ปกขาว
  • Home
  • Home
  • Manga
  • Doujin-TH
  • Manhwa
  • เรื่องเสียว
  • เรื่องเสียวซีรี่ย์
  • Cosplay
  • H-Anime
  • A.I.
  • Onlyfan
Prev
Next
The Dark side_1

การ์ตูนแผ่น (ตอน) เดียวจบ

May 16, 2022
น้องรหัส | [Doujin Sak] Peer Mentee การ์ตูนแผ่นเดียวจบ by Xter

คฤหาสน์โลกีย์

May 24, 2022
ตอนที่ 38 ตอนที่ 37
Nong Earn – น้องเอิร์น Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน_Page_170

ได้เวลาเปลี่ยนกะ (น้องเอิร์น) (Nong Earn) ตอนที่ 1-9 ตอนพิเศษ 2 ตอน + PDF

May 13, 2022
ตอนที่ 10 ได้เวลาเปลี่ยนกะ Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน [JPG][PDF] แก้ลิ้งแล้ว ตอนที่ 9 ฝึกงาน
Specials_Vol15_001 (Large)

เปิดบริสุทธิ์

October 8, 2024
061 เปิดบริสุทธิ์ สาวมหาลัย (แหม่ม นันทิชา) 060 เปิดบริสุทธิ์ สาวเพนเฮ้าส์

เรื่องเสียวจากหนังสือปกขาว/ปกสี

May 1, 2023
106 เสน่ห์ชาย 105 ผัวน้อยผัวหลวง

ครอบครัวหฤหรรษ์

February 14, 2023
ตอนที่ 9 ครอบครัวคุณมรกต ตอนที่ 8 ครอบครัวของเรวดี (คุณพิชาญ,เรวดี,ยุ้ย,โจ้ )

รสสวาทแรงหึง (นัฐถิยา ภาค 2)

May 27, 2022
รสสวาทแรงหึง 100 รสสวาทแรงหึง 99

ครูเจ้าเล่ห์

April 30, 2023
ตอนที่ 40 ตอนที่ 39

นางฟ้าน้อย ๆ กับไอ้เฒ่าบ้ากาม ภาค 1 – 2

July 9, 2022
ภาค 2 ตอนที่ 3 เรอิ สาวน้อยผู้ไร้เดียงสา ภาค 2 ตอนที่ 2 หนิง...สาวน้อยผู้เร่าร้อน
Xter My Mother

My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป

August 17, 2024
003 My Mother The Animation พากย์ไทย 002 My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป ZIP
hard36a001

A4U Hard Series 80 Albums

October 15, 2024
80 79

คุณนายผู้น่าสงสาร ตอนที่ 1-21

August 21, 2022
ตอนที่ 21 ตอนที่ 20 เมื่อคุณนายผการับเป็นพรายเสน่ห์

The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 6.1 ตำนานแห่งเทพ

  1. Home
  2. The Paradox & The Zodiac by Buta
  3. The Zodiac บทที่ 6.1 ตำนานแห่งเทพ
Prev
Next

The Zodiac บทที่ 6.1 ตำนานแห่งเทพ

พุทธศักราช 2532

“เด็ก คนนี้เก่งมากเลยนะ เอ…ตอนที่เอพามาให้คุณพ่อช่วยอบรม แม่เองก็คาดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มหน้าหวานท่าทางอ่อนแออย่างกับผู้หญิงแบบ นี้ จะกลายมาเป็นกำลังสำคัญให้ตระกูลคชสีห์ของเราได้…แต่ดูสิตอนนี้เขากลับ เคียงข้างกับปาเกอยะเป็นองครักษ์ซ้ายขวาประจำตัวคุณพ่อไปแล้ว”

เสียง หวานทุ้มของอรอุมากล่าวกับบุตรชายที่ยืนอยู่เคียงข้างกันบนระเบียงชั้นสอง ของบ้านคชสีห์ ดวงตาแวววาวของหญิงที่แม้จะอายุย่างเข้า 40 ปี แต่ยังคงความงามราวหญิงสาววัยเบญจเพศไว้อย่างไม่เสื่อมคลายด้วยอำนาจแห่ง ปราณคชสีห์ จับจ้องใบหน้าคมสันของไกรวิทย์ที่ด้านข้างด้วยความรักและห่วงใย โดยที่แววตานั้นไม่อาจซ่อนความภาคภูมิใจที่มีต่อผู้เป็นเลือดเนื้อของตนเอง ได้ แต่ดวงตาของชายหนุ่มกลับจับจ้องอยู่ที่การต่อสู้ฝึกซ้อมร่วมกันของเหล่า บริวารตระกูลคชสีห์และโรหิณีที่ลานฝึกซ้อมริมลำห้วยเบื้องล่าง ริมฝีปากไกรวิทย์เผยอยิ้มบางเบาออกมาเมื่อพบว่าร่างชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลัง ควบคุมการฝึกซ้อมเบื้องล่างนั้น กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งเครียดจริงจัง เสียงตวาดสั่งการฝึกซ้อมกระบวนท่าดังกังวานแฝงความเกรี้ยวกราดไว้ในนำเสียง จนดูขัดแย้งกับใบหน้าที่อ่อนหวานราวสตรี แต่กริยามุ่งมั่นจริงจังนั้น กลับทำให้สายตาของเหล่าบริวารสตรีแห่งโรหิณีที่อยู่ในการฝึกซ้อมจับจ้องมา ที่ผู้นำการฝึกด้วยแววตาลุ่มหลงอย่างเห็นได้ชัด

“คนๆ นี้รับใช้ผมมานานหลายชาติภพเหลือเกินครับคุณแม่ ไม่ว่าผมจะกำเนิดในฐานะใดจิตที่ภักดีจะติดตามไปเคียงข้างผมเสมอ คุณแม่กับคุณพ่อสามารถวางใจคนๆ นี้ได้ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจิตของเขาจะไม่สามารถตื่นขึ้นเหมือนผมกับเหล่าเทวนารีสะใภ้คุณแม่ ทั้งแปดนาง แต่วิญญาณที่จงรักภักดีนั้นก็กล้าแข็งพอที่จะตามผมไปทุกชาติภพ…เช่นเดียว กับจิตของคุณแม่ที่ติดตามมาดูแลผมโดยไม่ยอมห่างไปไหนแม้แต่ชาติภพเดียว …แม้ว่าบางครั้งเราก็สับเปลี่ยนฐานะจากแม่ลูก กลายมาเป็นพ่อลูก พี่น้อง แต่ทุกภพคุณแม่จะเฝ้าดูแลผมเสมอมาไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม”

‘เอก็รู้ดีว่าแม่รักเอเท่าชีวิตของแม่เอง…ไม่มีอะไรที่แม่จะให้เอไม่ได้…แม้กระทั่งเมื่อคืนนี้…”

อร อุมาส่งเสียงตอบบุตรชายอย่างแผ่วเบา ใบหน้างามราวหญิงสาวแรกรุ่นเกิดสีเลือดฉีดขึ้นที่พวงแก้มเนียนเมื่อกล่าวมา ถึงประโยคสุดท้ายและต้องหยุดลงชั่วขณะราวกับกำลังอายเกินกว่าที่จะกล่าวต่อ ทำให้ไกรวิทย์ต้องหันมาหาและสวมกอดผู้เป็นมารดาเอาไว้แน่น ก่อนยกร่างอวบอิ่มนั้นขึ้นสู่อากาศอย่างหยอกล้อ..จนอรอุมาส่งเสียงอุทานออก มาด้วยความตกใจแล้วระดมมือเรียวงามทุบไหล่บุตรชายถี่ยิบด้วยอาการราวกับหญิง สาวผู้ขัดเขิน ซึ่งหากภาพของชายหนุ่มคมเข้มหยอกล้อกับหญิงสาวที่งดงามสะท้านใจนี้ปรากฏต่อ สายตาคนภายนอกก็คงไม่มีทางเข้าใจเป็นอื่นนอกจากจะคิดว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่ รักใคร่กัน แทนที่จะเป็นมารดากับบุตรตามความเป็นจริง

“คุณแม่สวย ขนาด นี้…คุณพ่อก็ปลีกตัวไปเข้าสมาธิบริสุทธิ์เพื่อบรรลุปราณคชสีห์ชั้นสูง สุดกว่าสองปีแล้ว ผมจะปล่อยให้คุณแม่เหงาได้อย่างไรกัน….’

ไกร วิทย์ส่งเสียงพึมพำพร้อมซุกใบหน้าเข้ากลางทรวงอกเต่งสูดกลิ่นหอมที่กระจาย ออกมาจากร่างอรอุมาเต็มปอด แต่แทนที่อรอุมาจะห้ามปรามการรุกล้ำนั้น หญิงสาวกลับโอบศรีษะบุตรชายให้กดแน่นกับความนุ่มหยุ่นนั้น พร้อมกับส่งเสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูบุตรชาย

“ใครว่าแม่เหงากัน….เมื่อคืนนี้เอก็แทบไม่ยอมให้แม่ได้พักแล้วนะ…”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะมาหาคุณแม่ทุกคืน….คุณแม่จะอนุญาตไหมครับ…”

“เอ นี่เห็นแม่เป็นหญิงร่านกามไปได้… ถึงแม้แม่จะรู้ดีว่าเอสามารถแยกร่างเทวะออกมาหาแม่ได้…แต่อย่าลืมว่าใน ช่วงที่คุณพ่อกำลังเข้าสมาธิบริสุทธิ์นี้ หน้าที่สำคัญของเอคือการถ่ายทอดปราณให้เหล่าศิษย์โรหิณี…เมื่อวานนี้ผู้ เฒ่าคุ้มกฏแห่งตระกูลโรหิณีก็ได้แจ้งต่อแม่ว่ามีเด็กหญิงแห่งโรหิณี 6 นางเข้าสู่ระดูแรกแห่งวัยสาวแล้ว…เอไปทำหน้าที่ของเอก่อนเถอะ…อย่าลืม ว่าพวกเราต้องเข้มแข็งที่สุดเพื่อเตรียมตัวช่วยเหลือเอและเหล่าเทวนารีในการ ต่อสู้กับเทพสุรัสวดีและเหล่า 60 ขุนพลเทพ แม้ปราณของพวกเราที่เป็นมนุษย์จะไม่สามารถเทียบเคียงปราณแห่งเทวะได้ แต่จิตใจของทุกคนพร้อมที่จะต่อสู้เคียงข้างเอเสมอ….”

คำพูดของอรอุ มาทำให้ความทรงจำของไกรวิทย์หวนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนขณะที่จิต ของไกรวิทย์รวมตัวกับจิตแห่งความทรงจำของมหาเทพในอดีตกาล จนกำเนิดเข้าสู่สถานะของเทพวิรุณปักขะผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณโดยสมบูรณ์

‘หกสิบขุนพลเทพ….สองมหาเทพสูงสุดแห่งจักรวาลกำหนดจุดยืนตรงข้ามกับเรา ยอมตามคำขอของเทพสุรัสวดีแล้ว….’

จิต ที่สั่นสะท้านของจานีสทำให้รินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี พิมพ์มาดา เซี่ยวเล้ง ปณิตา และ เรอินะ หันมาจับจ้องเทวนารีแห่งราศรีตุลย์เป็นตาเดียว ใบหน้างดงามของเทวนารีทั้งเจ็ดทอแววสงสัยกับสิ่งที่จานีสถ่ายทอดออกมา มีแต่เพียงไกรวิทย์เท่านั้นที่เมื่อได้ยินถ้อยคำที่จานีสส่งออกมา ดวงตาแข็งกร้าวนั้นก็สะท้อนความกราดเกรี้ยวออกมาอย่างชัดเจน

‘พี่จานีส อันใดคือหกสิบขุนพลเทพ ด้วยความทรงจำแห่งเทวนารีที่รินรับรู้ กลับไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน’

จิต รินลดาส่งออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัยไว้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับเหล่าเทวนารีทุกคนที่ล้อมร่างไกรวิทย์อยู่ จานีสหันมามองตาไกรวิทย์เป็นเชิงขออนุญาต และระบายลมหายใจยาวออกมาเมื่อไกรวิทย์พยักหน้ารับ ก่อนที่จะเทวนารีผู้รอบรู้ในสรรพศาสตร์โบราณจะเริ่มส่งจิตออกมา

‘ไม่ แปลกเลยที่พวกเราทุกคนไม่เคยได้ยินชื่อหกสิบขุนพลเทพ เพราะนั่นคือเหล่าเทพยุคเริ่มต้นของพิภพที่มีมาก่อนจักรราศรีของพวกเรานับ หมื่นปี นานเสียจนกระทั่งชาวอาณาจักรปราณที่บังเอิญได้รับรู้ก็คิดว่าเป็นเพียงตำนาน หรือนิทานก่อนนอนของทารกเท่านั้น…’

จานีสหยุดการส่งจิตชั่วขณะ ประสานสายตากับเหล่าพี่น้องเทวนารีนรอบข้างที่ทุกนางต่างแสดงอาการสนใจกับสิ่งที่จานีสบอกเล่า

‘ใน ยุคเริ่มต้นที่จิตจักรวาลผสานตนเองเข้ากับมวลชีวิตบนโลกนั้น จิตที่บริสุทธิ์ได้ผสานกับมวลชีวิตที่เริ่มกำเนิดบนพิภพ ก่อกำเนิดเป็นเทพเจ้าแห่งเผ่าพันธุ์ชีวิตต่างๆ มีจำนวนทั้งสิ้น 60 องค์ และด้วยอำนาจแห่งจิตจักรวาล มวลปราณก็ก่อเกิดเป็นปราณประจำอัตลักษณ์ของบเทพแต่ละองค์ ด้วยอำนาจปราณครอบคลุมพิภพ เทพเหล่านี้ตั้งตนเป็นพระเจ้าของเหล่าชีวิตทุกสายพันธ์ในอนุทวีปต่างๆ ก่อกำเนิดอาณาจักรอิสระต่อกัน เหล่าชีวิตหลากเผ่าพันธ์ในยุคเริ่มต้นนั้นต่างบูชาเทพเหล่านี้ในฐานะพระเจ้า ผู้จะบันดาลโชคเคราะห์ให้ตนได้ ทุกสิ่งในขณะนั้นดูเหมือนจะอยู่ในความสมบูรณ์ สรรพชีวิตบูชาเทิดทูนขณะที่เทพเจ้าให้ความคุ้มครองปกป้อง แต่เมื่อผ่านกาลเวลามาอีกนับพันปี เหล่าเทพเจ้าทั้ง 60 องค์เริ่มให้ความสนใจกับร่างกายแห่งเผ่าพันธ์มนุษย์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตซึ่ง มีวิวัฒนาการตนเองให้สวยงามขึ้นพร้อมกับปัญญาที่สามารถสื่อสารกับเหล่าเทพ ได้เหนือกว่าเผ่าพันธ์ชีวิตอื่น เหล่าเทพทั้ง 6 พากันเข้าหามนุษย์ หลอมรวมจิตรับรู้ความต้องการและสัญชาติญาณสืบพันธ์ของเผ่าพันมนุษย์ที่ รุนแรงเหนือทุกเผ่าพันธ์ จนความต้องการทางเพศเข้าครอบงำจิตและพากันเย็ดกับมนุษย์..ผลที่เกิดขึ้นคือ จิตเหล่าเทพหลอมรวมกับความรัก ความโลภ ความโกรธ จนอีกไม่นานนักเหล่าเทพเจ้าทั้ง 60 องค์ก็เริ่มหวาดระแวงซึ่งกันและกัน พยายามแก่งแย่งแข่งขันใช้อำนาจแห่งเทพดึงดูดแย่งชิงให้มนุษย์มาบูชาตนเอง มีการมอบอำนาจแห่งเทพเข้าสู่มนุษย์ที่เกิดจากการเย็ดระหว่างเทพเจ้ากับ มนุษย์ก่อเกิดเป็นมนุษย์กึ่งเทพรุ่นแรก จนเกิดมหาสงครามขึ้นในพิภพ มหาสงครามนี้ลุกลามอยู่หลายร้อยปี เหล่าเทพที่อ่อนด้อยกว่าก็ต้องยอมรับในอำนาจของเทพที่เข้มแข็ง จนในที่สุดเทพทั้ง 60 ก็แยกออกเป็น 12 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ท่าน แต่ละกลุ่มพากันแทนสัญลักษณ์กลุ่มของตนเองด้วยจักรดาราในท้องฟ้า เหล่าเทพทั้ง 12 กลุ่มมีกำลังเท่าเทียมกันจนเกิดสมดุลแห่งอำนาจขึ้น สงครามนั้นจึงสงบลงชั่วคราว และนี่คือกำเนิดแรกแห่ง 12 จักรดาราที่ต่อมากลายมาเป็นจักรราศีของพวกเรา’

จิตที่อ่อนโยนของจา นีส เทวนารีแห่งราศีตุลย์ผู้รอบรู้สรรพศาสตร์ ส่งออกมาอย่างต่อเนื่องราวมารดากำลังเล่านิทานให้ทารกน้อยของตนเองฟัง โดยปราศจากเสียงสอดแทรกจากเหล่าเทวนารีเช่นอิจฉริยา ปณิตา หรือเรอินะ ที่มักจะไต่ถามข้อสงสัยของตนเองในทันทีเสมอ แต่ในทันทีที่จานีสเล่ามาถึงการกำเนิดของจักรดาราจากการแบ่งกลุ่มของเทพทั้ง 60 องค์ เสียงอุทานก็ดังออกมาจากเหล่าเทวนารีทุกนาง..พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง แต่ก่อนที่จานีสจะเล่าสืบต่อ จิตของไกรวิทย์ก็ดังเสริมขึ้น

‘จานีส เล่ามาได้ถูกต้อง เหล่าเทพเจ้าแห่งมหาอาณาจักรปราณเรียกยุคนั้นว่ายุคจักรดาราทั้ง 12 อันเป็นยุคก่อนที่สองมหาเทพแห่งจักรวาลจะอุบัติขึ้น…จานีสเจ้าจงเล่าต่อ ไป..’

‘แม้ว่าจักรดาราทั้ง 12 จะยอมสงบสงครามชั่วคราว แต่ในเนื้อแท้นั้นความหวาดระแวงยังคงอยู่ ทั้งหมดต่างเริ่มสะสมกำลังสร้างมหาเทพาวุธประจำจักรดาราขึ้นมา เทพาวุธประจำแต่ละจักรดารานั้นมีอำนาจในการทำลายสูงยิ่งนัก จนอาจทำลายมวลชีวิตทั้งปวงในพิภพให้สูญสิ้นไปได้ในพริบตา และเมื่อการสร้างนั้นเสร็จสิ้น จักรดาราทั้ง 12 ต่างเริ่มสงครามขึ้นอีกครั้งเป็นการนำไปสู่วาระสุดท้ายของโลก สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จิตจักรวาลสองขุม จำเป็นต้องสละภาวะนิรันดร์และมวลความจำของตนเองจุติมาก่อเกิดเป็นมหาเทพสอง องค์ บังคับให้เหล่าจักรดาราทั้ง 12 ทำลายเทพาวุธของตนเองและยุติสงคราม แต่แทนที่เหล่าเทพนั้นจะเชื่อฟัง โมหะจริตกลับคิดว่าสองมหาเทพนั้นคือผู้ที่ต้องการช่วงชิงอำนาจ เทพทั้ง 60 องค์จึงหันกลับมาร่วมมือกันผนึกเทพาวุธทั้งหมดเพื่อทำลายล้างสองมหาเทพ สงครามจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป สองมหาเทพใช้อำนาจทั้งหมดสะกดพลังแห่งเทพาวุธไว้ แล้วส่งไปยังขอบจักรวาล พร้อมกับสลายพลังปราณเทวะของขุนพลเทพทั้ง 60 มาผนึกไว้ในในหลักศิลาเก็บรักษาไว้ในมิติแห่งเทพที่มีเพียงสองมหาเทพเท่า นั้นที่จะผ่านเข้าออกได้..โลกเราจึงกลับเข้าสู่สันติอีกครั้ง และสองมหาเทพก็ได้รับการเทิดทูนเป็นสองมหาเทพสูงสุดแห่งจักรวาล ก่อกำเนิดเทพรุ่นต่อมาและสร้างมหาอาณาจักรปราณขึ้น…..ในตำนานที่จานีสได้ ศึกษามาบ่งไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่จักรวาลเผชิญวิกฤตที่อาจล่มสลาย สองมหาเทพสูงสุดจะนำพลังจากหลักศิลามาผนึกยังนารีที่ได้รับเลือก 60 นาง ก่อกำเนิด 60 ขุนพลเทพขึ้นเพื่อทำหน้าที่พิทักษ์รักษาจักรวาลนี้ให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา จานีสในฐานะโหราทาสก็ได้รับรู้เรื่องนี้จากบันทึกโบราณที่เทพสุรัสวดีมอบให้ เพื่อศึกษาหนทางที่จะรับมือกับกัลป์สูญหากเหล่าเทวนารีล้มเหลวในการกำจัดพี่ เอ ..จานีสได้รู้ว่าเทพสุรัสวดีพยายามทูลขอจากสองมหาเทพให้ปลดปล่อยพลังของ เหล่าเทพทั้ง 60 มาให้เทพสุรัสวดีเสริมสร้างกองทัพเทพ แต่ไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นเมื่อเรอินะบอกเล่าถึงการพบว่ามีเด็กหญิง 60 นางบำเพ็ญตนอยู่ที่ภูเขาในแชงกรีล่า จานีสจึงตระหนกใจยิ่งนัก และเชื่อว่าทั้ง 60 นางนั้นน่าจะเป็น 60 ขุนพลเทพ ที่สองมหาเทพสูงสุดเปลี่ยนใจหันมาสนับสนุนคำร้องขอของเทพสุรัสวดีอย่างแน่ นอน ’

‘ฟังดูราวกับเป็นเรื่องในเทพปกรณัมแห่งตำนานกรีกเมื่อสองพันปี ก่อน..ที่กล่าวถึงคณะเทพแห่งไททันที่ปกครองโลก แต่ถูกมหาเทพซุสโค่นล้มอำนาจแล้วสถาปนาคณะเทพแห่งโอลิมปัสขึ้นมาแทนที่…’

จิต ปณิตาส่งออกมาราวกับจะรำพึงหลังจากจานีสส่งจิตบอกเล่าอย่างต่อเนื่องและหยุด ลงเมื่อเล่ามาถึงการตัดเลือกเหล่านารีทั้ง 60 นางเพื่อรับพลังแห่งเทพจากหลักศิลา ดวงตากลมโตของเทวนารีราศีตุลย์หันมาประสานกับไกรวิทย์ ด้วยแววตาที่บ่งให้รู้ว่าความรู้ที่มีเกี่ยวกับขุนพลเทพของจานีสยุติลงที่ จุดนี้ และขอให้ไกรวิทย์ในฐานะเทพวิรุณปักขะบอกเล่าเรื่องราวเสริมต่อไป ไกรวิทย์ผงกศรีษะเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ก่อนจะส่งจิตบอกเล่าเรื่องราวต่อจากจานีส

‘ยากนักที่ จะมีผู้ล่วงรู้ไปถึงความลับแห่งกำเนิดเทพ จานีสสมกับเป็นเทวนารีแห่งราศีตุลย์ผู้ครองศาสตร์และความรู้ทั้งปวงยิ่งนัก สิ่งที่บอกเล่ามานั้นถูกต้องเกือบทั้งหมด เพียงแต่จานีสคงไม่รู้ว่าการที่สองมหาเทพสะกดพลังของเทพาวุธทั้ง 12 พร้อมกับสลายปราณเทวะของขุนพลเทพทั้ง 60 นั้น ทำให้มหาเทพทั้งสองต้องสูญเสียพลังไปกว่าครึ่ง จนกระทบกระเทือนต่อสำนึกของตัวตนที่แท้จริง สองมหาเทพกลับเชื่อว่าตนเองคือผู้ให้กำเนิดพิภพของเรา และสถาปนาตนเองให้อยู่ในฐานะมหาเทพสูงสุดมานับแต่นั้น..ซึ่งสิ่งน้องนิวตั้ง ข้อสังเกตเกี่ยวกับความสอดคล้องกับตำนานแห่งคณะเทพโอลิมปัสนั้นก็มีที่มาจาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนั้นและสืบทอดกันมาจนมนุษย์ทั่วไปในปัจจุบันเชื่อ ว่าเป็นตำนานที่แต่งขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าทุกตำนานที่สืบทอดกันมานั้น ล้วนมีความเป็นจริงแฝงอยู่ไม่มากก็น้อย….ดังนั้น…’

‘พี่เอ…หาก เป็นเช่นนั้น พี่เอได้รับรู้ความจริงนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเหล่าเทพทั้งปวงในมหาอาณาจักรปราณต่างกำเนิดมาจากการอวตารพลังของ สองมหาเทพทั้งสิ้น’

จิตที่แฝงความสงสัยใคร่รู้อย่างเต็มเปี่ยมของปณิ ตาดังแทรกจิตที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวของไกรวิทย์อย่างลืมตัว จนทำให้ไกรวิทย์อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อรับรู้ว่านี่คือบุคลิกเดิมของปาริชาติอดีตเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่จะ ยกมือขึ้นแย้งคำบรรยายของอาจารย์ทุกครั้งที่เกิดความสงสัย โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการขัดจังหวะการสอนแม้แต่น้อย

‘พี่ดูตาทุกคน แล้วก็รู้ว่าคำถามของน้องนิวนั้นเป็นคำถามเดียวกับที่ติดค้างอยู่ในใจทุกคน คำตอบของคำถามนี้คือจุดเริ่มของทุกสิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ในครั้งพี่ยังเป็นเพียงเทพที่ทำหน้าที่ตามบัญชาแห่งสองมหาเทพ และมีความสนิทสนมกับสหายผู้กำเนิดพร้อมพี่นั่นคือมหาปุโรหิตปัณฑร พวกเราทั้งสองใกล้ชิดกันอย่างมากทำงานรับใช้สองมหาเทพ แม้จะอยู่ในเส้นทางจะแตกต่างกันแต่ก็ยอมรับนับถือในความสามารถของอีกฝ่าย จนกระทั่งในวันหนึ่งก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงขึ้น….’

จิตไกรวิทย์ส่งออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาชายหนุ่มทอประกายเจิดจ้าเมื่อจิตหวนระลึกไปถึงอดีตกาลกว่าหมื่นปีก่อน

‘วัน หนึ่งมหาปุโรหิตปัณฑรได้เดินทางเข้าไปในป่าลึกของมหาทวีปเพื่อเสาะแสวงหา สมุนไพรมาศึกษา แต่เมื่อท่านกลับมายังอาณาจักรปราณ ท่านได้เร่งมาพบพี่และบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้พบกับจิตแปลกประหลาดที่ สถิตย์อยู่ใจกลางมหาทวีป จิตนั้นคือจิตแห่งเทพองค์หนึ่งที่บำเพ็ญตนด้วยวิถีแห่งจิตที่เป็นสาขาแยกออก จากวิถีแห่งปราณ แต่พลังของจิตนั้นกลับสูงส่งเหนือมวลจิตแห่งเทพทุกองค์ที่มหาปุโรหิตปัณ ฑรได้พบพานมา…และนั่นคือครั้งแรกที่พี่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของผู้ บรรลุซึ่งปราณสุญญตา’

จิตของเหล่าเทวนารีส่งเสียงอุทานขึ้นมาพร้อม กันเมื่อได้ยินชื่อของปราณสุญญตา ที่ถือเป็นปราณสูงสุดที่ผู้ทรงปราณทั้งปวงมุ่งหวังจะบรรลุถึง แต่ไกรวิทย์ดูราวกับจะไม่ได้รับรู้ถึงเสียงอุทานนั้น

‘มหาปุโรหิต ปัณฑร ได้เล่าให้พี่ฟังถึงกำเนิดแห่งจักรวาล การกำเนิดของเหล่าเทพดั้งเดิม สงครามแห่งเทพและการสถาปนาตนเองของสองมหาเทพ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในใจจนพี่ต้องรบเร้าพี่ได้รบเร้าให้มหาปุโรหิต ปัณฑรนำพาพี่ไปพบท่านผู้บรรลุปราณสุญญตา แต่เมื่อไปถึงพี่กลับไม่ได้พบร่างของท่าน มีเพียงเสียงทางจิตเพียงสองประโยคเดียวที่ดังอยู่ในจิตพี่ ประโยคนั้นคือ….ปราศจากแสงสว่างความมืดไม่กำเนิด….ปราศจากความมืดแสง สว่างไร้ตัวตน…ด้วย สองประโยคนี้เอง…ความรู้แจ้งในปราณก็บังเกิดในจิตพี่ และกำเนิดกาฬปราณขึ้นในร่าง ผลักดันให้ตัวพี่ทะยานขึ้นเหนือเทพแห่งปราณทุกองค์ กลายเป็นมหาเทพผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณในเวลาต่อมา…’

ความเงียบปก คลุมห้องโถงกว้างงใหญ่อยู่ชั่วขณะ เมื่อไกรวิทย์หยุดการส่งจิตชั่วคราวและหันมาสบตาเหล่าเทวนารีทั้งแปดที่ราย ล้อมอยู่รอบตัว

‘พี่เอ…พวกรินไม่เคยได้รับรู้เรื่องเหล่านี้มา ก่อนเลย…ทำไมพี่เอจึงเลือกที่จะปกปิดเอาไว้จากเหล่าเทวนารีที่มอบหัวใจและ วิญญาณให้พี่เอมาตลอดเวลาอันยาวนานนี้…’

จิตของรินลดาแทรกผ่าน ความ เงียบอย่างแผ่วเบา แต่แฝงไว้ซึ่งความน้อยใจไว้รางๆ จนไกรวิทย์รู้สึกได้ ชายหนุ่มเคลื่อนร่างเข้าไปยังรินลดาเทวนารีแห่งราศรีกันย์ผู้เปรียบเสมือน พี่สาวคนโตของเหล่าเทวนารีทุกนาง เพื่อดึงร่างงามนั้นมาสวมกอดไว้ และส่งจิตปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน

‘พี่หาได้ตั้งใจจะปกปิดเหล่าเทวนา รีอันเป็นแก้วตาดวงใจของพี่ไม่ หากแต่จงรู้ไว้เถอะว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่าเทวนารีแห่งจักราศีนั้นแม้ จะมีพี่เป็นผู้สั่งการ แต่ทุกประการล้วนต้องดำเนินไปตามประสงค์แห่งสองมหาเทพสูงสุด…หากพี่บอก เรื่องนี้ให้พวกเราทุกคนได้รับรู้ ความเคลือบแคลงใจอาจจะบังเกิดขึ้น และหากสองมหาเทพรับรู้ว่ามีผู้กังขาถึงสถานะผู้สร้างของทั้งสองเมื่อใด เมื่อนั้นพวกเราจะต้องถูกทำลายโดยไม่สามารถต่อต้านได้ ดังนั้นพี่จึงเก็บเรื่องนี้ไว้กับตนเอง เปลือกนอกน้อมรับคำบัญชาแห่งสองมหาเทพ แต่พร้อมกันนั้นก็ร่วมกับมหาปุโรหิตปัณฑร ค้นคว้าความจริงตามคำบอกเล่าจากเทพผู้บรรลุปราณสุญญตาผู้นั้น และเมื่อเวลาผ่านไปพี่ก็ค้นพบว่าทุกสิ่งที่ได้รับรู้มานั้นเป็นความจริงทุก ประการ รวมทั้งพี่ยังได้พบถึงการดำรงอยู่ของศิลาปฏิสารในโลกมนุษย์ ที่กำลังจะนำพาความพินาศมาสู่จักรวาลทั้งปวง แต่เมื่อพี่เสนอเรื่องนี้ต่อสองมหาเทพ พี่กลับถูกต่อต้านจากภาคีเทพที่นำโดยเทพสุรัสวดี พี่จึงตัดสินใจที่จะก่อเนิดกัลป์สูญในตำนานขึ้นด้วยตนเอง แต่น่าเสียดายนักที่กลับมีเหตุการณ์เผ่าพันธุ์มังกรบุกขึ้นสู่โลกมนุษย์เสีย ก่อน ทำให้พี่และพวกเราทุกคนต้องรับบัญชามหาเทพ นำทัพเข้าต่อสู้กับทัพมังกรที่นำโดยเทพมังกรอัคคี กับเทพมังกรวารี จนดับสูญจิตไป…กว่าทุกอย่างจะกลับฟื้นตืนมาเวลาก็ผ่านไปกว่าหมื่นปี เวลาแห่งความพินาศของมหาจักรวาลกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ โดยที่สองมหาเทพหาได้ตระหนักถึงแม้แต่น้อย…นั่นคือหน้าที่ของพี่ที่จะต้อง ปกป้องจักรวาลนี้ด้วยกัลป์สูญ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับสองมหาเทพที่ไม่มีทางต้อต้านด้วยก็ตาม…’

ไกร วิทย์กอดร่างเพรียวบางของรินลดาเอาไว้ในอ้อมแขนขณะ ส่งจิตอธิบายต่อเหล่าเทวนารีอย่างอ่อนโยน ความเงียบเกิดขึ้นชั่วอึดใจเมื่อไกรวิทย์ถ่ายทอดจิตเสร็จสิ้น

‘พี่ เอ…เท่าที่กิฟท์จำได้…แม้ในห้วงแห่งสันติที่เหล่าเทวนารีปกป้องโลก เทพสุรัสวดีผู้นำแห่งภาคีเทพ ก็ต่อต้านคัดค้านพวกเราตลอดมา ทั้งที่พวกเราตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเทพสุรัสวดีจะพยายามทุกวิถีทางที่จะลดความสำคัญของจักรราศรีภาย ใต้บัญชาแห่งเทพวิรุณปักขะลง…ในยุคนั้นพวกเราทุกคนก็ไม่เข้าใจ และในปัจจุบันเทพสุรัสวดีก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำลายพี่เอในทุกวิถีทาง พี่เอพอจะบอกพวกกิฟท์ได้ไหมว่าทำไมเทพสุรัสวดีจึงตั้งใจจองล้างจองผลาญพวก เรามาตลอดแบบนี้…’

