่งเมตตาธรรมเอาไว้กับกาฬปราณเป็นหนึ่งเดียว ความต้องการอันเลวร้ายของท่านนั้นไม่สามารถอยู่รวมกับเราได้….’
‘ถ้าเช่นนั้นก็จงดับสูญจิตไปเสียเถอะ…ปราณฝ่ายมืดอันเป็นฐานปราณของเจ้าเราจะรับเอาไว้เอง..’
จิตราชานาคเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวทันทีที่ได้รับการปฏิเสธ ภาพงูใหญ่พุ่งวาบเข้าใส่ดาบปราณที่จิตไกรวิทย์สร้างขึ้น ก่อเกิดระลอกพลังกระจายออกไปทั่ว ปากอ้ากว้างของงูใหญ่ขบดาบปราณที่ฟาดฟันเข้าไปในช่องปากและขบกัดเพื่อทำลาย ในคราวเดียว แต่ปากนั้นกลับหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงดาบที่อยู่ในในแนวตั้ง ส่วนคมดาบจ่อกับเพดานปากพร้อมที่จะทะลวงผ่านไปยังศูนย์รวมจิตได้ทุกขณะ แต่ไกรวิทย์เองก็ต้องสะท้านใจเมื่อพบว่าคมดาบปราณนั้นก็ไม่ไม่สามารถทะลวง ผ่านเพดานปากเข้าไปได้ ขณะที่ตัวดาบปราณเองก็ต้องต่อต้านแรงกดดันของปากงูใหญ่ที่กำลังงับลงมาด้วย พลังจิตมหาศาล ทำให้จิตทั้งสองเกิดการต่อสู้กันด้วยพลังโดยตรง ที่ไกรวิทย์รู้ดีว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำแม้แต่น้อย จิตก็จะถูกทำลายไปตลอดกาล
‘เจ้าจะต้านทานไปได้นานอีกเท่าใด จิตเจ้าไม่มีทางทัดเทียมจิตที่สร้างสมความแค้นมานับแสนปีของเราได้…’
จิตแห่งราชานาคดังกึกก้อง ขณะที่ไกรวิทย์ทุ่มเทจิตต้านทานสุดกำลัง แต่ดูเหมือนว่าจิตราชานาคกำลังทวีพลังมากขึ้นเมื่อระบุถึงความแค้นที่ถูก ทำลายเผ่าพันธุ์ ประกายสีดำของดาบปราณจากจิตไกรวิทย์เริ่มแตกซ่าน จนตัวดาบเริ่มเกิดเป็นวงโค้งเล็กน้อย…’
‘บัดนี้ เจ้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย จงดับสูญไปเสียเถอะ….’
‘ผู้ที่ดับสูญคือเดรัจฉานที่ไม่รู้จักการให้อภัยเช่นเจ้าต่างหาก…’
จิตกังวานใสดังแทรกขึ้นในจิตไกรวิทย์และราชานาค ขณะที่จิตกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นนอกวงพลังเปลี่ยนรูปเป็นหอกยาวพุ่งวาบลงใส่ จิตรูปงูใหญ่ที่ศีรษะราวประกายไฟ จนเกิดระลอกพลังกระจายออกเมื่อคมหอกนั้น จมลงไปศีรษะงูเสมอด้าม พลังกดดันที่บดอัดดาบปราณไกรวิทย์พลันชะงักวูบ คมดาบปราณทะลวงผ่านเพดานปากงูใหญ่ทะลุศูนย์กลางจิตราชานาคเข้าไปทั้งหมด ก่อเกิดการระเบิดของจิตกระจายออกรอบด้าน…
‘…เจ้า…เจ้า…อ๊ากซ์…..’
จิตราชานาคแผดร้องด้วยความแตกตื่นเมื่อตระหนักว่าจิตนั้นถูกปลดปล่อยกระจาย ออกไปรอบทิศ ความรับรู้ทั้งปวงของจิตพลันดับวูบไปในพริบตา ทิ้งไว้แต่ดาบปราณส่งประกายสีดำเจิดจ้า และหอกสั้นคมกริบที่ส่งแสงระยิบระยับอยู่ ก่อนที่ทั้งดาบและหอกจะสลายตัวไปเป็นดวงจิตของมนุษย์
‘จิตนี้ ไม่ผิดพลาดแล้ว….’
จิตไกรวิทย์ส่งออกไปด้วยความปลื้มปิติสูงสุดเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตอันนุ่มนวลที่พุ่งวาบเข้าหา
‘นายท่าน…นายท่าน ปูน้อยได้พบพานนายท่านแล้ว….’
‘รีน่า….เจ้าปูน้อยที่แสนดื้อรั้น…เหตุใดจึงเลินเล่อปล่อยให้จิตแห่งราชานาคเข้าครอบครองร่างเจ้าได้…’
‘นายท่านอภัยด้วย…ปูน้อยกำเนิดเป็นดรุณีที่อ่อนเยาว์ ขนาดการระวังตนเท่าที่ควร แม้ปูน้อยจะรับรู้อันตรายที่กำลังเกิด แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือจิตแห่งชีวิตของเมดูซ่าได้ ทำให้ปูน้อยถูกกักไว้ในจิตที่มืดดำมานับพันปี…ดีที่การปะจิตเมื่อครู่ทำ ให้เกราะกักจิตเกิดรอยแยก จิตของปูน้อยจึงหลุดรอดออกมาหานายท่านได้’
‘ปูน้อย หากปราศจากจิตเจ้าช่วยเหลือ เราเองก็ยังไม่สามารถคาดได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายดับสูญ แต่ตอนนี้จงพิจารณา รับรู้ไหมว่าเกราะกักจิตทั้งปวงกำลังสลาย จิตแห่งวิญญาณของเมดูซ่ากำลังจะกลับเข้าครอบครองร่าง เจ้าจงเตรียมตัวผนึกจิตเพื่อกลับมาเป็นเทวนารีแห่งเราเถอะ…’
‘ปูน้อยน้อมรับบัญชามหาเทพ..’
จิตแห่งเทวนารีราศีกรกฏที่ตื่นขึ้นทันเวลาจนทำให้ไกรวิทย์สามารถทำลาย จิตราชานาคลงได้ สลายตัววูบเข้าไปในดวงจิตใสกระจ่างปราศจากสิ่งห่อหุ้มอีกต่อไป จิตไกรวิทย์ถอนตัวกลับออกตามเส้นทางจักรปราณและพบด้วยความยินดีว่ากลุ่มก้อน สีดำที่เคยปิดผนึกจักรปราณทั้งสี่นั้นได้สลายตัวไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับปราณที่เข็มแข็งกำลังกำเนิดขึ้นจากจักรอัคคี โคจรไปตามร่างกายรอบแล้วรอบเล่า
————————–
‘สำเร็จแล้ว…พี่เอทำลายจิตที่ครอบงำเมดูซ่าได้แล้ว…’
จิตเซี่ยวเล้งร้องออกมาด้วยความลิงโลดเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังจิตมหาศาลที่ กระจายออกจากร่างเมดูซ่า แทนที่ไว้ด้วยหมอกเรืองแสงสว่างปกคลุมร่างไกรวิทย์และเมดูซ่าซึ่งยังคงนิ่ง อยู่ในท่วงท่าของการร่วมรัก ประกายแสงนั้นพลันเลือนลงทีละน้อยเผยให้เห็นภาพที่ทำให้สองเทวนารีและแอนโดร เมดาอุทานออกมาพร้อมกัน ขณะที่เซี่ยวเล้งและเรอินะพุ่งร่างวาบลงมาที่พื้นหาดกรวดตามมาด้วยแอนโดรเม ดาที่ลังเลอยู่ชั่วอึดใจก่อนสาดพุ่งลงมายืนเคียงข้าง
ร่างไกรวิทย์ที่ยังคงทาบทับร่างสตรีกึ่งอสรพิษของเมดูซ่าค่อยๆ ชันกายขึ้นแต่ยังคงฝังแก่นกายเอาไว้ ขณะที่ส่วนหางของอสรพิษนั้นค่อยๆ หดตัวลงและแยกออกเป็นสองเส้น เกล็ดงูที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งเปลี่ยนสภาพไปเป็นผิวเนื้อ ท่อนขาทั้งสองที่แปรสภาพมาจากหางอสรพิษเปลี่ยนรูปร่างเป็นสองขาเรียวงามของ มนุษย์สตรี พร้อมกับที่ผิวเนื้อสีเขียวทั่วร่างของเมดูซ่าอ่อนจางลงทุกขณะ จนกลับกลายเป็นผิวละเอียดอ่อนขาวผ่องราวน้ำนมสด เช่นเดียวกับฝูงงูบนศีรษะเมดูซ่าที่กลับสลายเป็นน้ำละลายไปกับน้ำทะเลที่สาด ซัดเข้าหา แทนที่ด้วยเส้นผมมีดำสนิทที่แทงออกมาจากหนังศีรษะอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น เรือนผมยาวสลวยกระจายอยู่บนพื้นหาดกรวด ดวงหน้าของเมดูซ่าเกิดระลอกคลื่นขึ้นบนผิวเนื้อ ดวงตาลมโตปรากฏแทนที่พร้อมจมูกเชิดรั้น และริมฝีปากน้อยๆ สีแดงสด ก่อเกิดเป็นดวงหน้าของเด็กสาววัย 16 ปีที่งามสะท้านใจ ต่ำลงไปเป็นทรวงอกขาวผ่องชูช่องามที่ประดับด้วยวงป้านสีชมพูตรงกึ่งกลาง ที่ตำแหน่งที่ควรมีเม็ดยอดนั้นกลับเป็นรอยบุ๋มลงไป แต่ไม่ได้ทำให้ความงามของทรวงอกนั้นลดลงแม้แต่น้อย กลิ่นเมือกคาวของอสรพิษถูกสายลมและสายน้ำพัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้กลิ่นกายสาวหอมจรุงกระจายออกมาแทนที่
‘งามเหลือเกิน สมควรแล้วที่จะเป็นความงามล่มเมืองที่ทำให้ผู้ชายทุกคนลุ่มหลงและสตรีทุกนางมุ่งทำลาย’
จิตที่รำพึงกับตนเองของแอนโดรเมดาดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อพบกับภาพความ งามอันเป็นต้นกำเนิดของการล่มสลายของอาณาจักรกษัตริย์เซฟเฟียสในอดีต แต่แล้วใบหน้าหญิงสาวผู้เป็นธิดากษัตริย์ก็พลันแดงสดใส ร่างงามพุ่งวาบถอยห่างออกไปทันทีเมื่อพบว่าร่างไกรวิทย์ที่ยันตัวขึ้นมาจาก พื้นนั้นมีแก่นเนื้อยาวเหยียดฝังแน่นอยู่ภายในร่างเปลือยของเมดูซ่า
‘พี่เอ…พี่ปูน้อยกลับมาแล้วใช่หรือไม่…’
เรอินะส่งจิตที่แฝงความตื่นเต้นเอาไว้ออกมา เมื่อพบว่าการกลายร่างจากสตรีกึ่งอสรพิษกลับสู่ความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์
‘จิตแห่งราชานาคสูญสลายแล้ว จิตแห่งชีวิตของเมดูซ่ากำลังจะตื่นเพื่อรอรับการรวมจิตกับจิตแห่งเทวนารี แต่ตอนนี้เซี่ยวเล้งและเรอินะจงไปตามแอนโดนเมดา และถอยห่างจากที่นี้ก่อน เพราะพี่เกรงว่าเมื่อเมดูซ่าตื่นขึ้นในสภาพนี้นางอาจอับอายจนไม่สามารถร่วม จิตต่อไปได้’
‘พี่เอจะบอกว่าให้เรอินะกับเซี่ยวเล้งถอยออกไป อย่าเป็นก้างขวางคอตอนที่เย็ดพี่ปูน้อย…ก็ได้…ไปเถอะพี่เซี่ยวเล้ง..’
