The Paradox & The Zodiac by Buta - The Zodiac บทที่ 5.3.2 ศิลาปฏิสาร
The Zodiac บทที่ 5.3.2 ศิลาปฏิสาร
‘นั่นไง…..ดอยหลวงเชียงดาว..’
จิตน้องรินที่ส่งมาปลุกให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์โตโยต้ากระบะเก่าคร่ำ คร่าที่ต่อด้านหลังเป็นแคปเพิ่มที่นั่งให้หันมาสนใจและมองตามนิ้วของหญิงสาว ที่ชี้ไปยังภูเขาสูงชันโดดเดี่ยวทางด้านขวา
‘เป็นภูเขาที่รูปทรงแปลกมาเลยนะริน…ปกติภูเขานั้นจะติดต่อกันเป็นเทือกต่อ เนื่องเหมือนที่เทือกเขาหิมาลัยเป็นบ้านเกิดของจานีส แต่ดอยหลวงเชียงดาวนี้ดูราวกับเป็นหินยักษ์ก้อนเดียว ตั้งโดดเดี่ยวเสียดฟ้าอยู่บนพื้นราบ’
‘นั่นสิ กิฟท์เองเกิดและเติบโตที่เชียงใหม่ เห็นดอยหลวงเชียงดาวลูกนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อพี่จานีสบอกออกมา กิฟท์ก็เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองมันมีอะไรแปลกๆ อยู่’
‘สมัยที่ทิพย์เรียนอยู่ที่เซ็นต์โยเซฟคอนแวนต์ ที่โรงเรียนทิพย์เคยพานักเรียนมาทัศนศึกษาที่นี้ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นทิพย์ไม่สนใจอะไรมาก คงเพราะมัวแต่กังวลกับปัญหาในครอบครัวทิพย์ จนไม่รู้สึกสนุกหรือสนใจอะไรมากนัก แล้วพี่เซี่ยวเล้งล่ะเคยมาไหม…’
น้องริน น้องกิฟท์ น้องทิพย์ ที่นั่งเบียดกันอยู่ในแถวสองของเบาะหลังส่งเสียงคุยกันทางจิตกับจานีสที่ นั่งบนเบาะหน้าคู่ผมกับน้องพิม และหันไปถามเซี่ยวเล้งที่นั่งอมยิ้มอยู่แถวหลังกับน้องนิว
‘เซี่ยวเล้งไม่เคยมาหรอกพี่กิฟท์…พี่กิฟท์รับความทรงจำจากพี่เอไปก็คงรู้ ดีว่าเซี่ยวเล้งเกิดมาในครอบครัวคนจีนยากจนที่เยาวราช ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนเด็กวัยเดียวกัน จนพี่จานีสพาจักรราศรีไปรับตัวเซี่ยวเล้งนั่นแหละ’
‘ว่าแต่พี่เอคิดว่าคำบอกเล่าของน้องพิมมีความเป็นไปได้มากแค่ไหน…บอกตรงๆ ว่านิวไม่เคยได้ยินเรื่องที่น้องพิมเล่าเลยนะ ทั้งที่นิวเองก็ศึกษาประวัติศาสตร์โบราณมานานแล้ว…’
น้องนิวส่งจิตมายังผม ด้วยน้ำเสียงครุ่นคิดอันเป็นนิสัยเฉพาะตัวของเหมียวเพื่อนรักร่วมคณะของผม ที่บัดนี้ได้ร่วมจิตกับหนูนิดก่อกำเนิดเป็นน้องนิวผู้ผสานอุปนิสัยของทั้ง สองเอาไว้
ผมหันไปมองน้องพิมที่นั่งอยู่แนบร่างผม ดวงตากลมโตของเด็กหญิงจับจ้องผมอย่างไม่คลาดสายตา และมีท่าทีแง่งอนน้อยๆ เพราะรู้ว่าทุกคนในรถกำลังพูดคุยกันทางกระแสจิตที่น้องพิมไม่สามารถรับรู้ ได้
“ตอนนี้พี่ก็บอกอะไรไม่ได้หรอกน้องนิว แต่พวกเราทุกคนก็รู้ดีว่านี่เป็นเบาะแสเดียวที่เราได้รับรู้จากน้องพิม พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่ดวงดาวตำแหน่งลูกศรของราศีธนูชี้ไปยังตำแหน่งหัวใจ ของราศีกันย์ ในเมือ่พวกเรายังไม่สามารถตีความสถานที่ในลายแทงได้อยู่แล้ว การเดินทางมาตามที่น้องพิมบอกก็ไม่น่าจะเสียเปล่า อย่างน้อยนี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ออกมาข้างนอกพร้อมกัน…”
ผมส่งเสียงออกมาดังเพื่อให้น้องพิมรับรู้ด้วย แต่เด็กหญิงวัย 8 ปีดูจะรับฟังคำพูดผมไม่เข้าใจนัก ปากน้อยส่งเสียงพึมพำเบาๆ
“ลายแทงอะไรก็ไม่รู้ พิมไม่เห็นรู้เรื่องเลย พิมไม่ได้บอกอะไรพี่เอสักหน่อย…ง่วงจัง พิมหลับดีกว่า…ถึงแล้วพี่เอปลุกพิมด้วยนะ”
น้องพิมอ้าปากน้อยๆ ส่งเสียงหาวออกมาก่อนหลับตาลงพิงร่างกับผมที่ขับพาหนะโบราณของครอบครัวอยู่
‘มาเที่ยวด้วยกันก็สนุกดีหรอกที่เอ แต่กิฟท์ไม่ชอบเลยที่ต้องใช้รถแคบๆ เก่าๆ แถมทุกคนต้องให้น้องนิวปลอมตัวแบบนี้ด้วย ดูสิแต่งกิฟท์ซะทั้งอ้วยทั้งดำแถมหน้าปรุไปหมดเลย’
จิตน้องกิฟท์ส่งเสียงบ่นงึมงำราวหมีกินผึ้งตามนิสัย ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าน้องกิฟท์บ่นไปตามนิสัยโดยไม่คิดอะไรมากไปกว่นั้น และรับรู้ดีว่าหากทุกคนต้องออกมาภายนอกพร้อมกันภาพของชายหนุ่มที่แวดล้อมไป ด้วยหญิงสาวผู้งดงามที่สุด 7 คนนั้นย่อมกระตุ้นความสนใจของผู้คนรอบข้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จานีสจึงเสนอให้น้องนิวตกแต่งใบหน้าทุกคนเสียใหม่ รวมทั้งให้ใช้รถยนต์เก่าๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจ ผมมองภาพหญิงสาวทุกคนที่ปรากฏในกรจกมองหลังแล้วอดยิ้มออกมามาได้ เพราะน้องนิวแปลงโฉมให้แต่ละคนมีใบหน้าเต็มไปด้วยตำหนิบนใบหน้าและริ้วรอย ของการกรำงานหนักกลางแจ้งของชาวสวน โดยเฉพาะน้องกิฟท์ที่เป็นคู่ปรับฝีปากของน้องนิว ถูกน้องนิวแต่งหน้าให้อวบอ้วนปรุไปด้วยสิว และยังย้อมสีผิวจนคล้ำเกือบดำ ต่างจากดวงหน้าหวานโฉบเฉี่ยวและรูปร่างปราดเปรียวของน้องกิฟท์เป็นตรงกัน ข้าม จนน้องกิฟท์ต้องบ่นระปอดกระแปดมาตลอดทาง แต่นั่นกลับทำให้ทุกคนสนุกสนานกันทั่วหน้า
‘กิฟท์นี่…อย่าบ่นเลย ดูรินสิ น้องนิวแต่งให้ซะแก่เชียว…แก่แบบนี้ถ้าเดินกับพี่เอใครๆ คงคิดว่าเป็นแม่แน่ๆ…’
จิตน้องรินส่งเสียงปรามน้องกิฟท์ผู้เป็นเสมือนน้องสาวเบาๆ แต่ก็อดบ่นคราบปลอมแปลงของตนเองไม่ได้ ผมเหลือบมองกระจกหลังและพบว่าดวงตาสุกใสของหญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าเหี่ยวย่น ไปด้วยริ้วรอย กำลังมองตาผมที่กระจกเช่นกัน ซึ่งแม้จะตกแต่งใบหน้าอย่างไรแววตาที่เปี่ยมด้วยความรักของน้องรินนั้น เป็นสิ่งไม่สามารถปิดบังได้
‘น้องรินแก่อย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะ…ขืนปล่อยให้สวยแบบไม่รู้จักแก่อย่างที่ เป็นอยู่ พี่คงไม่เป็นอันหาสถานที่ตามลายแทงแน่ เพราะต้องคอยหาที่ลับตามาเย็ดน้องรินแทน…’
‘บ้า…พี่เอนี่…น้องๆ อยู่กันเต็มรถ พูดออกมาได้……’
น้องรินบ่นอุบอิบท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนที่ให้ความรักและความเคารพ “พี่สาว” ผู้นี้อย่างเต็มหัวใจ ภาพใบหน้าที่ดูราวกับเด็กสาวอายุ 15-16 ของน้องรินผุดขึ้นในใจผมแทนใบหน้าเหี่ยวย่นที่ผ่านการปลอมแปลง เรือนร่างเปล่งปลั่งด้วยวัยสาวสะพรั่งที่เพียงเติบโตขึ้นมาจากเด็กหญิงวัย 12 ที่มอบพรหมจรรย์ให้ผมเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ความเต่งตึงของวัยสาวแรกรุ่นและความหนึบแน่นของเนินรักน้องริน เป็นสิ่งที่ดึงดูดผมให้วนเวียนเสพรักจากเรือนร่างนี้โดยไม่รู้เบื่อ เพียงแต่ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของน้องรินที่ถูกยกให้เป็นพี่สาวใหญ่ของภรรยา ทุกคน ทำให้ หญิงสาวดูจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากกว่าทุกคนและมักจะเขินอายเมื่อสถานการณ์ชัก จูงให้เกิดการร่วมรักหมู่กับน้องๆ คนอื่น
‘เมื่อคืนพี่เอตกเบิกพี่รินจนพี่รินต้องร้องว่า พอแล้ว..พี่เอจ๋า…รินรับไม่ไหวแล้ว…พี่เอเย็ดเซี่ยวเล้งต่อเถอะ…’
จิตน้องนิวส่งเสียงหยอกล้อน้องรินมาจากด้านหลัง พร้อมกับเลียนเสียงจิตของน้องรินที่ครางกระเส่าในการร่วมรักเมื่อคืนที่ผ่าน มา ทำให้เสียงหัวเราะของทุกคนดังขึ้นอีก พร้อมกับน้องรินหันหลังไประดมทุบน้องนิวถี่ยิบ
‘พี่เอลองทบทวนสิ่งที่น้องพิมบอกให้พวกเราฟังอีกทีได้ไหม’
จิตจานีสที่นั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับผมและน้องพิมดังขึ้นเบาๆ แต่ทุกคนในรถก็ได้ยินอย่างชัดเจน ทำให้เสียงหัวเราะและการหยอกล้อยุติลงชั่วขณะ ผมนึกถึงคำบอกเล่าผ่านจิตของน้องพิมวัย 12 ปีในร่างน้องพิมที่หลับอยู่เมื่อคืนที่ผ่านมา
#################################
‘น้าเอจำแม่เหล็งที่เลี้ยงพิมมาได้ใช่ไหม แม่เหล็งมีน้องชายบ้ากามคนหนึ่งชื่อเฮ้ง’
‘จำได้สิ ก็ไอ้เฮ้งนี่แหละที่พยายามเอาตัวน้องพิมไปอยู่ด้วย จนพี่ต้องสั่งให้ทิพย์ไปรับตัวน้องพิมมา’
‘นั่นแหละน้าเอ มันมาคุยกับแม่เหล็งประจำ คนๆนี้งมงายกับเรื่องไสยศาสตร์และชอบไปหาหาลายแทงเพื่อขุดกรุสมบัติโบราณที่ อยุธยา มีครั้งหนึ่งที่มันมาหาแม่เหล็งและเล่าถึงทองที่ทหารญี่ปุ่นซ่อนไว้ที่ กาญจนบุรี และบอกว่าตอนที่มันไปหาลายแทงนั้นเคยอ่านสมุดข่อยโบราณเล่มหนึ่งเกี่ยวกับ อาณาจักรน่านเจ้า ตอนนั้นมันเล่าให้แม่เหล็งฟังว่ามีบันทึกกล่าวถึงทะเลสาบใหญ่ที่กินพื้นที่ กว่าร้อยโยชน์ แต่ถูกทำลายไปด้วยหินจากฟ้าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน หินนั้นใหญ่มหึมาจนถมทะเลสาบแทบทั้งหมดหลงเหลือเพียงสระมรกตล้อมรอบก้อนหิน ยักษ์นั้น ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อดอยหลวงเชียงดาว ส่วนสระมรกตนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็ตื้นเขินและแห้งเหือดไปเมื่อแปดพันปีก่อน หลงเหลือเพียงหนองน้ำเล็กๆ อยู่เชิงเขา แต่ที่สำคัญที่สุดในตำนานยังกล่าวถึงอำนาจของหินยักษ์ที่เจาะทะลวงพื้นพิภพ จนทะลวงลึกเข้าไปในอาณาจักรมังกร และก่อเกิดเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างกันที่เรารู้จักกันในชื่อถ้ำเชียงดาว’
‘ ถ้ำเชียงดาว…’
ผมคิดถึงตำนานของถ้ำเชียงดาวที่เล่าขานกันว่ามีความลึกจนไม่สามารถกำหนดได้ และมีเพียงพระธุดงค์ที่ทรงอภิญญาสูงสุดเท่านั้นที่สามารถผ่านเส้นทางนี้ไป ยังอีกโลกของเทพารักษ์ที่สถิตย์อยู่ใต้พื้นดิน ขณะที่น้องพิมส่งเสียงทางจิตบอกเล่าต่อ
‘ถ้ำเชียงดาวแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นแรกคือส่วนถ้ำที่นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้ แต่มีถ้ำส่วนบนที่เรียกว่าปัจจุบันเรียกว่าถ้ำม้า ส่วนนี้จะมีเส้นทางซอกซอนไปตามทางน้ำลึกลงไปใต้พื้นดิน และไม่เคยมีใครสามารถสำรวจได้ เพราะเมื่อผ่านเข้าไปได้เพียงไม่กี่กิโลเมตร อากาศที่ใช้ในการหายใจก็จะปกคลุมไปด้วยแก๊สที่ซึมออกมาจากใต้พื้นโลก…ไอ้ เฮ้งมันเล่าให้แม่เหล็งฟังว่าถ้ำนี้มีลายแทงบ่งบอกว่าเป็นที่ซ่อนทองของ ญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกเช่นกัน แต่มันเองก็ไม่กล้าที่จะลงไปสำรวจ’
‘พี่เอ…ฟังดูเข้าเค้านะ ในลายแทงที่จานีสพบ บอกไว้ว่า “ผู้มีวาสนาผ่านสระวงเดือนเข้าสู่คูหาศิลา แต่จงระลึกไว้ว่าคูหาล่างนั้นไร้ทุกสิ่ง ทางแท้จริงเร้นเหนือคูหา นำจิตสมดุลย์สู่ประตูแห่งศิลา” ดูเหมือนว่าจะกล่าวถึงถ้ำสองชั้นอย่างที่น้องพิมบอก ในเมื่อตอนนี้เราก็ไม่สามารถตีความเป็นอื่นได้ จานีสคิดว่าพรุ่งนี้เราลองไปก็คงไม่เสียเวลามากนัก…พี่เอคิดว่ายังไง’
‘ไปด้วย…กิฟท์ไปด้วย..’
