The Zodiac บทที่ 5.1 สงครามเริ่มต้น
The Zodiac บทที่ 5.1 สงครามเริ่มต้น
“งั้นพวกรินจะไปรอรับพี่เอพร้อมกันที่บ้านคุณพ่อนะ แหม…รินอยากเจอน้องทิพย์ กับอีกสองสาวที่พี่เอเล่าให้ฟังจริงๆ ท่าทางจะสวยทั้งสองคนแน่ๆ เลย โดยเฉพาะธิดามังกรฟ้าเนี่ย…อื้ม โอเคจ๊ะ รินวางหูล่ะนะ..”
ร่างโปร่งบางของรินลดาในชุดเสื้อคลุมแพทย์ฝึกหัด กดหูฟังโทรศัพท์กลับเข้าไปในช่องรับของเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ขนาดใหญ่ ที่บนโต๊ะทำงาน ซึ่งไกรวิทย์ผู้เป็นสามีสั่งซื้อมาใช้งานในบ้านพักส่วนตัวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ บ้านพักแบบรีสอร์ทขนาดเล็กบนเนินเขา ในใจหญิงสาวอดชื่นชมกับการตัดสินใจสั่งซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่อิริคสันของ ไกรวิทย์ไม่ได้ เพราะแม้จะมีราคาแพงกว่าสองแสนบาท แต่ก็ทำให้สถานที่ซึ่งห่างไกลสาธารณูปโภคสาธารณะทุกรูปแบบแห่งนี้สามารถ ติดต่อกับโลกภายนอกได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการที่ล่าช้าขององค์การโทรศัพท์อีกต่อไป
“พี่ริน อย่าเพิ่งวางหู..ว้า……ไม่ทันแล้วหรือเนี่ย…พี่เอว่ายังไงบ้างล่ะ”
เสียงร้องของอัจฉริยาหรือน้องกิฟท์ของไกรวิทย์ดังขึ้นอย่างตื่นเต้นขณะถลา เข้ามาในห้องพักผ่อนของ “บ้านเล็ก” ที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้เนินเขา ในจังหวะเดียวกับที่รินลดาผู้รับโทรศัพท์วางหูลงกับช่องรับบนเครื่องพอดี ทำให้กิฟท์อดร้องออกมาด้วยความผิดหวังน้อยๆ ไม่ได้ แต่เด็กสาวก็ยังคงรีบถามรินลดาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นอุปนิสัยประจำ ตัวมาตั้งแต่เด็ก รินลดาหันไปหากิฟท์แล้วยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อพบว่าเด็กสาวอยู่ในชุดเสื้อ กระโปรงสีสุภาพเรียบร้อยสมกับตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวอายุ 15-16 ปีเบื้องหน้า ทำให้รินลดาอดต้องขบขันในใจไม่ได้เมื่อคิดว่านักศึกษาในชั้นเรียนคงจะไม่ ค่อยเชื่อถือในความรู้ของ “อาจารย์อัจฉริยา” ผู้นี้มากนัก เพราะทั้งรูปร่างหน้าตาและลักษณะนิสัยแบบเด็กวัยรุ่นทำให้อัจฉริยาดูราวกับ เป็นนักเรียนมัธยมมากกว่าบัณฑิตเกียรตินิยมเหรียญทองจากคณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ อย่างที่เป็นจริง รินลดายิ้มสดใสให้อาจารย์สาวน้อยเบื้องหน้า ก่อนตอบคำถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียน
“ไม่เห็นพี่เอบอกอะไรเลย มีแต่สั่งให้พี่บอกน้องกิฟท์ว่าไม่ต้องใส่กางเกงใน เพราะทันทีที่พี่เอมาถึงจะเย็ดน้องกิฟท์เป็นคนแรกให้สมกับที่หายไปหลายวัน เลยแหละ..”
“บ้า..พี่รินเนี่ย….”