จิตอัจฉริยาส่งออกมาด้วยกระแสเสียงลังเลในคำถาม เล็กน้อย แต่เหล่าเทวนารีอีก 7 นางต่างผงกศรีษะพร้อมกัน บอกให้รู้ว่านี่คือปมปัญหาอีกประการหนึ่งที่ยังคงค้างอยู่ในใจของเทวนารีทุก นางมานับหมื่นปี

‘น้องกิฟท์ …รู้ไหมว่าเทพที่ถือกำเนิดพร้อมพี่และมหาปุโรหิตปัณฑรนั้นมีผู้ใดบ้าง…’

ไกรวิทย์ส่งจิตถามหญิงสาวผู้เติบโตมาด้วยกันในภพนี้อย่างอ่อนโยน ขณะเอื้อมมือไปกุมมือเรียวงามของอัจฉริยาเอาไว้

‘ตาม ตำนานแห่งกำเนิดเทพที่กิฟท์รู้มาเช่นเดียวกับเหล่าเทวนารีทุกนาง ปวงเทพในภาคีกำเนิดขึ้นพร้อมกันจากการแบ่งภาคแห่งเทวะกายของสองมหาเทพสูงสุด มีจำนวน 108 องค์ พี่เอหรือเทพวิรุณปักขะเป็นหนึ่งในนั้น และวันนี้กิฟท์ก็ได้รู้ว่ามหาปุโรหิตปัณฑรก็เป็นหนึ่งในเหล่าเทพเพียงแต่ ท่านจงใจละทิ้งพลังปราณเทพเจ้าเข้าสู่การเรียนรู้.. ส่วนเทพสุรัสวดีนั้นก็เป็นหนึ่งใน 108 เทพเช่นกัน เพียงแต่นางบำเพ็ญตนจนบรรลุถึงปราณสูงสุดขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำภาคีเทพ และเมื่อพี่เอ หรือเทพวิรุณปักขะและพวกเราเหล่าเทวนารีดับสูญไปในสงครามกับเผ่าพันธ์มังกร นางก็เข้าควบคุมจักราศีใหม่ด้วยตนเอง… แต่พี่เอจะถามเรื่องนี้ทำไม ในเมื่อเป็นเรื่องที่พวกเราทราบดีอยู่แล้ว…’

ไกรวิทย์จับจ้องดวงตาสุกใสของอิจฉริยา ขณะถอนใจเบาๆ และส่งจิตออกมายังเหล่าเทวนารีทุกนาง

‘ที่ พี่ถามก็เพราะตำนานที่พวกเราทุกคนได้รับรู้นั้นคลาดเคลื่อน จริงอยู่ที่หลังจากสองมหาเทพสถาปนาตนเองเป็นผู้สร้าง ได้แบ่งมวลปราณชีวิตก่อกำเนิดเทพขึ้น 108 องค์ แต่ที่ทุกคนไม่เคยรู้ก็คือเทพทั้ง 108 องค์นั้นแท้จริงมีเพียง 105 องค์….หลังจากนั้นอีกนับร้อยปี สองมหาเทพเกิดขัดแย้งกันเองและได้พยายามทำลายล้างอีกฝ่ายด้วยมวลปราณที่ สามารถทำลายล้างพิภพได้ แต่ก่อนที่โลกนี้จะพินาศ…มวลปราณนั้นกลับถูกพลังมหาศาลแทรกแซงผนึกรวมตัว กันก่อเกิดเป็นเป็นเทพอีก 3 องค์ในรูปกายของทารกแรกเกิด.. มวลปราณนั่นคือพลังแห่งจิตจักรวาลที่ยังคงปกป้องโลกอยู่..และเราน้อมเรียก นามของพลังนั้นว่าไกอา…..ทารกคนแรกได้รับพลังจากแสงสว่าง ทารกคนที่สองได้รับพลังแห่งความมืด ส่วนทารกคนที่สามที่พลังปราณอ่อนด้อยที่สุดได้รับพลังปราศจากจุดกำเนิดซึ่ง เชื่อว่าเป็นพลังที่ตกค้างมาจากไกอา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สองมหาเทพที่สูญเสียสำนึกแห่งจิตจักรวาลได้รับรู้ ว่ายังมีพลังที่เหนือกว่าตนเองอยู่ จึงได้ยุติข้อขัดแย้ง และตกลงแบ่งแยกกันปกครองโลกในนามของมหาเทพแห่งแสงสว่าง และมหาเทพแห่งความมืด ส่วนเทพทั้งสามที่บังเกิดจากมวลพลังทั้งสามนั้นก็คือตัวพี่ เทพวิรุณปักขะ…มหาปุโรหิตปัณฑร และคนสุดท้ายก็คือเทวีสตรีที่พวกเรารู้จักกันในชื่อของเทพสุรัสวดีนั้น เอง…’

จิตของไกรวิทย์ที่ถ่ายทอดออกมาทำให้เหล่าเทวนารีทุกนางจิต สั่นสะท้านขึ้น พร้อมกัน โดยเฉพาะจานีสที่ปกติจะระมัดระวังทุกสิ่งที่ถ่ายอกออกมาทางจิต กลับเป็นผู้ส่งจิตแทรกออกมาเป็นคนแรก

‘นั่น…นั่น..หมายความว่า …เทพสุรัสวดีคือน้องสาวพี่เอ…..นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดนางจึงมุ่งมั่นทำร้ายที่เอมาตลอด…’

ไกรวิทย์สั่นศีรษะเบาๆ ขณะส่งจิตตอบอย่างนุ่มนวล

‘จา นีส ในวิถีการเกิดแห่งเทพนั้นหามีพี่น้องไม่ แม้เราจะกำเนิดพร้อมนางก็ตาม ดังนั้นเราจึงไม่สามารถนับนางหรือมหาปุโรหิตปัณฑรเป็นพี่น้องได้ นอกจากนี้เราทั้งสามต่างจากเหล่าเทพทั้งปวงที่กำเนิดมาในรูปร่างเจริญวัย เต็มที่ ขณะที่พวกเราทั้งสามกลับกำเนิดในร่างแห่งทารกเช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นพวกเราทั้งสามจึงได้รับการเลี้ยงดูจากสตรีชาวมนุษย์สามนางผู้เป็นพี่ น้อง หญิงผู้เป็นผู้เปรียบเสมือนมารดาคนแรกของเราก็คือสตรีงามเป็นหนึ่งในมวล มนุษย์ นามของนางคืออินทิราผู้บัดนี้ผ่านชาติพบกลับมาเป็นอรอุมา มารดาของพี่ในภพปัจจุบัน มหาบัณฑิตปัณฑรถูกเลี้ยงมาโดยน้องสาวคนกลางนามวาราณี ซึ่งเวลาต่อมานางได้ให้กำเนิดทารกหญิงนางหนึ่งที่มหาปุโรหิตปัณฑรยึดถือนาง เป็นน้องสาว นามของนางคือดารายัณผู้ผ่านการเวียนว่ายในชาติภาพจนมาเป็นแก้วคำที่พี่เคย เล่าให้ทุกคนได้ฟังแล้ว ส่วนเทพสุรัสวดีนั้นนางได้รับการดูแลจากน้องสาวสุดท้องนามธาริณี นางจึงรับอุปนิสัยแห่งมนุษย์ผู้เป็นธิดาคนสุดท้องนั้นมาเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นนิสัยแง่งอน เอาแต่ใจตนเอง จนตลอดเวลาที่พวกเราทั้งสามอยู่ด้วยกัน พี่และมหาปุโรหิตปัณฑร ต่างถูกนางทำตัวเป็นผู้นำให้พี่และมหาปุโรหิตปัณฑรยอมตนตามบัญชามาโดยตลอด และเมื่อเวลาผ่านไป พลังแห่งแสงสว่างของนางเติบโตแข็งกล้าขึ้น ประกอบกับมหาปุโรหิตปัณฑร หาได้สนใจในพลังแห่งตนไม่ นางจึงได้ขอให้มหาปุโรหิตปัณฑรถ่ายทอดปราณแห่งความมืดในร่างทั้งหมดเข้าผสาน ในร่างนาง นั่นเองที่ทำให้พลังปราณเทพเจ้าของนางทะยานเป็นปราณสูงสุดในเทพ ทั้งปวง เมื่อนางเข้าถวายตนพร้อมกับพี่และมหาปุโรหิตปัณฑร นางจึงได้รับเลือกจากสองมหาเทพให้เป็นผู้นำภาคีเทพ ส่วนมหาปุโรหิตปัณฑรผู้ปราศจากปราณ ถูกมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลสรรพศาสตร์ ในขณะที่พี่ผู้มีปราณจากพลังแห่งจิตจักรวาลแต่อ่อนด้อยกว่าเทพสุรัสวดี ก็ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นำทัพมนุษย์กึ่งเทพที่เกิดจากสายเลือดของเทพ ทั้ง 105 องค์ ปกป้องมหาอาณาจักรปราณ…’

ตลอดเวลาที่ไกรวิทย์ถ่าย ทอดความเป็นมาแห่งเหล่าเทพเจ้า สตรีผู้ครองฐานะเทวนารีทั้งแปดต่างสงบนิ่งรับฟังทุกสิ่งโดยปราศจากการสอด แทรกจิตใดๆ แม้แต่น้อย ทำให้ไกรวิทย์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าแม้แต่เรอินะ อัจฉริยาและปณิตา ที่มักจะสอดแทรกจิตจัดการสนทนาทุกครั้งที่เกิดความสงสัย ครั้งนี้กลับสงบนิ่งฟังความลับแห่งตำนานเทพที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของ มนุษย์กึ่งเทพเช่นเหล่าเทวนารีมาโดยตลอด

‘เทพสุรัสวดีได้รับความไว้ วางใจสูงสุดจากสองมหาเทพ รวมทั้งเหล่าเทพในภาคีมาโดยตลอด แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเมื่อพี่ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของผู้สำเร็จปราณสุญญตา และตีความถ้อยคำที่ท่านถ่ายทอดออกมาสำเร็จ ก่อกำเนิดกาฬปราณที่ผสานปราณแห่งแสงสว่างและความมืดเป็นหนึ่งเดียว ปราณของพี่ได้บรรลุถึงจุดที่เหนือกว่าเทพทั้งปวง และเมื่อมีการประชุมภาคีเทพซึ่งกำหนดทุกหนึ่งร้อยปีและมีการประลองอำนาจปราณ แห่งเหล่าเทพ กาฬปราณของพี่ก็โดดเด่นขึ้นเหนือเทพทุกองค์จนได้เข้าประลองกับเทพสุรัสวดี เป็นครั้งแรก การประลองครั้งนั้นพี่และนางต่อสู้กันอย่างเต็มกำลังสามวันสามคืน และในที่สุดกาฬปราณก็สามารถเอาชัยปราณอนันตภาคของเทพสุรัสวดีได้อย่างฉิว เฉียด…นั่นคือกำเนิดของการยกย่องกาฬปราณเป็นสุดยอดปราณแห่งมหาอาณาจักร และสองมหาเทพประทานผลึกพลังทั้ง 12 ให้แก่พี่เพื่อให้เป็นจอมทัพสูงสุด แต่นั่นกลับเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในตนของเทพสุรัสวดี เปลือกนอกนางแสดงความยินดีกับพี่ แต่ใช้กลไกแห่งภาคีเทพทุกส่วนพยายามทำลายขัดขวางพี่ตลอดมา…’

‘อนันตภาค….ปราณนี้ไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเทพสุรัสวดีใช้ออกมานับหมื่นปีแล้ว….เซี่ยวเล้งก็รู้จักชื่อนี้ในตำนานเท่านั้น’

จิตเซี่ยวเล้งอดีตเทวนารีในบัญชาแห่งเทพสุรัสวดี ส่งเสียงรำพึงออกมาเบาๆ

‘สม แล้วกับเทวนารีแห่งราศีมังกรผู้เลิศด้วยความรู้ในเชิงยุทธศาสตร์ เซี่ยวเล้งย่อมต้องเคยได้ยินนามแห่งปราณที่สะท้านแผ่นดินของเทพสุรัสวดี นั่นคือปราณที่สมบูรณ์พร้อมด้วยพลังปราณแห่งแสงสว่างระดับสูงสุด ประสานกับปราณแห่งความมืดที่คอยหนุนเสริม กำเนิดเป็นพลังปราณที่แข็งกร้าวร้อนแรงราวกับใจกลางดวงอาทิตย์ แผ่กระจายแทรกซึมไปทุกแห่งหน เคลื่อนไหวตามจิตผู้ใช้ แทรกผ่านได้แม้กระทั่งไปยังต่างมิติ แม้เมื่อหมื่นปีก่อนที่กาฬปราณของพี่บรรลุถึงจุดสูงสุดคือจุดของความว่าง เปล่าแห่งธาตุ พี่ยังต้องยอมรับว่าการเอาชนะนางนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง แต่ในปัจจุบันที่กาฬปราณของพวกเรายังไม่สมบูรณ์พร้อม แต่เทพสุรัสวดีกลับบำเพ็ญตนและสร้างสมปราณอนันตภาคมานับหมื่นปี…เพียงข้อ นี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าหากพี่ต้องปะทะกับเทพสุรัสวดี ผู้ที่ต้องดับสูญจะต้องเป็นตัวพี่เองอย่างไม่ต้องสงสัยเลย…’

‘เซี่ยวเล้วหาเกรงกลัวนางไม่…ตราบใดที่เทพวิรุณปักขะนำทัพแห่งเหล่าเทวนารี เซี่ยวเล้งไม่เชื่อว่าพวกเราจะพ่ายแพ้ได้’

จิต แกร่งกร้าวของเซี่ยวเล้งแทรกขัดขึ้นในทันทีที่ไกรวิทย์บ่งถึงความแตกต่างของ ปราณทั้งสองฝ่ายออกมา ทำให้ไกรวิทย์อดหันไปดึงร่างอวบอิ่มของเทวนารีแห่งราศรีมังกรผู้งามเลิศเขา มาในอ้อมแขนรวมกับร่างของรินลดาไม่ได้ พร้อมกันนั้นเหล่าเทวนารีที่เหลือทุกคนต่างรุมล้อมรอบร่างไกรวิทย์ ส่งจิตเซ็งแซ่ ยืนยันที่จะร่วมต่อสู้จนไม่สามารถจับใจความได้ ทำให้ไกรวิทย์ต้องยกมือขึ้นเป็นสัญญาน ก่อนที่จะถ่ายทอดจิตต่อไป

‘พี่ เองก็รับรู้ถึงความตั้งใจและความแน่วแน่ของพวกเราทุกคน แต่พวกเราต้องไม่ประมาท และหาหนทางปลุกจิตของเทวนารีพี่น้องเราทั้ง 4 ภายนอกมาร่วมกับเราโดยเร็วที่สุด…..’

‘พี่เอ…นิวขอรับหน้าที่รับ ผิดชอบในการการส่งบริวารแห่งโรหิณี เดินทางไปเสาะหายังสถานที่พำนักของเทวนารีทั้งสี่ ตามคำบอกเล่าของจานีสและเซี่ยวเล้งเอง…..’

จิตของปณิตา เทวนารีแห่งราศีเมถุน ผู้มีฐานะเป็นประมุขแห่งโรหิณีส่งออกมาด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นสูงสุด ไกรวิทย์พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตต่อปณิตา ขณะส่งจิตสืบต่อ

‘ในใจของ พี่เชื่อมั่นเสมอมาว่าด้วยความผูกพันของพี่กับเหล่าเทวนารีทั้ง 12 พวกเราจะต้องได้พบนาง ไม่ว่าเราจะส่งกองกำลังออกไปตามหาหรือไม่ แต่พี่ก็เห็นด้วยกับน้องนิว…อย่างน้อยจิตที่มุ่งมั่นในการค้นหาของเราอาจ จะกระตุ้นจิตพวกนางให้ปรากฏตัวออกมาก็เป็นไปได้ น้องนิวจงปฏิบัติตามที่เห็นควรเถอะ…แต่ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าพวกนางต้องไม่ เปิดเผยตัวตนต่อโลกภายนอก และไม่กระทำการใดที่แเดงถึงอำนาจแห่งปราณของตนเองอย่างเด็ดขาด..’

‘พี่ เอ…ทิพย์มีเรื่องอยากถามอีกข้อหนึ่ง….คือเมื่อครู่นี้พี่เอบอกถึงการมอบ ผลึกราศีทั้ง 12 ให้พี่เอ แม้ทิพย์จะรู้ว่าผลึกราศรีเหล่านั้นคือที่มาของพลังที่เหล่าเทวนารีปัจจุบัน แต่ทิพย์ไม่รู้ว่าผลึกนี้มีที่มาจากที่ใด เหตุใดมันจึงสามารถกักพลังที่แตกต่างกันทั้ง 12 รูปแบบเอาไว้ได้’

จิต ทิพย์วารีที่เฝ้าฟังอยู่เงียบๆ ส่งออกมาด้วยคำถามที่ทำให้เหล่าเทวนารีต้องผงกศรีษะรับพร้อมกัน ไกรวิทย์ส่งยิ้มให้หญิงสาวผู้ครองตำแหน่งเทวนารีแห่งราศรีกุมภ์ ก่อนส่งจิตตอบ

‘ทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้วว่าเยื่อพรหมจรรย์แห่งสตรีเพศ นั้นคือสาเหตุที่ทำให้เหล่าเทวนารีสามารถกักปราณที่ถ่ายทอดออกมาจากผลึกราศี เข้าสู่ร่าง เพราะเยื่อศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถรับพลังเข้าสู่ร่างเพียงทางเดียวแต่ไม่ สามารถย้อนกลับออกมาได้ นั่นทำให้พลังหมุนเวียนในร่าง สร้างเสริมสตรีให้มีปราณเหนือบุรุษทั้งปวง และเมื่อใดที่เยื่อพรหมจรรย์นี้ถูกทำลาย พลังนั้นก็จะผ่านจักรอัคคีออกมา กลับเข้าสู่ผลึกราศีอีกครั้ง….’

เทวนารีผู้งามเลิศทั้งแปดผงกศรีษะ รับสิ่งที่ไกรวิทย์ถ่ายทอดออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะเซี่ยวเล้งผู้มีประสบการณ์โดยตรงกับการถูกทำลายเยื่อพรหมจรรย์จน พลังจากผลึกราศรีมังกรสลายออกจากร่าง..

‘ทุกคนคงจำเรื่องที่พี่เล่า ให้ฟังเมื่อครู่นี้ได้ ในคราวที่สองมหาเทพจุุติจากจิตจักรวาลเข้าต่อต้านพลังของเหล่าเทพแห่งจักร ดารา จนต้องสูญเสียพลังปราณไปกว่าครึ่ง นั่นเป็นเพราะการทำลายเทพาวุธแห่งจักรดาราทั้ง 12 ให้สูญสิ้นไปนั้น พลังที่ระเบิดออกจากเทพาวุธจะทำลายโลกให้ดับสูญไปในทันที วิธีเดียวที่จะทำลายเทพาวุธคือการดูดพลังของมันเข้ามาเก็บไว้ในผลึก มหาเทพทั้งสองจึงต้องผนึกพลังกึ่งหนึ่งสร้างผลึกพลังขึ้นมา 12 ลูก เพื่อดูดซับพลังแห่งเทพาวุธ และ ด้วยการที่เหล่าเทพแห่งจักรดาราแบ่งตนเองออกเป็น 12 กลุ่ม ส่งผ่านพลังของตนเข้าสู่เทพาวุธต่อสู้กับสองมหาเทพ ดังนั้นพลังที่กำเนิดในเทพาวุธจึงแตกต่างออกเป็น 12 รูปแบบ เมื่อตัวพี่ได้รับผลึกทั้ง 12 นี้มาจากสองมหาเทพ พี่จึงจำแนกพลังออกตามการโคจรของกลุ่มดาวและรับรู้ว่าพลังจากผลึกเหล่านั้น สามารถส่งเข่าสู่ร่างสตรีพรหมจรรย์ เสริมสร้างสตรีนั้นให้เป็นทรงปราณแห่งเทวะเหนือมนุษย์ทุกคน แต่การส่งพลังมหาศาลเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย กลับจะทำให้อายุขัยของผู้รับลดลงเหลือเพียงสิบปี ก่อนที่เยื่อพรหมจรรย์ในร่างสตรีจะไม่สามารถทนรับความรับรุนแรงของปราณใน ร่างได้อีกต่อไป และระเบิดออกจากร่างกลับเข้าสู่ผลึกราศีอีกครั้ง..แต่ด้วยความช่วยเหลือ ของมหาปุโรหิตปัณฑร และหญิงสาวคนหนึ่งผู้เลิศซึ่งปัญญา..ทำให้พี่สามารถหาหนทางแก้ไขได้ จนในที่สุด เหล่าเทวนารีแห่งจักราศีก็กำเนิดขึ้น .’

‘หญิงสาวผู้นั้นคือใครกัน….’

จิตที่แผ่วเบาราวกับจะส่งเสียงรำพึงกับตนเองของจานีสดังขึ้น แต่ทุกคนที่อยู่ในจักราศูนย์ต่างได้ยินอย่างชัดเจน

‘นาง ก็คือน้องสาวของมหาปุโรหิตปัณฑร…ผู้ทรงภูมิปัญญาเทียบเคียงผู้เป็นพี่ชาย และกำลังจะรับตำแหน่งเทวีแห่งปัญญา แต่นางกลับละเมิดข้อห้ามในกฏแห่งพรหมจรรย์มามีสัมพันธ์กับพี่จนต้องกลับเป็น มนุษย์ธรรมดา นางคือดารายัณ หรือแก้วคำที่พี่เคยเล่าให้ทุกคนฟัง…ในครั้งนั้นพวกเราทุกคนคงจำได้ถึงการ คัดเลือกเหล่าหญิงงามจากตระกูลมนุษย์เทพทั้ง105 ตระกูล มาเข้าสู่มหาวิหารตะวันออกของพี่..ซึ่งพี่ได้คัดเลือกหญิงงามสุดฟ้าดินทั้ง 12 นางมาเป็นเทวนารีแห่งจักรราศรี และในวันนี้ 8 นางได้กลับมายืนอยู่เคียงข้างพี่อีกครั้งในจักราศูนย์แห่งนี้..’

คำ บอกเล่าของไกรวิทย์ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวทั้ง 8 ปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นเมื่อความทรงจำแห่งเทวนารีที่สถิตย์ในจิตย้อนกลับไป ถึงเหตุการณ์ในวันแรกที่ทุกคนได้เข้าสู่มหาวิหารและได้รับการคัดเลือกจากเทพ วิรุณปักขะผู้ทรงอำนาจสูงสุดในการปกป้องมหาอาณาจักรปราณ

‘พิมจำวัน นั้นได้ดี…วินาทีแรกที่พี่เอมอบผลึกแห่งราศรีพฤษสภให้พิม…พิมก็รู้ตัวใน ทันทีว่านับแต่นั้นชีวิตและวิญญาณของพิมจะต้องมอบต่อบุรุษผู้นี้ไปตลอด กาล…’

จิตพิมพ์มาดาที่เงียบมาตลอดห้วงการสนทนาดังขึ้นแผ่วเบา ทำให้เหล่าเทวนารีทุกนางอดคิดถึงเหตุการณ์ที่เทพวิรุณปักขะเดินมาท่ามกลาง สตรีงามทั้ง 105 นาง กระแสจิตที่แข็งกร้าวแต่อบอุ่นแผ่กระจายไปยังเหล่าสตรีจนทุกสายตาจับจ้องใบ หน้าคมเข้มเป็นสง่านั้นด้วยความลุ่มหลงระคนความผิดหวังเมื่อไม่ได้รับการ เลือก ซึ่งมีเพียงสตรี 12 นางที่สัมผัสพร้อมสะท้อนตอบกระแสจิตของเทพวิรุณปักขะ และได้รับมอบผลึกราศรีกำหนดสถานะเป็นเทวนารีแห่งจักราศรี

‘แต่น้อง พิมจำไม่ได้หรือว่าในคืนแรกที่พวกเราเข้าสู่จักราศูนย์นั้น หลังจากพี่เอ…ไม่สินะ ต้องบอกว่าเทพวิรุณปักขะถ่ายพลังแห่งผลึกราศรีเข้าสู่ร่างพวกเราได้ไม่ถึง ชั่วยาม พี่เอก็กลับเย็ดเย็ดพวกเราครบทุกคนเพื่อสลายพลังแห่งผลึกราศรี…ราวกับจะ ไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว…’

จิตอัจริยาส่งแทรกความ คิดคำนึงของเหล่าเทวนารีทุกนาง จนทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับใบหน้าที่ยิ่งแดงฉานสดใส เมื่อทุกคนรำลึกไปถึงการถ่ายพลังจากผลึกราศรีเข้าสู่ร่าง…แต่กลับถูกเทพวิ รุณปักขะนำเข้าสู่ห้องของแต่ละนางเพื่อทำลายพรหมจรรย์และพลังจากผลึกราศรี ของเหล่าเทวนารี และถ่ายทอดกาฬปราณที่ทรงอำนาจเข้าสู่ร่างเหล่าเทวนารีแทนที่

‘เซี่ยว เล้งจำได้ดี…จำได้ถึงความเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นจากพี่ เอ…ความรุ่มร้อนจากพลังแห่งผลึกราศรีสลายไปพร้อมกับ พลังที่สามารถผสานเป็นหนึ่งเดียวกับโลกเข้ามาแทนที่..นั่นเป็นครั้งแรกที่ เซี่ยวเล้งรู้จักกาฬปราณ และบัดนี้เซี่ยงเล้งก็เข้าใจแล้วว่าแม่นางดารายัณใช้ปัญญาสร้างปราณให้เหล่า เทวนารีด้วยวิธีใด นางต้องกำหนดให้พวกเรารับพลังจากผลึกราศรีเพื่อให้เกิดแนวปราณและพลังที่ เป็นคุณลักษณะเฉพาะของผลึกราศรีแต่ละอันเข้าไว้ในร่าง พร้อมกับกำหนดให้พี่เอทำลายพรหมจรรย์ของพวกเราเพื่อสลายมวลพลังออกไปคงไว้ แต่แนวปราณ หลังจากนั้นพี่เอจึงถ่ายทอดกาฬปราณเข้าเป็นพลังปราณมูลฐานของพวกเราแทนที่ นี่คือสาเหตุที่พี่เอต้องเร่งทำลายพลังแห่งผลึกราศรีก็เพราะต้องการช่วยพวก เรามิให้ตกเป็นทาสแห่งพลังที่จะทำลายชีวิตเราในที่สุด….’

ดวงตา เรียวยาวราวหงส์ด้วยเชื้อชาติชาวจีนของเทวนารีแห่งราศรีมังกรทอประกายวาววับ ขณะส่งจิตที่วิเคราะห์ตำนานแห่งเทพที่ไกรวิทย์เล่ามาผสานกับความเข้าใจลึก ซึ่งในพลังปราณที่ไม่มีเทวนารีนางใดทัดเทียมได้ จนสามารถสรุปออกมาได้อย่างแจ่มแจ้ง

‘สมแล้วที่เทวนารีแห่งราศรี มังกรคือแม่ทัพคู่บารมีของเทพวิรุณปักขะ ความรอบรู้เรื่องปราณของเซี่ยวเล้งถูกต้องทั้งหมด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนก่อเกิดเหล่าเทวนารีนั้น ล้วนเป็นผลมาจากปัญญาของหญิงสาวผู้งดงามนามดารายัณ ผู้ที่บัดนี้พลังชีวิตของนางคือส่วนหนึ่งในชีวิตของพี่…’

‘น่าเสียดายนักที่พวกรินไม่มีโอกาสได้น้อมพบนาง ผู้มีฐานะเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดของพวกเราทุกคน’

ริน ลดาส่งจิตที่แฝงความรู้สึกเทิดทูนออกมาพร้อมกับเหล่าเทวนารีทุกนางที่ดวงตา ทุกคู่คลอไว้ด้วยน้ำใสเป็นม่านบางๆ ปรากฏอยู่ บอกให้รู้ถึงความรู้สึกตื้นตันในความรักที่ดารายัณมีให้กับไกรวิทย์ จนยอมสลายพลังชีวิตของตนเองเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับชายผู้เป็นที่รัก แม้จะรู้ว่าการกระทำดังกล่าวจะส่งผลให้จิตและวิญญาณอิสระของตนเองสูญไปตลอด กาล ไกรวิทย์จับจ้องดวงหน้าของเหล่าเทวนารีก่อนส่งจิตอ่อนโยนนุ่มนวลไปยังสตรี ผู้เป็นที่รักทุกนาง

‘พี่เองก็คิดถึงนาง ไม่ว่าจะในฐานะของดารายัณหรือแก้วคำก็ตาม ความรักที่พี่มีให้กับนางนั้นหาได้แตกต่างจากความรักที่พี่มีให้กับพวกเรา ทั้ง 12 ไม่ สิ่งที่พี่ต้องการที่สุดในขณะนี้คือนำพาสตรีที่พี่รักทุกคนมาอยู่ร่วมกัน ขอเพียงแต่เทวนารีของพี่ทุกคนมาเคียงข้าง ต่อให้พี่ต้องเผชิญขุนพลเทพ เทพสุรัสวดี หรือแม้แต่สองมหาเทพ พี่ก็หาหวาดหวั่นไม่..ดังนั้น….’

จิต ที่อ่อนโยนของไกรวิทย์พลันเปลี่ยนไปเป็นกระแสจิตที่ทรงอำนาจ เต็มเปี่ยมด้วยพลังปราณดังที่เหล่าเทวนารีทุกนางคุ้นเคยมาตั้งแต่อดีตกาล

‘ด้วย สถานะแห่งเรา เทพวิรุณปักขะผู้นำแห่งจักราศรี เราขอมีบัญชาให้เหล่าเทวนารีผู้เป็นที่รักแห่งเราทั้งแปดซึ่งชุมนุมอยู่ ณ จักราศูนย์นี้ จงยึดมั่นภารกิจในการติดตามหาพี่น้องของเราทั้งสี่ที่จิตยังคงหลับไหล กลับคืนมาสู่จักรราศรี พวกเจ้าพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่นี้หรือไม่’

ทัน ที่ที่ไกรวิทย์ส่งจิตออกไป เหล่าสตรีงามทั้งแปดต่างคุกเข่าลงพร้อมกันในท่วงท่าถวายความเคารพตามวิถี แห่งเทวนารีโบราณ ก่อนส่งจิตตอบรับเป็นเสียงเดียว

‘มหาเทพวิรุณปักขะประทานโองการ เหล่าเทวนารีจะปฏิบัติหน้าที่ตามบัญชานี้ด้วยชีวิต’
——————————————————–

“เอ…ทำไมเงียบไปล่ะลูก…กังวลเรื่องขุนพลเทพหรือ?”

อร อุมาส่งเสียงถามบุตรชายเมื่อพบว่าไกรวิทย์หยุดการสนทนาที่ยังคงค้างไว้ราว กับว่ากำลังครุ่นคิดในบางสิ่ง เสียงของผู้เป็นมารดาทำให้ไกรวิทย์ตื่นขึ้นจากความทรงจำที่เปิดเผยเรื่องราว แห่งตำนานเทพให้เหล่าเทวนารีได้รับรู้เป็นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน และยิ้มให้อรอุมาอย่างอ่อนโยน

“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณแม่ผมกำลังคิด ถึงลูกสาวจอมซนทั้งสี่คน สงสัยจะต้องให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยดูแลอีกแรง เพราะตอนนี้รีน่ากับเจสสิก้า ที่เป็นพี่เลี้ยงนั้น ถึงจะมีปราณระดับสูง แต่พลังปราณธรรมชาติในร่างของหลานสาวของคุณแม่ทั้งสี่นั้นกำลังเติบโตกล้า แข็งขึ้นทุกขณะ จนเจสสิก้ากับรีน่าจะรับมือไม่ไหวแล้ว”

อรอุมาจับจ้องดวงตาบุตรชายด้วยความรัก มือเรียวงามนุ่มนวลยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าชายหนุ่ม

“เอ เป็นลูกของแม่นะ…ตั้งแต่เด็กมาแล้วเอมักจะเปลี่ยนเรื่องที่กลัดกลุ้มใจมา เป็นเรื่องที่ทำให้แม่เบิกบานใจเพื่อไม่ให้แม่กังวลเสมอ แต่ทุกครั้งเอก็ไม่เคยซ่อนจากแม่ได้สำเร็จ แม่รู้ดีว่าเอกำลังกังวลเรื่องขุนพลเทพที่เทพสุรัสวดีกำลังบ่มเพาะขึ้นมา ทำลายพวกเรา ในขณะที่พวกเราจนบัดนี้แม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถก็ยังไม่พบว่าเทวนารี ทั้งสี่ที่ยังไม่ตื่นขึ้นจากชาติภพนี้อยู่ ณ ที่ใดกัน…แต่แม่ยืนยันกับเอได้อย่างหนึ่งว่า ในสงครามครั้งนี้แม่ พ่อ และเหล่าบริวารแห่งตระกูลคชสีห์ โรหิณีทุกคน พร้อมจะร่วมเป็นร่วมตายกับเอและเหล่าเทวนารี…หากชะตากำหนดให้พวกเราดับสูญ แม่ก็เต็มใจที่จะดับสูญพร้อมกับเอ….”