เรอินะส่งจิตกระเง้ากระงอดออกมาพร้อมจับมือเทวนารีผู้พี่ที่ผงกศีรษะให้ พุ่งวาบออกจากชายหาดกรวดไปตามเส้นทางที่แอนโดรเมดาพุ่งหนีไปก่อนหน้า
ดวงตาไกรวิทย์ทอประกายนุ่มนวลเมื่อก้มศีรษะลงพลกับภาพแก่นเนื้อที่ยังคงฝัง อยู่ในร่างหญิงสาวแรกรุ่น สองแคมอวบอิ่มสีชมพูเข้มอ้าออกบีบรัดแก่นเนื้อชายหนุ่มไว้แนบแน่น ขณะที่คราบน้ำรักที่หลั่งเข้าสู่ร่างเมื่อครู่เริ่มเอ่อซึมออกมาและไหลลงไป ตามร่องขา สีชมพูอ่อนเจือจางที่ผสมอยู่ในน้ำรักบอกให้รู้ว่าแม้หญิงสาวจะถูกร่วมรักใน สภาพของสตรีกึ่งอสรพิษ แต่เยื่อพรหมจรรย์ของมนุษย์สตรีนั้นยังคงอยู่และถูกเพิ่งทำลายไปในการร่วม รักที่ผ่านมา มือไกรวิทย์ค่อยวางลงบนเต้านมเต่งตึงที่ปราศจากหัวนมเบื้องล่าง สัมผัสวามนุ่มเนียนราวกับไหมและเพียงมือนั้นกวาดผ่านป้านสีชมพูเข้ม ฝ่ามือไกรวิทย์ก็สะดุดเข้ากับติ่งเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมากลางป้านงาม ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กจิ๋วแต่นั่นก็คือหัวนมที่ซ่อนอยู่ภายในอย่างไม่ผิดพลาด
ร่างเปลือยขาวโพลงของเมดูซ่าขยับตัวเล็กน้อย ขุมขนผุดขึ้นชูชัน ลมหายใจค่อยๆ กระชั้นถี่ ความรู้สึกค่อยๆ กลับสู่ร่าง ขณะที่ดวงตาเผยอขึ้นที่ละน้อยจนเบิกกว้างเต็มที่เผยให้เห็นดวงตาสีเหลองทอง ทอแสงระยิบระยับอยู่ภายใน พร้อมกับร่างงามทะลึ่งพรวดขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง และเสียวร้องด้วยความแตกตื่นเมื่อพบว่าร่างของตนเองกำลังถูกแก่นเนื้อเพศชาย บุกรุกเข้าไปอัดแน่นในอวัยวะที่หญิงสาวเฝ้ารักษามา 16 ปีเต็ม
“เจ้า …เจ้าเป็นผู้ใด..ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้….”
เมดูซ่าส่งเสียงร้องออกมาอย่างเกรี้ยวกราด กับความรู้สึกเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในท่อนล่างของร่างกาย สองมือผนึกปราณขึ้นระดมกระแทกใส่บุรุษผู้กำลังรุกรานเรือนร่างเพื่อผลักดัน ให้แก่นเนื้อนั้นหลุดไปจากร่าง แต่พลังปราณที่รุนแรงนั้นกลับไม่สามารถทำอันตรายบุรุษผู้อยู่ในเราะนิลกาฬ ได้แม้แต่น้อย ร่างสูงใหญ่ยังคงปักหลักแน่วนิ่งราวกับปราณที่สามารถทำลายชีวิตทั้งปวงนั้น เป็นเพียงสายลมแผ่วเบาเท่านั้น สองมือชายหนุ่มเปลี่ยนจากการคลึงเคล้นหน้าอกงามมาจับข้อมือขาวเรียวไว้แน่น ก่อน ส่งเสียงอ่อนโยนที่แฝงน้ำเสียงปลอบประโลมเอาไว้
“เมดูซ่า…จงสงบไว้…กำหนดจิตให้มั่นคง ระลึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา บัดนี้เจ้าผ่านพ้นจากคำสาปแห่งจิตตานุภาพของราชานาคแล้ว บัดนี้ไม่มีอสูรร้ายที่ทำลายชีวิตผู้คนอีกต่อไปแล้ว มีแต่หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของหัวใจเราอยู่ ณ ที่นี้…”
เสียงที่ส่งมาออกมาด้วยภาษากรีกโบราณ และการยึดกุมร่างกายไว้แน่นจนเมดูซ่าไม่สามารถขยับร่างให้พ้นจากการรุกราน ทำให้แววตาตื่นตกใจของหญิงสาวคลายความกราดเกรี้ยวลงทีละร้อย ห้วงสมองปรากฏภาพของตนเองที่ถูกครอบงำจิตกลายเป็นอสูรร้าย ทำลายทุกชีวิตที่ผ่านเข้ามาในสายตา ทั้งที่จิตภายในส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดกับการกระทำที่ขัดแย้งกับ จิตตนเอง ดวงตาหญิงสาวจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มผู้ตรึงร่างกายตนเองเอาไว้ด้วยปราณที่ อบอุ่นนุ่มนวล ก่อนจะส่งเสียงที่สงบลงออกมา
“เรา เรา..จำได้…ธนูดอกนั้นปักตรึงเข่าสู่หัวใจ ความมืดที่ดุร้ายเข้าปกคลุมจิต เราร่ำร้องต่อต้านแต่ไม่สามารถต้านทานความเข้มแข็งของมันได้ เรากลับกลายเป็นอสูรกายกระหายชีวิต ทำลายผู้คนไปนับหมื่น…นี่ นี่ หาใช่ความฝันไม่…เราคืออสูรร้ายจริงๆ”
หยาดน้ำใสเอ่อท้นออกมาจากดวงตาสีทองสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย ทำให้ไกรวิทย์ต้องถอนใจยาวออกมา
“เมดูซาจงฟังเรา สิ่งที่เจ้าได้พบได้กระทำทั้งปวงนั้นแม้จะเป็นความจริง แต่เพราะเจ้าถูกจิตตานุภาพแห่งราชานาคยึดครองเปลี่ยนรูปร่างเจ้าเป็นอสูร ร้าย แต่นั่นหาใช่ความผิดเจ้าไม่ บัดนี้เราได้ทำลายจิตตานุภาพอันเลวร้ายนั้นสิ้นไปแล้ว ด้วยการเย็ดเจ้าในร่างของอสูร้ายส่งปราณจิตเข้าทำลายจิตตานุภาพที่ครอบงำจิต เจ้าไปจนสิ้น บัดนี้เจ้าได้กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่เราต้องขออภัยเจ้าที่จำเป็นต้องทำลายพรหมจรรย์ของเจ้าไป เพราะนั่นคือวิธีเดียวเท่านั้นที่จิตเราจะประสานเป็นหนึ่งเดียวผ่านหีเจ้า เข้าสู่จักรปราณและจิตของเจ้าได้…’
ตลอดเวลาที่ไกรวิทย์ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เมดูซ่ารับรู้ ดวงตาหญิงสาวค่อยๆ เปลี่ยนจากความกราดเกรี้ยวมาเป็นความสงบทีละน้อย และรับฟังอย่างสงบมีเพียงเมื่อไกรวิทย์เอ่ยตำ “เย็ด” และ “หี” ออกมาเท่านั้นที่ทำให้ดวงตาคู่งามนั้นกระตุกแวบหนึ่งกับคำที่หญิงสาวจาก ตระกูลมหาเสนาบดีไม่เคยใช้ออกมาการสนทนามาก่อน แต่ดวงตานั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยเมื่อภาพใบหน้าของไกรวิทย์ปรากฏชัด ในคลองจักษุอย่างเต็มที่
“ท่านคือใครกันแน่ ใบหน้าท่านคือบุคคลที่อยู่ในความฝันของเรามาแต่วัยเยาว์ จนเราไม่เคยเหลือบแลมองชายใดในโลก เราตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยสาวแล้วว่าหากเราไม่ได้พบท่าน เราจะไม่แต่งานกับชายใดทั้งสิ้น แต่บัดนี้ท่านกลับมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเรา พรากพรหมจรรย์ไปจากเรา แม้จะเป็นความจำเป็นและหนทางเดียวที่จะช่วยเราได้ แต่ก็ต้องนับว่าเราตกเป็นภรรยาของท่านโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ร่างกายเราแม้จะปวดร้าวกับการสูญเสียพรหมจรรย์ แต่หัวใจเราไฉนกลับเบิกบานเมื่อได้พบท่าน…เราเองก็ไม่เข้าใจ”
ปราณในร่างเมดูซ่าที่ผนึกขึ้นค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับคำพูดบ่งถึงความในใจที่ส่งผ่านออกมา ทำให้ไกรวิทย์สลายปราณพร้อมกับเกราะนิลกาฬปล่อยให้กระจายเป็นกลุ่มควันสีดำ ออกจากร่าง พร้อมกับดึงร่างงามที่นอนอยู่กับพื้นหาดกรวดให้ลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งแล้ว สวมกอดความนุ่มเนียนนั้นไว้โดยปราศจากอาการขัดขืนใดๆ จากเมดูซ่า”
“พี่คือไกรวิทย์ ผู้ผูกพันกับเจ้ามานับภพภูมิไม่ถ้วน ในภาพนี้พี่ตามหาเจ้ามานานนักจนแทบสิ้นหวังแล้ว แต่ในที่สุดเจ้าก็กลับคือสู่พี่และเหล่าเทวนารีเพื่อนของเจ้าที่เฝ้ารอการ กลับมาของเจ้าทุกลมหายใจ นับแต่นี้ต่อไปเจ้าจะอยู่ข้างกายพี่ไปจนกว่าจักรวาลจะสูญสลาย…”
“ไกรวิทย์ นามนี้แปลกนัก ท่านไม่ใช่ชาวกรีกและไม่ใช่ชนเผ่าที่เรารู้จัก แต่เราก็ยอมรับว่าหัวใจเราเต้นถี่ขึ้นทุกขณะในอ้อมแขนของท่าน…ความรู้สึก นี้ …อืมห์…”
คำพูดของเมดูซ่าชะงักลงเมื่อริมฝีปากเรียวบางได้รูปนั้นถูกริมฝีปากไกร วิทย์ทาบทับลงอย่างนุ่มนวล ลมหายใจหญิงสาวกระชั้นถี่ เรียวฟันขาวสะอาดเผยอออกเป็นช่องว่างให้ไกรวิทย์แทรกลิ้นเจ้าไปซึมรับความ หอมหวาน ขฯร่างงามบิดส่ายเมื่อรับรู้ว่าทรวงอกเต่งเต้ากำลังถูกคลึงเคล้นจากสองมือ ชายหนุ่มจนหัวนมบอดนั้นกลับผุดเม็ดยอดขึ้นมาพ้นจากป้าน และเมื่อถูกสัมผัสเม็ดนั้นก็ส่งความเสียวสะท้านกลับมา จนร่างหญิงสาวสั่นระริก สะโพกผายงามถูกไกรวิทย์ช้อนขึ้นมานั่งอยู่บนตัก สองขาเรียวแยกออกโอบรอบสะโพกไกรวิทย์ส่งให้เนินรักอวบนั้นอัดแน่นกับแก่นกาย มากขึ้น และเริ่มขยับเป็นวงอย่างลืมตัวพร้อมกับน้ำรักแรกสาวที่เริ่มเอ่อออกจากหลืบ ภายในจนไกรวิทย์รับรู้และเริ่มขยับแก่นกายเข้าออกช้าๆ
“อาห์…ท่าน…ท่านทำอะไร…”
เมดูซ่าถอนปากจากการจูบและส่งเสียงครางออกมาอย่างลืมตัวเมื่อรับรู้ว่าเนิน รักที่ถูกแก่นเนื้อบุกไปทำลายพรหมจรรย์เมื่อครู่ กำลังถูกบุกรุกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ความเจ็บปวดกลับเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยแทนที่ด้วยความเสียว ซ่านกระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
“เมดูซ่าที่รักของเรา เราเฝ้ารอเจ้ามานานนัก จงอย่าเรียกเราเป็นท่านอีก จงเรียกเราว่าพี่เอ ดังที่เหล่าเทวนารีสหายเจ้าเรียกหาเถอะ…”
“อูว์…พะ พี่เอ พี่เอ…เราเสียว…พี่เอเรียกหาเราด้วยชื่อเมย์เถอะ นั่นเป็นชื่อที่ท่านพ่อเรียกเรา..ในเมื่อเมย์เป็นของพี่เอแล้ว….เมย์จะ อยู่ร่วมกับพี่เอตลอดไป…”
“พี่ก็จะเย็ดเมย์ตลอดไป…หีเมย์อัดควยพี่แน่นไม่เปลี่ยนแปลงจากอดีตแม้แต่ น้อย พี่คิดถึงหีที่ไม่เคยยอมแพ้ควยของพี่มานานเหลือเกินแล้ว…”
“ซีดส์ พี่เอ..ทำไมต้องใช้คำหยาบคาย…เมย์ไม่เคยใช้…แต่ตอนนี้ …ตรงนั้นของเมย์มันเสียว…มันร้อนไปหมด…พี่เอ แรงอีก เร็วอีก…อาห์ อูว์..”