‘ไม่ยอมนะพี่เอต้องพานิวไปด้วย..’
‘เซี่ยวเล้งว่าพวกเราไปพร้อมกันทุกคนดีกว่า….’
‘ดี ดี ..ไปกันทุกคนเลย…..’
####################################
ผม ต้องยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงภาพความกระตือรือร้นของทุกคน ที่ทำให้ในที่สุดผมก็ต้องพาภรรยาทุกคนมาพร้อมกัน ผมส่งจิตทบทวนข้อความที่น้องพิมถ่ายทอดให้ทุกคนฟังอีกเที่ยวหนึ่ง ซึ่งหลังจากถกเถียงแสดงความเห็นกันครู่ใหญ่ ทั้งหมดก็เห็นพ้องกันว่าน่าจะลองสำรวจที่ชั้นบนของถ้ำเชียงดาวเป็นจุดแรก
‘เอ้าทุกคน มารับนี่ไปคนละอันนะ..นิวเตรียมมาให้ทุกคนแล้ว’
จิตน้องนิวส่งเสียงออกมาขณะที่รื้อค้นกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายติดตัวมาด้วย และยื่นส่งวัตถุเล็กๆ ที่มีลักษณะเป็นแคบซูลซึ่งกึ่งกลางติดตั้งหลอดไฟขนาดเล็กไว้ แจกจ่ายไปรอบข้าง
‘อะไรน่ะน้องนิว’
ผมส่งจิตถามด้วยความแปลกใจ เมื่อพบว่าสิ่งของในมือมีลักษณะคล้ายไฟฉายแต่ไม่มีสวิทซ์ปิดเปิด ขณะเดียวกันด้านล่างแคบซูลกลับมีท่อสองท่อเล็กๆ ที่ปลายเป็นปุ่มยางยื่นออกมา น้องนิวยิ้มก่อนนำปลายท่อทั้งสองเข้าไปในจมูก และส่งจิตตอบอย่างร่าเริง
‘นี่คือเครื่องกำเนิดออกซิเจนขนาดเล็กที่ติดตั้งไฟฉายหลอดฮีเลียมเอาไว้ คุณพ่อของนิว เอ๊ยไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าคุณพ่อของเหมียวสร้างไว้สำหรับใช้สำรวจใต้ทะเล และที่สำคัญทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องพลังงานนะ เพราะทุกเครื่องใช้พลังจากแบตเตอรี่จิ๋วที่สามารถสร้างออกซิเจนพร้อมให้แสง สว่างต่อเนื่องได้เป็นอาทิตย์ นิวเห็นว่าวันนี้เราจะมาสำรวจถ้ำกันเลยติดมาด้วย ถึงแม้นิวจะรู้ว่าผู้ทรงปราณเช่นพี่เอและพวกเราส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้เครื่อง ผลิตออกซิเจนแบบนี้ แต่จานีสกับน้องพิมที่ไม่สามารถสกัดลมหายใจให้วนเวียนในร่างได้จึงจำเป็น ต้องใช้นะ’
ผมทพิจารณาวัตถุในมือด้วยความอัศจรรย์ในการออกแบบของ ดร.หวังปิง ผู้เป็นบิดาของเหมียว และอดเสียดายไม่ได้ที่บุคคลซึ่งทรงความรู้ความสามารถล้ำสมัยเช่น ดร.หวังปิงกลับเสียชีวิตจากการบงการของมิถุกานารีเสียก่อน มิฉะนั้นด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของ ดร.หวังปิง จะมีส่วนช่วยอย่างยิ่งกับการต่อสู้จักรราศีของผม แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้ของน้องนิวผู้มีจิตวิญญาณของเหมียวอยู่ในร่าง ความรู้และสิ่งประดิษฐ์ของ ดร.หวังปิง ก็สามารถถูกนำมาใช้โดยบุตรสาวได้ไม่น้อย
‘นิวมีของมาให้พี่จานีสกับน้องพิมด้วย….ใส่เสียตอนนี้เลยนะ’
น้องนิวส่งผ้าบางๆ สองชิ้นมาให้จานีสที่นั่งอยู่เบาะหน้า จานีสรับมาและคลี่ดูด้วยสายตางุนงงเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันเป็นเสื้อคอกลมไม่ มีแขนสองตัวสีแดงสดใสและบางจนแทบจะปลิวตามลมจากช่องแอร์ที่ส่งมากระทบ แต่เมื่อพิจารณาอย่าละเอียดจะพบว่าสิ่งที่ใช้ทอเป็นเนื้อผ้านั้นดูจะไม่ใช่ เส้นใยฝ้ายหรือใยสังเคราะห์ที่พบเห็นทั่วไป
‘เสื้ออะไรน่ะน้องนิว’
จานีสส่งจิตถาม แต่ก็เริ่มสวมทับเสื้อยืดที่สวมใส่อยู่โดยไม่โต้แย้ง ขณะที่น้องนิวอมยิ้มบางๆ และส่ายหน้าไปมา
‘พี่จานีสกับน้องพิมสวมไว้เถอะ ส่วนจะใส่เพื่ออะไรนั้นตอนนี้นิวยังไม่บอกหรอก แต่ขอให้พี่จานีสรู้ไว้ว่านิวใช้เวลาทำมันขึ้นมาเกือบ 1 ปีเลยนะ’
จานีสพยักหน้ารับพร้อมนำเสื้อตัวที่เล็กกว่ามาสวมใส่ให้น้องพิมที่หลับอยู่ ข้างกายผม โดยไม่ซักถามอะไรเพิ่มเติม น้องพิมบ่นงึมงัมเล็กน้อยแต่ก็ปล่อยให้จานีสสวมใส่เสื้อทับโดยไม่ขัดขืนก่อน จะหลับต่ออย่างง่ายดาย จนจานีสอดกระเซ้าผมเบาๆ ไม่ได้
‘น้องพิมหลับแบบนี้..พี่เอจะหยุดรถ “เสียบปลั๊ก”คุยกับน้องพิมอีกคนไหม..จานีสกับทุกคนรอได้นะ’
จิตจานีสที่ส่งออกมาทำเอาทุกคนนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่น้องทิพย์จะ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ได้ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของทุกคน เมื่อได้รับรู้ว่าจานีสซึ่งปกติจะไม่เคยส่งจิตกระเซ้าเย้าแหย่ใคร กลับบัญญัติคำ “เสียบปลั๊ก” มาใช้กับการสื่อจิตของผมกับน้องพิมผู้อยู่ในร่างเด็กหญิงวัย 8 ปี โดยอาศัยแก่นกายเชื่อมต่อกับสองแคมน้อยๆ
‘พี่จานีสนี่เห็นเป็นคนคงแก่เรียน ทิพย์ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นพี่จานีสแหย่พี่เอแบบนี้’
จานีสหน้าแดงฉานเมื่อรับรู้ว่าตนเองเผลอแสดงอารมณ์สนุกสนานแบบเด็กสาวธรรมดา ออกมา ซึ่งน้อยครั้งที่ทุกคนจะเห็นและผมเองเชื่อว่าบุคคลิกดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้น จากการที่จานีสได้ออกมานอกสถานที่พร้อมกับทุกคน เป็นครั้งแรก
‘เอาล่ะถึงแล้ว…คนเยอะเหมือนกันนะ ที่สำคัญอย่าลืมนะว่าตลอดเวลาที่อยู่ในกลุ่มผู้คนนี้ ห้ามใช้ปราณหรือจิตในการติดต่อกันเด็ดขาด…’
ผมส่งจิตเตือนทุกคนอีกครั้งไม่ให้มีการกระทำใดๆ ที่จะเปิดเผยสถานะผู้ทรงปราณ แม้ผมจะรู้ว่าทุกคนทราบหลักปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยข้อนี้อยู่แล้ว แต่ผมก็จำเป็นต้องย้ำเตือนเพราะรู้ดีว่าการที่มิถุกานารีสูญสลายไปในพื้นที่ จังหวัดเชียงใหม่ ย่อมทำให้พื้นที่นี้ถูกเฝ้าระวังเป็นพิเศษจากจักรราศรี การเปิดเผยสถานะเพียงครั้งเดียวจึงอาจทำให้ความพยายามที่จะซ่อนเร้นตัวเอง ของตระกูลคชสีห์สูญเปล่าและนำมาซึ่งความพินาศได้ในทันที
ผมบังคับรถเลี้ยวเข้าพื้นที่ซึ่งมีป้ายติดไว้ด้านหน้าว่าถ้ำเชียงดาว ก่อนบังคับรถให้จอดสนิทใต้ร่มไม้ใหญ่ เมื่อทุกคนออกมาจากรถหมดต่างหันมามองกันและกันและส่งเสียงหัวเราะสดใสออกมา ด้วยความขบขันในลักษณะที่ผ่านการปลอมแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวผมเองที่ถูกแต่งให้เป็นเหมือนชาวนาวัยกลางคนที่ ผู้กำลังนำครอบครัวมาพักผ่อนที่ถ้ำเชียงดาว ส่วนหญิงสาวผู้งดงามทุกคนถูกปลอมเป็นชาวบ้านในลักษณะต่างๆ กัน แต่ทุกคนล้วนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไม่สะดุดตาผู้คนแต่อย่างใด
ผมนำกลุ่มภรรยาเดินตรงผ่านประตูทางเข้าถ้ำเชียงดาว และหยุดพิจารณาปากทางเข้าถ้ำที่มีหลังคาซ้อนเป็นชั้นๆ ไล่ตามทางเดินไปถึงทางเข้า หน้าปากถ้ำมีแอ่งน้ำใสเล็กขนาดความกว้างไม่เกิน 10 เมตรประดับด้วยปูนปั้นรูปหงส์เทิดเจดีย์เล็กๆไว้บนหลัง น้ำนั้นตื้นเขินจนผมอดคิดถึงตำนานโบราณที่ระบุว่านี่คือทะเลสาบใหญ่ที่กว้าง นับสิบกิโลเมตรไม่ได้
คลื่นนักท่องเทียวจำนวนมากที่คลาคร่ำอยู่ที่ทางเข้าถ้ำเชียงดาว ทำให้ผมกันไปสบตากับทุกคนด้วยความหนักใจ เพราะรู้ว่าโอกาสที่จะสำรวจถ้ำโดยปราศจากคนรู้เห็นจะกระทำได้ยากยิ่ง ผมตัดสินใจให้ทุกคนแยกย้ายพักผ่อนอยู่ในบริเวณโดยอาศัยคราบปลอมแปลงที่น้อง นิวจัดแต่งให้ กลมกลืนตัวเองไปกับสภาพแวดล้อม ซึ่งแทนที่จะน่าเบื่อหน่ายรำคาญ แต่ปรากฏว่าทุกคนกลับสนุกสนานไปกับการซื้อของและเที่ยวชมบริเวณโดยรอบไปทั้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจานีสซึ่งไม่เคยออกจากที่พักตระกูลคชสีห์มาก่อน เด็กสาวกลับมีท่าทางร่าเริงแจ่มใสเป็นพิเศษและแม้จะไม่สามารถสื่อสารภาษาไทย กับพ่อค้าแม่ค้าในบริเวณได้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของน้องทิพย์ จานีสจึงสามารถเลือกซื้อของกินพื้นเมืองทดลองรับประทานได้ตลอดเวลา
“พวกเราออกมาข้างนอกให้บ่อยครั้งขึ้นคงจะดีนะพี่เอ…ดูจานีสสิ รินไม่เคยเห็นจานีสเบิกบานแบบนี้มาก่อนเลย…”
น้องรินเดินมานั่งลงเคียงข้างผมและกระซิบเบาๆ โดยไม่ใช้การสื่อสารทางจิต ผมเองก็อดยิ้มกับท่าทางตื่นเต้นของจานีสไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงว่าอดีตโหราทาสในร่างของเด็กสาวอายุ 14 ปีผู้นี้ใช้ชีวิตกว่าร้อยปีในหอสมุดของจักรารศรีโดยน้อยครั้งจะเดินทางออก มานอกสถานที่
“พี่เองก็หวังที่จะให้พวกเราได้ออกมาท่องเทียวพร้อมกัน แต่ในสภาพที่ไม่ต้องปลอมแปลงตัวเองอย่างนี้ พี่ไม่ต้องการให้ชีวิตของพวกเราต้องตกอยู่ในความวิตกกังวล และพี่ขอยืนยันกับน้องรินว่าพี่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องให้พวกเราได้อยู่ ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป”
น้องรินกุมมือผมไว้แน่น ดวงตาเรียวงามที่แม้จะผ่านการปลอมแปลงมาก็ยังคงส่องประกายอบอุ่นอ่อนโยนด้วยความรัก
“รินจะเคียงคู่กับพี่เอตลอดไป”
ยังไม่มันที่ผมจะตอบน้องริน เสียงหัวเราะเบาๆ ของน้องกิฟท์ก็ดังขึ้น ร่างเพียวบางที่คงความอ่อนเยาว์ราวเด็กสาววัย 15 ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นหญิงกลางคนรูปร่างอวบท้วมที่สวมใส่เสื้อผ้าฝ้ายลายดอก สีฉูดฉาด หย่อนตัวลงนั่งข้างผม ก่อนส่งเสียงกระซิบ
“พี่เอ พี่รินรู้ไหมว่า ถ้าใครมองมาเห็นเขาคงตลกน่าดูที่เห็นชาวไร่แก่ๆ กุมมือกับคุณป้าที่ทั้งผอมแห้งดำกร้าน สบตากันด้วยความรักซาบซึ้งแบบนี้น่ะ..”
