ปกขาว
  • Home
  • Home
  • Manga
  • Doujin-TH
  • Manhwa
  • เรื่องเสียว
  • เรื่องเสียวซีรี่ย์
  • Cosplay
  • H-Anime
  • A.I.
  • Onlyfan
Prev
Next
The Dark side_1

การ์ตูนแผ่น (ตอน) เดียวจบ

May 16, 2022
น้องรหัส | [Doujin Sak] Peer Mentee การ์ตูนแผ่นเดียวจบ by Xter

คฤหาสน์โลกีย์

May 24, 2022
ตอนที่ 38 ตอนที่ 37
Nong Earn – น้องเอิร์น Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน_Page_170

ได้เวลาเปลี่ยนกะ (น้องเอิร์น) (Nong Earn) ตอนที่ 1-9 ตอนพิเศษ 2 ตอน + PDF

May 13, 2022
ตอนที่ 10 ได้เวลาเปลี่ยนกะ Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน [JPG][PDF] แก้ลิ้งแล้ว ตอนที่ 9 ฝึกงาน
Specials_Vol15_001 (Large)

เปิดบริสุทธิ์

October 8, 2024
061 เปิดบริสุทธิ์ สาวมหาลัย (แหม่ม นันทิชา) 060 เปิดบริสุทธิ์ สาวเพนเฮ้าส์

เรื่องเสียวจากหนังสือปกขาว/ปกสี

May 1, 2023
106 เสน่ห์ชาย 105 ผัวน้อยผัวหลวง

ครอบครัวหฤหรรษ์

February 14, 2023
ตอนที่ 9 ครอบครัวคุณมรกต ตอนที่ 8 ครอบครัวของเรวดี (คุณพิชาญ,เรวดี,ยุ้ย,โจ้ )

รสสวาทแรงหึง (นัฐถิยา ภาค 2)

May 27, 2022
รสสวาทแรงหึง 100 รสสวาทแรงหึง 99

ครูเจ้าเล่ห์

April 30, 2023
ตอนที่ 40 ตอนที่ 39

นางฟ้าน้อย ๆ กับไอ้เฒ่าบ้ากาม ภาค 1 – 2

July 9, 2022
ภาค 2 ตอนที่ 3 เรอิ สาวน้อยผู้ไร้เดียงสา ภาค 2 ตอนที่ 2 หนิง...สาวน้อยผู้เร่าร้อน
Xter My Mother

My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป

August 17, 2024
003 My Mother The Animation พากย์ไทย 002 My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป ZIP
hard36a001

A4U Hard Series 80 Albums

October 15, 2024
80 79

คุณนายผู้น่าสงสาร ตอนที่ 1-21

August 21, 2022
ตอนที่ 21 ตอนที่ 20 เมื่อคุณนายผการับเป็นพรายเสน่ห์

The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 5.3.4 ศิลาปฏิสาร

  1. Home
  2. The Paradox & The Zodiac by Buta
  3. The Zodiac บทที่ 5.3.4 ศิลาปฏิสาร
Prev
Next

The Zodiac บทที่ 5.3.4 ศิลาปฏิสาร

‘พี่เอของแก้ว….แก้วจะช่วยพี่ได้อย่างไร…’

กระแส จิตแผ่วเบาของแก้วคำรำพึงกับตนเอง ขณะที่ภาพของพื้นดินใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำที่เคยปรากฏรอบตัวจางหายไปในทันที ที่จิตไกรวิทย์เข้าสู่นิทรา สภาพที่ยังคงอยู่หากเป็นสายตาของมนุษย์แล้วจะพบแต่เพียงความมืดสนิทไร้สิ้น ทุกสรรพสิ่ง แต่สำหรับจิตของบุคคลที่อยู่เหนือมิติแห่งกาลเวลาเช่นกองคำและแก้วคำนั้น ท่ามกลางความมืดรอบด้านปรากฏดวงแสงสีขาวที่ห่อหุ้มด้วยม่านหมอกสีแดงลอยอยู่ กลางความมืด พร้อมกับร่างของแก้วคำและกองคำที่ยังคงดำรงอยู่ในรูปกายของมนุษย์ปกติ แต่มีเพียงจิตในระดับเดียวกันเท่านั้นที่จะรับรู้การคงอยู่ของบุคคลทั้งสอง ได้

ด้วยญาณจักษุของผู้อยู่เหนือกาลสามารถกำหนดและรับรู้ถึงร่างของ เด็กสาวและกองคำผู้เป็นพี่ชายเปลือยเปล่าปราศจากอาภรณ์ใดปกคลุม แต่มิได้ทำใหแก้วคำอับอายแม้แต่น้อย เพราะนั่นเป็นสภาพของเรือนจิตบริสุทธิ์ที่ก่อรูปขึ้นเป็นร่างกาย และเป็นสภาพที่เด็กสาวดำรงอยู่มาตลอดนับตั้งแต่การฟื้นตื่นมาสู่มิติที่ไร้ กาลเวลาแห่งนี้

แก้วคำก้มศีรษะพิจารณาม่านหมอกสีแดงเข้มที่ห่อหุ้ม ลูกกลมแสงสีขาวนวลไว้ภายใน ล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่ทอประกายสับสน จากความรู้ที่ได้ศึกษามาตลอดที่อยู่กับผู้ทรงปราณสุญญตาเช่นกองคำ แก้วคำรู้ดีว่าลูกกลมแสงสีขาวนวลภายในนั้นคือจิตของไกรวิทย์ที่ถูกกักขังเอา ไว้โดยหมอกสีแดงเข้มอันเกิดจากอำนาจของจิตราสูญ มือเรียวบางของแก้วคำเอื้อมมือไปสัมผัสหมอกสีแดงเข้มและรับรู้ได้ถึงจิตไร้ ความทรงจำของไกรวิทย์ซึ่งถูกผลักดันออกมาอยู่เบื้องนอกกรอบพลังจิตราสูญ และนั่นคือขอบเขตมากที่สุดที่แม้กระทั่งกองคำผู้ทรงปราณสุญญตาจะแทรกผ่าน เข้าไปได้ ม่านหมอกสีแดงภายในสกัดกั้นจิตและความทรงจำของไกรวิทย์ไว้ภายในโดยสมบูรณ์ และอนุญาตเพียงจิตใต้สำนึกที่ต้องการสืบพันธ์ตามสัญชาติญาณผ่านออกมาเท่า นั้น แก้วคำถอนใจเบาๆ เมื่อครุ่นคำนึงถึงสิ่งที่กองคำบอกก่อนหน้านี้

‘จิต ที่ไร้ความทรงจำของไกรวิทย์จะถูกดึงดูดจากสัญชาติญาณที่ส่งผ่านออกมา สร้างเป็นภาพสตรีเพศเพื่อร่วมรัก และในทันทีที่จิตที่ไร้การควบคุมเกิดการร่วมรักกับจิตที่ก่อจากสัญชาติญาณ ของตนเอง พลังชีวิตทั้งหมดและวิญญาณจะดับสูญ นั่นนับว่าเลวร้ายกว่าการตายเสียอีก…’

ขณะที่แก้วคำครุ่นคิดถึงหนทางที่จะช่วยเหลือชายผู้เป็นที่รัก จิตของเด็กสาวก็ต้องสะท้านไปกับจิตกองคำที่ส่งเสียงออกมาอย่างนุ่มนวล แต่กลับไม่ได้เป็นการสนทนากับผู้เป็นน้องสาวแต่อย่างใด

‘สหายเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานนัก จะให้เกียรติสนทนากับเราได้ไหม’

การ ดำรงจิตอยู่ในสภาพเหนือกาลตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำให้แก้วคำหลุดพ้นจากข้อจำกัดของความทรงจำในชาติภพแห่งวัฏฏะชีวิต จิตเด็กสาวสะท้านในทันทีเมื่อความทรงจำในอดีตอันไกลโพ้นกลับมาปรากฏในจิต และรับรู้ในทันทีว่ากองคำกำลังพยายามติดต่อกับผู้ใด

‘ท่านมหาปุโรหิตหลุดพ้นจากกาลด้วยปราณสุญญตาแล้ว เราผู้เคยไม่เห็นด้วยกับแนวทางของท่านคงต้องยอมรับโดยปราศจากข้อโต้แย้งแล้ว…’

จิตของบุรุษเพศที่นุ่มนวลแต่เปี่ยมอำนาจดังขึ้นตอบรับกองคำในทันที แก้วคำรับรู้ด้วยญาณประสาทว่าจิตนั้นถูกส่งผ่านออกมาจากลูกกลมแสงดวงจิตของ ไกรวิทย์ ผ่านหมอกแห่งจิตราสูญออกมาโดยปราศจากการขวางกั้น ควาทรงจำในอดีตกาลทำให้จิตแก้วคำสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ขณะที่กองคำส่งจิตตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน

‘ท่านเองก็เช่นกัน แม้จะผ่านวัฏฏะชีวิตมานับหมื่นปี แต่จิตท่านยังดำรงอยู่ได้พร้อมกับทุกสิ่งที่ท่านกำหนดไว้กำลังดำเนินไปยัง จุดหมาย…นับไปแล้วเราเองก็เป็นหนี้บุญคุณท่าน เพราะหากปราศจากปราณคชสีห์ที่จิตของท่านให้กำเนิดไว้เมื่อสี่ร้อยปีก่อน …เราก็คงไม่สามารถบรรลุถึงซึ่งปราณสุญญตา และต้องเวียนว่ายอยู่ใต้กาลดังที่ท่านเคยทำนายไว้ตลอดไป..’

‘ท่านมหาปุโรหิต แม้เราจะกำหนดทุกสิ่งไว้..แต่เราก็ยอมรับว่าการบรรลุปราณสุญญตาของท่านนั้น เหนือการคาดคำนึงของเรา แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังไม่กล้าคาดหวังว่าท่านจะยอมให้อภัยเรากับสิ่งที่เรา เคยฝืนคำขอร้องของท่าน’

ใบหน้างดงามราวสตรีของกองคำปรากฏรอยยิ้มขึ้นบางๆ

‘ทุกสิ่งผ่านไปเช่นหมอกควัน…เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงอีกครั้ง เรากลับคิดว่านั่นคือความผิดของเราที่ไม่เข้าใจพวกท่านทั้งสองอย่างถ่องแท้ สำหรับเราแล้วไม่มีความโกรธเคืองใดๆ หลงเหลือในจิต เราให้อภัยท่านมานานแล้ว…แต่สำหรับนาง ท่านควรถามนางโดยตรงจะดีกว่า’

‘ดารายัณ…น้องน้อยของเรา…นางอยู่ที่นี่หรือ’

จิตที่สนทนากับกองคำอย่างสงบ เปลี่ยนเป็นความปิติในทันที ขณะที่จิตแก้วคำดังขึ้นตอบ

‘มหาเทพ…น้องน้อยของท่านอยู่ที่นี่แล้ว…’

‘ดารายัณ..ดวงใจแห่งเรา…เราคิดถึงเจ้านัก…’

‘ที่รักแห่งข้า..จิตแห่งดารายัณผู้เป็นน้องสาวของมหาปุโรหิตปัณทร สถิตย์อยู่ในจิตข้า เป็นจิตของแก้วคำผู้เป็นน้องสาวพี่กองคำในกาลนี้ และเช่นเดียวกับอดีตกาล หัวใจของแก้วคำก็มอบให้กับพี่ไกรวิทย์ เฉกเช่นที่ดารายัณมอบให้ท่านในครั้งก่อน….’

จิตอ่อนหวานของแก้วคำส่งตอบไปอย่างนุ่มนวล ทำให้จิตที่ส่งผ่านขึ้นมาจากดวงจิตไกรวิทย์นิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนส่งจิตที่แฝงสำเนียงประหลาดใจขึ้นมา

‘ดารายัณ แต่เหตุใดเจ้าจึงสามารถสนทนากับเราได้…มีแต่จิตแห่งเทวนารีทั้งสิบสองเท่านั้นที่สามารถประสานกับจิตของ….’

‘สหายเก่า..อย่าเพิ่งแปลกใจ ขณะนี้พวกเรากำลังอยู่เหนือกาลเวลาทั้งปวง จิตของท่านที่ผนึกอยู่กับไกรวิทย์ถูกส่งออกจากร่างมายังที่นี้ด้วยอำนาจแห่ง จิตราสูญ’

กองคำส่งจิตอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ถ่ายทอดไปทำให้จิตที่ส่งกลับมาสั่นสะท้านไปด้วยโทษะ

‘จิตราสูญ วิชานี้แม้จะเป็นวิชาประจำตัวของเทวนารีแห่งจักราศีตุลย์ แต่ด้วยมันทำลายสิ้นทั้งจิตและวิญญานหลงเหลือเพียงร่างกายที่ว่างเปล่าทำให้ ถูกถือว่าเป็นวิชาต้องห้ามและจะต้องได้รับอนุญาตจากมหาเทวะก่อนใช้กับผู้ที่ เลวทรามจนไม่สมควรดำรงความเป็นมนุษย์อีกต่อไป เหตุใดจึงมีการนำมาใช้ตามอำเภอใจเช่นนี้..’

‘จักรราศรีในยุคนี้หาใช่จักรราศีในกาลของท่านไม่ สหายเก่า’

จิตกองคำส่งออกไปเพื่อพยายามลดเพลิงโทษะที่พลุ่งพล่านของคู่สนทนา ซึ่งดูเหมือนจะสามารถลดทอนอารมณ์กราดเกรี้ยวไปได้บ้าง เพราะหลังจากเงียบงันไปชั่วขณะ จิตที่ส่งกลับมามีความสงบลงอย่างเห็นได้ชัด

‘จริงดังเช่นท่านมหาปุโรหิตเตือนสติเรา แม้จิตของเราในร่างชายหนุ่มผู้นี้จะตื่นขึ้นบางขณะ แต่เราก็ยังคงสามารถรับรู้ได้ว่ากฏแห่งเทพเจ้าครั้งโบราณกาลที่เทวนารีแห่ง จักราศีต้องยึดมั่น ถูกละเลยไปมากนัก จนแม้กระทั่งเทวนารีแห่งราศีเมถุนยังกลับกลายเป็นผู้ใช้ปราณอันเลวร้ายดูด รับเชื้อปราณจากบุรุษ…นับว่าศักดิ์ที่สูงส่งของเทวนารีแห่งจักราศีผู้ปก ป้องมหาอาณาจักรปราณถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว…เทวนารีในยุคนี้หาใช่เหล่าเท วนารีที่รักแห่งเราไม่ เราเกิดโทษะโดยไร้ประโยชน์ เสียทีที่ดำรงจิตมานับหมื่นปีจริงๆ’

จิตที่สถิตย์ในร่างไกรวิทย์ส่งเสียงราวกับจะรำพันกับตนเอง ขณะที่จิตหวานใสของแก้วคำดังขึ้น

‘มหาเทพแห่งข้า จิตของท่านตื่นขึ้นแล้วเช่นนี้ ท่านจะหาทางช่วยเหลือให้พี่เอ..ไม่สิ… ท่านไกรวิทย์ พ้นจากอำนาจแห่งจิตราสูญได้หรือไม่’

‘เราจำได้ว่าจิตเราตื่นขึ้นครั้งแรกเมื่อสัมผัสดวงจิตของมังกรน้อยที่สถิตย์ อยู่ในร่างสตรีนามเซี่ยวเล้ง ตามมาด้วยดวงจิตของคันชั่งน้อยที่อยู่ในร่างสตรีนามจานีส และจิตของแฝดน้อยที่กำเนิดในร่างสตรีนามปณิตา เราสัมผัสและติดต่อดวงจิตทั้งสามได้ชั่วขณะ แต่ดวงจิตของเทวนารีอีกสี่นางที่พำนักอยู่ร่วมกันด้วยนั้นยังไม่ตื่นขึ้น เรายังสัมผัสไม่ได้ว่าดวงจิตของผู้ใดอยู่ในร่างของสตรีนามรินลดา อัจฉริยา ทิพย์วารี และพิมพ์มาดาทั้งสี่ แต่จงฟัง…ดารายัณที่รักแห่งเรา ในเมื่อเจ้าอยู่เหนือกาล เจ้าคงรับรู้ดีอยู่แล้วว่าจิตแห่งเราที่สถิตย์อยู่กับไกรวิทย์และกำลังสนทนา กับเจ้าอยู่ในตอนนี้นั้น หาใช่จิตวิญญานที่สมบูรณ์ของเราไม่ หากเป็นจิตแห่งความทรงจำที่ส่งผ่านตามกฏธรรมชาติแห่งการเวียนว่ายตายเกิด แห่งสรรพชีวิต ส่วนจิตแห่งธาตุที่ประกอบเป็นกายนั้นแยกออกไปสถิตย์ร่วมกับเทวนารีสี่นาง ก่อนการดับสลายในสงครามกับเผ่าพันธ์มังกร แต่ที่สำคัญที่สุดจิตแห่งปราณของเราอันประกอบด้วยพลังชีวิตนั้นยังคงถูกกัก ไว้ในซากมหาอณาจักรปราณร่วมกับผลึกมังกรวารี หากปราศจากพลังชีวิตจากจิตแห่งปราณนี้แล้ว เราก็ไม่มีพลังใดที่จะสลายม่านหมอกของจิตราสูญที่ปิดกั้นจิตของไกรวิทย์นี้ ได้’

จิตที่ถ่ายทอดคำอธิบายอย่างละเอียด ทำให้ความหวังของแก้วคำตกวูบลง แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะซักถามเพิ่มเติม กองคำที่ร่วมสดับฟังอยู่ก็ส่งจิตแทรกขึ้นมา

‘จิตแห่งเทพเจ้าจะแยกจากร่างได้เป็นสามส่วน ต่างกับจิตของมนุษย์ที่ความทรงจำ ธาติทั้งสี่ และพลังชีวิตจะรวมเป็นหนึ่งเดียว จริงอยู่ที่สหายเราไม่สามารถใช้พลังชีวิตสลายพลังจิตราสูญที่กักจิตไกรวิทย์ เอาไว้ แต่หากท่านยินยอมสลายจิตร่วมความทรงจำกับไกรวิทย์ ท่านก็จะสามารถใช้พลังชีวิตที่เปี่ยมล้นของไกรวิทย์ทลายปราณจิตราสูญได้ …เพียงแต่…’

‘ท่านพี่…ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ให้ทำเดี๋ยวนี้เลยล่ะ…’

แก้วคำส่งจิตที่ตื่นเต้นยินดีออกมาอย่างลืมตัว เมื่อรับรู้ว่ามีหนทางช่วยเหลือชายผู้เป็นที่รัก แต่เสียงของจิตในร่างไกรวิทย์กลับส่งแทรกออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความกังวล

‘ท่านมหาปุโรหิต แนวทางที่ท่านบอกนั้นเราเองก็รู้ว่าสามารถทำได้ และจะทำให้จิตหลุดพ้นจากการกักของจิตราสูญแน่นอน แต่ปัญหาคือจิตที่พ้นออกไปและครอบครองร่างไกรวิทย์ต่อไปนั้นจะเป็นจิตของไกร วิทย์ หรือจิตของเรา…แม้แต่เราเองก็ไม่มั่นใจ…หากเป็นจิตของเราที่เข้าครอง ร่างโดยปราศจากการประสานจิตที่สมบูรณ์ ความทรงจำของไกรวิทย์ก็จะสูญสลาย ในขณะที่เราก็จะสูญสิ้นโอกาสที่จะรวมธาตุแห่งเทวะที่แยกออกจากร่างเราไปกลับ มาตลอดกาล แต่หากจิตเราเป็นฝ่ายสูญสลาย ไกรวิทย์เองก็จะไม่สามารถบรรลุถึงพลังที่จะนำไปสู่กัลป์สูญได้..จักรวาลนี้ จะสิ้นโอกาสเดียวที่จะต่อต้านพวกมัน…’

‘แต่หากเราไม่เสี่ยง…ไกรวิทย์ก็จะต้องดับสูญอยู่ดี…ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านสัญชาติญาณแห่งชีวิตในตัวเองได้…’

กองคำส่งจิตชี้ข้อเท็จจริงให้คู่สนทนารับรู้ ก่อให้ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ก่อนที่จิตแก้วคำจะแทรกขึ้นมาอย่าวลังเล

‘มหาเทพแห่งข้า…ท่านพี่…ขออภัยที่แก้วไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกท่านหารือ กันอย่างกระจ่างนัก แต่หากแก้วเข้าใจไม่ผิด จิตของท่านเทพปราศจากพลังชีวิตที่จะช่วยให้พี่เอ..เอ้อไกรวิทย์หลุดพ้นจาก ปราณจิตราสูญ นั่นถูกต้องหรือไม่’

‘ดารายัณ..เจ้าลวงเราหาได้ไม่ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแต่เจ้าก็ยังคงพยายามซ่อนเร้นภูมิปัญญาของเจ้าทุก ครั้งที่เจ้าทราบคำตอบ…จงบอกเราเถอะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่..’

ดวงหน้างดงามของแก้วคำเปล่งประกายวูบหนึ่ง ศีรษะก้มหน้าลงอย่างยอมรับสิ่งที่จิตแห่งเทพที่ซ่อนในร่างไกรวิทย์บอกออกมา ก่อนส่งจิตแผ่วเบา

‘เมื่อครู่นี้แก้วบอกพี่เอ…ไปแล้วว่าหากพี่เอไม่ต้องการหลุดพ้นออกมาจาก ภาพมายาของจิตที่สร้างขึ้นโดยอำนาจจิตราสูญ แก้วก็จะอยู่ร่วมกับพี่เอ เพื่อให้พี่เอระบายความต้องการทางเพศตามสัญชาติญาณกับแก้ว เพื่อป้องกันไม่ให้จิตพี่เอสร้างสตรีขึ้นมาด้วยตนเองจนนำไปสู่การสูญสลายของ วิญญาณ…’

‘ดารายัณ นั่นหมายความว่าจิตของเจ้าจะต้องติดอยู่กับจิตที่ไร้ความทรงจำของไกรวิทย์ไปตลอดกาล…เจ้ายอมรับได้หรือ’

จิตของบุรุษที่สถิตย์อยู่ในร่างไกรวิทย์ส่งเสียงทักท้วงมาอย่างตื่นตระหนกกับการตัดสินใจของแก้วคำ

‘มหาเทพแห่งข้า ความรักที่ดารายัณมีต่อท่านในครั้งนั้น หาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าความรักที่เหล่าเทวนารีทั้งสิบสองมีให้ไม่ แม้ในปัจจุบันชีวิตของแก้วก็สามารถมอบให้ท่านได้…แต่สิ่งที่แก้วคิดอยู่ และอยากขอความเห็นจากมหาเทพและท่านพี่ก็คือในเมื่อสิ่งที่มหาเทพท่านต้องการ เพื่อหลุดพ้นจากจิตราสูญคือพลังชีวิต หากท่านมีพลังชีวิตอื่นเข้าร่วมกับจิตแห่งความทรงจำ จะสามารถทำให้พี่เอหลุดพ้นออกมาจากจิตราสูญได้หรือไม่’

คำถามของแก้วคำทำให้จิตในร่างไกรวิทย์ รวมทั้งกองคำนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนที่กองคำจะเป็นฝ่ายตอบ

‘พี่ไม่รู้ว่าแก้วถามเพื่ออะไร แต่พี่ก็ตอบได้ว่าหากจิตแห่งความทรงจำในร่างไกรวิทย์ได้ผสานกับพลังชีวิต ก็จะสามารถใช้พลังนั้นปิดกั้นจิตของไกรวิทย์จากภายในด้วยพลังของตัวเอง และเมื่อปราณจิตราสูญไม่พบจิตของไกรวิทย์ แต่กลับพบจิตอื่นที่ไม่ใช่เป้าหมายแทนที่ จิตราสูญจะถือว่าหน้าที่เสร็จสิ้นลงเมื่อไม่พบจิตที่มันโจมตีอีกต่อไป พลังของมันก็จะถอนกลับไปสู่เทวนารีแห่งราศีตุลย์ผู้เป็นเจ้าของ และเปิดช่องให้จิตของไกรวิทย์กลับมาสู่ร่างได้..แต่พลังชีวิตนั้นจะมาจากที่ ใด..’

ดวงหน้าแก้วคำสงบนิ่งขณะสบตาผู้เป็นพี่ชายที่ผูกพันกันมาหลายชาติภพ

‘พลังชีวิตของแก้วเอง’

——————————————-

“เรอินะ….เจ้ากล้า…..”

เสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยวของตุลยาเทวีดังก้องไปทั่วทั้งถ้ำกว้างใหญ่ ร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมสีเทาเคลื่อนวาบเข้าหาร่างทักษิณีและอุตราณีราว สายฟ้า แต่ในทันทีที่มือเทวนารีแห่งราศีตุลย์สัมผัสกับร่างบริวารทั้งสองและแผ่ปราณ คุ้มครอง ลูกศรแสงสีส้มที่พุ่งแยกเป็นสองสายออกจากคันธนูของนารีธนูก็พุ่งวาบเข้าไปใน ร่างทั้งคู่พร้อมกัน

………………ซ่า…………………………

ธนูสลายจิตที่แทรกเข้าสู่ร่างทักษิณีและอุตราณีไม่ก่อให้เกิดเสียงการปะทะ ใดๆ มีเพียงเสียงซ่าแผ่วเบาเกิดขึ้นขณะที่ร่างของบริวารแห่งเทวนารีราศีตุลย์ ทั้งสองสลายวับไปราวกับไม่เคยมีร่างใดๆ อยู่ในตำแหน่งนั้นมาก่อน แต่ในมือของตุลยาเทวีแต่ละข้างจับมือที่เป็นส่วนเดียวของร่างกายที่ยังหลง เหลือของบริวารทั้งสอง เสียงซ่าเบาๆ เกิดจากมือที่เหลืออยู่ของทักษิณีและอุตราณีนั้นเริ่มสลายตัวเป็นผงฝุ่นลง สู่พื้นถ้ำ
ตุลยาเทวีก้มศีรษะมองมือของบริวารทั้งสองที่ค่อยๆ สลายกลายเป็นฝุ่นธุลี ก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเด็กหญิงเบื้องหน้า

‘ธนูสลายจิตที่รวดเร็วอำมหิตนัก’

ตุลยาเทวีส่งจิตกราดเกรียวไปยังเด็กหญิงเบื้องหน้า แต่ในใจก็อดตระหนกไปกับพลังทำลายล้างขงอธนูสลายจิตที่แม้ตุลยาเทวีจะสามารถ ส่งปราณเข้าปกป้องร่างบริวารทั้งสอง แต่ปราณนั้นเพียงเคลื่อนผ่านมือ ร่างของอุตราณีและทักษิณีก็สลายวับไปเสียก่อน ทำให้เหลือแต่เพียงซากมือทั้งสองเท่านั้น

‘นารีธนู คารวะท่านพี่ตุลยาเทวี…เรอินะขออภัยพี่จานีนด้วยที่ต้องสังหารบริวารของ ท่าน แต่ในเมื่อมันทั้งสองละเมิดต่อกฏแห่งเทพเจ้า..ด้วยหน้าที่ซึ่งเรอินะได้รับ มอบหมายจากเทพสุรัสวดีในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ ให้กำจัดคนชั่วช้าทุกคนที่พบเห็น เรอินะจึงไม่สามารถปล่อยพวกมันไว้ได้…’

จิตของนารีธนูส่งไปยังตุลยาเทวีผู้มีนามจานีนอย่างนอบน้อมแต่แฝงความมั่นใจ ในสิ่งที่กระทำลงไปอย่างชัดเจน แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ตุลยาเทวีทวีความโกรธมากขึ้นจนร่างผ้าคลุมสีเทาที่คลุม ร่างอยู่เกิดระลอกคลื่นเป็นสายด้วยอำนาจปราณที่แผ่ซ่านออกมา พร้อมกับจิตที่กราดเกรี้ยว

‘องครักษ์แห่งราศีตุลย์ทั้งสองปฏิบัติตามคำสั่งของเรา…เจ้าก็รู้ดีแต่กลับ สังหารพวกมันทั้งที่รู้ว่าเราอยู่ที่นี้ นี่นับเป็นพฤติการณ์ใดกัน….อย่าคิดว่าธนูในมือเจ้าจะมีอำนาจทำลายล้างทุก สรรพสิ่ง เราขอเตือนให้เจ้าระลึกไว้ด้วยว่าการประลองที่ผ่านมา ธนูของเจ้าไม่สามารถกระทบร่างเราได้แม้แต่ปลายเสื้อ….’

