The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 5.3.3 ศิลาปฏิสาร
The Zodiac บทที่ 5.3.3 ศิลาปฏิสาร
‘แล้วเทวะนารีแห่งราศีตุลย์ล่ะจานีส..’
‘เทวนารีแห่วราศีตุลย์มีนามว่าจานีน ได้รับการขนานนามจากเทพสุรสวดีเป็นตุลยาเทวี นางเป็นผู้เดียวในเหล่าเทวนารีแห่งจักรราศีที่มีความเป็นมาลึกลับที่สุด มีเพียงเทพสุรัสวดีเท่านั้นที่ทราบว่านางมาจากตระกูลผู้ทรงปราณใด เพราะเทพสุรัสวดีจะเป็นคัดเลือก ผู้สืบต่อตำแหน่งเทวนารีแห่งราศีตุลย์ด้วยตนเอง ที่แปลกก็คือไม่มีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าของนาง ทุกครั้งที่ปรากฏกายนางจะคลุมผ้าสีเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นอกจากนี้ปราณของนางนั้นยิ่งลึกลับมากกว่า เพราะนับตั้งแต่นางปฏิบัติหน้าที่ ไม่เคยมีผู้ใดเสียชีวิตจากการลงมือของนางเลยแม้แต่คนเดียว’
‘จานีสหมายความว่านางไม่นิยมการต่อสู้หรือว่าปราณของนางไม่สูงเทียบเท่าเหล่าเทวนารีคนอื่น.จนไม่สามารถสังหารศัตรูได้.’
‘ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกพี่เอ….ผู้ที่ถูกนางลงมื่อนั้น ล้วนแต่สูญสิ้นจิตวิญญานใช้ชีวิตอยู่ต่อไปดังหุ่นกระบอกที่ไม่สามารถ ดำรงความเป็นตัวของตัวเองได้อีก นับว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่าความตายด้วยซ้ำไป’
‘นี่เป็นวิชาปราณใดกันหรือจานีส จึงทำให้คนสูญสิ้นจิตวิญญานได้’
‘ปราณของนางขนานนามว่าจิตราสูญ แม้จานีสจะไม่เคยพบเห็นปราณนี้ แต่จานีสเชื่อว่าปราณของนางน่าจะเป็นปราณจิตที่ไร้รูปไร้สภาพ มุ่งโจมตีและควบคุมจิตของฝ่ายตรงข้ามและทำลายลงโดยไม่กระทบต่อร่างกายภาย นอก’
‘ถ้าเช่นนั้นแสดงว่านางไม่มีการใช้ปราณเร่งเร้ากระบวนท่าในการต่อสู้ใช่ไหม’
‘เท่าที่จานีสจำได้ ครั้งหนึ่งเหล่าเทวนารีที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ได้ประลองวิชาปราณกัน ครั้งนั้นตุลยาเทวีไม่ใช้ปราณใดๆ ตอบโต้การโจมตีทั้งสิ้น นางเพียงใช้ท่าร่างที่ราวกับเงามายาหลบหลีกมวลปราณที่โจมตีโดยไม่มีผู้ใด สามารถกระทบแม้แต่เสื้อคลุมของนางได้ แม้กระทั่งวิชาปราณมังกรฟ้าของเซี่ยวเล้งที่ครอบคลุมโอบล้อมคู่ต่อสู้อย่าง แน่นหนา ยังถูกนางหลบออกจากม่านปราณได้โดยไม่มีผู้ใดเห็นว่านางหนีรอดออกมาจากตาข่าย ปราณของเซี่ยวเล้งได้อย่างไร ด้วยท่าร่างนี้จึงทำให้นางเป็นเทวนารีองค์เดียวในจักรราศีที่ไม่เคยสวมใส่ เกราะปราณของนางเลย’
‘การโจมตีด้วยจิตปราณ และท่าร่างที่ไม่สามารถกระทบถูกได้ แบบนี้หากพี่ต้องต่อสู้กับนางจะใช่วิธีใดเอาชนะได้ล่ะจานีส…’
‘จานีสได้แต่หวังว่าพี่เอจะไม่ต้องเผชิญหน้านางเท่านั้น….’
######################################################
คำบอกเล่าเรื่องเทวนารีแห่งจักรราศีตุลย์ของจานีส หวนกลับมาในความทรงจำของผมในทันที่รู้ว่าร่างอ้อนแอ้นที่ห่อคลุมไว้ด้วยผ้า สีเทาเบื้องหน้านี้คือตุลยาเทวี ผู้ลึกลับอันดับหนึ่งในจักรราศีที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นโฉมหน้าหรือล่วงรู้ แนวทางวิชาปราณที่ใช้ เสียงหายใจกระชั้นของจานีสที่ด้านข้างทำให้ผมรู้ว่าเด็กสาวกำลังตระหนกต่อ การปรากฏกายที่เหนือความคาดหมายครั้งนี้ ผมรีบสะกดความรู้สึกของตนเองและส่งจิตตอบไปอย่างหนักแน่น
‘ที่แท้คือท่านเทวนารีแห่งราศีตุลย์…นับเป็นวาสนาของเรานักที่ได้มีโอกาสพบผู้อยู่เหนือโลกที่เป็นตำนานเล่าขานด้วยตัวเองเช่นนี้’
‘เราตอบคำถามของท่านแล้วตามกฎแห่งผู้ทรงปราณทั้งที่เราไม่จำเป็นต้องตอบ แต่ท่านก็ยังไม่ยินยอมแจ้งชื่อและสำนักปราณของท่านให้เรารู้…นี่นับเป็น วิถีของผู้ทรงปราณหรือ..’
จิตหวานใสที่แฝงสำเนียงขัดเคืองใจดังขึ้นในจิตผม แต่ก่อนที่ผมจะตอบโต้ จิตผมสัมผัสได้ถึงกระสพลังประหลาดที่แผ่ซ่านไปทุกอณูรอบกาย พร้อมกับจิตตุลยาเทวีดังขึ้นต่อเนื่อง
‘แต่หากท่านเข้าใจว่าท่านสวามารถปิดบังความจริงต่อหน้าเราได้นั้น ท่านคิดผิดแล้ว….ท่านคือ…เอ๊ะ…’
จิตตุลยาเทวีที่ส่งมาอย่างสงบต่อเนื่องกลับเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจอย่าง ยิ่ง ผมสัมผัสได้ถึงกระแสพลังประหลาดที่ดูเหมือนจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้น ขณะที่เสียงน้องพิมอุทานขึ้น
“พี่เอ พี่จานีส ประหลาดจัง พิมรู้สึกเหมือนมีใครพยายามพูดกับพิมก็ไม่รู้ แต่พิมไม่พูดด้วยหรอก”
คำพูดของน้องพิม ทำให้พลังประหลาดที่ล้อมรอบผมอยู่จางลงในทันที…ตามมาด้วยจิตกราดเกรี้ยวของตุลยาเทวี
‘พวกท่านเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดจึงมีกระแสพลังปกป้องจิตจากการตรวจสอบของเรา…’
ก่อนที่ผมจะตอบคำถามนั้น จิตจานีสก็ดังขึ้น
‘ท่านเทวนารี การแทรกจิตเข้าตรวจสอบชาวโลกทั้งที่คนๆ นั้นไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูหรือเป็นคู่ต่อสู้ของท่าน ไม่นับว่าเป็นการละเมิดกฏข้อห้ามแห่งเทวนารีหรืออย่างไร’
คำถามจากจิตที่สงบราบเรียบของจานีส ทำให้จิตตุลยาเทวีนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนส่งจิตกลับมาด้วยความสงสัย
‘แม่นางท่านนี้เป็นผู้ใด เหตุใดจึงรู้จักข้อห้ามของเทวนารี เหตุใดท่านจึงสามารถปิดกั้นจิตจากเรา ในเมื่อท่านและเด็กหญิงข้างกายท่านเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ปราศจากปราณเท่านั้น ส่วนท่าน…’
ตุลยาเทวียกแขนขึ้นเผยให้เห็นผิวกายสีน้ำผึ้งนวลเนียนของท่อนแขนและนิ้วเรียวงามที่ชี้มาทางผม ดวงตาหลังท่านผ้าทอประกายเจิดจ้า
‘ท่านคือผู้ทรงปราณอย่างแน่ชัด การที่ท่านสามารถสื่อจิต ความสามารถในการปิดกั้นจิตจากเรา แต่ท่านก็ยังไม่อาจปกปิดปราณในร่างที่ถูกกระจายออกพร้อมต่อสู้ได้ นับแต่เราเผชิญหน้าศัตรูเราไม่เคยพบมนุษย์โลกผู้ใดที่มีปราณเข้มแข็งที่ เทียบเคียงเทวนารีแห่งจักราศีได้เช่นท่านมาก่อน หรือท่านจะเป็นบุคคลที่ถังฮวงรายงานต่อเทพสุรัสวดีเมื่อสามปีที่แล้ว ถังฮวงเล่าถึงบุรุษผู้เป็นทายาทแห่งปราณคชสีห์อันต่ำช้า ผู้ครอบครองอุทกมาร อุทกเทพ และวารีนาคราช บุรุษผู้สามารถใช้กาฬปราณที่สาบสูญไปกว่าหมื่นปีของเทพวิรุณปักขะ บุรุษผู้สาบสูญไปพร้อมกับธิดามังกรฟ้าแห่งราศีมังกร และมิถุกานารีแห่งราศีเมถุน บุรุษผู้กำลังจะก่อเกิดกัลป์สูญที่จะทำลายล้างจักรราศรีและแสงสว่างทั้งมวล บุรุษผู้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจักรราศีพยายามสืบหาแต่ไร้ร่องรอยมาตลอด…..นาม ของบุรุษผู้นั้นคือไกรวิทย์ คชสีห์’
จิตของตุลยาเทวีที่ส่งมายาวเหยียดเพิ่มระดับความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงข้อสัณนิษฐานสุดท้าย จิตที่เคยส่งกระแสหวานใสพลันเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดรุนแรงเมื่อเอ่ยชื่อไกร วิทย์ คชสีห์ของผม ร่างในผ้าคลุมสีเทาเคลื่อนวาบมาลอยตัวมาเผชิญหน้าผมที่หน้าปากทางเข้า อุโมงค์ ซึ่งอยู่เหนือพื้นถ้ำ ก่อนส่งจิตดังสนั่นในสมองผม
‘นั่นคือท่านใช่หรือไม่’
ผมจับจ้องดวงตาที่ส่งประกายอยู่หลังผ้าคลุมหน้าเบาบางด้วยความรู้สึกประหลาด คล้ายเคยพบแววตานี้มาก่อน แต่ผมก็รีบระงับความคิดผนึกพลังปราณลงสู่สองเท้าโคจรในแนววิชาคชสีห์เหินบิน จนหมอกเรืองแสงกลุ่มหนึ่งปรากฏที่เท้ายกร่างผมขึ้นเผชิญหน้ากับตุลยาเทวีใน ระดับเดียวกัน และส่งจิตตอบไปอย่างมั่นคง
‘ท่านเทวนารีมีสายตาล้ำเลิศยิ่ง มิผิด…เราคือไกรวิทย์ คชสีห์ ผู้สืบทอดปราณคชสีห์ของตระกูล…..’
พริบตามที่ผมส่งจิตตอบไป มวลปราณในร่างผมพลันสัมผัสได้ถึงกระแสพลังประหลาดที่แผ่เข้าปกคลุมร่างผมไว้ ราวกับพยายามหาทางแทรกซึมเข้ามา พร้อมกับจิตผมเกิดความรู้สึกราวกับว่ามีผู้พยายามดึงดูดจิตผมออกจากร่าง จนผมต้องกำหนดจิตแยกจากปราณตามแนวทางของปราณราหูเพื่อต่อต้านอย่างเต็ม ที่…
‘เฮอะ……….’