ไกรวิทย์กระชับวงแขนที่โอบอุ้มผู้เป็นมารดาเข้ามากอดไว้แน่นจนทรวงอกอวบอิ่มอัดแน่นกับแผ่นอกกว้าง ก่อนส่งเสียงนุ่มนวลตอบ

“คุณ แม่ไม่เคยเปลี่ยนไปจากอดีตกาลแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับที่ผมไม่เคยซ่อนความลับจากคุณแม่ได้ไม่ว่าจะเป็นชาติภพใดก็ตาม ความรักที่ผมกับคุณแม่มีให้กันมาตั้งแต่วันแรกที่เราได้พบกันในมหาอาณาจักร ปราณ ยังดำรงอยู่จนเดี๋ยวนี้ บางชาติคุณแม่ก็เป็นน้องสาวผู้แสนซุกซน บางชาติคุณแม่ก็กำเนิดเป็นพี่สาวที่แสนใจดี บางชาติคุณแม่ก็เป็นแม่ที่ให้กำเนิด ความรักที่เรามีต่อกันนั้นทำให้เกิดความผูกพันทุกรูปแบบ จนไม่ว่าพวกเราจะเกิดในฐานะใด จิตของเราก็จะต้องเรียกร้องให้พวกเราละเมิดข้อห้ามทางสายเลือดเกิดสัมพันธ์ ทางกายกันทุกชาติภพ แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่มีวันลืมได้ว่าในมหาอาณาจักรปราณนั้น คุณแม่ก็คืออินทิราผู้งดงาม ผู้ดูแลประจำตัวของผมราวกับมารดาผู้ให้กำเนิด..จนกลายมาเป็นความผูกพันของ เราสองในวันนี้..”

พวงแก้มสีชมพูของอรอุมาสะท้อนประกายแดงเรื่อเมื่อ ไกรวิทย์เล่าให้ฟังถึงความผูกพันที่มีมาแต่อดีตกาล ศรีษะงามได้รูปก้มลงจูบเรือนผมของไกรวิทย์ที่ยังคงอุ้มร่างงามไว้ในวงแขน แผ่วเบา

“แม่เข้าใจความรู้สึกของเอดี…และแม่ก็รู้ว่าเอก็ต้องการ แม่ไม่ต่างกับที่แม่ต้องการเอ……อื๋ย..เอ…ยะอย่าเพิ่งลูก…เดี๋ยวพวก บริวารคชสีห์กับโรหิณีข้างล่างนั่นจะเห็นนะ”

อรอุมาร้องอุทธรณ์ออกมา เบาๆ เมื่อไกรวิทย์เป่าลมหายใจที่แฝงปราณออกมาเบาๆ จนเสื้อนอนตัวหลวมที่สวมใส่อยู่สลายตัวไปโดยปราศจากผลกระทบต่อผิวกายแม้แต่ น้อย ปล่อยให้ทรวงอกเต่งเต้าชูช่ออวดความงามอย่างเต็มที่ท่ามกลางแสงแดดอ่อนยาม เช้าตรู่ ใบหน้าไกรวิทย์ซบเคลียความหยุ่นตึงของเต้านมเบื้องหน้า จนผิวกายขาวละเอียดของอรอุมาปรากฏตุ่มขนลุกชูชัน หัวนมสีชมพูเข้มดีดตัวเองป็นไตเมื่อกระทบการสัมผัสจากปลายลิ้นบุตรชายที่ เกลี่ยปาดหัวนมคู่งามนั้น

“คุณแม่ลืมไปแล้วหรือครับว่าวิชามายาพรางตาของเหล่าเทวนารีนั้นถ่ายทอดมาจากผู้ใด…”

ไกร วิทย์ส่งเสียงตอบอรอุมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า ขณะปล่อยร่างเปลือยขาวสล้างที่กำลังอ่อนระทวยของผู้เป็นมารดาให้พาดลงกับราว ระเบียง…ทำให้อรอุมาต้องรีบกอดคอไกรวิทย์ไว้แน่น แต่ท่วงท่านี้กลับทำให้ร่างกายท่อนล่างแอ่นมาด้านหน้าจนเนินรักอวบอิ่มที่ ประดับด้วยเส้นไหมนุ่มเนียนกระทบกับปลายแก่นเนื้อไกรวิทย์ที่กำลังแข็งตัว เต็มที่

“เอ…เมื่อคืนเอก็เย็ดแม่ไปไม่รู้กี่รอบแล้วนะ…..อ๊าวส์….”

อร อุมาครางออกมาอย่างลืมตัวเมื่อแก่นกายผู้เป็นบุตรชายแทรกผ่านแคมเนื้อเข้าไป ช้าๆ ผ่านความรัดรึงคับแน่นราวกับหญิงสาวแรกรุ่นที่บีบอัดแก่นกายไกรวิทย์จนต้อง สูดปากออกมาด้วยความเสียว…

“หีคุณแม่หนึบแน่นไปหมดแบบนี้.. ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือผมก็ยั้งใจตัวเองไว้ไม่ได้หรอกครับ…อูว์…”
“อาห์…ควยเอไม่เคยอ่อนตัวเลย…ยิ่งเย็ดยิ่งแข็ง…แบบนี้เอจะทำให้แม่ต้องการไม่รู้จบรู้ไหม….”
“เมื่อใดที่คุณแม่ต้องการ…ขอเพียงคุณแม่กำหนดจิตเรียกผมเท่านั้น …ควยนี้ก็พร้อมจะเย็ดคุณแม่ตลอดเวลา..”
“..อื่ย… ลูกเอ…แม่ เสียว….กระเด้าแม่แรงๆ ….อูย…ละ ละ แล้วตอนนี้ร่างอีกร่างของเออยู่ที่ไหน…หรือ หรือ..กำลังเย็ดพวกลูกริน ลูกกิฟท์…ซีดส์…”
“ตอนนี้ผมแยกร่างออกมาเย็ดคุณแม่ร่างเดียวเท่านั้นครับ….ซีดส์….อีกร่างตอนนี้กำลังไปดูเจ้าตัวเล็กทั้งสี่ในบ้าน..”

ไกร วิทย์ตอบผู้เป็นมารดาด้วยน้ำเสียงหอบเล็กน้อย เมื่อรับรู้ถึงหลืบเนื้ออรอุมาที่กำลังสั่นสะท้านเป็นระลอกบดอัดแก่นกายทุก ตารางนิ้ว จนความเสียงพรั่งพรูมารามตัวที่ส่วนปลาย มือของชายหนุ่มกุมสะโพกอวบตึงบีบเคล้นความนุ่มนวลที่แฝงแรงดีดสะท้อนสู้มือ ขณะเร่งความเร็วส่งแก่นกายเข้าออกสองแคมเปล่งปลั่งสีชมพูสดใส ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นช่องทางที่ไกรวิทย์กำเนิดออกมาสู่โลก

“อื๋ย…อะ อะ..เอ…แม่..แม่ ..จะ….อ๊าวส์…”

ร่าง งามของอรอุมาที่ทาบพิงราวระเบียงสั่นกระตุกไปทั้งร่าง พร้อมกับที่ไกรวิทย์แอ่นแก่นกายเข้าบดเบียดโหนกนูนแน่น สองมือช้อนใต้สะโพกกลมกลึงบีบเคล้นแก้มก้นเต่งตึงไว้ ก่อนฉีดน้ำรักเข้าสู่หลืบเนื้ออรอุมาเป็นระลอก พร้อมกับกระแสปราณที่ถูกส่งเข้าไปช่วยการโคจรปราณของผู้เป็นมารดารอบแล้วรอบ เล่า จนร่างอรอุมาคลายตัวลง

ไกรวิทย์ยิ้มให้ผู้เป็นมารดาที่เปิดตา จับจ้องมาอย่างนุ่มนวล ก่อนช้อนร่างงามนั้นกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นและค่อยๆ วางลงพักผ่อนบนโซฟาหนานุ่ม จนแก่นเนื้อหลุดออกจากหลืบเนื้ออวบอิ่ม ส่งน้ำรักขุ่นข้นหลั่งตามออกมาเป็นสาย…

“คุณแม่พักผ่อนก่อนนะครับ ตอนนี้ปราณคุณแม่เข้มแข็งไม่แพ้คุณพ่อแล้วรู้ไหม”

“ก็ เพราะลูกเอคอยปรับปราณให้แม่แบบนี้นั่นแหละ ..แต่ตอนนี้ลูกเอกลับไปหาพวกเทวนารีเถอะ…แล้วถ้ามีเวลาก็พาหลานทั้งสี่มา หาแม่ด้วยนะ…แม่คิดถึงจะแย่แล้ว…”

อรอุมาส่งเสียงแผ่วเบาออกมา ขณะที่ไกรวิทย์พยักหน้ารับ ร่างชายหนุ่มเปล่งประกายแสงเรืองรองวูบหนึ่งก่อนหายวับไปจากสายตาของผู้เป็น มารดา…

———————————————
ไกร วิทย์ลืมตาขึ้นจากอาสนะในห้องผนึกปราณ ใบหน้าที่สงบนิ่งนั้นปรากฏรอยยิ้มบางๆ เมื่อคิดถึงมารดาผู้ให้กำเนิด ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้แม้จะเคยร่วมรักกันมาในคราวถ่ายทอดปราณคชสีห์ครั้งสุด ท้าย แต่ในครั้งนั้นเกิดจากอำนาจการปลุกเร้าราคะที่ทำให้ไกรวิทย์ควบคุมตนเองไม่ ได้ จนต้องร่วมรักกับมารดาตนเองทั้งที่จิตสำนึกต่อต้าน แต่หลังจากการกลับเข้าสู่ตัวตนที่แท้จริงแห่งเทพวิรุณปักขะ พร้อมกับความทรงจำแห่งอดีตชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วน ทำให้ไกรวิทย์รู้ดีว่าอรอุมาผู้เป็นมารดานั้น แม้จริงแล้วคือผู้ร่วมภพอดีตชาติในฐานะต่างๆ กัน ไม่ว่าจะในฐานะเป็นสามีภรรยา ฐานะบิดามารดา พี่น้อง ความทรงจำในจิตทำให้ไกรวิทย์คลายจิตต่อต้านที่เกิดจากประเพณีในชาติภพ ปัจจุบันไปจนหมดสิ้น และกลับร่วมรักกับอรอุมาด้วยความเต็มใจ เช่นเดียวกับอรอุมาเองที่หลังจากรับมวลปราณแห่งเทพวิรุณปักขะเข้าในร่าง จิตของอรอุมาก็ผูกพันเข้ากับบุตรชายตนเองด้วยอำนาจของความสัมพันธ์ในอดีต จนปล่อยตัวรับการร่วมรักกับบุตรชายด้วยความเต็มใจ และปราศจากการขัดขวางใดๆ จากไกรสรผู้เป็นสามี

ร่างสูงตระหง่านที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออัดแน่น ของไกรวิทย์ ผุุดลุกขึ้นจากอาสนะขณะหยิบเสื้อคลุมผ้ามาห่มร่างและก้าวออกมายังศูนย์กลาง แห่งจักราศูนย์ ซึ่งเป็นสถานที่ประชุมของเหล่าเทวนารี คิ้วของชายหนุ่มขมวดเล็กน้อย เมื่อดวงตาจับจ้องไปที่แท่นหินทั้งสิบสองอันเป็นอาสนะประจำตำแหน่งเทวนารี แต่จนบัดนี้อาสนะทั้งสิบสองก็ยังคงมีเทวนารีครอบครองเพียง 8 ที่ ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาแม้ไกรวิทย์จะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะติดตามหา เทวนารีทั้งสี่ ที่ยังไม่ตื่นขึ้นจากภพภูมิปัจจุบัน แต่ก็ดูเหมือนว่าความพยายามนั้นจะยังคงไร้ผลโดยสิ้นเชิง…ชายหนุ่มถอนใจยาว ราวกับจะระบายความรู้สึกผิดหวังออกมา สองเท้าก้าวเข้าสู่ลิฟท์พาตนเองขึ้นไปยังห้องโถงรวมของบ้านคชสีห์ที่ชั้นบน สุด

ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกอย่างเงียบกริบ รอยยิ้มก็กลับมาปรากฏบนริมฝีปากไกรวิทย์อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสดใส และเสียงร้องเรียกหากันของเด็กหญิง 4 คนดังกังวาน พร้อมกับเสียงร่ำร้องของหญิงสาวสองนางผู้เป็นพี่เลี้ยง

“คุณหนูอิงค์ คุณหนูอีฟมาหาพี่เจสสิก้าก่อนนะ….ได้เวลาต้องอาบน้ำแล้ว..”
“คุณหนูอิมก็เหมือนกัน…ถ้าไม่มาอาบน้ำพี่รีน่าจะไม่ให้เล่นนะ…โอย…พี่ตามคุณหนูแอร์ไม่ไหวแล้ว…มาอาบน้ำเถอะ…..”

เสียง ดังสับสนหญิงสาวแรกรุ่นสองคนดังขึ้นจอแจในทันทีที่ประตูลิฟท์ที่พาร่างไกร วิทย์ขึ้นมาจากห้องโถงใต้ดินชั้นล่างสุดอันเป็นที่อยู่ของชายหนุ่มกับเหล่า เทวนารีทั้งแปดเปิดออก ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าประตูห้องโถงกว้างที่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ยามเช้า ส่องสว่าง ประตูไม้หนาหนักสลักรูปคชสีห์เปิดออกในทันทีด้วยเซ็นเซอร์รับสัญญาณเฉพาะ ตัวอย่างเงียบกริบ จนทุกคนที่อยู่ในห้องโถงกว้างนั้นยังไม่รู้ตัวแต่อย่างใด

..ภาพ เบื้องหน้าที่ปรากฏทำให้ไกรวิทย์อดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูไม่ได้ เมื่อพบว่าหญิงสาวแรกรุ่นสองคนกำลังไล่จับกลุ่มเด็กหญิงสี่คนอย่างเอาเป็น เอาตาย ขณะที่เด็กหญิงวัยสองปีทั้งสี่คนนั้นกลับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วเกิน กว่าเด็กวัยเดียวกันหลายเท่าตัว เท้าน้อยๆ ทั้งแปดดีดตัวเองโฉบไปมาจนแม้กระทั่ง เจสสิก้า รีน่า ซึ่งเป็นผู้ทรงปราณแห่งตระกูลโรหิณีและได้รับการถ่ายทอดปราณคชสีห์จากตัวไกร วิทย์เองโดยตรง ก็ยังต้องใช้ปราณในร่างอย่างเต็มกำลัง แต่ก็ยังดูเหมือนว่าไม่สามารถติดตามร่างน้อยๆ ทั้งสี่ได้ทัน

‘ลูกทั้งสี่คนซนแบบนี้ สงสัยจะถ่ายทอดมาจากพี่เอแน่เลย….’

จิต หวานใสที่เปี่ยมไปด้วยความรักของรินลดาส่งออกมาเบาๆ ขณะหญิงสาววัย 25 ปีที่ยังคงลักษณะภายนอกราวกับเด็กสาวแรกแย้มก้าวตามเข้ามาในห้อง พร้อมกับร่างของอัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดาที่ตามติดเข้ามาพร้อมกัน ใบหน้าหญิงสาวทุกคนปรากฏรอยยิ้มด้วยความเอ็นดูกับกริยาร่าเริงของเด็กหญิง ทั้งสี่ที่กำลังสร้างความวุ่นวายให้พี่เลี้ยงทั้งสองราวกับเป็นเด็กอายุ 5-6 ปี แทนที่จะเป็นเด็กหญิงที่เพิ่งลืมตาดูโลกเมื่อสองปีที่ผ่านมา ซึ่งหากคนทั่วไปได้รับรู้อายุที่แท้จริงของเด็กหญิงทั้งสี่ที่กำลังส่งเสียง หยอกล้อเซ็งแช่ก็คงต้องตระหนกถึงที่สุด แต่สำหรับไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีผู้เป็นมารดาแล้ว รู้ดีว่านี่คือพัฒนาการของทารกของมนุษย์กึ่งเทพที่ใช้เวลาในครรภ์เพียง 5 เดือน และเติบโตเร็วกว่าทารกมนุษย์ธรรมดากว่าสองเท่าตัว

‘พี่รินจำ ไม่ได้หรือว่าตอนที่พี่รินยังเด็กอยู่…ใครกันที่นำหน้าพี่เอกับกิฟท์ปีน ต้นไม้กระโดดน้ำ จนคุณพ่อพี่เอยังออกปากเลยว่าพี่รินนี่สงสัยจะเกิดมาผิดเพศแน่ๆ กิฟท์ว่าน้องแอร์นี่รับบุคลิกของพี่รินมาเต็มๆ มากกว่า’

‘บ้า….น้องกิฟท์นี่…แล้วลองดูน้องอีฟลูกสาวกิฟท์สิ….เห็นไหมกระโดดขึ้นโซฟาไปแล้ว แบบนี้คงไม่ต้องบอกว่าลูกสาวใครหรอก…’

เสียง ทางจิตตอบโต้กับของรินลดากับอัจฉริยาทำให้ทิพย์วารีและพิมพ์มาดาอดหัวเราะ ออกมาเบาๆ ไม่ได้ เมื่อพบว่าร่างน้อยๆของน้องอีฟลูกสาวอัจฉริยาดีดตัวเองขึ้นสู่โซฟาหนานุ่ม ก่อนใช้แรงดีดของโซฟาส่งร่างขึ้นสู่โต๊ะทำงานที่อยู่ติดกันจนเจสสิก้าผู้ เป็นพี่เลี้ยงเด็กหญิงที่พยายามรวบตัวต้องคว้าได้แต่อากาศ…เช่นเดียวกับ น้องแอร์ลูกสาวของรินลดาที่มุดร่างน้อยๆ เข้าใต้โซฟาหลบหลีกการไล่จับของรีน่าอย่างสนุกสนาน

‘น้องทิพย์กับน้องพิมไม่ต้องหัวเราะเลย…ดูน้องอิมกับน้องอิงค์เถอะ…ซนต่างกันที่ไหน…’

จิต อัจฉริยาส่งเสียงตอบโต้การหัวเราะของทิพย์วารีและพิมพ์มาดา ทำให้หญิงสาวทั้งสองต้องหัวเราะออกมาอีกอย่างกลั้นไม่อยู่เมื่อพบว่าร่าง น้องอิมผู้เป็นลูกสาวทิพย์วารี และน้องอิงค์ลูกสาวของพิมพ์มาดา สะบัดหลุดจากการมือของสองเด็กสาวพี่เลี้ยงได้สำเร็จ และเริ่มกระบวนการไล่จับที่วุ่นวายอีกครั้ง

‘น้องอีฟของทิพย์ น่ะ…ทิพย์รู้ว่าได้ความซนมาจากทิพย์เองแหละ…แต่น้องอิงค์ของน้องพิมที่ แสนเรียบร้อยนุ่มนวลนี่สิ ได้ความซนมาจากพี่เอแน่ๆ..’

‘พี่ทิพย์นี่แหละ ล้อพิมเรื่อยเลย…พิมไม่ได้เรียบร้อยอย่างนั้นสักหน่อย…’

ทิพย์ วารีจับจ้องดวงหน้าของเด็กหญิงเบื้องหน้าอย่างเอ็นดู…ใบหน้านั้นยังคงเป็น วงหน้ากลมที่แสนน่ารักซึ่งคงเค้าหน้าของเด็กหญิงพิมพ์มาดาที่ทิพย์วารี รู้จักที่คลองน้อยในอดีต แต่สองปีที่ผ่านไปทำให้เรือนกายเด็กหญิงเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทรวงอกที่เมื่อ 2 ปีแล้วก็อวบเกินวัย 12 ปีไปไกล บัดนี้กลับยิ่งเพิ่มความอวบเต่งขึ้นด้วยขนาดที่ราวกับผลส้มโอขนาดย่อมผ่า ครึ่ง ประกอบกับเรือนร่างอวบอัดสมบูรณ์ไปทุกสัดส่วน ทำให้รูปกายภายนอกของพิมพ์มาดาดูราวกับเป็นทรวงอกของหญิงสาววัย 20 ปีมากว่าจะเป็นเด็กหญิงวัย 14 ปีอย่างที่เป็นจริง

‘ข้อนี้พี่ เชื่อ…เมื่อวานนี้พี่ก็เห็นนะว่าพี่เอเย็ดนมน้องพิมจนน้ำแตกพุ่งใส่ หน้า…แต่น้องพิมไม่เห็นจะบ่นเลย เอาแต่ร้องว่าเอาอีก เอาอีก…’

‘บ้า บ้า พี่ทิพย์ บ้า บ้า บ้า….’

จิต ที่ทิพย์วารีกระเซ้าตอบมา ส่งผลให้พิมพ์มาดาหน้าแดงฉานสาดพุ่งร่างอวบอิ่มเข้าหาพร้อมระดมสองมือทุบ ทิพย์วารีไม่หยุด จนทั้งรินลดา อัจฉริยา และตัวไกรวิทย์เองต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่ดังขึ้น ทำให้ความเคลื่อนไหวของเจสสิก้าและรีน่า ที่กำลังไล่จับเด็กหญิงทั้งสี่หยุดชะงักลงทันที พร้อมส่งเสียงอุทานออกมา ก่อนคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

“นายน้อย…นายหญิงทั้งสี่”
“คุณพ่อ…คุณแม่”

ร่าง เด็กหญิงวัยสองปีทั้งสี่คนที่ดูราวกับเป็นร่างของเด็กหญิงวัย 5-6 ปี ถลาเข้าหามารดาของแต่ละคนด้วยความยินดี ส่งเสียงจอแจทักทายก่อนจะดิ้นรนออกจากอ้อมกอดและโถมเข้ากอดร่างผู้เป็นบิดา ที่ทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาจนแทบมองไม่เห็นร่างไกรวิทย์…

“วันนี้คุณพ่อพาอิงค์ไปเที่ยวสวนสัตว์ได้ไหม….”
“ไม่เอาวันนี้อีฟอยากไปว่ายน้ำ…”
“ยี้…ไปเที่ยวแบบนั้นไม่เห็นดีเลย…แอร์ว่าไปดูหนังเถอะ….ไปกันหมดทั้งบ้านเลย…”
“อิมไม่สนใจหรอก…ไปไหนก็ได้ อิมจะไปกับคุณพ่อ…”
“เอ้า…แล้วจะให้พ่อตอบใครล่ะ…..ถามทีละคนสิ…”

เด็ก หญิงทั้งสี่แย่งกันส่งเสียงดังรอบตัวไกรวิทย์ราวนกกระจอกแตกรัง จนไกรวิทย์ไม่มีโอกาสตอบใครคนหนึ่งได้ FFpที่รินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดา ทำได้ได้แต่เพียงยืนมองไกรวิทย์ถูกบุตรสาวทั้งสี่รุมล้อมอยู่ด้วยความขบ ขัน…ขณะที่รินลดาส่งเสียงดุออกไปอย่างไม่จริงจังนัก…

“น้องแอร์ น้องอิงค์ น้องอีฟ น้องอิม ปล่อยคุณพ่อก่อนเถอะ…คุณพ่อเพิ่งฝึกปราณเสร็จ เดี๋ยวทุกคนตามพวกแม่ไปอาบน้ำที่ห้องชั้นล่าง…เจสสิก้า รีน่า ขอบใจที่ช่วยดูแลเจ้าตัวซุกซนทั้งสี่นี้ให้พี่เอนะ…ตอนนี้พวกรินจะรับทั้ง สี่ตัวนี้ไปดูแลเอง..ทั้งสองคนไปพักผ่อนได้แล้ว…’

เสียงของรินลดา ที่มีฐานะเป็นพี่สาวของเหล่าเทวนารีทุกคน ทำให้เด็กหญิงทั้งสี่ที่แม้จะซุกซนถึงที่สุดก็ยังต้องเชื่อฟังด้วยดี และทยอยกันผละจากร่างไกรวิทย์มาหามารดาของแต่ละคน…ขณะเดียวกับที่พี่ เลี้ยงสาวทั้งสองต่างขานรับคำสั่งของนายหญิงผู้ที่มีศักดิ์ในสถานที่นี้รอง จากไกรวิทย์เพียงคนเดียวเท่านั้น

“เอาอย่างนี้นะ…เดี๋ยวพวกเราทานข้าวกลางวันเสร็จแล้ว พ่อจะพาทุกคนขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวทะเลกันดีไหม.”

………….“ทะเล”………..

เด็ก หญิงทั้งสี่ส่งเสียงอุทานลั่นออกมาพร้อมกัน ดวงตาทุกคู่เบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นเมื่อรู้ว่ากำลังจะได้ไปเห็นทะเลเป็น ครั้งแรกในชีวิต ร่างเล็กๆ พยายามจะกระโดดกลับมาหาไกรวิทย์ด้วยความตื่นเต้น แต่มือของมารดาทุกคนฉุดเอาไว้

‘พี่เอนี่ตามใจทุกคนจนเหลิงหมด…กิฟท์อบรมอะไรก็แทบจะไม่ฟังแล้วนะเดี๋ยวนี้…’
‘ทำไงได้ล่ะพี่กิฟท์….ตัวพี่กิฟท์เองก็เถอะเวลาน้องอีฟอยากได้อะไร เห็นพี่กิฟท์รีบแจ้นไปหามาให้ทุกที’
‘อ้าวน้องทิพย์…อย่างนี้กิฟท์ต้องลงโทษน้องทิพย์เหมือนกันแหละ…น้องอิมน่ะเสื้อผ้าเต็มตู้แล้ว….ขนซื้อมาจนใส่ไม่ทัน’
‘พิมไม่รู้ด้วยนะ…พิมไม่เคยตามใจน้องอิงค์สักหน่อย…’
‘เอา ล่ะ ทุกคนอย่าบ่นไปเลย…รินบ่นพี่เอไปอย่างนั้นแหละ..แต่ความจริงแล้วอย่าว่า แต่พวกเราตามใจลูกๆ เลย พวกน้าๆ ทุกคนไม่ว่าเซี่ยวเล้ง น้องนิว พี่จานีส เรอินะ ทุกคนต่างพะเน้าพะนอเอาใจจนทั้งสี่คนนี่ไม่เคยรู้จักคำว่าผิดหวังเลย…ไป เถอะ…’

ไกรวิทย์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าแม้รินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดาจะส่งเสียงเรียกเด็กหญิงทั้งสี่และพยายามอบรมกริยาให้ลดความ ดื้อรั้นซุกซนลง แต่จิตของทุกคนก็ยังคงสนทนากันด้วยความเข้าใจในความรักความห่วงใยที่มารดามี ต่อบุตรีทั้งสี่อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยกหรือลำเอียงรักบุตรีของตนเองเป็นพิเศษแต่อย่างใด…

ร่าง งามของเทวนารีทั้งสี่ผู้เพิ่งผ่านพ้นการเป็นมารดาเมื่อสองปีก่อนหันกลับ เตรียมพาบุตรีทั้งสี่ออกจากห้อง แต่แล้วจิตรินลดาก็อุทานออกมาเบาๆ ขณะหันกลับมาหาไกรวิทย์และส่งจิตที่แฝงสำเนียงหยอกเย้าเอาไว้ออกมาเบาๆ

‘พี่ เอ..รินลืมบอกไป เมื่อครู่นี้นายชัยขึ้นมารายงานพวกรินว่าเด็กสองคนที่พี่เอมอบหมายให้ตระกูล โรหิณีดูแลนั้น มีประจำเดือนแรกแล้วเมื่อสามวันก่อน ตอนนี้หมดแล้ว และพร้อมให้พี่เอถ่ายทอดปราณได้ตลอดเวลา…เช้านี้พี่เอยังไม่มีกำหนดการ อะไรเป็นพิเศษ จะให้รินนำทั้งสองคนนั้นมาที่คูหาปราณของพี่เอเลยไหม หรือพี่เอจะ….’

ยังไม่ทันที่จิตรินลดาจะถ่ายทอดออกมาจนเสร็จสิ้น จิตอัจฉริยาก็แทรกขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงลิงโลด

‘จริง หรือนี่ กิฟท์ดีใจจัง…….พี่เอห้ามปฏิเสธนะ…รีบถ่ายทอดปราณให้ทั้งสองคนวันนี้ เลย…แล้วกิฟท์จะทำหน้าที่ดูแลการฝึกปราณของทั้งสองคนนี้ด้วยตัวกิฟท์เอง’

‘ไกร วิทย์ผู้ต่ำต้อยขอรับบัญชาท่านเทวนารีแห่งราศีกันย์และพิจิก….เชิญท่านเท วนารีทั้งสองเรียกพวกนางไปรอผู้ต่ำต้อยที่คููหาฝึกปราณเถอะ…แต่คืนนี้พวก เราไปค้างที่ชายทะเล ขอท่านเทวนารีผู้งดงามทั้งสองประทานร่างให้ผู้ต่ำต้อยเย็ดด้วย จะได้หรือไม่…’

จิตไกรวิทย์ส่งออกไปด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าทำให้ริน ลดาและอัจฉริยาหน้าแดงฉานส่งจิตพึมพัมคำ “พี่เอบ้า” ออกมาพร้อมกัน โดยมีเสียงหัวเราะของทิพย์วารีและพิมพ์มาดาประสาน ก่อนที่หญิงสาวทั้งสี่จะหันกลับเดินออกไปจากห้องด้วยอากัปกริยาร่าเริง….

“นายน้อยมีสิ่งใดจะให้พวกเจสสิก้ากับรีน่ารับใช้หรือไม่…”

เสียง หวานใสแผ่วเบาของเจสสิก้าผู้เป็นหนึ่งในพี่เลี้ยงดังขึ้นเบาๆ ปลุกไกรวิทย์ให้ออกจากภวังค์และหันมาจับจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กสาวทั้ง สองที่มีพิมประพายคล้ายกันจนแยกแทบไม่ออก แต่ไกรวิทย์รู้ดีว่าอุปนิสัยของเด็กสาวทั้งสองคนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รีน่าผู้เป็นพี่สาวนั้นดูจะเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนเรียบร้อย ขณะที่เจสสิก้าผู้เป็นน้องสาวกลับเป็นเด็กสาวซุกซนปิดเผย แต่เด็กสาวทั้งสองต่างเหมือนกันในความเร่าร้อนยามร่วมรัก นูนเนื้ออวบอิ่มที่โอบรัดลำลึงค์ทุกสัดส่วนของรีน่า กับความบอบบางแต่รัดรึงของหลืบรักเจสสิก้า ผสานกับเสียงครางกระเส่าของสองฝาแฝดยามร่วมรักพลันปรากฏขึ้นในในความทรงจำ ของไกรวิทย์ ทำให้แก่นเนื้อชายหนุ่มดีดตัวขึ้นเป็นลำยาวเหยียดจนดันกางเกงผ้าเนื้อบางที่ สวมอยู่เป็นท่อนลำชัดเจน และด้วยท่าที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไกรวิทย์ แก่นเนื้อนั้นก็ปรากฏอยู่ในระดับสายตาพอดี จนเด็กสาวทั้งสองต่างหน้าแดงซ่านเมื่อรับรู้ถึงเพลิงปราถนาของไกรวิทย์ที่ กำลังลุกโชนขึ้น

“นายน้อยจะให้รีน่ากับเจสสิก้า….เอ้อ…..”

รี น่าส่งเสียงเบาๆ ออกมาราวกับจะขออนุญาต และเมื่อเห็นว่าไกรวิทย์ไม่มีท่าทีปฏิเสธแต่อย่างใด มือเรียวบางของเด็กสาวก็เอื้อมมาคลายปมเข็มขัดที่ชายหนุ่มสวมอยู่ ก่อนที่จะดึงลงมาพร้อมกางเกงชั้นใน เผยให้เห็นท่อนเนื้อที่กำลังแข็งตัวเต็มทีดีดผงาดออกมา รินฝีปากน้อยๆ เผยอออก ขณะที่เจสสิก้าแฝดผู้น้องเคลื่อนร่างเข้าประชิดแล้วประคองแก่นเนื้อไว้ในมือ ทั้งสองเพื่อให้แฝดผู้พี่เตรียมรับความแข็งแกร่งเบื้องหน้าเข้าสู่ความ อบอุ่นในช่องปาก แต่ก่อนที่แต่ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะสัมผัส ไกรวิทย์กลับย่อตัวลงรั้งร่างรีน่าให้ลุกขึ้น พร้อมกับหมอกสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งกระจายออกจากร่างรวมกันเป็นไกรวิทย์อีกคน หนึ่ง ที่เอื้อมมือดึงร่างเจสสิก้าขึ้นมาด้วยกัน ก่อนที่ร่างไกรวิทย์ทั้งสอง จะช้อนร่างเด็กหญิงฝาแฝดทั้งสองแยกกันไปยังโซฟาหนานุ่มสองตัวที่ตั้งเข้าหา กันบริเวณกึ่งกลางห้อง..