จิตที่แฝงปราณรุนแรงกระหน่ำใส่ร่างนารีธนู จนใบหน้าเด็กหญิงเคร่งเครียดเสื้อผ้าเก่าๆ ที่สวมใส่อยู่พองตัวออกเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ากำลังเทวนารีแห่งราศีธนูกำลัง ผนึกปราณรับโดยไม่ประมาท ก่อนส่งจิตตอบอย่างเย็นชา

‘ตุลยาเทวี ความจริงเราอาจใช้ความตายของบริวารท่านปกปิดการฝ่าฝืนกฎแห่งเทพเจ้าที่ท่าน สั่งการกับพวกนางได้ แต่การใช้วาจาท้าทายก่อการต่อสู้ระหว่างเทวนารีของท่าน เป็นสิ่งต้องห้ามของเทวนารี เราก็ต้องการทราบเช่นกันว่าหากเทพสุรัสวดีทราบเรื่องนี้ ท่านจะทำอย่างไร’

‘เจ้ากล้า…..’

ตุลยาเทวีส่งจิตตวาดอย่างโกรธแค้น แต่คำกล่าวชะงักลงราวกับไม่สามารถหาทางแก้ไขข้อกล่าวหาของนารีธนูได้ ขณะที่ร่างบอบบางของเด็กหญิงวัย 12 ก็ลอยต่ำลงจากการเผชิญหน้า มายังตำแหน่งที่ร่างของจานีสและไกรวิทย์นอนนิ่งอยู่ ก่อนปล่อยร่างพิมพ์มาดาที่ยังสิ้นสติให้นอนเคียงข้างจานีส มือน้อยๆ ของเด็กหญิงแตะข้อมือจานีส อากัปกริยาทั้งหมดดำเนินไปทั้งที่ดวงตาของนารีธนูยังคงจับจ้องร่างตุลยาเทวี โดยไม่ยอมให้คลาดสายตา แต่ทันใดที่มือนารีธนูสัมผัสร่างจานีส ดวงตากลมโตก็เบิกโพลงด้วยความตระหนกก่อนส่งจิตกราดเกรี้ยวกับตุลยาเทวี

‘เด็กหญิงผู้นี้ปราศจากปราณใดๆ ในร่าง เหตุใดท่านจึงบังอาจให้บริวารใช้ปราณทวิดาราทำร้ายนางจนจักรปราณแตกสลาย ปราศจากหนทางช่วยชีวิต….ตุลยาเทวี ท่านกระทำสิ่งเลวร่ายพวกนี้โดยไม่คำนึงถึงกฎเทพเจ้าแห่งเทวนารีได้อย่างไร กัน’

ร่างตุลยาเทวีเคลื่อนต่ำลงมาเผชิญหน้านารีธนู ก่อนแค่นเสียงออกมาอย่างเหยียดหยาม

‘นารีธนู…เจ้าเอาแต่กล่าวโทษ โดยไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น เจ้ารู้ไหมว่าชายผู้นี้คือใคร’

นารีธนูเบือนหน้าไปยังร่างไกรวิทย์ที่นอนตะแคงกับพื้น ทันใดที่เห็นใบหน้านั้นชักดเจนเด็กหญิงก็ร้องอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก

‘คุณลุงท่านนี้…..’

ใบหน้าที่ปรากฏต่อหน้านารีธนูคือชายกลางคนที่เมื่อหลายชั่วโมงที่แล้วเคย ช่วยเหลือเด็กหญิงคนหนึ่งจากการคุกคามของเหล่าอันธพาลจากสำนักไหมทอง ซึ่งหากไกรวิทย์สามารถเห็นร่างของนารีธนูเบื้องหน้าก็จะจำได้เช่นกันว่านารี ธนูเบื้องหน้าที่แท้ก็คือเด็กหญิงที่อ่อนแอถูกทำร้ายจากกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่า นั้น

‘ตุลยาเทวี เราหาได้รู้จักท่านลุงผู้นี้ไม่ แต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว ท่านลุงผู้นี้ยอมช่วยเหลือเด็กหญิงที่อ่อนแอโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเอง ท่านต้องไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างแน่นอน ….เอ๊ะ…’

ขณะที่ส่งจิต นารีธนูย่อกายลงแตะศีรษะไกรวิทย์และต้องส่งเสียงอุทานออกมาอย่างตกใจ ตามด้วยจิตกราดเกรี้ยวพุ่งไปยังตุลยาเทวี

‘จิตราสูญ….ท่านลุงผู้นี้กระทำผิดใดกันจึงต้องถูกทำร้ายด้วยจิตราสูญอันอำมหิตของท่าน’

‘นารีธนู…ท่านจำได้ไหมว่าเทพสุรัสวดีมอบหมายให้เหล่าเทวนารี ค้นหาและทำลายสิ่งใคเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด..’

‘ทำลายผู้สืบปราณคชสีห์ ผู้ครอบครองกาฬปราณ ผู้ก่อกัลป์สูญ….ไกรวิทย์ คชสีห์’

นารีธนูส่งจิตตอบตุลยาเทวีด้วยน้ำเสียงสั่นไหวเล็กน้อยจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่ไม่อาจรอดพ้นโสตประสาทของตุลยาเทวีได้ เทวนารีแห่งราศีตุลย์ลอยลงมายังพื้นถ้ำ เอื้อมมือไปใต้คางไกรวิทย์และดึงหน้ากากที่ปกปิดใบหน้าชายหนุ่มออกจากร่าง ก่อนส่งจิตเย้ยหยัน

‘มันคือไกรวิทย์ คชสีห์ และเราทำลายมันไปสิ้นแล้วด้วยจิตราสูญ นารีธนูท่านบังอาจเข้ามาสอดแทรกการทำงานของเรา…ท่านจะอธิบายต่อเทพ สุรัสวดีว่าอย่างไร..’

ร่างบอบบางของนารีธนูสั่นสะท้าน เมื่อพบว่าชายกลางคนที่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยคุณธรรมกลับเป็นศัตรู สำคัญของจักรราศี และได้ถูกกำจัดไปแล้วด้วยอำนาจแห่งจิตราสูญของตุลยาเทวี แต่เพียงครู่เดียวนารีธนูก็สงบใจลงและส่งจิตกลับไป

‘เช่นนั้นเราก็ขอแสดงความยินดีกับท่าน ที่ประกอบความชอบครั้งใหญ่ที่สุดให้กับจักรราศี แต่การทำร้ายผู้ปราศจากปราณเช่นเด็กหญิงทั้งสองนี้ กลับเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฎเทพเจ้าอย่างแน่ชัด ท่านจะอธิบลายเรื่องนี้เช่นไร’

‘มันทั้งสองเป็นคนของตระกูลคชสีห์…ด้วยหน้าที่เราสามารถฆ่าได้ตามบัญชาแห่งเทพสุรัวสวดี’

‘เหลวไหล..บัญชาแห่งเทพสุรัสวดีให้กำจัดผู้ทรงปราณตระกูลคชสีห์ หาได้รวมถึงผู้ไร้ปราณที่ปราศจากความผิดไม่’

นารีธนูส่งจิตตอบอย่างไม่กลัวเกรง แต่สายตากลับเพ่งมองที่ใบหน้าไกรวิทย์แน่วนิ่ง ประกายตาเด็กหญิงส่งประกายประหลาด ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันราวกับพยายามขบคิดปัญหาบางประการในใจ แต่เด็กหญิงก็ต้องหันหน้ากลับไปยังตุลยาเทวีเมื่อฝ่ายตรงข้ามส่งจิตตวาดกลับ มา

‘เราไม่จำเป็นต้องอธิบายอันใดต่อนารีธนูท่าน แต่เราขอบอกว่าสตรีทั้งสองนี้จะต้องถูกกำจัดในที่นี้ แม้เราจะไมม่เคยทำลายชีวิตผู้ใดมาก่อน แต่ทั้งสองนี้จะเป็นข้อยกเว้น หากนารีธนูท่านมีข้อข้องใจใดก็ขอให้เทพสุรัสวดีเป็นผู้ตัดสินภายหลัง แต่ตอนนี้จงหลีกทางให้เรา…’

ใบหน้าคมคายของนารีธนูสงบนิ่ง แต่แทนที่เด็กหญิงจะปฏิบัติตามคำของตุลยาเทวี ร่างน้อยนั้นกลับเลื่อนเข้าขวางร่างไกรวิทย จานีส และพิมพ์มาดาที่นอนอยู่บนพื้นถ้ำ ก่อนส่งจิตตอบอย่างแน่วแน่

‘บุรุษผู้นี้สูญจิตด้วยอำนาจแห่งจิตราสูญ สตรีนางนี้ถูกปราณทวิดาราทำร้ายจนจักรปราณแหลกสลายไม่มีทางใดช่วยเหลือชีวิต นางได้ ส่วนเด็กหญิงผู้นี้อายุนางไม่เกิน 10 ปี ยังไม่รู้ความใดๆ และปราศจากปราณในร่าง เราไม่สามารถปล่อยให้ท่านสังหารนาง มิฉะนั้นแล้วคำสาบานต่อเทพเจ้าแห่งเหล่าเทวนารีจะไร้สิ้นความหมาย…’

‘นารีธนู…เจ้า…เจ้า…’

มือเรียวงามของตุลยาเทวีชี้มาที่ใบหน้านารีธนู พร้อมส่งจิตสั่นสะท้านด้วยความโกรธ ปราณในร่างนารีธนูไหมวูบเมื่อสัมผัสกับพลังจิตมหาศาลที่ทะลักเข้าใส่ร่างราว สายน้ำเชี่ยว เด็กหญิงสูดลมหายใจลึก กระจายปราณในร่างคุ้มครองจิตจากอำนาจปราณณจิตของตุลยาเทวี พร้อมสะบัดมือวูบขึ้นเหนืออก ประกายแสงสีขาวแลบแปลบออกจากฝ่ามือทั้งสองด้านก่อตัวเป็นคันธนูแสงเรืองรอง นิ้วเรียวเล็กของนารีธนูแตะสายธนูไว้มั่น ขณะที่ลูกศรแสงห้าดอกปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วทั้งห้า

‘เฮอะ…ธนูสลายกาย…นารีธนูท่านไม่รู้หรือว่าวิชานี้ไม่สามารถทำร้ายเราได้ ….’

‘ตุลยาเทวี เรารู้ว่าตลอดมาท่านชิงชังเราที่มักมีความเห็นขัดแย้งกับท่านในจักรราศี แต่ความเห็นของเราล้วนเป็นไปเพื่อปกป้องความถูกต้องชอบธรรม ในเมื่อเราท่านต่างเป็นเทวนารีแห่งจักราศี ควรหรือที่จะต้องมาต่อสู้กันเอง ขณะนี้เราผนึกปราณสร้างธนูสลายกายแทนที่จะใช้ธนูสลายปราณ หรือธนูสลายจิตที่มีอานุภาพสูงกว่า ก็เพราะไม่ต้องการทำร้ายท่าน ขอเพียงแต่ท่านยอมละเว้นชีวิตเด็กหญิงผู้นี้..และปล่อยให้สองบุรุษสตรีที่ ปราศจากหนทางรอดคู่นี้ดับสูญอย่างสงบ เราก็พร้อมจะยุติเรื่องทั้งมวล และให้เทพสุรัสวดีตัดสินเราในการสังหารบริวารทั้งสองของท่าน…’

ประกายสีขาวจากลูกศรแสงสีขาวทั้งห้าส่องเจิดจ้าไปยังตุลยาเทวีจนแทบทะลุผ้า คลุมสีเทาจนเห็นวงหน้าภายใต้ผ้านั้นได้รางๆ แต่ประกายตาที่กราดเกรี้ยวของตุลยาเทวีดูจะลุกโชนยิ่งกว่าแสงจากลูกศรทั้ง ห้า จิตที่เต็มไปด้วยความโกรธตวาดกลับมาทันที

‘เด็กหญิงนางนี้แม้จะไม่มีปราณ แต่การดำรงอยู่ของมันเป็นอันตรายอย่างยิ่งกับเรา … นารีธนู หากท่านไม่ยอมหลีกทาง เราก็จำเป็นต้องใช้จิตราสูญกับท่าน เราให้โอกาสท่านตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย’

‘จิตราสูญจะทแรกผ่านจิตเราได้ก็ต่อเมื่อเราปราศจากปราณคุ้มครองจิตเท่านั้น ตุลยาเทวีท่านจะอาศัยอะไรมาต่อต้านธนูในมือเรา….ท่านต่างหากที่ควรจะยอม รับข้อเสนอที่เรามอบให้…’

ธิดาธนูส่งจิตตอบโต้โดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆ ต่ออำนาจแห่งจิตราสูญ นิ้วน้อยดึงสายธนูแสงออก จนลูกศรทั้งห้ายิ่งสว่างเรืองรอง…

‘โอกาสธิดาธนูท่านผ่านไปแล้ว แต่ท่านแน่ใจแล้วหรือที่จะต่อสู้กับเราในร่างของเด็กทารกเช่นนี้ ท่านจงสลายวิชาปราณเปลี่ยนร่างแห่งลัทธิเซนและเผชิญหน้าเราด้วยร่างที่แท้ จริงในเกราะปราณของท่านเถอะ เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่นารีธนูท่านจะได้สวมใส่เกราะปราณแห่งเท วนารี’

นารีธนูแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา เด็กหญิงสูดลมหายใจลึกพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายราวกับมายากล เรือนร่างเล็กๆ ที่ผอมบางของเด็กหญิงวัย 12 ปี พลันสูงขึ้นกว่าหนึ่งฟุต ผิวเนื้อทั่วร่างขยายตัวในเสื้อผ้าหลวมโพรกของเด็กหญิงจนกลับคับแน่นไปทุก ส่วน วงหน้าคมคายเรียวเล็กขยายออกเป็นดวงหน้ารูปวงรีสมบูรณ์ เส้นผมสีดำหนาถูกตัดสั้นราวเด็กชาย เปิดลำคองามระหงที่ยิ่งทำให้ดวงหน้างามนั้นโดดเด่น ดวงตากลมโตเปล่งประกายเจิดจ้า ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอออกเล็กน้อยจากรูปปากที่เชิดขึ้นบ่งถึงความดื้นรั้นไม่ ยอมตามผู้ใด ทั้งหมดประกอบใบหน้าหญิงสาวทีงดงามคมคายจนยากจะถอนสายตา ผิวกายทั้งร่างเปลี่ยนเป็นสีขาวสะอาดราวกับจะเปล่งแสงออกมาได้ ชั่วพริบตาเด็กหญิงอายุ 12 ปีในเสื้อผ้าหลวมๆ ก็กลับกลายเป็นหญิงสาววัย 17 ปีที่เติบโตเต็มสาว ใดวงตากลมโตแวววาวจับจ้องร่างตุลยาเทวีเขม็ง ก่อนที่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่สวมใส่อยู่จะสลายตัวเป็นฝุ่นเมื่อปราณโคจรผ่าน เผยให้เห็นร่างงามขาวสะอาดของนารีธนูที่ปกคลุมร่างไว้ด้วยใยแสงสีส้มเจิดจ้า ศีรษะหญิงสาวคาดด้วยแถบแสงกลางหน้าผากราวผ้าโพกศีรษะของชาวญี่ปุ่น กลางแถบแสงนั้นปรากฏลวดลายลูกศรสามดอกขดไขว้กันในวงล้อมของสายธนู เส้นแสงสีส้มกระจายตัวออกเป็นสองแถบตามแนวไหล่มาปกปิดปลายยอดหน้าอกอวบเต่ง ขาวผ่องเอาไว้ทั้งสองข้าง แต่ไม่สามารถปิดบังสัณฐานกลมกลึงไร้ที่ติของเต้านมคู่งามไว้ได้ ปลายแถบแสงทั้งสองผ่านหน้าอกมาบรรจบที่หน้าท้องเนียบเรียบและแผ่เป็นวงโค้ง รับเนินรักอวบอิ่มเบื้องล่างเอาไว้เป็นกระเปาะต่อโยงเป็นวงไปรอบตามลำขา เรียวเนียนจนหยุดที่ปลายเท้า แสงเรืองรองสีส้มสว่างวาบขึ้นก่อนสลายตัวเป็นเกราะปราณแห่งเทวนารีราศีธนู โดยสมบูรณ์

‘ตุลยาเทวี….ระวังไว้…ธนูสลายกายของเราแม้จะมีอานุภาพน้อยที่สุดในไตรธนู แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะล้อเล่นได้….’

นารีธนูส่งจิตเตือนเทวนารีที่กลับมาเป็นคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ธนูสลายกายทั้งห้าสายเปล่งประกายเรืองรองชี้ตรงไปยังเป้าหมาย ขณะที่เสื้อคลุมตุลยาเทวีเบ่งพองขึ้น ร่างงามเคลื่อนวูบวาบไปมาราวสายลม พร้อมส่งจิตเย้ยหยัน

‘เฮอะ…นารีธนูท่านเองก็ก็จงจำไว้เสมอว่า เมื่อใดก็ตามที่ปราณป้องกันจิตของท่านอ่อนโทรมลง จิตราสูญของเราก็จะเข้าครอบครองจิตท่าน และท่านจะได้รับรู้รสการร่วมรักเป็นครั้งแรก แต่นั่นคือการร่วมรักที่ตัวท่านเป็นผู้ทำลายพรหมจารีย์ของตนเอง…’

‘ความคิดท่านสกปรกยิ่ง นี่หรือคือเทวนารีผู้อยู่เหนือโลก จงรับธนูของเราไปเถอะ…’

ประกายแสงสีขาวเรืองรองทั้งห้าสายแยกย้ายกันพุ่งวาบออกจากมือนารีธนูราวสาย ฟ้า แต่มีเพียงดอกเดียวที่พุ่งเข้าใส่ตุลยาเทวีตรงๆ ในขณะที่ลูกศรอีกสี่ดอกแยกกันออกเป็นรัศมีสี่สายล้อมรอบสกัดเส้นทางเคลื่อน ไหวหลบเลี่ยงของตุลยาเทวีทั้งสี่ทิศทาง

……..พรึบ…..

……..เปรี้ยง……….

ทันทีที่ลูกศรแสงกระทบเสื้อคลุมสีเทา ร่างตุลยาเทวีก็หายวับไปราวกับหมอกควัน ลูกศรแสงทั้งห้าผ่านทะลุไปกระทบผนังถ้ำส่งเสียงดังกึกก้อง ขณะที่จิตตุลยาเทวีพลันดังขึ้นทางด้านหลังของนารีธนู

‘เราบอกแล้วว่าธนนูของท่านไม่สามารถทำร้ายเราได้..เอ๊ะ..’

ขณะ ที่จิตตุลยาเทวีดังขั้น มุมปากของนารีธนูปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตุลยาเทวีจะต้องสามารถรอดพ้นจากธนูสลายกาย ร่างอ้อนแอ้นหมุนคว้างลอยขึ้นโฉบเข้าหาตุลยาเทวีที่ด้านหลัง จนตุลยาเทวีต้องผนึกปราณหลีกเลี่ยงร่างอย่างเต็มที่ ร่างในผ้าคลุมสีเทาแบขึ้นกลางอากาศราววิญญานภูติพรายขณะปราณที่เกิดการหมุน วนร่างของนารีธนูงามกรรโชกผืนผ้าคลุ่มจนแนบร่างตุลยาเทวีสนิท จนเผยให้เห็นเรือนร่างอวบอิ่มสมบูรณ์ทุกสัดส่วน

‘หนีไปที่ใด…’

จิตนารีธนูส่งเสียงตวาด พลังปราณแหลมคมกระจายออกจากร่างราวสายฝนสาดกระหน่ำ มุ่งไปยังร่างตุลยาเทวีที่พริ้วไหมไปมาและเปลี่ยนทิศทางได้ทุกขณะราวกับไม่ ถูกจำกัดด้วยกฏธรรมชาติแห่งการเคลื่อนไหว จนกระแสปราณของนารีธนูไม่อาจกระทบร่างนั้นได้ แต่ขณะเดียวกันจิตของนารีธนูที่ถูกป้องกันด้วยปราณก็สัมผัสได้ถึงมวลพลังจิต สาดพุ่งเข้าโจมตีจิตทุกทิศทาง จิตนารีธนูสัมผัสได้ถึงแก่นกลางกำเนิดพลังจิตของตุลยาเทวีที่เป็นวงกลมสองวง ราวจานของคันชั่งหมุนวนรอบร่างตุลยาเทวี กระจายพลังจิตที่ต่างกันสองรูปแบบหนุนเสริมเข้าหาเป้าหมาย พลังส่วนหนึ่งมุ่งสลายปราณป้องกันจิต ในขณะที่พลังส่วนที่สองหมุนวนรอบรอคอยโอกาสเข้าแทรกซึม นารีธนูรีบผนึกปราณในร่างให้มั่นคง เพราะรู้ดีว่าพลังสายที่สองซึ่งรอช่องว่างอยู่นั้นคือจิตราสูญสามารถสลายจิต และวิญญาณของมนุษย์ไปชั่วนิรันดร์

‘นี่หรือคือปราณแห่งเทวนารีราศีตุลย์ เรานารีธนูได้รับรู้แล้ว…’

จิตนารีธนูแค่นเสียงออกมาราวกับไม่ใส่ใจกับพลังจิตอันกล้าแข็งที่พุ่งเข้า โจมตีทุกทิศทาง แต่ในใจของเทวนารีแห่งราศีนูทราบดีว่าการที่ต้องแบ่งปราณในร่างส่วนหนึ่งไป ป้องกันมิให้พลังจิตตุลยาเทวีทีรกผ่านเข้ามาได้นั้น ทำให้ปราณที่จะเร่งเร้าธนูในมือไม่สามารถสำแดงอานุภาพได้เต็มที่

‘นารีธนูท่านยังหาได้รับรู้อำนาจแห่งปราณของเราไม่ รับไว้…’

ตุลยาเทวีส่งจิตที่แฝงน้ำเสียงเยาะเย้ยออกมา พร้อมกับที่นารีธนูรับรู้ถึงปราณที่รุนแรงถึงขีดสุดกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาจาก ทางด้านหลังทั้งที่ตุลยาเทวีลอยตัวอยู่เบื้องหน้า แต่พริบตานั้นจิตนารีธนูก็รับรู้ว่าพลังจิตของตุลยาเทวีที่ล้อมรอบร่างอยู่ นั้นผ่อนคลายลงกว่าครึ่ง ทำให้สมองที่ฉับไวของนารีธนูทราบในทันทีว่าตุลยาเทวีก็ต้องแบ่งแยกจิตออกมา เช่นกันหากต้องการโจมตีด้วยปราณโดยตรง

…….เปรี้ยง…….

ร่าง อ้อนแอ้นของนารีธนูสะบัดคันศรแสงกลับไปทางด้านหลัง ประกายแสงเจิดจ้าของธนูสาบกายสาดพุ่งเข้าปะทะมวลปราณที่เบื้องหลังจนเกิดการ ปะทะดังสนั่น ร่างนารีธนูถูกพลังปะทะกระแทกขึ้นไปบนอากาศอย่างเสียหลัก ขณะที่จิตกราดเกรี้ยวของตุลยาเทวีกังวานก้อง

‘อย่าคิดว่าเทวนารีแห่ง ราณีตุลย์จะพึ่งพาพลังจิตเท่านั้น ปราณของเราหาได้เข้มแข็งน้อยกว่าเทวนารีคนใดทั้งสิ้น เราหาได้เกรงกลังปราณของนารีธนูท่านไม่…อะ อะไรกัน…’

จิตตุลยา เทวีพลันร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก เมื่อพบว่าร่างนารีธนูที่ดูเหมือนจะถูกพลังปราณกระแทกขึ้นสู่อากาศโดยไม่ สามารถควบคุมร่างกายได้รั้น กลับหมุนเป็นวงราวลูกข่าง คันธนูแสงในมือเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเหลืองนวลใย ลูกศรแสงสีเหลืองปรากฏออกมาจากข้อมือหญิงสาวทาบทับคันธนูและยิงขึ้นสู่เพดาน ถ้ำเบื้องบน

‘ธนูสลายปราณ….’

จิตตุลยาเทวีอุทานออกมา เมื่อพบว่าลูกศรแสงสีเหลืองนวลที่ไปกระทบเพดานถ้ำกลับแตกกระจายออกเป็นฝนธนู นับหมื่นสาดพุ่งกลับลงมาครอบคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้วของถ้ำเอาไว้ ยกเว้นเพียงตำแหน่งที่ร่างของไกรวิทย์ จานีส และพิมพ์มาดานอนสิ้นสติอยู่เท่านั้น ที่ปราศจากลูกศรแสงครอบคลุมลงหา ตรงข้ามกับตำแหน่งที่ตุลยาเทวีส่งเสียงทางจิตขึ้นมานั้น ปริมาณความหนาแน่นของลูกศรมีมากกว่าจุดอื่นหลายเท่าตัว อันแสดงให้เห็นถึงปราณคุมลูกศรของนารีธนูว่าบรรลุถึงขั้นสูงสุดจนสามารถ บังคับตำแหน่งโจมตีได้ตามต้องการ

…………ซ่า……………..