คำพูดล้อเลียนและเย้าแหย่อันเป็นคุณลักษณะประจำตัวของน้องกิฟท์มาตั้งแต่ผม กับน้องรินจำความได้ ทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ และต้องเอื้อมมือไปเขกศรีษะน้องกิฟท์เบาๆ ก่อนกระซิบขู่
“ช่างพูดนะ เดี๋ยวกลับบ้านพี่จะจับกิฟท์เย็ดทั้งๆ ที่อยู่ในร่างปลอมนี้เลยดีไหม”
“ไม่กลัวพี่เอหรอก จะเย็ดกิฟท์เมื่อไหร่กิฟท์พร้อมเสมอ ขอให้มีพี่รินเป็นตัวช่วยเท่านั้น”
“เอ้า..กิฟท์นี่ แล้วรินไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ…”
“ก้พี่รินต้องช่วยดึงกิฟทืออกจากควยพี่เอน่ะสิ…โดนที่เอเย็ดทีไรกิฟท์หมด แรงขยับตัวไม่ได้ซักที… แต่ บางทีกิฟท์คิดว่าพี่เออาจจะติดใจบั้นท้ายน้องพิมมากกว่ามั๊ง…”
“ก้ไม่เห็นจะยากนี่กิฟท์ ลองให้พี่เอเย็ดก้นกิฟท์ดูบ้างไหมล่ะ…รินจะช่วย…”
เสียงกระซิบเย้าแหย่กันของสองหญิงสาวที่เติบโตมาพร้อมผม ทำให้หัวใจผมอบอุ่นอย่างที่สุด ผมมองไปรอบตัวแล้วต้องถอนใจเบาๆ เมื่อพบว่าจำนวนนักท่องเทียวในพื้นที่ยังไม่มีท่าทีลดลงแม้แต่น้อยและทุกคน ล้วนมุ่งขึ้นไปชมความสวยงามของถ้ำเชียงดาว ซึ่งหมายความว่าผมยังคงต้องรอเวลาต่อไปอีก ผมถอนใจยาวและผุดลุกขึ้นยืนเพื่อเปลี่ยนอริยาบท แต่เสียงฝีเท้าที่วิ่งตรงมาทางผมทางด้านหลัง ที่ตามมาด้วยเสียงตวาดข่มขู่ทำให้ผมหันหน้ากลับไปดูด้วยความแปลกใจ
ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร ร่างเด็กหญิงวัยไม่เกิน 12 ปี ในชุดเสื้อม่อฮ่อมเก่าๆ กำลังยื้อยุดกระจาดที่บรรจุขนมห่อด้วยใบตองไว้อย่างไม่คิดชีวิต โดยผู้ยื้อยุดขอบกระจาดอีกด้านหนึ่งนั้นแทนที่จะเป็นเด็กในวันเดียวกัน แต่กลับเป็นชายฉกรรจ์ใบหน้าถมึงทึงที่พยายามดึงกระจาดเต็มแรง จนในที่สุดเด็กหญิงก็ไม่สามารถสู้แรงได้ กระจาดถูกกระชากไปจากมือน้อยๆ ขนมห่อใบตองในกระจาดปลิวว่อนตกลงมาคลุกกับพื้นดิน ทำให้เด็กหญิงทรุดกายลงนั่งพยายามเก็บขนมที่กระจัดกระจายรอบตัว
“มึงจะมาขายของที่นี่ มึงต้องจ่ายค่าคุ้มครองให้พี่คำปงก่อน…กูบอกมึงเมื่อวานนี้แล้วแต่มึงยัง ลักลอบเข้ามาขายของอีก…มองอะไรกันวะ..”
ชายฉกรรจ์คู่กรณีส่งเสียงตวาดเด็กหญิงโดยไม่สนใจรอบข้าง แต่เมื่อเงยหน้าพบสายตานักท่องเที่ยวกำลังมองอยู่ ก็ส่งเสียงตวาดไปยังผู้ที่เห็นเหตุการณ์ทันที ทำให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวพากันปลีกตัวไปจากบริเวณ ผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความขุ่นเคืองใจแต่ก่อนที่ผมจะเข้าไปห้ามปราม ก็ปรากฏกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คนเดินตรงมาที่เกิดเหตุ ทำให้ผมระงับความต้องการที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงเพราะคิดว่าทั้งหมดจะ เข้ามายุติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าผมเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะในทันทีที่ชายผู้นำหน้ากลุ่มคนเดินมาถึงร่างเด็กหญิงที่ทรุดกายลงนั่ง ยองๆ กับพื้นพยายามควานห่อขนมที่กระจัดกระจายกลับมาไว้กับตัว ชายคนนั้นก็จิกศีรษะเด็กหญิงแล้วกระชากให้ลุกขึ้นยืนก่อนตะคอกใส่
“มึงไปบอกพ่อแม่มึง เอาเงินค่าคุ้มครองมาให้กูสองร้อยเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะตามไปกระทืบพวกมึงถึงบ้าน เข้าใจไหม”
เด็กหญิงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ปากน้อยๆ ส่งเสียงปนสะอื้น
“หนูไม่มีพ่อแม่ หนูอยู่กับพี่สาว..พวกเราเพิ่งมาจากเวียงป่าเป้าเมื่อวาน เงินที่มีก็เอามาลงทุนทำขนมหมดไม่มีเงินให้พี่หรอก ปล่อยหนูไปเถอะ..”
“อีสัตว์ …งั้นมึงไปตามพี่สาวมาหากูเดี๋ยวนี้ แต่ เอ๊ะ…”
ชายที่จิกศีษะเด็กหญิงจนหน้าแหงนมองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นอย่างแปลกใจ ก่อนแค่นหัวเราะออกมา
“หน้าตามึงไม่เลวนี่หว่า พี่สาวมึงคงสวยทีเดียว มึงพาพี่สาวมาหากูถ้ามันสวยพอกูจะช่วยหาเงินให้มันเอง…”
สิ้นเสียงของชายที่จิกศีรษะเด็กหญิง ชายฉกรรจ์ที่ตามมาก็หัวเราะลั่นพร้อมกัน
“ดูจากหน้าตาอีเด็กคนนี้ พี่สาวมันคงสวยมากเลยนะพี่คำปง ผมว่าควยพี่คำปงคงมีลาภแน่ๆ วันนี้”
เสียงหัวเราะของชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มดังตามมาอย่างลำพอง น้องรินที่อยู่ข้างผมแค่นเสียงออกมาด้วยความโกรธและเตรียมก้าวออกไป แต่ผมรีบกันร่างน้องรินไว้ และเป็นฝ่ายเดินออกไปหาชายที่ชื่อคำปงด้วยตนเอง
“ไอ้หนู มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน นังหนูคนนี้มันขายของเล็กๆ น้อยๆ จะไปรีดไถมันทำไมกัน”
ผมส่งเสียงแหบพร่าสอดคล้องกับใบหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมเป้นชาวไร่ชาวนาหยาบ กร้านวัยกลางคน ขณะเดินเข้าไปหา การขัดจังหวะของผมทำให้คำปงหันมามองอย่างแปลกใจ แต่สีหน้ากลับกลายเป็นเย้ยหยันทันทีที่เห็นว่าผู้ส่งเสียงเป็นเพียงชาวไร่ ธรรมดาคนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ลุกน้องของคำปงที่ยืนอยู่ด้านข้างถลันเข้ามาขวางผมไว้ ยื่นมือขวามาผลักอกผมอย่างแรง
“ตาแก่ ..อย่ามายุ่ง…ไสหัวไปไกลๆ กูไม่อยากเห็นคนแก่คลานกลับบ้านหรอกนะ …โอ๊ย..”
ผมแค่นหัวเราะเบาๆ และโดยไม่จำเป็นต้องใช้ปราณช่วยเหลือแต่อย่างใด วิชามวยไทยไตรยุทธธรรมดาที่ผมเคยฝึกปรือในวัยเยาว์นั้นยิ่งกว่าเพียงพอ สำหรับการกำหราบคู่ต่อสู้ที่โง่ถึงขนาดยื่นแขนมาให้คู่ต่อสู้โดยปราศจากการ ระวังป้องกัน ผมเบี่ยงกายเพียงนิดเดียวโดยใช้เท้าขวาเป็นศูนย์กลางของสามเหลี่ยมไตรยุทธ มือที่ส่งแรงเข้ามาจึงกลับฉุดร่างผู้โจมตีให้เซถลาเข้าหา และเพียงผมจับข้อมือนั้นบิดวูบเดียว ร่างกำยำแต่ไร้สมองก็ถูกพลิกให้หันหลังไขว้แขนโดยมีมือผมล็อคข้อมือเอาไว้ และเพียงดันมันขึ้นนิดเดียวก็ส่งแรงบิดไปถึงกระดูกข้อต่อแขนจนต้องร้องลั่น ออกมาด้วยความเจ็บปวด
“มวยไทยไตรยุทธ…เฮอะ…ตาแก่นี่มีพิษสงไม่เบานี่หว่า”
คำปงส่งเสียงออกมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นบริวารถูกสยบในพริบตา แต่กลับไม่มีท่าทีตื่นตกใจแต่อย่างใด ดวงตาที่จับจ้องผมทอประกายวูบ ทำให้ผมรู้ในทันทีว่าคำปงไม่ใช่อันธพาลธรรมดา แต่เป็นผู้ทรงปราณที่น่าจะมีพลังเข้มแข็งไม่น้อย…ผมถอนใจเบาๆ พร้อมดันร่างบริวารของคำปงไปข้างหน้าจนคะมำไปหาผู้เป็นหัวหน้า
“พ่อหนุ่ม เจ้าชื่อคำปงใช่ไหม ลุงน่ะไม่อยากยุ่งเกี่ยวหรอก แต่ลุงอยากจะขอให้ปล่อยเด็กคนนี้ไปเถอะ เอาอย่างนี้นะลุงจะจ่ายค่าคุ้มครองให้นังหนูนี่เอง..แล้วพ่อหนุ่มก็ปล่อยให้ มันขายของต่อไปเถอะ”
ผมพยายามหาทางคลี่คลายสถานการณ์เพราะไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้กับผู้ทรง ปราณ เนื่องจากไม่ต้องการให้มีผู้รับรู้สถานะของผม แต่คำปงกลับหัวเราะออกมา
“ตาแก่ทำร้ายลูกน้องกูแบบนี้…จะให้กูปล่อยมึงไปได้ยังไง ส่วนอีนังเด็กนี่ อายุไม่กี่ขวบยังน่าเย็ดขนาดนี้ กูตัดสินใจแล้วว่ากูจะต้องเอาพี่สาวมันเป็นเมีย ไม่แน่นะบางทีกูอาจจะลองล่อเด็กดูสักครั้งก็ไม่เลว…”
เสียงหัวเราะของสมุนคำปงดังลั่นทั่วบริเวณ ขณะที่เด็กหญิงถลึงตาจ้องมองคำปงด้วยความเคียดแค้น ผมสูดลมหายใจลึกพยายามระงับความโกรธกำลังก่อตัวขึ้น
“แล้วพ่อหนุ่มจะเอายังไง จะให้ลุงสู้กับพ่อหนุ่มหรือไง”
ชายฉกรรจ์บริวารของคำปงทั้งกลุ่มหัวเราะลั่น ขณะที่คำปงมองผมอย่างเหยียดหยาม
“ตาแก่รู้จักมวยไทยไตรยุทธ…ดีเหมือนกันกูจะได้ยืดเส้นยืดสาย เอาอย่างนี้ ถ้ามึงชกกูได้หมัดเดียว กูจะปล่อยให้นังเด็กคนนี้เป็นอิสระ…แต่กูบอกก่อนนะว่ากูไม่ปราณีคนแก่ ถ้ามึงสู้กับกูมึงอาจจะตายที่นี่…โทษกูไม่ได้นะ…”
ผมอดขุ่นเคืองไม่ได้กับความหยาบช้าของคำปงและบริวาร และตัดสินใจที่จะให้บทเรียนผู้ทรงปราณที่คึกคะนองผู้นี้
“ถ้าอย่างนั้นลุงขอรับคำท้าพ่อหนุ่ม จะสู้กันที่นี่เลยหรือไง”
“ตาแก่ มึงตามกูมาที่หลังเขาด้านโน้น…กูไม่อยากให้มึงร้องรบกวนชาวบ้านว่ะ..เฮ้ย..เอานังเด็กมาด้วย”
คำปงบอกให้ผมตามไปพร้อมกับสั่งให้บริวารคุมตัวเด็กหญิงตามมา น้องรินและน้องกิฟท์ขยับร่างเพื่อตามผม แต่ต้องชะงักเมื่อผมส่ายหน้าและยิ้มให้
‘น้องรินน้องกิฟท์ รออยู่นี่แหละ..ไม่ต้องตามไปหรอก…”
ภรรยารักทั้งสองของผมพยักหน้ารับโดยไม่กล่าวอะไร เพราะรู้ดีว่าด้วยปราณของผมเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดอันตรายจากการต่อสู้
ผมเดินตามร่างคำปงที่ตรงไปยังด้านหลังเขาที่ห่างไกลจากผู้คน เพียงครู่เดียวก็มาถึงลานกว้างที่ลาดด้วยคคอนกรีตราวกับเคยเป็นพื้นที่ชุมชน มาก่อนแต่ถูกทิ้งร้างไป ร่างคำปงที่นำหน้าอยู่หันกลับมาเผชิญหน้าผมแล้วหัวเราะเย้ยหยัน
“เอ้าตาแก่…กูจะให้มึงบุกเข้าต่อยกูตามสบายสามหมัด..กูจะไม่ตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น แต่หลังจากนั้นถ้ามึงไม่แข็งแรงก็อาจจะต้องตายนะ กูไม่รับรู้ด้วยเพราะมึงเสือกเข้ามายุ่งกับกูเอง…”
ผมสุดลมหายใจลึก ทำสีหน้าหวาดกลัวให้ปรากฏต่อสายตาทุกคน และขยับเท้าเตรียมก้าวไปหา แต่มือผมกลับถูกฉุดรั้งด้วยมือน้อยๆ ที่เจ้าของส่งเสียงสั่นระรัวมา
“คุณตา หนูขอบคุณที่คุณตาจะช่วย แต่คุณตาหนีไปเถอะ ไม่มีใครสู้ไอ้คำปงได้หรอก…มันแข็งแรงเหนือมนุษย์..ทุกคนที่นี่กลัวมัน ทั้งนั้น …คุณตาหนีไปนะ…”
ผมก้มหน้ามองใบหน้าเด็กหญิงที่สบตาผมด้วยสายตาหวาดหวั่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าเด็กหญิงชัดเจน เพียงแวบแรกผมก็เข้าใจทันทีว่าทำไมหัวหน้ากลุ่มอันธพาลเบื้องหน้าจึงสั่งให้ เด็กหญิงนำพี่สาวมาสังเวยกาม…
ใบหน้าที่มอมแมมด้วยฝุ่นและเหงื่อไคล ไม่สามารถปิดบังดวงตากลมโตที่ประดับอยู่บนใบหน้ารูปไข่สมบูรณ์นั้นได้ จมูกน้อยๆ เชิดรั้นบอกถึงความเชื่อมั่นในตนเองในขณะที่ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันด้วย ความกังวล แก้มบางใสเปล่งปลั่งด้วยวัยเยาว์ เรือนผมสั้นแค่คอแบบเด็กนักเรียนชั้นประถมแม้จะยุ่งเหยิงจากการถูกจิกกระชาก แต่เมื่อประกอบบนวงหน้าที่น่ารักคมคายกลับยิ่งทำให้ผู้พบเห็นเกิดความต้อง การที่จะปกป้อง ความงามแปลกตาเบื้องหน้ากระตุ้นความสนใจจนผมแน่ใจได้ว่าในอีกไม่กี่ปีข้าง หน้า เด็กหญิงผู้นี้จะเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงงามที่สุดคนหนึ่ง และไม่น่าแปลกใจเลยที่คำปงจะเกิดราคะจริตต่อเด็กหญิงและพี่สาวในทันทีที่ได้ เห็นใบหน้านี้ ผมเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู
“หนูไม่ต้องกลัว..ลุงไม่แพ้มันหรอก….”
“แต่คุณลุงไม่เกี่ยวอะไรกับหนู…จะมาช่วยหนูทำไม”
“มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่ากัน ไม่มีใครมีสิทธิ์ข่มเหงผู้อื่น การช่วยเหลือป้องกันผู้อื่นคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่ ฆ่ากันเพื่อตัวเอง…”
“คุณลุง…หนู….”
