The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 5.5 ไกอา
The Zodiac บทที่ 5.5 ไกอา
“คุณแม่ครับ..ปราณของพวกเราเกิดจากที่ใด ทำไมคนอื่นๆ ที่เอรู้จักถึงไม่มีปราณเหมือนเอ”
“เอ ลูกแม่ ปราณนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวมนุษย์เอง แต่เป็นพลังที่ประทานมาจากเทพเจ้าเบื้องบนนับแต่โลกนี้เริ่มมีชีวิตขึ้น …มีนิทานเล่าสืบต่อกันมาในหมู่ผู้ทรงปราณ ลูกเออยากจะฟังไหมล่ะ”
“อยากฟังครับ…”
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะเล่าให้ฟัง….
ใน ยามรุ่งอรุณแห่งสากลจักรวาลนั้น ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว ไร้แผ่นฟ้าไร้แผ่นดินไร้ชีวิต จนกาลแห่งวัฏฏะเวียนมาถึงจักรวาลพลันแตกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งลอยขึ้นก่อตัวเป็นแผ่นฟ้า อีกส่วนเคลื่อนต่ำลงแผ่ขยายเป็นแผ่นดิน บนแผ่นฟ้ามหาพรหมก่อกำเนิดขึ้นด้วยตนเอง ดำรงจิตที่สว่างไปทั่วจักรวาลอันอ่อนเยาว์อยู่นับกัลป์ จนมหาพรหมนั้นเกิดความเบื่อหน่ายในจักรวาลที่ว่างเปล่าและกำหนดจิตให้เกิด โลกขึ้น พร้อมกับสร้างดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างในยามกลางวันและดวงจันทร์ให้แสงสว่างใน ยามค่ำคืน ยามทิวาและราตรีผลัดเปลี่ยนกันปรากฏทำให้ โลกนั้นงามยิ่งนัก ในกาลนั้นมหาพรหมได้รำพึงขึ้นว่าความงามนี้ควรจะมีชีวิตร่วมรับรู้ มหาพรหมจึงสั่งให้เกิดพี่น้องสามคนขึ้นและให้นามพี่คนโตว่าโซลา คนกลางว่าลูนา และคนที่สามว่าไกอา..
โซลาได้สร้างสรรพชีวิตให้กำเนิด บนท้องฟ้า ลูนาสร้างสรรพชีวิตให้กำเนิดในมหาสมุทร ไกอาสร้างสรรพชีวิตให้กำเนิดขึ้นบนแผ่นดิน ทั้งสามพี่น้องร่วมสรรสร้างรับรู้ความงดงามแห่งโลกอยู่นับกัลป์ จนวันหนึ่งโลกนั้นกลับปรากฏผลไม้สีทองสุกปลั่งขึ้น ดึงดูดให้โซลา และลูนาพากันมาชมผลไม้นั้นด้วยความพิศวง แต่เมื่อโซลาได้เอื้อมมือแตะผิวผลไม้สีทองเบื้องหน้า ผลไม้นั้นก็ระเบิดออกเป็นสองส่วนแยกเป็นสองส่วนเข้ารวมกับร่างของโซลาและลู นา ก่อเกิดให้โซลาเป็นเพศชาย ลูนากลับกลายเป็นเพศหญิง ทั้งสองพี่น้องเกิดความกำหนัดในร่างกายของอีกฝ่ายและร่วมรักกันก่อกำเนิด มนุษย์มากมายกระจายออกไปบนพื้นพิภพ ก่อนที่ร่างทั้งสองจะแตกสลายกลายเป็นแสงเจิดจ้าเข้าสถิตย์อยู่ในดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์มาจนทุกวันนี้
ไกอาซึ่งตื่นขึ้นจากการสำรวมจิตภายใต้ พิภพ ได้ตามมาพบมวลชีวิตที่ก่อกำเนิดจากชีวิตของโซลาและลูนา และพบว่าพี่ทั้งสองได้ไปสถิตย์อยู่บนท้องฟ้า ด้วยความเสียใจไกอาจึงได้ตั้งจิตต่อมหาพรหมขอเป็นผู้ปกป้องชีวิตที่เกิดจาก พี่ทั้งสองให้ดำรงอยู่บนโลกตราบชั่วกาลนาน ด้วยอำนาจแห่งมหาพรหมผู้สร้างจักรวาล ร่างของไกอาพลันสลายหลอมรวมกับโลกเป็นจิตแห่งโลกคอยดูแลให้ชีวิตทั้งปวง อาศัยอยู่บนพื้นโลกตลอดมา และด้วยความรักที่ไกอามีต่อมวลมนุษย์ผู้เป็นเชื้อสายของโซลาและลูนา ไกอาได้มอบพลังปราณอันไม่มีที่สิ้นสุดให้กับมนุษย์เพื่อที่มนุษย์จะปกป้อง ผืนโลกอันเป็นมาตุคามไปชั่วนิรันดร์
มนุษย์อาศัยอยู่บนพื้นโลกภายใต้ การดูแลของไกอามานับหมื่นปี แต่ยามเมื่อเวลาผ่านไปความเสื่อมโทรมแห่งจิตใจทำให้มนุษย์ทะนงตนว่าอยู่ เหนือสรรพชีวิต ความเคารพที่มีต่อไกอาจางลงไปตาม จิตที่ตกต่ำ นำมาซึ่งปราณที่เสื่อมถอยลงตามลำดับ จนในที่สุดปราณแห่งชีวิตก็ขาดความสมดุลถูกแบ่งแยกออกเป็นสองสาย เรียกขานเป็นปราณแห่งเทพที่เชื่อมั่นในแสงสว่างและปราณแห่งมารที่ยึดถือความ มืด มนุษย์แห่งปราณทั้งสองสายฆ่าฟันกันเองจนเหินห่างจากไกอา และพากันเสื่อมถอยในปราณ จนเหลือเพียงมนุษย์กลุ่มเดียวที่ยังคงรักษาปราณอันเป็นความรักจากไกอามาจน ทุกวันนี้
“คุณแม่ครับ แล้วตอนนี้ไกอาอยู่ที่ไหน….”
“นั่น เป็นนิทานที่เล่าสืบต่อกันมา แม่เองก็ไม่รู้ว่าจิตแห่งไกอานั้นยังสถิตและดูแลโลกของเราอยู่หรือไม่ แต่ปราณในร่างของพวกเรานั้นเป็นข้อยืนยันถึงการคงอยู่ของพลังแห่งเทพที่ถ่าย ทอดมายังมวลมนุษย์..บางทีไกอาอาจจะเฝ้าดูลูกเออยู่ก็ได้นะ..”
……………………………………………………….
‘ไกอา….ท่านคือไกอา’
จิต ที่สำรวมและเต็มไปด้วยความเคารพของจานีส ทำให้ผม เรอินะ หรือแม้กระทั่งน้องพิมที่ยังคงอยู่ในภาวะเชื่อมต่อจิตกับผม สะท้านขึ้นพร้อมกันในทันที เพราะชื่อที่จานีสบ่งบอกออกมานั้นเป็นชื่อที่ผู้ทรงปราณทุกคนรับรู้มา ตั้งแต่จำความได้ในฐานะนิทานโบราณซึ่งเด็กทุกคนเริ่มเรียนรู้ว่าคือต้น กำเนิดของปราณทุกรูปแบบในโลกแห่งปราณ และนิทานเรื่องนี้ก็เป็นนิทานที่คุณแม่ถ่ายทอดให้ผมรับรู้มาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่บัดนี้ชื่อที่ผู้ทรงปราณทุกคนเคยเชื่อว่าเป็นนิทานกล่อมเด็กนั้นกลับถูก เปล่งออกจากจิตจานีสด้วยความสำรวมและเคารพสูงสุด ทั้งนี้จากความรู้ที่ครอบคลุมศาสตร์โบราณทุกแขนงของจานีส ทำให้ผมรู้ดีว่าเด็กสาวสามารถทำความเข้าใจกับคลื่นพลังที่แผ่ซ่านไปทุกหน แห่งเบื้องหน้าได้แล้ว และรับรู้ว่าจิตที่กำลังสนทนากับทุกคนอยู่นี้คือจิตที่เป็นต้นกำเนิดและปก ป้องชีวิตทุกรูปแบบมาตั้งแต่บรรพกาลก่อนที่รูปลักษณ์แห่งเทพที่เกิดจากจาก การผสานจิตจักรวาลเข้ากับชีวิตบนโลก
‘ไกอา…นั่นคือนิทานมิใช่หรือพี่เอ พี่จานีส…’
‘พี่ เอ…พิมรับรู้นิทานเรื่องนี้มาตั้งแต่จิตพิมตื่นขึ้นในร่างทารกแรกเกิด และคุณพ่อคุณแม่พี่เอเล่าให้ร่างของพิมรับรู้ก่อนนอน พิมไม่นึกเลยว่าไกอาจะมีอยู่จริง…’
จิตสั่นสะท้านด้วยความอัศจรรย์ ใจของเรอินะและน้องพิมดังขึ้นในสมองผมพร้อมๆ กัน โดยที่ผมเองก็ยอมรับว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนี้ไม่ต่างกับเรอินะ และน้องพิมแม้แต่น้อย จนผมอดส่งจิตที่สับสนออกมาไม่ได้
‘จิตกำเนิดแห่งโลก มวลพลังที่ให้ชีวิตแก่ทุกสรรพสิ่ง นี่เป็นความจริงหรือ’
จิต ผมสัมผัสถึงคลื่นพลังที่สั่นสะเทือนเบาๆ ราวกับจิตนั้นกำลังแสดงความขบขันออกมาให้สัมผัส ทั้งที่ผมทราบดีว่าไกอาในตำนานนั้นคือพลังชีวิตที่เมตตาการุณต่อทุกสรรพสิ่ง แต่ปราศจากอารมณ์ใดๆ เฉกเช่นสิ่งมีชีวิตทั้งปวง พร้อมกันนั้น เสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในทุกอนูของอากาศรอบตัวผม
‘ไกร วิทย์ หากเรามีจิตรารมณ์เช่นเผ่าพันธ์ของเจ้า เราคงแปลกใจที่เจ้าคำเหล่านี้ออกมา เพราะนี่เป็นการพบกันครั้งที่สองระหว่างเรา เพียงแต่จิตเจ้าในขณะนี้ยังคงเป็นจิตที่แยกจากจิตกำเนิดแท้จริง ทำให้เจ้ายังไม่สามารถระลึกถึงการพบกันครั้งแรกกับเราได้ แต่คงอีกไม่นานนักที่ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่เด็กน้อยเจ้ากำหนดมาตั้งแต่หมื่น รอบการโคจรของดาวดวงนี้…’
ถ้อยคำที่คลื่นจิตถ่ายทอดออก มาสร้างความประหลาดใจกับผมอย่างรุนแรง เพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้สัมผัสและติดต่อกับไกอาผู้ปรากฏอยู่แต่ ในเพียงตำนานบรุพกาล แต่จิตแห่งไกอานั้นกลับบอกผมว่าผมเคยได้พบกับกับผมมาก่อน ความสับสนที่รุมเร้าในจิตทำให้แก่นกายผมที่เชื่อมอยู่กับสองแคมน้องพิมหดตัว ลงและหลุดจากการติดต่อกับจิตน้องพิมโดยไม่ทันรู้ตัว
‘ท่าน ท่านหมายความว่าอย่างไร…’
ผม ส่งจิตเสียงออกไปด้วยความงุนงง แต่ยังไม่ทันที่คลื่นจิตในนามไกอาจะตอบกลับมา เสียงลึกลับที่เคยดังขี้นในร่างผมก็แผ่ซ่านออกมาออกมาจากร่างกายผมอย่างนุ่ม นวลด้วยสำเนียงที่เปี่ยมความเคารพสูงสุดเช่นเดียวกับจานีส
‘นานนับหมื่นปีที่เราไม่มีโอกาสได้สัมผัสความกรุณาของปฐมเทพไกอา ขอท่านจงรับการคารวะสูงสุดจากเราและไกรวิทย์ด้วยเถอะ..’
กระแส เสียงลึกลับที่ผมได้ยินมาหลายครั้งเปล่งออกมาจากส่วนลึกของจิตผมดังที่ เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการสนทนากับจิตที่สถิตย์อยู่ร่างของเซี่ยวเล้ง จานีส น้องนิว และเรอินะ โดยที่ผมและหญิงสาวทั้งสามทำได้แต่เพียงรับรู้ แต่ไม่เคยสามารถสอดแทรกหรือติดต่อกับเสียงลึกลับเหล่านั้นได้แม้จะพยายาม ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จิตลึกลับที่สถิตย์ในร่างผมติดต่อกับคลื่นจิตที่ เรียกตนเองว่าไกอาซึ่งเป็นจิตที่กำลังติดต่อกับผมอยู่เช่นกัน ผมรู้สึกเหมือนเกิดแสงสว่างขึ้นจิตใจเพราะรู้ว่าบัดนี้ผมสามารถสื่อกับจิต ลึกลับในร่างผมได้เป็นครั้งแรกโดยผ่านไกอา ผู้ซึ่งจิตลึกลับในร่างผมเรียกหาเป็นปฐมเทพ.. ผมรีบระงับความตื่นเต้นแล้วพยายามสื่อสารกับจิตลึกลับนั้น
‘ท่านคือใคร…เหตุใดจึงสถิตย์อยู่ในจิตของเราเช่นนี้’
เสียง ที่เกิดจากจิตในร่างผมหยุดลงจนผมคิดว่าจิตนั้นจะยุติการติดต่อดังเช่น ที่เคยเป็นมา แต่แล้วจิตของผมก็พลันรับรู้ถึงกระแสเสียงอ่อนโยนที่ถ่ายทอดออกมา
‘ไกร วิทย์ เราคือเจ้า เจ้าก็คือเรา…ไม่มีความแตกต่างอันใด หากปราศจากเจ้าเราก็ไม่สามารถดำรงอยู่ หากปราศจากเราเจ้าก็จะเป็นเพียงชีวิตที่ปราศจากวิญญาณ’
‘ท่านหมายความว่าอย่างไร..ที่ว่าท่านคือเรา…เราคือไกรวิทย์ คชสีห์ ทั้งจิตและวิญญาณ หามีจิตอื่นใดในร่างกายนี้ไม่’
‘เจ้า คือไกรวิทย์ คชสีห์ เราก็คือไกรวิทย์ คชสีห์ นั่นคือความจริงแท้ เช่นเดียวกับที่เจ้าก็คือมหาเทพที่ปกป้องคุ้มครองอาณาจักรปราณ มหาเทพผู้เป็นประมุขแห่งเทวนารีผู้งามเลิศทั้งสิบสองแห่งจักราศรี มหาเทพผู้สลายจิต กาย และปราณตนเองเพื่อปกป้องโลกจากเผ่าพันธ์มังกร…บัดนี้เจ้ารู้เจ้ารู้หรือ ยังว่าเจ้าคือใคร….’
ถ้อยคำกระแสจิตที่นุ่มนวลแต่เปี่ยมพลังอำนาจส่งออกมา ทำให้ร่างกายและจิตใจผมสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ก่อนส่งจิตออกมาอย่างลืมตัว
‘ท่าน ท่าน..ท่านคือมหาเทพวิรุณปักขะ…เป็นไปไม่…’
ยังไม่ทันที่ผมจะส่งจิตเสร็จสิ้น กระแสจิตที่อ้างตนเป็นมหาเทพผู้ปกป้องมหาอาณาจักรปราณในตำนานโบราณก็ดังแทรกขึ้นมาทันที
‘เจ้า เองก็เช่นกัน..เจ้าคือมหาเทพวิรุณปักขะ…เช่นเดียวกับพวกเจ้าเหล่า สตรีอันเป็นที่รักของเรา เซี่ยวเล้งก็คือมังกรน้อยผู้เป็นเทวนารีแห่งราศรีมังกร ปณิตาผู้มีสองวิญญานก็คือแฝดน้อยผู้เป็นเทงนารีแห่งราศีเมถุน จานีสผู้เปี่ยมไปด้วยปัญญาเจ้าก็คือคันชั่งน้อยของเราผู้เป็นเทวนารีแห่งรา ศรีตุลย์ หาใช่ร่างที่ปราศจิตครอบครองของสตรีที่ล่องลอยอยู่ด้านนั้นไม่…ส่วนเจ้าเร อินะเจ้าคือลูกศรน้อยผู้ดื้อรั้นที่เป็นเทวนารีแห่งราศรีธนูเคียงข้างเรามา โดยตลอด…’
‘อะ อะ อะไรกัน….’
‘เป็นไปไม่ได้…เรอินะก็คือเรอินะ..จะมีจิตผู้อื่นมาสถิตย์อยู่ร่วมด้วยได้อย่างไร’
‘ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง จานีสเข้าใจแล้ว’
ถ้อย คำที่จิตของมหาเทพวิรุณปักขะส่งออกมาทำให้ผม จานีส และเรอินะอุทานออกมาอย่างลืมตัวพร้อมกัน แต่หญิงสาวทั้งสองกลับต้องตื่นตระหนกยิ่งกว่าเมื่อสมองได้รับรู้ถึงเสียง กังวานหวานของสตรีสองสายดังขึ้นในจิตของจานีสและเรอินะพร้อมๆ กัน
‘เร อินะ อย่าแปลกใจไปเลย เพราะตราบตั้งแต่กำเนิดแห่งกาลไม่เคยมีการแบ่งแยกระหว่างเราสอง จิตของเราลูกศรน้อยก็คือจิตของท่านและบัดนี้จิตเราได้ตื่นขึ้นมาจากการเรียก หาของเทพวิรุณปักขะผู้เป็นเจ้าของร่างกายและวิญญาณของเราทั้งคู่’
‘ใน ที่สุดจานีสก็ตระหนักได้ คันชั่งน้อยยินดียิ่งที่สามารถอาศัยพลังจากปฐมเทพไกอาและการปลุกเร้าจากมหา เทพวิรุณปักขะ จนจิตที่หลับไหลนี้ตื่นมาสนทนากับจานีสท่านได้เป็นครั้งแรก’
ดวง ตากลมโตของเรอินะทอประกายสับสนอย่างรุนแรงเมือได้ยินเสียงที่ดังขึ้นใน จิตของตนเองจนไม่สามารถส่งจิตออกมาได้ แต่สำหหรับจานีสดวงตายาวเรียวของเด็กสาวกลับเบิกว้างขึ้นพร้อมกับส่งจิตออก มาทันที
‘เหตุใดพวกเราจึงสามารถติดต่อกับจิตแห่งมหาเทพวิรุณปักขะและ เทวนารีที่เคย เปล่งเสียงในจิตของเราได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเราพยายามทำความเข้าใจและหาทางติดต่อพวกท่านมาโดยตลอด ..แต่พวกท่านหาเคยตอบเราไม่’
คำถามของจานีสทำให้จิตแห่งเทพวิรุณปัก ขะและเทวนารีทั้งสองเงียบงันไปชั่วขณะ ราวกับว่าจิตแห่งเทพและเทวนารีนั้นก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เช่นกัน แต่ทันใดนั้นผมก็รับรู้ถึงคลื่นจิตแห่งไกอาส่งผ่านมายังในสมองอย่างอ่อนโยน
‘คำ ถามของเด็กน้อยจานีสอาจจะเกินความรู้ของพวกเหล่าเด็กน้อยเจ้า อย่างนั้นเราขอให้ความกระจ่างพวกเจ้าเอง…การที่พวกเจ้าสามารถติดต่อกันได้ นั้นหาใช่เหตุบังเอิญไม่ แต่ด้วยคลื่นจิตของเราที่เป็นต้นกำเนิดปราณและมวลชีวิตของพวกเจ้าเหล่า มนุษย์ คลื่นนี้เป็นดั่งมหาสมุทรที่รองรับพวกเจ้าเข้ามาอยู่ในจิตแห่งกำเนิด ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นจิตประเภทใด พวกเจ้าก็สามารถสื่อสารกันได้โดยปราศจากขอบเขตขวางกั้นใดๆ นอกจากนี้คำถามของเด็กน้อยจานีสที่ยังคงแบ่งแยกใช้คำพวกเราพวกท่านกับเหล่า จิตที่สถิตในร่างเจ้านั้น เราขอให้ความกระจ่างเจ้าว่านั่นเป็นคำเรียกที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง เพราะในเนื้อแท้แล้วจิตของพวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นจิตของเด็กน้อยไกรวิทย์กับวิ รุณปักขะ จิตของเด็กน้อยจานีสกับคันชั่งน้อย จิตของเรอินะกับลูกศรน้อย ล้วนเป็นจิตเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน แต่ด้วยจิตแห่งมนุษย์ชาติเสื่อมถอยลงจนไม่สามารถแยกดวงจิตได้ดังเช่นมนุษย์ เทพในสมัยอาณาจักรปราณ พวกเจ้าจึงไม่สามารถเข้าใจและยังคงกำหนดแบ่งแยกเป็นพวกท่าน พวกเราอยู่…เด็กน้อยจานีส หากเจ้าต้องการเข้าใจทุกสิ่งเจ้าต้องกำจัดความรู้สึกแบ่งแยกนี้ออกจากจิตใจ เสียก่อน..’