หากมีสายตาของบุคคลภายนอกมาเห็นสภาพการแยก กายเนื้ออกเป็นสองร่างพร้อมกันเช่นนี้ คงต้องร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจสุดขีด แต่สำหรับสองฝาแผดพี่น้องผู้ถูกคัดเลือกเข้ามาทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้เด็ก หญิงทั้ง 4 แห่งตระกูลคชสีห์แล้ว สภาพที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทั้งสองได้พบเห็นเป็นประจำและมีความคุ้นเคยกับ การร่วมรักพร้อมกันในลักษณะนี้มากว่าสองปีแล้ว

“อูย….พี่เอของรีน่า…..”
“ซีดส์….พี่เอ…เจสสิก้า…”

เสียง ครางของสองฝาแฝดดังประสานกันเมื่อไกรวิทย์เริ่มเล้าโลมเรือนกายที่เต่งตึง ด้วยวัยสาวของทั้งสอง ร่างงามถูกปลดเปลืองเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ร่างทั้งสองของไกรวิทย์เสพรับรสสัมผัสจากผิวกายเนียนละเอียดของสอง สาวฝาแฝด หลืบรักเยาว์วัยทั้งสองหลั่งน้ำหล่อลื่นออกมาไม่ขาดสาย ขณะที่แก่นเนื้อสอดแทรกเข้าสู่ร่างทั้งสองเด็กสาวพร้อมกัน

“รีน่า เจสสิก้า…พี่ขอบคุณพวกเราทั้งสองคนที่ช่วยดูแลลูกของพี่ทั้งสี่เป็นอย่างดี…”
“พะ..พี่ เอ ไม่ต้องห่วง…เจสสิก้า…เต็มใจ…นะ น้องทั้งสี่…น่า..รัก…อื๋ย…โอย…พี่เอ…ควยพี่เอ..ทะลวงไปถึงมดลูก เจสสิก้าแล้ว….”
“รีน่า…ก็…ก็ เต็มใจ….ดะ ดะ ดูแลน้องทุกคน…..ซีดส์….พี่เอ…สะ เสียว “
“แล้ว รีน่าเจสสิก้าจะดูแลไหวหรือ…พี่เห็นเมื่อครู่ทั้งสองตนแทบจะจับเจ้าตัวซุก ซนทั้งสี่ไม่ทันแล้ว…อืมห์…เจสสิก้า หีเจ้าตอดได้แน่นจริงๆ ไม่แพ้หีรีน่าเลย…..”
“รีน่า…จะพยายาม…แต่…รีน่าก็ยอมรับ ว่า…อื๋ย….น้องทั้งสี่มีปราณในร่างแข็งกล้าเหลือเกิน….แม้รีน่าสิก้า จะเป็นผู้…. ผู้…. ทรงปราณ..แต่สองสามวันหลังมานี้ รีน่าก็แทบจะจับทุกคนไม่ได้แล้ว….อูย…”
“เจสสิก้าก็แทบแย่….อาห์ พี่เอ ยะ อย่าเพิ่งคว้านแบบนั้น…..อูย…”
“ถ้าเช่นนั้นพี่คงต้องหาคนอีกสองคนมาช่วยรีน่าและเจสสิก้าแล้ว…”
“รี่น่าขอบคุณพี่เอ….แต่ แต่ ตอนนี้…..รีน่า….กำลัง…กำลัง…..อ๊ายส์”
“เจสสิก้าก็ยินดี….พะ พะ พี่เอ…เจสสิก้า…จะ…จะ….อ๊าววส์”

ท่าม กลางเสียงสนทนาระหว่างการร่วมรัก ร่างไกรวิทย์ทั้งสองเร่งความเร็วของลำลึงค์ในหลืบรักคับแน่นของสองฝาแฝดจน เด็กหญิงทั้งสองส่งเสียงครวญครางออกมาไม่ขาดสาย ร่างทั้งสองแอ่นรับการกระแทกที่นำไปสู่จุดสุดยอดพร้อมกัน สองแขนเรียวกอดรัดร่างไกรวิทย์แน่น แอ่นเนินนูนเข้าหารับน้ำรักที่ฉีดอัดเข้ามาในร่างก่อนทิ้งร่างเปลือยลงกับ เบาะโซฟาหนานุ่มที่ชุ่มโลกไปด้วยน้ำรักซึ่งหลั่งล้นออกมาจากร่องรักทั้งสอง เป็นสาย….พร้อมกับหลับตาลงผนึกปราณในร่างให้กระจายไปพร้อมกับปราณที่หลั่ง ไหลออกจากร่างไกรวิทย์

ไกรวิทย์ สูดลมหายใจลึกยาวขณะถอนแก่นเนื้อออกจากร่างเด็กสาวทั้งสองพร้อมกัน หมอกดำปรากฏขึ้นอีกครั้งขณะที่ร่างทั้งสองเข้ารวมตัวเป็นหนึ่งเดียว สายตาชายหนุ่มจับจ้องที่ร่างเปลือยเปล่าของสองฝาแฝดที่กำลังนอนเหยียดยาวบน โซฟา ดวงหน้าที่เคยบิดเบี้ยวด้วยความเสียวจากการร่วมรักกลับเข้าสู่ความสงบจากการ โคจรปราณในร่าง ภาพเด็กสาวทั้งสองเบื้องหน้าทำให้ไกรวิทย์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อคิดถึงการ คัดเลือกสตรีจากโรหิณีมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้เด็กหญิงทั้งสี่ ซึ่งไกรวิทย์คัดเลือกเด็กสาวทั้งสองในทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ท่ามกลางความแปลกใจของเหล่าศิษย์สตรีแห่งโรหิณี แต่มีเพียงไกรวิทย์และเหล่าเทวนารีข้างกายทั้งแปดเท่านั้นที่ทราบว่าไกร วิทย์เลือกเด็กหญิงทั้งสองจากความทรงจำแห่งมหาเทพวิรุณปักขะ ที่เมื่อหลังร่วมรักก็รับรู้ในจิตได้ในทันทีว่าเด็กสาวทั้งสองต่างมี อดีตชาติที่เคยทำหน้าที่รับใช้มหาอาณาจักรปราณมาก่อน และนั่นคือเหตุผลที่หลังทั้งสองมอบพรหมจรรย์ให้ไกรวิทย์เพื่อกำเนิดปราณใน ร่าง ทั้งสองต่างไม่ยอมรับชายหนุ่มอื่นใดให้มาร่วมรักอีก ต่างจากสตรีโรหิณีทั่วไปที่หลังจากมอบพรหมจรรย์กำเนิดปราณในร่างแล้วต่างมี อิสระที่จะเลือกชายของตนเองมาเคียงข้าง..

อย่างไรก็ตามการที่รีน่า และเจสสิก้าได้รับการคัดเลือกเข้ามาอยู่ร่วมกับไกร วิทย์ กลับเป็นโอกาสดีที่เด็กสาวทั้งสองได้รับการถ่ายทอดปรับปราณในร่างจากการร่วม รักอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเด็กหญิงทั้งสองต่างมีปราณเหนือกว่าสตรีโรหิณีทุกนางจนแทบทัด เทียมกับสององครักษ์แห่งตระกูลคชสีห์ และหากปรากฏตัวออกสู่โลกแห่งปราณเบื้องนอกก็ยากที่จะมีผู้ทรงปราณใดในโลกที่ จะมีชัยเหนือทั้งสองได้

ดวงตาบุรุษผู้ครอบครองจิตวิญญาณแห่งมหาเทพ โบราณทอประกายนุ่มนวลเมื่อพบว่า ร่างเปลือยเปล่าของเด็กสาวทั้งสองที่กำลังโคจรปราณในร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย เป็นสัญญาณของปราณที่กำลังรวมตัวกลับเข้าสู่จุดศูนย์กลางร่าง แต่ก่อนที่รีน่าและเจสสิก้าจะสิ้นสุดการโคจรปราณ ร่างของรินลดาที่ออกไปจากห้องเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาก็เคลื่อนวาบกลับ เข้ามาในห้อง พร้อมส่งจิตที่ร้อนรนออกมา

‘พี่เอ….ไปกับรินเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเด็กๆ ก็ไม่รู้

—————————————

‘ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง’

จิต ไกรวิทย์ส่งเสียงออกมาด้วยสำเนียงที่แฝงความประหลาดใจและความยินดีเอาไว้ อย่างชัดเจน ท่ามกลางสายตาของ ทำให้สายตาที่ทอประกายรุ่มร้อนกังวลของรินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดา คลายตัวลงโดยมีความสงสัยมาแทนที่

ภาพ เบื้องหน้าในห้องโถงใหญ่ของบ้านคชสีห์ ปรากฏแสงเรืองรองสีทองส่องสว่างออกมาจากสมุดโบราณ 4 เล่มที่กำลังล่องลอยเป็นวงกลมวนเวียนอยู่กลางห้องในตำแหน่งเหนือศีรษะของ เด็กหญิงทั้งสี่ที่ยืนหัหน้าเข้าหากันจนเป็นกลมกลางห้อง ดวงตาทั้งสี่คู่เบิกโพลงจับจ้องสมุดที่กลางอากาศโดยไม่กระพริบ ใจกลางวงปรากฏเศษไม้และกระจกที่เคยเป็นตู้เก็บรักษาสมุดโบราณที่ไกรวิทย์เคย ได้รับมาจากกองคำในอดีตเอาไว้ แต่บัดนี้ตู้นั้นกลับสลายตัวลงจนแทบเป็นฝุ่นผงกองอยู่ที่กึ่งกลางวงของเด็ก หญิงทั้งสี่ ห่างออกไปเป็นร่างของชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามราวสตรีเพศ คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเด็กสาวสองคนที่มีดวงหน้าเหมือนกันจนไม่สามารถแยกความ แตกต่าง ดวงตาทั้งสามคู่ของชายหนามและเด็กสาวทั้งสองเบิกโพลงจับข้อภาพประหลาดนั้น อย่างตกตะลึงพรึงเพริด

‘พี่เอ…หมายความว่าอะไร..พี่เอรู้อยู่แล้วหรือว่าเหตุการณ์นี้คืออะไร..’

จิต ที่คลายความร้อนรนของรินลดาส่งเสียงออกมาเบาๆ แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะอธิบายออกมา เสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นของสตรีกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นหน้าประตูทางเข้า

‘คัมภีร์ กาลธาตุ…ที่แท้หนังสือทั้งสี่ที่เคยวางอยู่ในตู้โชว์คือคัมภีร์ กำเนิดธาตุแห่งมหาอาณาจักรปราณ….โอ…นี่เป็นครั้งแรกที่จานีสได้เห็นด้วย ตาตนเอง….’

จิตของจานีสส่งออกมาอย่างตื่นเต้น ขณะที่ร่างหญิงสาวก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเซี่ยวเล้ง ปณิตา และเรอินะ…แต่เมื่อจิตจานีสระบุชื่อคัมภีร์กาลธาตุออกไป จิตของสตรีทุกนาง ที่ล้วนสถิตย์ด้วยจิตแห่งเทวนารีจักราศรี ต่างอุทานคำ ‘คัมภีร์กาลธาตุ’ ออกมาพร้อมกันในทันที เมื่อความทรงจำนั้นระลึกได้ถึงความเป็นมาของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งมหา อาณาจักรปราณ ไกรวิทย์อมยิ้มน้อยๆ ก่อนส่งจิตออกมายังสตรีงามทั้งแปดที่เรียงล้อมอยู่ข้างกาย

‘ถูก แล้ว..ทุกคนไม่ต้องตกใจไปนี่คือปรากฏการณ์ที่คัมภีร์กาลธาตุกำลังเลือก เจ้าของ ตรงตารมจารึกโบราณเคยบ่งบอกไว้ทุกประการ ทุกคนคงจำถึงตำนานในมหาอาณาจักรปราณที่เล่าถึงคัมภีร์ทั้งสี่ที่เชื่อว่า เก็บเคยเก็บรักษาไว้ในมหาวิหารตะวันออกแห่งมหาอาณาจักรปราณ แต่ไม่มีใครเคยพบเห็นแม้แต่เงาของมัน ตลอดห้วงแห่งกาลที่ผ่านมานับหมื่นปีนี้ พี่เองก็เพิ่งได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่าที่แท้คัมภีร์นี้ซ่อนตัวเองอยู่ใน สภาพของสมุดเก่าคร่ำคร่าที่ปราศจากผูู้ใดอ่านออก และไม่มีใครให้ความสนใจแม้แต่น้อย…จนเมื่อมหาอาณาจักปราณล่มสลาย หนังสือที่ถูกเก็บรักษาไว้ในมหาวิหารตะวันออกก็ถูกขนย้ายออกมาเก็บรักษาไว้ โดยมหาปุโรหิตปัณฑร ผู้ซึ่งเมื่อบรรลุถึงซึ่งปราณสุญญตาในชาติภพนี้ในชื่อของกองคำ..ท่านก็ได้ ถ่ายทอดต่อมาให้พี่ เพื่อให้ธิดากัลป์สูญทั้งสี่ได้ศึกษาด้วยตนเอง…’

‘กองคำ’

จิต เหล่าเทวนารีทั้ง 8 ส่งออกมาพร้อมกันเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่ไกรวิทย์เคยเล่าให้ฟังว่าเป็น ผู้ที่บรรลุซึ่งปราณสุญญตา แต่บุคคลนี้กลับอยู่แต่ในความทรงจำของไกรวิทย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

‘พี่ เอ…รินสงสัยว่าเหตุใดท่านกองคำจึงมอบคัมภีร์นี้ให้พี่เอ..แต่กลับไม่ บอกถึงชื่อที่แม้จริงของมัน ปล่อยให้พวกเราคิดว่าเป็นหนังสือไร้ประโยชน์ใดๆ สี่เล่ม หากพวกเรารู้ก่อนหน้านี้บางทีพวกเราอาจแสวงหาหนทางที่จะอ่านบันทึกทั้งสี่ นี้ได้มาก่อนหน้านี้แล้ว…’

จิตรินลดาส่งออกมาด้วยความประหลาดใจระคนความสงสัย แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะอธิบายจิตของจานีสก็ดังขึ้น
‘พี่ รินอย่าสงสัยไปเลย…จานีสรับรองว่าถึงพวกเราจะรู้ว่าหนังสือที้งสี่ เล่มนี้คือคัมภีร์กาลธาตุ แต่ก็ไม่มีทางใดที่จะอ่านมันได้ เพราะคัมภีร์นี้บรรจุไว้ด้วยพลังแห่งการก่อกำเนิด มีเพียงเหล่าธิดากัลป์สูญที่ถูกกำหนดเท่านั้นที่จะทำความเข้าใจมันได้…แม้ กระทั่งพี่เอที่เป็นมหาเทพวิรุณปักขะเองก็ไม่มีทางที่จะอ่านมันได้…’

ไกรวิทย์ยิ้มให้จานีสผู้กลับเข้าสู่ฐานะของเทวนารีแห่งราศรีตุลย์อย่างสมบูรณ์ ขณะส่งจิตอธิบายออกมาให้เทวนารีทุกนางร่วมรับรู้
‘เป็น จริงดังที่จานีสกล่าว พี่เชื่อว่าพวกเราทุกคนจะไม่มีใครสามารถแตะต้องคัมภีร์ที่กลางอากาศนี้ได้ แม้จะเป็นผู้ทรงปราณระดับใดก็ตาม มีเพียงเจ้าตัวร้ายทั้งสี่ของเราเท่านั้นที่จะรองรับคัมภีร์แต่ละเล่มด้วยตน เอง..’

‘แต่กิฟท์ก็เห็นด้วยกับพี่รินนะ…ว่าทำไมผู้ที่พี่เอเรียกว่ากองคำนั้นจึงไม่บอกให้พี่เอรูู้ก่อนหน้านี้’

‘น้อง กิฟ์อย่าตัดสินใจด้วยอารมณ์ร้อน…จำไม่ได้หรือว่าผู้บรรลุซึ่งปราณ สุญญตานั้นจะแยกตนออกมาอยู่เหนือโลก อยู่เหนือกาลอากาศ ปราศจากอคติต่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด… ในห้วงที่ผ่านมาแม้กองคำจะช่วยเหลือพี่ในการย้อนเวลาจนพี่สามารถกลับมาช่วย น้องรินและน้องกิฟท์ได้ แต่การช่วยนั้นหาใช่การช่วยให้พี่ต่อสู้จักรราศรีไม่ มันเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดในอดีตของกองคำที่อาศัยปราณคชสีห์ของพี่บรรลุตา ที่สามจนสำเร็จปราณสุญญตา จนชีวิตพี่ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กองคำจึงจำเป็นต้องแก้ไขด้วยจิตที่ปราศจากความรักความชังใดๆ…’

‘แต่ ตอนที่พี่เอต่อสู้กับตุลยาเทวีหน้าถ้ำปฏิสาร พี่เอก็เคยเล่าให้เรอินะฟังว่ากองคำเป็นผู้ช่วยให้พี่พ้นจากมิติแห่งจิตรา สูญ ไม่ใช่หรือพี่เอ…’

จิตของเรอินะ เทวนารีแห่งราศรีธนูแย้งขึ้นเบาๆ ทำให้ไกรวิทย์อดหันไปหาสตรีสาวที่คมคายปราดเปรียวจนดูราวกับเด็กชายที่ข้างกายไม่ได้

‘เร อินะสงสัยได้ถูกต้อง แต่การหลุดพ้นจากจิตราสูญของพี่นั้น กองคำหาได้ช่วยเหลือพี่ไม่ ท่านเพียงแต่กล่าวถึงวิธีที่จะหลุดพ้นเท่านั้น ผู้ที่ช่วยพี่คือแก้วคำ น้องสาวของกองคำ ซึ่งปัจจุบันได้ผนึกจิตวิญญานร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพี่จนไม่สามรถแยกออกมา ได้อีก…..’

คำอธิบายของไกรวิทย์ทำให้ความเงียบเข้าปกคลุมเหล่าเท วนารีทั้งแปดอยู่ชั่ว ขณะ เมื่อไกรวิทย์เอ่ยชื่อของแก้วคำ ผู้แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะเทวนารี แต่ความจำของเหล่าเทวนารีทุกนางต่างรับรู้ดีว่าแก้วคำคือดรารยัณผู้เป็น หนึ่งในสตรีที่เทพวิรุณปักขะผูกพัน ไม่ต่างกับเหล่าเทวนารีทั้งสิบสอง และไกรวิทย์ก็เคยเล่าให้ทุกคนได้ร่วมรับรู้ถึงการที่แก้วคำสละพลังชีวิต วิญญาณของตนเองเพื่อช่วยให้ไกรวิทย์พ้นจากจิตราสูญ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำดังกล่วคือการดับสูญจิตไปอยู่ร่วมกับไกรวิทย์ตลอดกาล โดยปราศจากอัตลักษณ์แห่งตนอีกต่อไป…ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรักที่แก้วคำมี ต่อไกรวิทย์นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละให้แก่ผู้ที่รัก ปราศจากความคิดถึงตนเองแม้แต่น้อย

“อะ…อะไรนั่น…”

เสียง อุทานด้วยความตกจากหนึ่งในสองเด็กสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่มุมหนึ่งของ ห้องดังขึ้น ปลุกทุกคนจากห้วงความคิดและพบว่าภาพของคัมภีร์ทั้ง 4 เล่มที่เปล่งประกายแสงอยู่กลางห้องนั้นกลับเปลี่ยนไป แสงสีทองที่เจิดจ้าลดระดับความสว่างลงและแต่ละเล่มเริ่มเปลี่ยนสีพร้อมกับลด ระดับความเร็วในการหมุนวนเวียนจนในที่สุดก็หยุดนิ่งอยู่เหนือศีรษะของเด็ก หญิงทั้งสี่คน คัมภีร์ที่เหนือศีรษะของน้องแอร์บุตรีรินลดากลับกลายเป็นโปร่งใสราวแก้วผลึก คัมภีร์เหนือศีรษะน้องอีฟบุตรีอัจฉริยาปรากฏเป็นสีแดงสดใสราวทับทิมน้ำงาม คัมภีร์เหนือศีรษะน้องอิมบุตรีของทิพย์วารีกลายเป็นสีฟ้าใสราวห้วงสมุทร ส่วนคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่อยู่เหนือศีรษะน้องอิงค์บุตรีพิมพ์มาดาส่งประกาย วูบก่อนเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทดังนิล และราวกับนัดกันไว้ มือน้อยๆ ของเด็กหญิงทั้งสี่ต่างชูขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับที่คัมภีร์แต่ละเล่มเลื่อนลงาอยู่ในอุ้งมือน้อยๆ ของแต่ละคนอย่างนุ่มนวล ท่ามกลางสายตาเฝ้ามองของไกรวิทย์และเหล่าเทวนารี

‘ปฐวีธาตุ’
‘อาโปธาตุ’
‘วาโยธาตุ’
‘เตโชธาตุ’

เสียง เด็กหญิงทั้งสี่ดังขึ้นพร้อมกันขณะที่สายตาจับจ้องหน้าของคัมภีร์ในมือ ราวกับกำลังอ่านตัวอักษรที่จารึกอยู่ แต่ด้วยสายตาของเหล่าเทวนารีที่เฝ้ามอง หรือแม้กระทั่งไกรวิทย์เองกลับไม่สามารถเห้นตัวอักษรใดๆ ปรากฏขึ้นแม้แต่น้อย และเมื่อเด็กหญิงทั้งสี่ออกเสียงเสร็จสิ้น ก็ดูราวกับสติสัมปัญชญะจะกลับมาสู่ร่างน้อยๆ นั้นอีกครั้ง ดวงตาสี่คู่ที่เคยสงบนิ่งจับจ้องการเคลื่อนที่ของคัมภีร์ก็กลับมาสู่แววตาสด ใสของเด็กหญิงอีกครั้ง และในทันทีที่เห็นเหล่ามารดาและน้าสาวทุกคนอย่ร่วมกันในห้อง ดวงหน้าน่ารักทั้งสี่ก็ตะโกนออกมาพร้อมกันขณะวิ่งเข้าหามารดาของแต่ละคน

“คุณแม่ริน ดูสิ หนังสืออะไรไม่รู้มาอยู่ในมือแอร์ สวยจังเลย”
“คุณแม่กิฟท์ หนังสือของอีฟพูดกับกับอีฟด้วยแหละ”
“คุณแม่ทิพย์…ดูสิหนังสืออิมที่ตัวหนังสือหน้าปกด้วย….ของคนอื่นไม่มี…”
“คุณแม่พิม…หนังสือของอิงค์สีเหมือนเกราะคุณพ่อเลย”

ท่าม กลางเสียงจอแจของเด็กหญิง จานีสหันมามองไกรวิทย์ด้วยสายตาเชิงปรึกษา และยิ้มออกมาเมื่อไกรวิทย์พยักหน้า ก่อนส่งจิตออกมาอย่างนุ่มนวล

‘คัมภีร์ กาลธาตุทั้งสี่เลือกเจ้าของของมันแล้ว จานีสไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาหรอก พี่รู้ดีว่าพวกเราทุกคนไม่สามารถอ่านหนังสือเหล่านี้ได้ แต่มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะควบคุมให้เด็กทั้งสี่นี้ปฏิบัติตามที่ คัมภีร์กำหนดให้แต่ละคน ต้องเป็นผู้ที่สามารถเข้าใจในหลักการแห่งกาลธาตุ ซึ่งในเหล่าเทวนารีทั้งหมดนั้นมีเพียงจานีสผู้เดียวที่สามารถอธิบายข้อสงสัย ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ พี่ขอให้น้องริน น้องกิฟท์ น้องทิพย์ และน้องพิม ในฐานะมารดา จงมอบหน้าที่ในการอบรมเด็กทั้งสี่คนนี้ต่อจานีสเถอะ…’

ริน ลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดา ขานรับคำของไกรวิทย์เป็นเสียงเดียว และพากันที่จะดึงร่างเด็กหญิงทั้งสี่มาหาจานีส พร้อมสั่งให้เชื่อฟังคำสั่งสอนของจานีสเทียบเท่ากับเหล่ามารดาทุกคน…ก่อน ที่จานีสจะนำเด็กหญิงผู้ซุกชนทั้งสี่เดินออกไปจากห้อง

ขณะที่ไกรวิทย์มองภาพเบื้องหน้าด้วยความปิติ จิตของปณิตาก็ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับมือที่เอื้อมมาสะกดท่อนแขน

‘พี่เอ….ลืมอะไรไปหรือเปล่า’

ไกร วิทย์หันมามองปณิตาและพบว่าดวงตาสุกใสของเด็กสาวผู้ผสานวิญญานของปาริ ชาติเพื่อนร่วมคณะและอนิตรา เด็กหญิงผู้เปรียบเสมือนน้องสาวไว้ในร่างเดียวกำลังจับจ้องไปยังร่างของชาย หนุ่มและเด็กสาวฝาแฝดสองคนที่ยังคงคุกเข่าก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของ ห้อง โดยไม่กล้าส่งเสียงให้ไกรวิทย์รับรู้ถึงการดำรงอยู่ออกมาแม้แต่คำเดียว ไกรวิทย์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างทั้งสามก่อนเดินไปยังตำแหน่งเบื้องหน้า ชายหนุ่มผู้ที่เมื่อเช้านี้เป็นผู้ควบคุมการฝึกซ้อมปราณของเหล่าสตรีตระกูล โรหิณี และในทันทีที่ก้าวมาถึงระยะห่างหนึ่งช่วงร่าง ชายหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองก็ส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน

“ชัยณรงค์ องครักษ์เบื้องซ้ายแห่งตระกูลคชสีห์ คารวะนายน้อย”
“บริวารแพรดาวคำนับนายน้อย”
“บริวารพรางเดือนคำนับนายน้อย”

เสียง ชายหนุ่มที่ทุ้มหนักแน่นบ่งถึงจิตใจที่มั่นคง และเสียงเล็กๆของเด็กหญิงผู้เพิ่งแตกเนื้อสาวที่ดังขึ้น ทำให้ไกรวิทย์อดยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อความจำย้อนไปถึงเสียงของ “ไอ้ชัย” มือขวาของ “เฮียวิทย์” นักเลงหัวไม้ย่านคลองน้อย และเสียงของเด็กสาวทั้งสองที่เหมือนกันจนแยกไม่ออกนี้ก็ไม่ใช่อื่นใดนอกจาก เสียงของ “นังต้อม” น้องสาวที่รอดชีวิตมาอยู่ร่วมกับเจ้าชัย และทำงานดูแลรับใช้ไกรวิทย์ในสภาพของเฮียวิทย์มาตลอด และไกรวิทย์ก็รู้ดีว่าตลอดเวลาที่นังต้อมใช้ชีวิตอยู่ที่คลองน้อยตั้งแต่วัย เด็กหญิงจนแตกเนื้อสาวนั้น หัวใจของเด็กสาวมอบให้กับไกรวิทย์แต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่ในห้วงเวลานั้นไกรวิทย์ยังคงจมอยู่กับความทุกข์ทรมาณในอดีตจนไม่เคย ยอมเปิดใจรับสตรีใดเข้ามาในชีวิต

ชายหนุ่มผู้ครองจิตแห่งมหาเทพวิรุ ณปักขะหัวเราะออกมาเบาๆ กับตัวเอง ในใจหวนคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อห้าปีที่ผ่านมา ที่ไกรวิทย์ลอบเดินทางไปกรุงเทพด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่กำลังจะเกิดกับเจ้าชัยลูกน้องคนสนิทในอีกห้วงเวลา หนึ่ง ความทรงจำของไกรวิทย์รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เจ้าชัยในวัย 12 อาศัยอยู่กับน้องสาวฝาแฝดทั้งสองที่บ้านพ่อเลี้ยงย่านคลองเตย โดยในวันครบรอบวันเกิด 10 ปีของน้องสาวทั้งสองนั้นเอง มารดาแท้ๆ ของเด็กทั้งสามก็บังคับให้ตาลผู้เป็นแฝดพี่และต้อมแฝดน้องเข้าไปให้พ่อ เลี้ยงระบายความใคร่ ซึ่งเจ้าชัยพยายามขัดขวางอย่างเต็มที่แต่กลับถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายจนสลบไป และฟื้นขึ้นมาเมื่อพ่อเลี้ยงข่มขืนตาลไปแล้วอย่างทารุณและกำลังจะข่มขืนต้อ มเป็นคนต่อไป ทำให้เจ้าชัยต้องกระเสือกกระสนไปเอาปืนของพ่อเลี้ยงที่ซ่อนไว้มาขู่ป้องกัน น้องสาวและเกิดการต่อสู้แย่งชิงปืนระหว่างเจ้าชัยกับพี่เลี้ยง จนปืนลั่นขึ้นปลิดชีพตาลและพ่อเลี้ยงโดยไม่ตั้งใจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าชัยต้องพาต้อมหลบหนีการจับกุมจากตำรวจ จนได้มาพบกับไกรวิทย์ และด้วยภูมิหลังที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกับไกรวิทย์ ทำให้เจ้าชัยกลายมาเป็นลูกน้องคนสนิทในเวลาต่อมา

แต่ด้วยการปรากฏกาย ของไกรวิทย์เข้าช่วยตาลจากการถูกข่มขืนและสั่งสอนพ่อ เลี้ยงบ้ากามด้วยการปิดกั้นจักรอัคคีอย่างถาวรจนกลับกลายเป็นผู้ไร้สมรรถภาพ ทางเพศ พร้อมกับนำเด็กทั้งสามออกจากกรุงเทพมาอยู่ที่เชียงใหม่ และมอบหมายให้พ่อครูคำแปงถ่ายทอดปราณเอกะมารชั้นสูงให้เจ้าชัย พร้อมกับให้ตระกูลโรหิณีดูแลเด็กหญิงฝาแฝดทั้งสอง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเด็กทั้งสามก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลคชสีห์ โดยเฉพาะเจ้าชัยที่แม้จะไม่สามารถรับรู้ถึงสาเหตุที่ไกรวิทย์ไปช่วยตนเองและ น้องสาวได้ แต่เด็กชายก็ทุ่มเทใจรับใช้ไกรวิทย์และตระกูลคชสีห์ด้วยความซื่อสัตย์ จนกลายมาเป็นผู้นำกลุ่มเด็กหนุ่มในตระกูลคชสีห์และเมื่อเวลาผ่านไป ชัยก็ได้รับเลือกจากไกรสรผู้เป็นประมุขแห่งตระกูลคชสีห์ให้เป็นองครักษ์คู่ กับปาเกอยะ และทำหน้าที่อบรมศิษย์คชสีห์และโรหิณี ดังเช่นที่ไกรวิทย์ได้พบเห็นในยามเช้าวันนี้ ส่วนเด็กหญิงฝาแฝดทั้งสองก็ได้รับการดูแลฝึกปรือพื้นฐานปราณเบื้องต้นเพื่อ เตรียมรองรับปราณคชสีห์ในทันทีที่ประจำเดือนแรกที่ทีสิ้นสุดลง

“ตาล ต้อม ไม่ต้องคำนับเราเยี่ยงนั้น เงยหน้าขึ้นเถอะ”
“บริวารไม่กล้า”
“เจ้าทั้งสองจะขัดแย้งคำสั่งของเราหรืออย่างไร ชัย นี่เจ้าอบรมน้องสาวทั้งสองอย่างไรกัน”

ไกร วิทย์แกล้งส่งเสียงดุกับชายหนุ่มที่ยังคงคุกเข่าเบื้องหน้า ส่งผลให้ทั้งสามร่างสะท้านเฮือกขึ้นพร้อมกัน และพากันเงยหน้าขึ้นสบตา “นายน้อย” ผู้ซึ่งแม้จะมีฐานะในตระกูลคชสีห์รองจากไกรสร แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าบุรุษเบื้องหน้านี้คือผู้ทรงปราณแห่งเทพเจ้า และเป็นผู้นำในการต่อสู้กับจักราศรี ใบหน้าทั้งสามเงยขึ้นมาพร้อมกัน ใบหน้าของชัยนั้นเป็นความคุ้นเคยของไกรวิทย์อยู่แล้ว แต่สำหรับต้อมและตาล ซึ่งเก็บตัวอยู่ในกลุ่มบริวารแห่งโรหิณีมาโดยตลอด โดยที่ไกรวิทย์ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก ทำให้เมื่อใบหน้าของเด็กสาวทั้งสองปรากฏต่อสายตา ไกรวิทย์ก็อดแปลกใจไปกับภาพที่เห็นไม่ได้

ดวงหน้าเด็กหญิงวัย 14 ปีทั้งสองเหมือนกันจนไม่สามารถแยกได้ ดวงตาเรียวยาวด้วยเชื้อสายชาวจีนทั้งสองคู่แวววาวด้วยความเยาว์วัย ริมฝีปากน้อยๆ รูปประจับของทั้งคู่เม้มสนิทแน่นราวกับกำลังข่มกลั้นความประหม่า ใบหน้ารูปไข่ที่ประดับด้วยพวงแก้มเนียนละเอียดเปล่งปลั่งบางใสจนส่งประกาย เป็นสีชมพูกอปรเป็นแต่ใบหน้าที่แสนงดงามของเด็กหญิงแรกรุ่นที่กำลังก้าวเข้า สู่การพัฒนาเป็นความงามแห่งสตรีเพศในอนาคตอันใกล้ แต่ดวงหน้าทั้งสองนั้นก็คือใบหน้าของ “นังต้อม” ที่ไกรวิทย์คุ้นเคยมานานอย่างไม่ผิดพลาด

เรือนกายบอบบางของเด็กหญิง แรกรุ่นทั้งสองถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเครื่องแต่งกาย แห่งสตรีพรหมจรรย์ตระกูลโรหิณีซึ่งเป็นชุดผ้าฝ้ายบางเบาหลวมกว้างเพียงชิ้น เดียวโดยปราศจากอาภรณ์อื่นใดอยู่ภายใน อันเป็นชุดที่ไกรวิทย์คุ้นเคยและรับรู้ว่านี่คือเครื่องต่างกายยามที่เหล่า เด็กสาวย่างเข้าสู่วัยมีประจำเดือนจะต้องใช้เมื่อเข้าสู่เวลาของการมอบ พรหมจรรย์เพื่อรับถ่ายทอดปราณ พวงแก้มสีชมพูของแพดาวและพรางเดือนค่อยเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเมื่อรับรู้ว่า ดวงตาของไกรวิทย์เลื่อนออกจากการจับจ้องใบหน้ามายังร่างกายบริสุทธิ์ที่ผ้า ฝ้ายบางเบานั้นไม่สามารถปกป้องสายตาของผู้ทรงปราณระดับเทียมเทพเจ้าเช่นไกร วิทย์ได้ ทรวงอกเต่งเต้าทั้งสองคู่ชูช่อ งดงามราวดอกบัวยามพ้นน้ำ เม็ดมณีประดับยอดเป็นสีชมพูเข้มตามการสูบฉีดโลหิตที่แรงขึ้นจากหัวใจที่เต้น ระทึก มือน้อยๆ ทั้งสี่ที่ประสานกันอยู่ที่หน้าตักขยับเจ้าหากันอย่างลืมตัวราวกับต้องการจะ บดบังเนินรักที่ปกคลุมด้วยด้วยใยไหมละเอียดบางเบาซึ่งถูกลำขาอ่อนเรียวยาว ขาวผ่องบดเบียดจนอัดขึ้นนูนเด่นเป็นรูปร่างของสองแคมเต่งตึงประกบรอยผ่าที่ ปิดแนบแน่นไว้อย่างมิดชิด

“เเย็ดจนหนำใจฺห้าสิบเอ็ดครั้งรี ยนนายน้อย บัดนี้แพดาวกับพรางเดือนน้องสาวของบริวารได้ย่างเข้าสู่วัยที่พร้อมรับการ ถ่ายทอดปราณ นายหญิงอรอุมาได้มีบัญชาให้บริวารนำพวกนางมาเข้าพบนายน้อยในที่นี้ …นายน้อยจะมีบัญชาใดกับบริวารและน้องทั้งสองหรือไม่..”