ลูก ศรแสงทั้งหมดของธนูสลายปราณกระหน่ำลงบนพื้นถ้ำจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่ว ฝุ่นที่ปกคลุมพื้นถ้ำปลิวคละคลุ้งราวกับถูกพายุซัดกระหน่ำ แต่นารีธนูก็ต้องสะท้านไปทั้งร่างเมื่อจิตของตุลยาเทวีกลับดังขึ้นที่เบื้อง บนเพดานถ้ำ

‘ธนูสลายปราณ ร้ายกาจนัก แทบจะกระทบถูกร่างเรา แต่นารีธนูท่านยังไม่สามารถแตกต้องเราได้หรอก’

ใบหน้างามของนารีธนูเงยหน้าขึ้นไปเบื้องบนและพบว่าร่างของตุลยาเทวีค่อยๆ ลอยลงมาจากเพดานถ้ำกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เสื้อคลุมสีเทาสั่นพริ้วด้วยอำนาจปราณป้องกันร่าง แต่บนเนื้อผ้านั้นของธนูสลายปราณกระหน่ำจนขาดเป็นรูพรุนที่ชายเสื้อคลุมด้าน ล่าง แต่ส่วนบนของเสื้อคลุมปราศจากร่องรอยใดๆ จากการโจมตีที่หนาแน่นราวพายุฝนของธนูสลายปราณแม้แต่น้อย นารีธนูเม้มปากเข้าหากันเพื่อระงับอารมณ์ตื่นตระหนกของตนเองไว้ ก่อนส่งจิตไปยังคู่ต่อสู้เบื้องหน้า

‘ท่าร่างที่รวดเร็ว…ปราณจิตที่เข้มแข็ง…นับว่าเราได้รับรู้พลังปราณแห่งเทวนารีราศีตุลย์แล้ว’

นารีธนูส่งจิตราบเรียบออกไปราวกับไม่หวั่นเกรงคู่ต่อสู้เบื้องหน้า แต่ในใจของเทวนารีแห่งราศีธนูรู้ดีตลอดเวลาที่กำลังต่อสู้อยู่ว่า ปราณจิตของตุลยาเทวีถูกส่งมาครอบคลุมร่างตนเองไว้ราวกับม่านหมอก และหากปราณคุ้มครองจิตอ่อนโทรมลงเพียงเล็กน้อย จิตตานุภาพที่เข้มแข็งสุดยอดของตุลยาเทวีก็จะแทรกจิตราสูญเข้ามายุติการ ต่อสู้ในทันที

‘นารีธนูท่านจะโจมตีไปได้อีกเท่าใด…ธนูสลายปราณ ธนูสลายจิตของท่านล้วนบั่นทอนปราณของท่านลงทุกขณะ อีกไม่นานปราณท่านก็จะเสื่อมโทรมลงจนไม่สามารถปกป้องจิตได้อีกต่อไป ในเมื่อธนูของท่านไม่สามารถแตะต้องร่างเราได้ ผลแพ้ชนะคงไม่ต้องคาดเดาอีกต่อไปแล้ว’

จิตตุลยาเทวีดังขึ้นด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม…ขณะที่นารีธนูสูดลม หายใจลึก คันศรแสงในมือสลายวับ พร้อมกับแสงสีทองเจิดจ้ากระจายไปตามท่อนแขนทั้งสองข้าง…ก่อนส่งจิตตอบ

‘ไตรธนูอาจไม่สามารถทำร้ายท่าน…แต่ไม่ว่าท่าร่างท่านจะรวดเร็วเพียงใด ก็ไม่อาจหลบหนีธนูพิฆาตฟ้าที่จะติดตามปราณในร่างของท่านไปจนสุดโลกได้….’

ดวงตาหลังผ้าคลุมสีเทาของตุลยาเทวีทอประกายหวาดหวั่นเป็นครั้งแรกเมื่อพบว่า ประกายแสงสีทองเรืองรองปรากฏบนท่อนแขนขาวผ่อง ที่แม้ตุลยาเทวีจะไม่เคยเห็นธนูพิฆาตฟ้าของนารีธนูมาก่อน แต่เหล่าเทวนารีต่างรู้ดีกว่า เรอินะผู้ครองฐานะเทวนารีแห่งราศีธนูเบื้องหน้า คือนารีธนูคนแรกในรอบหลายพันปี ที่สามารถผนึกไตรธนูเทวนารีก่อเป็นธนูพิฆาตฟ้าที่ทรงอานุภาพทำลายได้แม้ กระทั่งเทพเจ้า อีกทั้งยังรู้ดีว่าธนูพิฆาตฟ้าในตำนานนี้จะติดตามปราณของคู่ต่อสู้เพื่อสลาย ร่างกายและวิญญานจนไปตลอดกาลเช่นเดียวกับอำนาจทำลายวิญญาณของวิชาจิตราสูญ ตุลยาเทวีผนึกพลังปราณคุ้มครองร่างขึ้นเต็มกำลัง ก่อนส่งจิตไปยังนารีธนูเบื้องหน้า

‘นารีธนู…ท่านมั่นใจหรือว่าจะใช้ธนูพิฆาตฟ้า เรารู้ดีว่าการผนึกธนูพิฆาตฟ้าจะต้องใช้ปราณทั่งร่างของท่านก่อปราณธนูที่ ไร้ผู้ต่อต้านนี้ แต่หากท่านปราศจากปราณปกป้องจิต จิตราสูญของเราก็จพทำลายวิญญาณท่านในทันที…’

‘ตุลยาเทวี เราทราบดีว่าหากเราผนึกธนูพิฆาตฟ้าขึ้น วิญญาณเราก็จะถูกทำลายด้วยอำนาจจิตราสูญ แต่เราขอรับประกันว่าท่านเองก็จะไม่สามารถรอดพ้นจากธนูพิฆาตฟ้านี้ได้เช่น กัน…ดูท่าวันนี้จักราศีจะต้องสูญสิ้นเทวนารีไปพร้อมกันสองนางอย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้แล้ว…’

นารีธนูส่งจิตตอบอบ่างแน่วแน่ ขณะที่ตุลยาเทวีถอนใจเบาๆ และส่งจิตที่อ่อนลงกลับมา

‘เรอินะ..แม้เราจะขัดแย้งกันเสมอในจักราศี แต่เราก็ไม่ปราณถนาจะสังหารท่านหรือถูกท่านสังหาร เราขอร้องท่านเป็นครั้งสุดท้ายให้ยุติการต่อสู้ไว้เพียงเท่านี้และปล่อยให้ เราทำหน้าที่ของเราให้เสร็จสิ้นได้หรือไม่ เราจะถือว่าการสังหารบริวารของเรานั้นไม่ได้เกิดขึ้น ทุกสิ่งจะกลับไปเป็นเช่นเดิม’

ดวงตานารีธนูจับจ้องดวงตาหลังผ้าคลุมสีเทาเขม็ง และรับรู้ว่าการที่ตุลยาเทวีเปลี่ยนคำเรียกหามาใช้ชื่อเดิมของนารีธนูโดยตรง นั้น บอกให้รู้ว่าต้องการยุติการต่อสู้ที่อาจทำให้เทวนารีทั้งสองตกตายร่วมกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘พี่จานีน ท่านก็รู้ดีอยู่ว่าเราไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับท่านแม้แต่น้อย บุรุษผู้ครองกาฬปราณนั้นพ่ายแพ้แก่ท่านแล้วด้วยจิตราสูญ ไม่มีทางกลับมามีชีวิตเช่นเดิมได้อีกต่อไป เด็กสาวผู้นี้ก็บาดเจ็บสาหัสนักจนไม่สามารถอยู่รอดไปถึงชั่วยามหน้า เราขอทำหน้าที่ยุติชีวิตทั้งสองด้วยตนเองเพื่อปลดปล่อยจากความทรมาณ ส่วนเด็กหญิงผู้ไร้ปราณผู้นี้เราขอชีวิตนางไว้ แต่หากท่านไม่ต้องการปล่อยนางไปเราก็จะขอรับนางเอาไว้ในความดูแลที่จักรราศี ณ ที่นั้นนางจะไม่มีโอกาสกลับมาสู่โลกนี้อีกต่อไป นี่คือเงื่อนไขของเรา พี่จานีนจะยอมผ่อนปรนให้เราตามนี้ได้หรือไม่’

นารีธนูส่งจิตตอบอย่างราบเรียบ ด้วยความเชื่อว่าเงื่อนไขนี้น่าจะเป็นที่ยอมรับจากตุลยาเทวีได้ แต่ตุลยาเทวีกลับส่งจิตตอบมาด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

‘เรอินะ…การที่เรายอมไม่เอาความกับเจ้าในการสังหารบริวารทั้งสองก็นับว่า เราผ่อนปรนแก่ท่านมาอยู่แล้ว ส่วน ไม่สนใจที่ท่านจะปลดปล่อยความทรมาณให้บุรุษผู้นี้ และสตรีผู้เป็นภรรยาของมัน แต่สำหรับเด็กหญิงนางนี้เราจำเป็นต้องสังหารนางในทันที…แต่เหตุผลนั้นเรา ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อท่าน…’

‘หากพี่จานีนไม่อธิบายเหตุผลที่เรายอมรับได้ เราก็ไม่สามารถปล่อยให้ท่านทำร้ายผู้บริสุทธิ์เช่นกัน ดูท่าการต่อสู้แลกชีวิตของเราคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แล้ว…’

‘นารีธนู…เราบอกท่านได้แต่เพียงว่าหากเด็กหญิงนางนี้ดำรงอยู่ จะเป็นผลคุกคามต่อเราไม่ต่างอะไรกับการตกตายในการต่อสู้…จะอย่างไรเราก็ ต้องสังหารนางให้ได้…’

จิตตุลยาเทวีทวีความแข็งกร้าวในน้ำเสียงขึ้นถึงขีดสุด ทำให้นารีธนูต้องหยุดควมพยายามที่จะคลี่คลายการต่อสู้และเร่งผนึกปราณ ป้องกันจิตเอาไว้ พร้อมส่งปราณในร่างเข้าสู่สองแขนจนปรกายเรืองรองสีทองสว่างจ้าขึ้นออีก ครั้ง…

‘ตุลยาเทวี…เรายึดมั่นในกฏเทพเจ้าแห่งจักรราศรี หากเราปล่อยให้ท่านสังหารเด็กหญิงนางนี้ การเสียสัตย์ต่อสิ่งที่เรายึดมั่นก็เท่ากับเราตายไปแล้วเช่นกัน…ลงมือ เถอะ…’

ดวงตาสองเทวนารีส่งประกายเจิดจ้าจากการผนึกปราณในร่างขึ้นถึงขีดสุด แต่ก่อนที่ทั้งสองจะปลดปล่อยมวลปราณ…จิตที่แผ่วเบาอ่อนระโหยก็ดังขึ้นใน โสตสัมผัสของสองเทวนารี

‘จานีน คำทำนายกำหนดชีวิตแห่งตระกูลเมหิยาที่ท่านได้รับเมื่อเกิดระดูแรกในชีวิต นั้น หาใช่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนไม่ ท่านต่างหากที่สามารถลิขิตชะตาของตนเอง ….’

ร่างตุลยาเทวีสะท้านเฮือก เมื่อพบว่าจิตที่อ่อนล้านั้นถูกส่งมาจากร่างเด็กสาวที่กำลังบาดเจ็บสาหัส ใกล้ความตายเบื้องล่าง จิตที่สั่นสะท้านถูกส่งออกไปอย่างลืมตัว

‘จะ เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงรู้จักคำทำนายกำหนดชีวิตแห่งตระกูลเมหิยาที่สตรีทุกนางจะต้องรับ เมื่อเข้าสู่วัยสาวเริ่มมีประจำเดือน…’

ขณะที่ตุลยาเทวีกำลังตะลึงงัน นารีธนูที่ได้รับรู้จิตของจานีสก็อุทานออกมาเบาๆ และรีบสลายปราณที่สองแขนพร้อมทิ้งร่างลงข้างจานีส มือเรียวงามยื่นเข้าจับชีพจรที่เต้นแผ่วราวจะหยุดลงได้ทุกขณะของเด็กสาว ก่อนรีบถ่ายทอกปราณเข้าสู่ร่างจานีสช้าๆ เพื่อกระตุ้นพลังชีวิตในร่างให้ฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ แต่นารีธนูก็ต้องถอนใจออกมาด้วยความผิดหวัง เมื่อปราณที่ส่งเข้าไปในร่างจานีสทำได้เพียงกระตุ้นให้พลังชีวิตที่อ่อนล้า คงสภาพอยู่ได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถแทรกเข้าสู่จักรชีวิตทั้งสี่ที่แตกสลายจากปราณทวิดาราได้

‘แม่นางสงบใจไว้ เราคือนารีธนูแห่งจักรราศีธนู เราไม่เคยกล่าวคำเท็จใดๆ จึงไม่สามารถปิดบังท่านได้ว่าอาการบาดเจ็บของท่านไร้หนทางช่วยเหลือ แต่หากท่านมีเรื่องใดที่ต้องการให้เราจัดการให้หลังท่านสิ้นชีวิต ขอเพียงแต่สิ่งที่ท่านร้องขอไม่ขัดต่อกกเทพเจ้าแห่งจักราศี เรายินดีกระทำให้ทุกประการ…’

นารีธนูส่งจิตแผ่วเบากับจานีส…แต่เทวนารีแห่งราศีธนูก็ต้องสะท้านไปใจ อย่างรุนแรงเช่นเดียวกับตุลยาแทวีเมื่อจานีสส่งจิตแผ่วเบากลับมา

‘เรอินะ..เปลือกนอกท่านเป็นเทวนารีที่ดื้อรั้นไม่ยอมฟังผู้ใดทั้งสิ้น แต่เรารู้ดีว่าจิตใจท่านเปี่ยมไปด้วยความเมตตา…จิตที่ฝึกปรือจากแนวทางเซน ทำให้แม้ท่านจะรับพลังจากผนึกราศรีธนูที่กราดเกรี้ยว แต่ท่านก็ยังคงรักษาจิตใจที่อ่อนโยนของเด็กหญิงผู้มาจากญี่ปุ่นคนนั้นไว้ เสมอมา และนี่คือสาเหตุที่ท่านเป็นเทวนารีราศีธนูคนเดียวเท่านั้นที่สามารถบรรลุถึง ขั้นรวมไตรธนูก่อธนูพิฆาตฟ้าได้ เราขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย..’

ถ้อยคำอันถ่ายทอดจากจิตที่อ่อนล้าของจานีสทำให้นารีธนูตะลึงงัน ก่อนส่งจิตที่สับสนมายังจานีส

‘แม่นาง…ท่านเป็นเพียงเด็กสาวผู้ไร้ปราณเหตุใดจึงรู้จักสิ่งที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด…ราวกับท่านเป็นคนในจักรราศี’

ก่อนที่จานีสจะตอบ ร่างตุลยาเทวีก็ร่อนลงแตะพื้นถ้ำอย่างแผ่วเบา พร้อมส่งจิตตวาดก้อง

‘เจ้าคือใคร…เจ้ารู้จักความลับแห่งตระกูลเมหิยา…เจ้ารู้จักจักราศีราว กับเกินกว่าที่สามัญชนจะรู้ได้ จงตอบคำถามเราเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นเจ้าจะทำให้เจ้าต้องทรมาณไปอีกนานกว่าจะสิ้นลมหายใจ’

จานีสสูดลมหายใจลึก รวบรวมพลังชีวิตที่ถ่ายทอดมาจากนารีธนู ก่อนพยายามยันร่างน้อยลุกขึ้นนั่ง ใบหน้างามซีดขาวราวกระดาษ โลหิตไหลซึมออกจากมุมปากเป็นระยะ แต่ดวงตาจับจ้องเทวนารีทั้งสองแน่วนิ่ง ก่อนส่งจิตตอบอย่างอ่อนล้า…

‘เราคือผู้พิการไร้ความสามารถในการใช้พลังจิตที่ถือกำเนิดจากตระกูลเมหิยา เมื่อ 115 ปีก่อน เราคือผู้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลให้พบกับหน้าความตายในหุบเขาหิมะยะเยือก แต่ได้รับการช่วยเหลือจากหญิงชราผู้ทำหน้าที่ดูแลหอตำราบรรพกาลแห่งจักรราศี เราคือผู้ศึกษาตำราโบราณทุกเล่มในหอตำรา เราคือผู้รอบรู้สรรพสิ่งในอดีตกาล เราคือผู้สำเร็จวิชาเนตรจักรวาล เราคือผู้ที่ถูกเทพสุรัสวดีลงโทษให้ร่างกายสลายด้วยมหาเพลิงแห่งมังกรอัคคี เราคือผู้กลับฟื้นชีวิตด้วยกาฬปราณแห่งมหาเทพวิรุณปักขะ…เราคือจานีสผู้ เคยเป็นโหราทาสแห่งจักรราศี…’

————————————

‘แก้ว…’

‘ดารายัณ…เจ้า…’

จิตกองคำและจิตแห่งความทรงจำที่สถิตย์ในจิตของไกรวิทย์ส่งเสียงอุทานออกมา พร้อมกันเมื่อได้รับรู้จิตแก้วคำที่ตั้งใจจะมอบพลังชีวิตเข้าผนึกรวมกับจิต แห่งความทรงจำในร่างไกรวิทย์

‘แก้ว…หากแก้วผนึกพลังชีวิตรวมจิตกับสหายเก่าพี่ นั่นหมายความว่าตัวตนของแก้วจะไม่มีอีกต่อไป…แก้วแน่ใจหรือว่าจะ….’

‘พี่กองคำ…พี่ลืมไปแล้วหรือว่าแก้วเวียนว่ายอยู่ในจักรวาลร่วมกับพี่ แม้แก้วจะไม่บรรลุปราณสุญญตา แต่แก้วก็รู้เรื่องจิตและพลังชีวิตดี พลังชีวิตแก้ว จิตของแก้ว จะสลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้ที่แก้วรัก และไม่มีวันห่างจากกันอีกต่อไป นั่นเป็นความปราถนาของแก้วมาตั้งแต่ครั้งแรกที่แก้วพบกับเขา นอกจากนี้ภารกิจสำคัญที่สุดในชีวิตของแก้วก็บรรลุเสร็จสิ้นมาตั้งแต่สิบปี ที่แล้วของโลกมนุษย์ .วัชระแห่งชีวิตได้กำเนิดขึ้นมาแล้ว…รอคอยแต่เวลาสำหรับผนึกร่วมกับปฐม ธาตุทั้งสี่ก่อเกิดกัลลป์สูญ…แก้วไม่มีความต้องการใดอีกแล้วนอกจากจะอยู่ ร่วมกับผู้ที่แก้วรัก…ท่านพี่ไม่ต้องห่วงแก้ว…นี่คือสิ่งที่แก้วปราถนา’

แก้วคำส่งจิตอ่อนโยนกับผู้เป็นพี่ชาย จนทำให้กองคำต้องระงับคำโต้แย้งเอาไว้ ขณะที่จิตแห่งความทรงจำในร่างไกรวิทย์ส่งเสียงสั่นสะท้านด้วยความปิติ

‘วัชระแห่งชีวิต…วัชระแห่งชีวิตกำเนิดแล้ว….ดารายัณผู้เป็นที่รักแห่งข้า…ตอนนี้มันอยู่ที่ใด’

‘วัชระแห่งชีวิตกำลังเติบโตกล้าแข็งในสถานที่ปลอดภัยที่สุดบนโลกมนุษย์ ทุกสิ่งเป็นไปตามวิถีที่ท่านกำหนดแต่ครั้งก่อน…ท่านหาต้องกังวลไม่ แต่ขณะนี้แก้วตัดสินใจแล้วว่าจะผนึกพลังชีวิตและสลายจิตร่วมกับจิตแห่งความ ทรงจำของท่านผู้ที่แก้วรัก..ภัสดาแห่งแก้ว…ท่านจะยินยอมรับแก้วไว้ใน วิญญาณของท่านได้หรือไม่’

คำถามของแก้วคำให้จิตที่สถิตย์ในร่างไกรวิทย์นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนตอบกลับมาอย่างลังเล

‘ดารายัณ แม้ข้าจะเคยยึดถือเจ้าเป็นน้องสาวมาแต่ได้พบเจ้าครั้งแรกในนิวาสแห่งปัญญา ของมหาปุโรหิตปัณทรผู้เป็นพี่ชายเจ้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าค่อยๆ เข้ามาในหัวใจเราทีละน้อยจนเราไม่สามารถหักห้ามความรักที่มีต่อเจ้าได้ และละเมิดคำขอร้องมหาปุโรหิตด้วยการรับพรหมจรรย์ของเจ้าเอาไว้…ทำให้เจ้า ไม่สามารถรับตำแหน่งมหาเทวีแห่งปัญญาตามที่พี่ชายของเจ้าตั้งใจไว้ได้ และทำให้เรากับพี่ชายเจ้าขัดเคืองใจกันมาตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ … ในครั้งนี้พี่ชายเจ้าและข้าสามารถทำความเข้าใจกันได้ ข้าจึงไม่ต้องการทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง’

กระแสจิตที่กล่าวกับแก้วคำ พลันเปลี่ยนทิศทางมายังกองคำที่อยู่ด้านข้างเด็กสาว

‘ท่านมหาปุโรหิตปัณทรสหายข้า ครั้งนี้ข้าขออนุญาตจากท่านที่จะรับดวงจิตของน้องสาวผู้เป็นที่รักของเรา ทั้งสองมารวมกับวิญญาณข้า และเป็นหนึ่งเดียวกับข้าชั่วนิรันทร์ ท่านจะอนุญาตหรือไม่…’

ตลอดเวลาที่จิตในร่างไกรวิทย์ส่งเสียงสนทนากับแก้วคำ ใบหน้างดงงามราวสตรีของกองคำสงบนิ่งและรับฟังโดยไม่ส่งจิตเข้าแทรกการสนทนา จนจิตนั้นเปลี่ยนมาเอ่ยขออนุญาตด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนถึงความรักที่แน่วแน่ ทำให้กองคำต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความสะท้อนใจกับความผูกพันของทั้งสอง บุรุษผู้อยู่เหนือกาลเวลาถอนใจยาว ก่อนส่งจิตตอบ

‘สหายเก่า น้องสาวเราบรรลุภารกิจในชีวิตของนางแล้ว…การรวมจิตกับท่านเป็นความปราถนา ที่เราแม้จะไม่ตอ้งการให้เกิดขึ้นแต่เราก็ทราบดีว่าหากไกรวิทย์ไม่สามารถ หลุดพ้นจากจิตราสูญด้วยความช่วยเหลือของท่าน ทั้งท่านและไกรวิทย์ก็จะดับสูญไปตลอดกาล แก้วคำเองก็จะต้องทุกข์ทรมาณไปชั่วกาลเวลาอันเป็นอนันต์นี้…เอาเถอะ แก้วคำ ในเมื่อเป็นความปราถนาของน้องพี่…พี่ก็จะช่วยให้จิตของเจ้าเข้าผสานกับผู้ ที่เจ้ารัก จงหลับตาแห่งกายหยาบ เปิดจิตภายใน สงบใจให้มั่น รับสภาวะจิตที่เราจะสร้างให้เจ้าเดี๋ยวนี้….’

พร้อมกับจิตที่ส่งไป ร่างกองคำเคลื่อนเข้าหาเรือนร่างเปลือยเปล่าของแก้วคำเบื้องหน้า มือขาวสะอาดของผุ้ทรงปราณสุญญยตาวางลงบนศีรษะผู้เป็นน้องสาว ประกายแสงหลากสีสรรกลางหน้าผากหวุนวนเวียนอย่างเร่งร้อนและเปล่งประกายออก มานอกร่าง …ขณะที่ร่างแก้วคำเริ่มสลายกายเนื้อทีละน้อยจนเป็นกลุ่มหมอกเรืองรองในฝ่า มือกองคำ

‘สหายเก่าของข้า……เราของฝากน้องสาวผู้เป็นที่รักไว้กับท่านตราบนิรันดร์…ลาก่อน…’

จิตกองคำส่งเสียงขึ้นก่อนที่จะผลักดันหมอกเรืองแสงของจิตแก้วคำผ่านเข้าไปในม่านหมอกสีแดงของจิตราสูญเบื้องหน้า…

————————————–

แก้วคำเปิดเปลือกตาขึ้นหลังจากจิตผ่านเข้ามาสู่ภายในจิตราสูญ แต่แทนที่เด็กสาวจะกลับมาปรากฏร่างอยู่ที่ต้นไทรริมน้ำอันเป็นนิมิตรเดิมของ ไกรวิทย์ ภาพเบื้องหน้ากลับทำให้ดวงตาแก้วคำเบิกโพลงอย่างตกตะลึง แต่เพียงแว่บเดียว ความทรงจำในอดีตของสตรีผู้เป็นน้องสาวมหาปุโรหิตปัณทรก็ระลึกได้ว่าภาพ เบื้องหน้าคือสถานที่ใด…

มหาปราสาทตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา ความมหึมาของมันครอบครองพื้นที่แทบทั้งหมดของเนินเขาไว้ ปลายยอดหอคอยนับร้อยรายล้อมปราสาทกึ่งกลางส่วนยอดปราสาทปรากฏลูกกลมสีทอง สะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายสุกสว่างลอยนิ่งอยู่โดยปราศจากโครงสร้างใดรองรับ เสียงดนตรีที่ทำให้จิตใจสดชื่นดังกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ แต่ไม่ปปรากฏที่มาของเสียง มีเพียงเสียงน้ำในลำธารใดไหลรินอยู่เบื้องหน้า และสายลมเย็นสดชื่นที่พัดมากระทบร่างหญิงสาวแรกรุ่นเบาๆ ทำให้เสื้อผ้าพริ้วไหวจนทำให้หญิงสาวอดก้มลงมองลงไปในสายน้ำและพิจารณาภาพ ที่สะท้อนมาสู่สายตา

ใบหน้าสตรีสาวที่งดงงามเปล่างปลั่งด้วยวัยแรก สาวจ้องกลับมาจากเงาสะท้อนในลำธาร เรือนผมดำสนิทขยายคลุมไหล่กลมมนมาถึงกลางหลังและแผ่กระจายออกราวสายน้ำเมื่อ ต้องสายลม เรือนร่างงามประดับอาภรณ์สีขาวสะอาดที่บางเบาจนแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของ เนื้อผ้า และความบางเบานั้นเองที่ทำให้ภาพทรวงอกตูมตั้งราวดอกบัวแรกแย้มอวดความงาม ของนวลเนื้อเนียนอย่างเต็มที่ สายลมที่โชยมาไม่ขาดระยะพัดให้เนื้อผ้านั้นแนบกับร่างหญิงสาวจนทุกสัดส่วน ปรากฏชัดเจนไม่ว่าจะเป็นเอวคอดกิ่วที่ค่อยๆ ผายบานออกไปสู่สะโพกกลมกลึงที่ดูราวกับยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่หากสายตาผู้ใดสามารถมองทะลุเนื้อผ้าบางที่ปิดบังสัดส่วนลี้ลับกึ่งกลาง สะโพกของหญิงสาวเข้าไปได้ ก็จะพบกับเนินรักอูมอิ่มที่สองแคมอัดแน่นไปด้วยเลือดเนื้อวัยสาวจนคล้ายจะ ปริแตกออกได้ทุกขณะ

หญิงสาวพิจารณาภาพตนเองในลำธารอย่างประหลาดใจวูบหนึ่ง ก่อนที่ความทรงจำแห่งอดีตกาลเปิดตัวออก

‘ดารายัณ….เราคือดารายัณ…ที่นี่คือ….’