คลื่นจิตแห่งไกอาจบถ้อยความพร้อมกับความเงียบงัน ที่ตามมา ซึ่งผมรู้ดีว่าความเงียบนี้เกิดจากจิตทุกจิตที่อยู่ในมิตินิรกาลนี้กำลัง พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ไกอาถ่ายทอดออกมาอย่างสุดความสามารถ
‘นี่ น่าตระหนกนัก แม้จานีสจะเคยคาดเดาถึงที่มาของเสียงลึกลับที่ดังขึ้นในจิตของพี่เอ เซี่ยวเล้ง น้องนิว และตัวจานีสเอง แต่จานีสกลับไม่เคยคิดไปถึงตำนานการถ่ายทอดจิตอมตะที่เล่าขานกันมาเนิ่นนาน จนกลายเป็นนิทานนี้เลย’
‘จิตอมตะ…พี่จานีสหมายความถึงเรื่องที่ กล่าวถึงวิญญานซึ่งรอคอยคนรักโดย ไม่ยอมไปถือกำเนิดใหม่จนได้พบและอยู่ร่วมกับคนรักอีกครั้งนั้นหรือ…เรอินะ คิดว่ามันเป็นนิทานก่อนนอนของเด็กเสียอีก…’
‘แล้วตอนนี้เรอินะยังคิดว่านิทานเรื่องไกอา เป็นนิทานอยู่อีกหรือเปล่าล่ะ’
จิต จานีสย้อนถามไปยังเรอินะจนอดีตเทวนารีแห่งราศรีธนูนิ่งงันไป พร้อมกันนั้นจิตผมก็ระลึกไปถึงนิทานโบราณที่เล่าขานกันในโลกของผู้ทรงปราณ ซึ่งเล่าถึงเรื่องของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ฝ่ายชายยอมสลายปราณทั้งหมดในร่างตน เองทำลายศัตรูเพื่อรักษาอาณาจักรของเจ้าหญิงผู้เป็นที่รัก โดยไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวกลับทำให้ดวงจิตของเจ้าหญิงทุกข์ระทมกับการสูญ เสียจนปราณในร่างผนึกตัวกลายเป็นร่างศิลาผนึกจิตที่เศร้าโศกของเจ้าหญิงเอา ไว้ชั่วนิรันดร์ ซึ่งในนิทานเรื่องนั้นกล่าวถึงความมั่นคงในความรักของชายหนุ่มที่เป็นพลัง รักษาดวงจิตของตนเองให้ดำรงอยู่ในจิตของทายาทในสายเลือดตลอดมาเพื่อรอคอยการ กลับมาของเจ้าหญิงผู้เป็นที่รัก
คำถามของจานีสที่ส่งจิตไปยังเรอินะ ทำให้ผมเริ่มทำความเข้าใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทีละน้อยราวกับภาพต่อที่ สับสนนับร้อยชิ้นกำลังเริ่มรวมตัวเข้าหากันเป็นภาพใหญ่ภาพเดียวที่สามารถ อธิบายทุกสิ่งให้กระจ่างแจ้งได้ ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าในภาพต่อนั้นยังขาดชิ้นส่วนบางชิ้นที่จะเชื่อม กลุ่มภาพที่ต่อแล้วเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ก่อนที่ผมจะส่งจิตถามสิ่งใดกับไกอา จิตที่เต็มไปด้วยความงุนงงของเรอินะก็ดังแทรกขึ้น
‘ท่าน..เอ้อ ไกอา…พี่เอ..พี่จานีส…และทุกจิตที่กำลังส่งจิตออกมา ตอนนี้เรอินะงงไปหมดแล้ว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตของเรอินะ และที่สำคัญกว่านั้นใครจะบอกเรอินะได้ไหมว่าที่นี่คือที่ใดกัน เรอินะได้รับรู้ว่าท่านไกอาเรียกขานสถานที่นี้ว่ามิตินิรกาล และเรียกก้อนหินที่กำลังเปล่งแสงสีรุ้งนั้นว่าศิลาปฏิสาร แต่เรอินะไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้เลย’
จิตที่เต็มไปด้วยความสับสนของ เรอินะทำให้กระสจิตทั้งหมดในมิตินิรกาลหยุดลง ชั่วครู่ ก่อนที่คลื่นจิตของไกอาจะส่งออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ใดๆ
‘เร อินะ..หากเราเป็นมนุษย์ผู้มีอารมณ์เช่นเผ่าพันธ์ของเจ้าเราคงอดขบขันไป กับอารมณ์ที่ร้อนแรงของเจ้าที่ไม่ยอมซุกซ่อนความสงสัยใดๆไว้ในใจไม่ได้..แต่ ในเมื่อเจ้าต้องการรับรู้และเราก็เชื่อว่าคำถามของเจ้าก็คงเป็นปมปัญหาที่ ไกรวิทย์ จานีส ต้องการรับรู้เช่นกัน ดังนั้นเราจะถ่ายทอดให้พวกเจ้ารับรู้ จงสงบใจเอาไว้ นี่คือความทรงจำแห่งเราผู้ที่พวกเจ้าเรียกหาว่าไกอา…ปฐมเทพแห่งพื้นพิภพ นี้’
ทันทีที่คลื่นจิตของไกอาถ่ายทอดถ้อยคำเสร็จสิ้น ผนังทรงกลมของมิตินิรกาลก็พลันเปลี่ยนสภาพเป็นโปร่งใส ปรากฏภาพของดวงดาวนับล้านเคลื่อนวูบผ่านไปอย่างรวดเร็วในทุกทิศทาง ชั่วขณะหนึ่งภาพของดวงดาวสีฟ้าใสก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า รูปลักษณ์ทุกสิ่งดูคล้ายกับโลกปัจจุบันที่มองจากดาวเทียม แต่บนพื้นผิวน้ำสีฟ้าแทนที่จะปรากฏทวีปทั้งห้ากระจายอยู่ กลับมีเพียงเกาะมหึมาเกาะเดียวลอยอยู่บนพื้นน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น
‘แพนเจีย…นี่คือแพนเจีย…’
จิต ของจานีสส่งเสียงแผ่วเบาออกมาราวกับรำพึงกับตนเอง แต่ก็ทำให้ผมระลึกถึงรายงานทางวิชาการที่เคยอ่านซึ่งระบุว่าโลกเริ่มแรกมี แผ่นดินรวมกันอยู่เป็นพื้นเดียวกัน ซึ่งนักวิชาการเรียกชื่อมหาทวีปยุคเริ่มต้นนี้ว่าแพนเจีย…
ภาพโลก ในยุคเริ่มต้นนิ่งสนิทอยู่ครู่หนึ่ง จิตผมก็รับรู้ถึงภาพของอุกาบาตมหึมาที่โคจรผ่านโลกในระยะไกล แต่แล้วอุกาบาตนั้นก็กลับเปลี่ยนทิศทางราวกับถูกมือมหายักษ์เหวี่ยงให้พุ่ง มายังใจกลางของมหาทวีปแพนเจีย และกระทบพื้นแผ่นดินจนเกิดเปลวเพลิงมหึมากระจายไปครอบคลุมทั้งพื้นทวีป ซึ่งแม้ผมจะเห็นเพียงแต่ภาพโดยปราศจากเสียงใดๆ แต่ผมก็ยังรับรู้ได้ถึงความรุนแรงที่แทบจะทำลายล้างพื้นโลกทั้งหมดได้ในพริบ ตา แผ่นดินแห่งมหาทวีปแพนเจียเกิดรอยร้าวปริแตกออก และเริ่มเคลื่อนแยกออกจากกันช้าๆ แต่ทันใดนั้นบริเวณศูนย์กลางการกระทบของอุกาบาตก็เกิดแสงสีดำสนิทราว รัตติกาลแผ่กว้างออก ภาพที่ผมเห็นพลันเปลี่ยนตำแหน่งจากเหนือพื้นโลกพุ่งลงไปในใจกลางแสงสีดำนั้น จนปรากฏภาพวงแหวนแสงเจิดจ้าที่มีขนาดเล็กไม่เกินฝ่ามือมนุษย์สองวงอยู่ที่ จุดศูนย์กลาง ใจกลางวงแหวนหนึ่งนั้นปรากฏศิลาขนาดเล็กก้อนหนึ่งกำลังเคลื่อนออกมา ส่วนอีกวงแหวนที่ด้านข้างนั้นปรากฏเศษศิลาขนาดใกล้เคียงกันกำลังผ่านเข้าไป ภายใน
‘พวกเจ้าจงรับรู้ไว้ ศิลาด้านขวาที่กำลังเคลื่อนออกมานั้นคือศิลาจากจักรวาลคู่ขนานซึ่งแรงระเบิด จากการที่จิตจักรวาลเหนี่ยวนำอุกาบาตเข้าทำลายเผ่าพันธ์สัตว์เลื้อยคลานที่ ครอบครองโลกอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้เผ่าพันธ์อื่นวิวัฒนาการ แต่กลับเป็นความผิดพลาดอย่างยิ่งเมื่อพลังจากการกระทบนั้นกลับเปิดช่องให้ วัตถุแปลกปลอมจากจักรวาลคู่ขนานหลุดรอดเข้ามา พร้อมกับที่ศิลาจากจักรวาลของเราในมวลและปริมาตรเท่ากันก็ถูกผลักไปยัง จักรวาลคู่ขนาน และหากศิลาทั้งสองหลุดออกมาในจักรวาล ปฏิสารจากมวลต่างจักรวาลก็จะระเบิดออกทำลายจักรวาลทั้งสองให้ดับสลายไปใน ทันที’
คลื่นจิตของไกอาส่งเสียงอธิบายภาพที่อยู่เบื้องหน้า ขณะที่ภาพศิลาทั้งสองที่กำลังจะเข้าสู่จักรวาลคู่ขนานของอีกฝ่ายกำลังจะพ้น วงแสงที่เป็นช่องทางเปิดของจักรวาล ผลึกแสงสองก้อนก็ก่อตัวขึ้นล้อมศิลาทั้งสองเอาไว้ ก่อนที่ก้อนหนึ่งจะสลายวับไปทันที ส่วนอีกก้อนหนึ่งก็ทิ้งตัวลงแทรกเข้าไปในพื้นดินที่กำลังลุกโพลงไปด้วยเปลว เพลิงแล้วจมลงสู่ใต้พื้นดิน
‘พริบ ตาที่ศิลาทั้งสองกำลังจะหลุดพ้นเข้ามาในจักรวาลคู่ขนานทั้งสอง เราสามารถติดต่อกับจิตต่างจักรวาลที่ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด ขึ้น ในครั้งนั้นจิตจักรวาลได้ตัดสินใจผนึกพลังงานร่วมกับจิตจากจักรวาลคู่ขนาน ก่อลูกกลมพลังงานกักศิลาทั้งสองไว้ภายใน เพื่อใช้เป็นที่สร้างมิติที่ไร้เวลาขึ้นป้องกันมิให้ศิลาปฏิสารทั้งสอง สัมผัสกับสารต่างจักรวาล มีแต่เพียงในมิติที่ไร้เวลานี้เท่านั้นที่จะป้องกันไม่ให้การสัมผัสเกิดขึ้น ได้ มิตินิรกาลนั้นจึงสามารถป้องกันจักรวาลทั้งสองมาได้จนถึงทุกวันนี้ และเราคือจิตที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลกระแสพลังงานที่กักศิลาปฏิสารเอาไว้ ตั้งแต่แรกเริ่ม หากนับกาลเวลาตามระบบของพวกเจ้าเวลานั้นก็ผ่านมานับล้านปีแล้ว ’
ตลอด เวลาที่ไกอาแสดงภาพและอธิบายให้ทุกคนรับรู้ ความรู้เกี่ยวกับวิชาฟิสิคส์ที่ผมได้เรียนมาจากมหาวิทยาลัยกลับมาในความทรง จำผมเพื่อพยายามแปลความหมายที่ไกอาถ่ายทอดออกมา ความเข้าใจก่อตัวขึ้นสมองผมทีละน้อย แต่ก่อนที่ผมจะส่งจิตถามไกอาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จิตของจานีสก็ดังขึ้นด้วยข้อความที่แทบจะเป็นสิ่งที่ผมคิดไว้ทั้งหมด
‘ท่าน ปฐมเทพไกอา หากจานีสเข้าใจไม่ผิดพลาด ภาวะนิรกาลหรือจะเรียกง่ายๆ ว่าภาวะไร้เวลาคือการหยุดกาลอากาศทั้งหมด ดังนั้นศิลาปฏิสารจึงเท่ากับไร้สภาพและไม่ส่งผลทำลายจักรวาลทั้งสอง ในส่วนนี้จานีสเข้าใจถูกต้องหรือไม่’
สิ่งที่จานีสถ่ายทอดออกมาทำให้ ผมต้องถอนใจออกมาเบาๆ กับความรอบรู้ของจานีส เพราะเห็นได้ชัดว่าจานีสเข้าใจหลักการของเมตาฟิสิคส์ว่าด้วยความสัมพันธ์ของ กาลอากาศ อันเป็นพื้นฐานของวิชาฟิสิคส์ยุคใหม่เป็นอย่างดี และดูเหมือนไม่ใช่แต่เพียงผมที่ชื่นชมเด็กสาว เพราะคลื่นจิตของไกอาก็ได้ตอบมาดังที่ผมคิดอยู่เช่นกัน
‘เด็ก น้อยจานีสเจ้าสมแล้วที่เป็นปราชญ์และมันสมองของจักรราศรีมาแต่โบราณกาล สิ่งที่เจ้ากล่าวมาถูกต้อง แต่เรารู้ว่าเจ้ายังคงมีความสงสัยว่าเหตุใดเมื่อในที่นี้ไร้กาลแต่พวกเจ้า ทุกคนกลับยังคงเคลื่อนไหวและสนทนากับเราได้ดังเช่นสภาวะปกติในจักรวาลใช่ หรือไม่ ในข้อนี้เราขอถามไกรวิทย์และ จานีสก่อนว่า พวกเจ้าจำได้หรือไม่ว่าแผ่นหนังที่พวกเจ้าอ่านในบ้านพักของเจ้านั้นมีจารึก ไว้อย่างไร..’
‘แผ่นจารึก..ท่านรู้ได้อย่างไร….’
คำ ถามของไกอาทำให้ผมอดอุทานออกมาไม่ได้ แต่ทันใดนั้นผมก็ต้องระงับคำถามที่จะถามต่อเอาไว้ เมื่อพลันคิดขึ้นได้ว่าสิ่งที่ผมกำลังสนทนาอยู่ด้วยนี้คือจิตในตำนานที่ปก ป้องทุกชีวิตบนโลก ดังนั้นจึงไม่มีความลับใดที่อยู่เหนือการรับรู้ของไกอา…และก็ดูเหมือนว่า ถ้อยคำที่ผมอุทานออกมาจะทำให้คลื่นจิตนั้นเกิดระลอกเบาๆ ราวกับมนุษย์ที่กำลังขบขัน พร้อมกับที่จิตของจานีสส่งเสียงตอบคำถามของไกอาด้วยน้ำเสียงสำรวมราวกับ กำลังท่องบทสวดศักดิ์สิทธ์ออกมา
‘กึ่งปัจฉิมกึ่งอุดร สิบสองวารจากหลักแห่งเทวะ ปัจฉิมศิลาปฏิสาร ค้างวานอยู่ในพิภพ ธนูเวียนบรรจบส่องหญิงพรหมจรรย์ทุกพันปี ศิลาส่องประกายสี ผู้มีวาสนาผ่านสระวงเดือนสิบโยชน์เข้าสู่คูหาศิลา เบื้องล่างนั้นไร้ทุกสิ่ง ทางแท้จริงเร้นเหนือคูหา นำจิตสมดุลสู่ประตูแห่งชะตา เผชิญหน้าศิลาปฏิสาร พลังแห่งจักรวาลมาเป็น…… นี่คือถ้อยคำที่จารึกไว้ในแผ่นหนังซึ่งจานีสค้นพบ เพียงแต่ประโยคสุดท้ายนั้นถูกกาลเวลาทำลายไปจนไม่สามารถอ่านได้ ’
‘ความ จำของจานีสเจ้าเลิศล้ำยิ่ง เช่นนี้เจ้าคงจำได้เช่นกันว่ารหัสแห่งอักขระที่จารึกอยู่ ณ ประตูวงกลมที่ขวางกันด้วยพลังซึ่งพวกเจ้าเรียกขานว่าม่านปฏิสารนั้น จารึกไว้อย่างไร’
คลื่นจิตของไกอาถามต่อไปขณะที่จานีสหลับตาครู่หนึ่ง ก่อนส่งจิตตอบ
‘………. จิตไร้ขอบเขต กาลไร้ที่สุด อดีตไร้ความทรงจำ ปัจจุบันไร้อัตตา อนาคตไร้กำหนด จักรในกายไร้ตำแหน่ง ปราณไร้จุดศูนย์ ทุกสิ่งสมบูรณ์พร้อม น้อมจิตผ่านทางมาหาเรา……นี่คือรหัสที่จานีสถอดความได้ แต่จานีสเองก็ยังตีความไม่ออกว่าจะเปิดทางได้อย่างไร ดังนั้นพวกเราทุกคนสามารถเข้ามายังที่นี้จึงเป็นสิ่งที่จานีสใคร่ขอถามท่าน ปฐมเทพไกอาสักครา..’