อัจฉริยาปรี่เข้ามาทุบหญิงสาวผู้เปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆ ของตนเองเบาๆ อย่างแง่งอน ทำให้รินลดาอดหัวเราะออกไม่ได้ แต่ก่อนที่หญิงสาวจะเริ่มอธิบายสิ่งที่ไกรวิทย์แจ้งมาทางโทรศัพท์ เสียงหวานใสก็ดังขึ้นจากด้านหลังห้อง
“ใครจะเย็ดใครกันเอ่ย….จะให้เหมียวช่วยไหม?”
รินลดาและอัจฉริยา หันขวับไปตามเสียงทักทายของหญิงสาวผมสั้นดวงตาคมที่ยิ้มพรายทักทายการกลับ บ้านของอัจฉริยา ทำให้อัจฉริยารีบวิ่งไปฉุดมือปาริชาติก่อนพามาหารินลดาและส่งเสียงบอกอย่าง ตื่นเต้น
“พี่เหมียว…มาฟังนี่เร็ว เมื่อกี้พี่เอโทรมาหาพี่ริน….เอ้าพี่รินรีบบอกสิว่าพี่เอสั่งอะไรไว้บ้าง”
ปาริชาติสั่นศีรษะอย่างขบขันกับกริยาร่าเริงแจ่มใสของเด็กสาวเบื้องหน้า ที่แม้จะมีอายุไล่เรี่ยกันแต่ก็ดูเหมือนว่า “น้องกิฟท์” ผู้นี้จะยังคงลักษณะและนิสัยของเด็กหญิงวัยแรกสาวเอาไว้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ปาริชาติหันไปสบตารินลดาที่กำลังอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนส่งเสียงถามเบาๆ
“พี่เอว่ายังไงบ้างล่ะริน ปลอดภัยดีไหม แล้วเอาตัวน้องทิพย์กลับมาด้วยหรือเปล่า”
“เหมียวไม่ต้องห่วงหรอก พี่เอโทรมาบอกว่าปลอดภัยทุกอย่าง แถมยังเย็ดน้องทิพย์เรียบร้อยแบบไม่เสียเวลาเลยแหละ…”
คำบอกเล่าของรินลดาทำให้อัจฉริยาและปาริชาติเบิกตากว้างแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“พี่เอเนี่ย จะรอให้น้องทิพย์มาถึงที่นี่ก่อนก็ไม่ได้นะ…”
อัจฉริยาบ่นเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก ขณะที่รินลดาเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“ยังไม่หมดนะน้องทิพย์ เหมียว พี่เอยังพาสาวอีกสองคนกลับมาพร้อมน้องทิพย์ด้วย…. คนหนึ่งชื่อจานีส พี่เอเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าได้ช่วยออกมาจากสำนักมังกรฟ้า ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อเซี่ยวเล้ง เป็น…เอ้อ…”
น้ำเสียงแจ่มใสของรินลดาชะงักลงทันทีราวกับนึกถึงเรื่องบางประการได้ ดวงตาหญิงสาวหันไปจับจ้องปาริชาติอย่างไม่แน่ใจ ทำให้อัจฉริยาและปาริชาติจับจ้องรินลดาด้วยแววตาสงสัย
“ทำไมหรือริน เซี่ยวเล้งนี่เป็นใครหรือทำไมไม่เล่าต่อล่ะ เหมียวก็อยากรู้นะ…”