“น้องเมย์ที่รักของพี่ คำนั้นเป็นเพียงคำพูดหามีคำใดหยาบคายไม่..จงปลดปล่อยตนเองจากรากประเพณ๊ห ลอลวงนั้น..และชึคำตามหัวใจปรารถนา…หีของเจ้าตอดกระดุบๆ แล้ว…ซีดส์….หัวบานพี่เสียวไปหมด…”
“ เมย์…เมย์ เข้าใจ หะ หะ หีเมย์กำลัง กำลัง….ควยพี่เอ…มัน..ชน..ชนมดลูกเมย์ อื๋ย…”
“พี่กำลังจะไปแล้ว….น้องเมย์พร้อมหรือยัง…”
“เมย์ก็…จะ จะ…”
‘ปูน้อยพร้อมแล้วนายท่าน….’
“สะ สะเสียงอะไร คะใครคือปูน้อย…อ๊าวส์ มะ ไม่ ไม่ไหวแล้ง….”
แม้เมดูซ่าจะแตกตื่นกับจิตที่ส่งออกมาของจิตเทวนารีในร่าง แต่ความเสียวที่พลุ่งขึ้นกลับกลบความรู้สุกทั้งหมดไว้ ร่างงามตระหวัดขารัดเอวไกรวิทย์แน่นราวปลอกเหล็ก ร่างท่อนบนแอ่นออกอย่างลืมตัวอัดเนินรักบดขยี้หนอกไกรวิทย์ พร้อมกับที่แก่นเนื้อชายหนุ่มกระฉูดน้ำรักเข้าสู่ร่างเมดูซ่าเป็นระลอก
“น้องเมย์ของพี่สงบใจไว้ ต่อไปนี้น้องเมย์จะเข้าใจทุกสิ่ง…”
“เข้าใจอะไรพี่เอ….อ๊ะ…”
ปราณในร่างไกรวิทย์แทรกผ่านเข้าสู่จักรปราณเมดูซ่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในสภาพที่ปราณในร่างหญิงสาวสมบูรณ์เต็มที่ จักรปราณทังสี่เปิดออกรับกาฬปราณที่เข้าสลายปราณดั้งเดิม แทนที่ด้วยกาฬปราณต้นกำเนิดของเทวนารี ร่างเมดูซ่าพลันเกิดประกายเรืองรองจากอนณูของวัตถุธาตุรอบตัวที่สลายตัวเป็น พลังงานเข้าสู่ร่างราวระลอกคลื่น จิตแห่งเทวนารีที่ฝังตัวอยู่กับจิตเมดูซ่าพลันผสานเป็นหนึ่งเดียวกับจิตหญิง สาว ความทรงจำนับหมื่นปีส่งผ่านเข้าสู่หญิงสาว ดวงตาคู่งามที่ปิดลงจากความเสียวสุดยอดพลันเปิดขึ้นจับจ้องใบหน้าไกรวิทย์ ด้วยประกายตาที่เต็มไปด้วยความรักความเคารพสูงสุด…
‘เมย์เข้าใจแล้ว..นี่เองคือตัวตนของเมย์ …นายท่าน ปูน้อยกลับมาหานายท่านแล้ว…’
ไกรวิทย์จูบริมฝีปากงามนั้นแผ่วเบาก่อนส่งจิตตอบ
‘น้องเมย์ไม่ต้องเรียกพี่ด้วยถ้อยคำแห่งจักราศีหรอก พี่และเหล่าเทวนารีทุกคนใช้ชื่อในชาติภพนี้ทั้งสิ้น จงแทนตนเองด้วยชื่อในภพปัจจุบันเถอะ..’
‘เมย์เข้าใจแล้วพี่เอ…แต่ตอนนี้ ปราณแห่งเฃทวนารีกำเนิดในร่างเมย์แล้ว พี่เอ จะ จะ เอ้อ ถอนควยออกก่อนได้ไหม…’
Image
ไกรวิทย์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนถอนแก่นเนื้อยาวเหยียดออกจากร่องรักอวบอิ่มของเทวนารีแห่งราศีกรกฏที่ กลับเข้าสู่ภพภูมิปัจจุบัน ดวงตาหญิงสาวทอประกายเจิดจ้าขณะสาดร่างพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยไม่ได้ใส่ใจถึง คราบน้ำรักที่พรั่งพรูออกจากหลืบเนื้อเป็นสายยาว โดยมีไกรวิทย์สาดพุ่งร่างตามขึ้นไปอยู่เคียงข้าง แสงเรืองรองก่อตัวขึ้นรอบร่างเปลือยที่ขาวราวหิมะต้นฤดูก่อนสลายตัวเป็นร่าง ของเทวนารีในชุดเกราะปราณสีเขียวเข้ม วงหน้างดงามราวเทพธิดาถูกล้อมไว้ด้วยเกราะสลักลายบรรจบกันที่หน้าผากซึ่ง ประดับด้วยผลึกมรกตรูปปูที่ดวงตาสีแดงเปล่งประกายจากทับทิมที่ฝังอยู่ เกราะปราณจากศีรษะทิ้งดิ่งลงมาสองสายแล้วแยกออกที่ใต้ลำคอเป็นกระเปาะคุ้ม ครองทรงอกเต่งงามไว้แน่นหนา เชื่อต่อผ่านลานหน้าท้องก่อเป็นเพราะรูปปูปกป้องเนินรักงามเอาไว้ทั้งหมด ปลายเท้าของเทวนารีถักทอเป็นตาข่ายราวสาหร่ายทะเลโดยมีกรงเล็บหกก้านแยกออก จากเกราะที่ฝ่าเท้า สะท้อนแสงจันทร์วาววับ หญิงสาวกู่ร้องออกมาเป็นเส้นเสียงทะลวงขึ้นสู่ท้องฟ้า สองมือผนึกเข้าหากันที่ทรวงอกก่อนแยกออกจากันปลดปล่อยพลังออกจากร่างเป็น กระแสพลังรูปคีมพุ่งตรงไปยังยอดเขาหินของเกาะร้างเบื้องหน้า
……….สวบ………
กระแสพลังตัดผ่านยอดเขาหินไปราวกับไม่ได้กระทบสิ่งใด นอกจากเสียงดังหนักๆ ราวการใช้ดาบฟันเข้าสู่หยวกกล้วย แต่แล้วยอดเขาหินที่เคยตั้งตระหง่านอยู่พลันสลายตัวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตกพร่างพรูลงมาราวห่าฝนทิ้งไว้แต่ยอดเขาที่ถูกตัดราบเรียบราวกับพื้นหินขัด มันให้ปรากฏต่อสายตา…
‘ปุสสะหัตถ์ที่ไร้ผู้ต่อต้านจริงๆ….’
เสียงกังวานจากท้องฟ้าเบื้องบนทำให้เมดูซ่าหันขวับไปพร้อมผนึกปราณขึ้นพร้อม ต่อสู้ แต่เมื่อสายตาหญิงสาวกระทบร่างที่อยู่ในเกราะปราณของเซี่ยวเล้งและเรอินะ น้ำตาก็พลันเอ่อออกจากดวงตา พัดเป็นเส้นสายยาวเหยียดเมื่อร่างนั้นพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของเซี่ยวเล้งเต็ม กำลัง
‘พี่มังกรน้อย…ปูน้อยคิดถึงพี่นัก…เจ้าด้วยธนูน้อย…..เวลาผ่านมานานเหลือเกิน’
เซี่ยวเล้งหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะกอดรัดร่างงามนั้นไว้ ขณะที่เรอินะก็โถมร่างเข้ากอดเทวนารีทั้งสองไว้พร้อมกัน
‘พี่ปูน้อยกลับมาแล้ว ธนูน้อยดีใจนัก แต่ในภพนี้มหาเทพ ไม่ใช่สิพี่เอ..สั่งให้พวกเราเรียกหากันด้วยชื่อในภาพปัจจุบัน พี่มังกรน้อยใช้ชื่อเซี่ยวเล้ง ธนูน้อยเองก็ใช้ชื่อเรอินะ ส่วนพี่ปูน้อยนั้นหากเรอินะคาดเดาไม่ผิด คงใช้ชื่อเมดูซ่าอันเป็นนามของพี่ในพบนี้ใช่หรือไม่…’
‘เรอินะ พี่บอกพี่เอไปแล้วว่าขอใช้ชื่อที่บิดาพี่เรียก คือเมย์ เถอะ.. ส่วนแม่นางท่านนี้คือผู้ใดกัน โอ..เราจำได้แล้ว พระธิดาแอนโดรเมดา เสียคารวะยิ่งแล้ว..