คลื่นจิตที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานไร้สิ้นสุดของไกอาทวีความเข้มข้นขึ้นจนผมสัมผัสได้ ขณะที่เสียงที่ทรงอำนาจดังขึ้นในสมองผม
‘เรา รับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก พวกเจ้าไม่ต้องแปลกใจอันใด เรารับรู้ความเป็นมาของพวกเจ้าทุกคนไม่ว่าจะเป็นอดีตกาล หรือปัจจุบัน เรารู้ทุกวินาทีตั้งแต่ชีวิตทุกชีวิตในพิภพนี้ก่อกำเนิด แม้กระทั่งการใช้อำนาจปราณจักรวาลของกองคำสหายเจ้าในการย้อนเวลาฝืน กฏธรรมชาติ เราก็รับรู้เช่นกัน เด็กน้อยไกรวิทย์เจ้าคงไม่คาดคิดว่าการย้อนเวลาของเจ้านั้นคือเงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้เจ้าสามารถผ่านม่านปฏิสารเข้ามาในสถานที่นี้ได้…’
ผมหันไปสบตากับจานีสและเรอินะด้วยความงุนงงกับสารที่ส่งมาจากไกอา ขณะที่เสียงนั้นยังคงดังต่อเนื่อง
‘การ ย้อนเวลาทำให้จิตของเจ้าเกิดการประสานกันระหว่างจิตสองช่วงเวลา มวลชีวิตที่ทวีความเข้มแข็งปลุกให้จิตแห่งความทรงจำของเด็กน้อยวิรุณปักขะ ที่หลับใหลอยู่ในจิตวิญญาณเจ้าตื่นขึ้น ก่อเกิดจิตที่ผสานความทรงจำแห่งอดีตกาลเข้ากับจิตปัจจุบัน แม้เด็กน้อยไกรวิทย์เจ้าจะไม่รู้ตัวแต่จิตที่สถิตย์ในร่างเจ้าได้เข้าสู่ สภาวะจิตแห่งเทพมาตั้งแต่วันนั้นแล้ว’
‘จิตที่ผสานความทรงจำ แห่งอดีตกาลเข้ากับจิตปัจจุบัน..จิตที่ไร้กาล นี่เองคือจิตสมดุลที่จารึกไว้บนแผ่นหนังที่จานีสพบ…ที่แท้เป็นเช่นนี้ จิตที่ได้รับการกระตุ้นจากพี่เอก็ทำให้จิตแห่งเทวนารีราศีตุลย์ และจิตแห่งเทวนารีราศีธนูในร่างจานีสและน้องเรอินะตื่นขึ้นเข้าสู่สภาพจิต สมดุลเช่นเดียวกัน.. แต่ทำไมน้องพิมที่จิตแห่งเทวนารียังคงหลับใหล และตุลยาเทวีที่ปราศจากจิตแห่งเทวนารีในกาลก่อนสถิตอยู่จึงผ่านเข้ามาในที่ นี้ได้…’
จิตของจานีสแทรกขึ้นด้วยนำเสียงที่ผสานกันระหว่างความเข้าใจกับความสับสน…ทำให้คลื่นจิตของไกอาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนตอบคำถามของจานีส
‘เด็ก น้อยจานีสเจ้าเข้าใจส่วนหนึ่งเท่านั้น เจ้าตีความคำจิตสมดุลที่จารึกไว้คลาดเคลื่อนเล็กน้อย เพราะจิตสมดุลของเจ้า เรอินะ พิมพ์มาดานั้นหาได้เกิดจากจิตของพวกเจ้าเองไม่ แต่เกิดจากการเชื่อมโยงจิตใจของพวกเจ้าเหล่าเทวนารีในอดีตกาลที่เป็นหนึ่ง เดียวกับเทพวิรุณปักขะ ดังนั้นเมื่อจิตแห่งความทรงจำของเทพวิรุณปักขะที่ผสานพลังชีวิตจากสตรีนาม แก้วคำ พลังนั้นจึงเหนี่ยวนำจิตเหล่าเทวนารีให้ตื่นขึ้นและก่อจิตสมดุลพร้อมสำหรับ การเข้าสู่มิตินิรกาลแห่งนี้…’
‘แก้วคำ…ท่านไกอาหมายความว่าอย่างไร เหตุใดแก้วคำจึงมาเกี่ยวข้องได้ แก้วคำไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว…’
ผม ส่งจิตอุทานออกมาอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินชื่อแก้วคำที่ถูกระบุว่าหลอมรวม พลังชีวิตเข้ากับจิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผม..เพราะในความทรงจำที่ผมไม่ อยู่ไม่เคยรับรู้สิ่งที่ไกอาบอกออกมาแม้แต่น้อย
‘เด้ก น้อยไกรวิทย์…ในช่วงที่เจ้าตกอยู่ใต้อำนาจแห่งจิตราสูญนั้น สตรีผู้นี้ได้ปรากฏขึ้นป้องกันเจ้าจากการแตกสลายของวิญญาณ และได้มอบพลังชีวิตทั้งมวลเข้าหลอมรวมกับจิตแห่งความทรงจำของเทพวิรุณปักขะ จนเกิดพลังก่อผลึกจิตปิดกั้นจิตของเจ้าจากจิตราสูญ เปิดทางให้จิตของเจ้ารอดพ้นออกมาได้…แต่นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยามที่ จิตเจ้าถูกควบคุมเจ้าจึงไม่สามารถระลึกได้..’
‘แก้ว…แก้วของพี่…’
จิต ผมร่ำร้องออกมาเมื่อรับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ภาพใบหน้างามของเด็กหญิงวัย 15 ปีที่มอบพรหมจรรย์ให้ผมด้วยความรักเพื่อถ่ายทอดปราณจักรวาล ปรากฏขึ้นในความทรงจำ พร้อมกับความเข้าใจถึงสาเหตุที่พลังปราณในร่างผมทวีความเข้มแข็งขึ้นหลัง จากรอดพ้นการควบคุมของวิชาจิตราสูญ
‘พี่เอ…แก้วคำไม่ได้สูญสลายไป อย่างที่พี่เอเข้าใจ แต่การถ่ายทอดพลังชีวิตเข้าหลอมรวมกับจิตแห่งความทรงจำของเทพวิรุณปักขะ ทำให้บัดนี้แก้วคำเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพี่เอ..’
จานีสส่งจิตมายัง ผมอย่างแผ่วเบาเมื่อสัมผัสได้ถึงความเสียใจของผมที่รับรู้ ว่าผมจะไม่มีวันได้พบกับเด็กสาวที่ครอบครองหัวใจส่วนหนึ่งของผมไว้อีกต่อไป
‘เด็ก น้อยไกรวิทย์ ความเป็นแก้วคำของเด็กหญิงนางนั้นหาได้สูญสิ้นไปกับการหลอมรวมจิตไม่ ในอนาคตเจ้าจะได้พบกับนางอีกอย่างแน่นอนเมื่อจิตเจ้าบรรลุถึงซึ่ง….’
คลื่นจิตของไกอาส่งมายังผม แต่ยังไม่ทันที่จะจบสิ้นถ้อยคำ จิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็พลันดังขึ้น
‘ท่าน ปฐมเทพไกอา ขอเราเป็นผู้อธิบายในข้อนี้ด้วยตัวเราเองเถอะ…..ทุกสิ่งที่ปฐมเทพไกอาบอกมา คือความจริง พลังชีวิตของเด็กหญิงที่เจ้ารู้จักในนามแก้วคำ ผู้เคยเป็นดารายัณที่รักแห่งเราในมหาอาณาจักราปราณได้หลอมรวมกับจิตเราโดย สมบูรณ์ แต่นั่นหาได้หมายความนางจะสูญสิ้นจิตวิญญาณไม่ จิตแห่งเทพนั้นต่างจากจิตมนุษย์ที่ร่างกายประกอบขึ้นจากปฐมธาตุทั้งสี่ ร่วมกับพลังชีวิตอันก่อกำเนิดปราณ และจิตแห่งความทรงจำ ทั้งสามนี้ผสานเป็นหนึ่งเดียวในร่างมนุษย์ แต่สำหรับเทพแล้ว ทั้งสามส่วนนี้แยกจากกันได้ ดังเช่นที่เราทิ้งปราณพลังชีวิตไว้กับร่างศิลาในการต่อสู้กับเผ่าพันธุ์ มังกร ปฐมธาตุทั้งสี่ของเราแยกไปสถิตอยู่กับสตรีนามรินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดาที่ยังหลับใหลอยู่ที่นี้ ส่วนจิตแห่งความทรงจำของเรานั้นถ่ายทอดไปตามสายเลือดก่อเกิดร่างใหม่มานับ หมื่นปี สิ่งนี้เรียกว่าไตรจิตรา อันเป็นพื้นฐานแห่งจิตปวงเทพ เมื่อเป็นเช่นนี้ยามที่จิตวิญญาณของเรามารวมกันอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ไกรวิทย์เจ้าก็จะสามารถติดต่อกับพลังชีวิตของแก้วคำในร่างได้โดยปราศจาก อุปสรรคใดๆ และหากหัวใจเราร่ำร้องที่จะร่วมรักกับนาง พลังชีวิตของเราก็จะก่อร่างนางขึ้นมาในจิตและร่วมรักกับนางในโลกแห่งจิตได้ ตามความปราถนา’
ผมพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่จิตแห่งความ ทรงจำของเทพวิรุณปักขะในร่างผม อธิบายด้วยความสับสนเพราะดูเหมือนกับว่าในอนาคตผมจะต้องรวมจิตและวิญญาณเข้า กับจิตของมหาเทพวิรุณปักขะ แต่การทำความเข้าใจกับสภาพนั้นดูจะเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถกระทำได้ แต่ก่อนที่ผมจะซักถามเพิ่มเติม คลื่นจิตของไกอาก็ดังขึ้นราวกับรับรู้ในข้อสงสัยของผม
‘เด็ก น้อยไกรวิทย์ เป็นธรรมดาที่เจ้าจะไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะร่างเจ้าขณะนี้เป็นร่างของมนุษย์ที่ไตรจิตรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เกิดความรู้สึกยึดมั่นในอัตตะแห่งตัวตน แต่ยามใดที่เจ้าสามารถผสานไตรจิตราสำเร็จ เจ้าจะเข้าใจเอง….’
ความ เงียบเข้าปกคลุมมิตินิรกาลอยู่ชั่วขณะราวกับจะปล่อยให้ผมทำความเข้าใจ กับสารของไกอาให้กระจ่าง ก่อนจิตสดใสของเรอินะจะดังแทรกขึ้นมาเบาๆ
‘ท่านเทพไกอา..เรอินะขออนุญาตถามเพื่อความกระจ่างได้หรือไม่’
‘จิต ของเด็กน้อยเรอินะเจ้าไม่เคยแปรเปลี่ยน เจ้าเป็นบุคคลที่พยายามสรุปทุกอย่างให้สั้นและง่ายต่อการทำความเข้าใจเสมอมา เอาเถอะจงถาม…เราจะตอบเจ้าตามที่เจ้าต้องการ’
‘ถ้าเรอินะ เข้าใจไม่ผิด การที่พวกเราทุกคนผ่านเข้ามาในที่นี้ได้เป็นเพราะจิตสมดุลเกิดขึ้นและจิต สมดุลนั้นเกิดจากการเหนี่ยวนำจากความเชื่อมโยงของจิตวิญญานที่เทพวิรุณปักขะ ในอดีตมีกับเหล่าเทวนารีผู้เป็นที่รัก เรอินะกล่าวถูกต้องหรือไม่…’
‘เจ้าเข้าใจถูกแล้ว..’
คลื่นจิตของไกอาตอบรับคำถามของเรอินะ ขณะที่หญิงสาวจะถามต่ออย่างกระตือรือร้น
‘แต่ เรอินะยังไม่เข้าใจจารึกรอบประตูวงกลมของม่านปฏิสารที่พี่จานีสบอกมา เมื่อครู่นี้ พี่จานีสบอกว่าอักขระที่จารึกอยู่รอบประตูชี้ว่าผู้ที่จะผ่านเข้ามาต้องเกิด ภาวะ .จิตไร้ขอบเขต กาลไร้ที่สุด อดีตไร้ความทรงจำ ปัจจุบันไร้อัตตา อนาคตไร้กำหนด จักรในกายไร้ตำแหน่ง ปราณไร้จุดศูนย์ ทุกสิ่งสมบูรณ์พร้อม น้อมจิตผ่านทางมาหาเรา……ข้อกำหนดเหล่านี้เรอินะยังไม่เข้าใจ ท่านเทพไกอาจะอธิบายให้เรอินะ พี่เอ และพี่จานีสรับรู้ได้หรือไม่..’
ยังไม่ทันที่คลื่นจิตของไกอาจะตอบคำถามของอดีตเทวนารีแห่งราศีธนู จิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็ส่งเสียงแทรกขึ้น
‘เร อินะ..ลูกศรน้อย เทวนารีแห่งราศีธนูที่รักแห่งเรา…หากเจ้าหลอมจิตวิญญานกับอดีตของเจ้าได้ คำถามนี้คงไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะเมื่อครั้งที่ประตูสู่ศิลาปฏิสารสร้างขึ้นนั้น เจ้าคือผู้ที่ใช้ธนูพิฆาตฟ้าเป็นศูนย์กลางรวมปราณทั้งหมดของเราทะลวงผนังหิน ในถ้ำที่ตั้งของศิลาปฏิสาร จนเราได้สนทนากับปฐมเทพไกอาเป็นครั้งแรก…ส่วนเจ้า..จานีส คันชั่งน้อยเทวนารีแห่งราศีตุลย์ผู้เปรื่องปราดด้วยปัญญา เจ้าคือผู้ที่คิดค้นรหัสอักขระแห่งจักรราศรี ที่มีแต่เหล่าเทวนารีเท่านั้นสามารถถอดความได้ มาจารึกไว้ที่รอบทางเข้าสู่ศิลาปฏิสาร…ดังนั้นคันชั่งน้อยที่รักแห่งเรา เจ้าจำได้หรือไม่ว่าถ้อยคำที่จารึกนั้นหมายถึงสิ่งใด… ’
‘อะไรกัน…’
จิต ผม จานีส และเรอินะ ส่งเสียงอุทานออกมาพร้อมกัน เมื่อได้รับรู้สิ่งที่เทพวิรุณปักขะถ่ายทอดออกมา เพราะนั่นหมายความว่าการเกิดขึ้นของประตู่สู่ศิลาปฏิสารมีความเกี่ยวพันกับ เทพวิรุณปักขะและเหล่าเทวนารีอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ขณะเดียวกันจิตแห่งเทวนารีราศรีตุลย์ในร่างของจานีสก็ส่งเสียงแผ่วเบาออก มา…
‘นายท่าน…คันชั่งน้อยจะ ขออนุญาตนายท่านและปฐมเทพไกอาอธิบายความมหายของ จารึกนี้ให้กับ ท่านไกรวิทย์ เรอินะ และจานีสผู้ที่คันชั่งน้อยสถิตย์จิตอยู่ได้รับรู้…’
‘คันชั่งน้อย…เจ้าจงบอกเล่าให้ทุกคนรับรู้พร้อมกันเถอะ…’
จิต แห่งเทวนารีราศีตุลย์ในยุคมหาอาณาจักรปราณ หยุดนิ่งวูบหนึ่งราวกับจะสำรวมสมาธิก่อนส่งจิตออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ต่อ เนื่องราวกับสายน้ำ
‘มิตินิรกาล ที่สถิตย์ของศิลาปฏิสารเป็นสถานที่ไร้เวลาไร้การคงอยู่ของสสาร อื่นใด ในครั้งนั้นมหาเทพวิรุณปักขะผู้เป็นนายและที่รักแห่งเราคันชั่งน้อย ร่วมกับมหาปุโรหิตปัณทรผู้เป็นเอกคุรุแห่งมหาอาณาจักรปราณ ได้ค้นพบว่าจักรวาลแห่งเรากำลังใกล้สูญสลายด้วยอำนาจแห่งจิตจักรวาลที่สร้าง ผลึกมิตินิรกาลนั้นได้เริ่มเสื่อมลงทุกขณะ แม้ปฐมเทพไกอาจะยังคงปกป้องมิตินิรกาลนี้อยู่ แต่พลังอันไร้ที่สุดของท่านก็เฉกเช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลที่มีเกิด ขึ้น คงอยู่ และเสื่อมสลาย หากวันใดที่พลังแห่งปฐมเทพไกอาไม่สามารถคุ้มครองมิตินิรกาลได้อีกต่อไป วันนั้นศิลาปฏิสารก็จะหลุดพ้นการควบคุมและทำลายทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ หนทางเดียวที่จะหยุดยั้งการล่มสลายของจักรวาลทั้งสองได้มีแต่การใช้พลังของ ศิลาปฏิสารก่อกัลป์สูญขึ้นเท่านั้น…ในกาลนั้นมหาเทพวิรุณปักขะได้บอกเล่า เรื่องนี้ต่อมหาเทวราชสูงสุดทั้งสอง คือมหาเทวราชปรนิมมิสวัตตี ผู้ครอบครองแสงสว่าง และมหาเทวะมาราธิราชผู้ครอบครองความมืดเพื่อขอให้มหาเทวราชทั้งสองผสานจิต ติดต่อจิตจักรวาลเปิดทางเข้าสู่ศิลาปฏิสาร แต่คำขอนั้นถูกมหาเทวีสุรัสวดีคัดค้านโดยชี้ถึงความเป็นอมตะของจิตจักรวาล ที่ไม่มีวันสูญสลาย และตำนานแห่งปฐมเทพไกอาที่ไม่มีผู้ชื่อว่าเป็นความจริง มหาเทวราชทั้งสองที่ยังคงยึดมั่นกับสถานะอมตะสูงสุดเหนือจักรวาลของตนเองจึง ปฏิเสธคำขอของมหาเทพวิรุณปักขะ…ทำให้มหาเทพวิรุณปักขะต้องตัดสินใจฝ่าฝืน คำวินิจฉัยของมหาเทวราชสูงสุดทั้งสอง และนำเหล่าเทวนารีทั้งหมดมายังหินอุกาบาตที่มิตินิรกาลเร้นตัวอยู่ภายใน ก่อนที่จะผนึกกาฬปราณในร่างขึ้นผสานกับพลังแห่งเทวนารีทั้งสิบเอ็ดนาง ส่งพลังทั้งปวงมายังธนูพิฆาตฟ้าของเราเปิดช่องทางเข้าสู่ผลึกมิตินิรกาลได้ สำเร็จ……แต่มหาเทพวิรุณปักขะได้พบว่าปากทางที่จะเข้าไปสู่ผลึกมิตินิร กาลนั้นถูกกั้นขวางไว้ด้วยม่านพลังชั้นหนึ่ง จึงได้สั่งให้เหล่าเทวนารีถอยห่างออกจากม่านพลังและผนึกกาฬปราณในร่างขึ้น ทำลายม่านพลังนั้นด้วยความมั่นใจในอำนาจแห่งกาฬปราณ แต่กลับถูกม่านพลังนั้นสะท้อนกาฬปราณกลับด้วยอำนาจทวีคูณ พลังกาฬปราณที่รุนแรงไร้ขอบเขตทำลายมวลปราณและกำลังสลายจิตวิญญาณในร่างของ เทพวิรุณปักขะไปในทันที แต่นั่นกลับทำให้ผลึกมิตินิรกาลกลับเปิดออกรับร่างที่ไร้ปราณ และจิตที่สูญสิ้นความหวังในการคงชีวิตของมหาเทพวิรุณปักขะนั้นหายลับเข้าสู่ ภายใน สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าเทวนารีทุกนางต้องตื่นตระหนกสุดชีวิตและทะยานร่าง เข้าหาเพื่อช่วยเหลือ แต่ในชั่วเพียงพริบตาเดียวก่อนที่ร่างของเหล่าเทวนารีจะเคลื่อนไหว ร่างของเทพวิรุณปักขะก็กลับลอยออกมาจากม่านพลังราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บ จากกาฬปราณที่สะท้อนกลับมาแม้แต่น้อย และสั่งการให้เราผู้เป็นเทวนารีแห่งราศรีตุลย์จารึกถ้อยคำปริศนาที่แฝงรหัส ยะแห่งเทวนารีไว้รอบประตูทางเข้าสู่ศิลาปฏิสาร ก่อนสั่งให้เทวนารีทุกนางร่วมเดินทางกลับสู่มหาอาณาจักรปราณโดยไม่บอกเล่า สิ่งใดแม้แต่คำเดียว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในผลึกมิตินิรกาลนั้น มหาเทพวิรุณปักขะไม่เคยถ่ายทอดให้เหล่าเทวนารีนางใดรับรู้มาก่อน มีเพียงจารึกในแผ่นหนังจามรีที่ทนทานต่อการเวลาบ่งบอกที่ตั้งของมหาอุกาบาต ที่ตั้งของศิลาปฏิสารเท่านั้นที่เราเขียนขึ้นไว้ตามบัญชาแห่งมหาเทพตกทอดมา จนทุกวันนี้ ’