‘ถูกแล้ว เจ้าคือดารายัณที่รักแห่งข้า…ปราสาทเบื้องหน้าคือมหาปราสาทปฐวี หนึ่งในสี่มหาปราสาทแห่งอาณาจักรเทพ….’

ยังไม่ทันที่จิตหญิงสาวนามดารายัณจะส่งเสียงกับตนเองเสร็จสิ้น เสียงบุรุษเพศที่นุ่ทนวลแต่ทรงอำนาจก็ดังขึ้นพร้อมกับที่หญิงสาวรับรู้ได้ ถึงการสัมผัสของวงแขนแข็งแกร่งแต่นุ่มนวลโอบรอบเอวคอดกิ่วมาทางเบื้องหลัง มือข้างหนึ่งเลื่อนไล้ขึ้นมาตามลานหน้าท้องราบเรียบจนมาเกาะกุมทรวงอกเต่ง นอกร่มผ้าเอาไว้แล้วคลึงเคล้นความเต่งตึงอย่างทะนุถนอม

‘มหาเทพ..แก้ว…ดารายัณจำได้…ที่นี่คือสวนแห่งนิวาสน์ปราชญ์ บ้านของดรารายัณ และเป็นสถานที่ที่เราทั้งสองได้ร่วมรักกันเป็นครั้งแรกที่แท่นหินริมธาร นั้น…’

หญิงสาวส่งจิตตอบอย่างแผ่วเบา ขณะที่ลมหายใจเริ่มกระชั้นถี่ขึ้นเมื่อมือที่เคล้าคลึงเต้านมเต่งสอดผ่าน เนื้อผ้าที่ปกคลุมร่างเข้าไปยังนวลเนื้อแท้ๆ ภายใน หญิงสาวก้มลงมองมือที่ซุกซนนั้นแต่ภาพที่เห้นกลับมีแต่ร่องรอยเนื้อผ้าที่ ถูกแหวกออก และเต้านมที่สั่นไหวไปตามสัมผัส โดยไม่ปรากฏภาพของมือใดๆ ให้เห็น แต่จิตของดารายัณที่เนื้อแท้คือจิตของแก้วคำก็หาได้แปลกประหลาดใจอันใด เนื่องจากการอยู่ร่วมกับผู้บรรลุปราณสุญญตาเช่นกองคำมาโดยตลอดทำให้แก้วคำ ทราบดีว่าบุรุษผู้กำลังเล้าโลมร่างจิตกายของตนเองนั้น เป็นสัมผัสจากจิตแห่งความทรงจำของบุรุษผู้สถิตย์ในจิตของไกรวิทย์ และจิตนั้นปราศจากพลังชีวิตที่จะก่อเกิดรูปร่างขึ้นมา สัมผัสที่หญิงสาวได้รับคือการหล่อหลอมจิตจนทำให้สามารถรับรู้ความทรงจำใน อดีตอันไกลโพ้น สร้างเป็นสถานที่แห่งความทรงจำขึ้นมาเป็นสื่อสำหรับการเชื่อมโยงจิตในขั้น ต่อไป

เต้านมเต่งของแก้วคำหรือในสภาพจิตของดรารายัณสั่นระริก เมื่อรับรู้ถึงสัมผัสของปลายนิ้วที่บี้คลึงหัวนมบนยอดอกอย่างนุ่มนวล ปลุกเร้าสัมผัสจนหญิงสาวต้องส่งเสียงหอบกระชั้นถี่ ร่างงงามดูราวกับไร้พลังในการทรงตัวต่อไป จนทำให้ร่างที่ไร้รูปกายของบุรุษที่กอดรัดอยู่เบื้องหลังต้องช้อนร่างงาม ขึ้นในอ้อมแขนและเดินตรงไปข้างหน้าก่อนวางร่างที่กำลังตกอยู่ใมนอารมณ์รัก ของดารายัณลงบนอาสนะหินขัดมันวาววับที่ตั้งอยู่ริมลำธาร

‘ที่นี้เอง….แก้ว แก้วจำได้แล้ว….อืมห์’

ทันที่ที่แผ่นหลังของแก้วคำสัมผัสพื้นหินอาสนะ หญิงสาวก็ส่งจิตครางออกมาเบาๆ ความทรงจำในร่างย้อนกลับไปครั้งอีตต ถึงวันที่เด็กสาวแรกแย้มผู้กำหนดให้รับตำแหน่งมหาเทวีแห่งปัญญาผู้จะทำ หน้าที่ชี้ให้คำปรึกษากิจการของมหาอาณาจักรเทพต่อไป กลับตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและมอบร่างกายให้กับบุรุษเดียวที่เด็กสาว บูชามาตั้งแต่จำความได้ ณ อาสนะริมลำธารแห่งนี้

‘ณ ที่นี้ ดารายัณของข้า ยอมฝ่าฝืนข้อกำหนดแห่งพรหมจรรย์ของมหาเทวี และมอบร่างกายที่งดงามให้กับข้า…ความงามและความหอมหวานของเจ้าตรึงอยู่ใน ความทรงจำของข้ามาตลอด..’

‘มหาเทพ…ดารายัณจะไม่ยอมมอบร่างกายให้ท่านได้อย่างไร ในเมื่อท่านเล้าโลมดารายัณแบบนี้…อูว์’

มือที่ไร้ร่างเลื่อนไล้ลงไปยังชายผ้าด้านล่างของหญิงสาว ก่อนลูลไล้สวนกลับขึ้นมาใต้เนื้อผ้า จนประกอบเข้ากับความอิ่มอูมของเนินนูนอวบที่กำลังหลั่งรินน้ำรักออกมาเป้ นสาย นิ้วที่ปราศจากร่างแทรกผ่านเข้าไประหว่างสองแคมอิ่ม กดลึกเข้าไปจนเจ้าของเนินรักต้องแอ่นสะโพกขึ้นสูงรับการรุกรานนั้น

‘อาห์….มหาเทพ…ดารายัณ…ตะ ต้องการ….ท่าน….ต้องการควยท่าน…’

ริมฝีปากอวบอิ่มของหญิงสาวรับรู้ถึงริมฝีปากที่ประกบแนบแน่น ลิ้นโปร่งใสไร้ร่างเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเรียวเล็ก หน้าอกเต่งถูกร่างไร้สภาพทาบทับด้านบน สองแขนแก้วคำผุ้ครองจิตแห่งความทรงจำของดารายัณโอบกระชับรอบแผ่นหลังบุรุษ ผู้ไร้กายไว้แน่น พร้อมกับรับรู้ว่าสองขาถูกมือที่มองไม่เห็นผลักให้แยกออกจากกัน ชายผ้าบางเบาที่ปกคลุมท่อนล่าวถูกเลิกขึ้นมาอยู่ที่เอว สองแคมอวบเบื้องล่าวเริ่มแยกออกจากกันเมื่อแก่นเนื้อถูกกดผ่านลงมาอย่างนุ่ม นวลและค่อยมุดตัวลงไปในความคับรัดรึงของหลืบเนื้อสาวภายในจนสุด

‘มหาเทพ มหาเทพที่รักของดรารายัณ….มัน..มัน เข้าไป เข้าไปในหีหมดแล้ว….อาห์…’

‘ดารายัณผู้เป็นที่รักของข้า..ข้าจำได้เสมอถึงความอบอุ่นในร่างกายเจ้า…หีเจ้าตอบรับข้าดังเช่นที่เคยเป็นมา….อูว์….’

‘มหาเทพ….ยะ ยะ อย่าเพิ่งกระเด้า….ดะ ดารายัณ…อ๊าว…’

หญิงสาวผู้ครองจิตแห่งอดีตกาลครางออกมาด้วยความเสียว เมื่อบุรุษผู้ไร้กายดึงแก่นเนื้อไร้รูปขึ้นมาจนเกือบหลุดพ้นสองแคม และกดสวนกลับลงไปจนสุดในคราวเดียว และเริ่มทำซ้ำต่อเนื่อง กลืบเนื้อภายในร่องรักเด็กสาวบดเบียดแก่นเนื้อที่บุกรุกเข้ามาแน่นสนิท เม็ดเสียวถูกบดบี้จากแรงเสียดสีจนแข็งตัวเพิ่มพื้นที่การสัมผัส ยิ่งเพิ่มความเสียวในร่องหลืบจนแก้วคำต้องยกขาขึ้นเกี่ยวรอบเอวเจ้าของแก่น เนือ้ไว้แน่น พร้อมกับกระเด้วงสะโพกเต่งตึงรับการกระแทกเข้าออกอย่างเต็มที่

‘ดารายัณ….ความหอมหวานของเจ้า…..ข้าขอรับไว้อีกครั้ง…’

‘มหาเทพที่รักของข้า..ร่างกายนี้ จิตนี้ วิญญาณนี้ ล้วนเป็นของท่าน มอบความรักให้ดารายัณเดี๋ยวนี้ เย็ดดารายัณตามที่ท่านปราถนา…อาห์..สะ เสียว….จะ ใจจะขาด….ซีดส์’

แก่นเนื้อไร้ร่างกระเด้าร่องรักแก้วคำถี่ยิบ สองแคมเต้นระริกรับการร่วมรัก ดวงหน้างามของแก้วคำสะบัดส่ายไปมาบนอาสนะหิน ริมฝีปากอ้ากว้างส่งเสียงหอบกระชั้น…

‘มหาเทพ…ดารายัณ…ดาราญัณ…อ๊าวส์…..’

‘ที่รักของข้า…หีเจ้า.. เจ้า….อาห์’

กระแสพลังอบอุ่นขุมหนึ่งระเบิดออกจากแก่นเนื้อของร่างไร้กายเข้าสู่ร่างแก้ว คำเป็นระลอก หญิงสาวหลับตาพริ้มรับความเสียวสุดยอดและกระแสพลังที่ถั่งโถมเข้ามาวนเวียน ในร่าง ก่อนส่งจิตแผ่วเบา

‘มหาเทพ…รับชีวิตของสตรีที่รักท่านเอาไว้ด้วย….’

‘ดารายัณ…ที่รักแห่งข้า เจ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกับข้าตลอดไป…’

จักรปราณในร่างแก้วคำเริ่มสลายตัวเองด้วยอำนาจพลังชีวิตที่หญิงสาวปลดปล่อย ออกจากร่าง มวลพลังถูกดูดซับอย่างรวดเร็วเข้าสู่จิตแห่งความทรงจำของบุรุษร่วมรัก เพียงชั่วครู่ ร่างเปลือยงดงามของแก้วคำเริ่มเปล่งแสงสีขาวนวลออกมา ขณะที่ผิวกายของหญิงสาวกลับเปลี่ยนเป็นโปร่งใส พร้อมกับร่างโปร่งใสบุรุษเพศชายร่างเปลือยเปล่าปรากฏขึ้นเหนือดวงแสงที่เคย เป็นร่างของแก้วคำ ร่างนั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อย ไม่นานนักดวงแสงเบื้องล่างที่เคยเป็นร่างของดารายัณก็สลัวลงจนเหลือแต่เพียง วงแสงเล็กๆ ปกคลุมอวัยวะเพศชายที่ยังคงความแข็งแรงชูชันเอาไว้ ขณะที่จิตสุดท้ายที่ยังคงความเป็นแก้วคำและดารายัณดังขึ้นในจิตของบุรุษนั้น

‘ในที่สุด…ดารายัณจะเป็นของท่านชั่วนิรันดร์….’

‘เช่นเดียวกับข้าที่จะมีเจ้าอยู่ในชีวิตตลอดกาล…’

แสงสุดท้ายที่เคยเป็นจิตของแก้วคำถูกดูดซับเข้าสู่ร่างบุรุษที่ยืนนิ่ง สงบอยู่เหนืออาสนะหิน ดวงตาของบุรุษผู้สถิตในร่างไกรวิทย์เหม่อมองภาพมหาปราสาทและทัศนียภาพรอบตัว ราวกับจะซึมซับความงดงามรอบตัวเอาไว้ ก่อนที่ดวงตาทรงอำนาจนั้นจะปิดลงพร้อมกับภาพรอบข้างที่เลือนหายไป กลับปรากฏภาพของต้นไทรใหญ่ริมลำธารอันเกิดจากจิตของไกรวิทย์ที่ถูกกักอยู่ใน จิตรสูญมาแทนที่ ดวงตาของบุรุษผู้ทรงอำนาจเปิดขึ้นอีกครั้งและพบร่างเปลือยของไกรวิทย์นอน เหยียดยาวอยู่บนพื้นดิน บุรุษผู้ก่อร่างขึ้นมาใหม่เดินมาพิจารณาใบหน้าของไกรวิทย์ที่ยังคงอยู่ใน นิทรารมณ์ ขณะที่ถ้อยคำของกองคำในความทรงจำดังขึ้นในจิต

‘หากจิตแห่งความทรงจำในร่างไกรวิทย์ได้ผสานกับพลังชีวิต ก็จะสามารถใช้พลังนั้นปิดกั้นจิตของไกรวิทย์จากภายในด้วยพลังของตัวเอง และเมื่อปราณจิตราสูญไม่พบจิตของไกรวิทย์ แต่กลับพบจิตอื่นที่ไม่ใช่เป้าหมายแทนที่ จิตราสูญจะถือว่าหน้าที่เสร็จสิ้นลงเมื่อไม่พบจิตที่มันโจมตีอีกต่อไป พลังของมันก็จะถอนกลับไปสู่เทวนารีแห่งราศีตุลย์ผู้เป็นเจ้าของ และเปิดช่องให้จิตของไกรวิทย์กลับมาสู่ร่างได้’

จิตที่อ่อนโยนของบุรุษเบื้องหน้าไกรวิทย์ ส่งเสียงรำพึงกับตนเอง

‘ที่นี่คืออดีตที่ไร้จุดหมาย อดีตที่มีแต่ความทุกข์ซึ่งไกรวิทย์ไม่ควรจะต้องติดอยู่กับความทรงจำนี้อีกต่อไป’

บุรุษผู้สถิตย์จิตในร่างไกรวิทย์สูดลมหายใจลึก ก่อนที่ร่างนั้นจะสลายตัวเป็นละอองเข้าครอบคลุมร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่ เบื้องหน้า ประกายสีขาวสว่างขึ้นและระเบิดออกโดยไร้เสียง พร้อมกับภาพของสถานที่แห่งความทรงจำในอำเภอคลองน้อยของไกรวิทย์หายวับไป

——————————–
ท่าม กลางความมืดมิดของมิติไร้กาล ดวงตากองคำจับจ้องภาพลูกกลมจิตของไกรวิทย์ที่ถูกปกคลุมด้วยประกายแสงสีแดง ของจิตราสูญ ริมฝีปากบางได้รูปราวอิสตรีเผยอยิ้มเล็กน้อย เมื่อพบว่าจิตส่วนนอกของไกรวิทย์ที่ถูกกักไว้ในจิตราสูญสลายตัวลง โดยมีลูกกลมแสงโปร่งใสปกคลุมจิตชั้นในที่เป็นเนื้อแท้ของดวงจิตไกรวิทย์เอา ไว้ ประกายแสงสีแดงของจิตราสูญพลันหมุนวนรอบลูกกลมแสงโปร่งใสอย่างรวดเร็ว ก่อนกลับกลายเป็นมวลปราณจิตเจิดจ้าและสลายวับไป พร้อมกับที่ลูกกลมโปร่งใสค่อยๆ หดตัวไปผสานกับจิตไกรวิทย์ จนหลงเหลือดวงแสงจิตขาวกระจ่างสว่างอยู่ทามกลางความมืดแห่งมิติเหนือกาลเวลา และสลายวูบไปอย่างรวดเร็ว ภาพเบื้องหน้าทำให้กองคำส่งเสียงรำพึงกับตัวเองเบาๆ

‘สหายเก่า จิตของท่านที่ทรงพลังชีวิตของดารายัณผู้เป็นน้องสาวเราจะส่งผลใดต่อความทรง จำของไกรวิทย์ เราเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้….จักรวาลนี้ขึ้นอยู่กับพวกท่านแล้ว’

ร่างกองคำซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่คงเหลืออยู่ในมิติเหนือกาล ค่อยๆ รางเลือนลงจนหายไปในที่สุด ความว่างเปล่ากลับมาครอบคลุมมิติที่ไร้ทุกสิ่งไว้อีกครั้ง
—————————-

‘ว่ากระไร….’

‘ปะ เป็นไปไม่ได้….’

จิตตุลยาเทวีและนารีธนูเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ดวงตาหญิงสาวทั้งสองเบิกดพลงจับจ้องร่างเด็กหญิงวัยไม่เกิน 14 ปีเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนที่ตุลยาเทวีจะแค่นเสียงหัวเราะออกมา

‘เฮอะ…เป็นเจ้าบังอาจกล่าวเหลวไหลต่อหน้าเรา…โหราทาสผู้ทรยศมีอายุกว่า ร้อยปี ร่างกายเหี่ยวย่น ผิวทั้งร่างเป็นสีขาวด้วยโรคร้าย เจ้ารู้ชื่อนี้จากที่ใด เรามั่นใจว่าข้างกายเจ้าต้องมีผู้ทรยศแห่งจักรราศีแฝงตัวอยู่และเปิดเฝยความ ลับ นี่จึงเป็นเหตุให้เจ้าสามารถกล่าวความลับแห่งจักรราศรีจนเราหลงตระหนก..แต่ เจ้าผิดพลาดที่แอบอ้างตนเป็นโหราทาสที่เรารู้จักดี…เจ้าไม่รู้หรอกว่าที่ แท้แล้วโหราทาสคือ….’

‘โหราทาสคือจานีส ธิดาคนโตของอดีตประมุขมหิทราผู้ล่วงลับ ตุลยาเทวีนับตามศักดิ์แล้วท่านเป็นเพียงเหลนของเราเท่านั้น….เจ้าคงยังไม่ ลืมวันที่เด็กหญิงวัย 12 เข้ามาหาโหราทาส หลังจากที่เด็กหญิงคนนั้นเข้ามาในจักรราศีได้ไม่กี่วัน นางได้บอกเล่าคำทำนายชะตาชีวิตที่นางได้รับจากตระกูลให้โหราทาสช่วยหาทาง แก้ไข …คำทำนายนั้นคือ….รุ่งโรจน์เหนือผู้ใด หัวใจไร้เมตตา จิตคลุมฟ้าดิน ทุกสิ่งจะสิ้นสลาย เมื่อพบผู้ทำลายมายา เผชิญหน้ากับตนเอง… นี่คือคำทำนายกำหนดชีวิตของท่านใช่หรือไม่…’

จิตของจานีสทำให้ร่างในผ้าคลุมสีเทาของตุลยาเทวีสั่นเทิ้ม ก่อนส่งจิตสั่นสะท้านออกมา

‘เจ้า เจ้า เจ้าคือโหราทาสจริงๆ เป็นไปได้อย่าวไรกัน…’

‘ตุลยาเทวีสงบใจไว้ กริยาของท่านเช่นนี้นับเป็นเทวนารีแห่งจักราศีได้อย่างไร…’

จิตที่สงบราบเรียบของนารีธนูดังขึ้นในจิตตุลยาเทวี ก่อนที่เทวนารีแห่งราศีธนูจะเคลื่อนร่างต่ำลงมาที่พื้นดินและส่งจิตสำรวมไป ยังจานีส

‘ผู้เฒ่าโหราทาส อภัยที่เราจำท่านไม่ได้…แต่ตามที่ท่านบอกมาว่าท่านฟื้นชีวิตอีกครั้งด้วย ปราณแห่งมหาเทพวิรุณปักขะ..นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน…มหาเทพผู้นั้นสูญจิตไป กว่าหมื่นปี และถึงแม้ปราณแห่งมหาเทพยังคงอยู่ ก็ไม่มีอำนาจใดที่จะฟื้นคืนชีวิตแก่มนุษย์ได้…มีแต่เพียงพลังชีวิตดแห่ง เผ่าพันธ์มังกรที่สิ้นสูญไปแต่โบราณเท่านั้น ที่ทรงอำนาจในการก่อกำเนิดใหม่..สิ่งที่ท่านกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้แม้แต่ น้อย…’

‘เรอินะ…ทุกสิ่งที่เจ้าเรียนรู้มานั้นหาใช่ที่สุดแห่งความลับของจักรวาล ไม่ เราเชื่อว่าเจ้าเองก็คงไม่รู้ว่าประตูวงกลมเบื้องหลังเรานี้คือสิ่งใด และเหตุใดเทพสุรัสวดีจึงมอบหมายแต่เพียงตุลยาเทวีให้มาเฝ้าดูแล…’

จิตของจานีสส่งออกไปยังนารีธนูอย่างแผ่วเบา แต่นำเสียงเริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ จนทำให้นารีธนูต้องก้าวเข้าไปประชิดร่งจานีสและจับมือเรียวบางที่ไร้สีเลือด ของจานีสขึ้นมาเพื่อถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป

‘ท่านผู้เฒ่า..ท่าจะบอกให้เรอินะได้ร่วมรับรู้ได้หรือไม่…หากว่า…’

นารีธนูส่งจิตอ่อนโยนกับจานีส แต่ก่อนที่จะส่งจิตเสร็จสิ้น เสียงตวาดทางจิตของตุลยาเทวีกดังขึ้นทางเบื้องหลัง

‘เรอินะ…สตรีนางนี้คือโหราทาสผู้ทรยศ เหตุใดเจ้าจึงช่วยเหลือฟื้นฟูปราณให้มัน แทนที่จะสังหารตามบัญชาแห่งเทพสุรัสวดี..’

ใบหน้ารูปไข่ขาวกระจ่างของนารีธนู เบือนกลับไปยังร่างตุลยาเทวีที่ยังคงลอยอยู่เหนือพื้นถ้ำ

‘พี่จานีน…เราจำได้ว่าโหราทาสผู้ทรยศนั้นดับสิ้นแล้วด้วยการลงโทษของเทพ สุรัสวดี บัญชาให้ธิดามังกรฟ้าทิ้งร่างนางลงไปในบ่อมังกรเทวะของสำนักมังกรฟ้า…ใน เมื่อนางสิ้นชีวิตลงโทษทัณฑ์ทุกสิ่งก็เป็นอันยุติ…การกำเนิดใหม่ของนางใน ร่างเด็กหญิงผู้ไร้ปราณนี้ แม้เราจะยังไม่เข้าใจ แต่เราก็รู้ว่าคำสั่งประหารนางนั้นไม่ครอบคลุมมาถึงการกำเนิดใหม่แน่นอน.

นารีธนูสวนจิตกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง พร้อมกับรับรู้ถึงปราณจิตมหาศาลของตุลยาเทวีที่สลายไปชั่วคราวจากคำพูดที่ น่าแตกตื่นของจานีส กลับเข้าล้อมรอบร่างอีกครั้ง

‘เรอินะ..เจ้ากล้าตีความกฎเทพเจ้า ฝ่าฝืนคำสั่งเทพสุรัสวดี….เราอยากรู้นักว่าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร หากเรากล่าวหาเจ้าต่อหน้าจักรราศี..’

‘กฎเทพเจ้าแห่งจักราศีหามีสิ่งใดต้องตีความไม่ ทุกสิ่งกระจ่างชัด ท่านต่างหากที่พยายามหลบเลี่ยงโดยอ้างบัญชาแห่งเทพสุรัสวดี …เฮอะ…ปราณจิตของท่านที่ครอบคลุมร่างเราอยู่นี้นับว่าเป็นเจตนามุ่ง ร้ายอย่างแน่ชัดว่าท่านยังคงต้องการสังหารเด็กหญิงนางนี้ … แต่นั่นคือสิ่งที่เราไม่สามารถอนุญาตให้ท่านทำได้’

นารีธนูถอนมือจากการถ่ายทอดปราณให้จานีส พร้อมส่งจิตตอบโต้และหันกลับไปเผชิญหน้าตุลยาเทวี…ขณะที่จิตอ่อนล้าของจานีสดังขึ้น…

‘ท่านตุลยาเทวีต้องการฆ่าน้องพิมทั้งที่นางยังเป็นเด็กหญิงวัยเพียง 8 ปี..แต่นั่นกลับทำให้เรารู้แล้วว่าเหตุใดท่านจึงต้องการสังหารนาง….เมื่อ ครู่ที่ท่านต่อสู้กับพี่เอ…เอ้อ…ท่านไกรวิทย์…เราก็เริ่มสงสัยแล้วว่า เหตุใดท่านจึงสามารถหลุดรอดจากตาข่ายของกาฬปราณที่ไร้ช่องว่างออกมาได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็รับรู้ว่าสายตาของน้องพิมผู้นี้ไม่เคยจับจ้องที่ร่าง ท่านเลย เมื่อพิจารณาประกอบกันเรามั่นใจแล้วว่าน้องพิมคือผู้ที่….’

‘บัดซบ…โหราทาสเจ้ากล้า….จงแหลกสลายไปเสียเถอะ….’