เด็กหญิงจ้องตากลมโตมายังผม แววตานั้นสะท้อนความสับสนระคนตื้นตัน ริมฝีปากน้อยๆ เผยอออกราวกับพยายามจะพูดอะไรออกมา แต่ผมเพียงยิ้มให้ก่อนก้าวตรงไปยังร่างคำปงซึ่งจับจ้องผมอย่างไม่พอใจกับ สิ่งที่ผมกล่าวกับเด็กหญิง ผมสูดลมหายใจลึกแล้วตัดสินใจที่จะใช้มวยไทยไตรยุทธโจมตีคำปง โดยไม่ใช้ปราณในร่างเพราะนอกจากต้องการรู้ว่าวิชาการต่อสู้ของคำปงนั้นมาจาก สำนักปราณใดแล้ว ยังเป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดรู้ว่าผมคือผู้ทรงปราณ…
“พ่อหนุ่ม ระวังนะ..ลุงจะต่อยแล้ว…”
ผขยับร่างเข้าประชิดคำปง และเริ่มกระบวนโจมตีผู้ทรงปราณเบื้องหน้าอย่างรัดกุม สองเท้าผมเคลื่อนขวางหมุนร่างด้านข้างเข้าหาเพื่อลดพื้นที่ร่างกายที่เปิด เผยต่อคู่ต่อสู้ หมัดผมพุ่งล่อหลอกไปทางขวาก่อนเปลี่ยนทิศทางลงต่ำไปยังเป้าหมายหน้าท้อง
“หมัดที่หนึ่ง..ตาแก่ ไม่เลวนี่หว่า..”
คำปงส่งเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันเมื่อหมัดผมพุ่งเข้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่แทนที่สันหมัดจะกระทบผิวกาย หมัดผมกลับประสบพลังไร้สภาพขุมหนึ่งเบนพลังที่สะสมในหมัดและชักจูงออกไปทาง ด้านข้าง ผมพลิกร่างหมุนเป็นวงศอกซ้ายอาศัยแรงเหวี่ยงพุ่งวาบเข้าหาต้นแขนคำปงที่ยก ขึ้นเหมือนจะรับแต่เมื่อศอกผมใกล้กระทบ พลังไร้สภาพรูปแบบเดิมก็ผลักให้ศอกผมเบี่ยงเบนจากเป้าหมายจนร่างผมหมุนเสีย หลัก ออกจากวงต่อสู้
“หมัดที่สอง….ไม่มีแรงแล้วหรือไงตาแก่..”
คำปงส่งเสียเย้ยหยันเมื่อเห็นผมทำสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ทั้งที่ในความเป็นจริงผมอดโล่งใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าปราณที่คำปงใช้อยู่คือ ปราณไหมทอง ซึ่งเป็นวิชาประจำสำนักจันทร์สูญ หนึ่งในสี่สำนักปราณของจังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นวิชาปราณแนวยืดหยุ่นที่มุ่งเบี่ยงเบนการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามเพื่อหา ช่องว่างโจมตีกลับ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้คำปงมั่นใจที่จะต่อให้ผมต่อยสามหมัดโดยไม่ตอบโต้ เพราะผู้ทรงปราณเช่นคำปงรู้ดีว่าด้วยปราณไหมทองคุ้มครองร่างกายนี้ ไม่มีทางที่คนธรรมดาจะต่อยถูกร่างได้อย่างแน่นอน
“เหลืออีกหมัดเดียวนะตาแก่….ตั้งใจต่อยให้ดี กูจะตอบโต้แล้ว…”
จิตผมสัมผัสกระแสปราณก่อตัวในร่างคำปงโดยไม่รู้สึกกังวลใดๆ เพราะในทันทีที่ผมรับรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับปราณไหมทอง ความรู้ที่ผมเคยศึกษากับพ่อครูคำแปงก็บอกให้รู้ว่าผมสามารถกำหราบชายเบื้อง หน้าได้โดยไม่ต้องอาศัยปราณในการต่อสู้แม้แต่น้อย เพราะทุกครั้งที่ปราณไหมทองโคจรครบวงโคจร จะมีการสับเปลี่ยนอากาศในร่างพริบตาหนึ่ง ซึ่งหากเป็นผู้ทรงปราณทั่วไปคงไม่สามารถใช้จังหวะนั้นโจมตีได้ แต่สำหรับผมแล้วช่วงเวลานั้นยาวนานเหลือเฟือที่จะใช้กำลังของร่างกายล้วนๆ กระแทกปิดเส้นทางปราณที่โคจรตามจักรทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย
ผมแสร้งปั้นสีหน้าหวดกลัวเพื่อหลอกให้คำปงหลงเชื่อว่าสามารถสังหารผมได้ใน หมัดเดียว ก่อนพุ่งร่างเข้าหา และต่อยหมัดขวาออกไปตรงๆ แต่เช่นเคย หมัดผมถูกปราณคุ้มครองร่างคำปงเบี่ยงออกไปทางด้านข้าง ผมรีบทำทีเป็นซวนเซหมุนตัวเข้าหาคำปง ปราณในร่างสัมผัสการโคจรของปราณไหมทอง เตรียมพร้อมที่จะโจมตีในทันทีที่ถึงจังหวะเปลี่ยนอากาศ
“สามแล้ว……..ตาแก่ตายซะเถอะมึง…..”
ผมสัมผัสถึงกระแสปราณไหมทองที่รวมศูนย์มายังกำปั้นของคำปง เตรียมพุ่งมาโจมตี พร้อมกับที่กระแสปราณกลับเข้าสู่จักรใกล้เกิดการเปลี่ยนจังหวะ ผมเกร็งกำลังไว้ที่หมัดพร้อมที่จะสกัดปราณคำปงในทันทีที่ปราณชะงักตัว แต่ในพริบตาก่อนที่การโจมตีของคำปงจะมาถึง ร่างผมก็ถูกล้อมไว้ด้วยกระแสลมรุนแรงพุ่งวาบมาม้วนรอบตัวและฉุดดึงให้ออกจาก รัศมีโจมตีของคำปงอย่างนุ่มนวล พร้อมเสียงหวานใสกังวานขึ้น
“ผู้เฒ่า หลบออกมาเสียเถิด….เราจะลงโทษคนผู้นี้เอง…”
ร่างผมหมุนออกมายืนนอกวงพร้อมกับที่สายตาผมว่าดวงตาคำปงเบิกกว้างมองไปด้าน หลังผมด้วยความแตกตื่นสุดขีด แต่ก่อนที่ผมจะหันกลับไปดู ดวงตาผมก็พร่าพรายไปด้วยประกายแสงสีขาวเจิดจ้าแลบปลาบเป็นเส้นสายมายังร่าง ของคำปงและบริวารที่ยืนอยู่รอบข้างพร้อมกัน ความสว่างนั้นเจิดจ้าราวสายฟ้าผ่า แต่กลับไม่ปรากฏเสียงกัมปนาทของสายฟ้า
……………….ซ่า………………………….
“อ๊าคคคคคคคคคคคคคค…………”
เสียงของคำปงแผดร้องขึ้น แต่ขาดหายไปในพริบตา พร้อมกับภาพของร่างคำปงที่หายไปพร้อมกับบริวารราวกับปราศจากสิ่งใดเคยอยู่ใน จุดนั้นมาก่อน…รอบกายผมปราศจากความร้อนหรือความเย็นใดๆ ที่บ่งบอกถีงการโจมตีของปราณ ผมยืนตะลึงงงันด้วยความแปลกใจสุดขีด เพราะรู้ว่านี่คือการโจมตีด้วยปราณสูงสุดยอดที่ผมไม่เคยพบเห็นมาก่อน…
“ผู้เฒ่า…กลับไปเถอะ สิ่งที่เห็นวันนี้จงลืมเสีย….”
“แล้วยายหนู…”
เสียงหวานใสเสียงเดิมกังวานรอบตัว ทำให้ผมระลึกถึงเด็กหญิงที่ผมพยายามยามช่วยขึ้นมาได้ แต่เมื่อผมรีบหันขวับไปหาที่มาของเสียง รอบตัวกลับมีแต่ความเวิ้งว้างไม่ปรากฏสิ่งใดในสายตา แม้กระทั่งร่างของเด็กหญิงก็สาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
“เด็กนั้นปลอดภัย…ผู้เฒ่าไม่ต้องห่วง ยากนักที่เราจะพบชาวโลกที่มีจิตในอารีต่อเพื่อนมนุษย์เช่นท่าน…ลาก่อน..”
เสียงกังวานใสจางหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่เพียงผมที่ยืนอยู่คนเดียวกลางลานกว้าง ผมสูดลมหายใจพยายามระงับสติ แล้วรีบเดินกลับมาหาน้องรินกับน้องกิฟท์ที่รออยู่อีกด้านหนึ่ง
ทันทีที่ผมมาถึงก็พบว่าทุกคนกำลังรวมกลุ่มกันอยู่ที่เดิม ส่งเสียงสนทนากันอย่างแผ่วเบาโดยไม่ผ่านจิต และเมื่อผมเดินเข้าไปถึงก็พากันรุมล้อมถามอย่างสนใจ แต่เมื่อผมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ทุกคนตะลึงงันไป โดยเฉพาะเซี่ยวเล้งที่โพล่งถามผมอย่างกระวนกระวาย
“พี่เอ…รีบบอกเซี่ยวเล้งเดี๋ยวนี้ว่าแสงที่ทำลายร่างของคำปงนั้นมีลักษณะอย่างไร”
“เท่าที่พี่จำได้ มันเป็นแสงสว่างจ้าแต่ไม่แสบตา ไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้นเมื่อกระทบตัวพวกคำปง มีเพียงเสียงซ่าเบาๆ แล้วร่างทุกร่างก็หายไป ไม่เหลือแม้แต่ผงธุลีใดๆ บนพื้น…”
คำอธิบายของผมทำให้เซี่ยวเล้งหน้าซีดเผือก ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน แต่ยังไม่ทันที่อดีตธิดามังกรฟ้าจะเอ่ยวาจาใด เสียงของจานีสในภาษาเนปาลีก็ดังขึ้น
“พี่เอ…นั่นคือธนูสลายจิต หนึ่งในสามของธนูพิฆาตฟ้าแห่งนารีธนูผู้เป็นเทวนารีแห่งจักราศีธนู อันประกอบไปด้วย ธนูสลายกาย ธนูสลายใจ และธนูสลายจิต หากธนูทั้งสามถูกปล่อยออกมาพร้อมกันนั่นคือธนูพิฆาตฟ้าที่ปราศจากผู้ใดใน จักรวาลต้านทานได้…แม้กระทั่งเทพเจ้าเองก็ตาม”
ถ้อยคำของจานีสถูกน้องทิพย์ที่รู้ภาษาเนปาลีถ่ายทอดต่อไปให้ทุกคนร่วมรับรู้ ทำให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมทันที ใบหน้าภรรยาผมทุกคนส่อแววกังวลกับการปรากฏตัวของหนึ่งในเทวนารีแห่งจักราศี ผู้เป็นศัตรูโดยตรงของตระกูลคชสีห์
“แต่ฟังจากที่พี่เอเล่าแล้ว เซี่ยวเล้งไม่คิดว่านารีธนูรับรู้ว่าพี่เอเป็นใครหรอก เรื่องนี้คงไม่ต้องกังวลไป และไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการค้นหาของเราวันนี้ เพียงแต่เซี่ยวเล้งแปลกใจที่นารีธนูที่มีนิสัยวู่วามร้อนรนและดูแคลนผู้ทรง ปราณในโลกมาตลอด เหตุใดจึงสอดมือเข้ามาช่วยพี่เอ….”
เซี่ยงเล้งเอ่ยขึ้นเบาๆ ราวกับจะพูดกับตัวเอง ซึ่งผมเองก็รู้ว่าอดีตธิดามังกรฟ้าแห่งจักราศีมังกรผู้นี้ก็ไม่ต้องการคำตอบ แต่อย่างใด แว่บหนึ่งคำบอกเล่าของจานีสที่เคยบอกเล่าถึงธิดาธนูเมื่อสองปีก่อนหวนเข้ามา ในความคิดผม
‘ธิดาธนู ถือกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่นในสำนักอิโตริว นามเดิมของนางคือเรอินะ เป็นเทวนารีที่อายุเยาว์วัยที่สุดในจักรราศี แต่แม้จะมีวัยเพียง 15 ปี ปราณในร่างของนางที่ก่อเกิดจากสำนักอิโตริวในญี่ปุ่น ทำให้นางผสานจิตของปราณลัทธิเซนเข้ากับพลังแห่งผลึกราศีธนูจนเกิดปราณที่ ผสานระหว่างความแข็งกร้าวกับอ่อนหยุ่นซึ่งยากต่อการต้านทาน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นเทวนารีแห่งราศีธนูคนแรกที่บรรลุถึงขั้นธนูสลายจิต จนทำให้สามารถผสานไตรธนูก่อเป็นธนูพิฆาตฟ้าที่สูญหายไปตั้งแต่ยุคอาณาจักร ปราณขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง อำนาจของธนูพิฆาตฟ้านี้ ว่ากันว่าปราศจากผู้ต้านทาน แม้แต่เทพเจ้าก็ตาม”
ขณะที่ผมตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด มือเรียวงามของน้องรินก็มากุมมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ ซึ่งผมรู้ดีว่านี่คือการบอกให้ผมรู้ว่าน้องรินจะอยู่เคียงข้างผมตลอดไปไม่ ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น….