ปาริชาติสบตารินลดาเขม็งพร้อมเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความตื่นตัวเล็ก น้อย ราวกับจะรู้ว่าบุคคลที่รินลดากำลังจะกล่าวถึงอาจมีความเป็นมาที่ทำให้รินลดา ยากที่จะตัดสินใจว่าจะเล่าต่อไปดีหรือไม่ ดวงตายาวเรียวของรินลดาจับจ้องปาริชาติครู่ใหญ่ก่อนถอนใจยาว
“เหมียวระงับสติก่อนนะทีแรกรินได้ฟังก็แทบไม่เชื่อเหมือนกัน พี่เอเล่าให้ฟังว่าเซี่ยวเล้งคืออดีตหนึ่งในเทวนารีแห่งจักราศีมังกรนามธิดา มังกรฟ้า และเป็นลูกสาวของถังฮวงประมุขตำหนักมังกรฟ้า ศัตรูคู่แค้นของพวกเรา…”
คำบอกเล่าของรินลดาทำให้อัจฉริยาอุทานออกมาอย่างลืมตัว ขณะที่ปาริชาติขบกรามแน่นพร้อมกับดวงตาทอประกายกราดเกรี้ยว แต่ก่อนที่หญิงสาวผู้ที่ครอบครัวถูกจักราศีสังหารอย่างโหดเหี้ยมในอดีตจะ เอ่ยคำพูดใด รินลดาก็รีบเสริมคำบอกเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ทีแรกรินก็ตกใจเหมือนน้องกิฟท์กับเหมียวนั่นแหละ แต่พี่เอยืนยันว่าเซี่ยวเล้งถอนตัวจากจักราศีแล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการสังหารคุณพ่อคุณแม่และพี่สาวของเหมียวอย่างแน่นอน และที่สำคัญทั้งจานีสและเซี่ยวเล้งมอบพรหมจรรย์ให้พี่เอ พร้อมกับน้องทิพย์แล้ว…”
“พี่เหมียว…เป็นอะไรหรือเปล่า”
อัจฉริยาเคลื่อนร่างเข้ากอดปาริชาติไว้ด้วยความห่วงใย ขณะที่ใบหน้าปาริชาติซึ่งเคยทอแววขุ่นแค้นเมื่อครู่เริ่มสงบลงทีละน้อยจน กลับเป็นปกติ แล้วหันมากอดตอบอัจฉริยา และหันหน้ามาสบตารินลดาก่อนถอนหายใจหนักๆ พร้อมพูดเบาๆแต่ด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงการตัดสินใจแน่วแน่
“ทีแรกเหมียวก็ตกใจและโกรธนะที่พี่เอรับศัตรูอย่างเทวนารีเข้ามาในครอบครัว ของเรา แต่เหมียวมาคิดได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เอไม่เคยทำให้เหมียวเสียใจเลยแม้ แต่ครั้งเดียว และเหมียวก็รู้ว่าเอรักเหมียว…”
“เรื่องนี้กิฟท์กับพี่รินรับรองกับพี่เหมียวได้เลยว่า พี่เอรักพี่เหมียวด้วยชีวิตไม่ต่างกับที่รักพี่รินและกิฟท์เลยแม้แต่น้อย”
ปาริชาติสบตาอัจฉริยาแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เพราะรู้ดีว่าอัจฉริยาหมายถึงการถ่ายทอดความทรงจำระหว่างไกรวิทย์กับรินลดา และอัจฉริยา ซึ่งทำให้ทั้งสองรับรู้ความรักที่ไกรวิทย์มีให้อย่างเต็มที่ จนไม่รู้สึกหึงหวงผู้หญิงอื่นที่เข้ามาร่วมชีวิตแต่อย่างใด พร้อมกับยืนยันให้ปาริชาติที่ไม่สามารถรับการถ่ายทอดความทรงจำแน่ใจถึงความ รักที่ไกรวิทย์มีให้ว่าเป็นความรักผูกพันที่ไม่ต่างกับความรักที่มีให้ริน ลดาและอัจฉริยา ทำให้ปาริชาติถอนใจอีกครั้งก่อนยิ้มให้