ตุลยาเทวีส่งเสียงตวาดอย่างโกรธแค้นสุดขีด ร่างในผ้าคลุมสีเทาโผพึ่งขึ้นสู่อากาศ และใช้ท่วงท่ากระแสปราณที่เกรี้ยวกราดสุดขีดโหมกระหน่ำเข้าหาจานีสจากด้าน ข้างที่ว่างเปล่า ฝ่ามือเรียวงามที่โผล่พ้นออกจากชายผ้าทั้งสองข้างกดมวลปราณกระหน่ำลงหาจานีส

‘ตุลยาเทวี…ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี้ยังมีเราอยู่ด้วย…’

นารีธนูตวาดก้อง สองมือประกบกันแล้วแยกออกก่อเป็นม่านปราณไร้สภาพป้องกันร่างจานีสที่เบื้อง หลังเอาไว้ แต่แทนที่กระแสปราณจะกระหน่ำลงมาจากเบื้องบน นารีธนูก็ต้องใจหายวูบเมื่อพบว่ากระแสปราณที่เกรี้ยวกราดสุดขีดกลับพุ่งเข้า หาจานีสจากด้านข้างที่ปราศจากม่านพลังป้องกัน จนทำให้จิตนารีธนูต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ

………….บรึม………………

เสียงปราณปะทะกันดังกึกก้องจนถ้ำกว้างใหญ่สั่นสะเทือน ฝุ่นที่เคยเป็นร่างของมนุษย์นับพันในอดีตปลิวคละคลุ้งจนไม่สามารถเห็นภาพที่ เกิดขึ้น…พร้อมกับเสียงตวาดของบุรุษเพศดังขึ้นในจิตของนารีธนูและตุลยา เทวี

‘มันผู้ใดบังอาจทำร้ายจานีสผู้เป็นที่รักของเรา….เราไม่อนุญาตให้มันมีชีวิตสืบต่อไป’

———————————-

สติสัมปชัญญะกลับสู่ร่างผมอย่างช้าๆ ขณะเสียงตวาดทางจิตที่กึกก้องไปอากาศดังมากระทบจิตผม

‘บัดซบ…โหราทาสเจ้ากล้า….จงแหลกสลายไปเสียเถอะ….’

‘ตุลยาเทวี…ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี้ยังมีเราอยู่ด้วย…’

ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นและส่งเสียงระบายลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา หูผมพลันได้ยินจิตที่อ่อนล้าสุดขีดส่งเสียงอุทานออกมา พร้อมกับมือที่เย็นเฉียบของจานีสเอื้อมมากุมมือผมไว้

‘พี่เอ…พี่เอ…’

สัมผัสที่เย็นยะเยียบของมือจานีส ทำให้จิตผมสั่นสะท้านและรีบส่งกระแสปราณเข้าตรวจสอบร่างกายเด็กสาว สิ่งที่ปราณผมได้รับรู้ก็คือจักรชีวิตทั้งสี่ของจานีสแหลกสลายสิ้น เส้นชีพจรทั้งหมดฉีกขาดออกจากกันจนไม่สามารถส่งกระแสโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่าง กายได้ สิ่งที่ทำให้จานีสยังคงชีวิตอยู่ได้มีเพียงปราณบริสุทธิ์ขุมหนึ่งที่รวมตัว กันอยู่ที่ศูนย์กลางร่างกาย แต่มันก็อ่อนล้าลงจนแทบจะสลายตัวไปได้ทุกขณะจิต ผมรีบส่งปราณบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยพลังชีวิตจากผลึกมังกรอัคคีเข้าสู่ปราณ ขุมนั้น จนมวลปราณเริ่มผนึกตัวและค่อยๆ กระจายออกไปสู่เส้นเลือด แต่ก่อนที่ผมจะเริ่มเร่งเร้าพลังรักษาเด็กสาว..จิตผมสัมผัสได้ถึงพลังปราณ ที่กราดเกรี้ยวรุนแรงแทบทัดเทียมกับพลังมังกรวิบัติของเซี่ยวเล้งผู้เคยเป็น ธิดามังกรฟ้า กระหน่ำเข้าหาร่างจานีส ผมรีบถอนปราณออกจากร่างเด็กสาว กาฬปราณในร่างถูกผนึกขึ้นในชั่วพริบตาก่อนระเบิดพลังออกไปต้านทานการโจมตี ที่กราดเกรี้ยวสุดขีดนั้น

……………บรึม……………….

กาฬปราณที่ทรงอานุภาพกระแทกรับปราณที่มุ่งสังหารจานีสก่อนที่จะกระทบร่าง เด็กสาวเพียงเสี้ยววินาที แรงปะทะทำให้เกิดเสียงระเบิดกึกก้อง ปลายพลังที่ม้วนกระจายออกรอบด้านกดดันให้ฝุ่นผงที่ปกคลุมทั่วถ้ำกระจายเป็น หมอกคละคลุ้ง ผมช้อนร่างจานีสให้นั่งลงในท่าขัดสมาธิ ก่อนลุขึ้นยืนตระหง่าน และส่งจิตคำรามด้วยความโกรธสุดขีด

‘มันผู้ใดบังอาจทำร้ายจานีสผู้เป็นที่รักของเรา….เราไม่อนุญาตให้มันมีชีวิตสืบต่อไป’

ปราณในร่างผมกระจายไปทั่วร่างด้วยพลังที่ดุดันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ผมอดตระหนกกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่ามวลปราณในร่างถูกกระตุ้นด้วยพลังบางประการที่อยู่เหนือการ ควบคุม ภาพลางๆ ที่ดูคล้ายจะเป็นปราสาทขนาดมหึมาปรากฏขึ้นลางเลือนในความทรงจำแต่แล้วก็พลัน สูญสลายไปอย่างไร้ร่องรอย จิตส่วนหนึ่งของผมวนเวียนไปมาราวกับเกิดสิ่งใดขึ้นในห้วงที่ผมหมดสติไปจาก การโจมตีของตุลยาเทวี แต่ในความทรงจำผมกลับไม่ปรากฏสิ่งใดหลงเหลือแม้แต่น้อย….

‘ไกรวิทย์ คชสีห์…เป็นไปไม่ได้ ท่านพ้นจากจิตราสูญได้อย่างไร…’

จิต สั่นสะท้านของตุลยาเทวีปลุกผมจากความงุนงงขอิงความทรงจำที่ติดค้างอยู่ในใจ ผมขจัดความคิดทั้งปวงออกจากสมอง ดวงตาพิจารณาภาพที่ปรากฏหลังฝุ่นที่เกิดจากการประทะปราณจางลง และต้องสะท้านใจอย่างรุนแรงเมื่อพบว่าเบื้องหน้านั้นนอกจากจะมีร่างของตุลยา เทวีที่ลอยอยู่กลางอากาศแล้ว บนพื้นถ้ำยังปรากฏร่างของเด็กสาววัยไม่เกิน 17 ปี สตรีงามในเกราะปราณสีส้มเจิดจ้าปกคลุมสัดส่วนสงวนของสตรี แต่เกราะนั้นไม่สามารถปกปิดเรือนร่างงดงามขาวเปล่งปลั่งที่แทบจะเปลือยเปล่า อยู่เบื้องหน้าสายตาผม ดวงตากลมโตของเด็กสาวจับจ้องใบหน้าผมอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา ด้วยแววตาที่ทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าเคยเห็นมาก่อนในที่ใดที่หนึ่ง แต่ด้วยการมาปรากฏกายในเกราะปราณที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งเทวนารี ผมก็อดสะท้านใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าเด็กสาวเบื้องหน้าต้องเป็นหนึ่งในเทวนารี แห่งจักราศีอย่างแน่นอน

‘ท่านเองหรือคือไกรวิทย์ คชสีห์ ผู้เป็นศัตรูลำดับแรกแห่งจักราศี….ล้ำเลิศนักที่แม้กระทั่งจิตราสูญอันไร้ ผู้ต้านทานยังไม่สามารถกักจิตท่านได้…’

ดวงตาของเด็กสาวแรกรุ่นยัง คงส่งประกายเจิดจรัส ขณะส่งจิตนุ่มนวลมาให้ผมราวกับเป็นการสนทนากับเพื่อนที่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ผมทราบดีจากการต่อสู้กับตุลยาเทวีเมื่อครู่ว่าน้ำเสียงนุ่มนวลของเหล่าเท วนารีนั้นไม่ได้หมายความถึงการเป็นมิตรแต่อย่างใด ผมสูดลมหายใจลึก ปราณทั่วร่างกระจายออกเป็นเกราะป้องกันว่า ก่อนส่งจิตตอบด้วยถ้อยคำของผู้ทรงปราณ

‘เราคือไกรวิทย์ ผู้สืบทอดแห่งตระกูลคชสีห์..ท่านเทวนารีคือผู้ครองราศีใดในจักรราศี’

ดวงหน้างามคมคายของเด็กสาวเบื้องหน้าผมยิ้มเล็กน้อย จนผมอดสะท้านใจไปกับความงามสดใสไม่ได้ แต่ก่อนที่เทวนารีผู้มาใหม่จะส่งจิตตอบ…จิตที่แผ่วเบาของจานีสก็ดังขึ้น

‘พี่เอ…นางคือเรอินะ..ผู้ครองชื่อนารีธนู มื่อครู่นางเป็นผู้ช่วยชีวิตจานีสกับน้องพิมเอาไว้จากการทำลายล้างของตุลยาเทวี….’

‘อะ อะไรนะ…’

ผมอดอุทานออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้เมื่อรับรู้ว่านารีธนูผู้เป็นเทวนารี แห่งราศีธนูกลับเป็นฝ่ายช่วยเหลือจานีสและน้องพิม และนั่นหมายความว่าเสียงตวาดทางจิตที่ผมได้ยินก่อนที่สติจะกลับสู่ร่างอย่าง สมบูรณ์นั้น คือเสียงของสองเทวนารีที่กำลังเผชิญหน้ากันเอง…แทนที่จะร่วมกันทำลายล้าง ตระกูลคชสีห์

“พี่เอ…พี่เอ…”

เสียงเล็กๆ ของน้องพิมดังขึ้น ทำให้สมาธิผมสั่นคลอนไปชั่วขณะ และรับรู้ได้ทันทีว่าปราณจิตของตุลยาเทวี ยังคงแผ่กระจายอยู่รอบกายผม จนทำให้ผมต้องระงับความตั้งใจที่จะไปดูแลน้องพิมเอาไว้อย่างยากเย็น…

“น้องพิม….ถอยไปที่หน้าประตูทางเข้าสู่ศิลาปฏิสารก่อน พี่จะจัดการสองคนนี้เอง…’

‘จานีส อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง..’

‘พี่เอไม่ต้องห่วงจานีส…จานีสพอจะเคลื่อนไหวร่างกายได้บ้างแล้ว…’

‘ถ้าอย่างนั้นจานีสกับน้องพิมถอยไปอยู่ที่หน้าประตูนั้นก่อน….ระวังตัวให้ดี..’

ผมส่งเสียงบอกน้องพิมและส่งจิตสอบถามอาการจานีสไปพร้อมกัน ขณะที่เริ่มถอยกายไปคุ้มครองให้ทั้งสองเคลื่อนย้ายไปยังลานหินหน้าม่านปฏิ สารเพื่ออาศัยผนังถ้ำเป็นหลักในการต่อต้านสองเทวนารีที่ทรงปราณเหนือโลกทั้ง สอง แม้ผมจะหันกลับให้ศัตรูทั้งสองแต่ปราณในร่างผผมรับรู้ได้ตลอดเวลาว่าความ เคลื่อนไหวของผมไม่ทำให้ตุลยาเทวีและนารีธนูเปลี่ยนแปลงปฏิกริยาใด มีเพียงดวงตาของทั้งสองจับจ้องการเคลื่อนไหวของผมตลอดโดยไม่ยอมให้คลาดจาก สายตาเท่านั้น

ทันทีที่จานีสและน้องพิมเคลื่อนย้ายร่างไปอยู่ที่ลานหินเสร็จสิ้น ผมก็หันกลับไปเผชิญหน้าตุลยาเทวีและนารีธนู ก่อนส่งจิตราบเรียบออกไป

‘เรารู้ดีว่าจักรราศีจะไม่ยอมละเว้นตระกูลคชสีห์อย่างแน่นอน…แต่สตรีทั้ง สองนางนี้แม้จะอยู่ในตระกูลคชสีห์ แต่พวกนางล้วนปราศจากปราณ ท่านเทวนารีทั้งสองจะยินยอมละเว้นชีวิตให้พวกนางได้หรือไม่’

‘ตระกูลคชสีห์ต้องดับสูญ…ไม่เว้นแม้แต่ผู้ไร้ปราณ นี่คือบัญชาแห่งเทพ’

‘ท่านไกรวิทย์ไม่ต้องกังวล แม้ท่านจะเป็นศัตรูที่เราจำเป็นต้องสังหาร แต่สองนางนี้เราสัญญากับท่านว่าเราจะปกป้องพวกนางด้วยชีวิตของเราเอง…’

ตุลยาเทวีและนารีธนูส่งจิตออกมาพร้อมกัน ก่อนที่จะหันไปสบตาอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อรับรู้ว่าการตัดสินใจต่อชีวิตของจานีส และน้องพิมนั้นแตกต่างกัน…ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทำให้ตุลยาเทวีอึ้งไป ชั่วขณะ.. ก่อนส่งจิตกับนารีธนู

‘ดูท่าเรากับนารีธนูท่านคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ แต่เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถอะ..เบื้องหน้าเราคือไกรวิทย์ คชสีห์ ผุ้ที่เทพสุรัสวดีมีคำสั่งให้สังหารในทันทีที่พบ..นารีธนูท่านจะตัดสินใจ เช่นไร’

คำถามของเทวนารีแห่งราศีตุลย์ทำให้ดวงหน้างามของนารีธนูสะท้อนความสับสนออกมาแว่บหนี่ง ขณะส่งจิตตอบ

‘หากตุลยาเทวีท่านหมายความถึงความดีความชอบที่ท่านจะได้รับจากเทพสุรัสวดี …เรานารีธนูไม่ขอข้องเกี่ยวด้วย ท่านวางใจที่จะต่อสู้กับท่านไกรวิทย์ได้อย่างเตมที่ เราจะไม่สอดแทรกเข้าไป แต่หากท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้…เราจะรับหน้าที่ในการสังหารท่านไกรวิทย์ต่อจาก ท่านเอง…’

คำตอบของนารีธนูทำให้ตุลยาเทวีส่งจิตตวาดกลับมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

‘พ่ายแพ้…นารีธนูท่านบังอาจคิดว่าเทวนารีจะพ่ายแพ้ศัตรู…เราไม่เชื่อว่า จิตราสูญจะไม่สามารถจัดการกับศัตรูของจักราศี ท่านจงสงบใจรอดูอำนาจของเทวนารีราศีตุลย์ที่แมท้จริงเถอะ…’

ขาดคำร่างในผ้าคลุมสีเทาก็พริ้ววาบมาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าผม จิตที่กราดแกรี้ยวดังกึกก้องในจิตผม

‘ไกรวิทย์ คชสีห์..ก่อนที่จะดับสูญ ท่านจะบอกเราได้หรือไม่ว่าท่านหลุดพ้นจากจิตราสูญมาได้อย่างไร…’

ผม สบตาที่เป็นประกายวับวาวอยู่เบื้องหลังผ้าคลุมสีเทาอย่างไม่เกรงกลัว พลังปราณกระจายออกรอบข้างต่อต้านปราณจิตที่ล้อมรอบกายราวสายหมอกหนาหนัก

‘ตุลยาเทวี…ท่านอาจจะไม่เชื่อสิ่งที่เราบอก แต่เราของบอกท่านตามตรงว่า จิตราสูญของท่านทำให้เราสิ้นสติไปชั่วครู่เท่านั้น…มันหาได้มีอำนาจเหนือ จิตของเราไม่’

‘เหลวไหล…จิตราสูญเป็นวิชาสลายจิตวิญญาณที่ไร้ผู้ต่อต้าน…จิตของท่านไม่ มีทางหลุดพ้นจากอำนาจจิตราสูญได้…แต่หากท่านคิดว่าเรามีเพียงจิตราสูญ นับว่าท่านประเมินปราณแห่งเทวนารีราศรีตุลย์ต่ำเกินไปแล้ว รับมือ….’

จิตของผมรับรู้ถึงแรงกดดันทางจิตที่ปกคลุมร่างอยู่สลายวับไป แต่กลับปรากฏมวลปราณณกราดเกรี้ยวรุนแรงถึงขีดสุดทะลักเข้ามาเบื้องหน้า ผมอดสะท้านใจกับการโจมตีไม่ได้และรับรู้ว่าผมไม่สามารถหลบเลี่ยงการปะทะปราณ โดยตรง เพราะเบื้องหลังผมยังมีร่างของจานีสที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และน้องพิมที่ปราศจากความสามารถในการป้องกันตัว ผมกัดฟันรวมปราณทั่งร่างผนึกพลังปราณคชสีห์เต็มกำลังผลักเข้าปะทะการโจมตี นั้นอย่างไม่หวั่นเกรง…

……….เปรี้ยง……….

กระแสปราณบริสุทธิ์สองสายปะทะกันกลางอากาศ ส่งเสียงระเบิดกึกก้องไปทั่วถ้ำ…ร่างผมสะท้านเฮือกกับแรงปะทะมหาศาลที่ สะท้อนกลับมา..แต่ตุลยาเทวีที่ลอยตัวโจมตีก็ไม่ได้เป็นฝ่ายมีเปรียบแต่อย่าง ใด ร่างในผ้าคลุมสีเทาลอยคว้างออกไปในทิศตรงข้าม ก่อนหมุนวนเป็นวงกลมกลางอากาศหลายสิบรอบเพื่อสลายพลังที่แฝงมาจากการปะทะ…

นี่ นับเป็นครั้งแรกที่ผมปะทะปราณกับตุลยาเทวีตรงๆ ซึ่งแม้จะทำให้ผมอดตระหนกไปกับความกราดเกรี้ยวกล้าแข็งของปราณที่อยู่ใน ระดับเดียวกับเซี่ยวเล้งในอดีต แต่ผมก็รับรู้พร้อมกันว่าปราณของผมหาได้เป็นรองปราณของเทวนารีแห่งจักราศี ไม่…และนั่นทำให้ความมั่นใจของผมเพิ่มพูนขึ้นบ้าง แม้ใจส่วนหนึ่งยังคงรับรู้ว่าถึงแม้ผมอาจมีโอกาสเอาชนะตุลยาเทวีได้ แต่ด้วยปราณที่อ่อนล้าจากการต่อสู้ ผมก็ไม่มีดอกาสรอดชีวิตจากธนูพิฆาตฟ้าของนารีธนูที่รอคอยอย่างสงบเงียบได้

‘ปราณคชสีห์…ปราณที่ผสานความเข้มแข็งของแสงว่าง และความหยุ่นเย็นยะเยียบของความือด ประสานเป็นมวลพลังบริสุทธิ์ที่สามารถใช้ในการตั้งรับได้โดยปราศจากช่องว่าง นับว่าท่านไกรวิทย์ ชาญฉลาดยิ่ง… แต่จงระวังไว้นี่คือมวลปราณจักราคู่แห่งเทวนารีราศีตุลย์…’

ร่างตุลยาเทวีแฉลบแปลบปลาบกลางอากาศราวภูติพราย…กระแสปราณที่เปี่ยมล้น ด้วยพลังทำลายกระจายออกจากร่าง แม้ภาพที่ปรากฏต่อสายตาจะปรากฏเพียงฝุ่นที่กระจายเป็นตามอำนาจปราณ แต่จิตผมสัมผัสได้ถึงมวลพลังที่กอปรขึ้นมาจากศูนย์กลางร่างตุลยาเทวีแผ่ออก เป็นสองสายในรูปคล้ายกงจักรหมุนวนที่สองแขน ดูราวกับจานคันชั่งที่มีร่างตุลยาเทวีเป็นแกนกลาง พริบตานั้นกงจักรทั้งสองก็หมุนคว้างออกจากสองแขนพุ่งตรงมาที่ผม ทำให้จิตผมกำหนดภาพน้องริน น้องกิฟท์และน้องทิพย์ พร้อมกัน ก่อกาฬปราณขึ้นในฝ่ามือทั้งสองข้าง เตรียมรับการโจมตีที่กราดเกรี้ยวที่พุ่งตรงมานั้น แต่ผมก็ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรงเมื่อพบว่าพลังกงจักรแหลมคมทั้งสองวงกลับสูญ สลายไปในเบื้องหน้า แต่กลับปรากฏขึ้นทางข้างแยกเป็นสายซ้ายขวาพุ่งเข้าใส่ร่างจานีสและน้องพิม ทางด้านหลัง ผมหันขวับไปด้วยความตระหนกสุดขีด กาฬปราณที่ผนึกขึ้นแผ่พุ่งออกไปปะทะปราณรูปกงจักรทางด้านซ้ายที่มุ่งสังหาร จานีส แต่ด้านขวาที่เป็นร่างน้องพิมนั้นผมไม่สามารถผนึกปราณใดสกัดกั้นได้ทันเวลา ทำให้ผมต้องถลันร่างวูบไปคุกเข่าบังน้องพิมจากการโจมตีไว้ แม้จะรู้ดีว่าการใช้ร่างที่มีแต่เพียงปราณป้องกันตัวไปรับกงจักรปราณโดยตรง นั้นไม่ต่างอะไรกับการใช้มือเปล่ารับดาบที่กำลังฟันลงมาสุดแรง….

…………………..ซ่า………………………..

…………………เปรี้ยง……………………….

เสียง กาฬปราณกระทบกงจักรปราณทางด้านขวาระเบิดกึกก้อง กงจักรปราณที่แม้จะเกรี้ยวกราดรุนแรง แต่เมื่อเผชิญกับอำนาจแห่งกาฬปราณ กงจักรปราณนั้นก็สลายพลังไปราวกับกองไฟที่ถูกสายฝนกระหน่ำใส่. โดยไม่สามารถทำร้ายจานีสได้แม้แต่น้อย พร้อมกันนั้นกงจักรปราณด้านซ้ายที่ถูกผมบกดบังร่างน้องพิมและเตรียมตัวรับ กระแสพลังตรงๆ ก็กลับเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง ดวงตาผมเห็นแสงสีส้มสดพุ่งวาบเข้าใส่กงจักรปราณก่อนที่จะกระทบผมเพียงไม่กี่ นิ้ว..พลังรุนแรงจากปราณสองสายที่ปะทะกันระเบิดสนั่นจนลานหินที่น้องพิมและ จานีสพักอยู่สั่นสะเทือน แต่พลังสะท้อนที่เกิดขึ้นกลับไม่ส่งแรงมายังร่างผมแม้แต่น้อย กระแสพลังม้วนวูบขึ้นสู่เบื้องบนและสลายตัวไปบนเพดานนถ้ำ

‘นารีธนู…เจ้าบังอาจนัก….เหตุใดจึงใช้ธนูสลายปราณทำลายปราณจักราคู่ของเรา ช่วยเหลือศัตรูแห่งจักราศี’

จิตที่กราดเกรี้ยวสุดขีดของตุลยาเทวีดังสนั่นในจิตผม ทำให้ผมรู้ทันทีว่านารีธนูกลับเป็นผู้ใช้ธนูสลายจิตทำลายกงจักรปราณที่มุ่ง เข้าสังหารน้องพิม…

‘ตุลยาเทวี…เราไม่ได้ช่วยท่านไกรวิทย์ แต่เหตุใดท่านจึงมุ่งทำร้ายสตรีทั้งสองนางนี้ แทนที่จะต่อสู้กับท่านไกรวิทย์ด้วยเกียรติแห่งเทวนารี..ด้วยเหตุนี้เราจึง ไม่สามารถยินยอมปล่อยให้ท่านทำร้ายพวกนางได้…’

ก่อนที่ตุลยาเทวีจะส่งจิตโต้ตอบ เสียงสั่นสะท้านของน้องพิมที่ซุกตัวอยู่กับอกผมก็ดังขึ้นเบาๆ

“พี่เอ..ทำไมพี่เอไม่ใช้ปราณโจมตีนังคนเลวคนคลุมหน้านี้ตรงๆ…พี่เอไปโจมตี ที่ว่างเปล่าทำไม ตัวของนังนี่มันลอยวนเวียนอยู่ด้านข้างต่างหาก ไม่ได้อยู่ตรงหน้าพี่เอสักหน่อย…”

คำพูดของน้องพิมทำให้ผมงุนงงไป ชั่วขณะ แต่ก่อนที่ผมจะทำความเข้าใจกับความหมายที่น้องพิมบ่งบอก จานีสก็ส่ง “เสียง” แผ่วเบาแต่ร้อนรนออกมาเป็นภาษาไทยที่น้อยครั้งผมจะได้ยินจากปากเด็กสาวชาวเน ปาลี

“พี่เอ…ดู…ตา….พิม…”

เพียงแว่บเดียวของความคิด ผมก็รับรู้ทันทีว่าเหตุใดแทนที่จานีสจะส่งจิตมาอธิบายให้ผมเข้าใจ แต่เด็กสาวกลับใช้ภาษาไทยง่ายๆ กับผม ก็เพื่อไม่ให้ตุลยาเทวีเข้าใจ เนื่องจากหากจานีสใช้จิตถ่ายทอดข้อความ จิตของตุลยาเทวีก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน…

‘ไกรวิทย์…ท่าน ป้องกันสตรีทั้งสองนางนี้ได้ ด้วยการทรยศของนารีธนู แต่ท่านไม่สามารถป้องกันพวกนางได้ตลอดไปหรอก…และเมื่อใดก็ตามที่ท่านผนึก กาฬปราณต่อต้านเราอีก..เมื่อนั้นจิตราสูญของเราจะส่งท่านกลับไปยังที่คุมขัง จิตของท่าน และคราวนี้เราจะไม่ปล่อยให้ท่านมีโอกาสหลบหนีออกมาได้อีก ร่างสังขารของท่านจะต้องถูกเราสลายเป็นผงธุลีพพร้อมกับพวกนาง….จงรับ กงจักรปราณคลุมฟ้า สุดยอดแห่งปราณของเราตุลยาเทวีเถออะ…’

จิตตุลยาเทวีตวาดก้อง พร้อมกับที่จิตผมรับรู้ได้ถึงมวลปราณรูปกงจักรที่กระจายออกมานับไม่ถ้วน จากร่างเทวนารีแห่งราศีตุลย์ ซึ่งนอกจากจะพุ่งเข้าโจมตีผม น้องพิมและจานีสแล้ว มวลปราณมหาศาลอีกส่วนหนึ่งยังพุ่งเข้าหานารีธนูที่ยืนสงบนิ่งห่างออกไป ทำให้เทวนารีแห่งราศีธนูต้องผนึกม่านปราณขึ้นป้องกันตัวอย่างรัดกุม และไม่สามารถสอดแทรกเข้ามาในการต่อสู้อีก…

พริบตาที่มวลพลังรูปกงจักรสาดพุ่งเข้ามา หางตาผมเหลือบมองดวงตาของน้องพิมทางด้านข้าง และพบว่าแทนที่น้องพิมจะจับจ้องร่างของตุลยาเทวีเบื้องหน้า ศีรษะของเด็กหญิงกลับส่ายไปทางด้านขวาราวกับจับจ้องการเคลื่อนไหวบางอย่าง ผมตัดสินใจในทันทีที่จะเสี่ยงตีความคำพูดของจานีส จิตผมกำหนดถึงน้องกิฟท์และน้องทิพย์เพื่อสร้างปราณอัคคีเทพที่ร้อนแรงสุดขีด ขึ้นมาผสานกับตาข่ายพลังนาคบาศก์ ก่อนขบกรามแน่นปล่อยให้กงจักรปราณของตุลยาเทวีพุ่งเข้าใส่ร่างโดยไม่สนใจ แต่กลับระเบิดปราณอัคคีเทพและนาคบาศก์ไปยังตำแหน่งที่ดวงตาน้องพิมจับ จ้องอยู่ทางด้านขวามือทั้งที่ตำแหน่งนั้นปราศจากร่างของผู้ใด อัคคีเทพที่ร้อนแรงสุดขีดพุ่งวาบเป็นประกายสีแดงแล้วแตกออกเป็นตาข่ายเพลิง ส่องประกายเจิดจ้าจาการผสานกับข่ายพลังนาคบาศก์ เข้าไปสู่ความว่างเปล่านั้น

……………………..เปรี้ยง……………………………….