“พี่เอ พี่เอ…เมื่อไหร่พิมจะได้เข้าไปเที่ยวในถ้ำเสียทีล่ะ…”
ชายเสื้อผมถูกกระตุกถี่ๆ จากน้องพิมที่เงยหน้าเรียกผมอย่างแง่งอน…ดวงหน้ากลมที่แสนน่ารักซึ่งซ่อน จิตของน้องพิมวัย 12 ปีไว้ภายในจับจ้องผมอย่างคาดหวัง ทำให้ผมต้องก้มลงไปช้อนร่างน้องพิมขึ้นมาอุ้มไว้ ก่อนส่งเสียงบอกทุกคนเพื่อเปลี่ยนความสนใจจากนารีธนูมายังวัตถุประสงค์ที่ แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้
“เอ้า…น้องพิมสั่งให้พวกเราเข้าไปแล้ว มาเถอะ ไม่ต้องรอให้นักท่องเที่ยวซาลงก็ได้ ปนเข้าไปกับพวกเขานี่แหละ”
ผมบอกทุกคนพร้อมเริ่มออกเดินนำกลุ่มภรรยาทั้งเจ็ด เข้าไปในถ้ำชั้นล่าง โดยเปล่งเสียงพูดคุยลั่นในเรื่องการทำมาหากินตามลักษณะปกติของชาวบ้านทั่วไป ซึ่งทุกคนก็ร่วมมือกันสนับสนุนร่วมพูดคุยด้วยเสียงอันดังจนทำให้นักท่อง เที่ยวกลุ่มอื่นๆ ถอยห่าง ไม่นานนักผมก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันกระจายเป็นกลุ่มย่อยเพื่อค่อยๆ ปลีกตัวขึ้นไปที่ถ้ำชั้นบนพร้อมกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอื่นๆ และเที่ยวชมถ้ำชั้นบนโดยอาศัยตะเกียงเจ้าพายุ
หลังผมสั่งการทุกคนก็จับคู่แยกตัวออกจากกันกระจายไปตามกลุ่มนักท่องเทียว ต่างๆ น้องรินแยกออกไปพร้อมน้องกิฟท์ จานีสแยกไปพร้อมกับน้องทิพย์ น้องนิวพาน้องพิม แยกไปด้วยกัน ส่วนผมกับเซี่ยวเล้งก็แยกออกจากกลุ่มมุ่งขึ้นไปที่ถ้ำชั้นบนพร้อมกับกลุ่ม นักเรียนมัธยมในเครื่องแบบ ซึ่งเมื่อผมเห็นตัวอักษรย่อที่ปักอยู่แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เพราะมันคือ ชื่อของโรงเรียนเก่าที่ผมเคยศึกษามาก่อน เสียงหัวเราะต่อกระซิกของเด็กหญิงและเสียงคุยโอ้อวดตัวเองของเด็กชายที่ดัง ขึ้นรอบตัว ทำให้ผมอดคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตไม่ต้องกังวลต่อสิ่งใดนอกจาการเรียนไม่ ได้ผมกุมมือเซี่ยวเล้งไว้แน่นขณะเดินไปกับกลุ่มนักเรียน และค่อยๆ แยกตัวออกมาท่ามกลางความมืดเพื่อสำรวจพื้นที่รอบด้าน
ด้วยสายตาของผู้ทรงปราณที่ไวกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ผมและเซี่ยวเล้งเดินสำรวจตามซอกหลืบของถ้ำชั้นบนที่กว้างใหญ่ด้วยความแปลกใจ ต่อการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่ ผมก็รู้ดีว่านอกจากเส้นทางที่นำไปสู่ส่วนลึกสุดของถ้ำที่ไม่อนุญาตให้นัก ท่องเที่ยวผ่านเข้าไปแล้ว ก็ไม่มีเส้นทางอื่นที่ซุกซ่อนอยู่อีก..ขณะที่ผมคว้ามือเซี่ยวเล้งเพื่อ เตรียมชักชวนให้ลฃงไปสมทบกับทุกคนที่ถ้ำชั้นล่าง อดีตธิดามังกรฟ้าก็ดึงผมให้มาทางด้านหลังหินใหญ่ก้อนหนึ่งทรุดลงนั่งบนแท่น หินเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง ก่อนกระซิบบอกผมเบาๆ
“พี่เอ…เซี่ยวเล้งอยากจะคุยกับพี่เอเรื่องนารีธนูสักหน่อยได้ไหม”
“เอาสิ …เซี่ยวเล้งมีอะไรติดค้างในใจหรือ”
เซี่ยวเล้งถอนใจเบาๆ
“เซี่ยวเล้งแม้จะเคยเป็นเทวนารีแห่งจักราศี และล่วงรู้แนววิชาปราณของทุกคน แต่พี่เอรู้ไหมว่าไม่มีเทวนารีผู้ใดรู้เลยว่าธนูทั้งสามที่นารีธนูใช้นั้น อยู่ที่ใด เพราะทุกครั้งที่นารีธนูปรากฏกาย ไม่เคยมีคันศรหรือลูกธนูมาด้วย แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้ธนู ก็จะปรากฏคันศรและลูกศรขึ้นในมือทันที ความลับของอาวุธนี้ไม่มีผู้ใดรู้ เซี่ยวเล้งเองก็กังวลว่าหากพี่เอต้องเผชิญหน้ากับนารีธนูพี่เออาจไม่ทัน ระวังและต้องถูกธนูพิฆาตฟ้าที่ทำลายแม้เทพเจ้าสังหารโดยไม่รู้ตัว พี่เอต้องระวังตัวให้ดี หากจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับธิดาธนู วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงจากธนูพิฆาตฟ้าได้ก็คือต้องโหมโจมตีจนนารีธนูไม่ สามารถตั้งตัวจนพ่ายแพ้เท่านั้น มิฉะนั้นหากให้โอกาสนางใช้ธนูพิฆาตฟ้า แม้จะเป็นพี่เอก็ไม่สามารถรอดพ้นได้แน่”
เสียงเซี่ยวเล้งเริ่มสั่นเครือในช่วงสุดท้าย ทำให้ผมอดใจหายวูบไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าการที่อดีตธิดามังกรฟ้าผู้ทรงปราณเข้มแข็งสุดยอดผู้นี้ กลับแสดงท่าทีวิตกอย่างรุนแรงต่อการปรากฏตัวของนารีธนู แสดงให้เห็นความน่ากลัวของธนูพิฆาตฟ้า แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความรักและห่วงใยที่มีต่อผมอย่างลึกซึ้ง จนทำให้หญิงสาวต้องหลั่งน้ำตาด้วยความกลัดกลุ้มออกมา ผมถอนใจเบาๆ ดึงร่างเซี่ยวเล้งที่ด้านข้างมากอดไว้แน่น ก่อนกระซิบข้างหู
“เซี่ยวเล้งไม่ต้องกังวลหรอกนะ พี่ไม่คิดว่านารีธนูจะต้องเผชิญหน้ากับเรา ที่สำคัญจานีสก็เคยบอกพี่ว่าจักราศีเองก็รอให้พวกเราเปิดเผยตัวออกมา แสดงว่าพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ใด การปรากฏตัวของนารีธนูน่าจะเป็นเพียงการบังเอิญผ่านมาพบเห็นพวกคำปงก่อกรรม ต่อชาวบ้านเลยถือโอกาสกำจัดเสียเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นหากต้องต่อสู้กับนารีธนูจริงๆ พี่สัญญากับเซี่ยวเล้งว่าพี่จะไม่ประมาทหรือใจอ่อนในยามเผชิญหน้าอย่างเด็ด ขาด พี่จะไม่มีวันจากเซี่ยวเล้งไปอย่างแน่นอน…”
เซี่ยวเล้งกอดตอบผมแน่น เงยหน้าขึ้นสบตาผมอย่างแน่วแน่
“พี่เอสัญญาแล้วนะ…ถ้าพี่เอเป็นอะไรไปเซี่ยวเล้งก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปทำไมเหมือนกัน..”
ประกายตาของหญิงสาวบอกให้รู้ความรักความผูกพันที่มีต่อผมโดยไม่ปิดบัง ผมกระชับร่างงามให้แน่นขึ้นก่อนสอดมือเข้าไปใต้ชายเสื้อชุดชาวไร่เนื้อหยาบ ที่เซี่ยวเล้งสวมใส่ในคราบปลอมแปลง เคลื่อนขึ้นไปเกาะกุมโนมเนื้อทรวงอกเต่งตึงที่ห่อหุ้มด้วยบราผ้าแพรเนื้อบาง เอาไว้ และเคล้นคลึงความหยุ่นตึงนั้น
“พี่ก็ไม่มีวันยอมปล่อยให้เซี่ยวเล้งห่างพี่หรอกนะ”
“อูว์ พี่เอ…ทะ ทำอะไรน่ะ….เซี่ยวเล้ง…อื๋ย…”
อดีตธิดามังกรฟ้าครางออกมาอย่างลืมตัวเมื่อมือผมเลื่อนเข้าใต้บราเนื้อบาง และดันมันขึ้นจนทรวงอกอวบอิ่มทั้งสองดีดผึงออกมา ปลายยอดสั่นระริกชูชันเมื่อผมใช้นิ้วบี้คลึงขณะที่ฝ่ามือประกบรับสัมผัสผิว เนื้อทรวงอกที่แม้ผ่านการฟอนเฟ้นจากผมมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ความเต่งตึงครัดเคร่งของมันยังคงสภาพเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ผมได้สัมผัส ที่นิวาศมังกรเมื่อสองปีก่อนทุกประการ มือเรียวบางของเซี่ยวเล้งเปลี่ยนจากการโอบกอดผมเคลื่อนต่ำลงไปด้านล่างผ่าน ของกางเกงชาวไร่ที่ผมสวมใส่อยู่ไปเกาะกุมแก่นกายที่กำลังลุกชูชันของผมไว้ แน่น…และก่อนที่ผมจะขยับตัวให้เซี่ยวเล้งจับมันถนัดมือขึ้น ร่างหญิงสาวก็ดิ้นรนออกจากอ้อมแจนผมและเคลื่อนต่ำลงไปยังท่อนล่าง สองมือน้อยๆ ดึงขอบกางเกงผมลงไปกองอยู่ที่ปลายเท้าปล่อยให้แก่เนื้อชูชันเป็นอิสระ
“พี่เอแกล้งเซี่ยวเล้งดีนัก…ถึงทีเซี่ยวเล้งบ้างล่ะ…”
เซี่ยวเล้งกระซิบเบาๆ ขณะศีรษะงดงามได้รูปฟุบอยู่กับหน้าขาผม ก่อนที่ริมผีปากอวบอิ่มจะอ้าออกกลืนกินแท่งเนื้อผมเข้าไปในความอบอุ่นของ ช่องปากหอมหวาน ลิ้นเรียวเล็กของหญิงสาวเกลี่ยรอบส่วนหัวที่ไวต่อควมรู้สึกอย่างนุมนวล เน้นน้ำหนักบริเวณส่วนคอดของหัวบานที่ไวต่อการเสียดสี ขณะที่ภายในปากห่อกระชับไว้ทุกด้านสร้างรสสัมผัสราวกับแก่นกายผมกำลังถูกตอด รัดจากร่องรัก..
“อูว์ เซี่ยวเล้ง….พี่เสียวจริงๆ”
ผมครางออกมาอย่างลืมตัวกับรสสัมผัสที่สุดยอดของปากอดีตเทวนารี สองมือผมเอื้อมลอดผ่านช่องว่างของเสื้อคอกระเช้าที่เซี่ยวเล้งสวมใส่ไปกุมนม คู่งามทั้งสองเต้าเอาไว้ แล้วบีบเคล้นหนักๆ อย่างลืมตัว ขณะที่หญิงสาวก็แอ่นตัวรับการเฟ้นฟอนสองเต้าอย่างเต็มใจ…ความเสียวแก่นกาย และรสสัมผัสที่ได้รับทำให้แก่นกายผมลุกชูชันจนแทบระเบิดน้ำรักออกมาทุกขณะ และก็ดูเหมือนเซี่ยวเล้งจะรับรู้ถึงความรู้สึกของผม สองมือเรียวงามเปลี่ยนมาทายที่หน้าท้องผทเพื่อใช้เป้นหลักในการโยกศรีษะขึ้น ลงช้าๆ และเพิ่มความเร็วขึ้นต่อเนื่อง ภาพแก่นเนื้อที่ผลุบเข้าออกริมฝีปากงามของเซี่ยวเล้งยิ่งกระตุ้นให้ความ เสียวผมทะยานมาถึงที่สุด ผมพยามดึงร่างงามให้ขึ้นมาทาบทับเพื่อหวังเปลี่ยนให้แก่นกายเข้าไปในร่องรัก เ แต่เซี่ยวเล้งกลับแข็งขืนแรงฉุดดึงและยิ่งเร่งความเร็วในการโยกศรีษะขึ้นลง มากขึ้น จนผมทนต่อไปไม่ไหว
“อ๊าวส์…..”
ผมครางออกมาพร้อม กับน้ำรักที่กรูกันมารอที่ปลายแก่นกายระเบิดเข้าไปในปากเซี่ยวเล้งเป็นระลอก แต่ไม่มีแม้สักหยดเดียวที่ออกมานอกช่องปาก หญิงสาวกดปากลงไปแนบหัวเหน่าผมจนแก่นเนื้อทั้งหมดฝังตัวอยู่ในช่องปาก ส่วนปลายของมันผ่านลึกเข้าไปถึงลำคอเซี่ยวเล้ง และกระฉูดน้ำรักเข้าไปในลำคอเปนระลอก จนกระทั่งแก่นกายผมสงบลง เซี่ยวเล้งจึงค่อยๆ ถอนปากออกจากแก่นเนื้อช้าๆ แล้วโถมร่างขึ้นมาทับร่างผมไว้
“ควยพี่เอน้ำเยอะจังเลย..ขนาดเมื่อคืนพี่เอเย็ดทุกคนไปไม่รู้กี่รอบแล้วนะ.”
เซี่ยว เล้งกระซิบข้างหูผมอย่างอายๆ ใบหน้าแดงสดใสเบื้องหน้าบอกให้ผมรู้ว่า อารมณ์และความต้องการของหญิงสาวยังคงคุกรุ่นอยู่ ผมพลิกร่างงามที่ปกคลุมด้วยเสื้อผ้าเก่าๆให้หงายลงกับกับแท่นหิน ปล่อยให้ลำตัวท่อนล่างของเซี่ยวเล้งทิ้งลงมาที่พื้นถ้ำ มือผมตลบผ้าถุงลายดอกที่ใช้ปลอมแปลงร่างให้ไปกองรวมกันที่เอวคอดกิ่ว ภายใต้ผ้าถุงนั้นร่างกายท่อนล่างของเซี่ยวเล้งแทบเปลือยเปล่า ท่อนขายาวขาวสล้างเปิดเผยความงามออกมาออกเป็นประกายท่ามกลางความมืด กางเกงในสีเนื้อบางเบาห่อหุ้มเนินนูนกึ่งกลางเอาไว้ แต่มันก็ปกปิดความอวบอูมนั้นได้เพียงแว่บเดียวเมื่อผมดึงมันลงมาที่ข้อเท้า หญิงสาวในคราวเดียว อวดความงามของสองแคมที่เป็นมันละเลื่อมไปด้วยน้ำรักที่ชโลมเส้นไหมสีดำสนิท รอบเนินรักให้เปียกจนแนบไปกับเนินเนื้อ ผมแทรกร่างเข้าระหว่างขาที่เจ้าของแยกออกรับอย่างเต็มใจ แก่นเนื้อที่แม้จะหลั่งน้ำรักเข้าไปในลำคอเซี่ยวเล้งมาแล้ว ยังคงความแข็งแกร่งเอาไว้โดยไม่มีการอ่อนตัว อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ความต้องการทางเพศของผมถูกปลุกเร้า หัวบานผมมุดเข้าไปกลางแคมเนื้อด้วยความชุ่มชื้นของน้ำรักที่หลั่งออกมาชโลม แต่ความคับแน่นของหลืบเนื้อภายในของอดีตธิดามังกรฟ้ายังคงบีบรัดทุกส่วนของ แก่นกายไว้แน่นเปรี๊ยะ จนผมต้องเพิ่มแรงอัดให้ความยาวทั้งหมดฝังลงไปในร่างกายเซี่ยวเล้ง
“อูว์…พะ พี่เอ….เย็ดเซี่ยวเล้งแบบนี้เลยหรือ…”
เสียงกระเส่า ของเซี่ยวเล้งเปล่งออกมาเบาๆ เมื่อผมช้อนสองขาเรียวขึ้นมากอดเอวผมไว้ พร้อมเริ่มกระเด้าเนินรักนั้นในท่ายืน สองมือเซี่ยวเล่งจกพื้นแท่นหินไว้แน่นเพื่อยึดเป็นหลักในการกระเด้าสะโพกกลม กลึงเข้ากับหัวเหน่าผมอย่างไม่เกรงกลัว
“อูย…ท่านี้เสียวจังพี่เอ…”
“เซี่ยวเล้งกระเด้าตอบพี่แบบนี้ ควยพี่ชนมดลูกเซี่ยวเล้งทุกครั้งเลยนะ…อาห์”
“พะ พะ พี่เอ ชอบไหม ชอบให้มด มด ละ ลูก เซี่ยวเล้ง…ตะ ตอดควยพี่ไหม…”
“ชะ ชอบสิ….มันตอดหัวพี่ไม่หยุดเลย…เสียวดีจริงๆ…”
ความ คับแน่นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของอดีตเทวนารีที่ถอนกายจากจักราศีมามอบร่างกาย และหัวใจให้ผม กระชับแก่นเนื้อทุกสัดส่วน กลีบเนื้อทุกกลีบ กล้ามเนื้อทุกมัดภายในร่องรักเต้นระริกเมื่อความเสียวของหญิงสาวกำลังไต่ไป ถึงจุดสูงสุด…สองขางามดึงเอวผมเข้าไปหาอย่างแรงหร้อมร่างที่ผมช้อนสะโพก อุ้มไว้สั่นกระคุกระริก…
“อ๊าย…พะ พี่เอ….มะ มะ มาแล้ว….”