“ก็อย่างที่น้องกิฟท์บอกนั้นแหละ เหมียวมั่นใจในความรักที่เอมีให้ และทำให้เหมียวเชื่อมั่นว่าการที่พี่เอรับเซี่ยวเล้งผู้เป็นทั้งเทวนารีและ ลูกสาวของถังฮวงเข้ามาร่วมครอบครัวของเรา น่าจะมีเหตุผลที่พวกเรายังไม่รู้แต่ไม่ว่าอย่างไรเหมียวก็พร้อมที่จะให้ เซี่ยวเล้งเข้ามาร่วมชีวิตกับพวกเราโดยไม่คัดค้าน รินกับน้องกิฟท์ไม่ต้องกังวลใจไปนะ”
รินลดายิ้มสดใสให้ปาริชาติ ก่อนเข้าร่วมกอดร่างปาริชาติไว้แน่นและกระซิบที่ใบหูขาวสะอาด
“ถ้างั้นเมื่อพี่เอกลับมาถึง พวกเราก็ตกลงให้พี่เอเย็ดเหมียวเป็นคนแรกก็แล้วกันนะ…เหมียวจะได้ซักถามเหตุผลกับพี่เอได้เต็มที่ไง”
ปาริชาติและอัจฉริยาหัวเราะออกมาพร้อมกัน ทำให้บรรยากาศตึงเครียดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่สลายไปในทันที ขณะที่ปาริชาติขยับตัวออกจากอ้อมกอดของรินลดาและอัจฉริยาแล้วซักต่อ
“แล้วนี่พี่เอจะมาถึงเวลาไหน รินรู้หรือเปล่า”
รินลดาพยักหน้ารับ
“พี่เอบอกว่าจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้วจะมาถึงตอนค่ำวันนี้แหละ รินบอกพี่เอไปแล้วว่าให้พาน้องทิพย์ จานีส และเซี่ยวเล้งไปที่บ้านคชสีห์เลย พวกเราจะตามไปพบที่นั่นจะได้ทำความรู้จักพร้อมๆ กันกับคุณพ่อคุณแม่”
“อย่างนั้นก็ดี งั้นเหมียวไปตามหนูนิดก่อนนะ จะได้เตรียมตัวไปพร้อมๆ กัน เอาเป็นว่าอีกสักครึ่งชั่วโมงดีไหม”
“พี่เหมียวไม่ต้องไปตามหนูนิดหรอก ดูสินั่นว่าใครมา..”
อัจฉริยาบอกพร้อมชี้มือไปทางด้านหลัง ซึ่งมีร่างเพรียวบางของเด็กหญิงวัยแรกสาวกำลังเดินเข้ามาในห้องพร้อมยิ้ม กว้างให้สามสาวที่อยู่ในห้อง ก่อนเข้ามากอดเอวปาริชาติไว้แน่น ใบหน้างามคมคายเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสาวรุ่นพี่ก่อนส่งเสียงถามอย่างกระตือ รือร้น
“พี่เหมียว พี่ริน พี่กิฟท์จะไปไหนกันคะ”
ปาริชาติเอื้อมมือไปลูบเรือนผมนุ่มสลายของอนิตราผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวบุญธรรมของไกรวิทย์อย่างนุ่มนวล ขณะที่รินลดาชิงตอบคำถาม
“พี่เอจะกลับมาเย็นนี้แล้วล่ะ พวกเราจะไปรอพบที่บ้านคชสีห์พร้อมกัน น้องนิดก็ไปเตรียมตัวเลยนะ จะได้ไปพร้อมกัน อ้อ .. พี่เอพาพี่สาวคนใหม่มาให้หนูนิดอีก 3 คนด้วย อยากรู้จักไหมล่ะ..”