เสียงระเบิดดังกึกก้องในทันที่ตาข่ายปราณอัคคีเทพกระทบบางสิ่งที่ปราศจาก ร่าง พร้อมกับกงจักรปราณที่ก่อนหน้านี้ดูราวจะพุ่งเข้าบดขยี้ร่างผมให้แหลกราญ ก็สลายวับไปในทันที แต่ในใจกลางตาข่ายเพลิงที่ผสานพลังนาคบาศก์ กลับปรากฏเงาร่างสตรีที่กำลังลุกโพลงด้วยเพลิงแห่งอัคคีเทพที่กักร่างนั้น ไว้ในข่ายพลัง

…………..บรึม…………

เสียงระเบิดดังสนั่น ขณะที่ร่างสตรีที่กำลังถูกเพลิงอัคคีเทพร้อมรอบจนลุกโพลง พลันกระจายแสงเจิดจ้าออกจากร่างจนตาข่ายปราณอัคคีเทพระเบิดออกไปทุกทิศทาง ก่อนที่จะปรากฏร่างเปลือยเปล่าของสตรีสาว ณ ใจกลางกระแสพลังที่ระเบิดออก ดวงตาผมจับจ้องร่างเบื้องหน้า แต่ก็ต้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจสุดขีด พร้อมกับจานีสและน้องพิม

‘อะ อะไรกัน…เหตุใด…ท่านจึง…’

‘เป็นไปไม่ได้…’

“พี่เอ…ทำไมหน้านังคนเลวนี้ถึง….”

สายตาทุกคู่จับจ้องภาพหญิงสาววัยไม่เกิน 18 ปี ที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ร่างกายหญิงสาวที่ในครั้งแรกดูเหมือนจะเปลือยเปล่านั้น แท้จริงได้รับการด้วยเกราะปราณใสกระจ่างราวผลึกแก้วที่ต่อเชื่อมปกคลุ่ม ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสยายดำขลับกระจายตัวออกราวสายน้ำ ผิวกายสีน้ำผึ้งที่ปราศจากริ้วรอยใดๆ ดูนุ่มเนียน สายผลึกใสเชื่อมลงมายังทรวงอกเต่งตูมแผ่กระจายห่อหุ้มปทุมถันงามไว้ทั้งเต้า แต่ความใสกระจ่างของผลึก ทำให้ทรวงอกอวดความงามของมันอย่างชัดจน ไม่ว่าจะเป็นสัณฐานที่กลมกลึง ที่ประดับปลายยอดด้วยเม็ดยอดสีน้ำตาลอมชมพู ราวกับไม่มีสิ่งใดปกปิดสายตาแม้แต่น้อย ต่ำลงไปสายผลึกแวววาวแยกออกจากสองเต้าเป็นสองสายไปบรรจบเป็นแผ่นโค้งโอบรอบ เนินรักอวบอิ่มนูนตระหง่าน ความใสกระจ่างผลึกทำให้ทุกส่วนสัดของสองแคมอูมที่ปกคลุมด้วยไรขนสีดำบางเบา โดดเด่นออกมาเปิดเผยความงามของเนินรักที่สามารถดึงดูดบุรุษเพศทุกคนให้ยอม สยบโดยปราศจากแรงต้านทาน…แต่ความงามสุดหล้าที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นไม่ใช่ สาเหตุที่ทำให้ผม น้องพิม จานีส หรือแม้กระทั่งนารีธนูส่งเสียอุทานออกมาอย่างลืมตัว หากแต่เป็นใบหน้างามที่ประดับบไว้ด้วยดวงตากลมโตกระจ่าง หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อยตามเชื้อชาติของชาวเนปาล แต่ใบหน้านั้นกลับเป็นใบหน้าที่….

“พี่เอ…ทำไมผู้หญิงคนนี้หน้าตาเหมือนพี่จานีสแบบนั้น….”

น้องพิมส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจเช่นดียวกับทุกคนเมื่อพบว่าใบหน้าที่ ปรากฏอยู่กับร่างงามที่แทบเปล่าเปลือยในชุดเกราะปราณใสดั่งผลึกแก้วนั้น กลับเป็นใบหน้าของจานีสอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้หญิงสาวเบื้องหน้าจะดูมีวัยที่สูงกว่าจานีสที่ติดอยู่กับร่างกายเด็กสาว วัย 14 แต่เค้าโครงใบหน้านั้นเป้นพิมพ์เดียวกัรกับจานีสทั้งหมดจนแยกความแตกต่างไม่ ได้ มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่จานีสดูจะเป็นร่างกายของเด็กสาวแรกรุ่นที่ร่างกาย ทุกสัดส่วนตึงแน่นไปด้วยวัยเยาว์ ขณะที่ร่างสตรีสาวเบื้องหน้านั้นกลับเติบโตเบ่งบานเต็มสาวทุกสัดส่วน ขณะที่ทุกคนยังคงตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงนั้น จิตที่แผ่วล้าของจานีสก็ดังขึ้น

‘รุ่งโรจน์เหนือผู้ใด หัวใจไร้เมตตา จิตคลุมฟ้าดิน ทุกสิ่งจะสิ้นสลาย เมื่อพบผู้ทำลายมายา เผชิญหน้ากับตนเอง…นี่เองคือสาเหตุที่ท่านเทวนารีแห่งราศีตุลย์มุ่งมั่น สังหารจานีสกับน้องพิม เพราะคำทำนายที่ท่านเคยได้รับจากตระกูลในวัยเยาว์…ที่แท้ใบหน้าท่านคือใบ หน้าเดียวกันกับเราสอดคล้องกับคำ ‘เผชิญหน้ากับตนเอง’ และท่านก็ทราบดีว่าน้องพิมคือผู้ที่ท่าร่างมายาของท่านไม่สามารถซ่อนเร้นจาก สายตานางได้ นั่นคือ ‘เมื่อพบผู้ทำลายมายา’ ..จานีสเข้าใจแล้ว…’

จิตของจานีสซึ่งบ่งชี้สาเหตุที่ตุลยาเทวีมุ่งมั่นสังหารจนเองและน้องพิม ทำให้ใบหน้างามของตุลยาเทวีบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ก่อนส่งจิตตวาดใส่จานีส

‘โหราทาสผู้ทรยศ จงบอกเรามาเดี๋ยวนี้ว่าเหตุใดท่านจึงมีใบหน้าเหมือนเรา และทำไมนังเด็กที่ไร้ปราณผู้นี้จึงสามารถล่วงรู้ความลับของท่าร่างมายาภาพ ของเราได้…’

จานีสหันมาจับจ้องผมอย่างลังเล..และถอนใจเบาๆ เมื่อผมพยักหน้าเป็นสัญญาณอนุญาตให้เด็กสาวอธิบายข้องสงสัยให้ทุกคนรับรู้

‘ตุลยาเทวี ไม่สิ เราต้องเรียกท่านว่าจานีน เรื่องที่ใบหน้าท่านเหมือนเรานั้นเราไม่ทราบเหตุผลเพราะเราเองก็ไม่เคยเห็น ใบหน้าท่านมาก่อน แต่เป็นไปได้ที่เราท่านต่างสืบเชื้อสายบริสุทธิ์แห่งตระกูลเมหิยา ที่แม้จะไม่สืบตระกูลเฉพาะสายเลือดเดียวกันเช่นตระกูลคชสีห์ แต่ตระกูลเมหิยาก็ไม่อนุญาตให้มีการแต่งงานนอกเครือญาติ เพื่อดำรงความบริสุทธิ์ของสายเลือดแห่งเมหิยาเอาไว้ เราท่านที่มีใบหน้าเหมือนกันจึงอาจเป็นสิ่งธรรมชาติของสายเลือดสร้างขึ้น …ส่วนคำถามเรื่องที่น้องพิมไม่ถูกท่าร่างมายาภาพบิดเบือนจิตใจดังเช่นที่ พี่เอ และนารีธนูประสบนั้น…เราเชื่อว่าเราทราบคำตอบนั้น เราเคยอธิบายให้พี่เอทราบแล้ว…แต่เราไม่มีวันบอกกับท่านอย่างแน่นอน’

จิตจานีสที่กล่าวกับตุลยาเทวีทำให้ถ้อยคำที่จานีสเคยบอกเล่าเกี่ยวกับธารอสุ ระที่สงบนิ่งอยู่ร่างกายน้องพิม กลับมาในห้วงความคิดของผมอีกครั้ง

‘พี่เอ…ธารอสุระเป็นพลังจากธรณีธาตุอันเป็นองค์ประกอบหลักของโลก เป็นพลังพื้นฐานรองรับปฐมธาตุอื่นให้ดำรงอยู่ พลังนี้สงบนิ่งไม่มีอำนาจในการทำลายล้างที่รุนแรงเกรี้ยวกราดดังเช่นอัคคี เทพ จิตมาร และนาคบาศก์ แต่ในความสงบนิ่งนั้นมันแผ่พลังงานไพศาลเกื้อกูลทุกชีวิต ธารอสุระจึงเป็นพลังหนึ่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากมายาภาพทั้งปวง ไม่มีค่ายกลหรือผู้ทรงปราณใดที่ก่อมายาภาพหลอกลวงผู้ครอบครองธารอสุระได้ …’

คำบอกเล่าของจานีสที่ผมหวลระลึกขึ้นมา ทำให้ความเข้าใจสว่างวาบขึ้นมาในจิตผม และตอบปัญหาถึงสาเหตุที่การโจมตีของผมต่อตุลยาเทวีที่ผ่านมาจึงไม่สามารถแตะ ต้องเทวนารีแห่งราศีตุลย์ผู้นี้ได้..ผมส่งจิตราบเรียบที่แฝงความมั่นใจเต็ม เปี่ยมไปยังสตรีงามในเกราะปราณใสกระจ่างเบื้องหน้า

‘ตุลยาเทวี ท่านมุ่งสังหารน้องสาวของเราเพราะนางสามารถเห็นร่างที่แท้จริงของท่าน ระหว่างที่ใช้มายาภาพบิดเบือนจิตคู่ต่อสู้ จนทำให้ต้องมุ่งโจมตีภาพมายาโดยไม่สามารถกระทบร่างท่านได้ แต่กลับเป็นการเปิดช่องให้ท่านใช้ร่างจริงสอดแทรกเข้าโจมตีจากตำแหน่งที่นึก ไม่ถึง นี่เองคือความลับของท่าร่างที่ไร้ผู้ต่อต้านของเทวนารีแห่งราศีตุลย์..แต่ใน เมื่อเราสามารถเห็นร่างท่านเช่นนี้ ผลแพ้ชนะก็สามารถคาดเดาได้แล้ว…ท่านจะยืนกรานต่อสู้ต่อไปอีกหรือไม่…’

ใบหน้าที่ดูราวกับถอดมาจากจานีสของตุลยาเทวี บิดเบี้ยวด้วยความโกรธเมื่อได้รับรู้จิตของผม ก่อนส่งจิตตวาดกลับมา

‘เหลวไหล เพียงสามารถทำลายท่าร่างของเราก็เหิมกริมอวดอ้างชัยชนะ ไกรวิทย์ท่านยังไม่ได้รับรู้สุดยอดปราณของเรา..ระวังไว้…’

ทันทีที่ตุลยาเทวีส่งจิตกลับมา จิตผมก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพลังจิตมหาศาลถูกกระจายออกมาเข้าล้อมร่างผมไว้ พร้อมกับปราณในร่างตุลยาเทวีก็ก่อตัวขึ้นจนปราณในร่างผมรับรู้และผนึกพพลัง ขึ้นเตรียมพร้อมรับการโจมตี แต่ยังไม่ทันที่การต่ออสู้จะเริ่มขึ้น เสียงจากจิตของนารีธนูก็ดังขึ้น

‘พี่จานีน…ท่านกำลังผนึกพลังจิตและปราณขึ้นพร้อมกันเช่นนี้ เป้นการดึงปราณทั่วร่างขึ้นเพื่อแลกชีวิตกับคู่ต่อสู้ หากเป็นในยามปกติการกระทำเช่นนี้แม้ท่านจะเอาชนะได้แต่ท่านก็ต้องเข้าฌาณ สมาธิฟื้นฟูปราณไม่ต่ำกว่าสองเดือน แต่เราเชื่อว่าขณะนี้ท่านได้รับบาดเจ็บภายในจากการโจมตีด้วยอัคคีเทพและนาค บาศก์ของท่านไกรวิทย์ การเร่งพลังเช่นนี้จะทำให้ปราณในร่างท่านสลายและไม่สามารถควบคุมพลังจากผลึก ราศีได้อีกต่อไป ร่างท่านจะระเบิดออกเป็นพลังงานมหาศาลที่ทำลายทุกสิ่ง…’

จิตของนารีธนู ทำให้ผมต้องจับจ้องใบหน้าตุลยาเทวีอย่างละเอียดและพบว่าประกายตาที่เคยสุกใส ผ่านผ้าคลุมหน้านั้นปรากฏแววแตกซ่านเล็กน้อย เป็นการยืนยันถึงคำพูดของนารีธนูว่าไม่ผิดพลาด ตุลยาเทวีได้รับบาดเจ็บจากการทุ่มเทพลังปราณเข้าสังหารผม จานีสและน้องพิม โดยไม่คาดคิดว่าผมจะสามารถตอบโต้ไปยังร่างที่แท้จริงได้ พลังอัคคีเทพและนาคบาศก์จึงสามารถทำให้ ตุลยาเทวีได้รับบาดเจ็บ และบังคับให้ต้องผนึกพลังสร้างเกราะปราณขึ้นมา

‘นารีธนู…ในเมื่อเจ้าทรยศต่อจักราศี เราก็ยินดีที่จะระเบิดพลังตกตายไปพร้อมกับศัตรู ซึ่งรวมถึงท่านผู้ทรยศด้วย…’

ตุลยาเทวีส่งจิตเกรี้ยวกราดไปยังนารีธนู ทำให้เด็กสาวต้อวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนส่งจิตตอบ

‘ผู้ใดทรยศต่อจักรราศี ตุลยาเทวีท่านต่างหากที่บังอาจละเมิดกฏเทพเจ้าจนเราต้องต่อต้านท่าน ขอเพียงท่านสัญญาเป็นสัตย์วาจากับเราว่าท่านจะยุติการทำลายล้างชีวิตของท่าน จานีส และเด็กหญิงที่ชื่อพิมนี้ เราก็จะทำหน้าที่แทนท่านในการต่อสู้กับท่านไกรวิทย์ตามบัญชาแห่งเทพสุรัสวดี เพื่อยืนยันว่าเราหาได้ทรยศต่อจักรราศีไม่…ตุลยาเทวีท่านจะยอมให้สัตย์ วาจากับเราหรือไม่’

จิตของนารีธนูทำให้ผมสะท้านใจวูบ เมื่อรับรู้ว่าเทวนารีแห่งราศีธนูผู้มีบุญคุณกับจานีสและน้องพิมจะเป็นคู่ ต่อสู้ของผม ขณะที่ตุลยาเทวีจับจ้องดวงตานารีธนูเขม็งก่อนถอนใจยาวแกมา

‘เริอินะกล่าวถูกต้อง..เราบาดเจ็บจากอัคคีเทพและนาคบาศก์ ที่กระทบปราณคุ้มครองร่างของเราก่อนที่จะสวมใส่เกราะปราณจริงๆ ในเมื่อนารีธนูท่านเสนอตัวมา เราก็ขอให้สัตย์วาจา เราจะไม่สังหารสตรีสองนางนี้และจะมอบให้ท่านนำตัวพวกนางกลับไปคุมขังที่ จักรราศีชั่วชีวิต..’

จิตตุลยาเทวีหยุดไปชั่วขณะก่อนส่งจิตมายังผม

‘ท่านไกรวิทย์ เราตุลยาแทวียอมรับว่าเราเพลี่ยงพล้ำต่อท่าน…และขอถอนตัวจากการต่อสู้ ครั้งนี้ คู่ต่อสู้ของท่านไม่ใช่เราอีกต่อไป หากแต่เป็นเทวนารีแห่งราศีธนู..และเพื่อให้ท่านสามารถต่อสู้กับนางโดย ปราศจากข้อกริ่งเกรง เราขอให้สัตย์วาจากับท่านว่าเราจะไม่สอดแทรกโจมตีท่านและสตรีทั้งสองนางนี้ …ท่านจงผนึกปราณเตรียมรับมือกับไตรธนูและธนูพิฆาตฟ้าของนารีธนูเถอะ’

ร่างตุลยาเทวีลอยห่างออกไปในทันทีที่จิตถ่ายทอดคำพูดเสร็จสิ้น พร้อมกับที่ปราณคุ้มครองร่างของผมสัมผัสได้ถึงพลังปราณแกร่งกร้าวรุนแรง อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน ก่อตัวขึ้นที่ด้านข้าง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่นารีธนูยืนอยู่….ผมค่อยๆ หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของปราณนั้น

ดวงตากลมโตแวววาวบนใบหน้าหวานคมคายของนารีธนูสบตาผมแน่วนิ่ง ร่างในชุดเกราะปราณสีส้มสดใสที่เปิดเผยนวลเนื้อเปล่งปลั่งของร่างกายวัยแรก สาวแทบทุกส่วน ผิวกายขาวสะอากราวหิมะตัดกับเกราะปราณจนดูราวกับจะส่องแสงสว่างออกมาจากผิว เนื้อที่ปราศจากไฝฝ้าตำหนิแม้แต่น้อย ดวงตาที่จับจ้องผมอยู่นั้นดูคุ้นตาอย่างประหลาดทั้งที่นี่เป็นครั้งแรกที่ผม ได้เผชิญหน้ากับเทวนารีแห่งราศีธนูผู้นี้…ลดูเหมือนว่านารีธนูจะรับรู้ถึง ความสงสัยของผม กระแสเสียงที่นุ่มนวลถูกส่งผ่านตรงมายังจิตของผม

‘นี่เป็นครั้งที่สองที่เราท่านได้พบกัน เพียงแต่ในครั้งแรกนั้นท่านไกรวิทย์เป็นชายชราผู้ยึดมั่นในความยุติธรรม ส่วนเราก็เป็นเพียงเด็กหญิงที่ถูกผู้ทรงปราณที่เลวร้ายข่มเหง… ไม่นึกเลยว่าชายชราผู้นั้นคือท่านไกรวิทย์ที่เป็นศัตรูแห่งจักรราศี..ที่เรา ในฐานะเทวนารีจำต้องสังหารท่านตามบัญชาแห่งเทพสุรัสวดี…’

คำทักทายของนารีธนู แม้จะทำให้ผมอดสะท้านใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าเด็กหญิงที่ผมพยายามช่วยจากกลุ่ม ผู้ทรงปราณสำนักจันทร์สูญเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ที่แท้กลับเป็นนารีธนูผู้เป็นเทวนารีแห่งราศีธนู ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากการต่อสู้กับคำปงที่ผ่านมาหากผมมิได้มีการปิดกั้นปราณ ของตนเอง ผมก็น่าจะรับรู้แต่แรกแล้วว่าเด็กหญิงผู้มอมแมมที่ผมช่วยเหลือนั้นคือผู้ทรง ปราณเหนือโลกแต่ในขณะเดียวกันผมก็อดขอบคุณโชคชะตามิได้ เพราะหากผมใช้ปราณคชสีห์ต่อสู้กับคำปงต่อหน้านารีธนู..เป้าหมายของธนูสลาย ปราณที่สลายร่างคำปงและบริวารอาจจะเปลี่ยนเป็นผมแทนก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผมไม่แปลกใจแม้แต่น้อยกับการเปลี่ยนแปลงของเด็กหญิงวัย 12 ปี มาเป็นเด็กสาวที่เติบโตสะพรั่งเบื้องหน้า เพราะผมทราบดีจากจานีสแล้วว่าวิชาปราณพื้นฐานของนารีธนูนั้นมีที่มาจากสำนัก อิโตริวแห่งญี่ปุ่น ที่ผู้ทรงปราณทุกคนรู้ดีว่าเป็นสำนักปราณนิกายเซ็นที่เป็นเลิศในด้านการ เปลี่ยนแปลงกายภาพของตนเอง…ดังนั้นการที่นารีธนูสามารถใช้ร่างของเด็กหญิง วัย 12 ในการเคลื่อนไหวปกปิดตัวตนที่แท้จริง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด

‘นับว่าเรามีวาสนาได้พบวิชาร้อยแปลงของสำนักอิโตริวด้วยตนเอง ท่านเทวนารีแห่งราศีธนูจะต่อสู้กับเราด้วยวิธีใด เราไกรวิทย์ผู้ครอบครองและทายาทแห่งปราณคชสีห์ยินดีน้อมสนอง แต่ก่อนอื่นเราต้องขอขอบคุณท่านที่ยึดมั่นในความถูกต้อง และป้องกันชีวิตของสตรีทั้งสองนางนี้เอาไว้จากความอำมหิตของตุลยาเทวี…’

ผมส่งจิตตอบนารีธนูตามมารยาทของผุ้ทรงปราณ แต่ในประโยคสุดท้ายเมื่อผมกล่าวจบ จิตผมก็สัมผัสได้ถึงกระแสจิตโกรธแค้นที่แผ่ออกจากตุลยาเทวีที่เฝ้าอยู่ ห่างออกไปอย่างชัดเจน

‘ท่านไกรวิทย์ทราบความเป็นมาของเราอย่างดี คงเป็นเพราะท่านโหราทาสบอกเล่ากับท่านเป็นแน่…แต่แม้ท่านโหราทาสจะฝ่าฝืน กฏแห่งจักรราศีเปิดเผยความเป้นไปของจักรราศรีต่อคนนอก เราก็ไม่สามารถลงโทษใดๆ ต่อนางได้ เพราะนางผ่านการลงโทษจนสิ้นชีวิตไปแล้ว…การฟื้นจิตในร่างใหม่นี้จึงไม่อาจ นับว่านางเป็นโหราทาสได้อีกต่อไป…หากท่านไกรวิทย์กังวลในเรื่องนี้ เราก็ของรับรองด้วยสัตย์วาจาแห่งเทวนารีว่า เมื่อท่านดับสูญด้วยธนูของเราแล้ว เราจะปกป้องชีวิตของสตรีสองนางนี้ด้วยชีวิตของเราเอง..ท่านไกรวิทย์มิต้อง ห่วงเรื่องของพวกนางและสามารถใช้ปราณของท่านต่อสู้กับเราได้อย่างเต็ม ที่…’

จิตของนารีธนูที่แม้จะอ่อนโยนแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความมั่นใจในธนูของตน เองอย่างเต็มที่ ราวกับมั่นใจแน่นอนว่าผมไม่สามารถมีชัยเหนือธนูพิฆาตฟ้าได้ ผมยิ้มให้สตรีงามเบื้องหน้าอย่างไม่หวาดเกรง ก่อนส่งจิตตอบ

‘ท่านเทวนารีดูจะมั่นใจในธนูของท่านจนแน่ใจในชัยชนะ โดยไม่คำนึงถึงกาฬปราณของเราที่อาจทำให้ผู้พ่ายแพ้คือนารธนูท่านก็เป็นได้…’

จิตที่ผมถ่ายทอดทำให้นารีธนูเผยอยิ้มออกมา ลักยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนสองแก้มเปล่งปลั่งทำให้ใบหน้างามนั้นดูเป็นเด็กสาวที่น่ารักจนแทบไม่ สามารถละสายตาได้

‘เราทราบดีว่ากาฬปราณของท่านไกรวิทย์มีอำนาจทำลายล้างที่ไร้ผู้ต้านทาน แต่ภายใต้ไตรธนูของเรา ท่านไกรวิทย์ไม่มีโอกาสที่จะใช้กาฬปราณทำลายความเกรี้ยวกราดรุนแรงของธนู สลายกาย ธนูสลายปราณ และธนูสลายจิตได้ และหากไตรธนูรวมเป็นหนึ่งเดียว…ธนูพิฆาตฟ้าจะก่อเกิด แม้ท่านจะมีความสารถเท่าเทียมเทพเจ้าก็ไม่สามารถรอดพ้นจากธนูนี้ได้…’

จิตที่แจ่มใสของนารีธนูอธิบายอำนาจแห่งไตรธนูให้ผมฟังราวกับเป็นการบอกเล่า ถึงการต่อสู้ให้เพื่อนสนิทรับรู้ แทนที่จะเป็นการบอกเล่าต่อศัตรูที่จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีวิตในอีก ไม่กี่อึดใจข้างหน้า แต่ก่อนที่ผมจะส่งจิตโต้ตอบ จิตที่แผ่วเบาของจานีสก็สอดแทรกเข้ามา

‘ท่านนารีธนู..ท่านคงไม่ได้คำนึงในเรื่องหนึ่ง หากท่านใช้ไตรธนูรวมเป้นหนึ่งเดียวจนก่อธนูพิฆาตฟ้าที่มีอำนาจทำลายเหล่า เทพเจ้า..แต่นั่นก็หมายความว่าท่านจะต้องเร่งเร้าปราณและพลังชีวิตทั้งหมด ของท่านเข้าสู่ธนู หลังจากท่านใช้ธนูพิฆาตฟ้าแล้ว..พลังทั้งหมดในร่างท่านจะสูญสลายจนต้องใช้ เวลาฟื้นฟูกว่าสองเดือนจึงจะกลับสู่สภาพเดิม…ในสภาพนั้นท่านแน่ใจหรือว่า ตุลยาเทวีจะไม่สังหารท่านเพื่อยุติทุกสิ่งให้เป็นความลับในที่นี้ตลอดไป…’

จิตที่จานีสถ่ายทอดไป ทำให้นารีธนูอดเหลือบมองไปตำแหน่งที่ตุลยาเทวีอยู่แว่บหนึ่งไม่ได้ แต่จิตที่ตอบมา กลับเป็นจิตที่แฝงสำเนียงไม่พอใจจนรู้สึกได้

‘ท่านโหราทาส…เสียทีที่ท่านใช้ชีวิตอยู่ในจักรราศีมานับร้อยปี ท่านกลับกล่าวในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเทวนารี ท่านเองก็รู้ดีว่าวาจาที่พวกเราเหล่าเทวนารีทุกคนให้สัตย์ แม้จะต้องสูญเสียชีวิต เทวนารีก็จะไม่ยอมทำลายสัตย์วาจาที่ให้ไว้แม้แต่ตัวอักษรเดียว…แม้เรากับ ตุลยาเทวีจะต่อสู้แลกชีวิตกัน แต่เอนางกล่าวสัตย์วาจาออกมา เราก็เชื่อถือในวาจาของนางโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น…’

แม้ผมจะเผชิญหน้ากับเทวนารีแห่งราศีธนูเบื้องหน้า แต่ตลอดเวลาที่นารีธนูส่งจิตตอบจานีส ผมก็พยายามลอบจับจ้องใบหน้าตุลยาเทวีที่อยู่ไกลออกไป เพื่อสังเกตุปฏิกริยาที่มีต่อคำกล่าวของจานีส ซึ่งผมก็อดกังวลขึ้นมาในส่วนลึกของจิตไม่ได้เมื่อพบว่าประกายตาของเทวนารี แห่งราศรีตุลย์เปล่งแววเคืองแค้นออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อดวงตางามคู่นั้นพบว่าผมกำลังจับจ้องอยู่ ผมพยายามระงับจิตใจกังวลที่เกิดขึ้นและส่งจิตไปยังนารีธนูเบื้องหน้า

‘ในเมื่อท่านเทวนารีแห่งราศรีธนูให้คำรับรองเป็นสัตย์วาจา เราก็ไม่มีคำพูดใดจะกล่าว…เชิญท่านเทวนารีเถอะ..’