ตลอดเวลาที่จิตของสตรีผู้เคยเป็นเทวนารีแห่ง ราศีตุลย์เมื่อหมื่นปีก่อนถ่าย ทอดคำบอกเล่าแห่งอดีตกาล ผม จานีส และเรอินะได้แต่สงบใจรับฟังความลับโบราณที่ไม่เคยมีมนุษย์ใดรับรู้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบอกเล่าถึงที่มาของกัลป์สูญอันเป็นสิ่งที่ผมได้ยินมา โดยตลอดแต่ไม่เคยรับรู้รายละเอียดแม้แต่น้อย แม้กระทั่งจานีสผู้รู้รอบในทุกสรรพตำราแห่งจักรราศรีก็ยังรู้เพียงว่ากัลป์ สูญคือจุดสิ้นสุดของทุกชีวิตเท่านั้น การได้รับรู้ถึงที่มาของกัลป์สูญเป็นครั้งแรกจึงทำให้ ผมเริ่มเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ลางๆ เช่นเดียวกับจานีสที่ตกอยู่ในภวังค์ขบคิดก่อนที่จะส่งจิตออกมาเบาๆ
‘มิ มุ่งหวังจึงได้ครอบครอง….ที่แท้ความหมายของ จิตไร้ขอบเขต กาลไร้ที่สุด อดีตไร้ความทรงจำ ปัจจุบันไร้อัตตา อนาคตไร้กำหนด จักรในกายไร้ตำแหน่ง ปราณไร้จุดศูนย์ หมายความถึงจิต ของผู้ไร้กาล ก็คือจิตสมดุลที่ผสานจิตแห่งอดีตและปัจจุบันไว้ในร่าง ทำให้เป็นจิตที่ไม่ผูกพันกับกาลเวลาใดเวลาหนึ่ง เมื่อจิตสมดุลนั้นอยู่ในสภาพไร้สำนึกในตัวตน ทอดทิ้งทุกสรรพสิ่ง เท่านั้นจึงจะสามารถหลอมรวมเข้าสู่มิตินิรกาลได้ พวกเราถูกปราณแห่งตุลยาเทวีทำร้ายจนสูญสิ้นความหวังในการมีชีวิตอยู่ จิตที่ทอดอาลัยต่อชีวิต ไร้ความต้องการ ม่านปฏิสารจึงเปิดทางให้พวกเราเข้ามาได้’
‘เด็ก น้อยจานีสเจ้าปราดเปรื่องนักเพียงถ้อยคำชี้แนะเล็กน้อย ก็ทำให้เป็นประกายจุดไฟแห่งปัญญาของเจ้าจนเข้าใจทุกสิ่ง …เด็กน้อยวิรุณปักขะท่านมีปัญญาอันล้ำเลิศอยู่ข้างกายเช่นนี้ ความมุ่งหวังของเจ้านับว่าเพิ่มโอกาสขึ้นมาอีกหลายส่วน…’
คลื่น จิตของไกอาที่แท้จะเป็นถ้อยคำราบเรียบไร้อารมณ์ใดๆ แต่ก็แฝงความชื่นชมจานีสไว้ อย่างชัดแจ้งจนทำให้ใบหน้าเด็กสาวแดงระเรื่อขึ้นมาบางๆ แต่ยังไม่ทันที่จานีสจะส่งจิตตอบ จิตของเรอินะก็ดังแทรกขึ้นอย่างลังเล
‘มหา เทพไกอา..สิ่งที่พี่จานีสบอกมานั้นเรอินะยังมีข้อสงสัยอีกประการหนึ่ง นั่คือในเมื่อพวกเราทุกคนมีจิตสมดุลอันเป็นกุญแจผ่านเข้าสู่มิตินิรกาลนี้ แต่เหตุใดตุลยาเทวีจึงผ่านเข้ามาในมิตินี้ด้วยได้ หรือว่านางมีจิตแห่งเทวนารีในอดีตสถิตย์อยู่เช่นกัน ’
คำถามของเรอิ นะทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าร่างเปลือยเปล่าที่ไร้จิตวิญญานของตุ ลยาเทวียังคงลอยอยู่ข้างกายผม และการดำรงอยู่ของร่างนี้ในมิตินิรกาลดูจะเป็นการขัดแย้งต่อสิ่งเงื่อนไขใน การเข้าสู่มิตินิรกาลในตำนานซึ่งจิตแห่งเทวนารีราศรีตุลย์ที่สถิตย์ในร่างจา นีสบอกเล่ามาอย่างชัดเจน แต่ก่อนที่ผมจะส่งจิตแสดงความเห็นใดๆ แสงเรื่องเรืองก็ก่อตัวขึ้นรอบร่างเปลือยของตุลยาเทวีและนำร่างนั้นเคลื่อน ที่มาอยู่เบื้องหน้าจานีสผู้ซึ่งกำลังจับจ้องความเคลื่อนไหวของร่างตุลยา เทวีด้วยสายตาที่แสดงความงุนงง ขณะที่คลื่นจิตของไกอาส่งออกมา
‘สตรี นางนี้ไร้จิต…ส่วนเด็กน้อยจานีสเจ้าไร้กาย…ร่างที่เจ้าดำรงจิตอยู่ เป็นเพียงมวลพลังชีวิตที่ก่อขึ้นจากอำนาจแห่งผลึกมังกรอัคคี ที่ดึงดูดธาตุทั้งสี่ก่อเป็นกายหยาบ ร่างเจ้าจึงไม่อาจผสานกับจิตได้อย่างสมบูรณ์ ไม่อาจเจริญเติบโต ไม่อาจใช้ปราณใดๆ เพราะปราณจะสลายการรวมตัวของธาตุสี่ เมื่อกายหยาบที่จำแลงขึ้นของเด็กน้อยจานีสเจ้าถูกทำลายจนไม่สามารถฟื้นคืน ได้ จิตของเจ้าจึงร่ำร้องเรียกหาร่างใหม่… และด้วยสายเลือดที่เจ้าครอบครองร่วมกันกับสตรีผู้ไร้จิตนางนี้ จิตของเจ้าจึงดึงดูดร่างของนางตามเข้ามาในมิตินิรกาลแห่งนี้…เด็กน้อยจา นีสหากเจ้ายังไม่รู้ เราขอบอกเจ้าไว้ ณ เวลานี้ว่าความเข้าใจของเจ้าที่คิดว่าร่างกายนี้จะสามารถดำรงอยู่ตอไปเมื่อ ได้รับปราณคุ้มครองหัวใจจากเด็กน้อยไกรวิทย์อย่างต่อเนื่องนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง เพราะกายหยาบที่ประกอบขึ้นจากธาตุสี่ของเจ้ายังคงรูปอยู่ได้ก็ด้วยอำนาจแห่ง มิตินิรกาลที่หยุดยั้งการเสื่อมสลายของร่างเจ้าเอาไว้เท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามเจ้าออกจากมิตินิรกาลนี้ ร่างของเจ้าจะสลายเป็นโครงกระดูกดังเช่นที่เคยเป็นมาทันที เมื่อได้รับรู้เช่นนั้นเด็กน้อยจานีสเจ้ายังรั้งรออันใดอีก..’
คลื่น จิตของไกอาที่อธิบายถึงการผ่านเข้าสู่มิตินิรกาลของร่างตุลยาเทวี และการบ่งชี้ถึงการสิ้นสภาพของร่างกายจานีส ทำให้ผมต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจถึงที่สุด เมื่อรับรู้ว่าเด็กสาวผู้เป็นที่รักของผมจะต้องสลายไปในทันทีที่ออกจากสถาน ที่แห่งนี้ ขณะเดียวกันร่างของจานีสก็สะท้านเฮือก ก่อนส่งจิตออกมาอย่างลังเล
‘ครอบครองร่างกาย…ท่านปฐมเทพไกอาหมายความว่าจานีสจะต้องถ่ายจิตเข้าสู่ร่างของตุลยาเทวี แต่นั่นจะทำได้อย่างไร…หรือว่า….’
จิต ของจานีสหยุดนิ่งลงราวกับเด็กสาวจะเข้าใจในสิ่งที่ไกอาถ่ายทอดมาอย่างฉับ พลัน ใบหน้างามที่ซีดขาวด้วยอาการบาดเจ็บหันขวับมาสบตาผมด้วยดวงตาเปี่ยมไปด้วย ความหวัง พร้อมกับที่สมองผมก็พลันเกิดแสงสว่างวาบด้วยความเข้าใจขึ้นมาในทันที
‘เทพผนึกจิต…ใช่แล้ว จานีสมีหนทางช่วยเหลือแล้ว…..’
ผมส่งจิตออกมาด้วยความยินดี…ทำให้จิตเรอินะซึ่งลอยตัวอยู่ด้านข้างแทรกจิตขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกังวล
‘เทพ ผนึกจิต…พี่เอหมายถึงวิชาผนึกสองวิญญาณเข้าไว้ในร่างเดียวที่เล่าขาน กันมาแต่โบราณกาลใช่หรือไม่ แต่เท่าที่เรอินะรู้วิชาปราณโบราณนี้สาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว และผู้ที่หาญทดลองใช้ก็ไม่เคยมีผู้ใดประสบความสำเร็จ เพราะจิตที่ถ่ายทอดเข้าไปจะทำลายจิตดั้งเดิมสิ้น ส่วนจิตที่เข้าสู่ร่างใหม่นั้นก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ และต้องติดอยู่ในร่างที่เคลื่อนไหวไม่ได้นั้นตราบจนสิ้นอายุขัย ถึงแม้ร่างของตุลยาเทวีเบื้องหน้านี้จะปราศจากจิตควบคุม แต่พี่เอแน่ใจแล้วหรือว่าหากฝืนใช้วิชาเทพผนึกจิต จะไม่ทำให้พี่จานีสต้องติดอยู่ในร่างตุลยาเทวีตลอดไปโดยไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือพูดจาใดๆ ได้ นั่นเป็นการทรมาณพี่จานีสยิ่งกว่าความตายเสียอีก เรอินะอยากให้พี่เอคิดในข้อนี้ก่อน…’
ยังไม่ทันที่ผมส่งจิตตอบเรอินะ คลื่นจิตจากไกอาก็ส่งผ่านออกมาอย่างอ่อนโยน
‘เด็ก น้อยเรอินะ..เจ้าหาต้องกังวลอันใดต่อความปลอดภัยของจานีสสหายเจ้าไม่ เพราะบุรุษผู้ที่เจ้ามอบพรหมจรรย์ให้นั้น คือผู้ครอบครองกาฬปราณ และจิตแห่งเทพวิรุณปักขะในร่างนั้นก็คือผู้ที่สร้างวิชาเทพผนึกจิตขึ้นเพื่อ รวมจิตของสองสตรีพี่น้องเข้าด้วยกัน ก่อนสถาปนาสตรีผู้นั้นเป็นเทวนารีแห่งราศรีเมถุน…ในอดีตมีผู้พยายามใช้ วิชาเทพผนึกจิตที่ถ่ายทอดสืบมาอย่างบกพร่องนับไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งล้วนล้มเหลวเพราะปราณเดียวในโลกที่จะผนึกจิตได้นั้นมีเพียงกาฬ ปราณของเด็กน้อยวิรุณปักขะเท่านั้น…’
‘แต่…แต่…เรอินะ….’
หญิง สาวผู้เป็นอดีตเทวนารีแห่งจักรราศรีส่งจิตออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความ ไม่มั่นใจต่อสิ่งที่ไกอาถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ทันที่เรอินะจะส่งจิตจบสิ้น จิตที่แผ่วล้าของจานีสก็ดีงแทรกขึ้นมา..
‘เรอินะ…พี่เอเคยใช้วิชา เทพผนึกจิตมาแล้วครั้งหนึ่งและประสบผลสำเร็จในการ รวมสองวิญญานเข้าเป็นดวงจิตเดียวมาแล้ว หากพวกเราสามารถออกไปจากสถานที่นี้ได้อย่างปลอดภัย เรอินะจะได้พบกับปณิตา ผู้ทรงจิตจากวิญญานสองดวงที่บัดนี้เป็นหนึ่งคู่ชีวิตของพี่เอเช่นกัน…แต่ ตอนนี้จานีสยังมีข้อกังวลเพียงประการเดียวกับสิ่งที่ท่านปฐมเทพถ่ายทอดมา นั่นคือหากจิตของจานีสถ่ายทอดไปยังร่างที่ว่างเปล่าของตุลยาเทวี…การผสาน วิญญานในวิชาเทพผนึกจิตจะเกิดขึ้นได้อย่างไร..’
คำถามของจานีสทำให้ ผมระลึกขึ้นมาได้ว่าการหลอมรวมวิญญานของหนูนิดกับเหมียว เมื่อสองปีที่ผ่านมานั้น กระแสกาฬปราณในร่างผมได้แยกออกเป็นสองสายและสลายวิญญาณทั้งสองดวงเข้าสวมกัน เป็นหนึ่งเดียว แต่สภาพของตุลยาเทวีเบื้องหน้าเป็นเพียงร่างที่ว่างเปล่าปราศจากจิตและ วิญญาณครอบครอง การส่งผ่านจิตจานีสเข้าไปในร่างโดยตรงแม้จะดูเหมือนทำได้ง่ายกว่า แต่ผลที่เกิดขึ้นอาจอยู่นอกเหนือความคาดหมาย และอาจสิ้นสุดลงด้วยการที่จิตของจานีสติดอยู่ในร่างของตุลยาเทวีไปตลอดกาล โดยไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ซึ่งนั่นเป็นความทรมาณเสียยิ่งกว่าความตายดังที่เรอินะเคยให้ความเห็นเอาไว้ …แต่ทันใดนั้นจิตของมหาเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็พลันส่งจิตออกมาราวกับรับ รู้ความกังวลของผมเป็นอย่างดี
‘ไกร วิทย์ เจ้าหาต้องกังวลไม่ ผู้ที่สร้างวิชาเทพผนึกจิตขึ้นมาก็คือเรา เทพวิรุณปักขะ…เราไม่ยอมปล่อยให้คันชั่งน้อยที่รักของเราต้องประสบชตากรรม ที่เลวร้ายอย่างแน่นอน ชีวิตของนางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเคราะห์กรรมที่เวียบมาบรรจบจนทำให้นางต้อง เกิดมาในสภาพพิการปราศจากชีวิตที่สมบูรณ์จนต้องสูญชีพอย่างทรมาณด้วยเพลิง แห่งมังกรอัคคี…บัดนี้เป็นโอกาสที่นางจะกลับเข้าสู่ชีวิตที่สมบูรณ์อีก ครั้ง..จงฟังเราไกรวิทย์…จงเย็ดจานีสตามที่หัวใจเจ้าปราถนา…ทุกสิ่งเรา จะควบคุมและชี้แนะเจ้าเอง…คันชั่งน้อยเจ้าพร้อมรับความเจ็บปวดในเบื้องต้น เพื่อรองรับความสมบูรณ์ในเบื้องปลายหรือไม่…’
‘นาย ท่าน..ชีวิตของคันชั่งน้อยเป็นของนายท่านแม้จะเจ็บปวดเพียงเท่าใด คันชั่งน้อยย่อมยอมรับด้วยหัวใจปิติ แต่สำหรับสตรีนามจานีสที่คันชั่งน้อยสถิตย์จิตอยู่นี้ นางจะต้องเจ็บปวดทรมาณแสนสาหัสยิ่ง….’
จิตของเทวนารีแห่งรา ศรีตุลย์นามคันชั่งน้อยในร่างจานีสตอบรับคำถามของจิต แห่งมหาเทพวิรุณปักขะในร่างผมอย่างไม่ลังเล ด้วยถ้อยคำที่ผมให้ผมงุนงง แต่ขณะเดียวกันจานีสก็ถอนหายใจยาวพร้อมกับส่งจิตออกมาอย่างแผ่วเบา…
‘มหา เทพวิรุณปักขะผู้สถิตย์ในร่างพี่เอ และท่านเทวนารีแห่งราศรีตุลย์ผู้ร่วมจิตกับจานีส สิ่งที่ทั้งสองท่านบอกมานั้นจานีสเข้าใจดี…และรับรู้ว่าด้วยร่างกายที่ พิการปราศจากการเชื่อมต่อของจักรทั้งสี่ในร่างปัจจุบันนี้ หีของจานีสจะไม่มีทางรับควยพี่เอได้โดยไม่ฉีกขาด แต่จานีสขอมอบชีวิตไว้กับพี่เอและมหาเทพวิรุณปักขะ….พี่เอ…เย็ดจานีส เถอะ….’
‘แต่ ..แต่.. จานีส..’