เมดูซ่าส่งจิตตอบ พร้อมกับหันหน้าไปหาไกรวิทย์ แต่กลับพบร่างสตรีงามในชุดขาวราวกับเทพธิดา ลอยตัวอยู่บนอากาศด้านหลังเซี่ยวเล้งและเรอินะ
ดวงตาแอนโดรเมดาทอประกายสับสนกับภาพความสนิทสนมของสามเทวนารีเบื้องหน้า ก่อนเคลื่อนร่างมาเผชิญหน้ากับเมดูซ่าและส่งจิตถามไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
‘ท่านคือเมดูซ่าจริง ธิดาของท่านอาจารย์ฟอร์เซียสจริงๆ ท่านหลุดพ้นจากการครอบงำจิตที่เปลี่ยนร่างท่านเป็นอสรพิษได้แล้วหรือไม่…’
ยังไม่ทันที่เมดูซ่าจะส่งจิตตอบ เสียงที่คุ้นเคยยิ่งของเมดูซ่าและแอนโดรเมดาก็ดังขึ้น
‘ลูกเมย์ของเราพ้นการครอบงำของจิตอสูรร้ายแล้ว พระธิดาแอนโดรเมดาจงวางใจ เช่นเดียวกับพิษแห่งจิตตานุภาพนาคฝ่ายมืดที่เคยไหลเวียนในร่างท่าน จนทำให้ท่านกลับเป็นหินมาสามพันปีนั้นก็สลายลงตามการสิ้นสุดของจิตราชานาค เช่นกัน…บัดนี้สลักกรรมที่ตรึงเราอยู่ในภพนี้สูญสลายแล้ว…เราคงต้องอำลา พวกเจ้าทุกคนไว้ ณ ที่นี้…’
‘ท่านพ่อ…ท่านอยู่ที่ใด ปรากฏร่างให้เมย์เห็นด้วยเถอะ…’
‘อาจารย์…ท่านยังคงอยู่…ศิษย์ต้องการน้อมคารวะ โปรดปรากฏร่างให้ศิษย์ได้พบเห็นด้วยเถิด’
จิตเมดูซ่าและแอนโดรเมดาเปล่งออกมาอย่างร้อนรนพร้อมกัน แต่จิตแห่งมหาเสนาบดีผู้เป็นบิดาและอาจารย์ของหญิงสาวทั้งสองกลับไม่ตอบคำ ข้อร้อง เพียงปรากฏเสียงกังวานดังขึ้นในจิตใจทุกคน
‘จิตของเราไม่สามารถปรากฏเป็นรูปร่างให้พวกเจ้าได้พบเห็นอีก ขณะนี้อณูจิตเรากำลังสลายออกไปสู่มิติแห่งนิรันดร์ซึ่งเป็นที่สถิตย์ของจิต ผู้ทรงปราณสุญญตา..แต่เราก็ขอขอบคุณไกรวิทย์ที่ใช้ปัญญาทำลายจิตอสูรของราชา นาคให้เมดูซ่ากลับคืนสู่โลก แม้เราจะไม่มีอารมณ์ใดหลงเหลืออยู่ในจิต แต่เราก็ขอฝากบุตรีเราไว้กับท่าน ส่วนแอนโดรเมดานั้น เจ้าจะรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงในอีกไม่นานนัก จงเชื่อมั่นในความรู้สึกของเจ้าเอง บัดนี้เราปราศจากสิ่งใดที่จะยึดเราไว้กับจักรวาลนี้อีกแล้ว……..แต่เรา ขอบอกพวกเจ้าไว้เป็นครั้งสุดท้ายว่าเกาะแห่งนี้เร้นลับจากสายตาชาวโลกและจัก ราศีด้วยอำนาจแห่งปราณสุญญตาที่เราสร้างขึ้นปกคลุม บัดนี้เมื่อปราศจากเรา ทุกสิ่งจะกลับปรากฏสู่โลก พวกเจ้าพึงระวังตนให้ดี….’
‘ท่านพ่อ…’
‘อาจารย์….’
จิตของมหาเสนาบดีฟอร์เซียส ค่อยๆ จางลงทุกขณะก่อนจะหายไปจากสัมผัสของทุกคน ทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบครอบคลุมร่างซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศของบุรุษสตรี ทั้งห้า
————————
‘ถ้าเช่นนั้นพวกเราคงต้องกลับไปหาพวกพี่รินได้แล้วใช่ไหมพี่เอ…แต่…’
จิตเรอินะแทรกผ่านความเงียบขึ้นมา กระตุ้นให้ภวังค์ทุกคนกลับมาอีกครั้ง แต่คำสุดท้าย เรอินะ หันไปมองแอนโดรเมดาที่ด้านข้าง ทำให้ทุกสายตาต้องหันตามไปจับจ้องหญิงสาวเป็นตาเดียว
‘พวกท่านกลับไปสู่โลกของพวกท่านเถอะ…ที่นี้ไม่มีสิ่งใดให้เราเกี่ยวข้องอีกแล้ว…เราขอแยกจากพวกท่านในที่นี้เลยก็แล้วกัน’
จิตที่ราบเรียบของธิดาแห่งกษัตริย์กรีกโบราณส่งออกมายังทุกคนเมื่อรับรู้ว่า การกลับออกจากสถานที่แห่งนี้ คือสัญญาณของการแยกจากกัน ร่างงามหันกลับไปอีกทาง แต่สมองของหญิงสาวยังคงรำพึงกับตนเองอย่างสับสน
‘แล้วนี่เราจะทำอย่างไรต่อไป กาลผ่านพ้นมาสามพันปีแล้ว อาณาจักรทั้งปวงสูญสลายสิ้น เราไม่เหลือผู้ใดที่รู้จักในโลกนี้อีกแล้ว มีเพียงเมดูซ่าเท่านั้นที่เราคุ้นเคย แต่สตรีเทวนารีกลุ่มนี้กลับเป็นเพื่อนของเมดูซ่า เราจะแทรกเข้าไปได้อย่างไร ส่วนชายผู้นี้เหตุใดจึงทำให้เราไม่สามารถหยุดคิดถึงได้…นี่เราเป็นอะไร ไป…หรือที่พวกนางบอกเราว่าจิตแห่งเทวนารีสถิตย์อยู่ในจิตเรานั้นคือความ จริง หากเป็นเช่นนั้นพวกนางกับเราก็คือสหายร่วมรบแต่อดีตกาล แต่เราจะทำอย่างไร หรือเราจะต้องยอมให้บุรุษผู้นี้ทำลายพรหมจรรย์ที่เราเฝ้ารักษาเสีย ก่อน…แต่อวัยวะเพศของชายผู้นี้น่ากลัวยิ่ง หากมันเข้ามาในร่างเรา เราคงไม่สามารถรับได้แน่….’
กริยาและการส่งจิตของแอนโดรเมดาที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการคิดกับ ตนเองและส่งจิตสื่อสาร กลับส่งความคิดของหญิงสาวถูกสาวออกมาให้ทุกคนได้รับรู้ ทำให้เกิดรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน ไกรวิทย์ผงกศีรษะให้เมดูซ่าเป็นเชิงอนุญาตเมื่อพบว่าดวงตาหญิงสาวผู้เพิ่ง พ้นจากการครอบงำจับจ้องมา เมดูซ่าเผยอยิ้มงดงามก่อนเคลื่อนร่างเข้าไปจับมือเรียวของอแอนโดรเมดาไว้ แผ่วเบา
‘พระธิดาแอนโดรเมดามากับพวกเราเถอะ สถานที่นี้ปราศจากผู้คน ท่านไม่สามารถกลับสู่โลกที่ท่านไม่รู้จักได้ด้วยตัวคนเดียว และหากท่านไม่พึงประสงค์จะอยู่ร่วมกับพวกเรา เมื่อถึงฝั่งแล้วท่านสามารถจะแยกออกไปได้ตามใจปรารถนา แต่ตอนนี้ขอให้เมย์ได้รับใช้พระธิดาก่อนเถอะ..’
มือน้อยของแอนโดรเมดาบีบมือเมดูซ่าแน่น ขณะหันมาหาหญิงสาวและส่งจิตที่บังคับให้สงบราบเรียบออกมา
‘ถ้าเช่นนั้นเราก็จะร่วมไปกับพวกท่าน แต่ในเมื่อเวลาในโลกผ่านไปกว่าสามพันปีแล้ว สถานะราชธิดาแห่งกษัตริย์ของเราคงไม่จำเป็นต้องยึดถืออีกต่อไป เราขอร่วมทางไปกับพวกท่านในฐานะสตรีธรรมดา พวกท่านเรียกหาเราเป็นแอน เช่นเดียวกับที่พระบิดาเราเรียกหาเถอะ’
พร้อมกันนั้นในจิตของแอนโดรเมดาก็เกิดเสียงรำพึงกับตนเองอีกครั้ง
‘เราไปอยู่ร่วมกับพวกนางเช่นนี้ บางทีเราอาจจะได้ศึกษาบุรุษผู้นี้ให้มากขึ้น โอ…เหตุใดเมื่อเราจับจ้องใบหน้านั้น ร่างกายเราจึงพยายามเรียกร้องให้เราโผเข้าหาอ้อมแขนบุรุษผู้นี้ทุกครั้งไป หรือเราจะหลงรักบุรุษที่เพิ่งเคยพบหน้า บุรุษที่หยาบคายร่วมรักกับเมดูซ่าต่อหน้าเราโดยไม่ละอาย แต่กลับเป็นบุรุษที่เราถอนหัวใจออกมาไม่ได้ ข้าแต่เทพเจ้า..ข้าจะทำอย่างไรดี…’
รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของทุกคนรอบข้าง แต่ดูเหมือนแอนโดนเมดาจะเข้าใจว่ารอยยิ้มนั้นเกิดจากความยินดีที่จะต้อนรับ หญิงสาวจึงโค้งศีรษะลงคำนับทุกคนขณะส่งจิตออกมา
‘นับแต่นี้แอนคงต้องพึ่งพาพี่ๆ ทุกท่านแล้ว…อุ๊ย…’
ยังไม่ทันที่แอนโดรเมดาจะยืดตัวขึ้น ปราณในร่างหญิงสาวอันเกิดจากปราณของผู้ทรงปราณกว่า 500 คนก็ชะงักการโคจรวูบหนึ่ง ร่างงามอุทานออกมาขณะร่วงหล่นลงสู่พื้น แต่ในเพียงพริบตานั้น ร่างหญิงสาวก็ถูกช้อนรับไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแรงของไกรวิทย์ ที่จับจ้องดวงตาคู่งามและส่งจิตมาอย่างอ่อนโยน
‘น้องแอนต้องระวังการใช้ปราณให้ดี เพราะปราณของน้องแอนนั้นไม่สามารถผสานเป็นหนึ่งเดียวเช่นปราณที่กำเนิดจากตน เองได้ ทุกร้อยรอบของการโคจรปราณ จะบังเกิดการติดขัดที่ทำให้กระแสปราณหยุดชะงัก ซึ่งหากเป็นในยามปกติก็ไม่เป็นปัญหา แต่หากเกิดขึ้นในยามต้องต่อสู้แล้วนี่อาจจะนำมาซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้…’
‘แอนขอบคุณพี่เอที่ช่วยไว้ แต่ตอนนี้ปราณของแอนกลับสู่สภาพปกติแล้ว พี่เอปล่อยแอนเถอะ..’