ทันที่ที่ผมถ่ายทอดจิตออกไป ร่างงามในเกราะปราณสีส้มก็ลอยเลื่อนขึ้นสู่อากาศ พร้อมกับจิตที่แปรเปลี่ยนจากอ่อนโยนมาเป้นจิตที่ทรงอำนาจเปล่งออกมา

‘เราพร้อมแล้ว..ท่านไกรวิทย์จงแสดงกาฬปราณออกมาเถอะ…’

‘ท่านเทวนารีไม่ต้องกังวลใจ กาฬปราณจะใช้เมื่อจำเป็นต้องแลกชีวิตกันเท่านั้น หากเป็นไปได้เราเองก็ไม่ต้องการทำร้ายนารีธนูท่าน … จิตใจที่ท่านปกป้องผู้บริสุทธิ์ทำให้เราหวังว่าท่านคงจะรับฟังเหตุผลและยุติ การต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์นี้เสีย..เพราะพวกเราในตระกูลคชสีห์ทุกคน ไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับจักรราศี พวกเราต้องการใช้ชีวิตเยี่ยงชาวโลกธรรมดา หากแต่จักรราศรีกลับเป็นฝ่ายเร่งทำลายล้างทุกวิถีทางจนบีบบังคับให้พวกเรา ต้องป้องกันตัว…ในเมื่อท่านเทวนารีเป็นผู้ยึดมั่นในความยุติธรรม เหตุใดท่านจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ไร้เหตุผลของเทพสุรัสวดี…แทนที่ จะ…’

‘หยุดไว้…ท่านบังอาจล่วงเกินเทพสุรัสวดี…ความผิดนี้มีโทษประการเดียวเท่านั้น…รับธนู’

จิตที่กราดเกรี้ยวของนารีธนูตวาดขัดคำกล่าวของผมกลางคัน พร้อมกับที่สองมือปรากฏประกายแสงสีขาวส่างวาบขึ้นเป็นวงโค้งราวคันศร พร้อมแสงสีขาวเป้นลำยาวปรากฏขึ้นจากนิ้วทั้งห้าพาดทับวงโค้งแสงนั้นเอาไว้ พร้อมกับจิตของจานีสดังขึ้น

‘พี่เอ..ระวังไว้..นั่นคือธนูสลายกาย’

ลูกศรแสงสีขาวห้าสายพุ่งวาบเข้าหาผมราวสายฟ้า ปราณในร่างผมถูกผนึกขึ้นเปี่ยมล้นก่อม่านปราณเป็นวงกลมกระจายออกคลุมร่าง ดางตาผมจับจ้องลูกศรที่กระจายออกเป้นห้าทิศทาง ลูกศรศูนย์กลางมุ่งมายังทรวงอก อีกสี่ดอกแยกไปตามตำแหน่งหัวไหล่ทั้งสอง และสะโพกทั้งสองข้างของผม เพียงแว่บเดียวผมก็รู้ในทันทีว่านี่คือปราณธนูที่มุ่งทำลายการเคลื่อนไหวของ ร่างกายทุกส่วน และหากมีลูกศรเพียงดอกใดดอกหนึ่งเข้าสู่เป้าหมาย ก็จะทำให้คู่ต่อสู้หมดความสามารถในการใช้ท่าร่างต่อสู้ในทันที ผมขบกรามแน่นสองมือประสานเข้าหากัน จิตกำหนดภาพน้องรินและน้องทิพย์ ก่อเกิดหมอกสีดำสนิทแห่งพลังจิตมารที่เย็นยะเยียบสุดขีด ผสานกับนาคบาศก์ที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระตามจิต และแผ่พุ่งพลังออกไปต่อต้านธนูสลายกายที่พุ่งวาบเข้ามา

……………..ฟุป……………..

กระแสพลังที่เย็นยะเยียบห้าสายพุ่งวาบออกปะทะลูกศรแสงตามที่จิตผมกำหนด มวลพลังที่รกร้าวแกร่งแหลมคมของธนูสลายกายแทรกผ่านเข้ามาในพลังจิตมารที่ ผสานนาคบาศก์ทั้งห้าสายจนเกิดเสียงลั่นราวโลหะหลอมเหลวเทลงไปในน้ำแข็งเย็น ยะเยือก ลูกศรแสงทั้งห้าระเบิดสลายตัวออกพร้อมสายพลังจิตมารทั้งห้า ส่งแรงปะทะมหาศาลกลับมายังผมจนต้องเร่งเร้าปราณคุ้มครองร่างอย่างเต็มที่ แต่ร่างผมก็ยังโงนเงนไปมาอย่างควบคุมไม่ได้

‘นี่คือจิตมารที่ถูกขนานนามคู่กับอัคคีเทพใช่หรือไม่…’

จิตของนารีธนูส่งมายังผมด้วยสำเนียงปกติ แต่ผมยังรับรู้ได้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงความตื่นตระหนกอยู่ภายใน และเมื่อผมจับจ้องใบหน้าของนารีธนูก็พบว่าใบหน้างามขาวสะอาดนั้นปรากฏสีแดง ขึ้นวูบหนึ่งเป็นสัญญาณของการโคจรพลังสลายปราณที่สะท้อนกลับมา บอกให้ผมรู้ว่านารีธนูเองก็มิได้มีเปรียบในการปะทะครั้งนี้แต่อย่างใด ผมสูดลมหายใจปรับปราณที่ปั่นป่วนให้สงบนิ่ง ก่อนส่งจิตตอบไป

‘มิผิด นี่คือพลังจิตมารที่ประสานนาคบาศก์เอาไว้…ท่านเทวนารีรอบรู้นัก’

‘อัคคีเทพ จิตมาร นาคบาศก์ วิชาเร้นลับแห่ง เทพ มาร และนาคราช ล้วนถูกท่านเรียนรู้ นับว่าท่านทะยานขึ้นเหนือผู้ทรงปราณทุกคนในโลกมนุษย์แล้ว แต่ทั้งสามวิชานี้ยังด้อยกว่าอำนาจแห่งกาฬปราณมากนัก เหตุใดท่านไกรวิทย์จึงไม่ยอมใช้ออกให้เราได้ร่วมรับรู้สักครั้ง…’

ผมสบตาที่สุกใสกระจ่างของนารีธนูเบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจที่พบว่า แม้จะผ่านการต่อสู้กับผมอย่างเต็มกำลังและมุ่งหมายสังหารชีวิต แต่ดวงตาคู่งามนั้นกลับปราศจากแววของความเกลียดชังปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย รวมทั้งเสียงที่ส่งมาทางจิตก็ดูราวเป็นการสนทนาระหว่างเพื่อนมากกว่าจะเป็น ศัตรูที่ต้องสังหารอีกฝ่ายหนึ่งให้สิ้นไป ผมระบายลมหายใจสั้นๆ ก่อนส่งจิตตอบ

‘ท่านเทวนารี…กาฬปราณนั้นคือการผนึกปราณทั้งหมดในร่างโจมตีคู่ต่อสู้ อำนาจทำลายของมันนั้นเกินความสามารถในการควบคุม หากเป็นไปได้เราเองก็ไม่ต้องการทำร้ายเทวนารีผู้ทรงความยุติธรรมเช่นนารีธนู ท่าน…’

สายตาผมรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้านารีธนูวูบหนึ่งแต่รอย ยิ้มนั้นก็สลายวับไปในทันทีจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพียงภาพที่ผมคิดขึ้นมา เอง ขณะที่จิตของนารีธนูตอบกลับมา

‘ท่านไกรวิทย์เปิดเผยยิ่งนัก…เรอินะนับถือในความซื่อตรงของท่าน….แต่เร อินะขอน้อมเตือนท่านไกรวิทย์ว่า ธนูสลายกายเป็นวิชาปราณธนูทีทรงอำนาจน้อยที่สุดในไตรธนู หากท่านคิดว่าพลังอัคคีเทพ จิตมาร และนาคบาศก์ จะสามารถต้านทานธนูสลายปราณ และธนูสลายจิตได้…บางทีท่านอาจจะต้องดับสูญก่อนมีโอกาสได้ใช้กาฬปราณ…เร อินะเคารพในจิตใจที่เที่ยงธรรมของท่าน จึงขอน้อมเตือนไว้ก่อน’

ผมอดแปลกใจไม่ได้ที่นารีธนูเปลี่ยนมาใช้ชื่อ เรอินะของตนเองในการสนทนากับผม แทนที่จะใช้สรรพนามของผู้ทรงปราณปกติ..แต่พร้อมกันนั้นผมก็สัมผัสได้ถึงปราณ มหาศาลที่กระจายออกรอบตัวนารีธนูซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเร่งเร้าปราณ เตรียมระเบิดพลังออก ทำให้ผมต้องระงับความคิดทั้งปวงเพื่อผนึกปราณเตรียมรับการต่อสู้

‘ท่านเรอินะ…ท่านมั่นใจเช่นนั้นเราก็ยินดีน้อมสนอง…’

ผมส่งจิตตอบโดยใช้ชื่อเรอินะกับนารีธนูโดยตรง ซึ่งทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่งดงามนั้นอย่างชัดเจน พร้อมกับเสียงตวาดสดใสดังก้องขึ้น ร่างปราดเปรียวในเกราะปราณหมุนเป็นเกลียวทะยานขึ้นสู่อากาศราวสายฟ้า พร้อมกับจิตที่ตวาดก้องกลับมา

‘ท่านไกรวิทย์…ระวังไว้ เรอินะจะโจมตีท่านด้วยธนูสลายปราณ…’

ประกายแสงสีเหลืองนับพันกระจายออกมาจากร่างที่หมุนวนของนารีธนูราวสายฝน และรวมตัวเป็นม่านแสงเรืองรองพุ่งวาบเข้าใส่ร่างผมเป็นจุดเดียว ประกายแสงที่ดูคุ้นตาทำให้ผมจำได้ในทันทีว่านี่คือวิชาปราณที่สลายร่างของ ผู้ทรงปราณสำนักจันทร์สูญจนไม่เหลือแม้ธุลี ผมกำหนดจิตแน่วแน่ ปราณในร่างโคจรย้อนเส้นเลือดก่อนกระจายตัวออกไปทุกรูขุมขน เสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างสลายตัวเป็นผุยผง ผิวหนังทุกส่วนในร่างผมปรากฏหมอกสีดำปกคลุมและในพริบตามันก็สลายตัวเป็นตาม แนวเส้นเลือด ก่อเกิดเกราะปราณขยายตัวไปปกคลุมอวัยวะสำคัญบนร่างเอาไว้พร้อมกับพลังปราณ ที่กระจายออกรอบตัว

‘เกราะนิลกาฬ’

เสียงอุทานดังขึ้นจากจิตนารีธนูและตุลยาเทวีพร้อมกันเมื่อพบว่าร่างผมถูกปก คลุมด้วยเกราะปราณดำสนิททั่วร่าง ขณะที่มวลปราณสีดำสนิทก่อขึ้นที่แขนทั้งสองข้าง ร่างผมสาดพุ่งขึ้นสู่อากาศพร้อมกับที่ประกายแสงของธนูสลายปราณเบี่ยงเบนทิศ ทางตามมา สองแขผมสะบัดฟาดออกราวกงจักรรอบตัวกระจายกาฬปราณออกปะทะกับพลังที่เกรี้ยว กราดสุดแสนของธนูสลายปราณ

………เปรี้ยง…………เปรี้ยง…….เปรี้ยง……………

ประกายแสงเจิดจ้าของธนูสลายปราณกระแทกพลังกาฬปราณระลอกแล้วระลอกเล่า ส่งเสียงกัมปนาทจากการปะทะสะเทือนไปทั่วถ้ำกว้าง แรงปะทะของมวลปราณทั้งสองขุมกระจายออกจนฝุ่นผงที่เคยเป้นร่งมนุษย์นับพันบน พื้นถ้ำปลิวเวียนว่อนจนแทบไม่สามารถเห็นภาพเบื้องหน้าได้ แต่สำหรับผู้ทรงปราณระดับสูงเช่นผม และเทวนารี ม่านหมอกฝุ่นเหล่านี้ไม่มีผลต่อการรับรู้ตำแหน่งของคู่ต่อสู้แม้แต่น้อย

พริบตาที่กระแสพลังของธนูสลายปราณค่อยๆ ลดลง ร่างผมก็หมุนคว้างเข้าหานารีธนูด้วยวิชาคชสีห์เหินบิน ปลายเท้าผมสะกิดหลังเท้าตัวเองก่อเป็นขุมพลังส่งตัวเองขึ้นสูงเหนือร่างนารี ธนูลมหายใจในร่างพลันเปลี่ยนแนวทางการหมุนเวียนพร้อมกับเส้นทางปราณ พลังมหาศาลทะลักออกมาจากจักรวายุที่หน้าท้องด้วยวิชาปราณที่ผมได้เรียนรู้ แต่ไม่เคยใช้ออกมาก่อน…ผมกระหน่ำปราณที่ผนึกขึ้นมาลงสู่นารีธนูที่เบื้อง ล่าง พร้อมกับเสียงอุทานด้วยความแตกตื่นของตุลยาเทวีที่ด้านข้าง

‘พลังมังกรวิบัติ….นี่เป็นวิชาของธิดามังกรฟ้า…’

พลังที่ผมผนึกขึ้นตามแนวทางที่เซี่ยวเล้งถ่ายทอดให้ กระจายออกจากร่างผมดุจมังกรมหึมาครอบคลุมลงหานารีธนู ซึ่งแม้จะมองไม่เห็นแต่ผมรู้ว่าจิตของนารีธนูรับรู้ได้ถึงจินตภาพของมังกร ที่กำลังทะยานเข้าใส่ด้วยอำนาจทำลายล้างไร้ขอบเขต พริบตานั้นร่างนารีธนูพลันย่อกายขดตัวราวลูกบอลกระแสพลังเจิดจ้าสีส้มสุกใส กระจายออกจากร่างราวเข็มแหลมนับหมื่นสายพุ่งขึ้นปะทะกับพลังมังกรวิบัติเต็ม กำลัง

……….บรึม………..

พลังมังกรวิบัติประทะกลุ่มพลังแหลมคมที่พลุ่งขึ้นมาจากร่างนารีธนู จนระเบิดกึกก้อง ร่างผมกระดอนขึ้นสูงด้วยพลังสะท้อน เช่นเดียวกับนารีธนูในร่างที่ขดตัวราวลูกบอลก็ปลิวออกไปจากศูนย์กลางการ ต่อสู้ ก่อนเหยียดร่างออกใช้ปลายเท้าสะกิดผนังถ้ำดีดร่างวาบกลับเขาในตำแหน่งเดิม พร้อมกับที่ผมหมุนกายเป็นวงรอบแล้วรอบเล่าเพื่อสลายพลังที่แฝงมา จนสามารถทิ้งกายลงที่เผชิญหน้ากับนารีธนูอีกครั้ง

‘มังกรวิบัติ…วิชาลับสุดยอดของธิดามังกรฟ้า ถูกท่านเรียนรู้ได้อย่างไร…’

นารีธนูส่งจิตกราดเกรี้ยวมายังผมเป็นครั้งแรก ดวงตาหญิงสาวผู้งามล้ำเลิศทอประกายโกรธแค้นอย่างรุนแรง ก่อนส่งจิตตวาดซ้ำมาอีกครั้ง…

‘ที่แท้ท่านเป็นผู้แอบซ่อนความเลวร้ายไว้ในคราบของผู้ทรงความยุติธรรม ท่านต้องใช้วิชามารใดบังคับให้พี่เซี่ยวเล้งถ่ายทอดพลังมังกรวิบัติก่อนที่ จะสังหารนางไป วันนี้หากเรานารีธนูไม่สามารถสังหารท่านแก้แค้นแทนพี่เซี่ยวเล้ง เราก็ไม่ยอมที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก…’

ดวงตาวาววับของนารีธนูปรากฏน้ำตาเอ่อคลอขึ้นบางๆ ระหว่างส่งจิตเกรี้ยวกราดสุดขีดมายังผม พร้อมกับที่ผมสัมผัสได้ถึงพลังปราณมหาศาลที่กำลังก่อตัวขึ้นในร่างนารีธนู สองแขนเรียวงามขาวผ่องเปล่งประกายสีทองเรืองรองขึ้น พร้อมกับจิตของจานีสส่งมายังผมด้วยความแตกตื่น

‘พี่เอ…ระวังไว้ นางกำลังผนึกไตรธนูเพื่อใช้ธนูพิฆาตฟ้า….’

ผมสะท้านใจวูบเมื่อพบว่าประกายแสงสีทองบนสองแขนนารีธนูเริ่มผนึกตัวราวกับ เกราะสีทองที่ปกคลุมสองแขนนั้นไว้ ทำให้ผมต้องรีบรวบรวมปราณในร่างไว้ที่จุดศูนย์พร้อมระเบิดออกรับพลังธนู พิฆาตฟ้าที่ไร้ผุ้ต้านทาน ก่อนที่จะส่งจิตราบเรียบออกไป

‘เรอินะ…เซี่ยวเล้งหาได้ถูกเราสังหารไม่ นางมอบพรหมจารรย์ให้เราทำลายพลังแห่งผลึกราศีด้วยความเต็มใจ และใช้ชีวิตร่วมกับเราในฐานะภรรยา พลังมังกรวิบัตินี้เซี่ยวเล้งเป็นผู้ถ่ายทอดให้เราด้วยตนเอง และเหตุที่เรานำมาใช้กับนารีธนูท่านก็เพราะแม้พลังมังกรวิบัติจะกราดเกรี้ยว รุนแรง แต่เรายังสามารถควบคุมมันได้ ต่างจากกาฬปราณที่หากใช้ในการโจมตีมันจะทำลายล้างทุกสิ่งโดยที่เราไม่สามารถ กำหนดหรือจำกัดผลของมันได้…หลังจากที่เราเคยใช้กาฬปราณกับศัตรูและรับรู้ ผลที่สยดสยองของมัน เราาจึงตั้งใจที่จะใช้กาฬปราณเฉพาะในการตั้งรับเท่านั้น เราไม่เคยต้องการจะสังหารผลาญชีวิตผู้ใดทั้งสิ้น นี่คือความสัตย์จริงทุกประการ…นารีธนูท่านจะเชื่อถือเราหรือไม่ก็แล้วแต่ ตัวท่านเถอะ…’

ตลอดเวลาที่ผมส่งจิตไปอธิบายต่อเทวนารีแห่งราศีธนูเบื้องหน้า ดวงตานารีธนูจับจ้องตาผมไม่กระพริบ ประกายตาที่ดุร้ายค่อยๆ สงบลงทีละน้อยหลังจากที่ผมยืนยันถึงการดำรงอยู่ของเซี่ยวเล้ง และใบหน้าขาวสะอาดนั้นก็เปลี่ยนเป็นแดงเรื่อเมื่อผมบ่งบอกถึงการรับ พรหมจรรย์ของธิดามังกรฟ้าเอาไว้ ดวงตากลมโตค่อยๆ สงบลงพร้อมกับประกายสีทองที่สองแขนก็ค่อยๆ สลายลงจนจางหายไปหลังจากที่ผมกล่าวเสร็จสิ้น ก่อนที่นารีธนูจะส่งจิตแผ่วเบากลับมา

‘ท่านไกรวิทย์ ดวงตาท่าน เสียงที่ปราศจากสำเนียงซ่อนเร้นของท่าน บ่งบอกว่าทุกสิ่งที่ท่านกล่าวล้วนเป็นความจริง เรอินะยินดีกับพี่เซี่ยวเล้งนัก…เพียงแต่เรอินะเสียดายที่การต่อสู้ใน วันนี้จะทำให้เราทั้งสองต้องดับชีวิตไปพร้อมกัน เรอินะประเมินท่านไกรวิทย์และกาฬปราณของท่านต่ำเกินไป การที่ท่านสามารถกำเนิดเกราะนิลกาฬในตำนานขึ้นมา เรอินะก็รับรู้แล้วว่ากาฬปราณของท่านสามารถต่อต้านไตรธนูของเรอินะได้…หน ทางเดียวที่เริอินะจะสังหารท่านมีเพียงการผนึกไตรธนูก่อธนูพิฆาตฟ้าขึ้น เมื่อนั้นท่านไกรวิทย์จะไม่มีทางรอดชีวิตจากอำนาจทำลายฟ้าดินนี้ แต่ตัวเรอินะเองหลังจากใช้ธนูพิฆาตฟ้าก็จะสูญสิ้นปราณป้องกันตัวและอาจต้อง ถูกกาฬปราณของท่านไกรวิทย์สลายร่างไปเช่นกัน…’

ผมจับจ้องดวงตางามที่ทอประกายหม่นหมองของนารีธนูด้วยความสงสัย ก่อนส่งจิตออกไป

‘ในเมื่อเรอินะท่านก็รู้ดีว่าการต่อสู้จะทำให้เราทั้งสองต้องสูญเสีย เหตุใดจึงต้องยืนกรานที่จะต่อสู้ต่อไปอีก..เราไม่เคยต้องการต่อสู้กับท่าน หรือจักรราศีแม้แต่น้อย เรายุติการต่อสู้ในลักษณะนี้จะได้หรือไม่’

ก่อนที่นารีธนูจะส่งจิตตอบ จิตของจานีสก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

‘นั่นเป็นไปไม่ได้หรอกพี่เอ สำหรับเทวนารีแห่งจักรราศี คำสั่งของเทพสุรัสวดีคือบัญชาสูงสุดที่เหล่าเทวนารีไม่สามารถหลีกเลี่ยง ได้..’

จิตที่จานีสส่งออกมาทำให้นารีธนูหันไปจับจ้องดวงตาจานีส ก่อนอนใจเบาๆ

‘ท่านผู้เฒ่าโหราทาสย่อมรู้จักกฏแห่งจักรราศีดีดั่งรู้จักลายมือตนเอง จริงอยู่หากเลือกได้ เรอินะคงไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตกับท่านไกรวิทย์อย่างไร้ประโยชน์ ทุกสิ่งที่ท่านแสดงออกล้วนบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าท่านหาได้เป็นผู้นิยมการ ต่อสู้หรือมุ่งร้ายต่อผู้อื่นไม่…’

ยังไม่มันที่นารีธนูจะส่งจิตครบถ้วน จิตของตุลยาเทวีที่ลอยนิ่งกลางอากาสห่างออกไปก็ส่งมาขัดขึ้น

‘นารีธนู นี่นับเป็นการต่อสู้อันใด ท่านเป็นผู้ขอรับภารกิจนี้จากเราด้วยตนเอง แต่ตอนนี้กลับดูราวกับว่าท่านกำลังพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการต่อสู้…เอา เถอะ หากท่านหวั่นเกรงว่ากาฬปราณของมันจะสังหารท่านให้สูญสิ้นไปพร้อมกัน เราก็จะช่วยเหลือท่านอีกแรง ขอเพียงเราสองร่วมผนึกปราณ ต่อให้กาฬปราณจะทรงอานุภาพเพียงใด มันก็ไม่สามารถต้านทานปราณที่ผนึกร่วมกันของเราได้…นารีธนูท่านจะ..’

ดวงตาบนดวงหน้างามคมคายของนารีธนูที่ได้รับฟังจิตตุลยาเทวีเริ่มทอประกาย เจิดจ้าขึ้นทุกขณะ จนมาถึงประโยคสุดท้ายใบหน้างามนั้นก็กลับเปลี่ยนไป ก่อนส่งจิตกราดเกรี้ยวตัดจิตของตุลยาเทวี

‘จานีน..เสียแรงที่ท่านเป็นเทวนารีแห่งจักรราศรี ท่านบังอาจเสนอการผนึกปราณรุมทำร้ายคู่ต่อสู้ขึ้นมาได้อย่างไร เทวนารีนับแต่โบราณกาลล้วนทำหน้าที่ด้วยศักดิ์ศรี ด้วยคำกล่าวของท่านนี้ เราเรอินะไม่ขอยึดถือท่านเป็นเทวนารีอีกต่อไป และหากเราสามารถมีชีวิตรอดจากการต่อสู้กับท่านไกรวิทย์ เราจะนำความคิดต่ำช้าไร้ยางอายของท่านเสนอต่อจักรราศรี บัดนี้ท่านจงออกไปจากที่นี้ มิฉะนั้นธนูพิฆาตฟ้าของเราจะสังหารท่านเป็นบุคคลแรก…’

พร้อมกับที่นารีธนูส่งจิตประณามตุลยาเทวี สองแขนขาวผ่องของนารีธนูก็ส่งประกายสีทองเรืองรองขึ้นทุกขณะ จนเมื่อจิตถูกส่งครบถ้วนประกายสีทองนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นลูกศรแสงสีทองเจิด จ้าปรากฏขึ้นกลางอากาศพร้อมกับกระแสปราณที่กระจายออกมาเป็นระลอก มือขวาเรียวงามของนารีธนูยกขึ้นขนานพื้น แสงสีทองรูปคันธนูแยกออกจากริมฝ่ามือทั้งสองข้าง

‘จานีน..ท่านจะออกไปหรือไม่….’