ประโยคสุดท้ายที่จานีสขอให้ ผมร่วมรักทั้งที่อวัยวะเพศของเด็กสาวปราศจากพลัง ชีวิตรองรับใดๆ ทำให้ผมต้องส่งจิตออกมาอย่างลังเล..เพราะรู้ดีกว่าการส่งแก่นกายของผู้ทรง ปราณเข้าสู่ร่างเด็กสาวที่ไร้น้ำรักหล่อลื่นให้พร้อมที่จะตอบสนองนั้น ไม่ต่างอันใดกับการข่มขืนอย่างทารุณ…
‘พี่เอไม่ต้องลังเลใจอันใด อีกแล้ว…นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จานีสจะได้ อยู่กับพี่เอต่อไป แม้จะต้องเจ็บปวดสักเท่าไหร่ จานีสก็พร้อมที่จะรับมันเอาไว้เพื่อให้ได้อยู่ร่วมกับพี่เอเท่านั้น….พี่ เอเย็ดจานีสเถอะ…’
มือน้อยๆ ของจานีสเอื้อมมายึดแขนผมไว้แล้วดึงร่างเข้าหาจนผิวกายเด็กสาวแนบสนิทกับ ร่างผม ดวงตากลมโตสบตาผมแน่วนิ่งเป็นสัญญาณที่ผมคุ้นเคยว่ามันหมายถึงการตัดสินใจ อย่างแน่วแน่ของอดีตโหราทาสเย็ดจนหนำใจฺห้าสิบเอ็ดครั้งที่ ครอบครองหัวใจส่วนหนึ่งของผมไว้..ผมสูดลมหายใจลึกก่อนดึงร่างจานีสเข้ามากอด ไว้แนบกาย จนทรวงอกเต่งตึงผนึกแน่นกับอกผม แต่สัมผัสของหัวนมที่อ่อนนุ่มของเด็กสาวบอกให้ผมรู้ว่าความต้องการของจานีส ไม่ได้ถูกปลุกเร้าขึ้นจากการสัมผัสเหมือนดังที่เคยเป็นมา ผมก้มลงจูบริมฝีปากที่แห้งผากของเด็กสาวเบาๆ ขณะที่มือของจานีสเอื้อมมาจับแก่นกายของผมที่เบื้องล่างแล้วเริ่มกระทอกมัน อย่างนุ่มนวล แต่ผมก็ต้องสะท้อนใจเพราะดูเหมือนว่าแม้ร่างกายผมจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็ม ที่ แต่ความพยายามปลุกแก่นกายผมของจานีสยิ่งทำให้ความต้องการของผมกลับลดลงไปทุก ขณะด้วยความรู้สึกขัดแย้งในส่วนลึกของจิตใจที่ไม่ต้องการสร้างความเจ็บปวด ให้จานีส และดูเหมือนว่าผมเองก็ไม่สามารถปลุกเร้าความต้องการทางเพศขึ้นได้เช่นกัน ท่อนเนื้อที่ควรจะแข็งแกร่งพร้อมสำหรับการร่วมรักจึงกลับกลายเป็นอ่อนปวก เปียกอยู่มือของจานีสที่ยังคงพยายามกระทอกอย่างไม่หยุดยั้ง แม้จะไร้ผลก็ตาม
‘พี่เอ .เรอินะขอช่วยพี่จานีสนะ…’
จิต หวานใสของเรอินะดังขึ้นในสมองผม ขณะที่แผ่นหลังผมพลันสัมผัสถึงความอบอุ่นของเรือนร่างหญิงสาวที่สลายเกราะ ปราณออกจากร่าง เต้านมเต่งตึงครัดเคร่งบดเบียดกับแผ่นหลังผมแนบแน่น ก่อนที่ร่างงามปราดเปรียวของอดีตเทวนารีแห่งราศีธนูจะพลิกแทรกเข้ามาระหว่าง ร่างผมกับจานีส พร้อมพลิกตัวหมุนจนใบหน้างามกลับลงมาอยู่ที่แก่นกายผม และยังไม่ทันที่ผมจะส่งจิตกับเรอินะ แก่นกายผมก็สัมผัสได้ถึงมือของจานีสที่ถูกดึงออกไปพร้อมกับความอบอุ่นชุ่ม ชื้นเข้ามาครอบแก่นเนื้อผมไว้แทนที่
‘เรอินะ…ทำ ทำ อะไร…อูว์’
ผม ส่งจิตออกไปด้วยความงุนงงกับสัมผัสที่บอกให้ผมรู้ว่าเรอินะกำลังใช้ปากของ ตนเองอมแก่นเนื้อผมไว้ แต่แล้วจิตของผมก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงครางเมื่อลิ้นเรียวเล็กของเรอินะ เริ่มเกลี่ยไล้ปลายหัวบานที่ไวต่อความรู้สึกพร้อมกับแรงดูดเคล้นจากปากน้อยๆ ที่ส่งแรงรัดรึงไปทั่วทุกแก่นเนื้อ ขณะเดียวกันร่างงามของเรอินะก็ขยับตัวให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถใช้สองแขน โอบรอบเอวผมเพื่อใช้เป็นหลักในการโยกแก่นเนื้อผลุบเข้าออกริมผีปากเรียวงาม นั้น แต่ท่วงท่านี้มันกลับทำให้เนินรักอวบอิ่มของเรอินะกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดียว กับใบหน้าผมจนสัมผัสถึงกลิ่นหอมจรุงปนคาวอ่อนๆ ที่กรุ่นกระจายออกมาจากพลูเนื้อที่ปกคลุมด้วยไรขนบางเบา คราบโลหิตพรหมจรรย์ที่หญิงสาวมอบให้ผมเมื่อครู่ที่ผ่านมายังคงเกาะอยู่กับ สองแคมรวมกับคราบน้ำรักผมที่ไหลล้นออกมาจากหลืบรัก แต่นั่นไม่สามารถทำลายความงามของพลูเนื้อเปล่งปลั่งเบื้องหน้าผมแม้แต่น้อย ความงามของเนินรักเบื้องหน้าและสัมผัสนุ่มนวลแต่เร่าร้อนจากปากน้อยๆที่ กำลังกระตุ้นแก่นเนื้อผมจนกลับสู่ความแข็งแกร่งอีกครั้ง ทำให้สมองผมอึงอลไปด้วยความปราถนาและฝังใบหน้าลงกับพลูเนื้อเบื้องหน้าอย่าง ลืมตัว
‘อ๊าวส์….พะ พะ พี่เอ….เรอินะ…เรอินะ..สะ เสียว…ยะ อย่าใช้ลิ้นแบบนั้น…’
อดีต นารีธนูผู้งดงามส่งจิตครางออกมาเมื่อสิ้นของผมแทรกผ่านสองแคมเปล่งปลั่ง เข้าสัมผัสรสหอมหวานภายในร่างหญิงสาวที่ทะลักน้ำหล่อลื่นเอ่อล้นออกมาไม่ขาด สาย…
‘อูย…เรอินะ…เรอินะ รู้จักการใช้ปากแบบนี้ได้อย่างไร…อาห์…’
‘เร อินะ…ไม่เคยรู้มาก่อน..เรอินะไม่เคยเย็ดกับใคร…แต่เรอินะทำตามที่จิต แห่งเทวนารีราศรีธนูที่สถิตย์ในร่างเรอินะสอนให้…อูย…พี่เอ…ตรงนั้น มันอะไร..ทำไมมันเสียวอย่างนี้’
เรอินะพยายามส่งจิตอธิบายทั้งที่น้ำ เสียงสั่นระริกไปด้วยความเสียวเมื่อลิ้น ผมกวาดพบติ่งเสียวเหนือร่องรักที่ขยายตัวตามแรงกระตุ้น และเมื่อผมใช้ลิ้นกดคลึงติ่งน้อยๆ ร่างงามของเรอินะก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง แรงดูดที่แก่นกายผมยิ่งทวีเพิ่มขึ้นราวกับหญิงสาวพยายามจะดูดแก่นเนื้อออกไป จากร่าง…
‘พี่เอ..ทะ..ทะ.. ทำไม เรอินะถึงต้องการให้พี่เอเย็ดขนาดนี้….หีเรอินะหลั่งน้ำออกมาไม่หยุด …นี่เกิดอะไรขึ้น…อาว์…พะ พะ พี่เอ….’
‘ปราณในร่างเรอินะ …มาจาก..จากปราณของพี่ที่ผสานพลังชีวิตกับผลึกมังกรอัคคี…เมื่อใดก็ตาม ที่พี่ต้องการเย็ด…สตรีที่ รับพลังจากผลึกมังกรอัคคีก็จะ จะ…ถูกกระตุ้นให้พร้อมรับการเย็ด…เหมือนที่…อาห์..เกิดกับเรอินะ…’
‘พี่เอ…พี่เอ…เรอินะ..ไม่ไหวแล้ว…สะ เสียว…อ๊าวส์…’
ร่าง งามของเรอินะกระตุกเฮือก ผิวกายสั่นระริกไปทุกขุมขน เมื่อลิ้นผมกระตุ้นจนหญิงสาวบรรลุจุดสุดยอด สองแคมอวบที่ลิ้นผมแทรกอยู่ระหว่างกลางบีบรัดตัวเองเป็นจังหวะพร้อมกับ น้ำรักที่ทะลักทะลายออกมาราวสายน้ำป่าพุ่งเข้ามาในปากผม แต่ก่อนที่ผมจะกลืนกินน้ำทิพย์จากร่องรักเรอินะลงไป ..จิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็ดังขึ้น
‘ไกรวิทย์…อย่ากลืนน้ำรักของลูกศรน้อย..จงสะสมไว้ในปากเจ้า แล้วส่งถ่ายเข้าไปในหีจานีสเดี๋ยวนี้…’
ทันที ที่จิตในร่างผมถ่ายทอดถ้อยคำแปลกประหลาดออกมา เรอินะที่ร่างยังคงสั่นระริกด้วยความเสียวสุดยอดก็สูดลมหายใจลึกราวกับ พยายามระงับอารมณ์ตัวเอง แล้วปล่อยแก่นกายที่ตึงเขม็งของผมออกจากปากพร้อมกับแอ่นเนินนูนที่กำลัง หลั่งรินน้ำรักออกมาไม่ขาดสายเข้าอัดแน่นกับปากผมที่ประกบอยู่ ผมตัดความรู้สึกสับสนทั้งหมดออกจากจิตใจและดูดน้ำรักหอมกรุ่นออกจากหลืบรัก เรอินะจนเกือบเต็มความสามารถที่จะรับไว้ได้ พร้อมกับที่เรอินะพลิกตัวถอนเนินรักงามออกจากปากผม ก่อนดึงร่างจานีสเข้ามาหาแล้วกอดร่างที่กำลังอยู่ในอาการตกตะลึงของจานีสเอา ไว้แน่น สองมืออดีตเทวนารีแห่งราศรีธนูเลือนลงต่ำไปยังลำขาเรียวงามของจานีสและแยก ออกกว้างเผยให้เห็นเนินรักที่แทบจะไร้ขนของจานีส และส่งจิตออกมาอย่างเร่งร้อน
‘พี่เอ…ถ่ายน้ำรัก…ถ่ายน้ำรักของเรอินะเข้าไปในหีพี่จานีสเดี๋ยวนี้……’
จิต ของเรอินะที่ผมรู้ดีว่ามีการติดต่อกับเทวนารีราศรีธนูแห่งอดีตกาล ทำให้ผมตัดสินใจเลื่อนร่างลงต่ำเข้าไปยังท่อนขาของจานีสที่เปิดแยกออกจากกัน ก่อนประกบปากเข้ากับสองแคมรักที่เคยเปล่งปลั่งนุ่มนวลของจานีส แต่บัดนี้สัมผัสจากริมฝีปากผมบอกอย่างชัดเจนว่าสองแคมนั้นนุ่มนิ่มปราศจาก แรงดีดสะท้อนที่เคยมี อันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าอวัยวะเพศของจานีสขาดพลังชีวิตมาหล่อเลี้ยงและ กำลังใกล้ที่จะเสื่อมสูญลงทุกขณะ
‘ไกร วิทย์ ผนึกปราณผสานเข้าไปในน้ำรักของลูศรน้อยแล้วส่งเข้าไปในร่างคันชั่งน้อย อย่าช้า มิฉะนั้นพลังก่อเกิดในน้ำรักของเรอินะจะเสื่อมสภาพ…’
ผม สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนโคจรปราณในร่างผ่านจักรพสุธาที่ศรีษะเข้าผสานกับ น้ำรักในปาก และรับรู้ด้วยความแปลกใจว่าน้ำรักนั้นปรากฏมวลพลังงานขึ้นมาเป็นกลี่มก้อน ผมรีบใช้ลิ้นแทรกผ่านสองแคมบอบบางของจานีสเพื่อเบิกทาง ก่อนบังคับน้ำรักเป็นเส้นสายพุ่งเข้าไปในร่างจานีสจนหยดสุดท้ายในอึดใจเดียว
‘พะ พะ พี่เอ…หี หี…จานีสร้อน…’
จิตสั่นระริกจานีสส่งออกมายังผม พร้อมกับที่เสียงจิตเสนาะใสของเทวนารีราศรีตุลย์ในอดีตแทรกเข้ามาในสมองผม
‘ท่าน ไกรวิทย์…ปล่อยปากออกแล้วเย็ดจานีส…ท่านไกรวิทย์ห้ามกังวลว่าจานีส จะเจ็บปวดอันใด ทั้งสิ้น ท่านต้องส่งควยทะลวงหีของจานีสให้หมดในคราเดียวเท่านั้น หากท่านลังเลหรือเว้นจังหวะการเย็ด ความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า และทั้งจานีสกับเราคันชั่งน้อยก็จะสิ้นสูญไปชั่วนิรันดร์’
ผม ขบกรามแน่นเมื่อได้รับถ้อยคำจากจิตที่สถิตย์ในร่างจานีส และรู้ดีว่าจิตของเทพวิรุณปักขะ เทวนารีราศรีตุลย์ และราศรีธนู ที่แยกกันสถิตย์ในจิตผม จานีส และเรอินะกำลังทำงานประสานกัน เพื่อกอบกู้ชีวิตของจานีสกลับมา ผมตัดสินใจเลื่อนร่างขึ้นจ่อแก่นกายเข้ากับสองแคมที่ไร้แรงดีดสะท้อนขณะที่ จิตของจานีสส่งมาอย่างเด็ดเดี่ยว
‘พี่เอ…ไม่ต้องกังวลอันใดทั้งสิ้น..ชีวิตจานีสเป็นของพี่เอ….’
ผม ขบกรามแน่นก่อนตัดสินใจกระแทกแก่นกายแข็งแกร่งเข้าไปในหลืบรักของจานีส ทั้งหมดในคราวเดียว ปลายหัวบานทะลวงผ่านกลับเนื้อตีบตันจนฉีกขาดเป็นทางยาว ร่องรักที่แม้จะมีน้ำรักของเรอินะบรรจุอยู่ภายในจนเกิดการหล่อลื่นขึ้นบาง ส่วน ก็ยังไม่สามารถรองรับการบุกของแก่นเนื้อขนาดใหญ่ของผมได้ ผิวแก่นกายผมสัมผัสได้ถึงการฉีกขาดของสองแคมพร้อมกับกลิ่นของคาวเลือดที่ ทะลักออกมาแผลฉีกขาดนั้น ร่างจานีสกระตุกเฮือกด้วยความเจ็บปวดสุดขีด เด็กสาวกัดริมฝีปากโดยไม่ยอมส่งเสียงร้องใดๆ ออกมา สองแขนกอดรัดร่างเรอินะที่ประกบอยู่ด้านบนแน่น ขณะที่สองขาเรียวงามสั่นระริก แต่ก่อนที่ผมจะส่งจิตถามจานีส…จิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็ดังขึ้น
‘ไกรวิทย์ ไม่ต้องสนใจความเจ็บปวดของจานีส..จงเร่งเย็ดนางแล้วปล่อยน้ำรักเข้าไปผสานกับน้ำรักเรอินะในร่างนั้นโดยเร็วที่สุด…’
ผม ตัดสินใจช้อนสะโพกจานีสขึ้นในวงแขน ก่อนกระเด้าเนินรักที่ฉีกขาดยับเยินนั้นโดยปล่อยวางความกังวลทั้งมวลออกไป ตามคำสั่งของเทพวิรุณปักขะ…กล้ามเนื้อที่ฉีกขาดภายในของจานีสแม้จะไม่มี การตอดรัดแก่นกายผมดังเช่นการร่วมรักในห้วงที่ผ่านมา แต่ความคับแน่นของอวัยวะเพศจานีสที่อยู่ในร่างของเด็กสาววัย 14 ก็บดอัดแก่นเนื้อผมจนสร้างความเสียวให้เกิดขึ้นได้เช่นกัน เพียงชั่วครู่ของการกระเด้าถี่ยิบ ความเสียวก็พลุ่งพล่านมายังปลายหัวบานพร้อมที่จะระเบิดออกไปทุกขณะ
‘ไกร วิทย์ ผนึกาฬปราณในร่างถึงขีดสุดเดี๋ยวนี้ แล้วส่งผ่านน้ำรักเข้าไปในหีจานีส…ไม่ต้องลังเลใจอันใดทั้งสิ้น ชีวิตจานีสขึ้นกับอึดใจนี้เท่านั้น..’
จิตของเทพวิรุณปักขะ ดังขึ้นในสมองผมชั่วเสี้ยววินาทีก่อนการระเบิดน้ำรัก ผมผนึกกาฬปราณในร่างขึ้นมารวมที่จักรอัคคีแล้วระเบิดน้ำรักพร้อมกระแสกาฬ ปราณเข้าสู่ร่างจานีส
………เปรี๊ยะ……
เสียงลั่นราว กับไม้แตกดังขึ้นจากร่างจานีสในทันทีที่กาฬปราณถูกส่งผ่านเข้า สู่ร่างเด็กสาว ประกายแสงเรืองรองกระจายจ้าออกจากทุกรูขุมขนของจานีส ปราณในร่างผมสัมผัสได้ถึงการหลอมรวมกาฬปราณเข้ากับมวลพลังที่อยู่ในน้ำรัก ของเรอินะ ซึ่งถูกส่งเข้าไปในร่างของจานีสก่อนหน้า จนผสานเป็นกลุ่มก้อนพลังงานที่กระจายแสงออกมา แต่เพียงพริบตาต่อมาประกายแสงนั้นก็ลดลงพร้อมกับที่ผมสัมผัสได้ถึงจิตของจา นีสถูกประกายแสงนั้นหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน…ขณะที่จิตของเทพวิรุ ณปักขะดังขึ้น
‘ไกรวิทย์ เจ้าจงผนึกปราณดูดรั้งจากจักรทั้งสี่แล้วดึงดูดมวลพลังงานในร่างจานีสกลับ เข้ามาในร่างเจ้า…อย่าตกใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างจานีส เพราะบัดนี้จิตของจานีสถูกมวลพลังจากน้ำรักเรอินะและกาฬปราณของเจ้าผสานเป็น หนึ่งเดียว…’
ผมผนึกปราณในร่างขึ้นตามคำชี้แนะของเทพวิรุ ณปักขะ…ก่อนโคจรปราณด้วยแนวทาง ดูดรั้ง ดึงมวลพลังในร่างจานีสเข้ามาในร่างผมอย่างช้าๆ ทันใดนั้นร่างผมก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของจานีสที่ผมยังฝังแก่นเนื้อในร่อง รักเริ่มสลายตัวลงทีละน้อยตามมวลพลังที่ถ่ายเข้ามาในร่างผม
‘พี่เอ…ดู..’