แอนโดนเมดาส่งจิตออกมาอย่างขัดเขินเมื่อรับรู้ว่าร่างกายตนถูกวงแขนแข็ง แกร่งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นกายบุรุษรัดไว้ จนทรวงอกที่ไม่เคยมีชายใดสัมผัส กลับเบียดอัดกับท่อนแขนไกรวิทย์แทบเป็นเนื้อเดียวแม้จะมีผืนผ้าขวางกั้นก็ ตาม พวงแก้มหญิงสาวเกิดสีแดงระเรื่อ ขณะขยับร่างให้พ้นจากอ้อมแขนชายหนุ่ม พร้อมกับจิตที่รำพึงกับตนเอง
‘โอย..เพียงสัมผัสจากเขาร่างกายเราก็อ่อนเปลี้ยไปหมด อวัยวะเพศเรากลับชื้นชุ่มอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นี่เราเป็นอะไรกันแน่..ทำไมจึงต้องการสัมผัสจากเขามากถึงเพียงนี้’
‘พวกเราลงไปที่เรือกันเถอะ…’
จิตไกรวิทย์ส่งออกมายังเหล่าเทวนารีที่กำลังพยายามกลั้นรอยยิ้มอย่างสุดความ สามารถ กับความคิดของแอนโดรเมดาที่ถูกส่งออกมาโดยไม่รู้ตัว เมดูซ่าเอื้อมมือจับมือแอนโดรเมดาก่อนพยักหน้าชักชวนให้หญิงสาวลอยตัวตามลง มาด้วยกัน
—————————–
‘เท่าที่เซี่ยวเล้งเคยอ่านเทพปกรณัมของกรีกที่ตกทอดมาในยุคนี้ มีบันทึกไว้ว่าผู้สังหารเมดูซ่าคือเพอซีอุส เจ้าชายกรีก โดยใช้ดาบโล่ห์แห่งเทวีอาเธน่าสะท้อนเงาของเมดูซ่าก่อนฟันศีรษะนางลงมาแล้ว เก็บกลับมาสังหารอสุรกายกอร์กอนช่วยเหลือเจ้าหญิงแอนโดรเมดา แล้วกลับไปครองรักกัน…หรือตำนานนี้จะคลาดเคลื่อนกับความจริงอย่างหน้ามือ เป็นหลังมือก็ไม่รู้’
‘บ้าแล้ว พี่เซี่ยวเล้งอย่าไปเชื่อนะ เจ้าเพอซีอุสมันเป็นลูกชายกษัตริย์หลงตัวเองชื่ออาคีซัส มันพยายามมาสู่ขอแอนกับท่านพ่อ แต่แอนไม่สนใจมันแม้แต่น้อย พอตอนที่แอนผนึกปราณสำเร็จจะไปสู้กับเมย์ เจ้านี่ก็ตามมาด้วย แต่พอเจอกับร่างนางอสูรของเมย์ก็วิ่งไปซ่อนตัวหลังก้อนหิน ตอนนั้นแอนสู้กับเมย์จนตัดงูบนหัวเมย์กระเด็นออกมากลุ่มหนึ่ง เจ้าเพอซีอุสนี่ก็ตระครุบใส่ถุง แจ้นหายไปทันที’
‘กอร์กอนนั่นเมย์เป็นผู้สังหารมันเองแหละ ท่านพ่อเป็นผู้พาเมย์ไปผนึกกำลังกับท่านพ่อโดยเมย์เป็นคนฝังดาบลงในสมองมัน ไม่นึกเลยว่าเจ้าชายเพอซีอุสจะขี้ขลาดและแอบอ้างตนเองเป็นผู้เก่งกล้าแบบ นี้’
หลังจากไกรวิทย์ติดเครื่องเรือสปีดโบ๊ทพาหญิงสาวทุกนางเดินทางกลับ การสนทนาระหว่างหญิงสาวทั้งสี่ก็ดังขั้นไม่ขาดระยะจนแอนโดนเมดาคลายความตึง เครียดที่ต้องมาอยู่กับกลุ่มคนไม่คุ้นเคย และกลับสนิทสนามกับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว จนเซี่ยวเล้งหันมาสนทนาถึงตำนานกรีกที่ระบุถึงเมดูซ่าและแอนโดรเมดาออกมา ส่งผลให้หญิงสาวทั้งสองอุทานออกมาแล้วแย่งกันอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ เซี่ยวเล้งรับรู้
‘ตำนานนั้นก็คือตำนาน มนุษย์พึงพอใจกับการอวดอ้างตนเองมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว..’
ไกรวิทย์ส่งจิตราบเรียบให้ความเห็นกลับมาอย่างอ่อนโยน ดวงตาชายหนุ่มจับจ้องหญิงสาวทุกคนด้วยความรัก แต่ปราศจากความหื่นกระหายแม้แต่น้อย ทั้งที่ร่างของเซี่ยวเล้ง เรอินะ และเมดูซ่าล้วนสลายเกราะปราณออกจากร่าง ปล่อยให้ร่างกายเปล่าเปลือยปรากฏอยู่ต่อหน้าไกรวิทย์ผู้ซึ่งปราศจากเกราะนิล กาฬเช่นกัน ซึ่งในครั้งแรกที่แอนโดรเมดาได้พบเห็นสภาพเปล่าเปลือยของทุกคนก็ต้องเบือน หน้าหนีโดยไม่ยอมจับจ้องร่างกายผู้ใด จนเมื่อทุกคนพูดคุยกันราวกับเป็นเรื่องปกติความรู้สึกของหญิงสาวก็ผ่อนคลาย ลงทีละน้อยและยอมนั่งรวมกลุ่มสนทนากันที่ลานท้ายเรือกับหญิงสาวทั้งสาม แต่ยังคงไม่ยอมหันไปยังร่างไกรวิทย์ที่บังคับเรืออยู่
‘พี่เอกล่าวถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่แอนคิดเช่นกันเมื่ออ่านจารึกโบราณที่กล่าวถึงวีรกรรมของมนุษย์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้…’
แอนโดรเมดาส่งจิตตอบมาอย่างยินดีเมื่อพบว่าข้อคิดของไกรวิทย์นั้นสอดคล้อง กับความคิดตัวเอง แต่เมื่อสายตาหญิงสาวได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของไกรวิทย์ ดวงหน้างามก็แดงฉานแล้วหันกลับมาจับจ้องเหล่าสตรีแทนทันที แต่ยังคงรำพึงกับตนเองออกมา
‘ร่างกายของเซี่ยวเล้ง เรอินะ และเมดูซ่างามเหลือเกิน งามจนเราเองรู้สึกว่าความเปล่าเปลือยที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องหยาบต่ำนั้นดูจะ ไร้สาระ นี่ถ้าไม่มีพี่เออยู่ด้วย เราคงกล้าเปลือยร่างรวมกับพวกนางแล้ว…แต่นี่พี่เออยู่ตรงหน้า อีกทั้ง..คะ คะ ควย ก็มหึมาปานนั้น จะอย่างไรเราก็คงไม่กล้าเปลือยต่อหน้าพี่เอแน่…’
เซี่ยวเล้ง เรอินะ และเมดูซ่าสบตากันด้วยความขบขัน ขณะที่เมดูซ่าส่งจิตออกมาอย่างร่าเริง
‘พวกเราไม่เห็นว่าจารีตโบราณที่คร่ำครึนั้นจะถูกต้องเป็นความจริงแต่อย่างใด ทุกสิ่งล้วนแต่เติมขึ้นมาปิดกั้นความคิดของคน จนแม้กระทั่งความงามของสตรีก็กลายเป็นเรื่องหยาบช้า…’
‘จริงทีเดียว เซี่ยวเล้งก็เห็นด้วยกับเมย์ ร่างกายของเราคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เหตุใดเราจึงต้องปกปิดธรรมชาติของตนเองด้วย เรอินะว่าอย่างนั้นไหม..’
เทวนารีแห่งราศีธนูอมยิ้ม ขณะยืดตัวขึ้นบิดร่างกายราวกับจะไล่ความเมื่อยขบ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือการสนับสนุนคำเมดูซ่าและเซี่ยวเล้ง ด้วยการเผยความงามของทรวงอกตั้งเต้านั้นเต็มที่ท่ามกล่งแสงจันทร์
‘นั่นสิพี่เซี่ยวเล้ง เครื่องห่อหุ้มร่างกาย ต่อให้สูงค่าเพียงใดก็ไม่มีทางเทียบความงามของเรือนร่างสตรีได้ แล้วพี่แอนล่ะ เหตุใดจึงยังต้องสวมอาภรณ์ที่เปล่าประโยชน์นี้อยู่อีก’
‘แต่แอน ..เอ้อ..แอน…ก็พี่เออยู่ตรงนี้ จะให้แอนทำอย่างไร…’
จิตแอนโดรเมดาส่งออกมาอย่างตะกุกตะกัก เมื่อได้รับการเร่งเร้าให้ปลดเปลื้องร่างกายออกจากชุดสีขาวที่สวมใส่อยู่ ขณะที่จิตหญิงสาวรำพึงกับตนเอง..
‘นี่เราเป็นอะไรไปกันแน่ ทำไมเราจึงต้องการปลดเปลื้องเสื้อผ้าให้พี่เอชมร่างกายของเรา หรือเรากลายเป็นสตรีที่หมกมุ่นกับราคะไปแล้ว…หากเราถอดชุดที่รุ่มร่ามนี่ ออก และพี่เอเห็นเรือนร่างเราเต็มตาแล้วขอร่วมรักกับเราตรงๆ เราจะปฏิเสธได้อย่างไร…ในเมื่อ ในเมื่อ ร่างกายเราก็เรียกร้อง…ให้ คะ ควยนั้น เข้ามาในกาย…’
ดวงตาไหวระริก พวงแก้มที่แดงซ่าน แขนเรียวงามที่ไขว้กันบิดไปมาอยู่ที่หน้าตัก อันเป็นกริยาของหญิงสาวที่กำลังสับสนกับความต้องการของตนเองกับจารีตแห่ง ประเพณีที่ได้รับการสั่งสอนมาตลอดชีวิต และทุกถ้อยคำของจิตที่หญิงสาวคิดว่าเป็นการรำพึงในใจโดยปราศจากผู้อื่นรับ รู้ ทำให้ไกรวิทย์ต้องยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนขณะดับเครื่องยนต์เรือปล่อยให้ลอย นิ่งอยู่บนผิวน้ำอันราบเรียบ ก่อนก้าวมายืนต่อหน้าแอนโดรเมดาและฉุดร่างงามให้ลุกขึ้นยืนต่อหน้า
‘พี่เอ จะทำอะไรเรา…หรือว่า…’
จิตแอนโดรเมดาส่งเสียงกับตัวเองด้วยความประหม่า แต่ร่างนั้นก็กลับยืนขึ้นตามแรงดึงของไกรวิทย์โดยปราศจากอาการขัดขืน ดวงตาสีฟ้าและมรกต อันเป็นดวงตาของเทวนารีแห่งราศีสิงห์ที่ไกรวิทย์คุ้นเคยประสานดวงตาชายหนุ่ม ด้วยแววตาสับสน
‘เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ ร่างกายของเหล่าเทวนารีนั้นปราศจากสิ่งใดต้องปกปิดความงามที่บริสุทธิ์ ความงามนั้นเฉกเช่นความรักที่พี่มีต่อเทวนารีทั้งสิบสอง ซึ่งเป็นพลังให้พวกเราได้พบกันทุกชาติภพแห่งการเวียนว่ายในวัฏฏะ เป็นความบริสุทธิ์และงดงามเหนือจารีตประเพณีแห่งมนุษย์ที่แอนโดรเมดาเรียน รู้ ทั้งเซี่ยวเล้ง เรอินะ หรือเมดูซ่า สามารถยืนยันข้อนี้ได้ในทันทีเมื่อจิตแห่งเทวนารีในร่างพวกนางกลับคืน…แอ นโดรเมดาที่รักแห่งพี่…หากพี่จะขอรับร่างกายที่งดงามเหนือสตรีใดในเวลา นี้..น้องแอนจะปฏิเสธพี่หรือไม่…’
มือเรียวงามของราชธิดาแห่งกษัตริย์กรีกโบราณสั่นระริกในอุ้งมือไกรวิทย์ ขณะส่งจิตตะกุกตะกักออกมาแผ่วเบา
‘พี่เอ…แอน แอนไม่ทราบจะตอบพี่อย่างไร แอนไม่เข้าใจเรื่องจิตแห่งเมวนารีที่พี่บอกแม้แต่น้อย แต่แอนรู้เพียงว่าคำพูดสุดท้ายของอาจารย์ก่อนพ้นจากจักรวาล ที่บอกให้แอนเชื่อมั่นในความรู้สึกของแอนเองนั้นต้องไม่ผิดพลาดแน่ บัดนี้แม้แอนจะประหวั่นยิ่งกับความรู้สึกที่แอนมีต่อพี่เอ แต่แอนตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อมั่นในความต้องการของตนเอง….พี่เอปล่อยมือแอ นเถอะ..’