จิตตุลยาเทวีส่งสำเนียงแค่นเสียงออกมา ทำให้ผมรู้ในทันทีว่ากระแสพลังที่กำลังหาทางเข้าสู่ร่างกายและจิตผมมาจาก สตรีเบื้องหน้าผู้นี้ แต่ผมก็ไม่สามารถหาทางตอบโต้อื่นใดได้ เพราะรู้ดีว่าหากมีการเคลื่อนปราณในร่างเพื่อหาทางต่อสู้ ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้พลังที่คุกคามอยู่นี้แทรกซึมเข้ามาในร่างและจิตผม ได้ ซึ่งจากคำบอกเล่าของจานีสเกี่ยวกับปราณของตุลยาเทวีและความรู้สึกที่ผมได้ รับยืนยันได้ว่าผมกำลังถูกปราณจิตที่เข้มแข็งที่สุดโจมตี
“พี่เอ…ไปจ้องหน้ามันทำไม…พี่เอใช้ปราณไล่พวกมันออกไปเถอะ…พิมไม่ชอบ…เอ๊ะ”
เสียงใสๆ ของน้องพิมดังขึ้นเมื่อพบว่าผมกำลังเผชิญหน้าตุลยาเทวีโดยไม่มีการเคลื่อน ไหวใดๆ เป็นระยะเวลานาน จนกระตุ้นความสงสัยของเด็กหญิงให้เกิดขึ้น แต่เสียงของน้องพิมก็ชะงักไปเมื่อจานีสรีบคว้าร่างน้องพิมมากอดไว้และใช้มือ ปิดปากน้อยๆ นั้นทันที ก่อนสั่นศีรษะเป็นเชิงห้าม แต่แม้กระนั้นเสียงของน้องพิมก็ทำให้จิตผมสั่นไหวไปเล็กน้อย เปิดช่องว่างให้กระแสพลังเริ่มฝ่าม่านป้องกันของผมเข้ามา จนผมต้องเร่งสงบใจเป็นสมาธิและผลักดันพลังขุมนั้นให้ถอยออกไปอย่างยาก เย็น…
ถ้ามองจากภายนอกภาพของผมและตุลยาเทวีที่ลอยตัวอยู่หน้าปากทางเข้าอุโมงค์ เหนือพื้นดิน ดูเหมือนเป็นการประจันหน้าอย่างสงบเงียบ แต่ในสภาพที่ผมหลับตาลงเพื่อรวบรวมสมาธินั้น ผมสัมผัสได้ถึงภาพของม่านพลังหนาหนักส่งประกายนวลใยทะลักทะลายเข้าหาผมเป็น ระลอก และเมื่อปะทะกับกาฬปราณที่ผนึกแน่นในร่างผม พลังนั้นก็ม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นวนเวียนรอบร่างผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมีจิตไร้สภาพแผ่ปกคลุมอยู่ด้านนอกรอจังหวะที่แทรกสอดเข้ามาในช่องว่างทุก ขณะ แต่ขณะเดียวกันผมก็รู้ว่าตุลยาเทวีก็รับรู้ถึงปราณในร่างผมที่อัดแน่นพร้อม โจมตีในทันทีที่กระแสปราณและจิตของตุลยาเทวีถอนออกไป และทราบดีว่าหากตนเองถอนพลังและจิตออกไป ปราณทั้งหมดของผมก็จะกระหน่ำเข้าหาทันที ซึ่งแม้ตุลยาเทวีจะมีท่าร่างที่สามารถหลบหลีกการโจมตีได้ตามที่จานีสเคยบอก เล่า แต่ด้วยระยะเผชิญหน้าและอำนาจของกาฬปราณ ผมรู้ดีว่าตุลยาเทวีเองก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะถอนพลังและจิตออกไปอย่างแน่นอน ดังนั้นแม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นเพียงการเผชิญหน้ากันอย่างสงบ แต่สำหรับผมและตุลยาเทวีล้วนรู้ดีว่านี่คือการต่อสู้ทางจิตที่รุนแรงและ อันตรายไม่น้อยกว่าการปะทะด้วยอำนาจปราณทางกายภาพแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปกว่าสิบนาที ขณะที่จิตผมเริ่มตระหนกกับปราณและจิตของตุลยาเทวีซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะลดถอย การคุกคามลงแม้แต่น้อย จิตของตุลยาเทวีก็ดังขึ้นในจิตผมเบาๆ แต่ผมก็ยังสามารถจับสำเนียงที่แฝงความสับสนนั้นได้
‘ท่านไกรวิทย์…ปราณและจิตของท่านเข้มแข็งนัก….หากปล่อยไว้ในลักษณะนี้ ต่อไป เราทั้งสองอาจต้องต่อสู้กันจนจิตต่างดับสลายไปทั้งคู่ เราขอเสนอพักการต่อสู้ชั่วคราวโดยให้ท่านสลายกาฬปราณที่ท่านผนึกอยู่พร้อม กับการถอนจิตของเรา…ท่านเห็นด้วยหรือไม่’
‘เทวนารีแห่งจักราศีมีวาจาเป็นสัจจะ ไม่เคยใช้กลอุบายในการเอาชนะผู้ใด พี่เอรับข้อเสนอของตุลยาเทวีเถอะ…จานีสรับรองว่าตุลยาเทวีจะไม่ฉวยโอกาส ใช้ปราณจิตราสูญกับพี่เอแน่นอน’
จิตจานีสดังแทรกขึ้นมา ทำให้ตุลยาเทวีต้องหันไปมองเด็กสาวด้วยแววตาตื่นตระหนกเมื่อได้ยินจานีสระบุ ชื่อของปราณประจำตัวแห่งเทวนารีราศีตุลย์ ขณะที่ผมส่งจิตตอบกลับไป
‘เรายอมรับข้อเสนอของท่านเทวนารี…’
ทันทีที่จิตผมตอบเสร็จสิ้นกระแสพลังงงานที่ห้อมล้อมและจิตทรงอำนาจที่พยายาม แทรกซึมเข้าสู่ร่างผมก็ถูกถอนออกไปอย่างฉับพลัน เปิดช่องว่างที่หากผมแผ่พุ่งกาฬปราณเข้าโจมตีก็จะทำให้ผมสามารถเอาชนะการ ต่อสู้ในครั้งนี้ในทันที แต่ผมกลับสลายปราณที่ผนึกไว้ไปตามเส้นเลือดในร่างตามสัญญาที่ให้ไว้ ทำให้ตุลยาเทวีผงกศีรษะครั้งหนึ่งก่อนส่งจิตที่ลดกระแสความกราดเกรี้ยวลง อย่างเห็นได้ชัด
‘นับเป็นผู้ที่ทรงเกียรติสมกับที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเรายิ่ง…แต่ก่อนที่ เราจะต้องทำลายท่านตามบัญชาแห่งจักรราศี เราใคร่ขอถามท่านไกรวิทย์ในปมปัญหาบางประการได้หรือไม่’
ผมพยักหน้ารับและส่งจิตตอบไป
‘โดยเนื้อแท้เราและตระกูลคชสีห์ไม่เคยต้องการเป็นศัตรูกับจักรราศี พวกเราเป็นเพียงผู้ทรงปราณธรรมดาที่ถูกกำหนดให้เข้ามาเกี่ยวข้องโดยที่เรา ไม่ต้องการ หากท่านเทวนารีมีความสงสัยประการใดเรายินดีที่จะตอบท่านตามความเป็นจริงทุก ประการ แต่เราก็หวังว่าท่านเทวนารีคงจะตอบข้อสงสัยของเราตามความจริงเช่นกัน’
กระแสจิตของตุลยาเทวีส่งตอบมาทันที แต่ครั้งนี้ผมรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นกระแสจิตที่สงบปราศจากความกราดเกี้ยวที่ เคยมีเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา
‘ท่านไกรวิทย์เก็บงำกลอุบายการเจรจาไว้ลึกซึ้งนัก แต่ในเมื่อเราทั้งสองต้องมีเพียงผู้เดียวที่จะมีชีวิตออกไปจากที่นี่ เราขอรับรองกับท่านว่าเราจะตอบข้อสงสัยของท่านด้วยความจริงทุกประการที่เรา รู้…แต่เราจะขอถามท่านก่อนได้หรือไม่’
‘ท่านเทวนารี โปรดถาม…เราเองก็รับรองว่าจะตอบท่านด้วยความจริงทุกประการ แต่มีข้อแม้ว่าหากคำตอบของเราจะส่งผลไปทำร้ายชีวิตอื่นใดนอกเหนือจากเรา เราจะไม่ตอบคำถามนั้น’
เทวนารีแห่งราศีตุลย์ผงกศีรษะรับ ก่อนส่งจิตถามอย่างหนักแน่น
‘ธิดามังกรฟ้าและมิถุกานารีพ่ายแพ้และถูกท่านสังหารใช่หรือไม่’
ผมนิ่งงันไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามที่คาดไม่ถึง แต่ก็ตอบไปตามความจริง
‘เซี่ยวเล้งไม่ได้พ่ายแพ้แก่เรา นางเพียงมอบพรหมจรรย์ให้เราและสละฐานะเทวนารีแห่งราศีมังกรเพื่ออยู่ร่วมกับ เราในฐานะภรรยา ส่วนมิถุกานารีนั้น นางสูญสลายร่างจากการถูกปราณราหูดูดกลืนปราณหลังจากนางข่มขืนน้องสาวของเรา และไม่สามารถควบคุมพลังจากผลึกราศีในร่างได้จนระเบิดสลายเป็นธุลี…นี่คือ สิ่งที่….’
ยังไม่ทันที่กระแสจิตผมจะส่งไปจนจบข้อความ จิตตุลยาเทวีพลันตวาดก้องด้วยความโกรธอย่างรุนแรง
‘เหลวไหล เราเห็นท่านเป็นผู้มีเกียรติจึงลดตัวมาสนทนากับท่าน แต่ท่านกลับปั้นเรื่องโกหกหลอกลวงเรา..เป็นไปไม่ได้เรารู้จักธิดามังกรฟ้าดี ไม่มีทางที่พลังมังกรวิบัติจะพ่ายแพ้ต่อท่านจนถูกทำลายพรหมจรรย์แห่งเทวนารี และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่นางจะอยู่ร่วมกับศัตรูแห่งจักราศี ส่วนมิถุกานารีนั้นเป็นสตรีนางจะถูกดูดกลืนปราณและไปข่มขืนน้องสาวท่านได้ อย่างไร….’
ก่อนที่ผมจะชี้แจงสิ่งใด จานีสที่ยืนกอดน้องพิมอยู่เบื้องล่างก็ส่งจิตแทรกขึ้น
‘ท่านเทวนารี สิ่งที่พี่เอ เอ้อ ท่านไกรวิทย์บอกต่อท่านนั้นเป็นความจริงทุกประการ ธิดามังกรฟ้ามอบร่างกายอันบริสุทธิ์ให้ท่านไกรวิทย์ด้วยความต้องการของนาง เอง ส่วนมิถุกานารีนั้น ท่านเทวนารีคงไม่ทราบว่านางคือผู้สืบเชื้อสายเผ่าพันธ์บัณฑารีย์ผู้มีสองเพศ ในร่างเดียว นางใช้อวัยวะเพศชายในร่างข่มขืนน้องสาวท่านไกรวิทย์ โดยไม่ตระหนักว่าน้องสาวท่านไกรวิทย์นั้นคือผู้สืบทอดปราณราหูที่แท้จริง ปราณในร่างนางจึงถูกดูดกลืนไป จนไม่สามารถสะกดพลังที่รุนแรงจากผลึกราศรีได้…ทุกสิ่งที่ท่านไกรวิทย์ กล่าวเป็นความจริง หากท่านเทวนารีไม่เชื่อท่านสามารถใช้วิชาจิตกระจ่างของเทวนารีต่อเราได้.. เรายินดีให้ท่านแทรกจิตเข้าตรวจสอบความจำของเรา..’
จิตที่จานีสส่งออกมาทำให้ตุลยาเทวีนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ใบหน้าที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีเทาก้มลงจับจ้องจานีสเขม็ง ก่อนส่งจิตกับจานีส
‘เรารู้จักแยกแยะข้อเท็จจริงจากประกายตา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบจิตของแม่นาง ทุกสิ่งที่ท่านกล่าวมาคือความจริง แต่นั่นทำให้เราตระหนกยิ่งนักเมื่อรู้ว่าเซี่ยวเล้งถึงกับกล้าทรยศต่อ จักรราศีเพื่อบุรุษที่เพิ่งเคยพบหน้า และที่น่าตกใจกว่านั้นคือความเป็นชนเผ่าบัณฑารีย์ของมิถุกานารีที่เราไม่เคย ล่วงรู้มาก่อน ดังนั้นการที่นางข่มขืนน้องสาวของท่านไกรวิทย์จนต้องสูญร่างไปก็นับเป็นสิ่ง ที่นางสมควรได้รับ…แต่ว่า…’
ร่างตุลยาเทวีเคลื่อนลงมาลอยอยู่ตรงหน้าจานีส ก่อนส่งจิตสืบต่อกับจานีส
‘เราได้ยินแม่นางเรียกตัวเองในการติดต่อกับท่านไกรวิทย์ว่าจานีส นั่นคือชื่อของแม่นางและบอกให้เรารู้ว่าแม่นางกำเนิดจากเนปาลเช่นเดียวกับ เรา แต่เรายังสงสัยว่าแม่นางเป็นผู้ใดกันแน่ เพราะแม้แม่นางและท่านไกรวิทย์จะดูเสมือนผู้มีอายุในวัยกลางคน แต่เรารู้ดีว่าท่านทั้งสองล้วนปกปิดร่างกายด้วยวัสดุแปลงโฉมอันแนบเนียน ร่างจริงของแม่นางเป็นเพียงเด็กหญิงเยาว์วัยไม่เกิน 15 ปีเท่านั้น แต่เหตุใดแม่นางจึงรู้จักวิชาเร้นลับแห่งจักราศี เช่นวิชาจิตกระจ่าง หรือแม้กระทั่งวิชาจิตราสูญ ที่มีแต่เหล่าเทวนารีเท่านั้นที่รู้จักนามนี้’
จานีสสั่นศีรษะน้อยๆ ก่อนส่งจิตตอบคำถามอย่างแผ่วเบา
‘จานีสมิใช่บุคคลในโลกแห่งปราณ ขออภัยที่จานีสจำเป็นต้องปฏิเสธที่จะตอบคำถามของท่านเทวนารี…แต่จานีสก็ รู้ดีว่าหากท่านเทวนารีใช้วิชาจิตกระจ่างเข้าตรวจ ความลับทุกประการของจานีสก็จะถูกท่านทราบอยู่ดี…’
ตุลยาเทวีถอนใจยาวก่อนเคลื่อนร่างกลับมาเผชิญหน้าผม…
‘ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้ใช้วิชาจิตกระจ่างตรวจสอบพวกท่าน แต่หากเป็นเราไม่สามารถแทรกผ่านจิตของท่านทั้งสามเข้าไปได้ สำหรับท่านไกรวิทย์เราไม่แปลกใจอันใดเพราะปราณและจิตในร่างท่านเข้มแข็งจน สามารถต้านทานได้ ส่วนแม่นางจานีส การที่แม่นางสามารถสื่อสารทางจิตทั้งที่ไร้ปราณ เราคาดเดาว่าท่านน่าจะได้รับปราณในรูปแบบพลังชีวิตจากท่านไกรวิทย์จนก่อเกิด เกราะป้องกันจิตขึ้นตามธรรมชาติ แต่สำหรับแม่หนูผู้น่ารักคนนี้….’
ตุลยาเทวียกมือขึ้นชี้นิ้วเรียวงามไปยังน้องพิมที่เบื้องล่าง
‘นางปราศจากปราณ อีกทั้งปราศจากความสามารถในการสื่อจิต เป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดาแต่เรากลับไม่สามารถแทรกจิตเข้าไปเช่นกัน ทั้งที่ในทีแรกเราสามารถแทรกเข้าไปได้บางส่วนแต่ทันใดจิตของนางกลับกลายเป็น เวิ้งว้างว่างเปล่า จิตทั้งหมดกลับซุกซ่อนตัวเองลงไปในจิตส่วนใต้สำนึกที่ไม่มีผู้ใดเข้าถึงได้ …พวกท่านทั้งสามมีความเป็นมาที่แปลกประหลาดยิ่งนัก’
ผมระบายลมหายใจออกมาเบาๆ กับสิ่งที่จิตตุลยาเทวีถ่ายทอดออกมา เพราะนั่นหมายความว่าความลับของตระกูลคชสีห์ยังไม่ถูกค้นพบจากเทวนารีผู้ เป็นเลิศในพลังจิตผู้นี้ ผมจับจ้องดวงตาเป็นประกายที่สบตาผมเบื้องหน้า ก่อนส่งจิตกลับไป
‘ไม่ทราบว่าท่านเทวนารีจะบอกให้พวกเราทราบได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงสามารถตามพวกเรามาถึงที่นี้ได้…’
ผมตั้งคำถามอย่างระมัดระวังเพื่อตรวจสอบว่าจักราศีรู้ความลับของตระกูล คชสีห์มากน้อยเพียงใด เพราะหากร่องรอยของผมถูกพบตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากบ้าน ก็หมายความว่าการถูกโจมตีจากจักรราศีเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อย่างแน่นอน และนั่นหมายถึงกว่า 300 ชีวิตของตระกูลคชสีห์และโรหิณี ที่จะต้องประสบภัย แต่ผมกลับต้องประหลาดใจเมื่อตุลยาเทวีกลับส่งเสียงหัวเราะเบาๆ
‘ท่านไกรวิทย์เข้าใจผิดแล้ว…เรามิได้ติดตามท่านมาแต่อย่างใด การที่เราพบท่านในที่นี้ล้วนเป็นเหตุบังเอิญ เพราะหน้าที่ของเราคือการตรวจสอบการปรากฏขึ้นอีกครั้งของศิลาปฏิสารต่างหาก’
‘..ศิลาปฏิสาร…ท่านเทวนารีหมายถึงอุโมงค์ศิลาที่เบื้องหลังเราใช่หรือไม่’
ผมส่งจิตถามอีกครั้งโดยแสร้งแฝงสำเนียงตื่นเต้นเข้าไปในจิตเพื่อปกปิดมิให้ ตุลาเทวีรับรู้ว่าผมรู้จักความเป็นมาของศิลาปฏิสารมาก่อน แต่ตุลยาเทวีกลับส่งจิตที่แฝงความขบขันกลับมา
‘ท่านไกรวิทย์ไม่ต้องพยายามปิดบังเราหรอก เรารู้ดีว่าท่านต้องมาที่นี่เพื่อค้นหาศิลาปฏิสาร และท่านต้องล่วงรู้เส้นทางระบุที่ตั้งมาก่อน มิเช่นนั้นท่านจะไม่มีทางมายังสถานที่นี้ได้ แต่อย่างไรเราก็จะตอบคำถามท่านตามความจริง … ปากทางเข้าอุโมงค์ที่ท่านเห็นนั้นไม่ใช่ศิลาปฏิสารหากแต่เป็นทางเข้าไปสู่ ที่ตั้งของมันซึ่งจะปรากฏขึ้นทุกหนึ่งพันปี หากท่านเข้ามาในสถานที่นี้เมื่อวานท่านจะไม่พบอะไรมากไปกว่าถ้ำหินธรรมดา แต่ในวันนี้เป็นวันที่ครบกำหนด พลังของศิลาปฏิสารได้รับการสะท้อนจากดาราจักรต้นกำเนิดเปิดช่องทางที่ถูกปิด กั้นไว้เป็นเวลา 24 ชั่วโมง..’