จิต ของเรอินะส่งออกมาเมื่อพบว่าร่างของจานีสที่เรอินะกอดเอาไว้นั้นเริ่ม กลายสภาพจากเนื้อหนังมนุษย์เป็นสภาพโปร่งแสงทีละน้อย แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผมเคยสัมผัสโครงกระดูกของจานีสในบ่อมังกรฟ้า และการบอกเล่าจากเทพวิรุณปักขะล่วงหน้า ทำให้จิตผมสามารถควบคุมสมาธิในการดูดรับพลังงานจากร่างจานีสได้ โดยไม่แตกตื่นตกใจไปกับสภาพที่เกิดขึ้น เพียงชั่วครู่พลังทั้งหมดในร่างจานีสก็ถูกดูดกลืนเข้ามาในตัวผม ร่างจานีสที่เบื้องหน้ากลับกลายเป็นผลึกใสที่โปร่งบางราวกับฟองสบู่ แก่นกายผมที่เคยอัดแน่นอยู่ในหลืบรักจานีสปราศจากแรงสัมผัสใดๆ อีกต่อไป พร้อมกับจิตแผ่วเบาที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นในสมองผม
‘เกิดอะไรขึ้น..ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด …เราอยู่ที่ไหนกัน’
‘จา นีส…ได้ยินพี่ไหม…ตอนนี้จิตวิญญาณจานีสอยู่ในร่างพี่…เหมือนกับ คราวที่พี่เคยรับจิตวิญญาณหนูนิดเข้ามาก่อนที่จะถ่ายไปรวมร่างกับเหมียว..จา นีสจำได้ได้ไหม’
เสียงของจานีสที่ดังขึ้นในสมอง ทำให้ผมต้องรีบส่งจิตติดต่อจิตของอดีตโหราทาสที่เข้ามารวมในร่างผมทันที พร้อมกับอธิบายสภาพที่เกิดขึ้นด้วยให้จานีสรู้ด้วยประสบการณ์แบบเดียวกันที่ ผมเคยรับรู้ร่วมกับหนูนิดและเหมียวมาก่อน
‘พี่เอ..จานีสได้ยิน จานีสรับรู้ถึงตัวตน รับรู้ถึงสัมจานีสเห็นผัสเดียวกันกับที่พี่เอได้รับ..เดี๋ยว…พี่เอ..จานีส เห็นภาพผ่านดวงตาพี่เอแล้ว…แต่ นั่น นั่น คือร่างของจานีสหรือ…’
จิต ของจานีสส่งออกมาด้วยความประหลาดใจอย่างรุนแรงเมื่อรับรู้ผ่านดวงตาของผม ถึงภาพร่างของตนเองที่อยู่ในสภาพโปร่งใส แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอันใด จิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็ส่งออกมาให้ผมและจานีสรับรู้พร้อมกัน
‘จานีสและคันชั่งน้อย จงดูคราบร่างนี้เป็นครั้งสุดท้าย….ไกรวิทย์..ถอนควยออกจากคราบร่างจานีสได้แล้ว…’
ผม สูดลมหายใจลึกยาวถอนพลังปราณสุดท้ายออกจากร่างจานีส ก่อนดึงแก่นเนื้อออกจากร่างโปร่งใสเบาบางเบื้องหน้าออกมาอย่างช้าๆ แต่ทันทีที่ปลายหัวบานพ้นออกจากคราบร่างจานีส จิตผม จานีส และเรอินะที่ด้านข้างก็ต้องอุทานออกมาพร้อมกันทันที เมื่อคราบร่างโปร่งใสของจานีสพลันแตกสลายออกไปเป็นละอองธุลีกระจายออกไปทุก ทิศทางราวกับลูกโป่งฟองสบู่ที่ถูกเข็มเจาะ ละอองจากร่างจานีสกระทบแสงที่เกิดจากพลังของไกอาจนเป็นประกายระยิบระยับราว ดวงดาว ก่อนที่จะสลายไปทั้งหมดในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ
‘ไกร วิทย์…อย่าเพิ่งสงสัยอันใดทั้งสิ้น จิตของจานีสและคันชั่งน้อยในร่างเจ้าสามารถดำรงอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วยาม เท่านั้น เจ้าต้องรีบถ่ายจิตวิญญาณของจานีสและคันชั่งน้อยเข้าสู่ร่างที่ปราศจากจิต ของตุลยาเทวีเดี๋ยวนี้…’
จิตของเทพวิรุณปักขะดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน พร้อมกับจิตของเรอินะที่ประสานตามมา
‘พี่เอ…เร็วเข้า เรอินะเตรียมร่างของตุลยาเทวีให้พี่เอแล้ว ส่งจิตพี่จานีสเข้าสู่ร่างนี้เถอะ..’
จิต ของเรอินะที่ร้อนรนไม่แพ้จิตของเทพวิรุณปักขะ ทำให้ผมต้องยุติความสนใจจากเหตุการณ์ที่คราบร่างจานีสสลายตัวเป็นละอองธุลี และหันกลับไปยังเรอินะที่ด้านข้าง แต่แล้วผมก็ต้องกลั้นลมหายใจเมื่อพบภาพเบื้องหน้า
ร่างเปลือยเปล่าสี น้ำผึ้งนวลเนียนของตุลยาเทวีถูกเรอินะประคองมาลอยอยู่ที่ ด้านข้างผม ขณะที่ร่างของเรอินะลอยอยู่ด้านหลัง สองมือหญิงสาวประกบแผ่นหลังของร่างตุลยาเทวีไว้ที่ตำแหน่งจักรอัคคี และดันร่างเปลือยนั้นมาอยู่ตรงหน้าผม ดวงหน้างดงามของตุลยาเทวีที่ดูราวกับฝาแฝดของจานีสสงบนิ่ง ดวงตาที่เคยทอประกายกราดเกี้ยวยามต้องการเข่นฆ่าเปิดกว้าง แต่จับจ้องไปข้างหน้าโดยไร้จุดหมายและไร้ประกายแห่งความรู้สึกใดๆ ส่งออกมาให้สัมผัส ทรวงอกตูมเต่งชูช่อด้วยสัณฐานกลมกลึงไร้ที่ติประดับปลายยอดเต้านมด้วยเม็ด มณีสีน้ำตาลอมแดงสดใสในรูปพิมพ์เดียวกันกับเต้านมของจานีส ลานหน้าท้องราบเรียบไร้ตำหนิทอดยาวลงไปสู่เนินรักที่นูนเด่นจากสองแคมที่ เบียดแนบกันสนิทแน่น แต่ร่องกลางของสองแคมนั้นปรากฏหยาดน้ำใสเริ่มไหลซึมออกมาจนเส้นไหมที่กระจาย ตัวบางเบาคลุมสองแคมอวบนั้นเปียกชื้น เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าหลืบรักของตุลยาเทวีกำลังถูกกระตุ้นให้พร้อมสำหรับ การร่วมรัก ซึ่งผมทราบในทันทีจากท่วงท่าการถ่ายทอดปราณของเรอินะทางด้านหลังว่าหญิงสาว กำลังใช้ปราณในร่างถ่ายไปกระตุ้นจักรอัคคีของตุลยาเทวีให้เกิดปราณธาตุไฟที่ เร่งเร้าความต้องการทางเพศขึ้นสูงจนไม่สามารถควบคุมได้ อันเป็นรรูปแบบเดียวกันกับที่คุณแม่ของผมเคยถ่ายทอดให้ผมในอดีต…
‘พี่ เอ…เรอินะกระตุ้นจักรอัคคีของตุลยาเทวีตามคำสั่งของเทวนารีราศรีตุลย์ นามลูกศรน้อยในร่างเรอินะแล้ว … พี่เอเย็ดร่างนี้เถอะ..’
‘พี่เอ …จิตจานีสเริ่มแยกจากประสาทสัมผัสของพี่เอแล้ว ภาพที่จานีสเห็นด้วยดวงตาพี่เอเริ่มมืดลงทุกขณะ..หากที่เอไม่เร่งถ่ายจิตจา นีสเข้าสู่ร่างของจานีน…จิตของจานีสจะดับสูญไปตลอดกาล’
จิตเร่ง ร้อนของเรอินะและจานีสดังขึ้นในสมองผมแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้ผมตัดสินใจดึงร่างเปลือยของจานีนผู้เป็นตุลยาเทวี เข้ามาหา แล้วแทรกกายเข้าระหว่างสองขาอวบอิ่มที่ถูกมือผมจับแยกออกจากกัน จนสองแคมที่เคยแนบสนิทเผยอตัวเปิดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นกลีบเนื้อสีชมพูเข้มสดใสที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำหล่อลื่นซึ่ง ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาเป็นสาย เป็นภาพที่เย้ายวนอารมณ์รักจนแก่นกายผมผงกขึ้นชูชันด้วยความต้องการจากการ เร่งเร้าของพลังชีวิตแห่งผลึกมังกรอัคคี ผมสูดลมหายใจลึกก่อนจ่อแก่นกายกับหลืบรักเบื้องหน้า
‘ไกร วิทย์…ปล่อยอารมณ์ของเจ้าไปตามใจปราถนา จงเย็ดร่างนี้ให้เต็มที่ด้วยความรู้สึกเดียวกับที่เจ้าเย็ดจานีส…จำไว้ว่า หากเจ้าลังเลใจหรือชะงักการเย็ดแม้แต่อึดใจ จิตของจานีสจะไม่สามารถผสานเป็นหนึ่งเดียวในร่างนี้ได้…’
จิต แห่งเทพวิรุณปักขะส่งมาย้ำเตือนผมเพื่อชี้แนะหนทางของวิชาเทพผนึกจิต ทำให้ผมตัดสินใจจับสะโพกอวบที่ผายสล้างของร่างตุลยาเทวีเอาไว้มั่น ก่อนกดแก่นเนื้อทะลวงลงไปในหลืบรักเบื้องหน้าในคราวเดียว แก่นเนื้อผมสัมผัสถึงกลีบเนื้อคับแน่นภายในที่ถูกแก่นกายฉีกฝ่าเข้าไปผ่าน ทะลุเยื่อพรหมจรรย์ที่หยุ่นเหนียว แต่ยังไม่พอเพียงที่จะต้านทานแก่นกายผมที่บุกเข้าไปด้วยกำลังปราณได้ แก่นเนื้อผมทะลวงผ่านหลืบเนื้อคับแคบลงไปจนสุดทาง กลีบเนื้อในร่องหลืบคับแน่นของตุลยาเทวีทุกส่วนสั่นระริกบดอัดแก่นกายผมราว กับจะพยายามผลักดันวัตถุแปลกปลอมที่เข้ามาภายในเป็นครั้งแรกให้พ้นออกไป แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เกิดแรงบีบรัดที่ซ่านเสียวจนผมแทบจะระเบิดน้ำรักออกมา ได้ทุกขณะจิต
‘อาห์..พี่เอ…ความรู้สึกเวลาที่พี่เอเย็ดหีเป็นเช่น นี้เอง…จานีสได้รับ รู้เป็นครั้งแรก…มันเสียวแบบนี้..พี่เอถึงเย็ดพวกเราไม่ยอมเว้นว่าง เลย…’
จิตของจานีสในร่างผมครางออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อร่วม สัมผัสความเสียวของ การร่วมรักในฐานะเพศชายเป็นครั้งแรก…เช่นเดียวกับผมที่ถูกหลืบรักของตุลยา เทวีบดอัดแก่นเนื้อทุกสัดส่วนด้วยความเสียวซ่าน แต่ถ้อยคำที่เทพวิรุณปักขะในร่างผมบอกมาก่อนหน้าทำให้ผมรู้ว่าผมต้องละความ สนใจจากจิตจานีสในร่างผมและกำหนดสมาธิให้ร่างตุลยาเทวีให้เป็นจานีสแทนที่ ผมสูดลมหายใจลึกยาวดึงแก่นเนื้อออกมาครึ่งลำแล้วกระแทกกลับลงไปในหลืบคับแคบ นั้นอีกครั้ง ก่อนเริ่มกระเด้าความหนึบแน่นนั้นช้าๆ พร้อมกำหนดจิตให้ร่างที่ผมกำลังร่วมรักนั้นคือจานีส
‘จานีส…หีจานีสแน่นเหลือเกิน พี่เสียวจนแทบคุมไม่ได้แล้ว….’
ผม ส่งจิตกำหนดไปยังร่างตุลยาเทวี ขณะเพิ่มความถี่ในการกระเด้าหลืบรักนั้นอย่างตอ่เนื่อง สองมือผมย้ายตำแหน่งจากการเกาะกุมสะโพกเต่งตึงไปยังเต้านมคู่งาม เพื่อเคล้นคลึงความเต่งตึงไปมา จนหัวนมเล็กๆทั้งสองแข็งตัวชูชันในอุ้งมือ
‘นมจานีสแข็งจริงๆ พี่บีบเท่าไหร่ก็ไม่ยุบตามมือ…คราวหน้าพี่ขอเย็ดนมจานีสนะ…’
จิต ผมส่งต่อเนื่องถ่ายทอดความรู้สึกที่ต้องการกระทำต่อจานีสออกไปโดยไม่ซ่อน เร้น ขณะที่ร่างที่เคยไร้จิตและวิญญาณครอบครองของตุลยาเทวี ก็เริ่มสั่นสะท้านให้ผมรับรู้ได้จากสัมผัสภายในร่องหลืบ และผิวกายนวลเนียน ผมหยุดการเฟ้นฟอนเต้านมแล้วทาบร่างลงแนบสนิทกับร่างตุลยาเทวี ใบหน้างามที่เป็นพิมพ์เดียวกันกับจานีสปรากฏสีแดงระเรื่อของเลือดที่สูบฉีด ขึ้นมา ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอออกน้อยๆ เย้ายวนจนผมต้องจูบประทับไว้แนบสนิท แล้วสอดสิ้นเข้าไปในปากหอมกรุ่นเพื่อรับความหอมหวานภายใน พร้อมกันนั้นสะโพกผมก็ยิ่งกระเด้าถี่ยิบ หลืบเนื้อบีบอัดแก่นกายผมทุกสัดส่วน เรือนกายตุลยาเทวีสั่นสะท้านขุมจนทุกเส้นบนร่างนวลเนียนลุกชูชัน มดลูกภายในขยายตัวตอดหัวบานผมถี่ยิบ เป็นสัญญาณว่าร่างที่ไร้จิตครอบครองนี้กลับสนองรับจุดสุดยอดของสตรี พร้อมกับที่ความเสียวกรูเกรียวมาสะสมที่ส่วนปลายแก่นกายผม
‘อาห์…จานีส…หีจานีส…ตะ ตอด…..อูว์…’
ผม ครางออกมาอย่างลืมตัวเฟ้นฟอนร่างเต่งตึงในอ้อมแขนด้วยความเสียวสุดขีดขณะ น้ำรักมหาศาลระเบิดเข้าสู่ภายในร่างตุลยาเทวีเป็นระลอก ปราณในร่างผมวนเวียนไปทั่วร่างแล้วรวมตัวกันที่ศูนย์กลางร่างกายก่อนทะลัก เข้าสู่ร่างของตุลยาเทวี พร้อมกับเสียงจากจิตจานีสดังขึ้นในสมองผม
‘พี่ เอ…จานีสสูญเสียประสาทสัมผัสที่ได้รับผ่านพี่เอทั้งหมดแล้ว จิตจานีสกำลังไหลวนล่องลอยไปตามกระแสปราณจิตของพี่เอ….และรับรู้ได้ว่าจิต ของจานีสกำลังจะออกจากร่างพี่เอ…ถ้าการถ่ายจิตครั้งนี้ไม่ได้ผล และจานีสต้องสูญสลายไป จานีสขอให้พี่เอจำไว้เสมอว่าจานีสรักและจงรักภักดีต่อพี่เอด้วยจิตวิญญาณของ จานีส…พี่เอจะ…’
จิตของจานีสค่อยๆ แผ่วลงทีละน้อย ขณที่ผมสัมผัสได้ด้วยจิตว่ามวลจิตวิญญาณของจานีสได้เคลื่อนพ้นร่างกายผมเข้า สู่ร่างของตุลยาเทวีผ่านทางมดลูกที่ยังคงตอดแก่นกายผมเป็นจังหวะ..แต่ขณะที่ ผมเตรียมถ่ายปราณคชสีห์เข้าสู่ร่างตุลยาเทวีดังที่เคยทำ จิตของเทพวิรูณปักขะในร่างผมก็ดังขัดขึ้น
‘ไกร วิทย์ ปราณคชสีห์ไม่สามารถหลอมรวมจิตวิญญาณของจานีสได้ จงผนึกกาฬปราณขึ้นแล้วถ่ายทอดตามจิตจานีสและคันชั่งน้อยเข้าไปทำลายจักรปราณ ทั้งหมดในร่างของตุลยาเทวีเดี๋ยวนี้’
‘กาฬปราณทำลายจักรปราณ แล้วร่างนี้จะดำรงอยู่ได้อย่างไรในเมื่อ…’
‘จิต วิญญานจานีสได้รับพลังชีวิตจากน้ำรักของเรอินะจนสามารถเคลื่อนย้ายออกมา ภายนอกได้ แต่หากเจ้าไม่สลายจักรปราณในร่างนั้น พลังชีวิตของเรอินะที่แฝงอยู่นั้นจะกลับเป็นเกราะป้องกันมิให้จิตของจานีส เข้าครอบครองร่าง…ไกรวิทย์จงเชื่อมั่นในเราเถอะ…’
จิตที่ แฝงน้ำเสียงเชื่อมั่นของเทพวิรุณปักขะ ทำให้ผมตัดสินใจผนึกกาฬปราณขึ้นเต็มกำลัง ก่อนรวมศูนย์ปราณที่มีอำนาจทำลายล้างไร้ของเขตปล่อยตามจิตของจานีสที่ผ่าน เข้าไปก่อนหน้า พร้อมกับบังคับกาฬปราณให้พุ่งไปผ่านจักรอัคคี เป็นจุดหมายแรก
ทันทีที่กาฬปราณผ่านจักรอัคคีผมก็อดสะท้านใจอย่าง รุนแรงไม่ได้เมื่อสัมผัส ได้ว่าจักรอัคคีในร่างตุลยาเทวีระเบิดออกจากกันราวกับใช้เหล็กเผาไฟแทง ผ่านกระดาษที่เปื่อยยุ่ย แต่ถ้อยคำของเทพวิรุณปักขะทำให้ผมระงับความแตกตื่นเอาไว้แล้วส่งกาฬปราณต่อ ไปยังจักรวายุที่หน้าท้อง ซึ่งส่งผลให้จักรทั้งสองแหลกสลายเช่นเดียวกับจักรอัคคี ผมขบกรามแน่นก่อนรวมกาฬปราณแผ่พุ่งขึ้นไปยังจักรธรณีที่ศีรษะตุลยาเทวีเป็น จุดสุดท้าย
……………ซ่า……………….
คลื่น เสียงประหลาดดังออกมาจากร่างของตุลยาเทวีในทันที่ที่จักรทั้งสี่ถูก ทำลายสิ้น ผิวสีน้ำผึ้งบนร่างเปลือยเปล่าที่งดงามแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผิวหนังเริ่มสลายตัวเป็นเมือกเหลวสีดำสนิท แก่นกายผมที่ยังคงฝังอยู่ในร่างตุลยาเทวีสัมผัสถึงแรงบีบรัดที่หายไปอย่าง รวดเร็วและกลับแทนที่ด้วยเมือกเหลวห่อหุ้มแก่นกายผมไว้ ริมฝีปากงามที่ผมจูบอยู่กลับกลายเป็นเมือกเหลว จนผมต้องขยับร่างเพื่อถอนร่างกายออกจากก้อนเมือกสีดำที่บัดนี้แทนที่ร่างตุ ลยาเทวีเอาไว้ทั้งหมด
‘ไกรวิทย์ อย่าถอนกายออกมาจากร่างตุลยาเทวีที่กลับกลายเป็นสสารมืดนั้นเด็ดขาด จงสำรวมจิตระลึกถึงจานีสเอาไว้ในใจ….’