จิตแอนโดรเมดาค่อยๆ เพิ่มความมั่นคงในน้ำเสียงขึ้นทีละน้อย จนเมื่อไกรวิทย์ปล่อยมือที่ยึดกุมไว้ตามคำขอ หญิงสาวก็ถอยกายไปก้าวหนึ่ง สองมือกดไปยังดวงตรารูปสิงห์ที่ไหล่ขวา และเพียงขยับมือครั้งเดียวดวงตรานั้นก็ถูกปลดออกมาอยู่ในมือ พร้อมกับผืนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มร่างกายแอนโดรเมดาเลื่อนไหลออก จากร่างมากองรวมอยู่ที่ปลายเท้า ปล่อยให้เรือนร่างงามราวเทพธิดาเปลือยเปล่าอยู่กลางแสงจันทร์
เรือนกายขาวสะอาดปราศจากตำหนิใดๆ สะท้อนแสงจันทร์จนแทบปรากฏประกายส่องสว่างออกมาด้วยตนเอง ใบหน้างามสะคราญประดับด้วยเรือนผมสีทองยาวสลวยราวสายน้ำ ดวงตาคู่งามหลับพริ้ม ลมหายใจหญิงสาวกระชั้นถี่ ริมฝีปากบางเม้มเข้ากันเล็กน้อยจากความสับสนในใจที่ต้องต่อสู้กันระหว่าง จารีตและความต้องการของตนเอง เรือนผมยาวทิ้งตัวด้านหน้าคลอเคลียกับทรวงอกงามทั้งสองเต้าที่แม้จะไม่อวบ อิ่มเช่นทรวงอกของหญิงตะวันตกทั่วไป แต่สัณฐานรูปกรวยที่เต็มแน่นไปด้วยผิวเนื้อนวล ปลายยอดที่เงยจงอยขึ้นเล็กน้อย ทำให้เป็นทรวงอกที่งดงามปราศจากข้อตำหนิใดๆ ผ่านท้องเรียบเนียนดึงดูดทุกสวายตาลงไปสู่เนินรักกลางสะโพกที่ผายกว้าง ที่นูนเด่นราวกับเนินเขาที่ประดับไว้ด้วยปอยหญ้าสีทองนุ่มเนียนกรวมตัวเป็น พุ่มอยู่ที่เหนือสองแคมสีชมพูเข้มที่ปิดสนิทปราศราวจะปกป้องมหาสมบัติที่สูง ค่าเอาไว้ภายใน ต้นขายาวเนียนเรียวลงไปสู่ปลายเท้าโดยปราศจากช่องว่าง กอปรเป็นความงามที่เปรียบได้เพียงเทพธิดาที่ลงมาสู่พื้นโลกเท่านั้น
‘สิงห์น้อย…งามสุดฟ้าดินจริงๆ’
จิตเซี่ยวเล้งส่งออกมาด้วยถ้อยคำที่ราวกับจะแทนความคิดของทุกคนที่ได้พบเห็น ความงามเหนือโลกเบื้องหน้า…ขณะที่จิตของแอนโดรเมดาก็ปั่นป่วนไปด้วยความ คิดสับสน
‘ไม่น่าเชื่อ นี่เรากำลังเปลือยร่างพรหมจรรย์ต่อหน้าชายที่เราเพิ่งได้พบหน้า เสนอร่ายกายนี้ตามคำขอของเขาโดยปราศจากการต่อต้าน เรากลับกลายเป็นสตรีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน…อุ๊ย…’
จิตแอนโดรเมดาอุทานออกมาทันที เมื่อรับรู้ว่าร่างตนเองถูกดึงเข้าสู่อ้อมแขนแข็งแกร่งของไกรวิทย์จนส่วน หน้าของร่างกายผนึกแนบแน่นปราศจากช่องว่าง ดวงตาที่ปิดแน่นเบิกโพลงด้วยความแตกตื่น แต่เมื่อประสานกับดวงตาที่อ่อนโยนแฝงความปรารถนาของไกรวิทย์ ดวงตาสองสีนั้นก็กลับหรี่ปรือลง ก่อนจะหลับพริ้มลงอีกครั้งเมื่อริมฝีปากเรียวบางถูกประทับอย่างนุ่มนวล
‘อืมห์…นี่คือจูบ…จูบแรกในชีวิตของเรา…แต่…แต่ทะ ทะไม คะ ควยพี่เอถึงๆ…อื๋ย…แย่แล้ว…’
จิตที่รับความหอมหวานจากจูบแรกในชีวิตพลันเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อร่าง กายส่วนล่างของแอนโดรเมดารับรู้สัมผัสของแท่งเนื้อที่ขยายตัวแข็งเป็นลำแทรก กดแน่นที่หน้าท้องราบเรียบ แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวรับรู้ถึงขนาดทุกสัดส่วนได้อย่างชัดเจน เนินรักนูนตระหง่านที่ไม่เคยมีผู้ใดแตะต้องก็พบการรุกรานสัมผัสด้วยฝ่ามือ ไกรวิทย์ที่เลื่อนไล้มากุมไว้ และบดเบียดอัดฝ่ามือเข้ากับเนินที่เต็มด้วยแรงดีดสะท้อนของหญิงสาว
‘อูย…พะ พี่เอ…แอน….แอน ยะ อน่า..อย่าคลึงตรงนั้น…แอนจะ จะ เป็นลม….มัน มัน….’
จิตแอนโดรเมดาพยายามเรียกร้องให้ไกรวิทย์ยุติการเคลื่อนไหว แต่สะโพกหญิงสาวกลับเกิดปฏิกิริยาตรงข้าม โยแอ่นตัวขึ้นเบียดรับการเคล้นคลึงและส่ายไปมาเพื่อให้สัมผัสของฝ่ามือนั้น เสียดสีกับติ่งเสียวที่กำลังตื่นตัวรับการสัมผัส
ไกรวิทย์ประคองร่างงามเปลือยเปล่าที่ผิวหนังทุกส่วนเต้นระริกไปกับความเสียว ซ่านที่เกิดขึ้น ลงนั่งบนเก้าอี้บังคับเรือที่หันกลับมาด้านหลัง ขณะถอนมือออกจากการเกาะกุมเนินรักที่กำลังเอ่อท้นไปด้วยน้ำรักแรกสาว ก่อนซุกไซร้ริมฝีปากผ่านทรวงอกเต่งตึงลงมายังเนินรักเบื้องล่าง น้ำรักแอนโดรเมดากระจายกลิ่นหอมราวดอกไม้จนไกรวิทย์ต้องฉกลิ้นเข้าระหว่าง กลางสองแคมรักและเลียไล้ขึ้นสูงไปวนที่เม็ดเสียวที่กำลังแข็งตัวเป็นไต
‘อ๊าย…พะ พี่เอ…ยะ อย่า…มันสกปรก…นั่นไม่ใช่ที่ที่จะ…ละ เลีย…’
‘น้องแอน..ร่างกายนี้ไม่มีที่ใดสกปรก มีแต่ความหอมหวานพี่รอคอยที่จะได้ชิมมาทุกชาติภพ..’
‘แต่นี่ไม่ใช่…ไม่ใช่…สิ่งที่ควรทำ…บัญญัติแห่งเทพห้ามไว้….อูว์…มัน สะเสียว…’
‘เทพใดกันที่บังอาจหวงห้ามการแสดงความรัก นั่นไร้สาระเกินไปแล้ว…’
‘ตะ..แต่..ข้อ..ข้อห้ามนี้…โอย…พี่เอ…แอน….อ๊าวส์….’
ร่างกายทุกสัดส่วนของแอนโดรเมดาสั่นระริกเมื่อปลายลิ้นไกรวิทย์ที่บี้เคล้น ติ่งเสียวถี่ยิบผลักดันอารมณ์รักหญิงสาวให้ทะลุไปสู่ความเสียวสุดยอดได้เป็น ครั้งแรก น้ำรักหอมกรุ่นกระจายออกมาจากหลืบรักราวน้ำพุทิพย์ ให้ไกรวิทย์เสพเข้าสู่ร่างทั้งหมดโดยไม่ปล่อยให้ไหลล้นออกมาแม้แต่หยดเดียว ขณะเดียวกับกับที่จิตของเมดูซ่า เซี่ยวเล้ง และเรอินะ ส่งออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นระริก
‘โอย…นี่เมย์เป็นอะไรไป..ทะ ทำไม หีเมย์ ถึงกระตุกตัวเอง แบบนี้…’
‘น้องเมย์…พี่เอได้รับพลังจากผลึกมังกรอัคคีเอาไว้ในกาย พะ พวกเราทุกคนที่รับการถ่ายพลังปราณจากพี่เอ..ล้วนเกิดความต้องการเมื่อพี่เอ ควยแข็งแบบนี้….อูยพี่เอ……แบบนี้…เซี่ยวเล้งไม่ไหวแล้วนะ…’
‘พี่แอนไปถึงแล้ว…แต่เรอินะ…ยะ..ยัง….ซีดส์.. พี่เมย์รอ…รออีกนิด…พวกเราทุกคนต้องเผชิญอารมณ์นี้ทุกครั้ง….แต่เรอิ นะ…เรอินะ ก็ยังทนแทบไม่ได้…’
‘อูว์ เมย์เข้าใจแล้ว ที่แท้พี่เอรับมาแต่เพียงพลังจากผลึกมังกรอัคคี แต่ขาดผลึกมังกรวารี พลังที่ขาดสมดุลทำให้…ทำให้…พวกเราล้วนๆ…’
ท่ามกลางจิตสั่นระริกของสามเทวนารี และเสียงหอบหายใจหลังการบรรลุจุดสุดยอดของแอนโดรเมดา ร่างไกรวิทย์พลันยืนขึ้น ภาพสามเทวนารีกอดก่ายร่างกระหวัดกัน บดเบียดทรวงอกงามทั้งสามคู่กับร่างกายอีกฝ่าย มือน้อยๆ ลูบไล้เนินรักที่เอ่อท้นน้ำรักออกมาจนเปียกชุ่ม ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาจับจ้องร่างไกรวิทย์ด้วยความร้อนรุ่ม ขณะที่ร่างแอนโดรเมดาที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนเบาะหนานุ่มของเรือ ก็ลืมตาขึ้นจับจ้องไกรวิทย์เมื่อรับรู้ว่าชายหนุ่มได้ผละร่างออกไปจากเนิน รัก แต่แล้วแอนโดรเมดาก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อพบว่าร่างไกรวิทย์เกิด หมอกสีดำปกคลุม และในอึดใจเดียวร่างนั้นก็พลันแยกออกเป็นสี่ร่าง สามร่างสืบเท้าเข้าหาเซี่ยวเล้ง เรอินะ และเมดูว่าที่ทุกนางต่างโผร่างกายเปลือยเปล่าเข้าสู่อ้อมแขนไกรวิทย์ ส่วนอีกร่างกลับทาบทับลงกับความนุ่มนวลของผิวกายแอนโดนเมดาที่เก้าอี้ แก่นเนื้อยาวเหยียดจ่อเข้าที่ระหว่างสองแคมรักที่ยังคงปิดแนบแน่นแม้น้ำรัก ระเอ่อท้นออกมาภายนอก
‘พี่เอ…กะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมร่างพี่เอจึง…อื๋ย…’
ยังไม่ทันที่จิตเปี่ยมความสงสัยของแอนโดรเมดาจะถามจบ จิตหญิงสาวก็อุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อรับรู้ว่าแก่นกายไกรวิทย์กำลังแทรก ผ่านสองแคมอวบเข้ามาช้าๆ ด้วยพลังที่แม้สองแคมของผู้ทรงปราณระดับเทียบเคียงเทวนารีเช่นแอนโดรเมดาจะ พยายามเกร็งตัวต่อต้านจากจิตใต้สำนึก ก็ยังไม่สามารถต้านทานหัวบานที่ค่อยๆ ผ่านเข้ามาในลักษณะบดส่ายเป็นวงนุ่มนวลได้
‘น้องแอนที่รักของพี่…อย่าแปลกใจกับการแยกร่างแห่งเทพเจ้าเลย…จงปล่อยใจ รับความเจ็บปวดในเบื้องต้น อันจะนำมาซึ่งความสุขในเบื้องปลายความสุขที่จะรวมให้น้องแอนกลับเข้ามาสู่ จักราศีของพวกเราเถอะ…’
‘พี่เอ…แอน แอน…จะเจ็บ…ค่อยๆ ..แอนยอมรับ…คะ ควยพี่เอแล้ว…แต่ เบา.ๆ อาห์..’