ดวงตากลมโตของอนิตราเบิกกว้าง ขณะผละร่างออกจากการกอดรัดปาริชาติ พร้อมส่งเสียงอย่างตื่นเต้น
“พี่เอกลับมาแล้ว…งั้นเดี๋ยวนิดขอไปชวนปาเกอยะไปกับพวกเราด้วยได้ไหมพี่ริน”
รินลดาพยักหน้ารับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้เด็กหญิงรีบหมุนตัวเพื่อจะวิ่งออกไปทางประตูข้างซึ่งเป็นทางไปสู่หมู่ บ้านพักของคนงานชาวกระเหรี่ยงที่ปาเกอยะพักอยู่ แต่ก่อนที่อนิตราจะก้าวเท้าออกวิ่ง ปาริชาติก็กระแอมเบาๆ ก่อนส่งเสียงเรียบๆ ที่แฝงแววดุไว้ในสำเสียง
“หนูนิดจะออกไปที่บ้านพักปาเกอยะในชุดนี้น่ะหรือ”
คำเตือนของปาริชาติทำให้รินลดา อัจฉริยา หันมาให้ความสนใจเครื่องแต่งกายที่เด็กหญิงสวมใส่แล้วยิ้มออกมาเมื่อพบว่าบน ร่างอ่อนเยาว์ของอนิตราสวมใส่เพียงเสื่อเชิ้ตผ้าฝ้ายตัวหลวมที่ไม่ได้ ติดกระดุมสามเม็ดบน ทำให้สองเต้าที่เพิ่งผลิบานเป็นเนินน้อยๆ ปรากฏแก่สายตาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสัณฐานที่กลมกลึง หรือวงป้านสีน้ำตาลอ่อนประดับด้วยเม็ดยอดเต่งที่จุดกึ่งกลาง ส่วนท่อนล่างของเด็กหญิงมีเพียงชายเสือเชิ้ตที่ปกคลุมลงมาถึงครึ่งขาอ่อน ความเบาบางของเนื้อผ้าทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีอาภรณ์ท่อน ล่างหรือแม้แต่กางเกงในมาปกปิดเนินรักโหนกนูนเกินวัย 11 ปีของอนิตราแม้แต่น้อย สายตาของรินลดา อัจฉริยา และปาริชาติที่จับจ้องมาที่ความงามของเนินรักเป็นจุดเดียว ทำให้เด็กหญิงร้องอุทานออกมาด้วยใบหน้าแดงซ่าน ก่อนหันหลังวิ่งกลับไปที่ห้องของตนเอง
“ หนูนิดนี่ติดปาเกอยะแจเลยนะ…”
อัจฉริยาส่งเสียงรำพึงออกมาเบาๆ ขณะที่ปาริชาติส่ายหน้าไปมาราวกับไม่พอใจที่อนิตราไม่ระมัดระวังการแต่งกาย ของตนเอง แต่อัจฉริยาและรินลดาก็รู้ดีว่า ภายใต้ท่าทีไม่พอใจนั้นแท้จริงแล้วคือการแสดงออกของบุคคลที่ห่วงใยอนิตราที่ สุดและอุทิศเวลาแทบทั้งหมดในการอบรมสั่งสอนเด็กหญิงไม่จะเป็นการถ่ายทอด วิชาการหรือการชี้แนะการใช้ชีวิตให้ จนราวกับว่าปาริชาติเป็นมารดาของเด็กหญิงมากกว่าที่จะเป็นเพียงพี่สาว และอนิตราเองก็ให้รักและความเคารพปาริชาติมากกว่าทุกคนในครอบครัวเช่นกัน
“แต่ก็แปลกดีนะที่แม้พี่เอจะอนุญาตให้หนูนิดกับปาเกอยะมีความสัมพันธ์กันได้ แต่จนบัดนี้เหมียวก็ยังดูออกว่าหนูนิดยังบริสุทธิ์อยู่ ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายระงับความต้องการของตนเองเอาไว้ได้ ระหว่างหนูนิดกับปาเกอยะ”
ปาริชาติส่งเสียงเบาๆ บอกความสงสัยของตนเองให้รินลดาและอัจฉริยาร่วมรับรู้