‘หมายความว่าท่านเทวนารีมาที่นี่เพื่อนำศิลาปฏิสารกลับไปใช่หรือไม่’
ผมอดแทรกจิตถามขึ้นไม่ได้ แต่ตุลยาเทวีกลับส่ายหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีเทาไปมา
‘หามิได้…ไม่มีใครสามารถผ่านม่านปราณปฏิสารนั่นไปได้มาแต่โบราณกาล ในอดีตเคยปรากฏลายแทงที่ตกทอดกันมาระบุที่ตั้งของศิลาปฏิสาร ทำให้มีผู้คนมากมายพยายามเข้ามาเสาะหาแต่ทุกคนที่พยายามผ่านเข้าไปล้วนจบ ชีวิตลงที่นี่ทั้งสิ้น ท่านไกรวิทย์อาจจะไม่ทราบว่าฝุ่นที่พื้นถ้ำแห่งนี้ล้วนเคยเป็นร่างของมนุษย์ ผู้ทรงปราณที่พยายามใช้ปราณตนเองทำลายม่านปราณปฏิสารแต่กลับถูกพลังสะท้อน ของมันทำลายร่างกายเป็นผุยผง ครั้งล่าสุดเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว กองทัพกษัตริย์สิงหวารแห่งอาณาจักรขอมโบราณ ได้เข้ามาในที่นี้ และรวมพลังจากผู้ทรงปราณกว่าร้อยคนจู่โจมทำลายม่านปราณปฏิสารพร้อมกัน แต่ผลที่ได้รับก็คือกองทัพกว่าสองพันนายที่แออัดกันอยู่ในถ้ำรวมทั้งองค์ กษัตริย์สิงหวารเองล้วนถูกพลังสะท้อนที่กลับมาสลายสังขารจนเหลือเพียงฝุ่น ธุลี..’
คำบอกเล่าของตุลยาเทวีทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดเมื่อผมเข้ามาในสถานที่ แห่งนี้จึงเกิดความรู้สึกคล้ายกับว่าเคยพบเห็นมาก่อน นั่นเป็นเพราะสถานที่นี้มีกลิ่นไอความตายของมนุษย์นับพัน เช่นเดียวกับที่ผมเคยประสบในบ่อมังกรของสำนักมังกรฟ้าเมื่อสามปีที่ผ่านมา ต่างกันเพียงในที่นี้ไร้ซึ่งพลังจากผลึกมังกรที่คอยปลุกผู้ตายให้ฟื้นกลับมา รับความทรมาณเช่นในบ่อมังกรเท่านั้น ผมสงบจิตรับฟังเสียงที่เทวนารีแห่วงราศีตุลย์ส่งจิตออกมาอย่างต่อเนื่อง
‘ความลับของศิลาปฏิสารนั้นไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากมวลเทพเจ้าเช่นเทพ สุรัสวดีเท่านั้น เทวนารีรุ่นก่อนหน้าเราก็ไม่มีผู้ใดเคยรับรู้ ยกเว้นแต่ในทุกพันปีเมื่อศิลาปฏิสารปรากฏ เทวนารีแห่งจักรารศีผู้หนึ่งจะได้รับการคัดเลือกจากเทพสุรัสวดีให้เดินทาง ยังสถานที่นี้เพื่อคอยป้องกันมิให้ผู้ใดประสบภัยจากความพยายามเข้าครอบครอง ศิลาปฏิสาร และในรอบพันปีนี้ เราคือเทวนารีผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ เพียงแต่เราไม่คาดคิดเลยว่าท่านไกรวิทย์ ผู้ครองกาฬปราณจะปรากฏตัวในสถานที่นี้ เป็นโอกาสให้เราสามารถยุติกัลป์สูญที่คุกคามจักรราศีได้…’
ผมสูดลมหายใจลึกยาว เพื่อระงับความตึงเครียดที่กำลังก่อตัวขึ้นจากคำบอกกล่าวของตุลยาเทวีที่ บ่งบอกแน่ชัดว่าจะไม่ปล่อยให้ผมรอดพ้นไปจากสถานที่นี้อย่างแน่นอน…
‘หมายความว่าท่านเทวนารีจะต้องสังหารเราในที่นี้…หากเป็นความประสงค์ของ ท่านเราก็พร้อมที่สนองทุกประการ เพียงแต่เรามีเรื่องหนึ่งที่อยากขอจากท่านเทวนารี คือหากเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนต้องสูญชีวิตไป เท่ากับว่ากัลป์สูญนั้นจะไม่บังเกิด จักรราศีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องติดตามหาตระกูลคชสีห์อีกต่อไป ท่านเทวนารีจะรับรองได้หรือไม่ว่าจักรราศีจะยุติการคุกคามต่อผู้ไม่เกี่ยว ข้องและปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ…’
ผมส่งจิตไปยังตุลยาเทวีราวโดยแฝงสำเนียงหวาดหวั่นราวกับเป็นการสั่งเสีย เรื่องหลังไปด้วย เพื่อให้เข้าใจว่าผมกำลังหมดหวังที่จะต่อสู้ ซึ่งก็ดูจะได้ผลเพราะจิตที่ส่งตอบกลับมาดูจะเป็นจิตที่แฝงความมั่นใจเอาไว้ อย่างเปี่ยมล้น
‘เราขออภัยท่านไกรวิทย์ที่ไม่สามารถละเว้นตระกูลคชสีห์ได้ เพราะตราบใดที่ปราณคชสีห์อันเกิดจากแสงสว่างผสานความมืดดำรงอยู่ โอกาสที่จะเกิดกัลป์สูญจะยังคงดำรงต่อไป ทางเดียวที่จะยุติได้มีเพียงการล้มล้างผู้สืบเชื้อสายของตระกูลคชสีห์และ บริวารทั้งหมดให้สิ้นไปจากโลกนี้เท่านั้น นั่นคือบัญชาขององค์เทพสุรัสวดีที่ไม่มีหนทางต่อรองเปลี่ยนแปลงได้…ท่านจง ยอมรับชะตากรรมเถอะ…’
คำตอบของตุลยาเทวีทำให้ผมต้องขบกรามด้วยความโกรธ แต่ยังคงรักษาความสงบเอาไว้สุดความสามารถ
‘หากจักรราศีต้องการทำลายล้างด้วยอำมหิต ตระกูลคชสีห์ก็พร้อมที่จะสนอง…ท่านเทวนารีเชิญลงมือเถอะ…’
ดวงตาเป็นประกายของตุลยาเทวีจับจ้องผมเขม็ง ก่อนถอนใจเบาๆ ออกมา
‘ท่านไกรวิทย์ต้องพ่ายแพ้แน่นอน…เมื่อครู่เราได้ปะลองจิตกับท่านแล้ว แม้พลังปราณและจิตของท่านจะเข้มแข็งจนเราไม่สามารถแทรกผ่านเข้าไปได้ แต่ขอเพียงสมาธิท่านเบี่ยงจากสมดุลย์เพียงเล็กน้อยช่องโหว่ก็จะเปิดทันที… และวิธีทำให้สมาธิท่านเบี่ยงจากสมดุลนั้นง่ายดายยิ่งนัก เพราะเรารู้ว่าท่านผูกพันอย่างยิ่งกับสตรีสองนางนี้ หากเราเพียงสั่งให้บริวารทั้งสองของเราคร่ากุมพวกนางไว้ ท่านก็ไม่มีทางรักษาสมดุลของจิตได้…ผลแพ้ชนะนี้กำหนดชัดแล้ว…ท่านมี เรื่องราวใดที่จะสอบถามกับเราก็จงถามเป็นครั้งสุดท้าย เรายินดีจะให้ความจริงแก่ผู้ที่ใกล้ดับสูญเช่นท่าน…’
จิตตุลยาเทวีที่ระบุวิธีเอาชนะผมอย่างชัดเจนทำให้ผมใจหายวูบ เพราะรู้ดีว่าหากจานีสและน้องพิมต้องตกอยู่ในอันตราย ผมก็ไม่มีทางรักษาจิตให้พร้อมป้องกันการโจมตีของเทวนารีเบื้องหน้าอย่างแน่ นอน …. หนทางเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้คือต้องหาทางบังคับให้ตุลยาเทวีเข้าปะทะด้วย กระบวนท่าแทนที่จะปล่อยให้ต้องตกเป็นฝ่ายรับจากการโจมตีทางจิตดังที่เคยเกิด ขึ้นเมื่อครู่ ผมสูดลมหายใจลึกผนึกปราณทั่งร่างจนเปี่ยมล้น แต่ก่อนที่ผมจะเริ่มจู่โจม จิตตุลยาเทวีก็ดังขึ้น
‘เรารู้ว่าท่านคงไม่ยอมตกเป็นฝ่ายรับและต้องคิดบังคับให้เราปะทะปราณด้วย กระบวนท่ากับท่าน แต่เพื่อให้ท่านพ่ายแพ้อย่างยินยอมพร้อมใจ …..มาเถอะ..’
ร่างภายใต้เสื้อคลุมสีเทาลอยวาบออกไปยังบริเวณใจกลางถ้ำ ปราณในร่างผมสัมผัสได้ถึงกระแสปราณที่ทะลักออกห่อหุ้มร่างตุลยาเทวีเอาไว้ ผมสาดพุ่งร่างติดตามไปราวประกายไฟ ภาพน้องรินและน้องกิฟท์ถูกกำหนดขึ้นในจิต ก่อเกิดมวลพลังจิตมารสีม่วงในมือซ้ายและกลุ่มหมอกสีแดงสดของอัคคีเทพในมือ ขวา ผมสะบัดมวลพลังทั้งสองกลุ่มออกไปพร้อมกันยังตุลยาเทวีที่ลอยอยู่เบื้องหน้า
……….บรึม……….
……….ซ่า…………
พริบตามที่พลังทั้งสองกลุ่มกระทบเสื้อคลุมสีเทา ภาพเทวนารีแห่งราศีตุลย์เบื้องหน้าก็หายวับไปราวหมอกควัน มวลพลังพุ่งผ่านความว่างเปล่ากระทบผนังถ้ำจนเกิดเสียงกึกก้อง กระแสปั่นป่วนของอากาศกรรโชกให้ฝุ่นที่ปกคลุมอยู่เหนือพื้นถ้ำปลิวว่อนขึ้น มาทั่ว
‘อัคคีเทพ..จิตมาร.. สองสุดยอดวิชาที่หายสาบสูญกลับปรากฏในโลก ถังฮวงมิได้กล่าวโป้ปดจริงๆ นับเป็นวาสนาเราที่ได้เห็น…’
จิตตุลยาเทวีดังขึ้นจากเบื้องหลังทำให้ผมต้องสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บกับ ท่าร่างที่สามารถหลุดพ้นการโจมตีโดยปราศจากเค้ามูลให้สืบสาวทิศทาง ผมรีบผนึกปราณในร่างพร้อมภาพน้องทิพย์ในจิต ก่อเกิดประกายแสงสีฟ้าสดใสแลบแปลบปลาบในสองฝ่ามือก่อนสะบัดไปทางด้านหลังแยก เป็นสองสายซ้ายขวา พร้อมกับร่างที่พลิกกลับไปเผชิญหน้าคู่ต่อสู้
ประกายนาคบาศก์สองสายที่แตกออกเป็นเส้นใยสีฟ้าเคลื่อนวาบเข้าหาร่างตุลยา เทวี ก่อนแยกออกเป็นตาข่ายล้อมร่างที่สงบนิ่งอยู่กลางอากาศเอาไว้ ผมเร่งเร้าปราณบังคับให้นาคบาศก์หดตัวล้อมตุลยาเทวีทุกด้าน ก่อนโถมร่างเข้าหาเพื่อโจมตีด้วยปราณที่ผนึกไว้..
…….ตูม…………..
พลังปราณที่ผมแผ่พุ่งออกทะลวงผ่านม่านนาคบาศก์เข้าปะทะตุลยาเทวีที่ศูนย์ กลาง แต่พริบตาเดียวร่างที่อยู่ภายในตาข่ายนาคบาศก์ก็สบายวับ ปล่อยให้มวลปราณกระแทกไปยังผนังถ้ำอีกด้านจนระเบิดกึกก้อง…พร้อมกับจิตตุ ลยาเทวีดังขึ้นจากเหนือศีรษะผม…
‘นาคบาศก์…วิชาเร้นรับแห่งเผ่าพันธุ์นาคราช….ร้ายกาจยิ่งนัก แต่ยังไม่เพียงพอที่จะกระทบเราหรอก..’
ผมสะท้านใจอย่างรุนแรงกับการปรากฏกายของตุลยาเทวีเหนือศีรษะ ปราณคุ้มครองกายในร่างที่ปกติสามารถจับการเคลื่อนไหวรอบด้านกลับไม่พบแม้แต่ น้อยว่าตุลยาเทวีเคลื่อนกายออกจากนาคบาศก์มายังเหนือศีรษะผมได้อย่างไร ผมตัดสินใจผนึกวิชาคชสีห์เหินบินขึ้นสุดตัวสาดพุ่งร่างขึ้นหาตุลยาเทวีเพื่อ บังคับให้ปะทะกระบวนท่าตรงๆ หมัดคชสีห์ที่พลิกแพลงสุดยอดพุ่งวาบเข้ายังใบหน้าใต้ผ้าคลุม และกระจายออกเป็นเงามายานับสิบครอบคลุมร่างกายท่อนบนตุลยาเทวีไว้ใต้พลัง หมัด
‘คชสีห์ร้อยแปลง…กระบวนท่าลับของมวยคชสีห์…อืมห์…’
จิตตุลยาเทวีดังขึ้น ทำให้ผมอดตื่นตระหนกกับความรอบรู้ของเทวนารีแห่งจักราศีไม่ได้ แต่หมัดทั้งหมดก็ยังคงพุ่งเข้าใส่เป้าหมายโดยไม่เบี่ยงเบน พริบตาที่หมัดกระทบร่างตุลยาเทวี ผมต้องอุทานออกมาด้วยความตระหนกเมื่อพบว่าหมัดที่ผมทุ่มเทพลังปราณเข้าโจมตี นั้นกลับทะลุผ่านร่างตุลยาเทวีที่สลายวับไป ร่างผมถลำไปข้างหน้าอย่งรุนแรงจนต้องรีบถ่วงร่างลงสู่พื้นเพื่อป้องกันการ ถูกโจมตีตอบโต้
‘ดูท่าท่านไม่มีทางสัมผัสร่างเราได้แม้แต่น้อย…ท่านไกรวิทย์จงใช้กาฬปราณ ออกเถอะ มิฉะนั้นท่านคงต้องตกตายโดยคับแค้นใจไปยังสัมปรายภาพแน่…’
จิตตุลยาเทวีดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ก่อนพลิกตัวกลับมาพบว่าร่างของเทวนารีแห่งราศีตุลย์ปักหลักสงบนิ่งอยู่ด้าน หลังผมราวกับเป็นวิญญาณภูติพราย ใจผมสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงสิ่งที่จานีสบอกเกี่ยวกับท่าร่างของตุลยาเทวีที่ รวดเร็วจนแม้กระทั่งเทวนารีด้วยกันก็ยังไม่สามารถหาช่องทางโจมตีได้ สิ่งที่ผมกำลังประสบอยู่บอกให้รู้ว่าคำบอกเล่าของจานีสไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ผมพยายามสะกดความแตกตื่นที่กำลังทำลายความมั่นใจในการต่อสู้ออกไปอย่างยาก ลำบาก ขณะรวบรวมสมาธิกำหนดภาพของน้องริน น้องกิฟท์ ขึ้นพร้อมกันในร่างก่อพลังอัคคีเทพจิตมารมาผนึกรวมที่มือทั้งสองข้างจนเกิด ละอองสีดำสนิทปกคลุม ก่อนกำหนดจิตถึงน้องทิพย์เพื่อส่งนาคบาศก์เข้าผสานทำให้ละอองสีดำนั้นรวมตัว เป็นกลุ่มก้อนสีดำสนิทราวรัตติกาล ก่อนกระจายตัวเป็นเส้นใยหนาแน่นราวตาข่ายออกรอบข้าง ส่วนปลายของข่ายพลังพริ้วไหวรอจิตผมกำหนดเป้าหมายการโจมตี
นี่คือกาฬปราณซึ่งเกิดขึ้นหลังผมผสานวารีนาคราชเข้ากับกาฬปราณเดิมที่ก่อ เกิดจากการผนึกอัคคีเทพและจิตมาร ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมเฝ้าฝึกปรือจนประสบความสำเร็จในการบังคับหมอกกาฬ ปราณให้ผนึกตัวราววัตถุ ซึ่งจากการทดสอบอำนาจในการทำลายของมันก็ทำให้ผมไม่กล้าที่จะใช้ออกอย่างผลี ผลามเพราะกาฬปราณที่ผมฝึกปรือสำเร็จนี้มีพลังทำรายล้างรุนแรงกว่าที่ผ่านมา หลายเท่าตัว และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจำเป็นต้องผนึกขึ้นเพื่อใช้กับศัตรูที่เข้มแข็ง เบื้องหน้า
ดวงตาวาววับของตุลยาเทวีจับจ้องข่ายพลังกาฬปราณเบื้องหน้ไม่กระพริบ เสียงทางจิตที่เคยมั่นคงหนักแน่นเปลี่ยนเป็นสั่นสะท้านเล็กน้อยขณะส่งจิต แผ่วเบาออกมาราวรำพึงกับตนเอง
‘กาฬปราณ..นี่คือกาฬปราณแห่งเทพวิรุณปักขะอย่างแน่ชัด ….แม้จะยังขาดความสมบูรณ์พร้อมอีกช่วงใหญ่ แต่ก็นับวันนี้เรามีวาสนายิ่งที่ได้มีโอกาสรับรู้ปราณที่ไร้ผู้ต่อต้านด้วย ตนเอง…ท่านไกรวิทย์..ระวังไว้….’