จิตที่ทรงพลังมหาศาลกระจายคำพุดออกจากนารีธนูไปยังตุลยาเทวีที่จับจ้องลูกศร สีทองด้วยประกายตาพรั่นพรึง ร่างงามโผพุ่งจากตำแหน่งกลางอากาศวาบไปทางช่องทางออก พร้อมกับส่งจิตที่แฝงสำเนียงอาฆาตแค้นกลับมา

‘เรอินะ…เราจะรอท่านที่จักรราศรี หวังว่าท่านคงมีชีวิตรอดไปถกเหตุผลกับเราต่อหน้าเทพสุรัสวดีเถอะ…’

ร่างตุลยาเทวีพลันหายวับไปในช่องทางออก ขณะที่เสียงทางจิตที่ต่อยๆ จางหายไป ร่างงามในเกราะปราณแห่งเทวนารีราศรีธนูหมุนกลับมาทางผม พลังปราณที่แหลมคมสุดเปรียบปานกระจายออกมาจากลูกศรแสงสีทองที่กำลังพาดอยู่ กับคันธนู ก่อนที่จิตของนารีธนูจะส่งมายังผม

‘ท่านไกรวิทย์…ธนู พิฆาตฟ้าผนึกแล้ว…นี่เป็นการตัดสินผลแพ้ชนะในคราวเดียว เรอินะขอเตือนท่านไว้ว่าทันทีที่ธนูของเรอินะถูกปล่อยออกจากคันศรนี้ จะไม่มีอำนาจใดยับยั้งหรือสกัดกั้นได้ ท่านไกรวิทย์จงผนึกกาฬปราณของท่านต่อต้านเถอะ…’

‘เรอินะ…จำเป็นหรือที่เราทั้งสองจะต้องมาแลกชีวิตกันในที่นี้ เราไม่ต้องการทำร้ายเทวนารีที่ทรงความยุติธรรมเช่นท่านแม้แต่น้อย…’

ผมพยายามส่งจิตเพื่อหาทางยุติการต่อสู้ที่ไร้เหตุผลลครั้งนี้อย่างเต็มที่ แต่ขณะเดียวกันความเกรี้ยวกราดแหลมคมของปราณที่กระจายออกมาจากธนูพิฆาตฟ้า ก็ทำให้ผมต้องเร่งเร้ากาฬปราณในร่างขึ้นต่อต้านจนถึงขีดสูงสุด ละอองหมอกสีดำสนิทราวความมืดยามราตรีกระจายออกจากเกราะนิลกาฬ ใยสีดำนับไม่ถ้วนแผ่พลุ่งออกจากทุกรูขุมขน ส่ายไหวไปมาราวกับมีชีวิต พร้อมกับที่ดวงตาคู่งามของนารีธนูจับจ้องผมแน่วนิ่งด้วยแววตาเต็มไปด้วยความ สับสนในใจ แต่จิตที่มั่นคงส่งออกมาด้วยพลังปราณเปี่ยมล้นจนกึกก้องในสมองผม

‘ท่านไกรวิทย์…เรอินะหาได้ต้องการการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ แต่ด้วยหน้าที่และสัตย์วาจาแห่งเทวนารี เป็นตายแล้วแต่ชะตาที่ปวงเทพกำหนด เรอินะไม่มีทางเลือกอื่น……ธนูพิฆาตฟ้าก่อตัวแล้วไม่อาจถอนกลับ …ท่านไกรวิทย์…รับธนู..’

ลูกศรแสงสีทองที่พาดอยู่กับคันธนูที่ผนึกจากปราณพลันสลายวับ แต่จิตผมรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังปราณที่แหลมคมกร้าวแกร่งที่สุดเท่าที่ผมเคย ได้พานพบทะลวงผ่านกาฬปราณที่ผนึกคุ้มครองร่างผมเต็มกำลัง..เสียงแหวกอากาศ ของพลังธนูพิฆาตฟ้าที่ผ่านเข้ามาราวกับคมมีดร้อนแดงตัดผ่านกระแสน้ำเย็นจัด ผมกัดฟันผนึกมวลปราณทั่วร่างไว้ที่ฝ่ามือทั้งสองแผ่พุ่งออกไปปะทะลูกศรไร้ สภาพที่สามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง…

…………..ซู่………………………….

พริบตาที่ธนูพิฆาตฟ้ากระทบกาฬปราณที่ผมผลักออกปะทะ จิตผมก็รับรู้ถึงพลังแหลมคมนับไม่ถ้วนกระจายออกไปจากจุดปะทะ เกิดเสียงซู่ที่ระคายหูแผ่กระจายออกไป พร้อมกับที่พลังแหลมคมของธนูพิฆาตฟ้าที่กระจายออกเลี้ยวกลับสาดพุ่งมายัง ร่างผมทุกทิศทาง และในทันทีที่กระทบม่านกาฬปราณที่กระจายออกรอบตัวผม พลังนั้นก็หมุนวนฉวัดเฉวียนรอบร่างผมราวลูกกลมพลังงานที่กักผมไว้ภายใน พลังแหลมคมเสียดกระดูกพยายามทะลุทะลวงเข้ามาภายในม่านพลัง ซึ่งแม้จะยังไม่สามารถทำลายปราณคุ้มครองร่างผมของผมได้ แต่ก็บังคับให้ผมต้องกระจายปราณทั้งหมดออกไปทั่วเกราะนิลกาฬเพื่อต่อต้าน พลังแหลมคมที่ทะลวงผ่านเข้ามาจนผิวกายผมใต้เกราะปราณยังรับรู้ได้ถึงความ รุนแรงที่กำลังพยายามบดขยี้ทุกสิ่งในรัศมี

แม้ผมจะตกอยู่ภายใต้พลังแห่งธนูพิฆาตฟ้า แต่ตาผมก็ยังสามารถรับรู้สภาพของนารีธนูที่ตรงข้ามได้ ร่างงามที่ยังคงยึดกุมคันธนูแสงสีทองยังคงยืนหยัดอยู่ท่วงท่าเดิม ประกายแสงสีทองที่สว่างจ้าจากคันศรเป็นสัญญลักษณ์ของการเร่งปราณควบคุมพลัง แห่งธนูพิฆาตฟ้า ดวงหน้างามคมคายซีดเผือกไร้สีเลือด ท่อนแขนขวาซึ่งกุมคันศรสีทองที่เคยขาวผ่องราวหิมะกลับถูกปกคลุมด้วยสีดำสนิท ที่ค่อยๆ กระจายลุกลามขึ้นไปใกล้ข้อศอก จนท่อนแขนนั้นสั่นระริก สภาพที่เห็นทำให้ผมรู้ในทันทีว่าพริบตาที่พลังธนูพิฆาตฟ้ากระทบกาฬปราณและ กระจายตัวออกนั้น กาฬปราณก็แทรกเข้าไปในท่านปราณป้องกันตัวของนารีธนูได้เช่นกัน และจะสลายร่างงามเหนือโลกนั้นในทันทีที่ปราณป้องกันร่างสูญสิ้นไป

ปราณ ทั่วร่างผมผนึกรวมกันอยู่ที่เกราะนิลกาฬกระจายออกเป็นม่านปราณต่อต้านอำนาจ ทำลายล้างของธนูพิฆาตฟ้า ใจผมสั่นสะท้านเมื่อพบว่าพลังแหลมคมที่ฉวัดเฉวียนอยู่รอบกายนั้นยังคงทะลวง เข้ามาราวกับปราศจากที่สิ้นสุด แต่ใบหน้าเคร่งเครียดของนารีธนูที่กำลังปรากฏเม็ดเหงื่อไหลซึมออกมา บ่งบอกว่าเทวนารีแห่งราศีธนูผู้นี้ก็กำลังทุมเทปราณทั่วร่างเข้าทำลายกาฬ ปราณของผมเช่นกัน สภาพเช่นนี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจนว่าพลังแห่งธนูพิฆาตฟ้าที่ไร้ผุ้ ต่อต้าน กับกาฬปราณสุดยอวิชาปราณเทพเจ้าที่หายสาบสูญไปกว่าหมื่นปีนั้น ไม่มีฝ่ายใดเหนือกว่า ปราณทั้งสองจึงกลับกลายเป็นต่อสู้ด้วยพลังปราณโดยตรงซึ่งผู้ที่จะชนะก็คือ ผู้ที่มีปราณเหนือกว่าที่สามารถยืนหยัดต่อต้านจนอีกฝ่ายหนึ่งสูญสิ้นปราณไป
พลังจากการยันกันของปราณทั้งสองหมุนวนอยู่รอบตัวผมและนารีธนูจนฝุ่นซึ่งปก คลุมพื้นถ้ำปลิวว่อน แต่ภายในรัศมีพลังปราณไม่มีสิ่งใดหลุดรอดเข้าได้

เวลา ผ่านไปราวกับชั่วกัลป์ ผมอดใจหายวูบไม่ได้เมื่อพบว่าปราณในร่างผมกำลังเริ่มขาดช่วงลงจนความแหลมคม ของธนูพิฆาตฟ้าสามารถเสียดแทงเข้ามากระทบผิวกายได้ เกราะนิลกาฬที่เคยเปล่งละอองสีดำสนิทเริ่มอ่อนจางลงเป็นสีเทาเข้มอย่างช้าๆ เป็นสัญญาณของปราณที่กลังมาถึงขีดจำกัด แต่ภาพของนารีธนูที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็บอกให้ผมรู้ว่าเทวนารีผู้เปี่ยม ความยุติธรรมผู้นี้ก็ไม่มีสภาพที่ดีไปกว่าผมแม้แต่น้อย ใบหน้างามปรากฏเหงื่อผุดขึ้นเป็นเม็ดๆ ผิวท่อนแขนที่ถูกกาฬปราณแทรกซึมแผ่ขยายขึ้นไปทุกขณะจนลำแขนกลมกลึงที่เคย ขาวสะอาดปราศจากตำหนิใดๆ กลับกลายเป็นสีดำสนิท เกราะปราณสีส้มเจิดจ้าของเทวนารีแห่งราศีธนูอ่อนแสงลงจนหม่นหมอง เกราะปราณที่ประสานปิดบังอวัยวะคำคัญของร่างกายท่อนบนเริ่มกลายสภาพโปร่งแสง จนสองเต้าเต่งตึงที่ประดับด้วยปลายสีชมพูสดปรากฏให้เห็นรำไร เช่นเดียวกับเกราะปราณที่ปิดคลุมเนินเนื้อเบื้องล่าง ซึ่งค่อยๆ เปลี่ยนสภาพจนเนินรักอวบอิ่มที่ประดับด้วยเส้นขนสลวยรำไรปรากฏความงามของมัน ต่อสายตาผม อน่างไรก็ตามในสภาพของการต่อสู้ที่กำลังใกล้ถึงขีดจำกัดแห่งปราณนี้ ความงามเบื้องหน้าไม่สามารถกระตุ้นอารให้ผมเกิดความรู้สึกใดๆ ขึ้นมาได้ นอกจากการสำรวมจิตต่อต้านอำนาจแห่งธนูพิฆาตฟ้าอย่างเต็มกำลังและดูเหมือนว่า การต่อสู้ในครั้งนี้จะจบลงด้วยความตายของทั้งคู่ ซึ่งผมทราบดีว่านารีธนูก็รับรู้ถึงสภาพที่เกิดขึ้นนี้เช่นกัน ดวงตากลมโตที่จับจ้องตาผมแน่วนิ่งทอแววตระหนกที่แฝงความเศร้าอยู่รางๆ ริมฝีปากน้อยๆ ที่เชิดชันนั้นสั่นระริก ขณะที่ผมรับจิตแผ่วเบาของหญิงสาวดังขึ้นในจิตผม

‘ท่านไกรวิทย์…เรอินะเสียใจจริงๆ ที่พวกเราต้องจบลงแบบนี้…เสียดายนักที่เรอินะไม่สามารถ…’

ก่อนที่จิตของเรอินะจะส่งมาเสร็จสิ้น ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อ เสียงเล็กๆ ของน้องพิมที่อยู่หน้าม่านพลังปฏิสารเบื้องหลังผมอุทานออกมาอย่างตื่นตกใจ..

“พี่เอระวัง นังคนเลวมาอยู่ข้างหลังพี่สาวคนนี้แล้ว….”

เสียงของน้องพิมที่ร้องออกมาเป็นภาษาไทยแต่นารีธนูซึ่งแฝงตัวเคลื่อนไหวอยู่ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ก็สามารถเข้าใจได้ในทันที ร่างงามในเกราะปราณแห่งเทวนารีราศรีธนูสะท้านเฮือก ผมรับรู้ได้ถึงมวลปราณมหาศาลทะลักเข้าหานารีธนูจากด้านหลัง พร้อมกับจิตที่กราดเกรี้ยวของตุลยาเทวีดังกึกก้อง

‘พวกเจ้าทั้งหมดจงดับสูญไปพร้อมกันเถอะ…’

…………………เปรี้ยง………………………

เสียงระเบิดกึกก้องเมื่อปราณจักราคู่ของตุลาเทวีกระหน่ำใส่แผ่นหลังของนารี ธนูซึ่งมีพียงเกราะปราณที่กำลังใกล้สลายปกป้องเอาไว้ ร่างงามของนารีธนูกระเด็นเข้าหาผมตามแรงปะทะ พลังธนูพิฆาตฟ้าที่เคยหมุนวนรอบกายผมสูญสลายไปในพริบตา พร้อมกันนั้นกาฬปราณที่อ่อนล้าของผมก็ถูกพลังเกรี้ยวกราดของปราณจักราคู่ ทำลายเป็นช่องว่าง ส่งร่างนารีธนูและปราณจักราค่าปะทะร่างผมเต็มที่

………….ตูม…………

ร่างงามของนารีธนูที่ปราศจากพลังปราณใดๆ กระแทกเข้ากับร่างผม พลังปราณจักราคู่ที่แฝงมาเบื้องหลังกระหน่ำปราณคุ้มครองกายผมแตกสลาย เกราะนิลกาฬหายวับไปในทันทีเช่นเดียวกับเกราะปราณของนารีธนู ทำให้ทั้งผมและเรอินะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ผมกัดฟันรวบรวมกำลังกอดร่างเทวนารีแห่งราศรีธนูไว้แน่นขณะที่ร่างกระเด็นไป ตามการปะทะ จนทรุดฮวบลงบนลานหินเล็กๆ ข้างจานีสและน้องพิม หน้าถ้ำวงกลมที่ปิดกั้นไว้ด้วยม่านปฏิสารที่ไม่มีสิ่งใดผ่านเข้าไปได้

‘พี่เอ…’

“พี่เอ..เป็นอะไรหรือเปล่า….”

จิตจานีสและเสียงของน้องพิมร้องออกมาพร้อมกัน เด็กสาวทั้งสองผวาเข้ากอดผมไว้ด้วยความตกใจ ขณะที่กลางอากาศเบื้องหน้าปรากฏร่างงามในเกราะปราณโปร่งใสของตุลยาเทวีขึ้น พร้อมจิตที่ส่งออกมาอย่างเย้ยหยัน

‘เท่านี้ศัตรูแห่งจักรราศีทั้งสองก็จะดับสูญไปพร้อมกัน…นารีธนู เห็นแก่เจ้าก็เป็นหนึ่งในเทวนารี เจ้ามีสิ่งใดก่อนตายหรือไม่..’

จิตที่ตุลยาเทวีส่งออกมาทำให้ผมสะท้านใจอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับร่างเปล่าเปลือยของนารีธนูที่กำลังสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดใน วงแขนผมก็สะดุ้งสุดตัว ร่างงามพยายามพลิกตัวกลับไปจ้องมองตุลยาเทวีอย่างยากเย็น พร้อมส่งจิตที่แฝงความขุ่นแค้นผสานความสับสนออกไป

‘ตุลยาเทวี ท่านบังอาจฝืนสัตย์วาจาแห่งเทวนารี ลอบทำร้ายเราทั้งที่รู้ว่าเรากำลังแลกชีวิตกับท่านไกรวิทย์จนไม่สามารถ ป้องกันตัวเอง…นี่นับเป็นวิถีแห่งเทวนารีหรือ ท่านไม่เกรงกลัวมหาทัณฑ์แห่งสองมหาเทพสูงสุดของจักรวาลจะลงทัณฑ์ท่านตามคำ สาบานที่ให้ไว้..ท่านต้องตกตายอย่างอนาถสูญสิ้นแม้กระทั่งวิญญานจะกลับมา เวียนว่ายในสังขารวัฏ…’

จิตนารีธนูที่ส่งออกไปค่อยๆ อ่อนล้าลงทุกขณะ เมื่อกาฬปราณที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างเริ่มคืบคลานขึ้นไปตามท่อนแขนเนื่องจาก ปราณในร่างเทวนารีแห่งราศรีธนูกำลังใกล้แตกสลาย สภาพที่เห้นทำให้ผมต้องฝืนผนึกปราณที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดในร่างถ่ายเข้าไป ในจักรปราณนารีธนู ซึ่งแม้จะไม่สามารถสลายกาฬปราณได้ แต่การลุกลามของสีดำที่ท่อนแขนก็หยุดชะงักลงชั่วขณะ ปราณที่ถ่ายเข้าสู่ร่างทำให้นารีธนูหันดวงหน้ามาจับจ้องตาผมอย่างงุนงง ดวงตางามที่ประกายเริ่มแตกซ่านทอแววสับสน ริมฝีปากน้อยๆ ทที่มีเลือดไหลซึมออกมาตามมุมปากสั่นเบาๆ คล้ายกับพยายามยามจะกล่าววาจาใด แต่จิตตุลยาเทวีพลันดังขึ้นในสมองของผมและนารีธนู

‘เฮอะ…สัตย์วาจาใดไม่เหนือกว่าบัญชาแห่งเทพสุรัสวดี เรอินะผู้โง่เขลา เราของบอกเจ้าก่อนตายว่าพฤติการณ์ดื้อรั้นขัดต่อคำสั่งของเทพสุรัสวดีของ เจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น ล้วนมีโทษถึงสลายสังขาร แต่เทพสุรัสวดีเห็นว่าเจ้าเป็นผู้สำเร็จวิชาธนูพิฆาตฟ้าที่สาบสูญ จึงยอมอดทนให้เจ้าแสดงความเห้นคัดค้านคำสั่งในที่ประชุมจักรราศี แต่บัดนี้ เทวนารีรุ่นต่อไปที่เทพสุรัสวดีคัดเลือกมาด้วยตนเองได้บรรลุการผสานพลังของ ตนเองกับพลังแห่งผลึกราศีแล้ว เรอินะท่านไม่มีความจำเป็นต่อจักรราศรีอีกต่อไป จงมอบพลังของผลึกราศรีธนูกลับสู่แชงกรีล่าเพื่อถ่ายทอดต่อให้นารีธนูที่แท้ จริงเถอะ…’

ทันทีที่จิตตุลยาเทวีส่งคำกล่าวเสร็จสิ้น ร่างงามเหนือโลกในเกราะปราณผลึกใสก็ส่งประกายเรืองรองเจิดจ้าขึ้น พลังปราณมหาศาลก่อตัวรวมศูนย์ที่ร่างของตุลยาเทวี ความรุนแรงของมันทำให้แม้กระทั่งจิตและปราณที่จิตที่อ่อนล้าของผมยังรับรู้ ได้ว่าตุลยาเทวีผนึกปราณโดยใช้ร่างเป็นแกนกลางกระจายออกเป็นมวลพลังรูปจาน ที่แขนทั้งสองข้าง ราวกับแกนกลางของคันชั่งที่มีจานรองรับทั้งสองด้าน เพียงแต่มวลพลังรูปจานนั้นหาใช่จานไม่ แต่กลับเป็นกงจักรที่บางและคมกริบหมุนวนอยู่ที่สองฝ่ามือ

พริบตาที่พลังของตุลยาเทวีก่อตัวขึ้นพร้อมระเบิดออกทำลายผม นารีธนู จานีส และน้องพิมให้สลายเป็นเศษธุลี พลังประหลาดขุมหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นที่ท้องน้อยผมแล้วแผ่ซ่านเข้าสู่ร่าง แต่พลังนั้นกลับไม่ใช่ปราณหากเป็นกระแสพลังชีวิตอบอุ่นที่ผมรู้สึกคุ้นเคย ราวกับเคยสัมผัสมาก่อน พลังที่แผ่กระจายแม้จะไม่สามารถฟื้นปราณในร่างผมให้สามารถต่อต้านตุลยาเทวี ได้ แต่ก็ทำให้ผมสามารถผยันร่างขึ้นช้าๆ โดยมีร่างนารีธนูอยู่ในวงแขน ก่อนส่งจิตไปยังศัตรูที่กำลังจะทำลายชีวิตของผมไปตลอดกาล

‘ตุลยาเทวี ท่านหากสามารถก็จงสังหารพวกเราทั้งหมดพร้อมกัน พวกเราไม่ขอร้องชีวิตต่อท่าน แต่ท่านจงจำไว้ว่าสัตย์วาจาแห่งผู้ทรงปราณนั้นจะตามสนองผู้ตระบัดสัตย์อย่าง ไม่ผิดพลาด เรามั่นใจว่าอีกไม่นานเราจะได้เห็นท่านในอีกโลกหนึ่ง ที่ท่านจะต้องทรมาณไปทุคติภูมิชั่วนิรันดร์..’

‘บัดซบ….พวกเจ้าทั้งหมดจะไม่มีโอกาสได้เวียนว่ายในสามโลกอีก เราจะทำลายพวกเจ้าทั้งสังขารและวิญญาณในคราวเดียว…’

สองแขนตุลยาเทวีสะบัดวูบส่งปราณรูปกงจักรทั้งสองหมุนคว้างเข้าหาผม พร้อมกับจิตผมรับได้ถึงพลังจิตมหาศาลที่ทะลักตามหลังปราณจักราคู่ จิตที่อ่อนล้าของนารีธนูที่สัมผัสถึงพลังจิตที่ตามมาได้เช่นกันส่งเสียงสั่น สะท้าน

‘จบสิ้นกัน…นั่นคือจิตราสูญ’

จิตที่สิ้นหวังของ นารีธนู ทำให้ผมอดเสียใจไม่ได้ที่ไม่สามารถปกป้องทุกคนจากศัตรูเบือ้งหน้า จิตผมตกอยู่ในสภาพทอดอาลัยถึงขีดสุด วงแขนกระชับร่างนารีธนูไว้แน่นพร้อมกับรับรู้ว่าจานีสกับน้องพิมก็กอดร่างผม ไว้ทั้งสองด้านเช่นกัน

‘พวกเราคงสิ้นสุดเพียงเท่านี้..พี่ขอโทษทุกคนด้วย…’

ผมส่งจิตและคำพูดออกไปพร้อมกัน แต่ในพริบตาที่จิตผมปล่อยวางทุกอย่าง แสงสว่างประหลาดพลันเจิดจ้าขึ้นเบื้องหลัง ก่อตัวเป็นมวลแสงล้อมรอบร่างผม นารีธนู จานีส และน้องพิมเอาไว้ราวลูกบอลทรงกลม ภาพมวลปราณจักรราคู่ที่พุ่งเข้าหากลับดูจะเคลื่อนที่ช้าลง พร้อมกับที่กระแสเสียงประหลาดซึ่งผมเคยได้ยินดังขึ้นในสมองผม

‘จิตไร้ขอบเขต กาลไร้ที่สุด อดีตไร้ความทรงจำ ปัจจุบันไร้อัตตา อนาคตไร้กำหนด จักรในกายไร้ตำแหน่ง ปราณไร้จุดศูนย์ ทุกสิ่งสมบูรณ์พร้อม น้อมจิตผ่านทางมาหาเรา…..คันชั่งน้อย เจ้ายังขบคิดไม่ออกอีกหรือ…’

จิตที่อ่อนล้าของจานีสพลันดังขึ้นอย่างร้อนรน

‘พี่เอ…ไร้ปราณ ไร้จักร ไร้ทุกสิ่งแม้กระทั่งความหวังในอนาคต…ม่านปฏิสารเปิดทางให้พวกเราแล้ว’

ทันทีที่จานีสส่งจิตออกมา ลูกกลมแสงที่ล้อมรอบอยู่ก็หดตัวลงห่อหุ้มร่างผม นารีธนู จานีส และน้องพิมไว้ราวกับรังไหม แรงดึงดูดมหาศาลดึงร่างทุกคนหายเข้าไปในช่องวงกลม ในเวลาเดียวกันกับที่มวลพลังปราณจักราคู่และจิตราสูญของตุลยาเทวีกระหน่ำลง ไปที่ม่านปฏิสาร

———————————-

………………..ครืน………………………

ทันที่ปราณจักราคู่กระแทกม่านปฏิสารที่เปิดออกรับร่างของไกรวิทย์ พลังทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนหายเข้าไปในวงกลมศิลา โดยปราศจากร่องรอย ร่างตุลยาเทวีก็ถลันวาบตามเข้ามายังม่านปฏิสาร แต่ตุลยาเทวีก็ต้องแผดร้องออกมาด้วยความตกใจจสุดขีด

“ไม่…ไม่ เป็นไปไม่ได้….”

พลังจิตราสูญที่ตุลยาเทวีกระหน่ำตามหลังปราณจักราคู่กลับไม่ถูกดูดกลืนเช่น ปราณ แต่กลับถุกท่านปฏิสารสะท้อนกลับมาด้วยพลังจิตที่เข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่า แทรกผ่านจิตที่ปราศจากการป้องกันของตุลยาเทวีราวกับลมพายุพัดผ่าน จิตและความรู้สึกรับรู้ทั้งปวงของเทวนารีแห่งจักรราศรีตุลย์ดับวูบลงภายใต้ จิตราสูญ ส่งจิตเข้าสู่มิติไร้กาลที่มีแต่เพียงความทรงจำที่ไร้จุดหมายดำรงอยู่ ร่างงามพลันทรุดฮวบลงกับลานหินหน้าม่านปฏิสาร เกราะปราณสลายตัวหายวับทิ้งร่างเปลือยเปล่าของตุลยาเทวีให้นอนสงบนิ่งอยู่ ราวกับไร้ชีวิต

อึดใจต่อมาแสงเรืองรองกลับก่อตัวขึ้นที่ม่านปฏิสารอีกครั้ง กลุ่มก้อนแสงกระจายออกปกคลุมร่างตุลยาเทวีไว้ครู่หนึ่ง ก่อนหดตัวลงตามรูปร่างหญิงสาวแล้วดูดร่างนั้นเข้าไปภายใน ทิ้งไว้แต่เพียงความมืดและความเงียบให้กลับมาปกคลุมถ้ำกว้างใหญ่อีกครั้งดัง เช่นที่เคยเป็นมานับพันปี…

Related

Prev
Next

Comments for chapter "The Zodiac บทที่ 5.3.4 ศิลาปฏิสาร"

MANGA DISCUSSION

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*

*

Tags:
เรื่องเสียวซีรี่ย์

© 2025 Madara Inc. All rights reserved