“แล้วเหมียวว่าเป็นไปได้ไหมที่หนูนิดจะเปลี่ยนใจ ยอมรับปราณจากพี่เอ”
รินลดาถามความเห็นจากปาริชาติ เนื่องจากรู้ดีถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างคนทั้งสอง แต่ปาริชาติกลับถอนใจยาว
“เหมียวก็บอกไม่ถูกหรอกนะริน เพราะความรู้สึกที่หนูนิดมีต่อพี่เอเท่าที่หนูนิดเคยพูดและขอความเห็นจาก เหมียวนั้น เหมียวมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกแบบพี่น้อง เพราะมันเป็นความผูกพันและความต้องการของหญิงสาวที่มีต่อคนรักชัดๆ แต่หนูนิดกลับไม่ยอมเข้าใกล้พี่เอ และกลับไปคลุกคลีอยู่กับปาเกอยะตลอดเวลา รินรู้ไหมว่ามีวันหนึ่งที่เหมียวเข้าไปในห้องหนูนิดและพบคราบน้ำกามผู้ชาย เปรอะไปทั่วเตียงนอน ทำให้เหมียวมั่นใจว่าแม้หนูนิดจะยังคงบริสุทธิ์อยู่ แต่ก็ต้องมีความสัมพันธ์ภายนอกกับปาเกอยะแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นร่วมเพศอย่างสมบูรณ์เท่านั้น ข้อนี้เหมียวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมทั้งสองคนนั้นถึงไม่ก้าวต่อไป แต่กลับหยุดชะงักไว้แค่ภายนอกแบบนี้ เพราะพี่เอเองก็ไม่ได้ขัดขวางและอนุญาตให้หนูนิดอยู่แล้ว”
“กิฟท์ก็แปลกใจเหมือนกันและพี่เหมียว เห็นไหมว่าตอนนี้หนูนิดสวยขึ้นมาก แม้ร่างกายจะดูบอบบางไม่สมกับอายุก็ตาม แต่หน้าตาหนูนิดนี่กิฟท์เองเป็นผู้หญิงยังอดชมไม่ได้เลย โดยเฉพาะหีหนูนิดเนี่ย กิฟท์ไม่เชื่อหรอกว่าจะมีผู้ชายที่ไหนเห็นแล้ว จะควบคุมอารมณ์ไม่เย็ดหนูนิดได้ ทั้งนูนทั้งอวบขนาดนั้น ยิ่งกว่านั้นนะพี่เหมียว พี่เอเองก็ไม่ได้รักหนูนิดเหมือนน้องสาวสักหน่อย จิตพี่เอที่กิฟท์กับพี่รินรับมายืนยันกับพี่เหมียวได้เลยว่าถ้าหนูนิดยอมรับ ปราณจากพี่เอละก็ พี่เอจะไม่รั้งรอที่จะเย็ดหนูนิดแน่ๆ รับรองได้เลย”
อัจฉริยาบอกความเห็นของตนเองให้ปาริชาติรับรู้ โดยที่รินลดาก็ผงกศีรษะเป็นเชิงยืนยันถึงความรู้สึกของไกรวิทย์ที่มีต่อน้อง สาวบุญธรรมที่งดงามคมคายคนนี้
“เฮ้อ..เหมียวเองก็อับจนปัญญาเหมือนกัน คงต้องปล่อยเรื่องหนูนิดให้เขากับพี่เอตัดสินใจกันเองดีกว่า แต่ตอนนี้เหมียวว่าพวกเราแยกย้ายไปเตรียมแต่งตัวได้แล้วล่ะ..เดี๋ยวคุณพ่อ คุณแม่จะรอแย่เลย”
รินลดาและอัจฉริยาตอบรับปาริชาติก่อนแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเดินทาง พร้อมกับเสียงของอัจฉริยาดังขึ้นราวกับจะบ่นกับตัวเอง
“พี่เอนี่ หายไปแป็บเดียวเอาเมียมาเพิ่มอีกสามคน…แต่ก็ดีนะกิฟท์จะได้พักบ้างไม่งั้น กิฟท์คงโดนเย็ดทุกคืนจนไม่มีแรงไปสอนหนังสือแน่..”