จิต แห่งเทพวิรุณปักขะส่งมาห้ามการเคลื่อนไหวของผมราวกับรู้ความต้องการของผม ทุกประการ ผมสงบใจนิ่ง ดวงหน้าหวานคมเข้มด้วยเชื้อสายเนปาลีและเรือนร่างเปลือยเปล่าที่เร้าอารมณ์ ผมทุกครั้งที่ได้พบเห็นปรากฏขึ้นในจิต ผมกอดสสารมืดไว้ในอ้อมแขน แก่นกายฝังลึกลงไปในเมือกสีดำ ผนึกสมาธิทั้งหมดไว้ที่ภาพนิมิตรของจานีสปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไป ตามแต่ผลของวิชาเทพผนึกจิตจะเกิดขึ้น
อย่างช้าๆ ก้อนเมือกสีดำสนิทที่เคยเป็นร่างของตุลยาเทวีเริ่มปรากฏแสงสว่างเป็นจุดสี ขาวขึ้นที่ใจกลาง แล้วแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วจนก้อนสสารมืดที่ผมสัมผัสอยู่เปลี่ยนเป็นสี ขาวสะอาด ความทรงจำในสมองผมระลึกได้ทันทีว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมีรูปแบบเดียว กันกับครั้งที่หนูนิดกับเหมียวรวมจิตจนก่อเกิดร่างใหม่เป็นน้องนิว ผิวกายผมเริ่มสัมผัสได้ถึงการผนึกตัวของผิวนอกของก้อนสสารสีขาวที่กำลังขยาย ออกในตำแหน่งศีรษะ แขน ขาของมนุษย์ ดวงตากลมโตของจานีสที่ผมคุ้นเคยค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนวงไข่รูปใบหน้า ตามมาด้วยจมูกน้อยๆ และทันใดนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงปากนุ่มนวลที่ประกบอยู่กับริมฝีปากผม ผิวกายทั่วร่างผมสัมผัสถึงการก่อตัวของผิวหนังสีน้ำผึ้งที่แผ่กระจายไปทั่ว ร่างจนสีขาวของสสารมืดทั้งหมดสลายไป กลายเป็นผิวหนังนวลเนียนเรียบลื่นละมุนที่ปราศจากตำหนิ กลิ่นกายสตรีแรกสาวระเหยออกมาจากร่างจานีสที่กลับคืนสู่ความเป็นมนุษย์โดย สมบูรณ์ เต้านมเต่งตึงอัดแน่นกับหน้าอกผมจนสัมผัสได้ถึงหัวนมเม็ดงามที่สงบนิ่งอยู่ ปลายยอด ลำแขนเรียวงามโอบรัดร่างผมไว้ขณะที่สะโพกอวบอิ่มผนึกแนบแน่นกับท้องน้อยผม พร้อมกับที่แก่นกายผมรับรู้ถึงกลีบเนื้อนุ่มนวลที่เบ่งบานรอบแก่นกายผม สองแคมอวบอิ่มเกิดขึ้นตามมาและรัดรอบโคนแก่นเนื้อไว้แน่นสนิท แรงบีบกระชับแน่นเพิ่มขึ้นจนส่วนปลายหัวบานที่ไวต่อความรู้สึกของผมรับรู้ ถึงความเสียวและเริ่มขยายตัวกลับคืนสู่ความแข็งแกร่งอีกครั้ง เพียงชั่วครู่ปลายแก่นกายผมก็รับรู้ถึงการตอดของมดลูกเป็นจังหวะ พร้อมกับริมฝีปากผมที่สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของลิ้นเรียวเล็กในปากน้อยๆที่ ผมกำลังจูบอยู่ และในที่สุดจิตที่แสนคุ้นเคยของจานีสก็ดังขึ้นในสมองผม…
‘พี่เอ….พี่เอ…อยู่ที่ไหน…’
‘จานีส…ได้ยินพี่ไหม…จานีสรู้สึกตัวหรือไม่ …ลองขยับร่างกายดูก่อนช้าๆ นะ..’
‘ร่าง กายอะไรพี่เอ..จิตจานีสอยู่ที่ไหน…แต่..เดี๋ยว..จานีสเริ่มรับรู้ สัมผัสแล้ว…สัมผัสนี้มัน…มัน…อาห์…หี หี จานีส…พี่เอเย็ดจานีส….อยู่….’
จิตจานีสส่งเสียงครางกระเส่า เมื่อจิตของเด็กสาวเข้าครอบครองคราบร่างที่ว่างเปล่าของตุลยาเทวีไว้ได้โดย สมบูรณ์ด้วยวิชาเทพผนึกจิตที่สลายกายหยาบของตุลยาเทวีให้กลับกลายเป็นสสาร มืดอันเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลและมวลชีวิตทั้งปวง…จนในที่สุดจิตจานีสก็ สามารถรับรู้สัมผัสผ่านร่างที่ก่อเกิดใหม่ขึ้นมา โดยสัมผัสแรกที่เด็กสาวรับรู้ก็คือความเสียวจากสัมผัสของแก่นเนื้อผมที่อัด แน่นอยู่ภายในเนินรักรัดรึงของเด็กสาว…
‘พี่จานีส…พี่จานีสเคลื่อนไหวร่างกายได้ไหม…’
จิต เรอินะที่เฝ้าอยู่ด้านหลังจานีสตลอดเวลาส่งออกมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วย ความหวัง ขณะที่สองแขนของจานีสยกขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับสองขาเรียวที่เคยโอบเกี่ยวเอวผมไว้พยายามแยกออกอย่างติดขัดในช่วง แรกแต่ค่อยๆ เพิ่มระยะทางความเคลื่อนไหวขึ้นจนสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางได้อย่างอิสระ …ทันใดนั้นจานีสก็ตระหวัดแขนขากลับมากอดรัดร่างผมแน่น พร้อมระเบิดกระแสจิตลิงโลดออกมาอย่างไม่สามาถควบคุมความดีใจไว้ได้
‘พี่เอ..เรอินะ..จิตแห่งเทวนารีโบราณกาล มหาเทพวิรุณปักขะ..ท่านปฐมเทพไกอา…จานีสกลับคืนสู่ร่างมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว….เอ๊ะ….’
ยัง ไม่ทันที่ที่จานีสจะส่งจิตจบ เด็กสาวก็คลายวงแขนที่กอดผมไว้ เพื่อยันร่างตนเองออกมาจากอ้อมแขนผมแล้วพิจารณาร่างตนเองด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนอุทานออกมาเบาๆ ภาพของจานีสเบื้องหน้าทำให้ผมรู้ในทันทีว่าเด็กสาวอุทานออกมาด้วยสาเหตุ ใด…
ทั้งที่จิตของจานีสเข้าครอบครองร่างของตุลยาเทวี แต่เบื้องหน้าผมเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยของจานีสอย่างไม่ผิดพลาด ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปแม้แต่น้อยกับใบหน้าของเด็กสาวที่เคยถูกกักอยู่กับวัย 14 ปีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทรวงอกเต่งที่ตั้งเต้าอวดความงดงามกระทัดรัดยังคงเป็นเต้านมของเด็กสาววัย แรกแรกแย้มที่ยังไม่ผลิบานเต็มที่ ต่างกับทรวงอกอวบอิ่มของตุลยาทวีที่เป็นเจ้าของร่าง ต่ำลงไปเป็นเนินรักนูนเด่นที่มีเพียงเส้นไหมบางเบาปกคลุมจนไม่อาจบดบังสอง แคมเต่งที่อ้าออกรัดแก่นกายของผมเอาไว้ด้วยแรงบีบรัดราวกับสาวพรหมจรรย์ที่ ถูกอวัยวะเพศชายบุกรุกเข้าไปในความลับแห่งสตรีเป็นครั้งแรก ผมรับรู้ในทันทีว่าร่างจานีสที่กลับเกิดขึ้นมาใหม่นี้เป็นร่างของจานีสในวัย 14 ที่ผมเคยร่วมรักมานับไม่ถ้วน หาใช่ร่างที่เติบโตเต็มสาวของตลยาเทวีผู้เป็นเจ้าของร่างไม่
‘พี่จานีส…ทำไมร่างพี่จานีสถึงเป็นร่างเด็กสาวคนเดิม ไม่ใช่ร่างของตุลยาเทวี…’
จิต เรอินะส่งออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัยในประเด็นเช่นเดียวกับที่ผมกำลังรู้สึก แต่พร้อมกันนั้นจิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็ส่งออกมาราวกับรู้ว่าผมและเร อินะกำลังสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น
‘จา นีส..คันชั่งน้อย…ร่างของเจ้า เกิดจากพลังชีวิตที่เรอินะกับลูกศรน้อยก่อขึ้นก่อนส่งไปในร่างเดิมที่สูญ สลายไปแล้วของพวกเจ้า พลังนั้นชักนำให้จิตของเจ้าหนีออกจากร่างที่กำลังจะแตกสลายและยอมรับการดึง ดูดของปราณจากเราและไกรวิทย์…เมื่อจิตพวกเจ้าถูกส่งเข้าไปในคราบร่างของจา นีนหรือตุลยาเทวี..ตามด้วยกาฬปราณที่สลายจักรทั้งสี่นั้นจนก่อเกิดสสารมืด หลอมละลายจิตวิญญาณพวกเจ้าเข้ากับมวลกายของตลยาเทวี…จิตวิญญาณพวกเจ้าจึง สามารถครอบครองกายหยาบนี้ได้ แต่การกำหนดร่างใหม่ของเจ้านั้นขึ้นอยู่กับจิตของไกรวิทย์ที่จะกำหนดภาพของ เจ้าในลักษณะนี้ เราบอกพวกเจ้าได้ว่าจิตของไกรวิทย์นั้นมีแต่ภาพของจานีสในรูปกายของเด็กสาว วัย 14 ปี หาใช่รูปกายที่เติบโตเต็มสาวของจานีนตุลยาเทวีไม่ กายเจ้าจึงกลับเกิดใหม่ในร่างของเด็กสาววัย 14 ที่เริ่มมีระดูดังเช่นครั้งแรกที่เจ้าได้เย็ดกับไกรวิทย์ในถ้ำมังกรฟ้าแห่ง นั้น…แต่เจ้าจงยินดีเถิด เพราะนั่นคือสัญญาณยืนยันถึงความรักที่ไกรวิทย์มีต่อจานีสโดยหาได้มีเยื่อใย ใดต่อความงามเหนือโลกของตุลยาเทวีไม่…’
ดวงหน้าจานีสที่รับ ฟังถ้อย คำของมหาเทพวิรุณปักขะอย่างตั้งใจมาตลอดเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเมื่อเทพวิ รุณปักขะระบุถึงความรักมั่นและความผูกพันที่ผมมีต่อเด็กสาว ร่างงามโถมเข้ากอดร่างผมไว้แน่น แนบใบหน้าซุกกับอกผมพร้อมกับส่งจิตออกมา
‘จา นีสก็รักพี่เอด้วยชีวิต..เพียงแต่น่าเสียดายหากจานีสจะต้องอยู่ร่างของเด็ก หญิงเช่นนี้ตลอดไปโดยไม่สามารถเติบโตเป็นหญิงสาวที่มีเรือนกายสมบูรณ์ตอบ สนองความต้องการของพี่เอได้เต็มที่…’
จิตของจานีสพลันถูกขัดขึ้นโดยคลื่นจิตที่กระจายออกมาจากไกอา
‘เด็ก น้อยจานีส..เรื่องนั้นเจ้าหาต้องกังวลไม่ แม้ร่างปัจจุบันของเจ้าจะเป็นร่างของเด็กสาววัย 14 ปีผู้เริ่มมีระดูเป็นครั้งแรก แต่ร่างเจ้าที่กำเนิดใหม่เป็นธาตุธรรมชาติทั้งสี่โดยตรงหาใช่ธาตุที่ถูก สร้างขึ้นจากพลังชีวิตแห่งมังกรอัคคีไม่ ร่างเจ้าจึงสามารถเจริญวัยได้ตามธรรมชาติเช่นมนุษย์ปกติทุกประการ รวมทั้งปราณในร่างที่เจ้ารองรับมาจากเด็กน้อยไกรวิทย์ด้วย’
‘ปราณ….ปราณของจานีส…’
เนื้อ ความที่จิตของไกอาถ่ายทอดออกมา ทำให้จานีสอดส่งจิตอุทานออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ ดวงตาเป็นประกายของจานีสสบตาผม ก่อนค่อยๆ ถอยสะโพกออกจากแก่นเนื้อที่ฝังในร่างเอาไว้ เด็กสาวสูดปากออกมาเบาๆ ด้วยความเสียวจากการเสียดสีขณะที่เนินรักน้อยๆ นั้นเป็นอิสระจากการร่วมรัก ทันทีที่แก่นกายหลุดพ้นออกมา เรอินะที่ด้านข้างก็เคลื่อนร่างมากุมมือจานีสไว้ก่อนส่งจิตถามด้วยน้ำเสียง เต็มไปด้วยความคาดหวัง
‘พี่จานีสรับรู้ถึงปราณในร่างหรือไม่..’
จา นีสยิ้มให้เรอินะอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะหลับตานิ่ง ร่างเปลือยงดงามค่อยๆ เปล่งประกายสีขาวนวลใยออกมา ก่อเป็นหมอกห่อหุ้มร่างกายเปล่าเปลือยเอาไว้ทั้งหมด แต่ชั่วอึดใจเดียวหมอกนั้นหดตัวลงราวกับถูกสูบกลับไปในร่างกาย เผยให้เห็นผลึกแก้วใสบริสุทธ์ห่อหุ้มร่างจานีสไว้ทั้งร่าง บริเวณศีรษะเด็กสาวเป็นผลึกแก้วประดับลวดลายโบราณเป็นรูปแกนคันชั่ง ที่ขยายออกไปตามแนวคิ้วก่อตัวเป็นแผ่นจานแก้วใสรูปจานปกป้องแนวใบหูเอาไว้ ผลึกแก้วใสต่อเชื่อมลงมาปกคลุมทรวงอกตูมกระทัดรัดในลัฏษณะรูปโดม แต่ความใสของมันทำให้ดูราวกับทรวงอกเปล่งปลั่งนั้นไร้สิ่งใดปกปิด เม็ดยอดน้อยๆ ชูช่อประดับบนฐานวงกลมสีน้ำตาลอ่อนอวดความงามออกมาต่อทุกสายตา ต่ำลงไปแนวแก้วผลึกทิ้งลงมาตามลานหน้าท้องเรียบเนียนแล้วขยายตัวออกคลุม สะโพกกลมกลึงกระทัดรัดเอาไว้ ทุกส่วน พลูเนื้ออวบอิ่มที่มีไรขนประดับบางเบาโดดเด่นตระหง่านอยู่ภายใต้กระเปาะแก้ว ใสประดับลวดลายโบราณที่ช่วยพรางความงามแห่งอวัยวะเพศสตรีได้บ้าง แต่สำหรับสายตาของผู้ทรงปราณระดับสูงเช่นผมแล้ว ลวดลายนั้นไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อสายตาแม้แต่น้อย สายแก้วผลึกยังสานตัวต่อเป็นลวดลายไปตามลำขาอ่อนเรียวงามจนสุดปลายเท้า ภาพผลึกแก้วที่ปกคลุมร่างจานีสทำให้เรอินะโถมร่างไปกุมมือจานีสไว้และอุทาน ออกมาด้วยความตื่นเต้น
‘เกราะแก้วผลึก เกราะปราณแห่งเทวนารีราศรีตุลย์ พี่จานีสมีปราณสูงสุดในร่างแล้ว…เรอินะดีใจเหลือเกิน….’
‘เกราะปราณ…นี่เป็นไปได้อย่างไร จานีสไม่เคยรับรู้แนวทางการโคจรปราณของเทวนารีแห่งราศีตุลย์ หรือว่า….’
จา นีสส่งจิตที่แฝงความงุนงงออกมา ก่อนที่จัหยุดนิ่งไปราวตระหนักถึงข้อเท็จจริงบางประการ เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าร่างกายด้วยใบหน้าเคร่งขรึมสำรวม ปราณในร่างผมพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เข้มแข็งสุดขีดก่อตัวขึ้นในร่างจา นีส เพียงชั่วอึดใจปราณนั้นก็กระจายออกจากสองแขนเด็กสาวโดนยึดร่างเป็นศูนย์กลาง ก่อกำเนิดมวลปราณไร้สภาพรูปกงจักรขึ้นที่มือทั้งสอง กระแสพลังปราณที่แผ่พุ่งออกมากระทบร่างผมนั้นเป็นกระแสพลังที่ผมเคยพบมาก่อน อย่างไม่ผิดพลาด จนผมต้องส่งจิตออกมาด้วยความแปลกใจ
‘ปราณจักราคู่แห่งเทวนารีราศรีตุลย์…จานีสเรียนรู้ได้อย่างไร’
‘พี่ เอ..จานีสเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว…ปราณในร่างของจานีสเคลื่อนและโคจรตาม จิตสำนึกก่อเกิดเกราะปราณและปราณจักราคู่อันเป็นวิชาปราณแห่งเทวนารีราศรี ตุลย์ จิตสำนึกนี้มาจากการชี้นำของดวงจิตแห่งเทวนารีราศรีตุลย์แห่งอาณาจักปราณนาม คันชั่งน้อยที่สถิตย์อยู่ในจิตจานีส ดังนั้นแม้จานีสจะไม่ได้ศึกษาคัมภีร์แห่งเทวนารีจักรราศรีเช่นจานีน แต่จานีสก็ยังคงสามารถใช้ปราณแห่งเทวนารีราศรีตุลย์นี้ได้ เช่นเดียวกับที่น้องนิวสามารถสร้างเกราะปราณใยน้ำแข็งแห่งราศรีเมถุนและวิชา น้ำแข็งนิรันดร์ได้แม้จะไม่เคยได้ฝึกปรือวิชาในคัมภีร์มาก่อนก็ตาม..’