ร่างเบื้องหน้าสาดพุ่งเข้าหาผมราวหมอกควันโดยไม่กลัวเกรงต่อกาฬปราณที่รอรับ แม้แต่น้อย ผมรอจนร่างนั้นโถมเข้ามาในระยะของม่านพลังก่อนกำหนดจิตทั้งมวลให้กระจายรัด ตุลยาเทวีเอาไว้ในม่านปราณ….ทันทีที่ข่ายกาฬปราณบรรจบ ผมสูดลมหายใจลึกผนึกพลังทั้งมวลออกจากร่างเข้าสู่ข่ายพลัง กาฬปราณในร่างทะลักทะลายเข้าหาร่างตุลยาเทวีที่หยุดนิ่งอยู่กลางข่าย ราวกับไม่รับรู้ถึงความเกรี้ยวกราดรุนแรงของปราณที่กำลังทะลักเข้าหา
..…….พรึ่บ…………….
ทันทีที่กาฬปราณกระทบร่างตุลยาเทวี ร่างในผ้าคลุมสีเทาก็หายวับไปกับสายตา พร้อมกับกระแสจิตมหาศาลทะลักทะลายลงมาจากเบื้องบน ใจผมสั่นสะท้านอย่างรุนแรง จิตในร่างเร่งเร้าดึงพลังที่ส่งออกไปกลับสู่ร่างได้เพียงบางส่วน จิตที่ขาดพลังคุ้มกันของผมแตกกระจายขณะเสียงตวาดสดใสดังกึกก้องในจิตผม
‘จิตราสูญ…..’
………..ม่านสีดำสนิทปกคลุมจิตผม…ความรู้สึกทั้งมวลดับวูบลง……
————————————————-
################################
……………
…………….เฮียวิทย์….
…………….เฮียวิทย์……
เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นข้างหูเบาๆ ก่อนเพิ่มความดังขึ้นทีละน้อย แขนผมถูกเขย่าไปมาเบาๆ ปลุกความรู้สึกให้กลับมาสู่ร่างอย่างช้าๆ…
“เฮ้ย เฮ้ย…เฮียวิทย์ฟื้นแล้ว…ไปเอาน้ำมาเร็ว….”
เสียงร้อนรนของผู้ชายที่ฟังดูคุ้นหูดังข้างตัว ขณะที่ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นกระทบกับแสงสว่าง ภาพชายฉกรรจ์ที่รางเลือนหลายคนปรากฏต่อสายตาผมแล้วค่อยๆ ชัดขึ้นจนเป็นใบหน้าคุ้นตาสมองผมพยายามนึกชื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ปรากฏอยู่ อย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นในสมอง
“ไอ้ชัย…”
ใบหน้าชายหนุ่มอายุยี่สิบตอนปลายที่ดูราวกับเป็นใบหน้าสตรียิ้มออกมาอย่าง โล่งใจเมื่อผมส่งเสียงออกมา ก่อนหันไปรับแก้วน้ำจากหญิงสาวผู้หนึ่งมาจ่อปากให้ผมดื่ม ผมค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งและพบว่าผมกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ ที่ปูผ้าปูที่นอนกระดำกระด่าง ความทรงจำที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทีละน้อยบอกผมว่านี่คือห้องส่วนตัวของผมที่บ้านคลองน้อยซึ่งผม เป็นผู้นำของแก๊งค์ที่ครองอิทธิพลเหนือชุมชนเล็กๆ แห่งนี้…
“เฮียวิทย์สลบไปนานเลย…นึกว่าจะต้องพาเฮียไปโรงพยาบาลแล้ว…”
เสียงใสๆ ของหญิงสาวดังขึ้น ผมหันไปสบตากับดวงตากลมโตบนใบหน้าหวานที่ดูคล้ายไอ้ชัยคนสนิทของผม ร่างหญิงสาวอยู่ในชุดเสื้อยืดหลวมๆ ตัวใหญ่ที่คลุมลงมาถึงหัวเข่า แต่ยังไม่อาจปิดบังร่างกายที่อวบอิ่มนั้นไว้ได้ ความจำที่เริ่มฟื้นคืนบอกให้ผมรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือน้องสาวไอ้ชัย ที่หนีการตามล่าของแก๊งค์มังกรฟ้ามาอยู่กับผมพร้อมพี่ชาย
“นังต้อม…”
ดวงหน้าหวานของหญิงสาววัย 17 ปียิ้มออกมาอย่างดีใจ พร้อมกับเสียงถอนหายใจของกลุ่มชายฉกรรจ์รอบตัว ขณะที่ไอ้ชัยส่งเสียงออกมา
“พวกเราไปข้างนอกก่อน..ปล่อยให้เฮียวิทย์นอนพัก นังต้องพี่ฝากให้เอ็งดูแลเฮียให้ดีนะ…”
ไอ้ชัยหันไปบอกน้องสาวก่อนหันร่างกลับออกไปจากห้องพร้อมกับทุกคน ปล่อยให้ผมนั่ง
อยู่บนเตียงโดยมีนังต้อมลุกขึ้นมานั่งข้างๆ และประคองแก้วน้ำให้ผมดื่มจนหมด..
“นี่เกิดอะไรขึ้น..ทำไมเฮียจำอะไรไม่ได้เลย”
ผมถามนังต้อมที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำให้หญิงสาวสบตาผมด้วยแววตาห่วงใย..ก่อนตอบเบาๆ
“เฮียวิทย์จำไม่ได้เลยหรือ เมื่อสองวันที่แล้ว เฮียวิทย์พาลูกน้องไปบุกแก๊งค์คลองโคนแก้แค้นให้พี่ทิพย์ที่ถูกสมุนก๊งค์ คลองโคนของไอ้ธงฉุดไปข่มขืนแล้วฆ่าทิ้ง เฮียวิทย์ฆ่าพวกมันจนหมดแก๊งค์แล้วเผาบ้านพวกมันทิ้งแต่กลับโดนถังแก๊สใน บ้านที่ระเบิดปลิวมาโดนหัวจังๆ เฮียสลบไปสองวันเต็มเลย พวกต้อมเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว…”
“นังทิพย์…”
ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อความจำพรั่งพรูเข้ามาในสมอง ใบหน้างามของหญิงสาววัย 19 ปีผู้มีอดีตเป็นโสเภณีย่านสำเพ็ง ที่ผมได้ช่วยเอาไว้และพามาอยู่ที่คลองน้อยปรากฏขึ้นในสมอง แต่แล้วผมก็ต้องกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวดเมื่อภาพเด็กหญิงที่มีเค้าหน้าคล้าย นังทิพย์ที่ผมไม่เคยรู้จักปรากฏแทรกขึ้นมา…จิตส่วนหนึ่งในร่างราวกับ พยายามดิ้นรนบังคับให้ผมเปล่งคำพูดที่ผมไม่เข้าใจออกมา
“น้องริน น้องกิฟท์ น้องทิพย์ น้องพิม น้องนิว เซี่ยวเล้ง จานีส….”
เสียงนังต้อมที่ข้างกายผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ มือนุ่มนิ่มทาบกับศีรษะผมเพื่อวัดอุณหภูมิร่างกาย ก่อนพยายามผลักผมให้กลับลงไปนอนบนเตียง
“เฮียวิทย์เพ้ออีกแล้ว…เมื่อคืนเฮียวิทย์ก็เพ้อชื่อทั้งเจ็ดชื่อนี่ตลอด เวลาเลย ต้อมไม่รู้จักชื่อที่เฮียพูดสักคน นอกจากพี่ทิพย์คนเดียว .. อีกชื่อก็น้องพิม แต่เฮียวิทย์คงไม่ได้หมายถึงพิมพ์มาดาลูกเลี้ยงยายเหล็งที่ถูกใครพวกไอ้ธง ฉุดไปข่มขืนแล้วฆ่าที่พงหญ้าหน้าทางเข้าชุมชนคลองน้อยเมื่อสองเดือนที่แล้ว หรอกใช่ไหม”
ถ้อยคำที่นังต้อมบอกมายิ่งทำให้ ผมมึนงงมากขึ้น ภาพใบหน้าแปลกๆ ของสตรีต่างอายุต่างวัยที่ผมไม่รู้จัก แต่ทุกใบหน้าล้วนงดงามน่ารักสะท้านใจ ลอยวนเวียนในสมอง จนผมต้องหลับตาลงและพยายามระงับสติตัวเองอย่างสุดความสามารถ จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ภาพเหล่านั้จึงค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับสติผมที่กลับเข้ามาอยู่กับตัว
“วันนี้วันอะไรวะนังต้อม…”
ผมถามหญิงสาวที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงข้างผม ทั้งที่ตายังหลับอยู่
“วันที่ 13 เมษา วันสงกรานต์แล้วนะเฮียวิทย์”
“แล้ว พ.ศ.อะไรวะ..”
“เอ๊ะ เฮียวิทย์ถามแปลกๆ ก็ปี พ.ศ. 2536 นะสิ ต้อมว่าเฮียน่าจะไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูหน่อยดีไหม”
“2536”
ผมพึมพำเบาๆ ราวกับว่าตัวเลขนี้มีความหมายอะไรบางอย่างที่ผมนึกไม่ออก ผมลืมตาขึ้นแล้วพยายามยันตัวกลับขึ้นมาในท่านั่งแต่นังต้อมกลับโน้มร่างเข้า มากดไหล่ทั้งสองของผมไม่ให้ลุกขึ้นตามที่ตั้งใจ
“เฮียวิทย์นอนพักก่อนดีกว่าเดี๋ยวต้อมจะไปต้มโจ๊กเบาๆ ให้เฮียทานนะ”
นังต้องจ้องตาผมเขม็งราวกับจะบังคับให้ผมเชื่อฟัง แต่ในท่าที่หญิงสาวโน้มกายมากดร่างผมนั้น สายตาผมกลับสามารถมองลอดคอเสื้อยืดหลวมๆ ที่หญิงสาวสวมอยู่อย่างเต็มที่
ทรวงอกเต่งตึงของนังต้อมชูช่ออยู่ภายใต้เสื้อยืดโดยที่ปราศจากสิ่งห่อหุ้ม ใดๆ ในท่าที่โน้มกายลงมาเช่นนี้ นมทั้งสองกลับยังคงรักษารูปร่างเอาไว้ได้โดยไม่หย่อนคล้อยลงมาตามแรงดึงดูด ของโลก บอกให้รู้ถึงความเต่งตึงสมบูรณ์ของวัยสาว 17 อย่างเต็มที่ ผิวกายขาวผ่องของนังต้อมที่ได้รับมาจากเชื้อจีนเช่นเดียวกับพี่ชาย ทำให้หน้าอกขาวผ่องทั้งคู่ราวกับจะส่งแสงออกมาด้วยตัวเอง เม็ดยอดสีชมพูเข้มอวดตัวต่อสายตาผมราวกับจะท้าทายให้เคล้นคลึงจุดสัมผัสที่ ไวต่อความรู้สึกของสตรี ลมหายใจผมกระชั้นถี่ ขณะที่นังต้อมที่จับจ้องดวงตาผมตลอดเวลาก็ก้มหน้าลงมาตามสายตาและรับรู้ว่า หน้าอกงามทั้งคู่กำลังเปิดเผยตัวเองต่อสายตาผมโดยปราสจากสิ่งปิดบังใดๆ
“อุ๊ย…”
นังต้อมอุทานออกมาอย่างตกใจ และรีบยกมือขึ้นเพื่อรวบคอเสื้อที่เปิดกว้างเข้าหากัน แต่กลับถูกมือผมคว้าเอาไว้ก่อนที่จะจะสัมผัสกับเสื้อ ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความแปลกใจแต่มือนั้นก็ไม่ได้ออกแรงขัดขืนเมื่อผม กดมันกลับลงไปที่พื้นเตียงบังคับให้น้องสาวผู้งดงงามของไอ้ชัยเปิดเผยนมคู่ งามต่อสายตาผมต่อไป และเมื่อผมปล่อยมือออกเพื่อยกขึ้นสอดเข้าไปในคอเสื้อนั้น ดวงตาคู่งามก็ปิดลงพร้อมกับใบหน้าแดงซ่านในทันทีที่มือผมสัมผัสความหยุ่นตึง ของสองเต้านั้น
“ฮะ..เฮียวิทย์…จะ จะ ทำอะไรต้อม…อูย….”
ริมฝีปากเรียวบางเผยอออก เปล่งสียงสั่นๆ ถามผม ตามมาด้วยเสียงครางอย่างลืมตัวเมื่อหัวนมสีชมพูเข้มถูกนิ้วมือผมบี้เคล้นจน เริ่มแข็งตัว ร่างอวบอัดสั่นสะท้าน มือทั้งสองข้างจิกพื้นเตียงแน่น แต่ยังคงแอ่นหน้าอกคู่งามให้ผมคลึงเคล้นอย่างเต็มใจ
“นมเอ็งสวยจริงๆ นังต้อม…ทำไมก่อนหน้านี้เฮียถึงไม่เห็นก็ไม่รู้….”
ผมพึมพัมออกมาด้วยความรู้สึกที่ถุกปลุกเร้าจากการสัมผัสนวลเนื้องาม แก่นกายที่เคยสงบนิ่งในกางเกงเริ่มลุกขึ้นแข็งตัวชูชัน
“ต้อมพร้อมจะเป็นของเฮียมาตลอด แต่เฮียไม่เคยสนใจต้อมเลย ทะ ทะ ทำไมวันนี้…เฮียถึง…เกิดอารมณ์กับ..อุ๊ย ….”