“พะ พี่ก็…อึ๊บบบบบ…..”
ผม หลับตาด้วยความเสียวสุดยอดขณะปล่อยน้ำรักระเบิดเข้าไปในร่างเซี่ยวเล้งเป็น ระลอก ก่อนปล่อยให้สองขาเซี่ยวเล้งเลื่อนออกจากเอวมาอยู่ที่พื้นแล้วแนบร่างลงทาบ ทับร่างงามไว้
“อูย…เย็ดกับพี่เอทีไร…เซี่ยวเล้งแทบเดินไม่เป็นทุกที….”
เซี่ยวเล้งกระซิบข้างหูผมอย่างเหนื่อยอ่อนแต่แฝงสำเนียงความสุขสมเอาไว้
“พี่ก็ไม่อยากถอนควยออกจากหีเซี่ยวเล้งเลยนะ….หีเทวะนารีนี่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน…”
เซี่ยวเล้งลืมตาโพลงและทุบไหล่ผมเบาๆ ส่งเสียงแง่งอนตอบมา
“บ้า พี่เอนี่..เซี่ยวเล้งบอกแล้วไงว่าเซี่ยวเล้งไม่ต้องการเป็นเทวนารี…เซี่ยว เล้งจ้องการอยู่กับพี่เอเท่านั้น…อย่าเรียกเซี่ยวเล้งแบบนั้นอีกเลยนะ…”
ผมอดหัวเราะกับท่าทีกระเง้ากระงอดของหญิงสาวไม่ได้
“ก็ เซี่ยวเล้งยอดเยี่ยมจริงๆ นี่นา เพียงเรียนรู้ครั้งแรกเซี่ยวเล้งก็ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวิชาปราณ หรือการเย็ด…..หีเซี่ยวเล้งไม่เคยคลายความกระชับเลยรู้ไหม….อืมห์ ตรงนี้ก็เต่งตึงจนอยากซุกหน้าไว้ทั้งวัน….”
ผมอดกระซิบเย้าแหย่ตอบ หญิงสาวไม่ได้ ขณะที่มือก็เริ่มเคลื่อนไปลูบไล้ความหยุ่นตึงของหน้าอกเต่งใต้เสื้อ..จน เซี่ยวเล้งต้องขยับร่างผุดลุกขึ้นและจับมือผมดึงออก พร้อมส่งเสียงดุเบาๆ
“พี่เอนี่…คลึงนมเซี่ยวเล้งอีกแล้ว….พี่เอระงับความต้องการไว้ก่อนเถอะ…เดี๋ยวไม่ได้ทำงานกันพอดี…”
ผม หัวเราะเบาๆ ปล่อยให้เซี่ยวเล้งยืนขึ้นและก้มลงดึงกางเกงในตัวน้อยที่ปลายขากลับมาอยู่ใน ตำแหน่งเดิม แล้วลากตัวผมให้ออกมาจากหลังก้อนหิน เข้าปะปนกับนักท่องเที่ยวที่มองมาอย่างสนใจเมื่อเห็นผมกับเซี่ยวเล้งเดินออก มาจากเงามืด แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงชาวไร่ชายหญิงแก่ๆ สองคน ความสนใจที่เกิดขึ้นก็หมดไป ผมคิดว่าผู้พบเห็นคงคิดเพียงว่าสองคนนี้หลบไปทำธุระขับถ่ายเท่านั้น
“แน่ะ…พี่เอหลบไปไหนมา…”
เสียงกระซิบ ใสๆ ที่คุ้นเคยของน้องกิฟท์ดังขึ้น ขณะหญิงสาวและน้องรินเดินมากับคณะนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งและแยกตัวมาหา ในทันทีที่เห็นผมกับเซี่ยวเล้ง ผมยิ้มให้น้องกิฟท์และส่งเสียงตอบดังๆ ให้กลุ่มคนโดยรอบได้ยิน
“ข้าไปเยี่ยวมาว่ะ…แม่งเอ๊ย…ปวดฉิบหาย….แล้วมึงล่ะอีบัว…เที่ยวถ้ำทั่วหรือยัง”
ประกาย ตาน้องกิฟท์กับเซี่ยวเล้งเต้นระยิบระยับ กัดริมฝีปากระงับเสียงหัวเราะอย่างยากเย็น ก่อนที่น้องทิพย์จะดัดเสียงตะโกนตอบด้วยความดังไม่แพ้กัน
“ไอ้ห่า..มึงไปเยี่ยวรดถ้ำแบบนี้เดี๋ยวก็โดยผีเฝ้าถ้ำหักคอหรอก…”
ตามมาด้วยเสียงกระซิบของน้องรินที่ส่งมาอย่างแผ่วเบา
“ทิพย์รู้นะว่าพี่เอไปทำอะไรมา…กลิ่นจากพี่เซี่ยวเล้งระเหยออกมาแบบนี้…ขึ้นมาแอบเย็ดกันไม่ให้ทุกคนรู้แน่ๆ เลย…”
“บ้ารินเนี่ย….”
เซี่ยว เล้งยกมือตีไหล่น้องรินเบาๆ ทำให้ทุกคนต้องอมยิ้มออกมา ผมกระซิบให้ทุกคนแยกกันออกไปเพื่อรวมตัวกันอีกทีที่ส่วนลึกของถ้ำซึ่งมี ลักษณะเป็นถ้ำหินปูนทอดลึกเข้าไป เป็นจุดสิ้นสุดที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวผ่านเข้าไปมากกว่านี้
ไม่ นานนัก น้องทิพย์ น้องนิว จานีส และน้องทิพย์ ก็เข้ามาสมทบในจุดนัดหมาย เบื้องหน้าเป็นปากถ้ำหินปูนวงกลมมีแอ่งน้ำเล็กๆ ขวางอยู่ ผมพยักหน้าเป็นสันญาณให้ทุกคนรีบพุ่งร่างเข้าไปอย่างเงียบเชียบไปสู่ความมืด แต่ทันที่ผมนำไฟฉายที่น้องนิวมอบให้ออกมากดปุ่ม แสงสว่างจ้าก็พุ่งออกไปข้างหน้าจนเห็นทางที่กำลังมุ่งไปได้อย่างชัดเจน ผมสำรวจเส้นทางที่เห็นอย่างรวดเร็วและพบว่ามันเป็นช่องทางลักษณะอุโมงค์ที่ เกือบกลมสมบูรณ์ ผนังทุกด้านเป็นสีขาวสะท้อนแสงไฟจนเกิดประกายทั่วไปหมด บ่งบอกว่านี่คือหินปูนที่ก่อตัวจากผลึกซิลิก้า และเกิดเป็นช่องทางจากการกัดเซาะของน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ซึ่งหมายความว่าเส้นทางนี้จะต้องนำผมลงไปสู่ส่วนลึกของภูเขาอย่างแน่นอน
ผม พยักหน้าให้น้องพิมเข้ามาหาและให้เด็กหญิงสวมใส่เครื่องช่วยหายใจพร้อมกับจา นีส ก่อนให้น้องพิมขึ้นขี่หลังผมไว้ และมอบหมายให้เซี่ยวเล้งกุมมือจานีสเพื่อถ่ายทอดปราณช่วยในการเคลื่อนร่าง
‘พร้อมแล้วนะ…พวกเราไปกันเถอะ’
ผม ส่งสัญญานทางจิตไปยังทุกคนให้เคลื่อนขบวนไปตามทาง โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบจากผู้ใด เพราะหลังจากเคลื่อนที่มาจากปากทางเข้ามากว่าหนึ่งกิโลเมตร ปราณผมสัมผัสได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่รอบกลุ่มของผมอีกต่อไป ทุกคนพยักหน้ารับและเริ่มโคจรปราณสาดพุ่งร่างลงไปในช่องทางเบื้องหน้าอย่าง รวดเร็ว
เพียงไม่กี่อึดใจด้วยอำนาจปราณ ทุกคนก็ผ่านเข้ามาลึกเป็นระยะกว่าห้ากิโลเมตร ร แต่ผมต้องชะงักร่างลงทันทีเมื่อพบว่าเบื้องหน้าปรากฏทางแยกออกเป็นสองสาย สายหนึ่งเล็กพอที่จะเบี่ยงตัวผ่านไปได้ ในขณะที่อีกสายหนึ่งดูจะขยายกว้างขึ้น ซึ่งหากดูจากสภาพเบื้องหน้าแล้วผมควรจะนำทุกคนไปทางเส้นทางใหญ่มากกว่า แต่ในขณะที่ผมกำลังเตรียมจะเคลื่อนร่างไปทางช่องทางที่ใหญ่กว่านั้น จานีสก็ก้าวมากระตุกแขนเสื้อผมเบาๆ
‘พี่เอ..หยุดตรงนี้ก่อน จานีสขอดูอะไรหน่อย’
จานีสก้าวมาอยู่คู่กับผมและดึงแผ่นหนังเก่าคร่ำคร่าที่ผมเคยเห็นในห้องสมุด เมื่อวานออกมาจากกระเป๋า และวางลงบนพื้นเพื่อพิจารณาอย่างตั้งใจ ผมมองภาพลายเส้นยุ่งเหยิงที่ปรากฏบนแผ่นหนังอย่างงุนงง เพราะมันดูราวกับเป็นเส้นหมึกที่วาดขึ้นอย่างสะเปะสะปะไร้ความหมาย แต่ดูเหมือนจานีสจะรับรู้อะไรบางอย่าง นิ้วเรียวยาวของเด็กสาวชี้ไปตามเส้นที่วาดไว้ และส่งเสียงพึมพำเบาๆ
‘หรดีไปทางขวา ย้อนมาปัจฉิม…ไม่สิ…ต้องตรงไปมากว่า…แต่เราอยู่ตรงไหนนะ..งทางแยก.. ทางแยก…พี่เอ…จานีสคิดว่าจานีสตีความลายเส้นพวกนี้ได้แล้ว..’
จิตที่ส่งเสียงแผ่วเบาของจานีสพลันเพิ่มระดับทันทีจนทุกคนหันรุมล้อมจานีสไว้เป็นศูนย์กลาง
‘พวกเราดูนี่นะ…เป็นไปได้ไหมที่ตำแหน่งนี้คือปากถ้ำเชียงดาว เห็นไหมว่าเส้นนี้ทอดมาตรงตลอดจนมาแยกเป็นสองสายที่นี่ น้ำหมึกที่เขียนไว้มีหนักและเบา ซึ่งน่าจะเป็นการบ่งชี้ถึงขนาดของเส้นทาง แต่เส้นหนักนี้ไปหยุดอยู่ที่ทางตันห่างออกไป ขณะที่เส้นเบาต่อเชื่อมไปยังเส้นแขนงในตอนล่างที่นำไปสู่ศิลาปฏิสาร พี่เอลองไปตามเส้นใหญ่หน่อยได้ไหม ถ้าจานีสคาดถูกต้อง มันจะตันในอีกประมาณหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้า…’
ผมพยักหน้ารับคำขอของจานีสและดีดร่างไปตามทางเส้นใหญ่นั้นทันที เพียงอึดใจเดียวผมก็พบทางโค้งที่นำไปสู่ผนังหินทึบตันปราศจากเส้นทางไปต่อ ผมรีบกลับมาหาจานีสกับทุกคนที่ยังรออยู่บริเวณทางแยกและพยักหน้าเป็นสัญญาณ บอกให้รู้ว่าสิ่งที่คาดเดานั้นถูกต้อง ทำให้จานีสยิ้มออกมาอย่างดีใจ และส่งจิตที่แฝงความตื่นเต้นให้ทุกคน
‘มีความเป็นไปได้มากทีเดียว ที่พวกเรามาถูกสถานที่แล้ว พี่เอพาทุกคนไปตามทางเล็กนี่นะ จานีสเชื่อว่าเมื่อเราเข้าไปอีกประมาณ 150 เมตรจะมีถ้ำโปร่งขนาดเล็กขึ้น และจะมีทางแยกที่ตรงนั้นเป็นห้าสาย…พี่เอนำไปเถอะ…’
ผมส่งจิตรับคำจานีส แล้วนำทุกคนเบี่ยงตัวผ่านช่องทางแคบๆ ไปข้างหน้า ช่องทางนั้นดูจะแคบลงทุกทีจนผมต้องย่อกายลงแทบจะเป็นการคลาน แต่เมื่อผ่านไปได้ครู่หนึ่งมันก้กลับขยายขึ้นและเพิ่มความกว้างขึ้นทุกขณะจน เมื่อทุกคนเคลื่อนที่มาได้ตามระยะที่จานีสบอก เบื้องหน้าก็เป้นช่องโล่งทันที ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่อง เห็นได้ชัดเจนว่ามันเป็นโพรงถ้ำที่มีขนาดความกว้างราวสนามบาสเกตบอล ผนังถ้ำมีรอยแยกกระจัดกระจายกัน ซึ่งเพียงมองแว่บเดียวผมก็รู้ในทันทีว่ามันมีจำนวน 5 ช่องตามที่จานีสบอกโดยไม่ผิดพลาด
‘จานีสแน่ใจแล้วพี่เอ…ที่นี่คือสถานที่ที่ระบุในลายแทงอย่างแน่นอนแล้ว…พี่เอขอจานีสนำทางนะ..’