ชัยณรงค์ ส่งเสียงหนักแน่นรายงานตนและแนะนำน้องสาวทั้งสองต่อไกรวิทย์ตาม พิธีการเข้าพบนายเหนือของตระกูลคชสีห์อย่างถูกต้องตามแบบแผน แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะตอบรับการรายงาน จิตของรินลดาก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ของเหล่าเทวนารีทุกนาง

‘พี่เอ…ต้องทำหน้าที่หนักอีกแล้ว….รินกับน้องๆ ทุกคนขอตัวไปดูจานีสสอนพวกเด็กๆ ทั้งสี่ก่อนนะ’

จิต รินลดาและเสียงหัวเราะของเหล่าสตรีงามค่อยๆ จางลงเมื่อทุกคนพริ้วร่างออกจากห้องราวหมอกควัน ทิ้งให้ไกรวิทย์ยืนอยู่กับชัยณรงค์และน้องสาวฝาแฝดทั้งสองที่ทั้งสามร่างยัง คงคุกเข่ารอรับคำสั่งจากไกรวิทย์โดยไม่ยอมขยับร่างกายแม้แต่น้อย

“ชัย เราบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่ามารยาทและพิธีการแห่งตระกูลคชสีห์นั้น ใช้เพียงต่อหน้าเหล่าบริวารอื่นๆ เท่านั้นไม่จำเป็นต้องนำมาใช้เมื่ออยู่ต่อหน้าเรา และไม่ต้องเรียกตาลว่าแพดาว เรียกต้อมว่าพรางเดือนหรอก เรารู้จักพวกเจ้าสามที่น้องในชื่อ ชัย ตาล และต้อม…หาใช่ชื่อเต็มของพวกเจ้าไม่”

“นายน้อยบริวารทราบดี แต่บุญคุณของนายน้อยที่มีต่อบริวารและน้องสาวทั้งสองนั้น มากมายจนบริวารไม่สามารถทดแทนด้วยวิธีอื่นใดได้ นอกจากเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อนายน้อยไปชั่วชีวิต เช่นเดียวกับแพรดาวและพรางเดือน ที่ตั้งตารอวันแห่งการถ่ายทอดปราณเพื่อจะทุ่มตัวรับใช้นายน้อยร่วมกับ บริวาร”

ชัยณรงค์สบตาไกรวิทย์อย่างแน่วแน่พร้อมส่งเสียงหนักแน่น บ่งบอกถึงความตั้งใจ ของตนเองที่จะวางตนไว้ในตำแหน่งบริวารโดยไม่ยอมรับการผ่อนปรนระเบียบใดๆ แม้จะเป็นการอนุญาตจากไกรวิทย์โดยตรงก็ตาม ความทรงจำของเทพวิรุณปักขะที่สถิตย์เป็นหนึ่งเดียวกับไกรวิทย์ปรากฏภาพของ ขุนพลชัยวรมันต์ และขุนพลปาราฆพยะ สององครักษ์ซ้ายขวาจากเผ่าพันธ์คนธรรพ์ และครุฑาที่คอยพิทักษ์อยู่ข้างกายในอดีตกาล ใบหน้าทั้งสองนั้นแม้จะไม่เหมือนผู้ใดในภพปัจจุบัน แต่ไกรวิทย์ก็รู้ดีว่าบุคคลทั้งสองผู้จงรักภักดีต่อนายเหนือด้วยชีวิตนั้น บัดนี้ได้เวียนว่ายผ่านภพมาอย่ในร่างของชัยณรงค์และปาเกอยะ ผู้เป็นองครักษ์แห่งตระกูลคชสีห์ในปัจจุบันแล้ว แววตาของชายหนุ่มเบื้องหน้าที่เป็นแววตาเดียวกับกับขุนพลชัยวรมันต์ในอดีต ทำให้ไกรวิทย์ต้องครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนตัดสินใจออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบกับชายหนุ่มเบื้องหน้า

“ชัย ณรงค์จงรับคำสั่ง…ปล่อยน้องสาวทั้งสองของเจ้าอยู่ที่นี่ แล้วภายในอีกหนึ่งชัวยาม เจ้าจงมาพบเราที่ห้องผนึกญาณที่ตึกใหญ่ พร้อมกับปาเกอยะ และจงแจ้งต่อรีน่าและเจสสิก้าให้มาพร้อมกับพวกเจ้าด้วย…จงไปได้แล้ว”

“บัญชานายน้อยจักต้องเป็นไปตามนั้น”

สิ้น เสียงขานรับของชัยณรงค์ ร่างสูงโปร่งนั้นก็พริ้ววาบออกจากห้องไปโดยปราศจากเสียงลมปะทะร่างกายแม้แต่ น้อย อันเป็นเครื่องบ่งชี้ให้ไกรวิทย์รับรู้ว่าปราณเอกะมารที่องครักษ์ขวาบำเพ็ญ ปราณภายใต้การชี้แนะของพ่อครูคำแปงและพ่อเลี้ยงไกรสรอย่างใกล้ชิดนั้น ได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของปราณแล้ว แต่การที่ชัยณรงค์จะก้าวข้ามพ้นขอบเขตนี้ขึ้นไปสู่ระดับกึ่งเทวะดังเช่นเท วนารีด้วยกายเนื้อของมนุษย์นั้น หากปราศจากปาฏิหารย์หนุนเสริม ปราณของชัยณรางค์ก็จะต้องชะงักอยู่ที่จุดสูงสุดนี้ตลอดไป ไกรวิทย์ถอนใจเบาๆ ก่อนหันมากล่าวกับสองเด็กสาววัย 14 ปี ที่ยังคงคุกเข่ารอรับคำสั่งอยู่เบื้องหน้า

“แพดาว พรางเดือน จงตามเราไปที่ห้องผนึกญาณเดี๋ยวนี้”

เด็ก สาวฝาแฝดทั้งคู่สบตากันวูบหนึ่งด้วยความงุนงง เนื่องจากได้รับรู้มาก่อนหน้านี้ว่า นับตั้งแต่ พ่อเลี้ยงไกรสรเก็บตัวเข้าสมาธิบริสุทธิ์เมื่อปีที่ผ่านมา ไกรวิทย์ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดปราณคชสีห์แก่เหล่าสตรีแรกสาวของตระกูลโรหิณี สืบแทน โดยจะใช้ห้องฝึกปราณส่วนตัวที่บ้านพักริมห้วยเป็นสถานที่ถ่ายทอดปราณ ดังนั้นเด็กสาวทั้งสองจึงเกิดความแปลกใจที่ไกรวิทย์สั่งให้ไปยังห้องผนึกญาณ ที่ตั้งอยู่ ณ ชั้นบนสุดของตำหนักคชสีห์ที่อยู่ไกลออกไปแทน เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวถือเป็นเขตหวงห้ามที่มีเพียงสมาชิกในครอบครัว คชสีห์เท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ แต่ความสงสัยของเด็กสาวทั้งสองต้องระงับเอาไว้อย่างรวดเร็ว และรีบผุดลุกขึ้นเดินตามร่างของไกรวิทย์เดินนำออกจากห้องโถงมุ่งหน้าอาคาร ทรงกลมอันเป็นศูนย์กลางของตำหนักคชสีห์ และเข้ามาในอาคารเข้าสู่ลิฟท์ที่นำทั้งหมดขึ้นไปสู่หอทรงกลมเหนือตำหนักอัน เป็นที่ตั้งของห้องผนึกญาณ ทันที่ที่ประตูลิฟท์เปิดออกดวงตาของแพดาวและพรางเดือนก็เบิกโพลงเมื่อภาพภาย ในของ ห้องผนึกญานอันเป็นสถานที่ส่วนตัวของสมาชิกตระกูลคชสีห์

ภาย ในห้องรูปทรงกลมที่มีความกว้างไม่เกิน 20 เมตร แทนที่จะประดับด้วยของมีค่าของตระกูลคชสีห์ดังที่เหล่าบริวารทั้งหมดเคยคาด เดา ภาพเบื้องหน้ากลับเป็นห้องที่ผนึกผนังและเพดานด้วยหินแกรนิตสีดำสนิท ปราศจากเครื่องเรือนใดๆ นอกจากอาสนะสีขาวรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เมตรวางอยู่บนพื้นหินในตำแหน่งกึ่งกลางห้อง แสงสว่างเรื่องเรืองส่องจากเพดานให้แสงนวลใยสบายตา และเมื่อเด็กสาวทั้งสองมองขึ้นไปยังเพดาน ดวงตาทั้งสองคู่ก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าแสงนั้นมาจากเพชร ประดับที่กระจัดกระจายอยู่บนเพดานในตำแหน่งดวงดาวจักรราศรี โดยที่ศูนย์กลางของเพดานนั้นสลักเป็นรูปภาพโบราณที่ผู้ทรงปราณทุกคนรู้จัก เป็นอย่างดี

“แมนดารา”

เสียงอุทานเบาๆ ของสองเด็กหญิงดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นภาพซึ่งจำลองมาจากภาพเขียนแมนดาลาแห่งธิเบต ซึ่งแสดงภาพภูมิแห่งจักรวาลและการเวียนว่ายของวัฏะชีวิตในภพภูมิต่างๆ

“ถูก ต้อง..นั่นคือแมนดาราอันเป็นศูนย์กลางแห่งห้องผนึกญาณแห่งนี้ พวกเจ้าคงแปลกใจสินะที่ไม่ได้พบว่าห้องนี้ประดับประดาด้วยวัตถุมีค่าดังที่ เหล่าบริวารแห่งตระกูลคชสีห์และโรหิณีร่ำลือกัน”

ไกรวิทย์ส่งเสียง อ่อนโยนกับเด็กสาวทั้งสอง ที่เริ่มรู้สึกตนว่ากำลังเสียกริยาที่เข้ามาในห้องผนึกปราณโดยปราศจากอาการ สำรวม ร่างบอบบางทั้งสองรีบคุกเข่าลงต่อหน้าไกรวิทย์ พร้อมกับส่งเสียงระล่ำระลักออกมา

“แพดาวเสียกริยา..นายน้อยโปรดอภัย”
“นายน้อยโปรดอภัยพรางเดือน ที่นี้แปลกประหลาดจนพรางเดือนไม่สามารถระงับความแปลกใจได้”

ไกร วิทย์หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นกริยาตระหนกของเด็กหญิงทั้งสอง ชายหนุ่มผู้ทรงจิตแห่งเทพเจ้าก้าวสืบเท้ามายังร่างเด็กหญิงฝาแฝดที่คุกเข่า อยู่ ปราณอ่อนโยนขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกดูดดึงร่างทั้งสองให้ลุกขึ้นจากท่าคุกเข่าให้ มาอยู่ในท่ายืนที่เบื้องหน้า ก่อนที่จะเอื้อมมือไปจับมือบอบบางทั้งคู่ไว้แล้วจูงให้เดินตามขึ้นมาบนอาสนะ สีขาวสะอาดกลางห้อง มายืนเคียงคู่กันต่อหน้า

. ”น้องตาล น้องต้อม พวกเจ้าทั้งสองหาต้องตระหนกอันใดไม่…ในที่นี้ไม่มีนายน้อยไกรวิทย์ ไม่มีบริวารแห่งตระกูลคชสีห์หรือโรหิณี มีเพียงพวกเราทั้งสาม ที่อย่ร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรักษากฏระเบียบอันเข้มงวดแห่งตระกูลแต่อย่างใด จงทำตัวตามสบาย เรียกหาเราเพียง พี่เอเถอะ…”

“แพดาวไม่กล้า…”
“ต้อมรับคำสั่งพี่เอ….”

สอง เด็กหญิงฝาแฝดส่งเสียงออกมาพร้อมกัน แต่กลับด้วยถ้อยคำแตกต่างกัน ขณะที่ตาลผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวก้มหน้ากับพื้นไม่ยอมรับคำที่ไกรวิทย์ขอ แต่ต้อมผู้เป็นน้องกลับขานรับด้วยน้ำเสียงมั่นคงและเอ่ยนาม “พี่เอ” ออกมาโดยไม่ลังเลใจ ความแตกต่างที่เกิดขึ้นทำให้ไกรวิทย์อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้เมื่อรู้ว่าสองเด็กหญิงฝาแฝดคู่นี้แม้จะมีรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียง เหมือนกันจนแยกไม่ออก ตาลผู้เป็นพี่กลับปราศจากความกล้าที่จะฝ่าฝืนกฏระเบียบใดๆ ในขณะที่ต้อมผู้เป็นน้องสาวกลับพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงมากกว่าอย่างเห็นได้ ชัด แต่บุคคลิกของเด็กสาวทั้งสองกลับไม่มีผู้ใดเหมือนกับ “นังต้อม” ที่ไกรวิทย์รู้จักในอีกห้วงกาลหนึ่ง ซึ่งหากเป็นไกรวิทย์เมื่อสองปีก่อนคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สำหรับปัจจุบันที่จิตแห่งความทรงจำของเทพวิรุณปักขะได้หลอมรวมเข้าโดย สมบูรณ์ ทำให้ไกรวิทย์เข้าใจเหตุผลนี้กระจ่างแจ้งว่าฝาแฝดมนุษย์ที่กำเนิดจากไข่ใบ เดียวกันแม้จะเกิดจิตแยกออกเป็นสองส่วน แต่จิตที่แท้จริงยังคงสภาพของจิตเดียวกันไปตลอดชีวิต จึงเกิดสภาพจิตสัมพันธ์ของคู่แฝดที่ต่างรับรู้สภาวะจิตของอีกฝ่ายหนึ่งราว กับจิตของตนเอง และในกรณีของสองฝาแฝดตาลต้อมในอดีต เมื่อตาลเสียชีวิตไปก่อนน้องสาว จิตที่แยกจากกันจึงกลับเข้าสถิตย์ในร่างคู่แฝดก่อเกิดบุคคลิกภาพใหม่ขึ้นมา เป็น “นังต้อม” ที่ไกรวิทย์เคยรู้จัก หรืออาจกล่าวได้ว่าสองเด็กหญิงที่นั่งงงงันอยู่เบื้องหน้านี้ต่างก็เป็นส่วน หนึ่งของ “นังต้อม” ที่ไกรวิทย์เคยรู้จัก

“ตาลกับต้อมรับรู้จากตระกูลโรหิณีแล้วใช่ไหมว่าการรับถ่ายทอดปราณจากพี่ต้องทำอย่างไร”

พวง แก้มขาวนวลเนียนของสองเด็กสาววัย 14 ปีทั้งคู่แดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำถามของไกรวิทย์ ก่อนพยักหน้ารับ มือน้อยๆ ที่สั่นระริกของตาลบีบมือไกรวิทย์แน่น ขณะที่ต้อมผู้เป็นน้องสาวส่งเสียงแผ่วเบาตอบกลับมา

“พวกเรา…ต้อง ต้อง..ให้พี่เอ…เย็ด และรับเอปราณคชสีห์เข้าสู่ร่าง….”
“แล้วตาลกับต้อมพร้อมหรือไม่”
“แพดาว..พะ พร้อม….นายน้อย..โปรดมีบัญชา”
“ต้อม…พร้อม..เช่นกัน …แต่ แต่ ต้อมไม่รู้ว่าจะ ปฏิบัติตัวอย่างไร….”

สอง เด็กหญิงตอบพร้อมกันด้วยเสียงแผ่วเบาจากความประหม่า ทำให้ไกรวิทย์อดยิ้มด้วยความเอ็นดในความไร้เดียงสาที่สะท้อนอยู่เบื้องหน้า ความทรงจำของชายหนุ่มหวนระลึกไปถึงภาพของ “นังต้อม” ในวัยสาวสะพรั่ง ที่ใช้ชีวิตใกล้ชิดตนเองที่คลองน้อย ครั้งนั้นกริยาของเด็กสาววัย 17 ปีแสดงออกอย่างแจ่มแจ้งว่าหาก “เฮียวิทย์” ต้องการ “นังต้อม” ก็พร้อมที่จะมอบตนเองให้ตลอดเวลา ซึ่งแม้ว่าไกรวิทย์ในห้วงเวลานั้นจะจมอยู่กับความทรงจำที่เลวร้ายในอดีต แต่ก็ต้องยอมรับว่าใบหน้าที่งดงามและเรือนกายเปล่งปลั่งสมบูรณ์ของหญิงสาว นั้นสามารถแทรกผ่านเข้าประทับไว้ในสัญชาติญานเพศชายของไกรวิทย์เอาไว้ และในคราวที่ไกรวิทย์ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งจิตราสูญของตุลยาเทวี ความต้องการนั้นก็ปะทุขึ้นสร้างภาพของ “นังต้อม” ขึ้นมาเพื่อร่วมรัก แต่ภาพของสองเด็กหญิงวัย 14 ปีเบื้องหน้านั้น แตกต่างกับภาพ “นังต้อม” ในความทรงจำและลบภาพเดิมในอดีตไปอย่างสิ้นเชิง ภาพของสองเด็กหญิงแรกรุ่นที่ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความประหม่า เรือนกายอ่อนเยาว์ที่มีเพียงผ้าฝ้ายบางเบาที่ไม่สามารถปิดกั้นสายตาของ ผู้ทรงปราณแห่งเทพเจ้าได้แม้แต่น้อย อวดความงามเปล่งปลั่งที่แฝงความน่าทะนุถนอมอยู่เบื้องหน้า กอปรเป็นภาพที่สามารถกระตุ้นอารมณ์รักพร้อมกับความปราถนาที่จะปกป้องขึ้นมา ในจิตใจขอไกรวิทย์พร้อมกัน องคาพยพส่วนร่างของชายหนุ่มแข็งตัวชูชันเมื่ออารมณ์รักปะทุขึ้นต่อเนื่อง ไกรวิทย์สูดลมหายใจยาว แผ่กระแสปราณอบอุ่นอ่อนโยนออกจากร่างเข้าครอบคลุมเด็กหญิงทั้งสองั้ส่งเสียง อุทานออกมาเบาๆ คำหนึ่ง เมื่อกระแสปราณสลายเนื้อผ้าฝ้ายบางเบาที่ปกคลุมร่างตาลและต้อมกายเป็นละออง หมอกกระจายไปทั่ว แต่ไม่กระทบร่างกายแม้แต่ขุมขน ทิ้งไว้เพียงร่างเปลือยเปล่าขาวสะอาดสองร่างที่ยืนเคียงข้างกันต่อหน้าไกร วิทย์

เรือนร่างบอบบางขาวสะอาดของแพดาวและพรางเดือน เปิดเผยความงามทั้งปวงต่อหน้าไกรวิทย์ แสงสว่างเรื่อเรืองจากเพดานสาดส่องผิวกายที่ขาวอมชมพูด้วยเชื้อสายชาวจีนของ เด็กหญิงทั้งสองจนดูราวกับจะส่งประกายออก ดวงตาคู่งามทั้งสองคู่ปิดแน่นด้วยความอายในการเปิดเผยเรือนร่างต่อบุรุษเพศ เป็นครั้งแรกในชีวิต ทรวงอกคู่น้อยที่ผลิบานได้ไม่นานนักชูช่อกระทัดรัดด้วยสัณฐานของผลส้มที่กลม กลึงเย้ายวนสัมผัส ป้านสีชมพู่อนประดับยอดทรวงอกแต่ไม่ปรากฏเม็ดมณีให้เห็นเด่นชัด ต่ำลงไปเป็นสะโพกกระทัดรัดที่ยังไม่ผายออกเต็มที่ ส่วนกึ่งกลางสะโพกนั้นประดับไว้ด้วยเนินรักปกคลุมด้วยไรขนอ่อนสีทองจางๆ แผ่ออกจากส่วนบนของร่องรักเป็นแนวสามเหลี่ยมงดงามที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเป็น เส้นไหมดำขลับในอนาคต แต่เนินรักนั้นแม้จะนูนเด่นขึ้นมาแต่ขนาดของมันนั้นกลับดูราวเป็นเนินรักที่ ยังไม่พัฒนาเต็มที่ สองแคมน้อยๆ ประกบปิดร่องรักน้อยๆ ไว้โดยปราศจากช่องว่าง เรียวขายาวเรียวตรงไร้ตำหนิร่องรอยใดๆ ไปจนสุดปลายเท้า ทั้งสองร่างที่ยืนเคียงข้างกันดูราวกับเป็นร่างที่สะท้อนกระจกเงา ที่ไม่มีความแตกต่างกันให้สังเกตุได้แม้แต่น้อย….

ละอองหมอกสีดำ กระจายออกมาจากร่างไกรวิทย์ แผ่ออกครอบคลุมร่างไกรวิทย์และขยายไปโอบล้อมสองฝาแฝดจนทำให้ทั้งคู่ร่างสั่น สะท้าน เมื่อสัมผัสได้ถึงละอองที่หนาทึบราวกับมีสภาพสัมผัสร่างกาย ดวงตาที่ปิดแน่นพลันเบิกกว้าง และเมื่อเด็กหญิงทั้งสองเห็นภาพตรงหน้าที่ เสียงอุทานด้วยความตระหนกก็ดังขึ้นพร้อมกัน

“อะ…อะไร….”

ร่าง ของไกรวิทย์ที่ยืนออยู่เบื้องหน้าแพดาวและพรางเดือน แยกจากกันเป็นสองร่าง แต่ละร่างจับมือเด็กหญิงทั้งสองเอาไว้ ร่างที่แยกออกของไกรวิทย์ที่จะยิ้มให้ใบหน้าตื่นตระหนกนั้นอย่างปราณี ก่อนที่จะแผ่กระแสปราออกจากร่างพร้อมกับร่างเปลือยเปล่าของเด็กหญิงทั้งคู่ ขึ้นสู่อากาศ

“นายน้อย…แพดาว…แพดาวกลัว…”
“พี่เอ….เกิดอะไรขึ้น…ต้อม…ต้อม”

เสียง ระล่ำระลักด้วยความตกใจของสองฝาแฝดดังขึ้น เมื่อรับรู้ว่าร่างของตนเองกำลังได้รับกระแสปราณขุมหนึ่งถ่ายผ่านเข้ามาใน ชีพจรซึ่งถูกไกรวิทย์เกาะกุมอยู่จนร่างลอยขึ้นสู่อากาศปราศจากการรับรู้ถึง แรงดึงดูดของโลกอีกต่อไป ร่างไกรวิทย์ทั้งสองพลันหมุนตัวหันหลังเข้ากัน ทำให้ร่างแพดาวละพรางเดือนถูกแยกออกจากันในทิศทางตรงข้าม ก่อนที่จะดึงร่างบอบบางของสองเด็กหญิงเข้าสู่อ้อมกอดที่โอบรัดไว้สนิมแน่น จนทรวงอกครัดเคร่งบดเบียดกับแผ่นออกไกรวิทย์จนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน

“แพ ดาว พรางเดือน น้องทั้งสองจงอย่าตื่นตระหนก กับการแยกร่างกายของพี่…ร่างทั้งสองนี้คือร่างเดียวกัน จิตวิญญาณเดียวกัน รับสัมผัสจากร่างกายงดงามของน้องทั้งสองพร้อมกัน….นี่คือวิชาเทพกำจายกาย ไม่มีบริวารแห่งคชสีห์หรือโรหิณีคนรับรู้นอกจากรีน่าและเจสสิก้า บัดนี้พี่จะขอรับน้องทั้งสองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคชสีห์ น้องทั้งสองพร้อมแล้วหรือไม่…”

“นายน้อย…ทะ ทำไมต้องเป็นแพดาวกับพรางเดือน …ทำไมจึงไม่เป็นศิษยสตรีแห่งโรหิณีคนอื่นที่ล้วนแต่งดงงามกว่าพวกเราทั้งสอง…”
“พี่ เอ…หมายความว่าอย่างไร..ต้อมกับตาลเป็นเพียงเด็กหญิงที่พี่เอช่วย เหลือมารับไว้ด้วยความเมตตา พวกเราทั้งสองไม่อาจรับเกียรติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคชสีห์ได้…”

แพ ดาวและพรางเดือนส่งเสียงสั่นสะท้านตอบมา ทำให้ที่ไกรวิทย์หัวเราะออกมาเบาๆ ขณะเลื่อนมือไปตามแผ่นหลังนวลละเอียดไล้ลงไปยังสะโพกครัดเคร่งของทั้งสอง เด็กหญิง จนผิวกายเยาว์วัยนั้นสั่นสะท้านไปตามสัมผัส

. “มนุษย์ทุกคนในโลกนี้หาใช่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาไม่ แต่ละชีวิตล้วนผ่านการเวียนว่ายในวัฏฏะชีวิตมานับพันนับหมื่นชาติภพ แต่น่าเสียดายนักที่เมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตในภพหนึ่งความทรงจำก็จะสูญสลายไป สิ้น มิฉะนั้นมนุษย์จะรู้ว่าทุกคนที่ตนเองได้พบ ได้รู้จัก ได้รัก ได้เกลียด ล้วนแต่เคยมีความสัมพันธ์กันมาในชาติภพก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น น้องตาลและน้องต้อมเองก็เช่นกัน แม้ว่าพี่จะยังไม่ได้เย็ดน้องทั้งสองเพื่อร่วมจิตเป็นหนึ่งดังเช่นที่พี่ เย็ดรีน่ากับเจสสิก้า แต่พี่ก็มั่นใจว่าน้องตาลและน้องต้อมคือผู้ใดในอดีตชาติ…”

“พี่เอ..พวกเราคือใคร….”
“น้องตาลและน้องต้อมจะรู้เอง…ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า…”
“หมายความว่า….อะห์”

เสียง แพดาวและพรางเดือนถามออกมาพร้อมๆ กันแต่ยังไม่ทันที่คำถามจะเสร็จสิ้น ริมฝีปากน้อยๆ ของสองฝาแฝดก็ถูกไกรวิทย์ทั้งสองปิดเอาไว้ด้วยริมฝีปาก ดวงตาเด็กหญิงทั้งสองเบิกโพลงแต่เมื่อรสสัมผัสจากริมฝีปากองอุ่นของไกรวิทย์ บดเบียดไปมา พร้อมกับมือที่ลูบไล้ร่างกายด้านหลังอย่างนุ่มนวล ทำให้ริมฝีปากบางทั้งสองค่อยๆเปิดออกพร้อมกับดวงตาที่หรี่ลงจนปิดสนิท ลิ้นเร่าร้อนของไกรวิทย์ค่อยแทรกผ่านไรฟันเข้าสู่ความหอมหวานในปากสองฝาแฝด ไล่หาลิ้นเรียวเล็กที่ซุดตนอยู่ภายใน แต่เมื่อลิ้นไกรวิทย์เข้าสัมผัส รสหวานของจูบแรกในชีวิตเด็กหญิงวัย 14 ปี ก็ส่งให้ลิ้นนั้นค่อยๆ แตะและเกี่ยวกระหวัดผู้รุกรานอย่างเต็มใจ สองแขนเรียวบางของสองเด็กหญิงค่อยๆ ยกขึ้นโอบรอบคอไกรวิทย์อย่างลืมตัว ขณะที่เรือนกายบิดส่ายจนนวลเนื้อหน้าอกเสียดสีกับแผ่นอกไกรวิทย์ จนรู้สึกได้ว่าส่วนยอดของทรวงอกที่เคยปราศจากเม็ดมณีนั้นเริ่มมีตุ่มไตชูชัน แทรกตัวผ่านหัวนมที่บอดนั้นขึ้นมาช้าๆ

“อืมห์”
“อาห์”

สอง พี่น้องฝาแฝดส่งเสียงครางในลำคอ เมื่อรับรู้ว่าร่างกายท่อนบนที่เคยแนบสนิมกับแผ่นอกไกรวิทย์ ถูกดันให้ห่างออก พร้อมกับสัมผัสของมือชายหนุ่มเข้าเกาะกุมความหยุ่นตึงของทรวงอกแรกสาวเอาไว้ ทั้งสองเต้า หัมนมคู่เล็กที่เคยซุกตัวอยู่ภายในป้านสีชมพูของทรวงอก เริ่มดีดตัวออกมารับการเคล้นเคล้าจนแข็งตัวเป็นตุ่มไต ยิ่งเพิ่มความไวต่อสัมผัส จนร่างน้อยทั้งสองบิดส่ายไปมา พร้อมกับความรู้สึกถึงร่างกายท่อนล่างที่กำลังกระทบกับวัตถุแข็งแกร่งยาว เหยียดที่แทรกตัวเข้ามาระหว่างขาอ่อนเรียวยาว

ไกรวิทย์เคล้นคลึงสอง เต้ากระทัดรัดอย่างนุ่มนวล ขณะค่อยๆ เปลี่ยนตำแหน่งของมือซึ่งเคยลูบไล้แผ่นหลังสองเด็กหญิงมายังลานหน้าท้อง เรียบเนียบเนียน ก่อนเคลื่อนต่ำลงไปยังเนินรักเบื้องล่าง นิ้วชายหยุ่มเกลี่ยไล้ลงไปตามตามร่องรักน้อยๆ จนสัมผัสความเปียกชุ่มที่เอ่อซึมออกมาจากหลืบรักส่งกลิ่นหอมของเด็กหญิง พรหมจรรย์กระจายออกมา และเมื่อไล้นิ้วกลับขึ้นมายังติ่งเนื้อน้อยเหนือร่องรักที่ผุดตัวรอรับการ สัมผัส และเมื่อถูกกระทบเพียงแผ่วเบา ร่างบอบบางทั้งสองก็สะท้านเฮือกขึ้นพร้อมกัน สะโพกครัดเคร่งบิดตัวราวกับพยายามหนีการสัมผัสจุดที่ไวต่อความรู้สึก แต่ยิ่งทำให้การสัมผัสนั้นหนักแน่นขึ้น เสียงครางในลำคอของสองพี่น้องฝาแฝดดังกระชั้น เรียวขางามค่อยๆ แยกออกจากกันอย่างลืมตัว จนแก่นกายที่กำลังแข็งตัวเต็มที่ของไกรวิทย์สามารถเคลื่อนเข้าไปจรดจ่อ ระหว่างสองแคมน้อยๆ ส่วนปลายแก่นกายค่อยๆ กระเด้าปากทางเข้าที่คับแคบนั้น จนหัวบานเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหล่อลื่นที่ทะลักทะลายออกมาจากหลืบรักภายในราว สายน้ำ

ไกรวิทย์ค่อยๆ ขยับเรียวขางามของแพดาวพรางเดือนให้ขึ้นมาโอบล้อมเอว พร้อมกับขยับร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศมาอยู่ในท่านั่งและโอบขารอบสะโพกเด็ก หญิงทั้งสองเอาไว้ โดยไม่หยุดการกระเด้าสองแคมรักแม้เพียงชั่วขณะ สองมือไกรวิทย์เลื่อนลงไปยังสะโพกน้อยๆ ทั้งสอง เกาะกุมไว้ ก่อนถอนจูบออกจากริมฝีปากอวบอิ่ม

“แพดาว พรางเดือน….พร้อมที่จะรับการถ่ายทอดปราณแล้วหรือไม่…”
“แพดาว….แพดาว….พร้อมรับบัญชา…น นายน้อย…..”
“ต้อม…ต้อม..อูย…พี่เอ…ต้อมเสียว….”

เสียง ครวญครางกระเส่าของสองพี่น้องฝาแฝดที่กำลังถูกปลุกเร้าอารมณ์รักดัง ประสานตอบไกรวิทย์ สะโพกน้อยๆบิดว่ายแอ่นตัวขึ้นรับการสัมผัสของแก่นเนื้อกับสองแคม…จนสองแคม ที่ปิดสนิทเริ่มขยายตัวออกรับให้ส่วนปลายแก่นกายไกรวิทย์แทรกผ่านเข้าไปได้ เล็กน้อย…ไกรวิทย์สูดลมหายใจลึกยาว ขณะกดสะโพกหนักๆ ส่งหัวบานนั้นผ่านสองแคมที่ปริจากกันเข้าไปจนส่วนหัวจมมิดลงไปในร่างกายเด็ก หญิงทั้งสอง

“โอ๊ย….นายท่าน….ฉะ ฉะ ฉีกแล้ว…แพดาวเจ็บ…”
“พะ พะ พี่เอง..หี..หี ต้อม….เจ็บ….”