นังต้องร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อผมถอนมือออกจากนมเต่งตึงและพลิกร่างหญิงสาว ให้มานอนหงายเหยียดยาวบนเตียง พร้อมกับที่ผมลุกขึ้นจับชายเสื้อยืดที่คลุมลงมาถึงเข่าถลกขึ้นไปตามร่างงาม จนหลุดออกไปทางศีรษะโดยที่นังต้องช่วยยกมือเหยียดขึ้นช่วยให้ผมปลดเปลือง เสื้อผ้าออกจากร่างโดยไม่มีการขัดขวาง
ร่างงามขาวผ่องราวหิมะด้วยเชื้อสายชาวจีนของนังต้อมปรากฏต่อสายตาผมที่จับ จ้องด้วยอารมณ์เพศที่ลุกโพลง หน้าอกเต่งตึงอวบอิ่มชูช่อท้าทายการสัมผัส หัวนมสีชมพูเข้มทั้งคู่แข็งตัวจากเลือดที่หลั่งมาคั่งจนแทบจะเป็นสีแดงสด มือผมลูบไล้มาตามลานหน้าท้องราบเรียบจนมาสะดุดที่กางเกงในสีเนื้อบางเฉียบ ที่รัดเนื้อสะโพกอวบอิ่มไว้ แต่ความบางของมันทำให้ไม่สามารถปกปิดกลุ่มขนที่กระจายตัวอยู่รอบร่องรัก และความอวบอิ่มของสองแคมหนานุ่มนั้นได้ มือผมเกี่ยวขอบยางยืดของผ้าชิ้นน้อยดึงมันลงมาค้างที่หน้าขาเผยให้เห็นความ งามของเนินนูนวัยสาวนังต้อมอย่างเต็มตา
สองแคมงามฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำหล่อลื่นแรกสาวที่หลั่งออกมาจากการถูกเล้าโลม เมื่อครู่ แต่รอยแยกนั้นยังคงปิดสนิทเป็นเครื่องบอกว่าไม่เคยมีสิ่งใดผ่านเข้าไปภายใน ปอยขนบางเบาที่ปรากฏอยู่รอบร่องรักทำให้สายตาผมสามารถซึมซับความงามของเนิน นูนทั้งหมดอย่างเต็มที่ ทันทีที่มือผมเอื้อมไปไล้รอยผ่าขึ้นลง ผมสัมผัสได้ถึงเม็ดเสียวเล็กๆ ที่แข็งตัวสั่นระริกอยู่เหนือร่องรัก พร้อมกับที่ร่างอวบอิ่มของนังต้อมสั่นสะท้าน สองมือหญิงสาวบีบแขนผมแน่น
“เฮีย…เฮีย…เย็ดต้อมเถอะ….ต้อมรอเป็นของเฮียมานานแล้ว…”
อารมณ์ต้องการของผมถูกปลุกเร้าอย่างรุนแรงด้วยความงามเบื้องหน้า ผมลากกางเกงในที่ค้างอยู่ที่สะโพกรูดออกไปตามท่อนขาอวบ สองมือจับท่อนขาอวบอิ่มแยกออกจากกัน จนทำให้ร่องรักที่เคยปิดสนิทเผยอตัวออกเล็กน้อย เผยให้เห็นกลีบเนื้อสีสมพูเข้มภายในที่เพิ่มความเย้ายวนใจอีกหลายเท่าตัว ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นขณะขยับร่างขึ้นทาบทับร่างอวบอัดของนังต้อมไว้ หัวแก่นเนื้อจ่อเข้ากับปากทางสู่ความสาวจนรับรู้ได้ถึงความฉ่ำชื้นที่ทะลัก ออกมาจากภายใน วงแขนนังต้อมกอดหลังผมไว้แน่น ขณะที่สะโพกอวบอิ่มถูกยกขึ้นราวกับต้องการจะเร่งให้แก่นเนื้อผมเข้าไปภายใน เร็วที่สุด
“เฮีย..เอาควยเฮียแทงเข้ามาเลย..ไม่ต้องกลัวต้อมเจ็บ ต้อมต้องการเฮีย…”
ผมค่อยๆ กดแก่นเนื้อผ่านสองแคมที่บีบอัดตัวเองไว้แน่น แต่ด้วยแรงกดของผมและการยกสะโพกขึ้นอัดของนังต้อมทำให้หัวบานค่อยๆ แทรกผ่านความรัดรึงเข้าไปได้ทีละน้อย ความเสียวจากรสสัมผัสทะลักเข้ามาท่วมจิตใจ ผมกัดฟันแน่นเตรียมที่จะกดแก่นเนื้อลงไปในความสาวของนังต้อมจนสุดในครั้ง เดียว…แต่พริบตาก่อนที่ผมจะเคลื่อนไหวแก่นเนื้อ เสียงประหลาดก็ดังขึ้นในสมอง
“อาว…พี่ พี่เอ…คับจัง….ริน….เสียวไปหมดแล้ว”
ใบหน้าของสตรีที่งดงามสะท้านใจปรากฏขึ้นในสมอง ดวงหน้านั้นหลับตาด้วยความเสียว ปากน้อยๆ อ้าออกเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ยามส่งเสียงหอบกระเส่า…แต่ทันใดนั้นภาพก็เปลี่ยนเป็นหญิงสาวน่ารักผมสั้น ที่คมคายแจ่มใส ตามมาด้วยเสียงครวญคราง..
‘อูว์ พี่เอจ๋า กิฟท์รักพี่เอจริงๆ….’
เสียงนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงสดใสราวเด็กหญิงพร้อมกับดวงหน้าที่งดงามผสม ผสานความอ่อนหวานไว้กับความซุกซน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากสั่นระริก..
‘ควยพี่เอแน่นไปหมดเลย นิวเสียวจะแย่แล้ว.พี่เอ..พี่เอ..เร่งอีก เร่งอีก…’
ดวงหน้าเด็กหญิงที่งดงงามแจ่มใสที่ดูคล้ายนังทิพย์ที่ผมรู้จักแต่เยาว์วัย กว่า ปรากฏขึ้นแทนที่ ริมฝีปากน้อยๆ เผยอออกอย่างเย้ายวน ร้อมเสียงครางกระเส่า
‘ทิพย์นะไม่ไหวแล้ว…พี่เอ…อ๊ายยยยยยยย’
พริบตาเดียวภาพนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงครางกระเส่า และดวงหน้าหญิงสาวชาวจีนที่งามเหนือโลก ดวงตายาวเรียวปิดแน่น ริมฝีปากรูปกระจับอวบอิ่มเผยอส่งเสียงครวญคราง
‘อาห์…หีเซี่ยวเล้งบวมไปหมดแล้ว…ควยพี่เอเย็ดแบบนี้ เซี่ยวเล้งใจจะขาด ซีดส์’
เสียงครางกระเส่าของหญิงสาวนามเซี่ยวเล้ง ค่อยจางลง แทนที่ด้วยเสียงร้องครางกระท่อนกระแท่นเป็นภาษาที่ผมไม่รู้จัก พร้อมกับภาพดวงหน้างามคมเข้มราวกับมีเชื้อสายของชาวชมพูทวีป ดวงตากลมโตหรี่ปรือด้วยความเสียว และในครู่ต่อมาภาพนั้นก็กลับกลายเป็นเด็กหญิงวัยไม่เกิน 10 ปี ที่มีวงหน้ากลมอิ่มเอิบ ที่กำลังหอบกระเส่าจากการถูกเล้าโลม
‘พะ พะ พี่เอ..ควยพี่เอแน่นก้นพิมไปหมดแล้ว…ซีดส์…’
ภาพสตรีต่างวัยทั้ง 7 คน ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ส่งเสียงเรียกชื่อ “พี่เอ” วนเวียนปรากฏขึ้นในสมองผมรอบแล้วรอบเล่า พร้อมเสียงที่บ่งบอกว่าทุกคนกำลังมีความต้องการทางเพศที่ดังขึ้นตลอดเวลา ภาพและเสียงทำให้ศีรษะผมปวดร้าวราวกับจะระเบิดออกทุกขณะ จนต้องชะงักแก่นกายที่กำลังจะบุกเข้าไปในกลีบเนื้อนังต้อมเอาไว้…
“เฮียวิทย์….หยุดทำไม…ตะต้อมรออยู่….ว๊าย…”
นังต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อผมดีดตัวออกจากร่างเปลือยเบื้องล่าง ก่อนทรุดร่างลงคุกเข่ากับพื้น สองมือผมกุมศีรษะไว้แน่นด้วยความเจ็บปวดจากภาพและเสียงที่ดังวนเวียนอย่าง ไม่ยอมหยุด ขณะที่นังต้อมรีบลงมาจากเตียงโถมเข้ากอดผมไว้จนอกอวบเต่งตึงเบียดแน่นกับผิว กายผม แต่ดูเหมือนว่าประสาทสัมผัสทุกส่วนผมจะถูกครอบงำจากภาพสตรีทั้ง 7 และเสียงครวญครางที่ไม่ยอมหยุด จนไม่สามารถรัยรู้สัมผัสของเลือดเนื้อวัยสาวนั้นได้อีกต่อไป
“เฮียวิทย์…เป็นอะไรไป…พี่ชัย…เข้ามาเร็วๆ ”
เสียงร้องด้วยความตกใจนังต้อมดังขึ้นข้างหูแต่สำหรับผมมันดูราวกับเป็น เสียงกระซิบจากที่ห่างไกล ผมผุดร่างลุกขึ้น ร้องออกมาสุดเสียงก่อนกระโดดออกจากหน้าต่างชั้นสองของห้องพักลงมาที่พื้น แล้วออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย กระแสลมที่พัดผ่านสองหูยังไม่สามารถกลบเสียงของสตรีทั้งเจ็ดที่ดังสับสนอยู่ ในสมองผมได้ ภาพใบหน้าที่มีทั้งงดงาม หวานสดใส น่ารักน่าทะนุถนอม วนเวียนปรากฏขึ้นในจิตสำนึก แต่ผมกลับไม่สามารถจดจำได้เลยว่าผมเคยรู้จักสตรีเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อใด และเมื่อผมพยายามทบทวนความทรงจำในอดีตผมก็ต้องตระหนกสุดขีด เพราะความจำที่ผมยังคงอยู่มีเพียงชีวิตผมที่คลองน้อยเท่านั้น ….สรรพเสียงเรียกชื่อ “พี่เอ” ที่ผมไม่รู้จักว่าเป็นใครดังสะท้อนไปมาในสมอง บังคับให้ผมต้องวิ่งต่อไปไม่หยุด..จนภาพเบื้องหน้าปรากฏต้นไทรใหญ่ข้างคลอง เล็กๆ สมองผมพลันปรากฏร่างชายผู้หนึ่งกำลังอุ้มทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมแขน ต่อสู้กับกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คนภายใต้ลานกว้างใต้ต้นไทร แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพิจารณาภาพที่เกิดขึ้นมันก็สลายวับไปทิ้งไว้แต่เสียง สตรีทั้ง 7 ที่ดังประสานในสมอง ความเจ็บปวดแผ่ระลอกมาในสมองเป็นริ้วๆ ผมแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนตัดสินใจยุติความทรมาณที่เกิดขึ้นด้วยการก้มศีรษะพุ่งร่างเข้าหาต้นไทร เบื้องหน้า ปล่อยให้กระแทกกับลำต้นไม้เต็มแรง จนทุกสิ่งดับมืดลง……………
#########################################
———————————
“พี่เอ….”
“พี่เอ…”
เสียงจานีสกับพิมพ์มาดาร้องอุทานออกมาพร้อมกันเมื่อพบว่าชายผู้เป็นที่รัก ยืนนิ่งอยู่บนพื้นถ้ำโดยปราศจากอาการสนองตอบหลังการปะทะกับตุลยาเทวี และในชั่วอึดใจร่างของไกรวิทย์ที่ยืนนิ่งอยู่ก็ทรุดฮวบลงนอนแน่นนิ่งกับพื้น ถ้ำ ทำให้จานีสและพิมพ์มาดากรีดร้องออกมาและวิ่งเข้าหาร่างที่นอนอยู่ด้วยความ ตกใจ แต่ทันใดที่จานีสอุ้มร่างไกรวิทย์ขึ้นมาในอ้อมแขน หัวใจเด็กสาวก็ตกวูบลงทันทีเมื่อพบว่าแม้ร่างกายนี้จะยังคงมีลมหายใจเป็น ปกติ แต่กลับปราศจากการตอบสนองใดๆ ยามสัมผัสทั้งทางกายและจิต
“นังคนเลว แกทำอะไรพี่เอ….”
พิมพ์มาดากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความโกรธแค้น จนทำให้จานีสต้องรีบบีบแขนเรียวง
เล็กของเด็กหญิงไว้ให้สงบอารมณ์ แต่จานีสกับประหลาดใจขึ้นวูบหนึ่งเมื่อพบว่าดวงตาของพิมพ์มาดาไม่ได้จับจ้อง ที่ร่างตุลยาเทวีที่ค่อยๆ เลื่อนลอยลงมาสู่พื้นหน้าร่างของไกรวิทย์ หากดวงตากลมโตของเด็กหญิงนั้นกลับจ้องไปยังพื้นที่ว่างด้านหลังซึ่งปราศจาก สิ่งใดนอกจากผนังถ้ำหินเรียบลื่น เพียงชั่วครู่ดวงตาพิมพ์มาดากลับเปลี่ยนทิศทางราวกับจับจ้องการเคลื่อนไหว บางประการก่อนมาหยุดนิ่งที่ร่างตุลยาเทวีเบื้องหน้า พร้อมกับเสียงตวาดก้องด้วยน้ำเสียงแตกตื่นดังขึ้นจากตุลยาเทวี…
“เจ้าเด็กน้อยเป็นผู้ใดกัน….เหตุใดเจ้าจึง…..”
เสียงตวาดของตุลยาเทวีชะงักลงในทันที่ที่เทวนารีแห่งราศีตุลย์พบว่าบริวาร ทั้งสองของตนเองกำลังจับจ้องมาด้วยสายตางุนงง…ก่อนที่จะเปลี่ยนเสียงมา เป็นเสียงปกติที่สงบราบเรียบ
“เรามิได้ทำอะไรมัน สิ่งที่กำลังทำร้ายไกรวิทย์ผู้นี้คือจิตของมันเอง…เฮอะ กาฬปราณที่ชั่วร้ายแม้จะมีอำนาจไร้ผู้ต่อต้าน แต่ภายใต้จิตราสูญของเรา…มันยังหาใช่คู่มือของเราไม่…”
จานีสเงยหน้าขึ้นสบตาที่ส่งประกายใต้ผ้าคลุมของตุลยาเทวีอย่างไม่เกรงกลัว
‘จิตราสูญคือปราณอันใด เราไม่รู้ แต่เราเชื่อมั่นว่าพี่เอจะต้องไม่มีวันพ่ายแพ้ต่อท่านแน่นอน’
จิตแน่วแน่ของจานีสที่ส่งออกไปทำให้ตุลยาเทวีหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนส่งจิตเย้ยหยันกลับมา
‘แม้เจ้าจะมีความรู้เกี่ยวกับจักรราศี แต่เจ้าก็ยังคงไม่รู้ว่าจิตราสูญนั้นไม่ใช่วิชาปราณ ในเมื่ออย่างไรเจ้าทั้งสองก็ไม่มีวันที่จะได้บอกผู้อื่นอีกแล้ว เราขอคลายความสงสัยให้เจ้ารับรู้ไว้ว่าจิตราสูญนั้นคือพลังจิตแห่งเทวนารี จักราศีตุลย์ ที่ถูกคัดเลือกมาจากผู้สืบสายเลือดในตระกูลเมหิยาแห่งเนปาลที่ล้วนปรากฏ ผู้ทรงพลังจิตสืบเนื่องมานับพันปี และเมื่อเราเข้าสู่จักรราศี พลังจิตที่ได้รับการเสริมส่งจากผลึกจักราศีที่สามารถดึงพลังซ่อนเร้นทั้งหมด ในร่างออกมา ก่อเกิดเป็นวิชาจิตราสูญที่ปราศจากผู้ต่อต้าน บัดนี้บุรุษของเจ้าอยู่ภายใต้การชักจูงของจิตราสูญแล้ว จิตของมันจะลืมเลือนทุกสิ่งที่เป็นความสุข ติดอยู่กับห้วงเวลาที่ปราศจากสิ่งใดให้ห่วงใย ห้วงเวลาที่ไร้จุดหมาย ปราศจากผู้อยู่ข้างเคียง จนในที่สุดอำนาจราคะที่มีอยู่ในสัญชาติญาณของมนุษย์จะผลักดันให้มันร่วมรัก กับเพศตรงข้ามที่จิตมันสร้างขึ้น และในเมื่อเพศตรงข้ามนั้นคือจิตของมันเอง จิตที่แบ่งแยกกลับมาปะทะกันเองจนสลายไป ร่างที่เจ้าปกป้องจึงไม่มีวันฟื้นคืนมาได้อีกแล้ว วิญญาณของมันกำลังจะสลายไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า…’
ใบหน้าจานีสซีดเผือกเมื่อได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับไกรวิทย์ สมองอันประมวลความทรงจำแห่งโหราทาสมากว่าร้อยปีไล่เรียงความรู้ทุกประการที่ มีอยู่อย่างเร่งร้อน ก่อนขบกรามส่งจิตกลับไป
‘จิตราสูญ วิชาที่อำมหิตนัก การสังหารทั่วไปผู้ถูกสังหารยังคงมีวิญญาณกลับมาเวียนว่ายในวัฏฏะชีวิตได้ แต่ท่านกลับสลายแม้กระทั่งวิญญาน นี่เป็นวิชาที่เลวร้ายยิ่งกว่าการสังหารใดๆ ในเมื่อพี่เอพ่ายแพ้ต่อท่านแล้ว…ท่านเทวนารีจะละเมิดกฏประจำตัวที่ไม่ สังหารชีวิต และเปลี่ยนมาเป็นการกำจัดสังหารพวกเราให้สิ้นหรือไม่ …’
ดวงตาตุลยาเทวีส่งประกายเจิดจ้า ก่อนส่งจิตที่แฝงความงุนงงกลับมายังจานีส’
‘เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าเทวนารีแห่งราศีตุลย์ไม่เคยสังหารผู้ใด ส่วนเด็กหญิงนางนี้ แม้มีวัยเยาว์และปราศจากปราณ แต่เหตุใดกลับสามารถต่อต้านการแทรกจิต และยังเห็น…’
จิตตุลยาเทวีชะงักไปชั่วขณะราวกับรู้ตัวว่ากำลังจะหลุดคำพูดที่ไม่สมควรออกไป และเปลี่ยนน้ำเสียงมาสั่งบริวารทั้งสอง
“เราเปลี่ยนใจไม่กำจัดสตรีทั้งสองนางนี้แล้ว ทักษิณี อุตราณี คุมตัวเด็กสาวทั้งสองทั้งสองนี้กลับไปที่จักรราศี เรามีเรื่องต้องหาความจริงจากพวกมัน…”
ทันทีที่ตุลยาเทวีสั่งจบ หญิงสาวบริวารทั้งสองขานรับแล้วเคลื่อนร่างวูบมาที่ตำแหน่งของของจา นีสและพิมพ์มาดาที่ยังคงประคองร่างไกรวิทย์ไว้ แต่ทั้งสองต้องชะงักเมื่อจานีสพลันลุกขึ้นยืนและส่งเสียงตวาดออกมา
“ด้วยกฎเทพเจ้าแห่งจักรราศี การทำร้ายหรือจับกุมชาวโลกผู้ไร้ปราณเป็นการขัดบัญชาเทพที่กำหนดไว้แต่โบราณ ทักษิณี…องครักษ์เบื้องขวา อุตราณี องครักษ์เบื้องซ้าย ผู้พิทักษ์ซ้ายขวาแห่งเทวนารีราศีตุลย์ พวกท่านกล้าที่จะฝ่าฝืนหรือ”
ร่างที่เคลื่อนเข้าหาจานีสของบริวารตุลยาเทวีทั้งสองหยุดชะงักลง ใบหน้างามของทักษิณีและอุตราณี ทอแววสับสนกับคำพูดของจานีสที่ย้ำเตือนถึงกฏเทพเจ้าแต่โบราณ ซึ่งแม้แต่เทพสุรัสวดียังถูกจำกัดไว้ด้วยกฏนี้จนไม่สามารถลงมาสู่โลกเพื่อ กำจัดตระกูลคชสีห์ด้วยตนเองได้ ทำให้ทักษิณีและอุตราณีหันไปมองตุลยาเทวีอย่างลังเล
“บัดซบ…คำสั่งของเราผู้เป็นนายเหนือพวกเจ้ายังสามารถลังเลใจได้หรือ สกัดจักรชีวิตของพวกมันไว้เดี๋ยวนี้..”
เสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยวของตุลยาเทวีดังขึ้น ทำให้ทักษิณีและอุตราณีขานรับพร้อมกัน สองมือเรียวงามสะบัดวูบส่งปราณเป็นเส้นสายมายังร่างจานีสและพิมพ์มาดาใน ตำแหน่งกึ่งกลางจักรวารีและวายุบริเวณหน้าอก เพื่อปิดกั้นความสามารถในการควบคุมร่างกายของเด็กสาวทั้งสอง ขณะที่จานีสขบกรามแน่น เบี่ยงกายวูบมาบดบังร่างน้องพิมไว้
…….ฟุป…….
ปราณสองสายพุ่งเข้าปะทะจานีสอย่างแม่นยำ แต่แทนที่อำนาจปราณจะทะลวงผ่านผิวกายเด็กสาวเข้าปิดกั้นจักรปราณ การปะทะกลับส่งเสียงเบาๆ ขึ้นราวกับกองเพลิงถูกน้ำราดรด ร่างจานีสส่ายโงนเงนเล็กน้อย แต่ยังคงยืนหยัดป้องกันน้องพิมและร่างของไกรวิทย์ไว้อย่างเต็มความสามารถ
“เอ๊ะ…”
ตุลยาเทวีอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อสัมผัสได้ว่าปราณที่บริวารทั้งสองส่งไปสกัดจักรปราณของจานีสนั้น เปลี่ยนทิศทางกลับเป็นกระจายออกจากกายเด็กสาวทันทีที่ปราณกระทบเสื้อที่จา นีสสวมใส่อยู
‘เจ้าสวมใส่อาภรณ์อันใด…ในโลกนี้นอกจากเกราะปราณแห่งเทวนารีแล้ว ไม่มีวัตถุใดสามารถสลายปราณได้…ทักษิณี อุตราณี นำเสื้อสีแดงที่สตรีนางนี้สวมอยู่มาให้เราดูเดี๋ยวนี้’
‘ไม่นะ…’
‘ยายบ้า ปล่อยพี่จานีสเดี๋ยวนี้นะ’
บริวารทั้งสองของตุลยาเทวีรับคำพร้อมกัน ก่อนถลันร่างจับกุมร่างจานีสที่พยายามดิ้นรนขัดขืนเต็มที่ ทำให้ทักษิณีต้องรัดร่างเด็กสาวเอาไว้ให้อยู่นิ่ง และพยักหน้าให้อุตราณีจับชายเสื้อสีแดงซึ่งปณิตามอบให้จานีสและพิมพ์มาดา ออกจากศีรษะ แต่ด้วยการดิ้นรนของจานีสและการโถมร่างของพิมพ์มาดาเข้ามาพยายาม ฉุดกระชากร่างอุตราณีออก ทำให้มือที่ดึงเสื้อออกจากศีรษะจานีสเกี่ยวกับของหน้ากากที่จานีสสวมใส่อยู่ จนเมื่อเสื้อถูกดึงพ้นออกไปจากร่าง หน้ากากนั้นก็หลุดตามแรงดึงไปด้วย เผยให้เห็นใบหน้างดงามของจานีสต่อสายตาตุลยาเทวีเป็นครั้งแรก….
ร่างอ้อนแอ้นของตุลยาเทวีสะท้านเฮือกเมื่อเห็นใบหน้าจานีส พลังจิตในร่างผนึกกระจายออกมาจนแทบสัมผัสได้ พร้อมส่งเสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยวสุดขีด….
“เจ้า…เจ้าคือ….ทักษิณี อุตราณี ฆ่ามันทั้งสองอย่าให้เหลือแม้ซากศพ…’
———————————–
##################################
‘ท่านพี่…พี่เอเป็นอะไรไปหรือไม่’
‘ทุกอย่างขึ้นกับชะตาของเขา ตอนนี้จิตของไกรวิทย์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของวิชาจิตราสูญ สมองของเขาปราศจากความทรงจำใดๆ นอกจากห้วงเวลาที่ไร้จุดหมายในชีวิตของเขา ซซึ่งก็คือห้วงเวลาที่ไกรวิทย์ใช้ชีวิตในฐานะหัวหน้าแก๊งค์ที่คลองโคนแห่ง นี้…หากจิตของไกรวิทย์ไม่สามารถดิ้นรนออกจากพันธนาการนี้ได้ เพลิงราคะที่เกิดขึ้นตามสัญชาติญาณมนุษย์จะกำหนดร่างสตรีขึ้นมาเพื่อร่วมรัก จิตที่แยกออกมาจะปะทะกับจิตเดิมจนสูญสลายไปสิ้น พูดง่ายๆ ก็คือไกรวิทย์จะสูญสิ้นทั้งวิญญานไป แม้ไกรวิทย์อาจสามารถควบคุมราคะของตนเองได้ แต่จิตของเขาก็จะติดอยู่ในห้วงเวลาที่ไร้จุดหมายนี้ตลอดกาล’
‘ถ้าเช่นนั้นท่านพี่จะช่วยเขาได้หรือไม่…’
‘น้องพี่…พี่บอกเจ้าแล้วว่าแม้เราจะอยู่ในฐานะเหนือจักรวาล แต่การแทรกเข้ามาในจิตของผู้อื่นนั้น เราไม่สามารถบังคับจิตให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ สิ่งที่พี่ทำได้ก็มีเพียงการระงับจิตของเขาให้หยุดนิ่งและหวังว่าจิตที่แท้ จริงหวนกลับมาได้เท่านั้น’
‘แต่พี่ก็บอกเองว่าภายใต้จิตราสูญ จิตของพี่เอจะไม่มีทางฟื้นคืนมาได้มิใช่หรือ’
‘ถูกต้อง แต่ที่พี่หมายถึงไม่ใช่จิตของไกรวิทย์ที่พวกเรารู้จัก แต่เป็นจิตที่แท้จริงซึ่งสถิตในจิตนั้นต่างหาก โอ..เพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานนัก…ท่านอยู่ที่ใดกัน’
เสียงสนทนาอย่างแผ่วเบาดังมากระทบหูผม ขณะที่สติที่ดับไปจากการพุ่งศีรษะกระแทกต้นไม้ใหญ่เริ่มฟื้นคืน ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นและพบว่ากำลังนอนอยู่บนพื้นดินใต้ต้นไทรใหญ่ ศีรษะผมถูกประคองไว้ในสองมือนุ่มนวลและหนุนอยู่บนตักของสตรีนางหนึ่งที่ กำลังเพ่งตามองผม และโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากพูด เสียงของสตรีที่ผมได้ยินเมื่อครู่ก็ดังขึ้นในสมองผม
‘ท่านพี่…พี่เอคืนสติแล้ว…’
‘อืมห์..แม้จะถูกควบคุม แต่จิตของไกรวิทย์นับว่ากล้าแข็งยิ่ง’
ใบหน้าชายหนุ่มวัยไม่เกิน 20 ปีคนหนึ่งที่งดงามจนดูราวกับเป็นใบหน้าสตรี ก้มหน้ามามองดูผมอย่างปราณี พร้อมเสียงนุ่มนวลที่ดังขึ้นในสมอง ดวงตาผมจับจ้องใบหน้าทั้งสอง และคิดในใจด้วยความงุนงง
‘สองคนนี่เป็นใครกัน ทำไมถึงเรียกหาเราราวกับคนที่เคยรู้จัก’
‘พี่เอไม่ต้องสับสนไปหรอกนะ….สงบใจให้นิ่งไว้ ท่านพี่ช่วยให้จิตพี่เอรวมสมาธิเอาไว้โดยไม่มีสิ่งรบกวนใดๆ’
‘ทะ ทะ ทำไมสตรีนางนี้ถึงรับรู้สิ่งที่เรากำลังคิดได้’
ผมคิดด้วยความตื่นตระหนกเมื่อพบว่าหญิงสาวที่ผมกำลังนอนหนุนตักอยู่นี้ดูจะรับรู้สิ่งทีผมคิดได้
‘นี่คือการสื่อสารทางจิต…พี่เอไม่จำเป็นต้องเปล่งเสียงใดๆ ออกมาหรอก และไม่ต้องตกใจอะไรทั้งสิ้น..’
ผมสูดลมหายใจลึกและยันร่างตัวเองขึ้นนั่งเพื่อมองภาพคนทั้งสองให้เต็มตา ภาพของเด็กสาววัยไม่เกิน 15 ปีที่อยู่ในชุดผ้าสีขาวเบาบางปรากฏตรงหน้า ดวงตาเด็กสาวจับจ้องตาผมด้วยแววตาที่ดูราวกับว่าเป็นแววตาที่มองคนรัก แต่สมองผมกลับไม่รู้เลยว่าเด็กสาวนางนี้คือใคร สายตาผมเลื่อนไปตามร่างงามที่อยู่ใต้ผ้าเบาบางนั้นและพบว่าเรือนร่างเด็กสาว มีเพียงผ้าบางสีขาวชิ้นเดียวบนร่างกายเปล่าเปลือย ความบางของเนื้อผ้าที่แทบโปร่งใสทำให้ผมเห็นทรวงอกตูมเต่งที่พุ่งดันเนื้อ ผ้าออกมา ปลายยอดสีน้ำตาลอ่อนประดับอยู่บนวงป้านกลมสวย ในท่าที่เด็กสาวนั่งขัดสมาธิบนพื้น สายตาผมเห็นลำขาเนียนที่ประดับเนินรักอวบอิ่มไว้ระหว่างกลาง ปอยขนรำไรปกคลุมกลีบเนื้ออวบอูมไว้บางๆ แต่ก็ยังไม่สามารถปิดกั้นรอยแยกที่เผยอออกอวดความเปล่งปลั่งนั้นได้ ลมหายใจผมกระชั้นถี่ไปกับความงามนั้น แก่นเนื้อที่หดตัวลงจากการรบกวนของภาพและเสียงจนต้องยุติการร่วมรักกับนัง ต้อมเมื่อครู่ กลับแข็งเขม็งขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นลำยาวเหยียด ดันกางเกงผ้าฝ้ายชาวเลที่ผมสวมใส่อยู่ออกมาเป็นลำ จนทำให้ดวงตาของเด็กหญิงที่เคยจับจ้องตาผมเหลือบลงมาจับจ้องที่แก่นเนื้อ นั้น ใบหน้างามปรากฏสีแดงซ่านแผ่ไปทั่ว ขณะที่ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายเด็กสาวลุกขึ้นมายืนส่งเสียงถอนใจเบาๆ พร้อมกับเกิดเสียงขึ้นในสมองผม
‘พี่จะเดินไปดูอะไรทางด้านนั้นหน่อยก็แล้วกัน….’
‘ท่านพี่…แล้วพี่เอจะเป็นอันตรายหรือไม่…’
‘ไม่เป็นไรหรอก…ไกรวิทย์กำลังถูกกระตุ้นโดยราคะตามสัญชาติญาณ แต่การแทรกเข้ามาในจิตของพวกเรานี้ ทำให้ไกรวิทย์ไม่ต้องกำหนดร่างสตรีขึ้นมาร่วมรักจากจิตของตัวเอง ถ้าเป็นความปราถนาของพวกเจ้าทั้งคู่ ก็จงปล่อยไปตามสัญชาตญาณเถอะ…’
สิ้นเสียงที่ดังขึ้นในสมองผม ร่างของชายหนุ่มก็หันหลังแล้วเดินออกจากรัศมีร่วมเงาของต้นไทรไปตามแนวลำ คลอง ขณะที่เด็กสาวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้าผมและก้าวเข้ามาประชิดร่างจนผมได้กลิ่นหอม กรุ่นกระจายไปทั่งบริเวณ
‘เธอ..เธอ..เป็นใครกัน…เรารู้จักกันหรือเปล่า’
ผมถามเด็กสาวในใจด้วยความงุนงง
‘พี่เอ…เรายิ่งกว่ารู้จักกันเสียอีก…พี่เอเป็นคนรักคนแรกและคนเดียวของแก้วคำนะ…’
‘แก้วคำ…แก้วคำ’
ผมทวนชื่อในใจด้วยความสับสน พร้อมกับจับจ้องดวงตากลมโตที่เบื้องหน้า เด็กสาวยิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวานก่อนเกิดเสียงขึ้นในสมองผม
‘ถูกแล้ว แก้วชื่อแก้วคำ เป็นน้องสาวของพี่กองคำที่เดินจากไปเมื่อครู่ พี่เอคือคนที่แก้วรักที่สุดและมอบพรหมจรรย์ให้กับพี่เอเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน …และได้พบกับพี่เออีกครั้งหลังจากพี่เอย้อนเวลากลับมาเมื่อสิบปีที่แล้ว …เราได้พบกันเพียงสองครั้งแต่หัวใจของแก้วมอบให้พี่เอตลอดกาล’
‘พะ พี่ไม่เข้าใจ พี่จำเธอ…เอ้อ…แก้ว ไม่ได้เลย…แก้วแน่ใจหรือว่าเราเคย….’