———————————–
“แล้ววันนี้พวกลูกๆ ตกลงกันหรือยังว่าเอจะต้องทำการบ้านชดเชยกับใครก่อน”
ดวงหน้าอ่อนหวานที่ดูราวกับเด็กสาววัยต้น 20 ของอรอุมายิ้มพราย ขณะส่งคำถามเป็นเชิงหยอกล้อกับกลุ่มหญิงสาวที่ร่วมเป็นภรรยาของไกรวิทย์ บุตรชายคนเดียวของอรอุมากับพ่อเลี้ยงไกรสร
“คุณแม่ถามแบบนี้พี่รินกับพี่เหมียวคงไม่กล้าตอบแน่ๆ เลย แต่กิฟท์จะบอกคุณแม่ให้รู้ไว้นะว่า ตอนที่พี่เอโทรมาน่ะ พี่เอบอกว่าจะตกเบิกกับพี่รินก่อนแล้วตามด้วยพี่เหมียวล่ะ”
“บ้า…กิฟท์เนี่ย พี่เอบอกว่าจะเย็ดกิฟท์เป็นคนแรกต่างหาก หลอกคุณแม่แบบนี้เดี๋ยวรินกับเหมียวปล่อยให้กิฟท์รับศึกกับพี่เอคนเดียวทั้ง คืนเลย..เอาไหม”
“หวาย..ขืนกิฟท์รับพี่เอคนเดียว..กิฟท์คงต้องขอลาหยุดพักร้อนทั้งที่เพิ่งทำงานได้ 2 วันแน่ๆ พี่เหมียวช่วยกิฟท์ด้วยนะ..”
“ไม่รู้หรอก ใครก่อเรื่องก็รับผิดชอบเองเถอะ เหมียวรอดูดีกว่าว่าระหว่างน้องกิฟท์กับริน ใครจะร้องยอมแพ้พี่เอก่อนกัน…”
“แล้วเหมียวก็จะตบท้ายใช่ไหม รินรู้นะ..”
อรอุมาอมยิ้มอย่างขบขันกับการโต้เถียงกันของลูกสะใภ้คนงามทั้งสามคนเบื้อง หน้า ที่แม้จะดูเหมือนเป็นการทุ่มเถียงเอาชนะกันแต่มันก็บอกให้รู้ถึงความ สัมพันธ์ที่แนบแน่น เป็นหนึ่งเดียวระหว่างไกรวิทย์ กับรินลดา อัจฉริยา และปาริชาติ
“ลูกๆ ทั้งสามต้องระวังอย่าไปพูดเถียงกันแบบนี้ให้คนธรรมดาเขาได้ยินนะ พวกเขาไม่เข้าใจชีวิตของพวกเราหรอก คนส่วนใหญ่เขาถือว่าการใช้คำเย็ด ควย หรือหี ในการสนทนาเป็นคำหยาบคาย และพยายามทำตัวเหมือนกับว่าไม่มีความต้องการทางเพศ แต่ลับหลังการแสดงออกของพวกเขากลับเลวร้ายมากกว่าเราหลายเท่านัก มีแต่ความใคร่โดยปราศจากความรักที่แท้จริง”
เสียงนุ่มนวลของพ่อเลี้ยงไกรสรประมุขแห่งตระกูชคชสีห์ดังขึ้นในลักษณะเหมือน จะตักเตือนอย่างไม่จริงจังนัก แต่ก็ทำให้หญิงสาวทั้งสามหยุดการทุ่มเถียงลงแล้วหันมาสนทนากับไกรสรแทน
“คุณพ่อยังไม่ได้บอกกิฟท์เลยว่าตื่นเต้นไหมที่จะได้พบลูกสะใภ้ใหม่อีก 3 คนแน่ะ”
ไกรสรหันหน้ามาหาอัจฉริยาด้วยความเอ็นดูกับความร่าเริงและอยากรู้อยากเห็น ของหญิงสาวผู้ที่หากปราศจากการย้อนเวลาของไกรวิทย์ จะต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุด แทนที่จะเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงสดใสเบื้องหน้า