จิตแอนโดรเมดาส่งเสียงครางออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ถึงสองแคมอวบอิ่มที่แยกออกรับหัวบานของแก่นเนื้อเข้าสู่ร่าง กลีบเนื้อร่องรักที่หนานุ่มอันเกิดจากเชื้อชาติชาวตะวันตกแยกตัวออกรับหัว บานทั้งหมดเข้าสู่ร่างได้โดยปราศจากการฉีกขาด แต่ก็ยังต้องขยายตัวเป็นวงกลมตรึงเปรี๊ยะรัดแก่นกายไกรวิทย์ไว้แน่นสนิท จนแทบเคลื่อนที่ไม่ได้
‘น้องแอน…พร้อมที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพี่แล้วหรือไม่…’
‘พี่เอ…แอน แอน..ไม่รู้ แต่…ตอนนี้….แอนกลัว…’
‘นายท่าน….สิงห์น้อยรอที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับเหล่าเทวนารีมานานเหลือเกินแล้ว’
เสียงของจิตแห่งเทวนารีที่หลับใหลดังขึ้นรับคำขอ เมื่อร่างกายแอนโดรเมดาเชื่อมต่อกับไกรวิทย์ ทำให้จิตแอนโรเมดาสะท้านเฮือก
‘พี่เอ…นั่นคือเสียงของผู้ใด เหตุใดจึงดังขึ้นในร่างแอน…’
‘น้องแอนอย่าตกใจไป จิตแห่งเทวนารีนั้นจะแยกเป็นสองส่วน..ส่วนหนึ่งกำเนิดไปตามภพภูมิตามวัฏฏะ นั่นคือจิตแห่งชีวิตแต่อีกส่วนคือจิตแห่งความทรงจำนั้น สถิตอยู่ลึกในจิตสะสมความจำในชาติภพเอาไว้….เมื่อรวมกันนั่นคือจิตที่แท้ จริงของแอนที่จะตื่นขึ้นเป็นเทวนารีแห่งราศีสิงห์เพื่อเคียงข้างพี่ไปตลอด กาล…’
ไกรวิทย์ส่งจิตอธิบายอย่างอ่อนโยน ทั้งที่ยังคงขยับหัวบานที่ฝังอยู่ในหลืบรักชั้นนอกของแอนโรเมดาขึ้นลงเพื่อ สร้างความคุ้นเคย จนหลืบรักนั้นคลายตัวจากอาการเกร็งในเบื้องต้นที่ถูกรุกล้ำ และเริ่มหลั่งน้ำหล่อลื่นมาชโลมรับ
‘อูว์..พี่เอ…แอนยังเข้าใจไม่ถ่องแท้….แต่ตอนนี้…ตรงนั้นของแอนมัน.. โอ๊ย…แอนเจ๊บ…’
ร่างงามของแอนโดรเมดาสะท้านเฮือก ด้วยความเจ็บปวดเมื่อไกรวิทย์รับรู้ความผ่อนคลายของหลืบรักที่เริ่มคุ้นเคย กับแก่นเนื้อ ชายหนุ่มจึงตัดสินกดแก่นเนื้อยาวเหยียดทะลุเยื่อพรหมจรรย์ที่บอบบางของแอนโร เมดาลงไปจนมิดลำในคราวเดียว สองแขนหญิงสาวไขว่คว้าไปมาราวกับหาที่ยึดเหนี่ยวกระหวัดกอดรัดร่างไกรวิทย์ แน่นราวกับปลอกเหล็กกล้า ใบหน้างามราวเทพธิดาปรากฏหยาดน้ำใดไหลรินออกมาจากหางตา ปากน้อยอ้ากว้างอย่างลืมตัวเมื่อรับรู้ว่าพรหมจรรย์ของธิดาแห่งกษัตริย์ที่ เฝ้ารักษามา 16 ปี ถูกชายหนุ่มที่ได้พบกันเป็นครั้งแรกพรากไปด้วยแก่นเนื้อที่ฝังความยาวทั้ง หมดอยู่ภายในร่าง
ไกรวิทย์ปล่อยให้แก่นกายฝังนิ่งอยู่ในหลืบรักแน่นหนึบนั้น ขฯจูบซับน้ำตาจากหางตาแล้วเคลื่อนมาจูบริมฝีปากงามนั้นไว้ด้วยความรัก สองมือเกาะกุมเต้านมงามเลื่อนไล้ปลายยอดสีชมพูเข้มนั้นแผ่วเบา ขณะส่งจิตปลอบโยนหญิงสาว
‘น้องแอนเจ็บปวดมากหรือไม่…..’
‘พี่เอ…อย่าเพิ่งขยับนะ แอนยังเจ็บอยู่…ทำไมพี่เอจึงไม่บอกให้แอนรู้ก่อนว่าจะแทงลงไปในคราวเดียว แบบนี้..อูยพี่เอ…นั่นหน้าอกแอน อย่าบี้ มันหวิวไปหมดแล้ว…’
‘ความเจ็บนั้นเกิดขึ้นครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปนี้น้องแอนจะมีแต่ความสุข จงวางใจในตัวพี่เถอะ…’
‘แอนไว้ใจพี่เอจนมอบความสาวไปให้ทั้งที่เราเพิ่งพบหน้าแล้ว…ที่เอยังสงสัยในตัวแอนอีกหรือ..อูว์…’
‘อูย หีแอนเกร็งรัดควยพี่แบบนี้ พี่จะเย็ดได้อย่างไร….’
จิตไกรวิทย์ส่งออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ เมื่อชายหนุ่มเริ่มขยับแก่นกายขึ้นลงช้าๆ จนกลับเนื้อแอนโดรเมดาเกร็งรับบีดอัดไว้แน่น ทำให้พวงแก้มหญิงสาวแดงฉาน มือน้อยๆ ทุบใส่ไกรวิทย์
‘พี่เอใช้คำหยาบคายทำไม ของ ของแอนมันเกร็งเอง…แอนคุมมันได้เสียที่ไหนกัน…’
‘น้องแอนบอกพี่ว่าจะเชื่อในตนเอง ไม่ยึดติดกับจารีตอีกแล้ว เหตุใดจึงต้องยึดกับการใช้คำพูดล่ะ…ในเมื่อหีแอนทั้งดูดทั้งบีบทั้งตอดแบบ นี้ แอนควรต้องภูมิใจในหีของแอนต่างหาก…’
‘อย่างนั้น แอน แอนจะ..บอก…ว่า อูย พี่เอ..แอนเสียวหี….พี่เอเร่งควยเถอะ…แอน..ไม่เจ็บแล้ว…’
จิตสั่นระริกของหญิงสาวผู้ตัดสินใจละทิ้งจารีตทั้งหมดที่เคยยึดถือดังออกมา เมื่อความเสียวก่อตัวขึ้นกลบความเจ็บปวด ไกรวิทย์ขบกรามแน่น สองมือจับเอวคอดของแอนโดนเมดาที่นอนเหยียดกายบนเก้าอี้เป็นหลัก ขณะเร่งความเร็วกระแทกแก่นกายเข้าในกลืบเนื้อแน่นหนึบ จนสองแคมผลุบเข้าออกตามจังหวะการเคลื่อนไหว พร้อมกับความเสียวที่พุ่งขึ้นทุกขณะ แขนที่กอดรัดร่างไกรวิทย์ยิ่งเพิ่มแรงขึ้น สองมือเกร็งจิกเล็บฝังผิวหนังชายหนุ่มอย่างลืมตัว ขณะที่สะโพกผายนั้นก็กระเด้งรับแก่นเนื้อจนเกิดเสียงกระทบของหน้าท้องทั้ง สองดังไม่ขาดระยะ
‘พี่เอ..พี่เอ…แอนจะ…จะ…อ๊าย…ส์ส์’
‘น้องแอน พี่ก็……’
แก่นเนื้อไกรวิทย์ที่ถูกบีบกระตุกจากหลืบเนื้อที่เกร็งตัวด้วยความเสียวสุด ยอด ทะลักน้ำรักพุ่งอัดเข้าสู่มดลูกแอนโดรเมดาไม่หยุดยั้ง กาฬปราณจากร่างไกรวิทย์ส่งผ่านเข้าสู่จักรปราณแอนโดรเมดาที่ประกอบไปด้วย ปราณกว่า 500 สายโคจรหมุนเวียนอยู่อย่างไร้ระเบียบ ซึ่งแม้จะทำให้หญิงสาวบรรลุจุดสุดยอดของปราณระดับเทวนารี แต่ก็เต็มไปด้วยจุดอ่อนและจะเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว กาฬปราณที่แผ่เข้าสู่จักรปราณทั้งสี่สลายปราณที่สับสนทั้งหมด ปล่อยให้จักรปราณดูดรับพลังจากอณูแห่งอากาศภายนอกเข้าสู่ร่าง ก่อนที่จะพุ่งขึ้นสู่จิตของหญิงสาว
‘นายท่าน สิงห์น้อยพร้อมแล้ว…’
‘เช่นนั้นจงกลับมาหาเราเถิด เมวนารีแห่งราศีสิงห์อันเป็นที่รักแห่งเรา’
จิตของแอนโดรเมดาแผ่ออกผสานกับจิตแห่งเทวนารีที่กระจายออกมาจากการเร่งเนร้า ของจิตปราณไกรวิทย์ เพียงพริบตาเดียวจิตนั้นก็ผสานเป็นหนึ่งเดียว ความทรงจำทุกชาติภาพกลับเข้าสู่จิตหญิงสาว จนร่างงามสะท้านเฮือก ดวงตาที่ปิดสนิทตลอดการร่วมรักเบิกโพลง ก่อนจะกลับเป็นประกายตาส่งประกายระยิบระยับราวดวงดาว
‘สิงห์น้อยกลับมาหานายท่านแล้ว…’
จิตที่เต็มไปด้วยความยินดีดังจากจิตแอนโดรเมดา สองมือหญิงสาวยกขึ้นประคองใบหน้าไกรวิทย์ก่อนดึงลงมาจูบที่ริมฝีปาดแผ่วเบา
‘สิงห์น้อยของเรา ภพภูมินี้เจ้าคือแอนโดรเมดา จงเรียกหากันด้วยชื่อนั้นเถิด’