ยังไม่ทันที่ผมจะส่งความคิดจบ ร่างงามเบื้องหน้าก็โผเข้ากอดผมไว้แน่น ริมฝีปากน้อยๆ เผยอออกตรงหน้าพร้อมเสียงหวานใสดังขึ้นในใจผม
‘ถ้าพี่เออยากแน่ใจ พี่เอก็จูบแก้ว…สิ…แก้วต้องการพี่เอ…’
ใบหน้างามและเรือนร่างอบอุ่นนุ่มนิ่มที่กอดร่างผมไว้แน่นจนผมรับรู้ถึงหน้า อกเต่งคู่งามที่อัดกับหน้าอกผม ทำให้แก่นเนื้อที่ตื่นตัวจากภาพร่างกายเกือบเปลือยเปล่าของเด็กหญิงยิ่ง เพิ่มความแข็งจนแทบระเบิดออกมา ผมประทับจูบกับริมฝีปากนุ่มนวลนั้นอย่างลืมตัว ลิ้นรับรสสหวานหอมที่หลั่งไหลเข้ามาในปาก พร้อมกับรับรู้ว่ามือของเด็กสาวกำลังปลดปมกางเกงชาวเลที่ผมสวมอยู่จนมันหลุด ไปกองที่พื้น แก่นกายชูชันถูกมือนุ่มนวลกำไว้แน่นและกระทอกมันเบาๆ จนผมอดครางออกมากับความเสียวจากรสสัมผัสนั้นไม่ได้
ลิ้นเรียวเล็กที่เกี่ยวกระหวัดมอบความหอมหวานให้ผมถอนออกไปจากปากผม และก่อนที่ผมจะรู้ตัว ร่างแก้วคำก็รูดตัวลงไปตามร่างกายผม ผ่านหน้าอกและแก่นกายเบื้องล่าง ที่สัมผัสรับรู้ในทันทีว่าริมฝีปากนุ่มนวลของเด็กสาวได้เปลี่ยนเป้าหมายมา ยังจุดสัมผัสแห่งใหม่ ลิ้นอ่อนนุ่มเกลี่ยวนไปมารอบส่วนหัวที่ไวต่อความรู้สึก ขณะที่มือซึ่งเคยกุมแท่งเนื้อเปลี่ยนทิศทางมาโอบรอบสะโพกผมไว้เพื่อใช้เป็น หลักในการทรงตัวก่อนเริ่มใช้ปากกระทอกแก่นกายเข้าออกช้าๆ ความเสียวจากการปรนเปรอจากแก้วคำทำให้สองมือผมต้องเอื้อมมือไปจับศีรษะกลมมน ได้รูปนั้นอย่างลืมตัวและแอ่นสะโพกรับรสเสียวจากปากแก้วคำอย่างเต็มที่…
‘อูว์….แก้ว…พี่ พี่….’
‘พี่เอไม่ต้องกลั้นหรอก….ปล่อยความต้องการของพี่ออกมา แก้วต้องการรับมันเอาไว้…’
‘มะ มะ ไม่ไหวแล้ว…..พี่….อาห์’
ความเสียวจากช่องปากเด็กสาวที่ทั้งกระตุ้นด้วยลิ้นและดูดดันแก่นเนื้ออย่าง แรงจนมีสภาพไม่ต่างกับร่องรัก ทำให้ผมต้องครางออกมาพร้อมระเบิดน้ำรักพรั่งพรูเข้าไปในปากน้อยๆ นั้นเป็นระลอก แก้วคำสูดลมหายใจลึกก่อนกลืนแก่นกายทั้งหมดลงไปในลำคอ ส่วนหัวที่ไวต่อความรู้สึกของผมรับรู้ถึงสัมผัสของผนังลำคออบอุ่นที่ผมกำลัง ฉีดน้ำรักเข้าไป ร่างผมสั่นระริกด้วยความสุขสมผ่อนคลาย ใบหน้างามที่ฝังแน่นสนิมอยู่กับหน้าท้องผมค่อยๆ ถอยห่างปล่อยให้แก่นกายผมออกจากปากบางอย่างช้าๆ พร้อมเสียงหวานใสดังขึ้นในใจ
‘ควยพี่เอน้ำเยอะจังเลย….พี่เอ..มีความสุขไหม..’
‘พี่มีความสุขที่สุด แก้วเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงเก่งแบบนี้…’
แก้วคำปล่อยให้แก่นกายผมเป็นอิสระ ร่างงามค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนแนบชิดร่างผม ใบหน้างามสะท้อนความหม่นหมองก่อนส่งเสียงผ่านจิตกับผม
‘แก้วเป็นเมียที่รักและเฝ้ารอพี่เอเสมอมา…แต่มีทางที่แก้วจะพบพี่เอได้ใน โลกมนุษย์ เพราะในสถานที่นั้นแก้วกับพี่กองคำไม่มีตัวตน เพราะอำนาจแห่งปราณสุญญตาของพี่กองคำที่ผลักดันให้เราสองพี่น้องพ้นไปจาก วัฏฏะชีวิตธรรมดา แต่ในโลกแห่งจิตที่ถูกควบคุมโดยวิชาจิตราสูญนี้เป็นมิติที่พี่กองคำสามารถนำ แก้วแทรกผ่านเข้ามาได้ เพียงแต่แก้วก็เสียใจที่แม้จะมีโอกาสพบพี่เอ จิตของพี่เอกลับถูกครอบงำจนปราศจากความทรงจำเรื่องของแก้ว คงเหลือแต่เพพียงความทรงจำของโลกที่มีแต่ความทุกข์ไร้จุดหมายแห่งนี้…’
‘แก้ว…พี่ไม่เข้าใจ อะไรคือปราณสุญญตา อะไรคือจิตราสูญ ก็พี่เพียงแต่ถูกพวกไอ้ธง แก๊งค์คลองโคนศัตรูทำร้ายเท่านั้น พี่เชื่อว่าการที่พี่จำอะไรไม่ได้ก็น่าจะเป็นเพราะถูกกระแทกที่หัวนี่แหละ แต่อีกไม่นานพี่ก็น่าจะจำทุกอย่างได้อีกครั้ง….’
ผมพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่แก้วคำบอก พร้อมกับใช้ความทรงจำอันน้อยนิดที่มีอยู่อธิบายเหตุผลในสิ่งที่ผมกำลังเป็น อยู่ แต่ร่างแก้วคำกลับสั่นสะท้านและโถมเข้ากอดผมแน่น
‘พี่เอตื่นเถอะ พี่เออย่าติดอยู่กับอดีตที่ไร้จุดหมายนี้ พี่เอไม่ใช่หัวหน้าแก๊งค์นักเลงอันต่ำต้อยแต่พี่เอคือผู้ก่อกัลป์สูญที่จะ เปลี่ยนโลกนี้ไปตลอดกาล พี่เอคือท่านผู้นั้นที่กำลังจะ……….’
‘แก้วคำ….ลืมที่พี่บอกแล้วหรือ…ไกรวิทย์จะรับรู้สิ่งนี้ไม่ได้…จนกว่าจิตของเขาจะพร้อม..’
เสียงนุ่มนวลของชายหนุ่มดังขัดถ้อยคำที่แก้วคำกำลังจะบออกออกมา แม้เสียงนั้นจะนุ่มนวลอ่อนโยนแต่ก็แฝงอำนาจที่แก้วคำขัดขืนไม่ได้ ผมหันไปทางด้านข้างและพบว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งแก้วคำระบุว่าชื่อกองคำกำลังเดิน ตรงมาหาด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ผ้าสีขาวที่ห่อหุ้มร่างกายปลิวเป็นระลอกเช่นเดียวกับผ้าโพกศีรษะสีเดียวกัน ที่แผ่กระจายออกตามสายลม ร่างนั้นเคลื่อนเข้ามาโดยที่เท้าแทบไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวใดๆจนดูราวกับเป็น ร่างบุคคลเหนือโลกที่ดำรงตนอยู่หนือขีดจำกัดทั้งมวล
‘ท่านคือกองคำใช่ไหม แก้วคำบอกผมว่าท่านเป็นผู้สำเร็จ..อืมห์ ปราณสุญญตา…มันคืออะไรกัน แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับผม…’
ผมถามชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความสับสน ทำให้ร่างที่ดูราวเทพเจ้าเบื้องหน้าอมยิ้มอย่างปราณีและก้าวมายืนเคียงข้าง น้องสาวก่อนตอบอย่างนุ่มนวล
‘ไกรวิทย์ เธอคือผู้มีพระคุณของเรา เป็นผู้ผลักดันให้เราพ้นจากวัฏฏะแห่งกาล เมื่อครู่เราตรึกตรองหาวิธีช่วยเธอจากที่แห่งนี้ และเชื่อว่าแม้จิตราสูญจะทำลายความทรงจำของเธอไป แต่พวกเราอาจมีความหวังอยู่ใยหนึ่งที่อาจช่วยเธอได้’
คำพูดของกองคำทำให้แก้วคำอุทานออกมาอย่างดีใจสุดขีด
‘จริงหรือท่านพี่ อย่างนั้นจะรอช้าอยู่ทำไมล่ะ…’
‘แต่ว่าวิธีนี้อาจทำให้จิตวิญญาณไกรวิทย์ต้องสูญสลายไปตลอดกาล…พี่จึงต้องขอให้ไกรวิทย์ตัดสินใจด้วยตัวเอง’
ใบหน้าที่งดงามราวสตรีหันมาจับจ้องดวงตาผมก่อนส่งเสียงดังขึ้นในสมอง
‘… ไกรวิทย์ เธอจะยอมให้เราช่วยเธอกลับไปสู่โลกที่แท้จริงหรือไม่ แต่เราของบอกเธอไว้ก่อนว่าเราเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ และหากผิดพลาดเธอจะหมดแม้กระทั่งโอกาสที่จะกลับเข้าสู่การกำเนิดใหม่ในวัฏฏะ เวลา ทั้งร่างและวิญานเธออาจแตกสลายสูญสิ้นไปตลอดกาล’
คำบอกเล่าของกองคำทำให้ผมงุนงงราวกับตกอยู่ในหมอกควันหนาทึบ เพราะนั่นคือการบอกว่าทุกสิ่งที่ผมเห็นและสัมผัสอยู่ในปัจจุบันล้วนเป็นภาพ ที่จิตผมก่อขึ้นเอง จนต้องติดอยู่กับมันตลอดไป สมองผมขบคิดอย่างสับสน ขณะที่แก้วคำเคลื่อนร่างมาอยู่หน้าผม ดวงตากลมโตจับจ้องตาผมแน่วนิ่งก่อนส่งเสียงดังขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยวในสมองผม
‘พี่เอ…แก้วรู้ว่าพี่เอจำแก้วไม่ได้ แต่ขอให้พี่เอมองตาแก้ว พี่เอต้องสัมผัสได้ถึงความรักที่แก้วมีให้พี่เอ…จริงอยู่ที่พี่เออาจจะ เลือกอยู่ในที่นี้ตลอดไปได้ และถ้าพี่เอเลือกเช่นนั้น แก้วก็จะอยู่ที่นี่กับพี่เอตลอดไป แต่แก้วก็อยากให้พี่เอหลุดพ้นจากสภาพนี้ไปสู่โลกแห่งความจริง พี่เอยังมีสตรีที่รักพี่เอไม่น้อยไปกว่าแก้วอีก 7 คนรอคอยอยู่ และมีหน้าที่จะต้องก่อกัลป์สูญเพื่อช่วยเหลือทุกชีวิตในจักรวาลนี้…พี่เอ เลือกเถอะ’
ดวงตาคู่งามของแก้วคำปรากฏประกายน้ำตาริ้นขึ้นมาจนสะท้อนแสงแวววาว สมองผมพยายามตรึกคตรองทุกสิ่งที่แก้วคำและกองคำอธิบายด้วยความงุนงงสับสน ความต้องการของผมร่ำร้องที่จะเลือกดำรงชีวิตต่อไปในสถานที่คุ้นเคยแห่งนี้ แต่ดวงตาแก้วคำที่บอกถึงความรักเต็มเปี่ยม ย้ำเตือนให้ผมเชื่อว่าสิ่งที่แก้วคำบอกมานั้นคือความจริงทุกประการ…ผมขบ กรามแน่น ก่อนหันหน้าไปยังกองคำ
‘ผมตัดสินใจแล้ว….ท่านกองคำจะให้ผมอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากที่นี้ได้’
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้ากองคำ ขณะที่ชายหนุ่มผงกศีรษะเดินมาประชิดร่างน้องสาว และเอื้อมมือไปคลายปมผ้าที่ผูกไว้หนือไหล่หญิงสาว ปล่อยให้ผ้าชิ้นเดียวที่ปกคลุมร่างกายแก้วคำไหลผ่านร่างงามลงไปกองอยู่กับ พื้น เปิดเผยเรือนร่างงามเปล่งปลั่งเปล่าเปลือยอย่ตรงหน้าผม ขณะเสียงอ่อนโยนดังขึ้น
‘ไกรวิทย์ และแก้วคำ เจ้าทั้งสองจงร่วมรักกันเดี๋ยวนี้…. ทางเดียวที่จะหลุดพ้นการคุมขังของอำนาจจิตราสูญมีแต่การผนึกจิตเจ้าทั้งสอง เป็นทางผ่านไปหาท่านผู้นั้น….แก้วคำ ไกรวิทย์ จงร่วมรักกันตามความปราถนาของพวกเจ้าเถอะ’
เสียงของกองคำที่ดังขึ้นในใจผมดูจะเป็นเสียงแผ่วเบาลงไปในทันทีเมื่อความ สนใจทั้งหมดของผมกลับไปอยู่ที่ภาพแก้วคำเบื้องหน้า ผมก้าวเข้าประชิดร่างงามนั้นอย่างลืมตัว ขณะที่สองแขนเด็กสาวเอื้อมมาโอบรอบคอผมไว้แล้วทิ้งร่างลงนอนกับพื้นดินโดย ดึงร่างผมทาบตามลงไปบนเนื้อหนังนุ่มนวลนั้น ผมสูดลมหายใจอย่างยากเย็น ขณะค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากวงแขนแก้วคำเพื่อชมความงามนั้นให้เต็มตา
ร่างเปลือยของเด็กสาววัยแรกแย้มกระจ่างอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ผิวสีน้ำผึ้งนุ่มนวลปราศจากริ้วรอยตำหนิใดๆ ดวงตาคู่งามจับจ้องผมด้วยแววตาที่สะท้อนความรักผูกพันออกมาทั้งหมด ริมฝีปากเผยอออกน้อยๆ กอปรเป็นใบหน้างามเย้ายวนใจ ทรวงอกตูมเต่งที่เติบโตเต็มที่ราวกับหญิงสาวเต็มวัยแต่กลับชี้ชันท้าทายแรง ดึงดูดของโลกโดยไม่ปรากฏการเคลื่อนคล้อยตามน้ำหนักแม้แต่น้อย บ่งบอกถึงความเต่งตึงครัดเคร่งของวัยสาว นวลเนื้อหน้าท้องเรียบสนิท ร่างอวบอิ่มเต็มไปด้วยเนื้อหนังนุ่มนวลโดยปราศจากร่องรอยใดๆ มารบกวนสายตา และเมื่อผมมองต่ำลงไป เนินรักที่โหนกนูนเบื้องล่างก็อวดความงามต่อสายตาผม สองแคมอวบเปล่งปลั่งปิดสนิท ไรขนบางเบาปกคลุมรอบสองแคมรักเอาไว้บางๆ ส่วนบนของร่องรักมีเส้นไหมนุ่มนวลหย่อมหนึ่งประดับอยู่ แต่กลับยิ่งเพิ่มความงามโดดเด่นให้เนินรักขึ้นไปอีก
‘พี่เอ…จะรออะไรอยู่….มาเถอะ…เย็ดแก้วตามที่พี่เอต้องการ แก้วพร้อมจะตอบสนองพี่เอทุกอย่าง…’
ร่างผมถูกฉุดรั้งกลับไปทาบลงบนร่างกายเด็กสาวอีกครั้ง แต่ก่อนที่ผมจะปล่อยตัวไปกับอารมณ์รักที่พลุ่งพล่าน ผมหันหน้าไปยังกองคำที่ด้านข้างด้วยความรู้สึกขัดเขินที่จะร่วมรักโดยมีผู้ จับจ้องอยู่ และพบว่ากองคำกำลังเริ่มปลดผ้าโพกศีรษะออกและทิ้งมันลงกับพื้น แต่ภาพใบหน้ากองคำที่ปรากฏกลับทำให้ผมต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อพบกว่ากลางหน้าผากของกองคำปรากฏวงกลมหลากสีสันส่งแสงระยิบระยับออกมา ราวกับแสงจากหมู่ดาวนับพัน แต่ยังไม่ทันที่เสียงอุทานผมจะสิ้นสุด ผมก็ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรงเมื่อพบว่าทัศนียภาพรอบด้านของพื้นดินใต้โคนต้น ไทรใหญ่กลับเปลี่ยนไป พื้นดินที่เคยรองรับร่างแก้วคำกลับเป็นฟูกที่นอนสีขาวหนานุ่ม รอบข้างผมกลับเป็นห้องขนาดเล็กที่ มีเพียงแสงเทียนดวงเดียวให้ความสว่างที่หัวเตียง ด้านข้างเป็นโต๊ะทำงานเล็กๆ ที่มีหนังสือสองสามเล่มวางอยู่ นอกนั้นแล้วห้องนี้ว่างเปล่าปราศจากการตกแต่งใดๆ สมองผมไม่รับรู้ว่าสถานที่นี้คือที่ใด แต่จิตส่วนหนึ่งของผมกลับรู้สึกว่าห้องและเตียงที่ผมอยู่ในขณะนี้ดูคุ้นตา อย่างน่าประหลาด
‘นี่..นี่เกิดอะไรขึ้น…พวกเราอยู่ที่ไหนกัน’
จิตผมคิดด้วยด้วยความประหลาดใจ แต่ดูเหมือนเด็กสาวที่อยู่ใต้ร่างผมจะไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกตินี้แม้แต่น้อย
‘พี่เอ…ที่นี่คือสถานที่ซึ่งพี่เอเคยรับพรหมจรรย์ของแก้วเอาไว้พร้อมกับ ปราณจักรวาลที่พี่กองคำปลูกฝังไว้ในร่าง จิตของเราทั้งสองมาอยู่ที่นี่ด้วยการชักจูงของท่านพี่ พี่เอไม่ต้องกังวลใจอันใด หีของแก้วรอรับควยของพี่เอ อยู่อย่าปล่อยให้แก้วรอนานกว่านี้เลยนะ…’
เสียงอ่อนหวานที่สั่นระริกด้วยความปรารถนาของแก้วคำกังขึ้นในใจ ผมก้มลงมองความงามเบื้องล่างอีกครั้ง ขณะที่แก่นเนื้อที่เพิ่งทะลักน้ำกามออกไปจำนวนมากเมื่อครู่กลับคืนสู่ความ เข้มแข็งเต็มที่อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ร่องรักแก้วคำปรากฏหยาดน้ำใสเอออกมาจากภายในร่าง และเมื่อกระทบแสงสว่างสลัวๆ จากเทียนเล่มน้อยก็ยิ่งทำให้ร่องรักนั้นยวนใจจนผมต้องโถมร่างลงทับแก้วคำไว้ มือน้อยๆ ของเด็กสาวเอื้อมมากุมแก่นกายผมและฉุดดึงนำทางมันไปยังปากทางเข้าสู่ร่างกาย แรกแย้มอย่างนุ่มนวล
‘พี่เอ…แก้วพร้อมสำหรับพี่มานานแล้ว แก้วรอควยพี่เอมานานเหลือเกิน …มาเถอะ..อาห์..’