เสียง ร้องด้วยความเจ็บปวดของสองพี่น้องฝาแฝดดังขึ้นพร้อมๆ กัน เมื่อส่วนปลายบานของแก่นเนื้อไกรวิทย์ทะลวงผ่านปากสองแคมเข้าไปจนหมด แต่ด้วยความเยาว์วัยของเด็กหญิงวัย 14 ปี ทำให้แคมทั้งสองนั้นไม่สามารถขยายตัวรองรับความใหญ่โตของแก่นเนื้อที่แข็ง ตัวเต็มที่ได้จนสองแคมฉีกขาดจากกัน โลหิตไหลซึมออกมาเป็นทางผ่านขาอ่อนยาวเรียวหยดลงกับพื้น แต่แม้ความเจ็บปวดจะปะทุขึ้นจนร่างน้อยทั้งสองสั่นสะท้าน แต่ทั้งแพดาวและพรางเดือนรู้ดีว่านี่คือการร่วมรักเพื่อนำทั้งสองเข้าสู่โลก แห่งปราณ ทำให้ทั้งสองพยายามกัดฟันต้านรับความเจ็บปวดอย่างเต็มที่ มีเพียงเสียงร้องเบาๆ ที่ไม่สามารถข่มกลั้นได้เท่านั้นที่หลุดรอดออกมาจากลำคอ…

ไกรวิทย์ หยุดการเคลื่อนของแก่นกายไว้ที่เพียงส่วนปลายชั่วขณะ แม้สองแคมเด็กหญิงทั้งสองจะรัดแท่งเนื้อทุกส่วนแน่นสนิทจนความเสียวพลุ่ง ขึ้น โดยเฉพาะสัมผัสที่ปลายหัวบานรับรู้ถึงเยื่อบางๆ ที่ขวางกั้นความสาวเป็นชั้นสุดท้ายเอาไว้ กระตุ้นให้ทะลวงความยาวทั้งหมดลงไปในหลืบเนื้อพรหมจรรย์ก็ตาม แต่ไกรวิทย์รู้ดีว่าปัจจุบันองคาพยพแห่งเพศชายของตนเองนั้นคือร่างแห่งมหา เทพที่มีขนาดและความแข็งแกร่งเกกว่ามนุษย์ทั่วไป ที่แม้จะร่วมรักกับเหล่าเทวนารีที่มีฐานะกึ่งเทพและมีหลืบรักที่เต็มไปด้วย พลังบีบรัดดูดดึงด้วยอำนาจปราณ ก็ยังทำให้เหล่าเทวนารีต้องรองรับด้วยปราณในร่างอย่างเต็มที่ทุกครั้ง แต่ร่างเด็กหญิงเยาว์วัยที่กำเนิดจากมนุษย์เช่นแพดาวและพรางเดือน ผู้มีเนินรักขนาดเล็กราวกับเด็กหญิงอายุไม่เกิน 12 ปี ต่างจากอวัยวะเพศที่เติบโตสมบูรณ์ของเหล่าศิษย์สตรีแห่งโรหิณีที่ไกรวิทย์ทำ หน้าที่ทำลายพรหมจรรย์ถ่ายทอดปราณมาก่อนหน้านี้ แก่นเนื้อแห่งเทพที่ทะลวงผ่านสองแคมสองเด็กหญิงเข้าไปนั้นจึงไม่ต่างกับการ นำหลักศิลาแทงเข้าไปในอวัยวะที่อ่อนเยาว์จนฉีกขาด และอาจนำมาซึ่งความเจ็บปวดที่สกัดกั้นเด็กหญิงทั้งสองจากความเสียวสุดยอด จนไม่สามารถเปิดรับการถ่ายทอดปราณเข้าสู่ร่างได้ ทำให้ไกรวิทย์ต้องหยุดชะงักการส่งแก่นกายเข้าสู่ร่างสองพี่น้องไว้ชั่วขณะ เพื่อรอให้ร่างกายสองเด็กหญิงเกิดความคุ้นเคยกับการบุกรุกครั้งแรกที่เกิด ขึ้นในชีวิต

“น้องตาล น้องต้อม…จะให้พี่หยุดเอาไว้ก่อนหรือไม่…”

ไกร วิทย์ส่งเสียงอ่อนโยนกับสองเด็กหญิงที่ร่างน้อยกำลังสั่นระริกไปด้วยความ เจ็บปวด แต่แทนที่ทั้งสองจะส่งเสียงตอบรับหยุดการร่วมรักที่เจ็บปวด สองพี่น้องฝาแฝดกลับสูดลมหายใจลึกยาวเข้าสู่ร่าง ริมฝีปากบางทั้งคู่เม้มเข้าห่กัน สองแขนโอบรัดร่างไกรวิทย์แน่นขึ้น และก่อนที่ไกรวิทย์จะรู้จัว สะโพกครัดเคร่งทั้งสองก็ถูกเจ้าของร่างกดอัดเข้าหาแก่นเนื้อสุดแรงพร้อมกัน

“………….”
“………….”

เสียง ลมจากลำคอเด็กหญิงทั้งสองสะอึกออกมาโดยปราศจากเสียง ร่างน้อยสะท้านสุดตัว เมื่อแก่นเนื้อไกรวิทย์ถูกแรงกดของสะโพกอัดเจ้าหา ฉีกเยื่อพรหมจรรย์ทั้งสองพร้อมกันจนความแข็งแกร่งราวเสาหินนั้นทะวงผ่าน เนื้อเยื่อบอบบางเข้าไปจนสุดโคนในคราวเดียว…โลหิตทะลักออกมาจากร่องรักราว ทำนบแตกท่ามกลางความตกตะลึงของไกรวิทย์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าสองเด็กหญิงที่ มีอวัยวะเพศขนาดเล็กเกินวัยทั้งสอง กลับตัดสินใจพร้อมกันที่จะทำลายพรหมจรรย์ของตนเอง แต่ความแปลกใจของไกรวิทย์เกิดขึ้นเพียงอึดใจเดียว เมื่อเยื่อพรหมจรรย์ที่สลายตัวของทั้งสองนั้น เปิดทางให้จิตไกรวิทย์ได้สัมผัสกับจิตส่วนลึกของสองเด็กหญิงที่เผยอดีตภพให้ จิตแห่งเทพของไกรวิทย์ได้

“วาชินี….จิตรากานต์…..มิผิดจากที่เราคาดคิดแม้แต่น้อย….เป็นเจ้าทั้งสองจริงๆ…………..”

ไกร วิทย์ส่งเสียงที่แฝงปราณเปี่ยมล้นไว้ด้วยความยินดีออกมา ทำให้เกิดเสียงกึกก้องขึ้นในสมองแพดาวและพรางเดือน จนทั้งสองที่แม้จะกำลังตกอยู่ในความเจ็บปวดถึงที่สุด ก็ยังต้องสะดุ้งเฮือกและเปิดดวงตามที่พร่าไปด้วยน้ำตาขึ้นจับจ้องไกรวิทย์ ด้วยความตื่นตระหนก

“เจ้าทั้งสองคงเจ็บปวดนักกับควยแห่งเทพที่เข้า สู่ร่างกายเจ้า แต่ด้วยภพกำเนิดแห่งเผ่าพันธ์เทพกินนรีของแพดาว และภพกำเนิดแห่งเผ่าพันธุ์เทพปักษีของพรางเดือน เรารู้ดีว่าแม่ทัพทั้งสองจะต้องทานทนและผ่านพ้นกลับมาเคียงข้างเราในสงคราม นี้อีกครั้ง…”

“…นายน้อยกล่าวอันใด…พรางเดือนไม่เข้าใจ….แต่ชื่อวาชินีนี้แพดาวรู้สึกเหมือนเคยได้ยินมาก่อน”
“พี่เอ…ชื่อจิตรากานต์…ก็เช่นกัน…เมื่อต้อมได้ยิน ต้อมรู้สึกว่าเป็นชื่อที่คุ้นเคยนัก”

ไกร วิทย์ยิ้มให้สองเด็กสาวที่แม้หลืบรักน้อยๆ นั้นจะยังคงฝังแน่นด้วยลำลึงค์แห่งเทพ แต่ดูเหมือนความสนใจของสองเด็กหญิงกลับหันเหมายังถ้อยคำประหลาดที่ไกรวิทย์ กล่าวออกมาจนจิตถูกย้ายออกจากความเจ็บปวดนั้นชั่วคราว

“เจ้าทั้งสอง ย่อมไม่เข้าใจ…เผ่าพันธุ์ คนธรรพ์ เทพนาคา เทพกินนรี เทพปักษี เทพครุฑา และเทพนรสีห์ ล้วนเคยเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ในพิภพ นักรบที่แกร่งกล้าที่สุดแห่งเผ่าพันธุ์ทั้งหก ล้วนเข้าอยู่ใต้บัญชารบเคียงข้างเราและเหล่าเทวนารีในอดีตกาล แต่เพราะจิตแห่งเผ่าพันธุ์ทั้งหกแม้จะมีฐานะกึ่งเทพแต่ก็แฝงจิตแห่งเหล่า สัตว์โลก ทำให้จิตนั้นหาได้แตกต่างกับมนุษย์ไม่พวกเจ้าจึงไม่สามารถระลึกถึงภพภูมิใน อดีตได้…มีแต่เมื่อเราได้แทรกควยเข่สู่ร่างพวกเจ้าและเข้าถึงจิตที่แท้ จริงของพวกเจ้า เราจึงได้รับร็ว่าเจ้าทั้งสองคือผู้ใด และยินดีนักที่พวกเจ้าจะมาเคียงข้างเราอีกครั้ง ร่วมกับสหายของเจ้า…”

“แพดาวไม่เข้าใจเลยนายท่าน…”
“เพื่อนของพวกเรา …ใครคือเพื่อนของพวกเรากันพี่เอ…”

เสียง เด็กหญิงทั้งสองถามขึ้นพร้อมกันเมื่อได้รับรู้ถ้อยคำแปลกประหลาดของไกร วิทย์ที่กล่าวถึงสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของเด็กหญิงวัย 14 ปี แต่ยังไม่ทันที่เด็กหญิงทั้งสองจะได้ตีความคำพูดนั้น ไกรวิทย์กลับเริ่มขยับแก่นเนื้อที่ฝังในหลืบรักน้อยๆ ที่ฉีกขาดทั้งสองช้าๆ จนความเจ็บปวดที่ร่องรักกลับพลุ่งขึ้นมาอีกครั้ง

“อะ…อะ…อูย…นายท่าน….แพดาว…จะเจ็บ…”
“พะ พะ พี่เอ….ต้อม…ต้อม…ยัง…ไม่….”

เสียง ร้องของสองเด็กหญิงดังขึ้นพร้อมกัน แต่ทันใดนั้นร่างของสองฝาแฝดพลันบังเกิดกระแสพลังอบอุ่นแผ่ซ่านออกจากจักร พสุธากระจายออกมายังเนินรัก ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นลดทอนลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสมองของสองเด็กหญิงบังเกิดภาพประหลาดของขุนทัพสตรีผู้งดงามสี่นาง แยกย้ายเคียงข้างสองบุรุษในชุดเกราะแม่ทัพสีทองวาววับ….เบื้องหน้านั้นคือ กองทัพของเหล่าอมุษย์นับล้านที่ถาโถมเข้าหา แต่ยังไม่ทันที่แพดาวและพรางเดือนจะทำความเข้าใจกับนิมิตที่เกิดขึ้น หลืบรักของสองเด็กหญิงก็ปรากฏกระแสพลังอบอุ่นถ่ายทอดรสสัมผัสจากแก่น เนื้อที่กำลังเคลื่อนเสียดสีติ่งเสียวเบื้องล่างเข้าสู่สมอง

“อาห์….ทะ ทำ ไม….เจ็บน้อยลง…แพดาว….มะ….ไม่เจ็บแล้ว….มัน สะเสียว…”
“ซีดส์…พี่ตาล…ตะ ต้อม ก็..จะ เจ็บ.น้อยลง…มัน…อูย….ละ ลึก..ควยพี่เอ…”

สอง เด็กหญิงครางออกมาด้วยถ้อยคำกระท่อนกระแท่นเมื่อความเจ็บปวดความลงและรส สัมผัสจากการร่วมรักเข้ามาแทนที่ ลำลึงค์มหึมาเคลื่อนไหวเข้าออกหลืบรักที่ฉีกขาดอย่างช้าๆ แต่ค่อยๆ เพิ่มความเร็วมากขึ้นตามความต้องการของไกรวิทย์ที่ได้รับจากสัมผัสที่นุ่ม นวลในหลืบเนื้อเด็กหญิงทั้งสอง ซึ่งแม้ว่าปราศจากพลังบีดอัดที่กระชับแก่นเนื้อทุกส่วนดังเช่นเหล่าเทวนารี ทั้งแปด หรือผู้ทรงปราณเช่นเจสสิก้ากับรีน่า แต่แก่นนเอที่ไวต่อสัมผัสเหนือมนุษย์นับร้อยเท่าของไกรวิทย์ก็ยังรับรู้ถึง ความนุ่มนวลในหลืบรักเด็กสาวแรกแย้มที่สามารถกระตุ้นความเสียวให้พรั่งพรู ได้ไม่ต่างกัน….ไกรวิทย์กระชับวงแขนรัดร่างอ่อนเยาว์ทั้งสองเข้าหา สองมือเกาะกุมแก้มก้นกลมกลึงบีบเคล้นความครัดเคร่งและใช้เป็นหลักในการ กระเด้าแก่นกายเข้าออก จนความเสียวพลุ่งขึ้นมารวมตัวที่ส่วนปลายหัวบานพร้อมที่จะระเบิดออกทุก ขณะ…

“แพดาว พรางเดือน…หีพวกเจ้าทั้งสองยังปราศจากพลังที่จะบีบเคล้นนำรักแห่งเราดัง เช่นในอดีต แต่มันกลับตอบรับการเย็ดด้วยความนุ่มนวลยิ่งนัก…….พวกเจ้าพร้อมที่จะรับ ปราณแห่งเราแล้วหรือไม่…”
“นายท่าน ..แพดาว….หีแพดาวร้อนรุ่มไปหมด….มัน..สะ..สะเสียว…..อ๊าวส์”
“พี่เอ….ต้อม…ต้อม…อูว์…มะ ไม่ไหวแล้ว…ต้อม….อื๋ยส์…”

เรือน ร่างบอบบางของสองพี่น้องฝาแฝดแอ่นตัวเข้ารับแก่นเนื้อที่กระเด้าเข้าหา เป้นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างน้อยจะเกร็งตัวกระตุกเฮือก…พร้อมกับน้ำรักที่ฉีดพุ่งออกจาก แก่นเนื้อไกรวิทย์เข้าสู่ร่างทั้งสองเป็นสาย ปราณคชสีห์แผ่พุ่งเข้าหาจักรอัคคีกระตุ้นปราณธรรมชาติในร่างแพดาวพรางเดือน กระจายไปทั่วร่างและผสานเป็นกระแสปราณคชสีห์โคจรไปรอบร่างกายรอบแล้วรอบเล่า ขณะที่ไกรวิทย์ค่อยๆ ถอนแก่นแก่นกายออกจากหลืบรักทั้งสองแต่ยังคงประคองร่างสองพี่น้องลอยอยู่ กลางอากาศในท่าขัดสมาธิ เพื่อตรวจสอบการโคจรของปราณในร่าง ไม่นานนักรอยยิ้มก็ปรากฏที่มุมปากชายหยุ่มเมื่อพบว่าร่องรักที่ฉีกขาดจากกา ร่วมรักจนโลหิตไหลออกมาเป็นสายนั้นได้กลับปิดสนิทลง บาดแผลที่เกิดขึ้นสมานตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วเมื่อปราณคชสีห์เริ่มโคจรวน เวียนผ่านจักรปราณพร้อมกับฟื้นฟูร่างกายทุกสัดส่วนให้กลับสู่สภาพสมบูรณ์อีก ครั้ง…

“นายน้อย ข้าน้อยณรงค์ชัย พร้อมกับปาเกอยะ รีน่า และเจสสิก้า…มาเข้าพบนายน้อยตามบัญชาแล้ว”

เสียง ชายหนุ่มที่เปี่ยมด้วยพลังปราณกร้าวแกร่งของปราณมารเอกะดังขึ้นที่ด้าน นอกประตูห้องผนึกปราณ บอกให้ไกรวิทย์รู้ว่าทั้งสี่ขุนพลในอดีตได้มาตามคำสั่งที่ให้ไว้เมื่อชั่ว ยามที่แล้ว หมอกสีดำสนิทกระจายออกจากร่างไกรวิทย์อีกครั้งก่อนที่ร่างที่แยกออกร่วมรัก กับแพดาวพรางเดือนจะรวมกันเป้นหนึ่งเดียวและลดระดับลงสู่พื้นพร้อมกับปล่อย ให้ร่างสองเด็กหญิงที่ยังคงอยู่ในท่วงท่าขัดสมาธิลอยลงมาอยู่บนพื้น ปราณขุมหนึ่งพลันแผ่พุ่งออกจากร่างไกรวิทย์ดึงดูดประตูห้องผนึกปราณให้เปิด ออก เผยให้เห็นร่างชัยณรงค์ ปาเกอยะคุกเข่าอยู่ด้านหน้า โดยมีรีน่าและเจสสิก้าอยู่ด้านหลัง…

“จงยืนขึ้นและเข้ามาเถอะ…สหายร่วมศึกของเรา…ที่นี้หามีนายน้อยไม่…มีเพียงสหายที่ไม่ได้พบกันมานับหมื่นปีเท่านั้น”

เสียง ที่กังวานก้องด้วยปราณแห่งเทพเจ้าของไกรวิทย์ดังขึ้นพร้อมกับร่าง เปลือยที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเคลื่อนมาหยุดนิ่งอยู่ที่กึ่งกลางห้องโถงทรง กลม ถ้อยคำที่แปลกประหลาดทำให้ชัยณรงค์ ปาเกอยะ หันมาสบตากันวูบหนึ่งด้วยความงุนงง แต่ยังคงผุดลุกขึ้นตามคำสั่งและเดินเข้าสู่ห้องพร้อมกับรีน่าและเจสสิก้าที่ ตามเข้ามาอย่างกระชั้นชิด ทั้งสี่ส่งเสียงคารวะพร้อมกัน และหยุดนิ่งอยู่ด้วยอาการสำรวมโดยไม่เหลือบสายตาไปที่ร่างเปลือยเปล่าของแพ ดาวพรางเดือนที่ยังคงอยู่ในท่วงท่าขัดสมาธิข้างกายไกรวิทย์แม้แต่น้อย..

“สหายแห่งเราจงนั่งลงตามสบายเถอะ…”

ดวง ตาทั้งสี่คู่ของสองชายหนุ่ม และสองเด็กสาวทอประกายสับสนขณะนั่งลงตามคำสั่งของผู้เป็นนายเหนือ ดวงตาไกรวิทย์จับจ้องชายหญิงทั้งสี่ด้วยประกายตานุ่มนวลก่อนที่จะถามออกมา ด้วยถ้อยคำที่ทำให้ชัยณรงค์และปาเกอยะสะดุ้งเฮือกในทันที

“ชัย ปาเกอยะ…พวกเจ้าพึงพอใจสตรีใดหรือไม่…”
“นายน้อย บริวารมุ่งมั่นแต่เพียงรับใช้ตระกูลคชสีห์ หาได้ให้ความสนใจสตรีเพศไม่”

ชับณรงค์ และปาเกอยะส่งเสียงออกมาพร้อมกันราวกับเป็นคนๆ เดียว ทำให้ไกรวิทย์อดหัวเราะเบาๆ กับคำตอบไม่ได้ ก่อนที่จะถามอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผู้ที่สะดุ้งขึ้นพร้อมกันกับเป็นรีน่าและเจ สสิก้าสองพี่น้องฝาแฝด

“รีน่า เจสสิก้า ความรักความภักดีที่พวกเจ้าทั้งสองมีให้เราไม่เป็นที่กังขา แต่เรารู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองล้วนชมชอบบุรุษหนึ่งและปราถนาอย่างยิ่งที่จะอยู่ ร่วมกับบุรุษนั้นใช่หรือไม่…”
“นายท่าน”

เจสสิก้าและรีน่าส่งเสียงอุทานออกมาพร้อมกันด้วยใบหน้าแดงฉาน…

“แพ ดาว พรางเดือน…พวกเจ้าทั้งสองล้วนโคจนปราณเสร็จสิ้น…จงตอบคำถามเรา…พวก เจ้าแม้จะมอบร่างกายบริสุทธิ์ให้เราก่อกำเนิดปราณในร่าง แต่หัวใจพวกเจ้าทั้งสองล้วนมอบต่อบุรุษหนึ่งเช่นกัน…เรากล่าวถูกต้องหรือ ไม่…”

ไกรวิทย์ส่งคำถามต่อไปยังสองเด็กหญิงฝาแฝดที่เพิ่งลืมตาขึ้น หลังการโคจรปราณ เสร็จสิ้น…ทำให้ทั้งสองก้มหน้าลงด้วยพวกแก้มแดงซ่าน..เป็นเชิงยอมรับโดย ปราศจากข้อโต้แย้ง…

ไกรวิทย์ระบายลมหายใจยาว ใบหน้าชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มที่เหล่าบริวารแห่งตระกูลคชส์และโรหิณียากจะพบ เห็น ขณะส่งเสียงกังวานออกมายังร่างทั้งหกที่รายล้อมอยู่รอบตัว

“เมื่อ หมื่นปีมาแล้ว มีอาณาจักรแห่งปราณที่คุ้มครองโดยเทพเจ้านามวิรุณปักขะ…ผู้ปกป้องมหา อาณาจักรโดยมีเหล่าเทวนารีผู้งดงามเป็นเลิศทั้งสิบสองนางแห่งจักรราศรีเคียง ข้าง เทพวิรุณปักขะนำทัพแห่งเผ่าพันธ์ทั้สี่สิบเผ่าพันธ์ที่ร่วมเป็นประชากร แห่งมหาอาณาจักรปราณออกต่อสู้กับการโจมตีจากเผ่าพันธ์ที่ดุร้ายโหดเหี้ยม กำจัดเผ้าพันธ์เหล่านั้นเพื่อความสงบสุขแห่งอาณาจักร กองทัพแห่งเทพวิรุณปักขะนั้นมีขุนพลผู้แกร่งกล้า 6 คน จาก 6 เผ่าพันธ์คือขุนพลชัยวรมันต์เผ่าพันธุ์เทพคนธรรพ์ ขุนพลปาราฆพยะแห่งเผ่าพันธ์เทพครุฑา ขุนพลอาตาลีเผ่าพันธุ์เทพนาคา ขุนพลซอรีนะเผ่าพันธ์นรสีห์…ขุนพลวาชินีแห่งเผ่าพันธ์เทพกินนรีและขุนพล จิตรากานต์เผ่าพันธุ์เทพปักษี สองในหกคือขุนพลชายหนุ่มที่ทรงปราณสูงสุดแห่งเผ่าพันธ์ เคียงข้างด้วยสี่ขุนพลสตรีที่งดงามสะท้านแผ่นดิน ”

ไกรวิทย์บอกเล่า ความทรงจำแห่งจิตมหาเทพด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ขณะที่ชายหญิงทั้งหกที่นั่งขัดสมาธิอยู่รอบข้างนิ่งฟังอย่างตั้งใจ และเมื่อไกรวิทย์เอ่ยนามของเหล่าขุนพลออกมา ประกายตาของชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหก ก็แปรเปลี่ยนเป็นสับสนราวกับว่านามเหล่านั้นเคยได้รับการเรียกขานให้ได้ยิน มาก่อนหน้านี้

“หลังจากขุนพลทั้งหกร่วมรบภายใต้บัญชาแห่งเทพวิรุณปัก ขะมานับร้อยปี ความผูกพันก็บังเกิดขึ้น ขุนพลวาชินีและจิตรากานต์บังเกิดจิตผูกพันกับขุนพลปาราฆพยะ ส่วนขุนพลอาตาลีและซอรีนะก็เช่นเดียวกัน พวกนางทั้งสองผูกสัมพันธ์กับขุนพลชัยวรมันต์ แต่ด้วยความแตกต่างแห่งเผ่าพันธ์ทั้งหมดจึงไม่สามารถร่วมรักกันตามจิตที่ปรา ถนาได้…คงมีแต่จิตที่รักมั่นต่อกันจวบจนทั้งหกต่างพลีชีพร่วมกับเทพวิรุ ณปักขะและเหล่าเทวนารีทั้ง 12 ในมหาสงครามกับเผ่ามังกร อันเป็นจุดกำเนิดของการล่มสลายแห่งมหาอาณาจักรปราณในเวลาต่อมา…”

ตลอด เวลาที่ไกรวิทย์บอกเล่าถึงหกขุนพลข้างกายเทพวิรุณปักขะ..ดวงตาทั้งหกคู่ ที่จับจ้องไกรวิทย์อยู่ก็ปรากฏหยาดน้ำใสปกคลุมม่านตาทุกคนอย่างเรือนราง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้ใดรับรู้และยังคงผนึกสมาธิตั้งใจรับฟังสิ่งที่ไกร วิทย์บอกเล่าอย่างจรดจ่อ

“หลังการล่มสลายแห่งมหาอาณาจักรปราณ เผ่าพันธ์ทั้ง 40 ที่อยู่ร่วมในมหาอาณาจักรปราณก็แตกกระจายกันออกไป แต่เนื่องด้วยกำเนิดแห่งเผ่าพันธ์ทั้ง 40 นั้นมาจากการสมสู่ระหว่างเทพเจ้ากับเหล่าสรรพชีวิตต่างๆ ในยุคต้นกำเนิด ทำให้เมื่อปราศจากการชี้แนะของเหล่าเทพ มีเพียงเผ่าพันธ์มนุษย์เท่านั้นที่ยังคงรักษาสติปัญญาและคำสอนแห่งปวงเทพ บัญญัติขึ้นเป็นศาสนา จนสามารถรักษารูปกายแห่งเทพไว้ได้ แต่เชื้อสายของเผ่าพันธ์อื่นที่สืบเนื่องกันมาก็เริ่มตกต่ำกลับไปสู่สภาพ ดั้งเดิมแห่งเผ่าพันธุ์ของตนเอง จนในที่สุดความรับรู้ จิตสำนึกและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็สูญสลาย รูปกายที่เคยผสมผสานระหว่างเทพกับเหล่าสัตว์โลกก็กลับกลายเป็นสัตว์โลกตาม กำเนิดเดิม คงเหลือแต่เพียงตำนานแห่งเผ่าพันธ์สัตว์เทพไว้เพียงในนิทานโบราณเท่านั้น”

“นายน้อยโปรดอภัย…นั่นคือตำนานแห่งเหล่าสัว์ในป่าหิมพานต์ที่มีบันทึกไว้ใช่หรือไม่”

เสียง ที่แฝงความลังเลใจของปาเกอยะดังขึ้นอย่างแผ่วเบา บอกให้รู้ถึงความไม่แน่ใจที่จะสอดแทรกการบอกเล่าของไกรวิทย์ แต่ไกรวิทย์มิได้แสดงท่าทีขัดเคืองที่ถูกขัดจังหวะแต่อย่างใด ใบหน้าสงบนิ่งปรากฌรอยยิ้มบางๆ ก่อนตอบคำถามของปาเกอยะ

“ศิษย์เอกของ พ่อครูคำแปงใช่จะเป็นเลิศในด้านปราณเท่านั้น แต่ยังใฝ่ศึกษาอีกด้วย เรายินดีนัก เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว…เผ่าพันธ์ทั้ง 40 นั้นคือเผ่าพันธ์ที่จารึกเอาไว้ในตำนานแห่งสัตว์หิมพานต์ เฉกเช่นขุนพลปาราฆพยะผู้นำแห่งเผ่าพันธ์เทพครุฑานั้นคือขุนพลผู้มีร่างเป็น ชายชาตรีที่แข็งแก่งผู้มีส่วนศรีษะเป็นครุฑผู้เป็นเจ้าแห่งสัตว์ปีกทั้ง ปวง…”

“พี่เอ…ต้อมขออนุญาตถามว่าการที่รูปกายของขุนพลทั้งหกแตก ต่างกัน นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถร่วมรักกันตามใจปราถนาใช่หรือไม่….”

เสียงหวานใสของพรางเดือนถามขึ้นบ้างเมื่อเด้กสาวทราบว่าไกรวิทย์ไม่ได้โกรธเคืองกับการแทรกคำถามของปาเกอยะแต่อย่างใด

“น้อง ต้อมเข้าใจถูกแล้ว..แต่แม้ขุนพลทั้งหกจะไม่เคยได้ร่วมรักกัน ความรักของพวกเขาล้วนหนักแน่นไม่คลอนแคลน มั่นคงเสียยิ่งกว่าความรักในมนุษย์มากนัก…และนี่เองที่เมื่อเหล่าเผ่าพัน ธฺของทั้งหกขุนพลสูญสลายไป จิตวิญญานที่ยึดมั่นในความรักของทั้งหกต่างเวียนว่ายในชาติภพเช่นเดียวกับ มนุษย์ และกลับมากำเนิดในร่างของมนุษย์ภพแล้วภพเล่า…พวกเขาทั้งหกได้พบกันทุกชาติ ภพ แต่สัญชาติญานความทรงจำในอดีตที่ฝังลึกในจิตที่ยังคงรำลึกถึงความแตกต่าง แห่งเผ่าพันธ์ ทำให้แม้พวกเขาจะรักกันในทุกชาติภพที่พบกัน แต่ทั้งหมดต่างไม่เคยได้ร่วมรักตามที่ใจต้องการแม้แต่ภพเดียว …..และในภพภูมินี้…..”

ไกรวิทย์หยุดการบอกเล่าไว้ชั่วขณะ เพื่อพิจารณาใบหน้าของทุกคนรอบกาย ก่อนกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ทุกคนสะท้านเฮือกขึ้นพร้อมกัน

“ชัย วรมันต์ผู้กำเนิดจิตจากเผ่าพันธ์เทพคนธรรพ์ ได้กำเนิดในภพนี้ในตัวของชัยณรงค์และเรียกร้องตลอดเวลาที่จะเคียงคู่กับขุน พลอาตาลีและซอรีนะ ซึ่งในภพนี้ก็คือเจสสิก้ากับรีน่า….ชัยณรงค์ เจ้าปฏิเสธหรือไม่ว่าเจ้าต้องการนางทั้งสอง….ส่วนเจสสิก้ากับรีน่า เรารู้ว่าแม้เจ้าจะเย็ดกับเรา แต่หัวใจรักของพวกเจ้าล้วนมอบต่อชัยณรงค์ผู้นี้….ส่วนเจ้า….”

ไกรวิทย์หันไปจับจ้องปาเกอยะที่กำลังเบิกตากว้างด้วยอาการตกตะลึง

“ปา เกอยะ…ด้วยจิตที่กำเนิดจากเผ่าพันธ์เทพครุฑาผู้ทรงนามปาราฆพยะ…สตรี เพียงสองนางที่เจ้าเฝ้ามองและมุ่งหวังจะเคียงคู่คือวาชินีและจิตรากานต์ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้กลับมากำเนิดในร่างของแพดาวและพรางเดือน….เช่นเดียวกับ ต้อมและตาล บุรุษเดียวที่เจ้าเฝ้าคอยอยู่คือปาเกอยะผู้นี้…. พวกเจ้าทั้งหกเราอนุญาตให้พวกเจ้าโต้แย้งได้……หากสิ่งที่เราพูดไร้ซึ่ง ความจริงที่อยู่ในใจพวกเจ้า…..”

ชัญณรงค์ ปาเกอยะ รีน่า เจสสิก้า แพดาว และพรางเดือน…เบิกตากว้างด้วยความตระหนกกับสิ่งที่ไกรวิทย์กล่าว และเมื่อถึงประโยคสุดท้าย ทุกสายตาต่างก้มหลบลงกับพื้นห้อง บอกให้รู้ว่าทุกสิ่งที่ไกรวิทย์กล่าวคือสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ในใจของทุกคนมา โดยตลอด แต่ไม่กล้าที่จะบ่งบอกออกมา

“ตามธรรมเนียมโบราณแห่งมหา อาณาจักรปราณ เยื่อพรหมจรรย์ของสตรีเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่จะมอบต่อเทพก่อนที่สตรีจะเข้า สู่การใช้ชีวิตคู่ และบัดนี้เราได้รับพรหมจรรย์ของรีน่า เจสสิก้า แพดาว และพรางเดือน ไว้แล้ว…บัดนี้นางทั้งสี่ต่างพร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่กับผู้ที่นางรักภักดี ด้วยอำนาจแห่งเทพ เราของประกาศในที่นี้ว่าความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธ์ของพวกเจ้าทั้งหกล้วน สิ้นสูญไปแล้ว ปาเกอยะจงรับแพดาวและพรางเดือนเป็นคู่ของเจ้า ชัยณรงค์จงรับเจสสิก้าและรีน่าเอาไว้ นี่คือบัญชาแห่งเทพผู้เป็นนายของพวกเจ้ามาแต่อดีตกาล…”

ทันทีที่ ไกรวิทย์ใช้กล่าวเสร็จสิ้น กระสปราณอันอ่อนโยนนุ่มนวลสองสายพลันกระจายออกจากร่างไกรวิทย์ สายหนึ่งแทรกผ่านเข้าสู่ร่างชัยณรงค์ รีน่า เจสสิก้า ส่วนสายที่สองแยกเข้าสู่ร่างปาเกอยะ แพดาวและพรางเดือน ปิดกั้นจิตส่วนลึกที่ยังคงความทรงจำแห่งเผ่าพันธ์ที่แตกต่างเอาไว้ ก่อนที่กระแสปราณจะแทรกลงสู่จักรอัคคีของแล้วระเบิดออกในจักรพร้อมกัน ร่างทั้งหกสะท้านเฮือกก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสั่นระริกด้วยเพลิงปราถนาที่เข้า ครอบงำสติทั้งปวงในทันที

ปาเกอยะเคลื่อนล่างเข้าหาร่างเปลือยเปล่า ของแพดาวและพรางเดือนอย่างลืมตัว และเพียงมือที่สั่นระริกของชายหนุ่มสัมผัสผิวกายสองเด็กหญิง ร่างบอบบางของสองฝาแฝดก็โผเข้ากอดร่างปาเกอยะไว้แน่นสนิท มือน้อยๆ ของสองเด็กหญิงฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่ปกคลุมร่างกายปาเกอยะออกด้วยปราณซึ่งเพิ่ง ได้รับการถ่ายทอดมาจากไกรวิทย์เมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา ร่างทั้งสามจะล้มตัวลงนอนเกี่ยวกระหวัดกันอยู่บนพื้น ปาเกอยะโถมร่างขึ้นทาบทับเรือนร่างบอบบางของแพดาวที่แยกสองขาเรียวกลมกลึง ออกจากกันในทันที โดยมีร่างของพรางเดือนกดแนบแน่นอยู่บนแฟ่นหลังแข็งแรงของชายหนุ่ม ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นชัยณรงค์ที่อยู่ในอ้อมแขนของสองพี่น้องก็กระชากเสื้อ ผ้าทุกชิ้นออกจากเรือนร่างอวบอิ่มด้วยสายเลือดของชาวตะวันตกออกจากร่างงาม ทั้งสองจนเปลือยเปล่าขาวโพลนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเรืองรองภายในห้องผนึกปราณ ริมฝีปากชัยณรงค์เม้มยอดออกเจสสิก้าและดูดรับความหอมหวานจากทรวงอกวัยสาว พร้อมกับมืออีกข้างหนึ่งก็เคล้นคลึงเต้านมคู่งามของรีน่าที่แนบแน่นอยู่ข้าง กายจนสองเด็กสาวครวญครางด้วยความเสียวและความต้องการที่พรั่งพรูเข้าครอบงำ สติทั้งปวง

“อ๊าว…พี่ปาเกอยะ….คะ ควยพี่….ขะ เข้ามาแล้ว…”
“อูยน้องตาล….หีน้องตาลแน่นบีบควยพี่แน่นไปหมดแล้ว…..”
“พี่ปาเกอยะ …ช่วยต้อมด้วย…ต้อม..ต้อม..ต้องการพี่มานานแล้ว…”
“พี่ก็ต้องการน้องตาลน้องต้อมมาตั้งแต่พวกน้องเข้ามาอยู่มี่นี่แล้ว…แต่พี่ไม่กล้าที่จะบอกรักพวกน้องทั้งสอง…”
“ตาลก็รักพี่ตั้งแต่แรกเห็น…..อูย…กระเด้าตาลแรงๆ ….”
“โอย..พี่ปาอยะ นิ้วพี่คว้านหีต้อมเสียวไปหมดแล้ว….”