‘แอนรับบัญชาพี่เอ…น่าเวทนานักที่ในภพภูมินี้แอนกลับถูกจารีตครอบงำจนแทบ ไม่กล้าเสนอตัวให้พี่เอเย็ด ทั้งที่จิตของแอนเรียกร้องควยพี่เอตั้งแต่พบหน้า…’
เทวนารีราศีสิงห์ผู้กลับสู่ความทรงจำที่แท้จริงส่งเสียงบ่นออกมาเบาๆ ทั้งที่แก่นเนื้อไกรวิทย์ยังคงฝังอยู่ร่าง
‘แต่ก็ยังดีที่แอนโดรเมดานางนั้นไม่รู้ว่าการคิดของตนเองนั้น กลับไม่ได้เป็นความลับต่อจิตผู้อื่นเลย มิฉะนั้นพี่อาจไม่กล้าขอเย็ดเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ก็ได้…’
‘พี่เอบ้า…พี่เซี่ยวเล้ง พี่เมย์ น้องเรอินะ ทุกคนแกล้งทำเป็นไม่รู้…อย่างนี้แอนต้องเรียกคืนบ้างแล้ว…’
จิตแง่งอนของแอนโดรเมดาส่งออกมา แต่เมื่อดวงตาหญิงสาวกวาดไปรอบด้าน ดวงหน้านั้นก็แดงระเรื่ออีกครั้ง
Image
ที่กราบเรือด้านขวา ร่างของเทวนารีแห่งราศีมังกรคุกเข่าลงกับพื้นเรือ โดยไกรวิทย์จับเอวคอดกิ่วทางด้านหลังไว้แน่น ขณะส่งแก่นกายเข้าสู่เนินรักเซี่ยวเล้งทางด้านหลัง สะโพกอวบอิ่มขาวโพลนสั่นไหวไปกับการกระเด้าถี่ยิบ ปากน้อยอ้ากว้าง สองมือเกาะกราบเรือไว้แน่น ส่งจิตครางออกมาด้วยความเสียวไม่ขาดระยะ ในขณะที่กราบเรือด้านซ้ายร่างของเมดูซ่านั่งซ้อนตักไกรวิทย์พิงแผ่นหลังกับ แผ่นอกชายหนุ่ม ที่ส่งแก่นเนื้อเข้าสู่หลืบรักในท่านั่ง สองมือเมดูซ่าจิดเข่าไกรวิทย์เป็นหลัก เพื่อกระเด้งรับแก่นเนื้ออย่างไม่กลัวเกรง ปล่อยให้สองมือไกรวิทย์เกาะกุมเต้านมคู่งามบี้คลึงจนหัวนมทั้งคู่สั่นระริก ส่วนทางด้านดาดฟ้าเรือสปีดโบ้ทด้านหน้า ร่างบอบบางของเรอินะที่ปรับเข้าสู่ร่างเด็กหญิงวัย 12 ปี คร่อมอยู่เหนือร่างไกรวิทย์ที่นอนหงายปล่อยให้เรอินะเคลื่อนไหวสะโพกน้อยๆ ขึ้นลงด้วยตัวเอง โดยมีมือไกรวิทย์ลูบไล้เต้านมคู่เล็กเพิ่มความเสียวให้ร่างของเด็กหญิงจนส่ง เสียงครางออกมาตลอดเวลา
‘เทพกระจายร่าง…สิบสองเทวนารีร่วมรักในคราวเดียว…นี่เป็นภารกิจที่เหล่า เทวนารีทุกนางล้วนรอคอย แต่ในเมื่อแอนเพิ่งผ่านพ้นการเย็ดไปเช่นนี้ แอนจะมีส่วนอีกครั้งจะได้หรือไม่..’
จิตที่ถูกกระตุ้นด้วยภาพสามเทวนารีกำลังร่วมรักพร้อมกันรอบตัว ทำให้แอนโดรเมดาหันมาลูบไล้ร่างไกรวิทย์และส่งจิตออกมาอย่างเอียงอาย
‘ที่ผ่านมาคือการเย็ดเพื่อปลุกจิตเทวนารี แต่ในเมื่อเทวนารีแห่งราศีสิงห์กลับมาอยู่เคียงข้างพี่เช่นนี้ ท่านเทวนารีจะหลบหนีภารกิจนี้ได้อย่างไร…’
‘อ๊าวส์…’
แก่นเนื้อที่ฝังตัวอย่ในหลืบรักอบอุ่นของเทวนารีแห่งราศีสิงห์ เริ่มเคลื่อนตัวเข้าออกเป็นจังหวะ จิตที่ครวญครางด้วยความเสียวของแอนโรเมดาดังขึ้นอีกครั้งเมื่อนั้น ประสานกับจิตเซี่ยวเล้ง เรอินะ และเมดูซ่าราวกับเสียงดนตรีจากสรวงสวรรค์
——————————–
ร่างที่แยกออกเป็นสี่ของไกรวิทย์ สัมผัสความอบอุ่น หนึบแน่นของหลืบรักเทวนารีทั้งสี่ที่แม้จะแตกต่างในรสสัมผัส แต่ล้วนบีบเคล้นความเสียวให้พลุ่งพล่านขึ้นสูงจนพร้อมจะทะลักทะลายความสุข เข้าสู่ร่างงามทุกร่างพร้อมกัน เช่นเดียวกับ เซี่ยวเล้ง เรอินะ เมดูซ่าและแอนโดรเมดา ลำลึงค์ยางเหยียดที่ทะลวงผ่านสองแคมรักถี่ยิบ ครูดผ่านกลืบเนื้อภายในและติ่งเสียวภายนอกทุกสัดส่วน จนผิวกายของหญิงสาวทั้งสี่เต้นระริกกำลังจะก้าวไปสู่จุดสุดยอด
แต่พลันในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนความเสียวจะพลุ่งขึ้นสูงสุด ประสาทสัมผัสของไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีทั้งสี่ก็สัมผัสพลังมหาศาลในรูปแบบ ที่ไม่เคยประสบมาก่อน กระจายออกมาเบาบางจากใต้ผืนน้ำ แต่พลังนั้นเพิ่มความหนาแน่นขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับต้นกำเนิดของพลังนั้น กำลังเคลื่อนขึ้นมาสู่ผิวน้ำด้วยความเร็วน่าตื่นตระหนก ประสาทที่แม้จะอยู่ในห้วงของการบรรลุจุดสุดยอดในการร่วมรักของทุกคนพลันปิด ตัวเองในทันทีด้วยประสบการณ์การต่อสู้อันยาวนานมากว่าหมื่นปี ร่างทั้งสี่ของไกรวิทย์สลายตัวเป็นกลุ่มหมอกพุ่งกลับมารวมกันเป็นร่างเดียว ขณะที่เทวนารีทั้งสี่ต่างดีดตัวขึ้นมายืนบนพื้นเรือ ผนึกจิตกลับมาอยู่ในระดับความไวสูงสุดและรับรู้ถึงกระแสพลังที่ปราศจากจิต กำลังใกล้สู่ผิวน้ำทุกขณะ
เพียงไม่กี่อึดใจท้องทะเลที่ราบเรียบก็เริ่มปรากฏพรายฟองพลุ่งขึ้นจากผื่น น้ำจากละน้อยจนกลับกลายเป็นสั่นไหวรุนแรง มวลน้ำรอบศูนย์กลางของสิ่งที่กำลังพุ่งขึ้นเดือดพล่านส่งคลื่นความร้อน มหาศาลออกมา ไกรวิทย์สบตาเหล้าเทวนารีวูบหนึ่ง ก่อนสาดพุ่งร่างขึ้นหยุดนิ่งกลางอากาศโดยมีร่างทั้งสี่ของเทวนารีพุ่งตามมา เคียงข้างแทบจะเป็นพริบตาเดียวกัน จากตำแหน่งสูงขึ้นไปจากพื้นทะเล ดวงตาทั้ง 5 คู่พบว่าเบื้องล่างใต้ผิวทะเลนั้นปรากฏแสงเรืองรองสีทองทรงกลมมหึมาราวกับ ขุนเขาทั้งลูกกำลังพุ่งขึ้นสู่ผืนผิวทะเล และในทันที่ที่ขอบของวัตถุนั้นพ้นผิวน้ำคลื่นความร้อนรุนแรงที่สามารถแผดเผา มนุษย์ให้กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาก็กระจายออกไปรอบข้าง จนแม้ร่างไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีซึ่งมีปราณคุ้มครองยังสัมผัสได้ถึงความ ร้อนนั้นบนผิวกาย
ลูกกลมสีทองมหึมาเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าครึ่งกิโลเมตรทะลวงผ่านผิวน้ำขึ้นสู่ อากาศราวพลุไฟ และหยุดนิ่งอยู่บนอากาศสูงจากพื้นทะเล เหนือร่างไกรวิทย์และเหล่าเทวนารี ดวงตาไกรวิทย์จับจ้องลูกกลมสีทองปราศจากตำหนิที่ส่งคลื่นความร้อนออกมาแน่ง นิ่ง ความทรงจำในอดีตที่เคยได้รับรู้จากผู้บรรลุปราณสุญญตาในมหาอาณาจักรปราณผ่าน เข้าสู่สมองพร้อมกับที่ส่วนล่างของลูกกลมสีทองนั้นเปิดออกเป็นช่องวงกลม รัศมีกว่า 100 เมตร แผ่แสงสีขาวเป้นลำพุ่งลงสู่ท้องทะเลจนผืนน้ำเดือดเป็นสายส่งไอน้ำทะลักสู่ อากาศจนลูกกลมทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยหมอกไอน้ำ พริบตานั้นจิตไกรวิทย์ผนึกปราณในร่างทั้งหมด ก่อเกิดเกราะนิลกาฬขึ้น พร้อมกับจิตที่เร่งร้อนถูกส่งออกไปยังเทวนารีทั้งสี่ข้างกาย
‘เทวนารีแห่งข้า ผนึกเกราะปราณเดี๋ยวนี้ นั่นคือดาราสมุทร จักราวุธที่สาบสูญของจักรดารา…’