โดยไม่รอคำตอบ จานีสก้าวมากุมมือผมไว้และพยักหน้าเป็นสัญญานให้ผมถ่ายทอดปรารผ่านไปให้ เพื่อที่เด็กสาวจะได้ใช้ปราณเคลื่อนที่นำทางทุกคน ผมส่งผ่านกระแสปราณไปยังสองเท้าจานีสที่ดีดกายไปข้างหน้าเคียงข้างผม โดยมีทุกคนติดจามมาอย่างกระชั้นชิด มือของจานีสถือแผ่นหนังไว้เบื้อหน้า ขณะที่นำผมวกวนผ่านทางแยกต่างๆ อย่างมั่นใจพาทุกคนเคลื่อนลึกลงไปทุกขณะ โดยไม่มีการส่งจิตหารือแม้แต่น้อย ก่อให้เกิดเป็นบรรยากาศลึกลับจนร่างน้องพิมบนหลังผมสั่นสะท้านสองมือน้อยๆ กอดผมไว้แน่น
ความเงียบที่น่าอึดอัดใจ และเส้นทางอันยาวนานดูราวกับจะดำเนินไปโดยไร้ที่สิ้นสุด เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแต่รอบด้านผมยังคงเป็นผนังถ้ำที่ทอดยาวลึกลงไปใน พื้นดิน ซึ่งเมื่อคำนวณจากความเร็วของผมและทางลาดที่ค่ออยๆ ทอดลงไป ผมเชื่อว่าน่าจะเดินทางมาได้กว่า 30 กิโลเมตร และอยู่ในระดับความลึกจากพื้นดินไม่ตำกว่า 2 กิโลเมตรแล้ว
จานีสชะงักร่างลงทันทีในจุดหนึ่งเมื่อพบว่าอุโมงค์เบื้องหน้าเกิดทางแยกเป็น สามสาย สายหนึ่งทอดลึกดิ่งตัวลงสู่ความมืด ส่วนอีกสองสายนั้นแยกออกซ้ายขวา ทอดยาวเป็นทางราบต่อไป แต่ก่อนที่ผมจะส่งจิตถาม จานีสก็ส่งจิตที่แฝงความกังวลออกมา
‘พี่เอ จานีสคิดว่าเรามีปัญหาแล้วล่ะ’
‘มีอะไรหรือพี่จานีส’
จิตน้องทิพย์ที่มักจะเป็นคนแรกที่อดรนทนไม่ได้กับทุกปัญหาดังแทรกขึ้น ขณะที่ร่างเพรียวบางแทรกตัวมาอยู่ด้านหน้ากับผม จานีสยิ้มให้น้องทิพยืก่อนชี้มือไปที่ตำแหน่งหนึ่งของแผ่นหนัง
‘ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้แล้ว….นี่ล่ะปัญหา’
ผมมองตามนิ้วมือของจานีสที่ชี้ไปยังตำแหน่งลายเส้นซึ่งปรากฏทางแยกสามเส้น อย่างชัดเจน และนำไปสู่ตำแหน่งวงกลมที่ระบุว่าเป็นที่ตั้งของศิลาปฏิสารในส่วนล่างสุดของ แผ่นหนัง แต่บริเวณต่อจากทางแยกนั้นกลับปรากฏรอยโหว่ของแผ่นหนังที่ชำรุดเสียหาย ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่าเส้นทางใดที่จะนำไปสู่จุดหมาย แต่ขณะที่ทุกคนกำลังพิจารณาแผ่นหนังเบื้องหน้าเพื่อหาทางแก้ไขนั้น จิตของน้องนิวก็ดังขึ้น
‘นิวคาดไม่ผิดจริงๆ เอ้าพี่เอรับนี่ไป…’
ผมหันกลับไปมองน้องนิวอย่างงุนงง เมื่อเห็นเด็กสาวล้วงมือไปหยิบวัตถุรูปไข่สีดำสนิทออกจมาจากย่าม และส่งให้ผม ก่อนแจกจ่ายให้ทุกคน พร้อมส่งจิตต่อเนื่อง
‘นิวนึกอยู่แล้วมาสำรวจถ้ำแบบนี้ต้องเจอทางแยก ต้องแบ่งกลุ่มกันสำรวจแน่ เอาละทุกคนกดปุ่มที่อยู่ตรงกลางเครื่องนี้นะ นิวจะติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณไว้ตรงสามแยกนี้…ถ้าแยกกันไปแล้วไม่พบอะไรก็ ตามสัญญาณกลับมา จำไว้นะว่าเวลาอยู่ห่างไฟจะกระพริบช้าลงเรื่อยๆ แต่เมื่อเข้ามาใกล้จนถึงเครื่องนี้ไฟสัญญณจะนิ่งสนิท รัศมีทำการในที่โล่งของเครื่องนี้คือ 100 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นในถ้ำแบบนี้คงลดลงบ้าง ถึงอย่างไรก็ตามก็ไม่น่าต่ำกว่า 30 กิโลเมตรแน่นอน เข้าใจไหม เอาล่ะ พี่เอจะแยกกลุ่มยังไงดี’
ทุกคนจับจ้องสายตาที่งุนงงไปยังน้องนิวผู้กำลังรื้อค้นเครื่องมือมาแจกจ่าย พร้อมอธิบายแผนทั้งหมด แต่ในที่สุดหลังได้ขบคิดกับแผนการณ์ที่น้องนิวบอกมา ผมและทุกคนก็ต้องยอมรับว่าการตัดสินใจกำหนดให้แยกกันของน้องนิวนั้นสมเหตุผล ที่สุด โดยเฉพาะด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือที่น้องนิวนำมานี้ทำให้ทุกคนไม่ต้อง กังวลเรื่องการหลงทางแต่อย่างใด ผมถอนใจยาวก่อนส่งจิตไปยังทุกคน
‘พี่ เห็นด้วยกับน้องนิวนะ ในเมื่อเป็นแบบนี้เราคงต้องแยกกันสำรวจแล้วงงพี่คิดว่าพี่จะลงไปทางด้านล่าง เองกับจานีสและน้องพิม เพราะทั้งสองคนไม่มีปราณพี่จะได้ดูแลป้องกันอันตรายได้ ส่วนน้องรินกับน้องกิฟท์แยกไปทางขวา น้องนิว น้องทิพย์ กับเซี่ยวเล้งแยกไปทางซ้าย…อีกหนึ่งชั่วโมงหากไม่เจออะไรเรากลับมาเจอกัน ที่นี่ ตกลงไหม ’
ภรรยาผมทุกคนพยักหน้ารับคำโดยไม่โต้แย้ง จานีสรีบนั่งลงนำกระดาษสองแผ่นออกมาคัดลอกเส้นทางที่ปรากฏในแผ่นหนังให้น้อง ริน และเซี่ยวเล้ง ขณะที่น้องนิวรีบติดตั้งเครื่องมือทรงกระบอกไว้บนสามขาขนาดเล็กแล้วกดปุ่ม ที่ด้านบน ทำให้เครื่องติดตามในมือทุกคนเกิดแสงไฟสีแดงสว่างขึ้นมา ก่อนที่จะหันมาให้สัญญานพร้อมกับคนและดึงร่างอดีตธิดามังกรฟ้าหายลับไปทาง ขวามือ น้องรินกับน้องกิฟท์พยักหน้าให้ผมพร้อมกันแล้วพากันเข้าไปทางช่องซ้ายมือ ปล่อยให้ผม จานีสและน้องพิมเคลื่อนลงต่ำไปสู่ความมืดเบื้องล่าง
ผมกระชับร่างน้องพิมไว้บนหลังอีกมือหนึ่งกุมมือจานีสเพื่อถ่ายทอดปราณช่วย การเคลื่อนที่ ทำให้ระดับความเร็วในการลงไปตามอุโมงค์ยังคงรักษาระยะทางไว้ได้ดังที่ผ่านมา ท่ามกลางแสงไฟผมรับรู้ได้ว่าผนังอุโมงค์รอบข้างเริ่มเปลี่ยนจากหินปูนสีขาว ไปเป็นหินแกรนิตสีเทาอย่างช้าๆ จนไม่นานนักผนังที่เคยราบเรียบก็เปลี่ยนไปเป็นผนังขรุขระด้วยก้อนหินใหญ่ น้อย ทางเดินค่อยๆ แคบลงในบางช่วงจนผมต้องย่อร่างเพื่อผ่านต่อไป
เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที ฉับพลันนั้น เบื้องหน้าผมปรากฏจุดดำสนิทในระยะไกล ที่ค่อยๆ ขยายตัวเป็นวงกลมสีดำอย่างรวดเร็วเมื่อผมเข้าใกล้ เพียงไม่กี่อึดใจผมก็หลุดพ้นจากอุโมงค์ที่ทอดยาวมาจากถ้ำเชียงดาวเข้ามาใน ถ้ำหินขนาดใหญ่มหึมา ซึ่งอยู่เบื้องล่างจากทางออกอุโมงค์ราว 20 เมตร ผมสูดลมหายใจลึกผนึกปราณคชสีห์เหินบิน กระชับร่างน้องพิมและจานีสให้แนบตัวก่อนร่อนร่างลงกับพื้นถ้ำอย่างแผ่วเบา
ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าของหลอดไฟฮีเลียมทั้ง 3 ดวงที่ติดอยู่กับผม จานีสและน้องพิม ถ้ำหินมหึมาปรากฏอยู่ตรงหน้าท่ามกลางแสงสว่าง แต่ความกว้างของมันทำให้แสงจากไฟฉายไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดได้ พื้นถ้ำเต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำกระจัดกระจายไปทั่ว แต่น่าแปลกที่เมื่อผมย่ำเท้าลงไปที่พื้นถ้ำกลับพบว่าเท้าผมกลับจมลงไปในฝุ่น สีเททาละเอียดหนากว่าสองนิ้วจนละอองผุ่นปลิวคลุ้งขึ้นมา แนวเพดานถ้ำที่สูงลิบลิ่วซึ่งควรจะมีหินย้อยมากมายกลับดูราบเรียบราวกับ กระจก และเมื่อแสงไฟถูกส่องไปกระทบก็เกิดแสงพร่างพรายจนเกิดประกายแสงหลากสีงดงาม ท่ามกลางความเงียบ ทำให้เสียงหยดน้ำจากเพดานถ้ำหยดลงมากระทบพื้นหินด้านล่างส่งเสียงกังวานเป็น ระยะ ภาพที่เห็นดูคุ้นตาผมอย่างแปลกประหลาดแต่ผมเองก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นมาจาก ที่ใด
“สวยจังเลย…พี่เอ…ขอพิมลงไปดูหน่อยนะ..”
ร่างน้อยๆ บนหลังผมเอ่ยทำลายความเงียบ และดิ้นรนออกจากอหลังผมลงมายืนที่พื้น ก่อนวิ่งไปดูภาพสีสันที่เปล่งประกายเบื้องบนอย่างร่าเริง ส่วนจานีสกุมมือผมไว้ก่อนส่งจิตถามเบาๆ เมื่อพบว่าผมกำลังพิจารณาสภาพรอบตัวอย่างละเอียด
‘พี่เอ…มีความเห็นอะไรบ้างไหม’
‘เป็นถ้ำที่ใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าตั้งอยู่ใต้พื้นดินได้…พี่เชื่อว่าคงมี น้อยคนนักที่จะผ่านลงมาถึงที่นี่ได้ แต่ถ้าถามว่าศิลาปฏิสารอยู่ที่ไหนนั้น พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะในลายแทงมีคำที่บอกว่าจิตสมดุลย์เท่านั้นที่บ่งชี้ตำแหน่ง แต่จิตสมดุลย์นั้นคืออะไรกันแน่…’
‘พี่เอ จานีสว่าพวกเราลองไปหาร่องรอยต่อไปที่ผนังถ้ำดีไหม บางทีอาจจะมีเส้นทางต่อไปอีก…’
จิตจานีสส่งมายังผมเบาๆ ผมพยักหน้ารับและเรียกให้น้องพิมกลับมาอยู่ข้างตัว ก่อนจูงมือเด้กสาวทั้งสองเดินไปฝั่งตรงข้าม แสงไฟส่องสว่างไปยังผนังถ้ำที่ล้วนเป็นก้อนหินมหึมาเรียงรายสลับซับซ้อน ผมค่อยๆ นำน้องพิมกับจานีสเดินสำรวจตามขอบผนังอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับหารอยแยกที่อาจนำไปสู่เส้นทางต่อไป เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ขณะที่ผมกำลังเดินอ้อมไปทางด้านหลังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง เพื่อสำรวจด้านหลัง เสียงน้องพิมก็ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ พี่เอ…เงยหน้าดูข้างบนนั่นหน่อยสิ….แปลกจัง รูอะไรทำไมมันกลมแบบนั้น”
ผมกับจานีสที่กำลังก้มๆ เงยๆ ตามซอกหินแหงนหน้าขึ้นตามนิ้วมือที่กำลังชี้ของน้องพิมทันทีภาพที่ปรากฏ เบื้องหน้าทำให้ผมกับจานีสอดอุทานออกมาไม่ได้ เพราะผนังถ้ำที่ผ่านมาซึ่งเป็นหินน้อยใหญ่เรียงรายนั้นกลับมาหยุดที่เหนือ ตำแหน่งของผม โดยมีสภาพเป็นแผ่นหินราบเรียบกว่างใหญ่ราวกับถูกสกัดจากน้ำมือมนุษย์ กึ่งกลางของผนังในตำแหน่งที่เหนือจากพื้นดินประมาณ 10 เมตร เป็นอุโมงค์ทรงกลมสมบูรณ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 3 เมตร ส่วนขอบอุโมงค์จารึกอักษรประหลาดเป็นแถวรอบวงกลม ท่ามกลางแสงไฟตัวอักษรนั้นดูคุ้นตาอย่างประหลาด แต่แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ในทันทีว่านี่คือตัวอักษรที่ปรากฏในลายแทงโบราณซึ่ง จานีสพบก่อนหน้านี้
‘พี่เอ..เห็นจารึกพวกนั้นไหม พวกเราขึ้นไปดูหน่อยเถอะ..’
ผมพยักหน้ารับ ก่อนช้อนร่างน้องพิมกับจานีสขึ้นมากอดไว้คนละด้าน และผนึกปราณพุ่งร่างขึ้นไปยังตำแหน่งก้อนหินใหญ่ที่อยู่หน้าอุโมงค์ สายตาผมเห็นพื้นหินเรียบสนิทประกอบเป็นผนังวงกลมทอดต่อลึกเข้าไปด้านใน ที่แม้แสงจากไฟฉายจะสว่างจ้าแต่ก็ไม่สามารถส่องไปถึงปลายทางได้ จานีสรีบขยับร่างออกจากอ้อมแขนผมและชะโงกตัวออกไปลูบคลำตัวอักษรที่สลักไว้ รอบปากทางเข้า แม้ใบหน้าที่ผ่านการปลอมแปลงจนเป็นใบหน้าหญิงกลางคนจะไม่สามารถแสดงอารมณ์ ใดๆ แต่แววตามุ่งมั่นของเด็กสาวที่สะท้อนออกบอกให้รู้ว่าจานีสกำลังใช้ความคิด อย่างหนักเพื่อแปลความหมาย ร่างอวบอิ่มของเด็กสาวทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิบนก้อนหิน สองมือขีดเขียนพื้นหินเบื้องหน้าไปมา และเงยหน้าขึ้นเพ่งมองตัวอักษรเป็นระยะ ครู่หนึ่งต่อมา ดวงตาจานีสก็หลับลง ร่างงามเปลี่ยนมาอยู่ในท่าขัดสมาธิสองมือประสานกันที่หน้าอก นิ้วเรียวงามทั้งสองเคลื่อนไหวเกี่ยวพันไปมา ราวกับเป็นการคำณวนทางคณิตศาสตร์ชั้นสูง ผมทรุดร่างลงนั่งเคียงข้างจานีสพร้อมน้องพิมที่จับจ้องดูการเคลื่อนไหวของ มือจานีสอย่างสนใจ
เวลาผ่านไปกว่า 15 นาที ดวงตาจานีสก็ลืมขึ้นและสบตากับผมแน่วนิ่ง
‘พี่เอ…จานีสขอโทษด้วยที่ใช้เวลานานไปหน่อย เพราะตัวอักษรเหล่านี้มีทั้งหมด 169 ตัว แม้จะเป็นภาษากูโบ๊สที่จานีสแปลได้ก็จริง แต่เวลาแปลแต่ละตัวมันมีความหมายสับสนไปหมด จานีสเลยต้องพยายามจัดรูปแบบใหม่ด้วยวิธีต่างๆ อยู่นานจนรู้ว่าจารึกรอบของอุโมงค์นี้ต้องอ่านสลับกันตามตำแหน่งเคลื่อนที่ ของดวงดาวในจักราศรีที่มีทั้งถอยหลังเดินหน้า..ทีแรกพอจานีสรู้ก็ใช้ตำแหน่ง จักราศรีทั้ง 12 มาคำณวนด้วยความเคยชิน แต่ก็ไม่สำเร็จ พอดีจานีสนึกขึ้นได้ว่าจักราศรีคนแบกงูอันเป็นราศรีที่ 13 นั้นคือประธานแห่งราศรีทั้งปวง คราวนี้พอคำนวณโดยใช้เลข 13 ชุด ก็สามารถถอดความทั้งหมดออกมาได้แล้ว
ผมอดตะลึงกับสิ่งที่จานีสบอกออกมาไม่ได้ เพราะสิ่งที่เด็กสาวทำนั้นคือการประมวลข้อมูลถอดรหัสที่แม้จะใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ช่วยก็ยังต้องใช้เวลาวิเคราะห์ประมวลผมไม่ใช่น้อย แต่จานีสกลับสมารถใช้ความทรงจำที่แม่นยำสร้างระบบการวิเคราะห์ในสมองมนุษย์ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
‘จานีสบอกให้พี่รู้หน่อยเถอะ..’