แก้วคำส่งเสียงครางออกมาเมื่อปลายแก่นเนื้อที่สัมผัสจ่อระหว่างสองแคม ถูกผมกดมันลงไปในความรัดรึงนั้นในคราวเดียว แก่นกายอัดลงไปในความคับแน่นทะลวงผ่านกลีบเนื้อนุ่มนวลภายในรวดเดียวลงไปจน สุดทาง ร่างงามของแก้วคำสั่นสะท้านไปทุกขุมขน สะโพกอวบแอ่นขึ้นสุดตัวรับการสอดใส่อย่างเต็มที่ จนหัวเหน้าอมอัดแน่นกับปอยขนบางๆ เหนือเนินรักของเด็กสาว
‘อูว์…หีแก้ว…มันแน่นไปหมด…อูย พี่…เสียว..’
‘ควยพี่เอก็คับหีแก้ว…พี่เอชอบไหม…โอย…มันยาวจัง…’
แก้วคำครางลั่นเมื่อผมกัดฟันดึงแก่นเนื้อออกจากส่วนลึกที่กระชับแน่นจนหัวบานเกือบพ้น
จากสองแคม ก่อนกดมันกลับลงไปจนสุดอีกครั้ง กล้ามเนื้อภายในร่องรักแก้วคำพลิ้วระริกราวระลอกคลื่น บดอัดแก่นกายผมทุกส่วน ผมกัดฟันแน่นแล้วเริ่มกระเด้าขึ้นลงช้าๆ ขณะที่สองขาอวบของเด็กสาวยกขึ้นมาโอบรอบเอวผมไว้แน่นปล่อยให้ผมเคลื่อนไหว แก่นกายรับรสสัมผัสของความเสียวตามความต้องการ
‘พะ พะ พี่เอ. หีแก้ว…มันเสียวไปหมดแล้ว..อูย…ควยพี่เอครูดแตดแก้วไม่หยุด อื๋ย..’
‘หีแก้วตอดควยพี่ไม่ยอมหยุดเลย มันเต้นไปทุกส่วน….ยอดอะไรอย่างนี้…’
‘กะ แก้ว…คะ คุมกล้ามเนื้อในหีได้…แก้วบังคับมันให้กระตุกรับควยพี่เอ….พี่เอเสียวไหม ชอบไหม..’
‘อูย..ชอบ พี่ชอบ…โอย…ในหีแก้วมันดูดอีกแล้ว…พะ พี่จะไม่ไหวแล้วนะ…’
ผมต้องครางออกมาด้วยความเสียวสุดยอด เมื่อแก่นกายที่นอกจากจะถูกกลับเนื้อภายในร่องรักแก้วคำบีบรัดเป็นระลอก แต่ตอนนี้มันยังเพิ่มแรงดูดอย่างรุนแรงที่ทำให้ผมต้องกัดฟันต้านอย่างเต็ม ที่ และเร่งกระเด้าร่องรักหนึบแน่นถี่ยิบ
‘แก้ว..แก้ว ก็เสียวใจจะขาดแล้ว…พี่เอจ๋า…แก้ว..แก้ว…อ๊ายยยยยยยยย’
สองขาที่โอบรอบเอวผมเกร็งกระตุก บีบรัดร่างผมแน่น พร้อมกับแอ่นสะโพกอวบเข้าหาแก่นกายผมเต็มที่ ร่องรักแก้วคำเกิดแรงดูดเป็นเกลียวรอบแก่นกายผม จนความเสียวของผมปะทุขึ้นถึงขีดสุด หัวบานเบ่งพองออกทะลักน้ำกามเป็นสายเข้าไปในแรงดึงดูดมหาศาลนั้นไม่หยุด ผมอ้าปากครางออกมาด้วยความสุขสม และฟุบร่างทิ้งลงกับร่างงามที่เริ่มคลายการกระตุก ใบหน้าผมฝังอยู่ระหว่างกลางเต้านมอวบเต่ง กลิ่นหอมของวัยสาวแรกแย้มกรุ่นกระจายเต็มประสาทรับรู้ทั้งหมด สมองผมสงบนิ่งปราศจากความคิดอื่นใดนอกจากความสุขสมที่ได้รับจากการร่วมรัก ที่สุดยอดครั้งนี้
‘พี่เอเหนื่อยไหม…หลับตาเสียนะ…แก้วจะอยู่กับพี่เอตรงนี้ ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น แก้วกับท่านพี่จะ…’
เสียงแผ่วเบาของแก้วคำดังขึ้นในใจผม แต่ก่อนที่เด็กสาวจะส่งผ่านคำพูดจบ สมองผมก็สงบลงสติผมค่อยๆ เลือนไปทีละน้อย ขณะที่เสียงอ่อนโยนของกองคำดังขึ้นราวกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล
‘สหายเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานัก จะให้เกียรติสนทนากับเราได้ไหม’
สมองผมดิ่งลงสู่ภวังค์จนหลับไปทั้งที่แก่นกายยังฝังอยู่ในร่องรักอวบแน่นของ แก้วคำ โดยไม่รับรู้ความหมายของสิ่งที่กองคำพูดออกมาแม้แต่น้อย
##################################################
——————
“เจ้า…เจ้าคือ….ทักษิณี อุตราณี ฆ่ามันทั้งสองอย่าให้เหลือแม้ซากศพ…”
เสียงตวาดของตุลยาเทวีที่แฝงพลังปราณเปี่ยมล้นดังกึกก้องจนทั่วถ้ำกว้างใหญ่ สั่นสะเทือน สตรีสาวผู้เป็นบริวารทั้งสวองสบตากันวูบหนึ่งด้วยแววตาตื่นตระหนกกับคำสั่ง ที่ขัดแย้งต่อกฏเทพเจ้าแห่งจักรราศีอย่างร้ายแรง แต่อำนาจแห่งเทวนารีที่บังคับบัญชาหญิงสาวทั้งคู่โดยตรงทำให้ ทักษิณีที่จับกุมจานีสต้องปล่อยร่างเด็กสาวให้ตกลงที่พื้นถ้ำ และพยักหน้าเป็นสัญญาณให้อุตราณีผนึกพลังปราณขึ้นพร้อมกัน ประกายแสงเรืองรองเป็นรัศมีพลันก่อตัวขึ้นรอบกายหญิงสาวทั้งสอง
“แม่นาง อภัยให้เราทั้งสองด้วย เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเทวนารี ด้วยอำนาจแห่งปราณทวิดาราของเราทั้งสอง ที่จะสลายร่างพวกท่านเป็นละอองธุลี”
อุตราณีส่งเสียงแผ่วเบากับจานีสและพิมพมาดา ที่ตกอยู่ภายใต้รัศมีแห่งปราณทวิดารา แต่ก่อนที่ปราณจะกระแทกลงมา จานีสก็ผลักร่างพิมพ์มาดาออกจากรัศมีเต็มกำลัง ก่อนพุ่งร่างขึ้นไปยังร่างอุตราณี พร้อมส่งเสียงตวาดสั่งพิมพ์มาดาด้วยภาษาไทยอย่างเร่งร้อน
“น้องพิม…….. หนี………….. หาเซี่ยวเล้ง”
“พี่จานีส…”
พิมพ์มาดาอุทานออกมาเมื่อได้ยินคำสั่งของจานีสและการโผร่างพุ่งเข้าใส่ศัตรู ซึ่งแม้เด็กหญิงจะมีวัยเพียง 8 ปี แต่การใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวผู้ทรงปราณ ทำให้พิมพ์มาดารู้ดีว่าการที่จานีสซึ่งปราศจากปราณใดๆ คุ้มครองร่างเข้าปะทะกับผู้ทรงปราณระดับสูงเช่นสองบริวารแห่งตุลยาเทวีนั้น ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย แต่ขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าการสละชีวิตของเจนีสจะเปล่าประโยชน์ทันที หากตนเองไม่ฉกฉวยโอกาสนี้หลบหนี เด็กหญิงขบกรามแน่น พลิกร่างลุกขึ้นยืนและออกวิ่งไปทางยังปากทางอุโมงค์เต็มกำลัง
…………..เปรี้ยง………………
พลังปราณจากร่างอุตราณีกระแทกเข้าใส่จานีสที่ปราศจากเสื้อป้องกันเต็มกำลัง ร่างเด็กสาวปลิวกระเด็นออกไปราวว่าวขาดป่าน โลหิตพุ่งออกจากปากเป็นสาย ขณะที่ตุลยาเทวีส่งเสียงร้องกราดเกรี้ยว ชี้นิ้วไปยังพิมพ์มาดาที่กำลังวิ่งห่างออกไป
“ฆ่านังเด็กนี้ทันที อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้…”
ทักษิณีและอุตราณีรับคำพร้อมกัน และสาดพุ่งร่างไปตามเด็กหญิงที่กำลังวิ่งออกไปเต็มฝีเท้า แต่ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นความรวดเร็วของผู้ทรงปราณระดับสูงได้ เพียงพริบตาบริวารแห่งจักรราศีทั้งสองก็ลอยอยู่เหนือร่างเด็กหญิง พลังปราณก่อนตัวขึ้นปกคลุมเหนืออากาศก่อนกระแทกลงมาที่ร่างพิมพ์มาดาเบื้อง ล่าง
…………..บรึม…………..
มวลปราณที่รุนแรงจนสามารถทำลายทุกสิ่งเป็นธุลีกระแทกลงหาเป้าหมาย แต่แทนที่จะกระทบร่างเด็กหญิง ปราณทวิดารากลับกระทบม่านปราณที่แกร่งกร้าวผืนหนึ่งที่แผ่ขยายออกมาจากปาก ทางเข้าอุโมงค์จนระเบิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นที่ปกคลุมพื้นถ้ำปลิวคละคลุ้ง ร่างทักษิณีและอุตราณีปลิวกลับไปยังทิศทางเดิมราวกับถูกมือยักษ์จับขว้าง และทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างทุกลักทะเล สตรีทั้งสองเพ่งตามองไปยังเบื้องหน้าด้วยความตระหนก
ท่ามกลางม่านฝุ่นที่ค่อย ๆ สลายลง ร่างเด็กหญิงแปลกหน้าวัยไม่เกิน 12 ปี ในเสื้อผ้าเก่าๆ หลวมโพรก ลอยอยู่กลางอากาศเหนือพื้นถ้ำ และเคลื่อนเข้าหาหญิงสาวทั้งสองช้าๆ ในอ้อมแขนเด็กหญิงมีร่างของพิมพ์มาดาที่ถูกปลายพลังกระแทกจนสิ้นสติไปนอน นิ่งอยู่ ดวงตากลมโตของเด็กหญิงผู้มาใหม่ทอประกายกราดเกรี้ยวสุดขีด ขณะส่งเสียงแหลมเล็กที่ผนึกเป็นเส้นสายกระแทกเข้าใส่บริวารทั้งสองของตุลยา เทวี
“ทำร้ายผู้ไร้ปราณ ฝ่าฝืนกฏเทพเจ้า มีความผิดสถานใด…”
เส้นเสียงที่ผนึกจนก่อเป็นสภาพกระแทกเข้าใส่ ทักษิณีและอุตราณี จนใบหน้าทั้งสองปรากฏแววเจ็บปวดอย่างรุนแรง ปราณทั่งร่างถูกผนึกขึ้นเพื่อต่อต้านอำนาจเสียงที่เกรี้ยวกราดสุดขีดของเด็ก หญิงแปลกหน้า
“โทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฏเทพเจ้าแห่งจักราศีมีสถานเดียว…สังหารสิ้นทั้งสังขารและวิญญาณ”
คลื่นเสียงที่บรรจุปราณเปี่ยมล้นทะลวงผ่านปราณป้องกันร่างของทักษิณีและอุ ตราณี แขนเรียวเล็กของเด็กหญิงแปลกหน้ายกขึ้นชี้ปลายนิ้วมายังบริวารของตุลยาเทวี ทั้งสอง พริบตานั้นปรากฏแสงสีขาวแลบแปลบขึ้นที่ฝ่ามือน้อยๆ ผนึกรวมเป็นวงโค้งของคันธนู แสงสีส้มอีกสายหนึ่งก่อตัวขึ้นจากมือที่ประคองร่างพิมพ์มาดา ผนึกรวมเป็นลูกศรสีส้มส่งประกายเรืองรอง ทักษิณีและอุตราณีจับจ้องภาพเบื้องหน้าด้วยอย่างตกตะลึง แผดเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ขณะที่ลูกศรเรืองรองจะพุ่งวาบแยกออกเป็นสองสายเข้าใส่ร่าง
“……..ธนูสลายจิต ท่านคือ คือ…….นารีธนู….”