เสียง คราญครางจากแพดาวดังสะท้านเมื่อปาเกอยะปักลำลึงค์ที่กำลังแข็งตัวเต็ม ที่เข้าสู่ร่องรักเด็กหญิง จนจมมิดลงไปในหลืบรักคับแน่นในคราวเดียว พร้อมกับเสียงสั่นระริกของพราวเดือนที่กำลังถูกมือของปาเกอยะบดบี้ติ่งเสียว พร้อมกัลบสอดนิ้วเข้ากลางสองแคมน้อยจนเด็กหญิงต้องกอดรัดร่างชายหยุ่มไว้ แน่นพร้อมกับเด้งสะโพกสู้มือที่กำลังเคล้นคลึงความสาวนี้นอย่างไม่ยอมแพ้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง โดยไม่ได้รับรู้ว่าอีกด้านหนึ่งชัยณรงคืผู้เป็นพี่ชายก็กำลังกระเด้าแก่นกาย เข้าสู่หลืบรักเจสสิก้าถี่ยิบ ขณะซุกใบหน้าที่งดงงามราวสตรีนั้นกับทรงอกอวบตึงของรีน่า พร้อมกับบี้บีบเคล้นความอวบตึงของสะโพกเด็กสาวด้วยความต้องการที่ลุกโพลง

“เจสสสิก้า….หีเจสสิก้าส่ายบดควยพี่แบบนี้ พี่จะกลั้นไม่ไหวอยู่แล้วนะ…”
“อูย พี่ชัย..งก็ควยพี่ชัย ทั้งใหญ่ทั้งแข็งแบบนี้ …มันอัดไปถึงมดลูกเจาสสิก้าเลย…”
“ซีดส์…พี่ชัย…ยะ อย่าเพิ่งเสร็จนะ..ขอควยรีน่าด้วย…รีน่าต้องการควยพี่ชัย…”
“พี่ก็ต้องการรีน่า และเจสสิก้า พี่ไม่นึกเลยว่าจะได้เย็ดน้องทั้งสองที่พี่เฝ้ามองมาตลอดโดยไม่กล้าทำความรู้จักแบบนี้..”
“ซีดส์…พี่ชัย…โกหก…สาวๆโรหิณีทุกคนพร้อมให้พี่ชัยเย็ดทั้งนั้น…เจสสิก้าจะสู้อะไรพวกนั้นได้…”
“พี่..พี่ไม่เคยเย็ดพวกนั้น…พี่ต้องการแต่รีน่ากับเจสสิก้าแต่พี่ไม่กล้าขอน้องทั้งสองจากนายน้อย….”
“อาห์….ตอนนี้พี่ชัยก็งงยะ ยะ เย็ด…เจสสิก้าแล้ว…เจส…จะ จะง.งอ๊าย……”
“พี่ชัย …เจสสิก้าไปแล้ว…ขอควยพี่ให้รีน่าบ้าง…”

เสียง ครางด้วยความเสียวของหนุ่มสาวทั้งหกดังระงมไปทั่วห้องผนึกปราณ ระคนกับเสียงแก่นกายกระแทกหลืบรักประสานกัน โดยมีสายตาไกรวิทย์เฝ้ามองอยู่ด้วยภาวะสงบนิ่งราวกับภาพการร่วมรักที่เร่า ร้อนซึ่งเกิดขึ้นเบื้องหน้านั้นเป็นเพียงกิจกรรมปกติทั่วไป แต่ประกายตาของชายหน่มผู้ทรงจิตแห่งเทพวิรุณปักขะกลับทอประกายอ่อนโยนเมื่อ ได้สัมผัสถึงกระแสวิญญานที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวังของชายหญิงทั้งหก หลังจากต้องทรมาณกับความรักความต้องการที่ปราศจากผลตอบสนองมานับหมื่นปี

ประตู ห้องผนึกญาณเปิดออกอย่างแผ่วเบา พร้อมกับร่างของไกรวิทย์อีกร่างหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงสาวผมสั้นใบหน้า คมคายที่ดวงตาเบิกกว่างในทันทีเมื่อเห็นภาพการร่วมรักเบื้องหน้า พร้อมกับส่งจิตอุทานออกมาเบาๆ

‘ทำไมทุกคนมาเย็ดหมู่กันแบบนี้..’

จิต ของอดีตเรอินะ เทวนารีแห่งราศรีธนูส่งออกมาพร้อมกับที่ร่างไกรวิทย์อีกร่างหนึ่งซึ่งกุมมือ หญิงสาวเข้ามาในห้องผนึกญาณพลันสลายตัวเป็นกลุ่มควันสีดำพุ่งเข้ารวมตัวกับ ร่างไกรวิทย์ที่กลางห้อง โดยที่ใบหน้าของเรอินะแม้จะยังคงความแปลกใจกับภาพการร่วมรักเบื้องหน้า แต่ก็ไม่ได้ตระหนกไปกับการสลายร่างของไกรวิทย์ที่เดินมาด้วยกันแม้แต่น้อย เพราะการแยกร่างของไกรวิทย์เป็นสิ่งที่เหล่าเทวนารีทั้งแปดพบเห็นและรับรู้ มานับหมื่นปีแล้ว ร่างบอบบางปราดเปรียวเคลื่อนวูบเข้าหาไกรวิทย์ที่กลางห้อง แล้วโถมกายเข้าสู่อ้อมแขนชายหนุ่มที่กางออกรับพร้อมกับส่งจิตที่แฝงสำเนียง แง่งอนออกไป

‘พี่เอเรียกเรอินะมาทำไมที่นี่ ร่างแยกพี่เอไปเรียกเรอินะออกมา เรอินะนึกว่าพี่เอจะมีเรื่องสำคัญอะไร ที่แท้ให้เรอินะมาดูฉากเย็ดที่นี่…”

ไกรวิทย์หัวเราะเบาๆ กับอาการแง่งอนของหญิงสาวในอ้อมแขน ริมฝีปากชายหนุ่มฉกวูบปิดริมฝีปากน้อยๆ ที่เชิดชันนั้นอย่างนุ่มนวล จนร่างบอบบางของเรอินะสั่นสะท้านแล้วเบียดกายเข้าหาร่างเปลือยไกรวิทย์อย่าง ลืมตัว

“พี่ไม่ได้เรียกท่านเทวนารีมาดูการเย็ดกันหรอก…พี่จะเย็ดท่านเทวนารีต่างหาก”

เรอินะส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ขณะทุบหน้าอกไกรวิทย์เบาๆ

‘พี่ เอบ้า…เรอินะรู้ว่าถ้าพี่เอจะเย็ดเรอินะ ก็ไม่ต้องพาเรอินะมาที่นี่สักหน่อย พี่เอต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่ และต้องเกี่ยวข้องกับทั้งหกคนนี้ด้วย ว่าแต่ทำไมปาเกอยะถึงได้เย็ดกับน้องต้อมน้องตาล นั่นก็นายชัยเย็ดกับรีน่าเจสสิก้า ท่าทางแต่ละคนไม่รู้ตัวเลย นี่พี่เอคงกระตุ้นจักรอัคคีของทุกคนแน่ๆ ใช่ไหม อื๋ย…พี่เอ…ทะ ทำอะไร…’

ยังไม่ทันที่เรอินะจะส่งจิตถามความเป็นมาของภาพการร่วม รักเบื้องหน้าเสร็จ สิ้น หญิงสาวก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ว่าไกรวิทย์กระจายปราณออกจากร่างจนเสื้อผ้าที่เรอินะสวมใส่อยู่ สลายตัวเป็นผงธุลีร่วงออกจากร่างกาย พร้อมกับมือที่เคลื่อนต่ำลงไปประกบเนินนูนอิ่มอูมที่ประดับด้วยไรขนบางเบา เบื้องล่างที่เริ่มปรากฏสายธารฉ่ำเยิ้ม เมื่อจิตของเทวนารีแห่งราศรีธนูสะท้อนรับการปลุกเร้าจากความต้องการของไกร วิทย์

‘เรอินะจำได้ไหมว่าในครั้งที่พวกเราปกป้องมหาอาณาจักรปราณ นอกจากเหล่าเทวนารีอันเป็นที่รักแห่งเทพวิรุณปักขะแล้ว ยังมีขุนลทั้งหกที่นำทัพเหล่ามนุษย์กึ่งเทพ คร่ำสงครามภายใต้การนำของพวกเรา…’

‘อูย….พี่เอ….เรอินะจำได้ดี ..แม่ทัพทั้งหกจากเผ่าพันธ์เทพคนธรรพ์ ครุฑา นาคา นรสีห์ กินนรีและปักษี …. พวกเขาผูกพันกันแต่ควยกับหีที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธ์ทำให้พวก เขาแม้จะรักกันแต่ก็เย็ดกันไม่ได้….อ๊าว…พี่เอ…คว้านหีเรอินะแบบนี้ อีกแล้ว….ซีดส์…แต่พี่เอถามทำไม..หรือว่า….ทั้งหกคนนี้คือ….’

แม้ จะอยู่ในภาวะที่ปราณในร่างกำลังถูกพลังชีวิตจากผลึกมังกรโน้มน้าวจนทุก ส่วนของร่างกายเทวนารีแห่งราศรีธนูไหวระริกไปด้วยความต้องการ แต่จิตที่กำลังครางออกมาด้วยความเสียวของเรอินะยังคงไว้ซึ่งความปราดเปรียว จนระลึกได้ในทันทีว่าจำนวนขุนพลแห่งมนุษย์กึ่งเทพในอดีตนั้นมีจำนวนหกคนเท่า กับร่างชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหกที่กำลังร่วมรักกันอยู่ อีกทั้งยังเป็นเพศชายสองคนเพศหญิงสี่เช่นเดียวกับหกขุนพลแห่งมหาอาณาจักร ปราณ ทำให้หญิงสาวสรุปอออกมาได้ในทันทีว่าทั้งหกคนนี้คือผู้ใด

‘ลูก ศรน้อยของพี่ไม่เคยสัณณิษฐานอะไรพลาดสักครั้ง…ถูกต้องแล้ว พี่ไม่เคยบอกใครเรื่องที่พี่รับรู้ชาติภพในอดีตของรีน่าและเจสสิก้า เพราะพี่เองแม้จะมีความเชื่ออยู่ว่าวิญญาณปาเกอยะกับเจ้าชัยนั้นน่าจะติดตาม พี่มาจากชาติภพในอดีต แต่พี่ก็ยังไม่แน่ใจนัก จนวันนี้เมื่อพี่ได้พบเห็นต้อมกับตาลอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก จิตพี่รับรู้พลังวิญญาณของทั้งสองอย่างเลือนลาง พี่จึงตัดสินใจนำทั้งสองมารับพรหมจรรย์ที่นี่ พร้อมกับสั่งให้ชัยกับปาเกอยะมาพบพร้อมกับเจสสิก้าและรีน่า บัดนี้พี่รู้แล้วว่าพี่คาดไว้ไม่ผิดแม้แต่น้อย…ทั้งหกคนคือสหายศึกที่เคย ร่วมรบกับเราในอดีต..แต่การจะปลุกจิตของทุกคนให้กลับฟื้นคืนนั้น พี่จำเป้นต้องอาศัยพลังของลูกศรน้อยที่รักของพี่สักครั้ง….’

‘พะ พะ พี่เอ….แต่…จิตของทั้งหกนั้นหาใช่จิตแห่งมนุษย์กึ่งเทพไม่….หากแต่ เป็นเชื้อสายแห่งเทพที่สัมพันธ์กับเผ่าพันธ์อื่นที่ไร้ความต่อเนื่องของ วิญญาณเช่นมนุษย์ แม้พี่เอจะเย็ดต้อม ตาล รีน่า เจสสิก้า พี่เอก็สามารถเพียงถ่ายทอดปราณเท่านั้น…ไม่สามารถปลุกความทรงจำในอดีต ได้…แต่…พะ พี่ เอ จะ จะ ให้เรอินะช่วยอะไร..ทำไมต้องเล้าโลมเรอินะแบบนี้…แต่ไม่ยอมเย็ดเรอิ นะ…ซีดส์’

จิตเรอินะพยายามถกเถียงเหตุผลกับไกรวิทย์ตามนิสัยที่ไม่ ยอมปล่อยให้ความ สงสัยใดผ่านไปได้ ทั้งที่เรือนร่างเปล่าเปลือยกำลังถูกไกรวิทย์เคล้นคลึงทุกสัดส่วนที่ไวต่อ ความรู้สึก

‘ใครจะอดใจละเว้นการเย็ดเทวนารีที่แสนงดงงามเช่นเรอินะ ของพี่ได้ เพียงแต่พี่ต้องขอให้เรอินะเปลี่ยนร่างนี้ให้ไปอยู่ในร่างเด็กหญิงเสีย ก่อน…มิฉะนั้นด้วยพลังธนูสลายปราณแห่งเทวนารีราศรีธนู การสลายปราณในร่างของขุนพลเทพทั้งหกนี้จะกลับกลายเป็นการสังหารทุกคนไปเสีย ก่อน…’

‘สลายปราณ…พี่เอจะสลายปราณของทุกคนพร้อมกันด้วยธนูสลายปราณของงเรอินะ…นี่หมายความว่าพี่เอตั้งใจจะ….’

จิต เรอินะอุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ไกรวิทย์ตั้งใจจะทำ จนร่างที่กำลังสั่นสะท้านไปกับการสัมผัสกลับหยุดนิ่งด้วยความตกใจ

‘ถูก แล้ว…เรอินะคาดเดาไม่ผิด วิธีเดียวที่จะฟื้นจิตของทั้งหกกลับมามีเพียงการสลายปราณทั้งหมดในร่างด้วย กาฬปราณที่ผ่านธนูสลายปราณของเรอินะเท่านั้น….’

‘แต่ปราณของทั้งหก ต่างกับเหล่าเทวนารี การที่พี่เอถ่ายทอดปราณให้พวกเราทุกคนนั้นเป็นการกระตุ้นให้ร่างแห่งเทวนารี ดูดรับพลังธรรมชาติมาเป็นพลังปราณของตนเอง พี่เอไม่ได้สูญเสียปราณในร่างแม้แต่น้อย แต่สำหรับพวกของปาเกอยะนั้น ร่างกายทุกคนคือมนุษย์ธรรมดาที่ปราศจากจิตแห่งเทวนารีสถิตย์อยู่ การถ่ายทอดปกาฬปราณเข้าสู่ร่างจึงจำเป็นต้องผนึกปราณบริสุทธิ์ของพี่เอเข้า ไปในร่าง ซึ่งนั้นหมายความว่าพี่เอจะต้องสูญเสียปราณแห่งเทพเจ้าในร่างเพื่อการ นี้…พี่เอแน่ใจหรือ…’

จิตที่แฝงสำเนียงคัดค้านอย่างจริงจังของเร อินะส่งไปยังไกรวิทย์ พร้อมกับที่ร่างงามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งมายันกายกับแผ่นอกไกรวิทย์ เพื่อจับจ้องดวงตาชายหนุ่มผู้เป็นทั้งผู้นำแงจักรราศรี และสามีอันเป็นที่รัก ทำให้ไกรวิทย์ต้องเยอยิ้มบางเบาขณะเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้างามคมคายเบื้อง หน้า เสียงทางจิตที่ส่งกลับมาพลันเปปลี่ยนเป้นน้ำเสียงทรงอำนาจที่แฝงความอ่อนโยน เอาไว้

‘ลุกศรน้อยแห่งเราจำได้หรือไม่ว่าขุนพลทั้งหกเคียงข้างจักร ราศรีมาตลอด แม้ชีวิตจะสูญสิ้นไปพร้อมกันในมหาสงครามกับเผ่าพันธ์มังกร แต่วิญญาณของพวกเขาตามรับใช้เราและเหล่าเทวนารีมาทุกชาติภพ ปราณของพี่จะนับเป็นอย่างไร หากต้องสูญเสียไปเพียงสองส่วนเพื่อฟื้นบริวารที่จงรักภักดีกลับมาเคียงข้าง อีกครั้ง….’

ริมฝีปากรูปกระจับของเรอินะเม้มเข้าหากันเป็นสัญญาณของการใช้ความคิด แต่ยังคงส่งจิตตอบมาอย่างดื้อดึงตามอุปนิสัยประจำตัว

‘นาย ท่าน ลูกศรน้อย…แต่พวกเรากำลังอยู่ในการเตรียมทำสงครามครั้งสุดท้ายกับจักราศรี แม้นายท่านจะทรงปราณเท่าเทียมเทพเจ้าแต่นายท่านก็รู้ดีว่าผู้ที่เราจะต้อง เผชิญนั้นนอกจากเทพสุรัสวดี เทวนารีที่ยังคงเหลือ ยังมีหกสิบขุนพลเทพที่พี่จานีสเองก็บอกว่าถึงแต่ละนางจะมีพลังปราณเพียงกึ่ง หนึ่งของเทวนารี แต่หากพวกนางรวมตัวเป็นพยุหะสงคราม โอกาสที่พวกเราจะเอาชัยนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้นายท่านจะยอมสูญเสียปราณถึงสองส่วนไปในยามวิกฤติเช่นนี้หรือ’

‘ลูก ศรน้อยที่รักแห่งเรา..สงครามนั้นหาได้ตัดสินกันด้วยพลังอำนาจในการทำลาย ล้างแต่ประการเดียวไม่…จริงอยู่ที่จักรราศรีของเรายังไม่เท่าเทียมกับกอง ทัพของเทพสุรัสวดี แต่พวกเรายืนหยัดอยู่บนความเที่ยงธรรมด้วยสัจจะแห่งของการปกป้องมวลชีวิตบน พิภพนี้…เราเชื่อมั่นในสิ่งนี้ เช่นเดียวกับเชื่อมั่นในเทวนารีของเราทุกนาง เชื่อมั่นในหกขุนพลเทพที่เคียงข้างพวกเรามา หากแม้นในมหาสงครามครั้งนี้พวกเราจะต้องดับสูญ เราก็ขอดับสูญเคียงข้างเหล่าเทวนารีทุกนางและสหายศึกทั้งหกที่ได้รับรู้ถึง ตัวตนที่แท้จริงอีกครั้ง….’

จิตทรงอำนาจแห่งเทพวิรุณปักขะที่เทวนา รีแห่งราศรีธนูคุ้นเคยมานับหมื่นปีส่ง ออกมาอย่างมั่นคง ทำให้เรอินะถอนใจยาวก่อนฟุบร่างลงกับแผ่นอกผู้เป็นนายเหนือ

‘ลูกศรน้อยเข้าใจแล้ว…..ความตายจะเปล่าเปลี่ยวเพียงใด หากไม่ได้สูญสิ้นไปพร้อมกับผู้เป็นที่รัก ….’

ทันที ที่ส่งจิตออกมาร่างงามปราดเปรียวที่ฟุบอยู่เหนือแผ่นอกไกรวิทย์ก็ส่ง กระแสปราณออกมาพร้อมกับร่างหญิงสาววัย 17 ปีพลันแปรเปลี่ยนไป กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนยุบตัวลงพร้อมกับร่างที่เคยเติบโตเต็มวัยสาวลดวูบลงมา จนกลายเป็นร่างบอบบางของเด็กหญิงวัย 12 ปี สองแขนเรียวเล็กกอดร่างไกรวิทย์ไว้แน่น ขณะที่แผ่นอกชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงน้ำตาอบอุ่นที่ไหลออกมาจากดวงตาเด็กหญิง ทำให้ไกรวิทย์ต้องดันร่างน้อยนั้นให้กลับมาอยู่ในท่านั่งบนตัก และเอื้อมมือไปลูบไล้ดวงหน้าเด็กหญิงเบื้องหน้าอย่างนุ่มนวล

‘พี่ดีใจที่เรอินะเข้าใจ….ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต พวกเราทุกคนจะไม่มีวันแยกจากกันไม่ว่าจะมีลมหายใจหรือไม่ก็ตาม….’
‘พี่เอ…เรอินะพร้อมแล้วที่จะเคียงข้างพี่เอไปจนถึงที่สุด….ไม่ว่าจะ….อื๋ย…’

ยัง ไม่ทันที่จิตเรอินะจะส่งออกมาเสร็จสิ้น จิตเด็กหญิงกพลันเปลี่ยนเป็นอุทานเบาๆ เมื่อรับรู้ว่ามือของไกรวิทย์แทรกผ่านหน้าท้องที่เบียดแน่นกับสะโพกครัด เคร่งนั้น ไปยังเนินรักไร้ขนที่กดแนบแน่นอยู่กับลำลึงค์เบื้องล่าง พร้อมกับที่ใบหน้าไกรวิทย์ซุกลงที่กลางทรวงอกระหว่างสองเต้าน้อยๆ ที่ผลิบานเป็นเพียงสัณฐานเนินนูนเล็กๆ ริมฝีปากไกรวิทย์เม้มคลึงยอดอกเม็ดน้อยแผ่วเบา แต่ทำให้ร่างที่อยู่ในสภาพเด็กหญิงวัย 12 ปีของเรอินะสะท้านเฮือก สองแขนกอดรอบคอไกรวิทย์แน่น ขฯที่สะโพกน้อยๆ ยกตัวขึ้นรับการสัมผัสนุ่มนวลของมือที่กำลังไล้ไปตามร่องรักน้อยๆ ที่เริ้มมีหยาดน้ำใสหอมกรุ่นหลั่งรินออกมา

‘ร่างนี้ของเรอินะน่ารักเหลือเกิน…จนบางทีพี่ก็อยากให้เรอินะคงอยู่ในร่างเด็กหญิงแบบนี้ตลอดไป…’
‘อู ย..พี่เอ….ถ้าพี่เอชอบ…เรอินะ…ยินดีที่จะคงร่างเช่นนี้…ตะ ตะ แต่…ในร่างนี้ นมเรอินะแทบจะไม่มีเลย พี่เอจะ..จะ…อูย…’

เทวนา รีแห่งวราศรีธนูในร่างเด็กหญิงครางออกมาอย่างลืมตัวเมื่อรับรู้ว่ามือ ที่เคล้นคลึงร่องรักเบื้องล่างกลับเปลี่ยนมาเกาะกุมสะโพกกระทัดรัดที่ยังไม่ ผายตัวออกเอาไว้ สองแคมน้อยสัมผัสกับปลายแก่นกายมหึมาที่กำลังแทรกผ่านความคับแน่นเข้าไปช้าๆ จนเรอินะต้องกัดฟันรับความคับแน่นเบื้องล่างเอาไว้ พร้อมกับจิตที่ส่งเสียงครางออกมา

‘อูย..พี่เอ….นะ นี่ถ้าเป็นหีเด็กหญิงธรรมดา ควยพี่เอฉีกหีกระจุยแน่…ซึดส์…’
‘แต่ หีของเทวนารีเช่นเรอินะ..แม้จะอยู่ในร่างเด็กหญิง หีนี้ก็ยังรับควยพี่ได้ทุกครั้งไป อูย…คับแบบนี้จะให้พี่ไม่ติดใจหีเรอินะได้อย่างไร’

ไกรวิทย์ ครางออกมาเบาๆ ด้วยความเสียวสุดขีดเมื่อแก่นกายผ่านเข้าสู่ความคับแน่นของหลืบรักเด็กหญิง ทีละน้อย พร้อมกับสัมผัสถึงหลืบเนื้อทุกส่วนภายในร่างกายเรอินะบดอัดแก่นกายไว้จนแทบ จะเป็นเนื้อเดียวกันด้วยพลังปราณมหาศาล ที่หากเป็นแก่นกายมนุษย์เพศชายทั่วไปแรงบดอัดนี้สามารถขยี้แก่นเนื้อนั้นให้ แหลกเหลวไปในทันที แต่สำหรับไกรวิทย์แล้ว ความคับแน่นนี้กลับให้ความเสียวและรสสัมผัสแห่งความสุขที่ไม่มีมนุษย์ธรรมดา ผู้ใดสามารถเสพรับได้

‘อาห์…พี่เอ….ยะ อย่าเพิ่งเร่ง…..’

เร อินะส่งจิตกระท่อนกระแท่นเมื่อรับรู้ว่าแก่นเนื้อไกรวิทย์กำลังใช้พลัง เต็มที่บุกเข้าไปจนถึงส่วนลึกที่สุดของร่างกายเด็กหญิง ก่อนเริ่มขยับเข้าออกครูดติ้งเนื้อเสียวที่ปากสองแคมจนความเสียวปะทุในสมอง เด็กหญิง…แต่แม้จิตจะส่งเสียงราวกับจะห้ามปรามการเร่งความเร็ว สะโพกเด็กหญิงกลับแอ่นขึ้นรับการกระเด้าเข้าออกของแก่นเนื้อไกรวิทย์ทุก จังหวะ ขณะที่สองมือเด็กหญิงควานหาใบหน้าไกรวิทย์แล้วประทับริมฝีปากน้อยๆ เข้าหาอย่างเร่าร้อนครมอารมณ์รักที่พลุ่มสูงขึ้นทุกขณะ

ไกรวิทย์ สูดลมหายใจยาว สองมือเกาะกุมเคล้นเต้มนมเล็กๆ ทั้งคู่เอาไว้จนหัวนมน้อยๆ แข็งตัวชูชันราวเม็ดมณีอยู่ในอุ้งมือ ร่างบอบบางบิดส่ายไปมาพยายามบดเนินรักเข้ากับหน้าท้องไกรวิทย์ พร้อมกับโยกร่างเข้าหาแก่นกายที่ผลุบเข้าออกร่องรัก…จิตที่สั่นสะท้านส่ง ออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น

‘พะ พี่..เอ..เรอินะ..กำลัง…จะ…จะ….อ๊าวส์….’

ร่าง น้อยๆ ของเด็กหญิงสั่นระริก เมื่อความเสียวพลุ่งมาถึงที่สุด ไกรวิทย์ขบกรมแน่น สองมือโอบแก้มก้นตึงแน่นของเด็กหญฺงดึงเข้าหาตัวจนแก่นเนื้ออักแน่นเข้าไปใน โพรงมดลุกเรอินะ น้ำรักที่พุ่งมารอกันแน่นที่หัวบายทะลักเป็นสายฉีดเข้าสู่มดลูกเด็กหญิง พร้อมกับกาฬปราณที่หลั่งไหลเข้าไปในจักรทั้งสี่….นำการโคจรรอบแล้วรอบเล่า จนร่างเรอินะคลายตัวลง ปราณในร่างเชื่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับไกรวิทย์

‘เรอินะ…พร้อมจะใช้ธนูสลายปราณแล้วหรือไม่…’
‘พี่เอ…เรอินะพร้อมแล้ว…’
‘ถ้าเช่นนั้นจงเชื่อมกาฬปราณเข้ากับพี่…แล้วผนึกธนูสลายปราณเอาไว้…’

จิต ไกรวิทย์ส่งออกไปพร้อมกับร่างที่แก่นกายยังคงฝังแน่นในร่องรักเรอินะพลัน ลอยตัวขึ้น ปราณในร่างแยกออกเป็นสองสาย สายหนึ่งส่งออกไปยังร่างของ ปาเกอะที่ยังคงร่วมรักกับแพดาวและพรางเดือน อีกสายหนึ่งส่งไปยังชัยณรงค์ เจสสิก้า และรีน่า พลังปราณทั้งสองสายพลันยกร่างทั้งหกขึ้นจากพื้นห้อง ก่อนที่จะปรับร่างทั้งสองกลุ่มให้อยู่ในท่วงท่าประหลาด ด้านหนึ่งปาเกอยะที่ยังคงฝังแก่นกายอยู่ในหลืบรักอวบอิ่มของแพดาว กลับถูกปราณของไกรวิทย์หมุนให้ศีรษะปาเกอยะมาฝังอยู่กับเนินรักพรางเดือน พร้อมกับที่สองเด็กสาวถูกเคลื่อนร่างกายให้ประกบริมฝีปากเข้าหากัน ส่วนอีกด้านหนึ่งชัยณรงค์ก็ถูกจัดท่าร่างให้อยู่ในท่วงท่าแบบเดียวกัน โดยแก่นเนื้อของชายหนุ่มยังคงกระเด้าหลืบรักเจสสิก้าไม่หยุด ขณะที่ใบหน้าที่งดงามราวสตรีนั้นฝังอยู่ระหว่างขาเรียวงามของรีน่าอัดแนบ แน่นอยู่กับสองแคมรักฉ่ำเยิ้ม และด้วยอารมณ์ที่กำลังตกอยู่กับควาต้องการทางเพศอย่างรุนแรง ทั้งปาเกอยะและชัยณรงค์ต่างประกบปากเข้ากับเนินนูนของแพดาวและรีน่า ดูดดื่มน้ำรักที่หลั่งรินออกมาจากสองแคมราวกับผู้หลงทางกลางทะเลทรายมาพบสาย น้ำใส ความเสียวที่พุ่งทะยานทำให้เจสสิก้า รีน่า แพดาวแลพรางเดือน ต่างประกบริมฝีปากเข้ากับพี่น้องฝาแผดของตนเอง ก่อเป็นท่วงท่าประหลาดของการร่วมรัก

‘พี่เอ….ท่วงท่านี้คือท่วงท่าของการถ่ายทอดปราณราหูใช่หรือไม่ ’

จิต ที่กลับสู่ความมั่นคงหลังการร่วมรักผ่านพ้นของเรอินะดังขึ้นเมื่อเห็นภาพ ของท่วงท่าประหลาด แต่การอยู่ร่วมกับเหล่าเทวนารีทุกคน ทำให้เรอินะได้รับรู้เรื่องราวที่ผ่านมาของไกรวิทยืเป็นอย่างดี ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ไกรวิทย์เกือบต้องสิ้นชีวิตไปกับการใช้ ปราณราหูขอสองพี่น้องแพรวพราวแห่งสำนักโรหิณีในอดีต

‘เรอินะคาดเดา ได้ถูกต้อง ด้วยท่วงท่าของการโคจรปราณราหูที่มิถุกานารีผู้ชั่วร้ายกลับสามารถคิดค้น วิธีส่งผ่านปราณให้เชื่อมต่อกับคนสามคนได้ จนทำให้พี่สามารถอาศัยท่วงท่านี้ถ่ายทอดกาฬปราณให้พวกปาเกอยะทั้งหกได้พร้อม กัน…..’

‘พี่เอ…ปาเกอยะกับนายชัยกำลังจะปลดปล่อยน้ำรักแล้ว…..’