คำ อธิบายของจานีสทำให้ข้อสงสัยประการหนึ่งที่เป็นปริศนาในใจผมและเหล่าสตรี แห่งตระกูลคชสีห์ทุกคนมาตลอดได้รับการคลี่คลาย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาการที่น้องนิวสามารถใช้ปราณน้ำแข็งนิรันดร์และเกราะ ปราณใยน้ำแข็งได้ในทันที่ที่การผสานจิตระหว่างหนูนิดกับเหมียวเสร็จสิ้นนั้น เป็นความลึกลับที่ไม่เคยมีใครอธิบายได้ แต่บัดนี้ผมรู้แล้วว่าปราณในร่างจานีสและน้องนิวล้วนโคจรจากการชักนำของจิต ใต้สำนึกที่แฝงไว้ด้วยดวงจิตของเทวนารีราศรีเมถุนในอดีตกาลที่ส่งผ่านกัน มากว่าหมื่นปี เช่นเดียวกันในกรณีของเซี่ยวเล้ง และเรอินะ ที่แม้ทั้งสองจะเรียนรู้ปราณประจำตัวของเทวนารีแห่งราศีมังกรและราศรีธนู แต่การที่ทั้งสองสามารถใช้ปราณนั้นได้อีกครั้งหลังพลังแห่งผลึกราศรีถูกสลาย จากสูญเสียพรหมจารย์ ก็เนื่องมาจากจิตแห่งเทวนารีโบราณที่สถิตย์อยู่ในร่างเช่นกัน
‘จา นีส..ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าจิตของน้องริน น้องกิฟท์ น้องทิพย์ และน้องพิม ก็ล้วนมีจิตแห่งเทวนารีสถิตย์อยู่ อย่างนั้นทำไมทั้งสี่จึงไม่สามารถใช้ปราณแห่งเทวนารีได้ล่ะ’
ผมส่งจิตถามจานีสด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันที่จานีสจะส่งจิตตอบกลับมา จิตแห่งเทพวิรุณปักขะในร่างผมก็ส่งออกมาแทรกทันที
‘นั่น เป็นเพราะจิตแห่งเทวนารีทั้งสี่ที่สถิตย์ในร่างสตรีนาม รินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดา ยังหลับไหลอยู่ ปราณแห่งเทวนารีจึงไม่ก่อเกิด พวกนางทั้งสี่เป็นผู้รับจิตแห่งปฐมธาตุของเราเอาไว้เมื่อหมื่นปีก่อน จิตแห่งธรณีสถิตย์ในร่างของพิมพ์มาดา จิตแห่งวารีสถิตย์ในร่างของทิพย์วารี จิตแห่งวายุสถิตย์ในร่างของรินลดา และจิตแห่งอัคคีสถิตย์อยู่ในร่างของอัจฉริยา เมื่อใดก็ตามที่จิตแห่งปฐมธาตุทั้งสี่กลับคืนสู่ร่างของไกรวิทย์ เมื่อนั้นจิตแห่งเทวนารีทั้งสี่ก็จะตื่น และพวกนางก็จะกลับสู่สถานะเทวนารีแห่งจักรราศรีที่สมบูรณ์’
‘ท่านมหาเทพวิรุณปักขะ…ถ้าเช่นนั้นจิตแห่งเทวนารีองค์ใดที่สถิตย์อยู่ในร่างของทั้งสี่นั้น’
จิต ของจานีสส่งออกมาเบาๆ พร้อมกับผมสัมผัสได้ถึงการคลายปราณที่ผนึกไว้ของจานีสจนเกราะปราณแก้วผลึก ค่อยๆ สลายตัวออกจากร่าง ปล่อยให้ร่างเปลือยเปล่าลอยอยู่ตรงหน้าผม ด้วยความงามที่ทำให้แก่นเนื้อผมอดชูชันขึ้นอีกครั้งไม่ได้ ขณะที่จิตของเทพวิรุณปักขะตอบออกมา
‘จา นีส..คันชั่งน้อย…เราเอง ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าจิตของเทวนารีนางใดสถิตย์อยู่ในร่างของพวกรินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดา เพราะในครั้งนั้นจิตของเราสลายออกจากร่างในขณะที่ปราณสุดท้ายถูกส่งไปกัก พลังแห่งผลึกมังกรวารีเอาไว้ เราณุ้ว่าจิตแห่งปฐมธาตุทั้งสี่นั้นแยกย้ายไปยังเหล่าสตรีที่เรารักที่สุด ทั้ง 12 นาง แต่จิตเราในขณะนั้นปราศจากความสามารถที่จะรับรู้ได้..ดังนั้นทางเดียวที่เรา จะรู้ได้ก็คือเมื่อไกรวิทย์เย็ดพิมพ์มาดารับพลังแห่งธารอสุระเข้ามาประสาน กับอัคคีเทพ จิตมาร และวารีนาคราชในร่าง ธาตุทั้งสี่ในร่างของพวกนางก็จะกลับเข้าสู่ร่างไกรวิทย์ ปลุกให้จิตแห่งเทวนารีที่หลับไหลในร่างตื่นขึ้น เมื่อนั้นเราทุกคนจึงจะได้รับรู้’
ความเงียบกลับมาปกคลุมมิติ นิรกาลอีกครั้ง เมื่อทุกสิ่งที่เคยเป็นปมตกค้างในจิตใจได้รับการคลี่คลาย ดวงจิตทุกดวงตกอยู่ในภวังค์เงียบงันเพื่อซึมซับความเข้าใจนี้ เวลาผ่านไปชั่วครู่จิตของจานีสก็ดังขึ้นเบาๆ ท่ามกลางความเงียบนั้น
‘ทุก สิ่งล้วนถูกกำหนดไว้แล้วด้วยชะตากรรม แต่ท่านปฐมเทพไกอา จานีสมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่งที่ยังไม่ได้กระจ่าง คือในแผ่นหนังที่จารึกลายแทงมายังสถานที่นี้ ข้อความสุดท้ายบอกไว้ว่า นำจิตสมดุลสู่ประตูแห่งชะตา เผชิญหน้าศิลาปฏิสาร พลังแห่งจักรวาลมาเป็น…… แต่ถ้อยคำสุดท้ายนั้นถูกทำลายไปด้วยกาลเวลา ทำให้จานีสไม่สามารถตีความถึงอำนาจที่แท้จริงของศิลาปฏิสารได้…’
‘จานีสและคันชั่งน้อยที่รักแห่งเรา..ข้อนี้เราสามารถตอบเจ้าได้ว่าข้อความสุดท้ายนั้นคือ..ประตูสู่กัลป์สูญ ’
จิตของเทพวิรุณปักขะในร่างผมตอบจานีสอย่างอ่อนโยน แต่นั่นกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้ผม และจานีสตกอยู่ในความสับสนมากยิ่งขึ้น
‘ประตูสู่กัลป์สูญ…นั่นหมายความว่าอะไร..’
สมองผมคิดคำถามกับตัวเอง แต่คำถามนี้กลับถูกคลื่นจิตของไกอารับรู้และส่งคำตอบกลับมาให้ทุกคนรับรู้พร้อมกัน
‘คำ ถามในใจของไกรวิทย์นั้น เทพวิรุณปักขะในร่างเจ้าคือผู้เดียวที่เคยรับรู้คำตอบ แต่บัดนี้เราจะแสดงให้พวกเจ้าได้รับรู้พร้อมกัน…จงดู…นี่คือประตูสู่ กัลป์สูญ…’
ภาพผนังโดยรอบของบมิตินิรกาลพลันแปรเปลี่ยนไป อีก ครั้ง ผนังที่เคยปรากฏเป็นวัตถุทึบแสงกลับเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แต่ความรู้สึกผมรับรู้ได้ว่าสีดำสนิทนั้นหาใช่วัตถุใดๆ ไม่ หากแต่เป็นความว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งทุกสิ่ง ท่ามกลางความมืดนั้น แสงเรืองรูปวงแหวนได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าผมแล้วก่อตัวขยายออกไปเป็นอุโมงค์แก้ว ทรงกลมขนาดความกว้างพอที่มนุษย์จะเดินผ่านเข้าไปได้ อุโมงค์แก้วทอดยาวไปสิ้นสุดที่ม่านแสงสีขาวเงินยวงห่างออกไปราวสิบเมตร แต่ในขณะที่สายตาผมเฝ้าดูอยู่นั้นม่านแสงก็ค่อยๆ สลายตัวออก เผยให้เห็นภาพอีกสถานที่หนึ่งที่ดูราวกับเป็นมิตินิรกาลที่ถูกสร้างขึ้นเป็น คู่กับมิตินิรกาลที่ผมล่องลอยอยู่ และสิ่งที่อยู่กึ่งกลางของมิตินิรกาลที่อยู่ปลายอุโมงค์นั้นคือก้อนศิลารูป ร่างและขนาดเป็นพิมพ์เดียวกันกับศิลาปฏิสารที่เบื้องหน้าผมในปัจจุบัน ภาพของศิลาปฏิสารสองชิ้นที่ล่องลอยอยู่คนละฟากของอุโมงค์แก้วทำให้ผม จานีส และเรอินะต้องอุทานออกมาพร้อมกัน
‘ศิลาปฏิสาร….’
‘พวก เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว…ภาพที่พวกเจ้าเห็นนั้นคือสสารจากจักรวาลของเราที่ หลุดรอดเข้าสู่จักรวาลคู่ขนาน และถูกกักไว้ด้วยมิตินิรกาลที่สร้างขึ้นโดยจิตของจักรวาลแห่งนั้นเช่นเดียว กับศิลาปฏิสารที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้ พวกเจ้ากำลังมองเข้าไปในจักรวาลคู่ขนานที่ไม่เคยมีมนุษย์หรือเทพเจ้าองค์ใด ในจักรวาลนี้ได้เห็นมาก่อน นอกจากเทพวิรุณปักขะที่เราได้เปิดทางให้เห็นเมื่อหมื่นปีก่อน…แต่ไม่มีผู้ ใดสามารถผ่านเข้าไปนอกจากวัชระแห่งชีวิตเพียงผู้เดียวเท่านั้นเท่านั้น..’
‘วัชระแห่งชีวิต …นั่นคือผู้ใดกัน’
จิตของจานีสส่งออกมาด้วยความงุนงงเช่นเดียวกับผมและเรอินะ แต่ก่อนที่ไกอาจะตอบคำถามนั้น จิตแห่งเทพวิรุณปักขะก็ดังแทรกขึ้น
‘วัชระ แห่งชีวิตกำเนิดขึ้นแล้ว…แต่ยังไม่พร้อมที่จะผ่านเข้าสู่จักรวาลคู่ขนาน ข้อนี้พวกเจ้าทุกคนจะได้รับรู้ทุกอย่างในในภายหลัง แต่ในขณะนี้หากพวกเจ้าได้รับรู้กลับจะเป็นการขัดขวางการเติบโตของวัชระแห่ง ชีวิต จนอาจทำให้ทุกสิ่งล้มเหลวลงได้…’
ถึงแม้ผมจะยังไม่ สามารถทำ ความเข้าใจกับสิ่งที่ถูกเรียกว่าวัชระแห่งชีวิต แต่ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า และข้อความที่เทพวิรุณปักขะบ่งบอกออกมาก็ทำให้ผมรับรู้ในทันทีว่าความเข้าใจ เดิมที่คิดว่าศิลาปฏิสารคือวัตถุต่างมิติที่จะมอบพลังให้ผมสามารถเพิ่มโอกาส ในการต่อสู้กับจักรราศรีนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง เพราะที่แท้แล้วศิลาปฏิสารคือประตูที่นำไปสู่จักรวาลคู่ขนานและผู้ที่จะผ่าน เข้าไปได้นั้นมีเพียงบุคคลที่ถูกเรียกว่าวัชระแห่งชีวิตเท่านั้น ผมพยายามปล่อยวางความต้องการที่จะรับรู้ออกไปจากจิตใจ เพราะรู้ดีว่าจิตแห่งเทพวรุณปักขะในร่างผมจะไม่ยอมบ่งบอกสิ่งใดที่อาจเป็น อุปสรรคต่อแผนการที่วางไว้นับหมื่นปีนี้ออกมาอย่างแน่นอน
‘ถ้าเช่น นั้น…พวกเราทุกคนจะเป็นอย่างไรต่อไปกัน..เราจะต้องติดอยู่ในมิตินิรกาลนี้ ตลอดไปจนกว่าวัชระแห่งชีวิตจะบรรลุภารกิจแห่งกัลป์สูญหรือ..’
จิตของเรอินะส่งขึ้นมาปลุกผมจากภวังค์แห่งความคิด พร้อมกับที่คลื่นจิตของไกอาที่ส่งออกมาตอบคำถามของหญิงสาว
‘พวก เจ้าทุกคนสามารถไปจากสถานที่นี้ กลับไปสู่โลกปกติของเจ้าได้ทุกเวลาที่เจ้าต้องการ ขอเพียงพวกเจ้าตั้งจิตที่จะกลับไป เส้นทางก็จะเปิดให้พวกเจ้า…กาลเวลาในสถานที่นี้หามีไม่ เมื่อใดที่พวกเจ้าออกไปโลกภายนอกก็คือเวลาเดิมที่พวกเจ้าเข้ามา หากเจ้าปรารถนาก็จงตั้งจิตกลับออกไปด้วยตัวเองเถอะ..’
‘ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสถานที่นี้อีกต่อไป พี่เอ เรอินะพวกเราลาปฐมเทพไกอาแล้วกลับกันเถอะ ..’
‘พี่ เองก็ห่วงพวกน้องริน ไม่รู้ว่าตอนที่พวกเราต่อสู้กันอยู่หน้าม่านปฏิสารจนไม่ได้ไปพบกับทุกคนตาม ที่นัดไว้ จะทำให้พวกน้องรินเข้ามาตามหาพวกเราหรือไม่…ถ้าเช่นนั้นจานีส เรอินะ พวกเรากำหนดจิตพร้อมกันเดี๋ยวนี้เลย’
ผมส่งจิตสนับสนุนจานีสที่ต้องการจะกลับสู่โลกภายนอก..แต่จิตของเรอินะ ดังแทรกขึ้นอย่างลังเล
‘พี่เอ..พี่จานีส…เรอินะรู้จักแต่เพียงพี่เซี่ยวเล้ง…แล้วเรอินะจะ…จะ…’
ผม หันไปสบดวงตาที่ทอประกายสับสนของเรอินะ แล้วเข้าใจในทันทีว่าหญิงสาวกำลังครุ่นคิดสิ่งใดในใจ ทำให้ผมต้องดึงร่างเปลือยเปล่าของเรอินะมากอดไว้ในอ้อมแขนก่อนก้มลงจูบริ ทฝีปากนุ่มนวลนั้นและส่งจิตไปยังหญิงสาว
‘เรอินะ พี่รับรองว่า น้องริน น้องกิฟท์ น้องทิพย์ น้องนิว และเซี่ยวเล้งจะรักเรอินะเช่นเดียวกับที่พี่รัก พวกเราทุกคนจะอยู่ร่วมกันตลอดไป’
‘เรอินะ ข้อนั้นจานีสยืนยันและรับรองได้ว่าพวกเรายินดีรับเรอินะเข้ามาในครอบครัว…อย่าวิตกอันใดทั้งสิ้น..’
เรอินะถอนริมฝีปากออกจากการจูบก่อนส่งจิตตอบที่แฝงน้ำเสียงเอียงอายออกมาอย่างแผ่วเบา
‘ชีวิตของเรอินะมอบให้พี่เอแล้ว….พวกเราไปกันเถอะ..’
‘พี่ ก็อยากกลับไปหาทุกคนแล้ว ไม่รู้ว่าหากพวกน้องริน ได้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของไกอา ศิลาปฏิสาร และจิตแห่งเทพกับนารีที่สถิตอยู่ในร่างพวกเรา ทุกคนคงตื่นเต้นและไม่เชื่อแน่ๆ’
ผมส่งจิตกับจานีสและเรอินะ พร้อมกับเริ่มผนึกสมาธิเพื่อเปิดทางกลับสู่โลกภายนอก แต่คลื่นจิตของไกอากลับดังขัดขึ้น
‘ไกร วิทย์…สิ่งที่เจ้าคิดจะถ่ายทอดให้เหล่าภรรยาเจ้าภายนอกนั้นเป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่เจ้าพ้นจากมิตินิรกาลแห่งนี้ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเราจะไม่สามารถคงอยู่ในความทรงจำของพวกเจ้าได้ แม้กระทั่งการสนทนาระหว่างเจ้ากับเทพวิรุณปักขะและเหล่าเทวนารีในจิตจานีส และเรอินะที่อาศัยคลื่นจิตของเราเป็นตัวกลางนั้น ก็จะไม่อยู่ในความทรงจำของเจ้าเช่นกัน..นี่คือกฎธรรมชาติของมิตินิรกาล พวกเจ้าจะยังคงระลึกได้ถึงการร่วมรักของไกรวิทย์กับเรอินะ..การถ่ายทอดจิต ด้วยวิชาเทพผนึกจิตของจานีส แต่พวกเจ้าจะรับรู้แต่เพียงว่าทุกสิ่งเกิดจากการตัดสินใจของพวกเจ้าเอง …ส่วนความลับของศิลาปฏิสารนั้นจะสลายไปจากจิตเจ้าทั้งหมด เจ้าจะรับรู้แต่เพียงก้อนศิลาที่เชื่อมสู่จักรวาลคู่ขนาน ที่ไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อพวกเจ้าแม้แต่น้อย…’
ถ้อยคำที่คลื่นจิตของไกอาถ่ายทอดออกมาทำให้ผม จานีส และเรอินะตะลึงงันไปชั่วขณะ พร้อมกับที่จิตแห่งเทพวิรุณปักขะในร่างผมดังขึ้น
‘ทุก สิ่งที่ท่านปฐมเทพไกอาถ่ายทอดออกมาล้วนเป็นความจริง แม้แต่เราเองเมื่อครั้งที่ผ่านเข้ามาในมิตินิรกาลนี้เป็นครั้งแรก เราก็กลับออกไปด้วยความทรงจำถึงศิลาปฏิสารที่เชื่อมเส้นทางไปสู่จักรวาลคู่ ขนานเท่านั้น ความทรงจำใดๆ ที่เกี่ยวกับไกอาล้วนไม่สามารถดำรงอยู่ในจิตแห่งมนุษย์หรือเทพได้ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ไกอาเป็นเพียงตำนานที่น้อยคนจะเชื่อถึงการดำรงอยู่’
‘เด็ก น้อยวิรุณปักขะ…แม้เราจะเป็นจิตจักรวาลที่ปราศแล้วซึ่งอารมณ์ใด เรายังอดชื่นชมเจ้าไม่ได้ เพราะสิ่งที่เจ้าทำนั้นเป็นการกระทำด้วยความรักในชีวิตอื่นโดยเนื้อแท้ แม้จะทำให้เจ้าต้องสูญสิ้นโอกาสเสพรับความสุขทั้งปวงบนพื้นพิภพก็ตาม…พวก เจ้าจงไปจากที่นี้ได้แล้ว หน้าที่เจ้ายังมีอีกมากที่รอคอยให้บรรลุอยู่…’
จิต ของเทพวิรุณปัขะและไกอาที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้ผม จานีส และเรอินะต้องสบตากันด้วยความผิดหวังกับการที่ต้องทอดทิ้งความทรงจำที่เป็น ความลับของโลกเอาไว้ในมิตินิรกาลแห่งนี้ แต่ผมก็ต้องตัดใจและยอมรับในกฎธรรมชาติที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
‘พวกเราไปกันเถอะ…’
ผม ส่งจิตไปยังจานีสและเรอินะ ก่อนพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ร่วมผนึกจิตกำหนดความต้องการกลับไปสู่โลกภายนอก พร้อมกัน ทันใดนั้นใต้เท้าผม จานีส และเรอินะก็ปรากฏแผ่นหินขึ้นทอดยาวเป็นทางไปยังผนังมิติปฏิสารที่ปรากฏวง แหวนแสงสีขาวสุกสว่าง แรงดึงดูดบางเบาปรากฏที่เท้าจนผมสามารถยืนบนแผ่นหินอย่างมั่นคง ผมหันไปดึงร่างน้องพิมที่ยังคงหลับสนิทตลอดเวลาที่ผ่านมาเพื่อเตรียมพาน้อง พิมกลับออกไปพร้อมกัน แต่ทันใดนั้น คลื่นจิตของไกอาก็ดังขึ้น
‘ ไกรวิทย์ จานีส และเรอินะ…พวกเจ้าจงกลับออกไปก่อน…แต่จงปล่อยร่างเด็กหญิงผู้นี้เอาไว้ เรามีสิ่งที่ต้องทำตามคำขอร้องของเด็กหญิงนามพิมพ์มาดาผู้นี้..’