จานีสถอนใจยาวและเริ่มถ่ายทอดสิ่งที่จารึกไว้บนผนังศิลา
@@@@‘……….จิตไร้ขอบเขต กาลไร้ที่สุด อดีตไร้ความทรงจำ ปัจจุบันไร้อัตตา อนาคตไร้กำหนด จักรในกายไร้ตำแหน่ง ปราณไร้จุดศูนย์ ทุกสิ่งสมบูรณ์พร้อม น้อมจิตผ่านทางมาหาเรา……@@@@
นี่คือทั้งหมดที่จารึกเอาไว้ จานีสมั่นใจว่าแปลถูกต้อง แต่ความหมายของมันนั้นจานีสไม่เข้าใจเลยพี่เอ’
ผมนิ่งงันไปกับสิ่งที่จานีสแปลออกมา ทุกประโยคดูราวกับจะซ่อนความหมายที่ลึกลับเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจได้ใน ระยะเวลาอันสั้น ผมและจานีสจมอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดนานจนกระทั่งน้องพิมที่นั่งอยู่ด้านข้างทน ไม่ได้และส่งเสียงใสๆ ออกมา
“พี่เอ พี่จานีส..ไม่เข้าไปในอุโมงค์นั่นหรือ”
เสียงของน้องพิมปลุกผมให้นึกขึ้นมาได้ว่าการใช้ความคิดตีความในที่นี้เป้ นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่ควรทำเป็นเบื้องแรกน่าจะเป็นการเข้าไปค้นหาความลับภายในอุโมงค์และ ไม่แน่ว่าภายในนั้นอาจจะมีหนทางที่จะนำไปสุ่การทำความเข้าใจจารึกนี้ได้ ผมลุกขึ้นจับมือน้อยๆ ของน้องพิมและส่งจิตให้จานีสเตรียมตัวตามผมเข้าไปในอุโมงค์
‘พี่เอ เดี๋ยวก่อน…’
จานีสส่งจิตร้อนรนมายังผมเมื่อตามมาถึงหน้าปากทางเข้าและผมกำลังเตรียมตัว ที่จะก้าวเข้าไป จิตของจานีสทำให้ผมชะงักเท้าและหันมามองจานีสด้วยความสงสัย
‘มีอะไรหรือจานีส’
ดวงตากลมโตของอดีตโหราทาสแห่งจักรราศีทอประกายกังวลขณะส่งจิตตอบ
‘พี่เออย่าหาว่าจานีสกังวลเกินกว่าเหตุเลยนะ แต่จานีสคิดว่าพี่เอน่าจะใช้ปราณตรวจสอบทางเข้านี้ก่อนเพื่อความปลอดภัย’
ผมพยักหน้ารับและตำหนิตัวเองที่ความต้องการสำรวจหาความจริงกลับทำให้ผม เลินเล่อกับสิ่งที่ควรกระทำ ผมรีบผนึกปราณในร่างผมให้โคจรแผ่ซ่านไปทั่ว ให้สัญยานจานีสกับน้องพิมถอยห่างลงมาด้านล่าง ก่อนรวมปราณที่ฝ่ามือขวาผลักส่งกระแสปราณสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในทางเข้านั้น
……….เปรี้ยง……..
เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นทันทีที่ปราณผมส่งไปถึงปากทางเข้า แรงสะท้อนมหาศาลส่งกลับมายังผมที่ยังไม่ทันระวังตัวจนปลิวกระเด็นออกมาราว ถูกมือยักษ์เหวี่ยง ร่างผมหมุนคว้างอยู่กลางอากาศไปกว่าสามสิบเมตรก่อนที่พลังสะท้อนจะลดลงและผม สามารถถ่วงร่างลงกับพื้นได้
“พี่เอ”
เสียงร้องของน้องพิม และจานีสดังลั่นด้วยความตกใจ ร่างทั้งสองวิ่งตรงเข้ามาหาผมทันทีและมีทีท่าโล่งใจเมื่อพบว่าผมสามารถผนึก ปราณถ่วงร่างลงมายืนได้ท่ามกลางฝุ่นละอองสีเทาที่ถูกปลายพลังม้วนขึ้นมาจน เป็นหมอกฝุ่นปกคลุมทั่วถ้ำ ผมรีบส่ายหน้าบอกให้ทั้งสองรู้ว่าผมไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ใจผมก็อดสั่นสะท้านไปกับพลังที่สะท้อนออกมาไม่ได้ เพราะมันดูราวกับว่าปากทางเข้าสู่อุโมงค์เส้นนี้ไม่เพียงแต่จะสะท้อนปราณที่ ส่งเข้าไปเท่านั้น แต่พลังที่สะท้อนกลับมายังทวีความรุนแรงเป็นสองเท่าของพลังที่ส่งเข้าไปอีก ด้วย
‘พี่เอ…อะไรขวางทางเข้าอยู่น่ะ’
จานีสส่งจิตถามด้วยความงุนงงกับสิ่งที่เห็น
‘พี่ เองก็ไม่แน่ใจนะ พี่รู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ขวางกั้นอยู่นั้นสะท้อนปราณที่พี่ส่งเข้าไปเป็นสอง เท่า ดีที่พี่ไม่ได้ใช้ปราณสุดกำลัง ไม่อย่างนั้นปราณที่สะท้อนออกมานี่อาจทำให้บาดเจ็บสาหัสไปแล้ว’
‘สะท้อน เป็นสองเท่า…เป็นไปได้อย่างไร…นี่มันขัดต่อกฎธรรมชาติ พลังสะท้อนไม่มีทางที่จะรุนแรงเท่าเทียมพลังต้นกำเนิดได้…แม้กระทั่งม่าน ปราณปกป้องจักราศรีที่ไม่มีผู้ใดผ่านเข้าไปได้ก็ไม่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ ธรรมชาตินี้………หรือว่า….’
จิตจานีสส่งเสียงขึ้นเบาๆ ด้วยความสับสน แต่ในตอนท้ายดูเหมือนจานีสจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ ดวงตาเด็กสาวเบิกโพลงก่อนส่งจิตที่แฝงความตื่นเต้นมายังผม
‘พี่เอ… มันคือม่านปราณที่ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติ ไม่มีทางเป็นไปได้ในจักรวาลนี้ แต่เป็นไปได้หากเป็นจักวาลอื่นที่กฏเกณฑ์ธรรมชาติตรงข้ามกับเรา…จานีสคิด ว่านี่คือม่านปราณปฏิสาร…ที่กำเนิดจากการดำรงอยู่ของศิลาปฏิสารที่มาจาก จักรวาลอื่น…’
ผมอึ้งไปกับสิ่งที่จานีสตั้งสมมุติฐาน เพราะจากความรู้ที่ผมได้ร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ก็เคยมีการพูดถึงทฤษฏี Antimatter ที่นักวิทยาศาสตร์จากโลกตะวันตกเสนอขึ้นเพื่ออธิบายการคงอยู่ของจักรวาลคู่ ขนาน ในทฤษฏีนั้นกล่าวถึงสภาพทางฟิสิกส์ของจักรวาลอื่นที่ตรงกันข้ามกับจักรวาล ที่มนุษย์อาศัยอยู่ รวมถึงระบุว่าหากเกิดหลุมดำที่ทรงพลังมากพอที่จะเปิดเส้นทางไปสู่อีกจักรวาล หนึ่งได้ สสารจากจักรวาลนั้นที่หลุดเข้ามาก็จะทำปฏิกิริยาอย่างรุนแรงที่สุดกับ จักรวาลนี้ จนอาจเกิดการระเบิดของดวงดาวหรือดาราจักรได้ แต่ภาพเบื้องหน้าที่ผมกำลังจับจ้องอยู่นั้นแสดงถึงการคงอยู่ของพลังที่ขัด แย้งกับกฏฟิสิกส์สอดคล้องกับทฤษฏีของนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตก แต่แทนที่มันจะระเบิดตัวเองทำลายดวงดาวทั้งหมด ม่านปราณเบื้องหน้ากลับสามารถดำรงอยู่ร่วมกับสสารบนโลกอย่างไม่น่าเป็นไปได้
‘จานีสจำที่เหมียว ไม่ใช่สิ…น้องนิวบอกเมื่อคืนได้ไหม ที่ว่า ดร.หวังปิง คุณพ่อของน้องนิวก่อนที่จะตายได้ค้นคว้าเรื่องนี้เช่นกัน และประสบความสำเร็จในการสร้างอนุภาคปฏิสารให้คงตัวอยู่ได้หนึ่งในพันวินาที แม้จะเป็นเวลาที่น้อยนิด แต่มันพิสูจน์ให้โลกได้รู้ว่าปฏิสารมีจริง รวมทั้งจักรวาลคู่ขนานที่เป็นต้นกำเนิดของมันด้วย แต่พี่ก็ยังไม่เข้าใจว่าม่านปราณนี้คงตัวอยู่ได้อย่างไร ในเมื่ออนุภาคทปฏิสารที่ ดร.หวังปิงสร้างขึ้นนั้น มันต้องใช้สนามพลังที่มีแรงมหาศาลในการารคุมไม่ให้ปฏิสารสัมผัสวัตถุ..แต่ ที่นี่ไม่มีแหล่งพลังงงานอะไรเลย..’
ผมพยายามรื้อฟื้นข้อมูลมาร่วมวิเคราะห์กับจานีส
‘จานีสไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์หรอกพี่เอ ในตำราโบราณที่จานีสเคยศึกษาก็ไม่มีบันทึกถึงการควบคุมปฏิสารนี้ แต่จากสภาพเบื้องหน้าดูเหมือนว่าแม้เราจะไม่ยอมรับการคงอยู่ของมันก็คงไม่ ได้แล้ว…’
จิตจานีสส่งออกมายังผมอย่างแผ่วเบาเสียจนเหมือนเป็นการ รำพึงกับตัวเอง.. แต่ผมกับจานีสก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงกังวานในเสียงหนึ่งดังขึ้นในจิต
‘มิ ผิด นั่นคือม่านปราณปฏิสาร…นับว่าท่านทั้งสองรอบรู้เหนือผู้ทรงปราณในโลกนี้ จริงๆ แต่ท่านจะบอกเราได้หรือไม่ว่าพวกท่านคือผู้ใด และมาถึงสถานที่เร้นลับแห่งนี้ได้อย่างไร’
ผมหันขวับไปทางต้นเสียง แล้วต้องสะท้านใจอย่างรุนแรงกับภาพที่เห็น
ไกลออกไปที่ปากทางอุโมงค์ซึ่งผม จานีส และน้องพิมใช้เป็นทางเข้ามาสู่ถ้ำแห่งนี้ เงาร่างอ้อนแอ้นของสตรีที่อยู่ในผ้าคลุมสีเทาที่คลุมทุกส่วนของร่างกายเอา ไว้รวมทั้งใบหน้า เลื่อนลอยมาผ่านเหนือพรมฝุ่นสีเทาที่ปกคลุมอยู่บนพื้นถ้ำตรงมาทางผมช้าๆ โดยที่ผุ่นอันละเอียดอ่อนไม่กระจายตัวขึ้นมาแม้แต่น้อย อันเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าสตรีผู้นี้มีปราณสูงจนถึงระดับควบคุมอากาศเป็น เส้นทาง ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับเซี่ยวเล้งและมิถุกานารี สองเทวนารีที่ผมและตระกูลคชสีห์เคยเผชิญมา เบื้องหลังสตรีคลุมชุดเทาตามมาด้วยร่างสตรีงามสามร่างที่ตามติดมา อย่างกระชั้นชิด เท้าของสตรีทั้งสามจมอยู่ในพรมฝุ่นเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าทั้งสามยังมีปราณที่ต่ำกว่าสตรีชุดเทาอยู่ช่วงใหญ่ แต่ดูจากม่านฝุ่นที่น้อยจนมองแทบไม่เห็นเมื่อยามทั้งสามเคลื่อนผ่านก็เพียง พอแล้วที่จะรู้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นผู้ทรงปราณระดับสูงสุดที่ยากจะพบเห็นในโลก แห่งปราณ
มือน้อยที่สั่นระริกของจานีสกุมมือผมไว้แน่นแต่ไม่ส่งเสียง ทางจิตอันใดออกมาเพราะรู้ดีว่าบุคคลชุดเทาเบื้องหน้านั้นสามารถรับรู้ เนื้อหาการติดต่อทางจิตได้จากระยะไกล ซึ่งแม้แต่ผมเองกต้องยอมรับว่าไม่เท่าเทียม นิ้วชี้จานีสกดจุดในตำแหน่งต่างๆ บนฝ่ามือผมอย่างรวดเร็วแต่ก็ทำให้ผมสะท้านใจอย่างรุนแรงเมื่อสัมผัสรับรู้ ว่าจุดที่จานีสกดลงมานั้นคือตำแหน่งดวงดาวแห่ง….
‘ท่านผู้ทรงปราณ การที่ท่านผู้สามารถสื่อจิตกับแม่นางผู้นี้ได้ ปราณของท่านย่อมต้องบรรลุถึงขอบเขตฟ้าดินที่สูงกว่าขีดความสามารถของผู้ทรง ปราณในโลก ..แต่เราไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าในโลกมนุษย์มีผ้ทรงปราณระดับนี้อยู่…น่า แปลกใจนัก ไม่ทราบว่าท่านจะบอกนามให้เรารับรู้ได้หรือไม่’
จิตที่ส่ง เสียงหวานใสราวระฆังแก้วถามผมอย่างน่มนวลแต่แฝงอำนาจยากขัดขืน ผมสูดลมหายใจลึกเมื่อคาดเดาได้ว่าบุคคลเบื้องหน้าคือผู้ใด แต่ยังคงถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
‘เราเป็นเพียงผู้ปราศจากชื่อเสียงใดในโลกแห่งปราณ แต่แม่นางผู้มีปราณเหนือโลกจะบอกนามต่อเราได้หรือไม่…’
เสียงเสนาะใสจากผู้คลุมหน้าชุดเทาดังกังวานในจิตผม
‘เราคือจานีน…ได้รับนามจากท่านเทพสุรัสวดีผู้อยู่เหนือจักรราศี เรียกขานเป็นตุลยาเทวี เทวนารีแห่งราศีตุลย์ …’