เสียง สูดปากจากความเสียวสุดยอดดังขึ้นจากปาเกอยะและชัยณรงค์พร้อมกัน เป็นสัญญานบอกให้รู้ว่าการร่วมรักของบุคคลทั้งหกกำลังไปถึงจุดหมาย ร่างงามของพรางเดือน และเจาสสิก้าบิดส่ายพร้อมกับแอ่นสะโพกเตรียมรับความเสียวสุดยอด เช่นเดียวกับแพดาวและรีน่าที่ถูกลิ้นของชายหนุ่มมทั้งสองกระตุ้นไม่หยุดจน เด็กสาวทั้งสองทะยานขึ้นสู่ความเสียวสุดยอด

‘ลูกศรน้อย….ผนึกธนูสลายปราณแยกเป็นหกสายสลายปราณทั้งหกเดี๋ยวนี้…’
‘บัญชาแห่งเทวะ…ลูกศรน้อยรับรู้แล้ว…ธนูสลายปราณ…’

ท่าม กลางเสียงแห่งความสุขสุดยอด ปราณในร่างไกรวิทย์ซึ่งผนึกโคจรเป็นหนึ่งเดียวกับเรอินะผ่านแก่นกาย ส่งจิตสั่งให้เทวนารีแห่งราศีธนูปลดปล่อยธนูสลายปราณออกไปยังเป้าหมาย พร้อมกับปราณแหลมคมกลุ่มหนึ่งกระจายออกจากร่างไกรวิทย์แผ่พุ่งไปปิดสกัดการ โคจรปราณในร่างของชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหก จนร่างที่กำลังเกร็งตัวด้วยความเสียวสุดยอดนั้นนิ่งสนิทในพริบตา

ทัน ทีที่เรอินะขานรับคำสั่ง คันธนูและลูกธนูสีดำสนิทด้วยอำนาจกาฬปราณของไกรวิทย์ที่วนเวียนอยู่ในร่าง ก็ก่อตัวขึ้นในมือทั้งสองของเรอินะ ประกายสีดำพุ่งออกจากคันธนูปราณ แยกออกเป็นหกสายเข้าสู่จักรอัคคีที่ท้องน้อยของทุกคนในพริบตา แม้ปราณแห่งเทวนารีที่อยู่ในสภาพของเด็กหญิงวัย 12 จะลดอำนาจไปกว่าครึ่ง แต่สำหรับหนุ่มสาวทั้งหกที่ถูกิปดกั้นการโคจรปราณขณะกำลังถึงจุดสุดยอดของ การร่วมรักโดยปราศจากการผนึกปราณป้องกันตัวนั้น พลังเพียงครึ่งหนึ่งของธนูสลายปราณก็สามารถสลายปราณทั้งหมดในร่างทุกคนได้ อย่างไม่เป็นปัญหา ร่างทั้งหกสะท้านเฮือกเมื่อพลังของธนูสลายปราณแห่งเทวนารีที่ปราศจากมนุษย์ ใดต้านทานได้แทรกซึมผ่านเข้าสู่ร่างราวกับน้ำแทรกผ่านทราย กรุยผ่านเส้นทางโคจรปราณและสบายพลังทั้งหมดในร่างให้กระจายออกจากทุกรูขุมขน ในชั่วอึดใจเดียวปราณมารเอกะที่ปาเกอยะและชัยณรงค์ฝึกปรือมาก็ศูญสิ้น พร้อมกับปราณคชสีห์ที่ได้รับถ่ายทอดจากไกรวิทย์ในร่างของรีน่า เจสสิก้า แพดาว พรางเดือน

‘ลูกศรน้อยผนึกธนูสลายจิต…แทรกผ่านจักรพสุธา…ระวังไว้ด้วยอย่าให้พลาดตำแหน่ง จิตตาแห่งเทพจะไปพร้อมกับธนูนั้น…’
‘นาย ท่าน จำเป็นด้วยหรือที่ต้องย้ำตำแหน่งมิให้ลูกศรน้อยพลาด..นับหมื่นปีมานี้ธนู แห่งเทวนารีของลูกศรน้อยหาเคยพลาดเป้าหมายไม่…ธนูสลายจิต….’

เร อินะที่แม้จะใช้ถ้อยคำของเทวนารีสื่อสารกับไกรวิทย์ แต่ด้วยอุปนิสัยดื้อรั้นประจำตัวทำให้หญิงสาวอดที่จะส่งจิตที่แฝงความหมาย ตอบโต้คำสั่งของผู้เป็นนายเหนือไม่ได้ แต่ก็ยังคงผนึกธนูสลายจิตที่ดึงกาฬปราณจากร่างไกรวิทย์ส่งพลังเข้าสู่ลูกธนู แล้วพุ่งวาบออกไปยังศีรษะของเป้าหมายทั้งหกอย่างแม่นยำ ธนูสลายจิตแทรกเข้าสู่ร่างที่ปราศจากการป้องกันทั้งหก พร้อมกับกลุ่มหมอกสีดำที่รวมตัวเป็นเส้นหกสายเชื่อมต่อจักรพสุธาของเหล่า อดีตขุนพลเทพทั้งหก กับคันธนูของเรอินะ

‘นายท่าน….สะพานเชื่อมปราณอันก่อจากธนูสลายจิตสำแร็จแล้ว…’
‘ลูกศรน้อยผนึกจิตไว้อย่าปล่อยให้กนะแสธนูสลายจิตขาดตอน…เราจะถ่ายทอดปราณเข้าสู่เหล่าขุนพลเทพในบัดนี้’

ด้วย จิตที่กำหนดในสมาธิขั้นสูง เรอินะรับรู้ได้ถึงพลังปราณมหาศาลถูกส่งผ่านจากร่างไกรวิทย์เข้าสู้สะพาน เชื่อมปราณ แล้วแทรกซึมผ่านเข้าสู่จักรพสุธาของปาเกอยะ ชัยณรงค์ รีน่า เจสสิก้า แพดาว พรางเดือน พร้อมกัน ข่ายเส้นใยปราณของธนูสลายจิตที่ครอบคลุมจักรพสุธาในศรีษะของทั้งหกพลันขยาย ตัวขึ้นแล้วสลายตัวออกโดยไร้เสียง ปลดปล่อยพลังงานจิตมหาศาลเข้าสู่สมอง พร้อมกับพุ่งลงไปยังจักรอัคคีที่ว่างเปล่าจากผลของธนูสลายปราณ รวมขุมพลังเป็นกลุ่มก้อน และเริ่มโคจรไปตามเส้นทางปราณที่ไกรวิทย์กำหนดจิตชักนำ เพียงชั่วอึดใจเดียวปราณในร่างทั้งหกก็ก่อตัววนเวียนได้ด้วยตัวเองรอบแล้ว รอบเล่า ผ่านจุดเชื่อมที่ถูกปิดกั้นโดยปราณของไกรวิทยืเมื่อครู่ ร่างทั้งหกพลันสะท้านเฮือก ก่อนร่างที่เชื่อมต่อในท่วงท่าแห่งปราณราหูจะดีดตัวออกจากกัน มานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ละอองหมอกสีดำก่อตัวขึ้นปกคลุ่มร่างเปลือยของทั้งหก พร้อมกับกระแสปราณสีดำที่เชื่อมต่อจากธนูปราณใรมือของเรอินะสลายตัวลง

‘พี่เอ…สำเร็จแล้ว…เอ๊ะ….พี่เอเป็นอย่างไรบ้าง’

จิต เรอินะส่งเสียงเรียกไกรวิทย์เมื่อพบว่าการถ่ายทอดปราณสำเร็จ..แต่ด้วยน้ำ เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นกังวล เมื่อเด็กสาวพบว่าบนใบหน้าไกรวิทย์ปรากฏละอองน้ำของเหงื่อที่บริเวณหน้าผาก ซึ่งแม้จะมีปริมาณไม่มากแต่สำหรับเหล่าผู้ทรงปราณระดับสูงเทียมเทพเจ้าเช่น ไกรวิทย์หรือเหล่าเทวนารีนั้น หยาดเหงื่อเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏบนร่างกายให้เห็นแม้แต่หยดเดียว

‘พี่ ไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่การสูญเสียปราณไปสองส่วนทำให้ปราณในร่างพี่เสียสมดุลย์ไปเล็กน้อย ปราณจากจักรอัคคีจึงกระจายไปทั่วร่างชั่วขณะเท่านั้น เรอินะไม่ต้องกังวลไป…’

‘ปราณสองส่วนจากมวลปราณแห่งเทพนั้นมหาศาล นัก พวกปาเกอยะทั้งหกที่ได้รับปราณนี้จะกลับกลายเป็นมนุษย์กึ่งเทพที่เหนือกว่า ผู้ทรงปราณทุกคนในโลก แม้จะยังไม่เทียมเท่าเหล่าเทวนารี แต่ก็ไม่ห่างไกลนัก เรอินะอดกังวลไม่ได้ที่พี่เอต้องสูญเสียพลังถึงเพียงนี้…’

ไกร วิทย์อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อรับรู้ว่าแม้เรอินะจะยินยอมช่วยถ่ายทอดปราณ แห่งเทพไปยังปาเกอยะ ชัยณรงค์ รีน่า เจสสิก้า แพดาว พรางเดือน แต่เทวนารีแห่งราศรีธนูผู้ดื้รั้นก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการส่งมอบปราณที่จำ เป็นสำหรับการต่อสู้กับจักรราศรีออกไป และอดส่งจิตที่แฝงสำเนียงกังวลออกมาไม่ได้ แต่ก่อนที่ไกรวิทย์จะส่งจิตตอบ เสียงอุทานอย่างแตกตื่นพลันดังขึ้นพร้อมกันจากร่างวชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหก ที่ปราณในร่างโคจรครบรอบปลุกสติให้กลับมา พร้อมกับทุกร่างสาดพุ่งมาคุกเข่าคารวะอยู่รอบร่างไกรวิทย์ด้วยอาการแสดงความ เคารพสูงสุดที่เหล่าขุนพลเทพในอดีตกาลเคยใช้

“ขุนพลเทพขอกราบพบมหาเทพวิรุณปักขะ…”

เสียง ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหกดังขึ้นพร้อมกันด้วยสำเนียงที่บอกให้รู้ว่าความ ทรงจำแห่งอดีตกาลได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากอำนาจแห่งกาฬปราณที่แทรกเข้าสู่ วิญญาณ และหลอมรวมกับความทรงจำปัจจุบันจนรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างของตนเอง ในทันที โดยไม่มีความจำเป็นที่ไกรวิทย์จะต้องอธิบายแต่อย่างใด

“มหาเทพ…บริวารขุนพลวรมันต์ขอเป็นตัวแทนพี่น้องทั้งหก ขอบคุณมหาเทพที่ประทานปราณปลุกวิญญาณแห่งพวกเราให้ตื่นขึ้น….”

เสียง ที่มั่นคงเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ดูขัดแย้งกับใบหน้าที่ดูราวสตรีของชัย ณรงค์ ดังขึ้นด้วยอาการสำรวมสูงสุด พร้อมกับดวงตาทั้งหกคู่ที่จับจ้องมายังดวงตาไกรวิทย์โดยไม่แสดงท่าทีแปลกใจ กับภาพร่างเปล่าเปลือยของไกรวิทย์ที่ยังคงฝังแก่นกายอยู่ร่างเรอินะแม้แต่ น้อย…

“วรมันต์ ปาราฆพยะ อาตาลี ซอรีนะ วาชินี จิตรากานต์ เราดีใจที่พวกเข้าตื่นแล้วในภพภูมินี้ แต่ในกาลนี้หาใช่กาลแห่งมหาอาณาจักรปราณในอดีตไม่ เราขอมีบัญชาให้พวกเจ้าทุกคนจงดำรงสถานะในภพภูมิปัจจุบันเอาไว้ หามีความจำเป็นที่จะต้องใช้ถ้อยคำแห่งอาณาจักปราณกับเราและเหล่าเทวนารีไม่ พวกเจ้าจงคงความเป็น ชัยณรงค์ ปาเกอยะ รีน่า เจสสิก้า แพดาว พรางเดือนเอาไว้ดังเดิมเถอะ”

“ขุนพลเทพรับบัญชามหาเทพ…”

เสียงหนักแน่นทั้งหกดังขึ้นพร้อมกัน ทำให้ไกรวิทย์อดส่ายหน้าและส่งเสียงดุออกไปอย่างไม่จริงจังนัก

“รับบัญชาอะไรกัน เจ้าชัย ปาเกอยะ รีน่า เจสสิก้า ต้อม ตาล…ตอบรับใหม่เดี๋ยวนี้”
“รับคำสั่งนายน้อย….”
“เอา ล่ะ…ตอนนี้ปราณในร่างพวกเจ้าทุกคนแม้จะโคจรสมบูรณ์ แต่พวกเจ้ายังต้องผนึกจิตให้หลอมรวมกับปราณเพื่อฟื้นฟูวิชาปราณประจำตัวของ ทุกคนในอดีตให้กลับคืนมา เจ้าชัย เอ็งเป็นตัวแทนของทุกคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนนี้จงพาทุกคนไปแยกย้ายเข้าประจำที่คูหาศิลาของบ้านคชสีห์เป้นเวลาสามวัน แต่ตลอดสามวันนี้ห้ามเย็ดกันเด็ดขาดแม้จะต้องการอย่างไรก็ตาม มิฉะนั้นปราณที่ยังไม่เสถียรของพวกเจ้าจะปั่นป่วนจนไม่สามารถสำเร็จวิชา ประจำตัวได้ เข้าใจหรือไม่”
“บริวารเข้าใจ…”
“เอาล่ะ ทุกคนออกไปได้แล้ว..คืนนี้เราจะไปพบพวกเจ้าทุกคนที่คูหาศิลาเพื่อปรับปราณให้อีกครั้ง..”

เสียง ขานรับจากเหล่าหกขุนพลที่เพิ่งตื่นขึ้นพร้อมความทรงจำแห่งอดีตกาลดัง ขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งหกจะถอยหลังไปยันกายลุกขึ้นจากท่าแสดงความเคารพเพื่อเตรียมออกไป จากห้อง แต่ก่อนที่ทุกคึนจะเคลื่อนไหว เสียงงกังวานใสของแพดาวก็ดังขึ้นอย่างลังเล

“มหาเทพ…มิใช่สิ นายน้อย การปรับปราณที่นายน้อยจะปรับให้ในคืนนี้หมายความว่าต้อมกับตาลจะจะ ต้อง…เอ้อ…เย็ดกับพี่เออีกใช่หรือไม่….”

คำถามของแพดาวทำให้ ปาเกอยะ ชัยณรงค์ เจสสิก้า รีน่า และพรางเดือน ชะงักร่างที่กำลังจะก้าวเดินออกไปพร้อมกัน ราวกับว่านี่คือคำถามที่ทุกคนอยากถาม แต่ไกรวิทย์กลับหัวเราะออกมาเบาๆ

“เรา รู้แล้วว่าบัดนี้จิตในอดีตของพวกเจ้าทุกคนหลอมรวมกับจิตปัจจุบันแล้ว คำถามนี้ของต้อมจึงเกิดขึ้น เรารู้ว่าต้อมถามคำถามนี้เพราะคำสั่งที่เราบอกให้ทุกคนยึดถือสถานะปัจจุบัน ดังนั้นในเรากำหนดให้รีน่าและเจสสิก้า เป็นคู่ของเจ้าชัย และต้อมกับตาลเป็นคู่ของปาเกอยะ พวกเจ้าจึงสับสนว่าเราจะปรับปราณด้วยการเย็ดดังเช่นการปรับปราณคชสีห์ แต่ข้อนี้พวกเจ้าหาต้องกังวลไม่ เพราะปราณในร่างพวกเจ้าทั้งหกตอนนี้คือกาฬปราณที่เราถ่ายทอดให้ การเย็ดจึงไม่สามารถปรับปราณของพวกเจ้าได้อีกต่อไป สิ่งที่เราจะกระทำคือการปรับสมดุลปราณในร่างผ่านการถ่ายทอดเข้าสู่จักรทั้ง สี่โดยการสัมผัสเท่านั้น…อีกประการหนึ่ง..”

ไกรวิทย์หยุดคำพูดไว้ ชั่วขณะ เมื่อพบว่าดวงตาของปาเกอยะ และชัยณรงค์ ที่ก่อนหน้านี้ดูจะแฝงความไม่สบายใจเอาไว้ ได้กลับเข้าสู่แววตาปกติหลังจากไกรวิทย์บ่งบอกว่าจะไม่ใช้การร่วมรักกับหญิง สาวทั้งสี่ในการปรับปราณ

“เรารู้ดีว่าด้วยความจำของพวกเจ้าทั้งหก ที่ตื่นขึ้น อำนาจแห่งขนบประเพณีของเผ่าพันธ์พวกเจ้าทคนที่ยึดมั่นในคู่ชีวิตโดยไม่มี การนอกใจกัน ทำให้พวกเจ้าโดยเฉพาะปาเกอยะ กับเจ้าชัย ไม่สบายใจเมื่อคิดว่าภรรยาของพวกเจ้าจะต้องถูกเราเย็ดเพื่อปรับปราณ อีก…ดังนั้นนับแต่นี้ต่อไปพวกเจ้าสามีภรรยาทั้งหกจงดำรงวิถีชีวิตคู่ของ เผ่าพันธ์พวกเจ้าเอาไว้ดังที่ความทรงจำของพวกเจ้าต้องการเถอะ…’

คำ พูดของไกรวิทย์ทำให้ปาเกอยะและชัยณรงค์สะท้านเฮือกขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ปาเกอยะจะรีบหันร่างมาคุกเข่ากับพื้นตามด้วยชัยณรงค์ ที่ส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน

“นายน้อยเข้าใจปาเกอยะผิดไปแล้ว…”
“นาย น้อยเป็นเจ้าชีวิตของพวกเรา พวกเราหาได้ไม่พอใจที่นายน้อยจะเย็ดคู่ของเราไม่ พวกเราจำได้ดีว่าสำหรับเผ้าพันธ์มนุษย์ในมหาอาณาจักรปราณนั้น พรหมจารีย์ของสตรีจักต้องมอบแด่เทพก่อนที่พวกนางจะครองคู่ วิถีที่พวกเราจะยึดถือจึงควรเป็นวิถีแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ การที่นายน้อยรับพรหมจรรย์ของเจสสิก้า รีน่า แพดาว พรางเดือน จึงไม่ทำให้พวกเราคับข้องใจแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในภพนี้การที่พวกเราได้กำเนิดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ สามารถเย็ดกับคนที่พวกเรารัก ล้วนเป็นการประทานจากนายน้อยทั้งสิ้น หากนายน้อยต้องการ..พวกเราก็…”
“นายน้อย แม้ว่าความทรงจำของรีน่าจะกลับมาและได้รักกับบุรุษที่รีน่าผูกพันมาแต่อดีต แต่ร่างกายและจิตใจของรีน่ายังคงเป็นของนายน้อย…”
“เจสสิก้าก็เช่นกัน หากนายน้อยปรารถนาในร่างกายนี้ เจสสิก้าก็พร้อมที่จะสนองต่อนายน้อย..ละนั่นไม่ได้หมายความว่าเจสสิก้าพี่ ชัยแต่อย่างใด เพราะความจงรักภักดีที่เจสสิก้ามีต่อนายน้อยนั้น สูงกว่าความสัมพันธ์ของพวกเราทุกคน…”
“พี่เอ…ต้อมก็ไม่ต้องการให้พี่ เอสะกดกลั้นความต้องการ….หากพี่ปาเกอยะ ไม่ยอมให้ต้อมเย็ดพี่เอ…ต้อมจะจัดการพี่ปาเกอยะให้ลุกไม่ขึ้นแน่ๆ…”
“ตาล ก็จะเล่นงานพี่ปาเกอยะเช่นกัน….และที่สำคัญแม้จิตแห่งขุนพลเทพจะตื่น ขึ้น แต่หน้าที่ในการดูแลคุณหนูทั้งสี่นั้น ตาลไม่ยอมให้พี่เอเปลี่ยนแปลง พี่เอโปรดอนุญาตด้วยเถอะ..”

คำพูดของชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหกประสานกัน เซ็งแซ่ ทำให้ไกรวิทย์ได้แต่ถอนใจเบาๆ ขณะที่เรอินะที่อมยิ้มกับภาพที่เห็น ค่อยๆ ถอนสะโพกให้หลืบรักปล่อยแก่นเนื้อไกรวิทย์ออกจากร่าง ก่อนที่แสงสว้างวูบหนึ่งจะกระจายออกจากร่างเรอินะ ปรากฏเป็นร่างหญิงสาววัย 17 ปีในชุดเกราะปราณแผ่งเทวนารีราศีธนูลอยอยู่กลางอากาศ..ก่อนส่งเสียงสดใสกับ ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหกด้วยน้ำเสียงที่แฝงสำเนียงหยอกเย้าเอาไว้

“รี น่า เจสสิก้า แพดาว พรางเดือน แล้วหากปาเกอยะ กับชัยณรงค์ ได้รับมอบหมายจากพี่เอให้ทำหน้าที่ถ่ายทอดปราณคชสีห์ให้กับเหล่าสตรีแห่ง โรหิณี พวกเจ้าจะมีข้อขัดข้องหรือไม่….”

คำถามของเรอินะทำให้สตรี งามทั้งสี่หน้าแดงวูบพร้อมกัน ขณะที่ปาเกอยะและชัยณรงค์สะดุ้งเฮือกกับคำถามนั้น และรีบส่งเสียงตอบอย่างหนักแน่น

“ท่านเทวนารีพวกเรามีคู่เคียงกายอยู่แล้ว…หน้าที่นี้พวกเรา…”

ยังไม่ทันที่ชัยณรงค์จะกล่าวจบ เสียงของไกรวิทย์ก็ดังขึ้น

“ปา เกอยะ ชัยณรงค์ จงฟัง กาฬปราณในร่างเจ้าได้รับการถ่ายทอดจากเรานั้น ทำให้พวกเจ้าได้รับปราณคชสีห์ที่มีอำนาจในการปลุกปราณธรรมชาติในร่างสตรีไป พร้อมกัน ต่อไปนี้พวกเจ้าจะต้องรับหน้าที่ถ่ายทอดปราณคชสีห์ให้เหล่าศิษย์สตรีแห่ง ตระกูลคชสีห์และโรหิณี นี่คือคำสั่งของเรา ที่ห้ามโต้แย้งหรือหลีกเลี่ยงใด…พวกเจ้าไปได้แล้ว..”

เสียงที่จริง จังของไกรวิทย์ทำให้ชัยณรงค์ที่กำลังจะพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้ง ต้องรีบหยุดคำพูดพร้อมกับยุดลุกขึ้นถอยกายออกไปจากห้องพร้อมกับทุกคน และในทันทีที่ประตูห้องผนึกญาณปิดตัวลง ร่างงามปราดเปรียวของเรอินะที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันโถมวูบเข้าใส่ร่างไกร วิทย์ มือน้อยๆ ระดมทุบหน้าอกผู้เป็นทั้งนายเหนือและสามีอย่างแง่งอน

‘พี่เอบ้า…เย็ดเรอินะต่อหน้าทุกคนแบบนี้ได้ยังไงกัน…เรอินะก็อายเป็นนะ…’
‘อ้าว ก็คราวที่แล้วพี่เย็ดเรอินะพร้อมกับพวกน้องรินน้องกิฟท์ในห้องนอนใหญ่พร้อม กัน ไม่เห็นเรอินะจะบ่นสักหน่อย แถมยังร้องครางลั่นกดหัวน้องกิฟท์แน่น ตอนน้องกิฟท์มาช่วยใช้ลิ้นกับหีในร่างเด็กของ
เรอินะด้วย…’
‘พี่เอนี่ นั่นเป็นพวกเทวนารีพี่น้องของเรอินะต่างหาก แต่พวกปาเกอยะไม่ใช่สักหน่อย….เห็นไหมเรอินะเลยต้องรีบใส่เกราะปราณแบบนี้ ’

จิตที่กระเง้ากระงอดของเรอินะส่งออกมาไม่ขาดระยะ ทำให้ไกรวิทย์อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ ขณะที่สองแขนกอดร่างงามในเกราะปราณเอาไว้

‘เร อินะไม่ต้องอายไปหรอก พี่รับรองได้เลยว่าตลอดเวลาที่ปาเกอยะ กับเจ้าชัยพูดกับพี่ สายตาทั้งสองไม่ได้จับจ้องที่ร่างอันงดงามของเทวนารีที่รักของพี่แม้แต่แว่บ เดียว…’
‘ไม่รู้ล่ะ…. เรอินะจะ…อื๋ย…พี่เอ….เอาอีกแล้ว….พะ พอก่อนเถอะ…’

จิต เทวนารีแห่งราศีธนูอุทานออกมาเบาๆ เมื่อรับรู้ว่าเกราะปราณสีส้มสดที่คลุมเนินรักอวบอิ่มกำลังสลายตัวเมื่อไกร วิทย์ใช้ปราณในร่างเข้าสัมผัส เนินเนื้อที่ยังคงฉ่ำเยิ้มจากน้ำรักแอ่นตัวขึ้นรับการสัมผัส พร้อมกับเกราะปราณที่เหลือสลายตัวไปในพริบตา ปล่อยใมห้ทรวงอกเต่งตึงถูกริทฝีปากไกรวิทย์เคล้าคลึงอย่างนุ่มนวล

‘อูยพี่เอ….พะ พะ พอเถอะ…ระ เรอินะ มีหน้าที่ต้องทำ…..ต้องไป…อ๊าย…’

แม้ จิตเรอินะจะพยายามส่งข้อความห้ามปรามออกมาอย่างยากลำบาก แต่ร่างกายของหญิงสาวที่ถูกโน้มน้าวด้วยแรงดึงดูดของพลังชีวิตแห่งผลึกมังกร ทำให้ร่างกายนั้นกลับตอบสนองการโลมเล้าของไกรวิทย์โดยไม่สามารถต้านทานได้ ครางลั่น และเมื่อไกรวิทย์ส่งแก่นกายเข้าสู่ร่องรักคับแน่น สะโพกเคร่งครัดเจ่งตึงของเรอินะก็แอ่นขึ้นรับมันเข่าสู่ร่างกายทั้งหมดใน คราวเดียว…

‘หีเรอินะแน่นหนึบแบบนี้ จะให้พี่ปล่อยให้มันเงียบเหงาได้อย่างไรกัน’
‘อู ย พี่เอ….มันแน่นไปหมด…นี่ขนาดเป็นร่างจริงของเรอินะแล้วนะ…ยังแน่นขนาด นี้….อาห์ พะ พี่เอ..ชอบหีของเรอินะแบบไหน…แบบเด็กหญิง หรือแบบนี้…ซีดส์’
‘อาห์…พี่ชอบทั้งสองแบบนั่นแหละ.. หีในร่างเด็กมันรัดควยพี่แน่นจนแทบขยับไม่ได้ บีบเคล้นทุกส่วน แต่หีในร่างนี้แม้จะแน่นเท่า…แต่มันทั้งตอดรัดไปทุกตารางนิ้ง…จนพี่ เสียวแทบคุมไม่ได้…พี่ถึงต้องเย็ดเรอินะซ้ำแล้วซ้ำอีกในทั้งสองร่างนี่ แหละ…’

จิตไกรวิทย์ส่งออกไปด้วยความเสียวขณะที่ร่างทั้งสองเกี่ยว กระหวัดกันอยู่ กลางอากาศ สองขาเรียวของเรอินะ กอดเอวไกรวิทย์ไว้แน่น อัดสะโพกเข้ารับแก่นกายไกรวิทย์เป็นจังหวะ ขณะที่ร่างกายส่วนบนเอนออกห่างปล่อยให้สองมือไกรวิทย์เคล้นคลึงเต้านมเต่ง ตึงไว้ทั้งสองมือ

‘อื๋ย….พี่เอ…พี่เอ…เรอินะ….จะ….อ๊าย…’

จิต เรอินะครางลั่น ร่างงามกระตุกระริกเมื่อความเสียวสุดยอดพลุ่งขึ้นสู่จิตใจ พร้อมกับน้ำรักไกรวิทย์ฉีดอัดเข้าสู่มดลูกเป็นระลอก เทวนารีแห่งราศีธนูสะท้านเฮือก สองขาที่กอดเอวไกรวิทย์ร่าวงผลอยปล่อยให้ร่างถูกโอบอุ้มในอ้อมแขนแข็งแรงของ บุรุษผู้เป็นเจ้าของหัวใจมานับหมื่นปี

‘เทวนารีของพี่ยอมแพ้แล้วหรือไร…’

จิตไกรวิทย์ส่งออกไปอย่างน่มนวลแจต่แฝงสำเนียงหยอกล้อเอาไว้ ทำให้เรอินะใช้ฟันขบหน้าอกชายหนุ่มเบาๆ ก่อนส่งจิตตอบอย่างแง่งอน

‘ไม่ ยอมแพ้หรอก…พี่เอรู้ไหมว่าวิชากลายร่างของเรอินะนั้น ตอนนี้พวกพี่ริน พี่กิฟท์ พี่ทิพย์ พี่เซี่ยวเล้ง พี่นิว พี่จานีส และน้องพิมเรียนรู้ได้หมดแล้ว เมื่อวานนี้หลังจากพี่เอกลับออกไปจากห้องนอน พวกเรายังแอบทดลองกันเลย…รับรองว่าถ้าพี่เอเห็นทุกคนในร่างเด็กหญิงอายุ 12 ที่ พี่เอจะต้องเย็ดทุคนจนไม่ยอมออกมาทานอาหารแน่ๆ…’

คำบอกเล่า จากจิตเรอินะ ทำให้ภาพของเหล่าเทวนารีทุกคนในวัยแรกแย้มพลันปรากฏขึ้นในสมองไกรวิทย์ แก่นเนื้อที่ยังคงฝังในหลืบรักเรอินะ พลันเบ่งพองขึ้นอีกจนเรอินะต้องร้องอุทาน ก่อนขยับสะโพกปล่อยแก่นกายออกจากร่าง พร้อมกับทุบหน้าอกไกรวิทย์เบาๆ

‘แข็ง อีกแล้วพี่เอเนี่ย….เรอินะไม่ไหวแล้วนะ….ไปเย็ดพี่รินในร่างเด็ก เถอะ…พี่รินน่ารักจริงๆ ขนาดเรอินะยังอดอิจฉาไม่ได้เลย…’

ไกรวิทย์หัวเราะเบาๆ สองมือดึงนร่างเรอินะเข้ามากอดไว้หลวมๆ

‘วิชา นี้ของเรอินะอัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถควบคุมกล้ามเนื้อร่างโดยไม่จำเป็นต้องผนึกปราณแม้แต่น้อย พี่หวังอย่างยิ่งจริงๆ ที่จะได้มีโอกาสพบท่านผู้ที่ถ่ายทอดวิชานี้ให้เรอินะ แต่น่าเสียดายที่ผู้บรรลุซึ่งปราณสุญญาตาจนพ้นจากโลกนั้น จะกลับมาช่วยบุคคลที่ตนเองผูกพันได้ครั้งเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับที่กองคำช่วยพี่ในอดีต…’

‘แต่พี่เอก็เคยเล่าให้ฟังไม่ ใช่หรือว่า ในอดีตกาลนั้นพี่เอเคยติดตามมหาปุโรหิตปัณทร ไปยังสถานที่ที่ท่านมหาปุโรหิตได้พบเทพผู้บรรลุปราณสุญญตา ถึงแม้พี่จะไม่ได้พบ แต่พี่เอก็ได้รับจิตที่ถ่ายทอดออกมาจากท่าน บางทีหากพี่เอได้ไปในสถานที่ที่เรอินะได้พบท่านผู้นั้น..พี่เออาจจะสามารถ ติดต่อท่านได้ไม่ด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง…’

จิตไกรวิทย์สงบนิ่งไปชั่วขณะเพื่อตรึกครองคำบอกเล่าของเรอินะ ก่อนส่งจิตตอบ

‘จริง ทีเดียว…ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็ยังไม่สามารถแสวงหาเทวนารีทั้งสี่ที่ ยังคงหลับใหลอยู่ได้ บางทีการเดินทางไปยังสถานที่ที่เรอินะพบกับผู้บรรลุปราณสุญญาตาอาจจะให้ เบาะแสอะไรแก่พวกเราเพิ่มเติม…ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้พี่จะติดต่อกับเพื่อน พี่ที่กำลังอยู่ที่ญี่ปุ่นเพื่อรับเรือเดินทะเลกลับมาไทย…เขาเคยชวนพี่ให้ ร่วมเดินทางเที่ยวแรกของเรือจากญี่ปุ่นมาประจำในอ่าวไทย ซึ่งจะเดินเรือจากญี่ปุ่นมาจอดพักที่โอกินาวา ก่อนมุ่งมากรุงเทพ…เอาเป็นว่าพวกเราไปญี่ปุ่นพร้อมกันแล้วลงเรือลำนี้ใน ฐานะผู้โดยสารท่องเที่ยว เพื่อปกปิดตัวเอง และเมื่อผ่านโอกินาวา เรอินะก็พาพี่ไปที่เกาะซึ่งได้พบท่านผู้ทรงปราณสุญญตา…อย่างนี้ดีไหม’

จิตไกรวิทย์ที่ส่งออกไปทำให้เรอินะเบิกตาโพลงด้วยความตื่นเต้น…ก่อนส่งจิตออกมา

‘ไปกันทุกคนเลยหรือพี่เอ….’

‘ต้อง ทุกคนสิ….เมื่อเช้าพี่ก็บอกเจ้าตัวซุกซนทั้งสี่แล้วว่าจะพาไปเที่ยว ทะเล…ก็ถือโอกาสนี้พาทั้งหมดไปท่องเที่ยวทะเลเลยในคราวเดียว…ดีไหม…’

เร อินะพยักหน้ารับด้วยดวงตาเป็นประกาย…ร่างงามดีดกายออกจากอ้อมกอดไกร วิทย์อย่างเร่งร้อน และพุ่งปราดออกจากห้องผนึกญาณ พร้อมกับส่งจิตย้อนกลับมา

‘เรอินะจะไปบอกพี่ๆ น้องๆ ทุกคนเดี๋ยวนี้….โอกินาวา..เรอินะจะกลับไปหาแล้ว’

ทันทีที่ร่างงดงามของเรอินะลับตา รอยยิ้มบนใบหน้าของไกรวิทย์พลันสลายไป ดวงตาชายหนุ่มทอประกายวูบวาบ ขณะคิดคำนึงอยู่ในจิต

‘ผู้ทรง ปราณลึกลับที่บรรลุปราณสุญญตาพำนักที่เกาะร้างในโอกินาวา เบื้องล่างนั้นคือ ซากแห่งมหาอาณาจักรปราณ..จะมีความเกี่ยวพันอันใดระหว่างกัน…ดูท่าเราจะ ต้องหาคำตอบนี้สักคราแล้ว…’

Related

Prev
Next

Comments for chapter "The Zodiac บทที่ 6.1 ตำนานแห่งเทพ"

MANGA DISCUSSION

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*

*

Tags:
เรื่องเสียวซีรี่ย์

© 2025 Madara Inc. All rights reserved