“สำหรับพ่อแล้ว ทุกคนที่เอรัก พ่อและแม่ก็พร้อมที่จะให้ความรักเช่นเดียวกับที่ให้กับหนูริน หนูกิฟท์ และหนูเหมียว .. และพ่อก็สารภาพนะว่าพ่ออดดีใจไม่ได้ที่เอยอมถ่ายปราณให้หนูทิพย์ ธิดามังกรฟ้า และเซี่ยวเล้งทั้งสามคนนั้น เพราะมันจะเป็นการเพิ่มความเข้มแข็งทั้งด้านกำลังคนของบ้านคชสีห์และโอกาสใน การต่อสู้กับศัตรูที่ต้องมาถึงอย่างแน่นอน”
“รินก็โล่งใจนะคะคุณพ่อ เราตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าริน กิฟท์ และเหมียว จะพยายามกระตุ้นให้พี่เอถ่ายทอดปราณกับสตรีที่สามารถรับได้ด้วยวิธีใด พี่เอก็มักจะบ่ายเบี่ยงเสมอมา มีครั้งเดียวที่พี่เอทำท่าจะยอมรับแพรวกับพราว แต่ก็กลับกลายเป็นว่าทั้งสองคนนั้นกลายเป็นคนของตระกูลโรหิณีที่ตั้งใจมาดูด กลืนปราณของพี่เอ นั่นทำให้มีเพียงพวกเราสามคนเท่านั้นที่ได้รับปราณจากพี่เอ แม้กระทั่งหนูนิดที่พี่เอเองก็ต้องการที่จะถ่ายทอดปราณให้ แต่พอหนูนิดลังเลใจพี่เอกลับยอมปล่อยหนูนิดออกไปจากอาณาจักรปราณในทันที ทั้งที่เพียงแต่พี่เอบอกหนูนิดเท่านั้น หนูนิดก็พร้อมที่จะมอบพรหมจรรย์ให้พี่เอถ่ายทอดปราณโดยไม่โต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น”
รินลดากล่าวกับพ่อเลี้ยงไกรสรอย่างเอาจริงเอาจังขณะที่อัจฉริยาซึ่งฟังอย่างเงียบๆมาตลอด ก็เอ่ยเสริมขึ้น
“จิตของพี่เอที่ถ่ายทอดให้กิฟท์กับพี่ริน ทำให้กิฟท์รู้ว่านอกจากกิฟท์ พี่ริน พี่เหมียวแล้ว พี่เอยังมีความรักให้อีกสามคนเท่านั้นคือน้องทิพย์ น้องพิม และหนูนิด แต่การที่พี่เอได้นำจานีส กับเซี่ยวเล้งกลับมาในครั้งนี้ ก็แสดงว่าพี่เอยอมที่จะเปิดใจรับบุคคลนอกครอบครัวของเรา อีกไม่นานนักบางทีพวกเราคงจะสามารถขยายกำลังของบ้านคชสีห์ให้พร้อมสำหรับการ ตอบโต้กับจักรราศีได้สักทีแล้ว”
คำพูดของรินลดาและอัจฉริยา ทำให้อรอุมาที่นั่งอยู่ข้างพ่อเลี้ยงไกรสร เอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด
“แต่เอเคยบอกแม่ว่า หากหนูรินกับหนูกิฟท์ ร่วมกันต่อสู้ก็จะมีพลังปราณเท่าเทียมกับเอเลยนะ ยิ่งหากมีเหมียวเพิ่มเข้าไปด้วยอีกคน เอบอกแม่ว่าแม้กระทั่งถังฮวงผู้เป็นประมุขตำหนักมังกรฟ้ามาด้วยตนเอง ก็ไม่สามารถเอาชนะลูกสาวของแม่ทั้งสามคนนี้ได้ ดังนั้นแม้บ้านคชสีห์เราจะไม่ใช่สำนักใหญ่ในโลกแห่งปราณ แต่เมื่อมีพวกหนูริน หนูกิฟท์ และหนูเหมียว ร่วมกับเออีกคน แม่เชื่อว่าไม่มีใครในโลกที่สามารถทำร้ายพวกเราได้แน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ทุกคนคงไม่รู้หรอกว่าพ่อของลูกๆ บรรลุถึงขอบเขตสูงสุดของปราณคชสีห์ชั้นว่างเปล่าแล้ว ซึ่งแม้จะยังบอกไม่ได้ว่าสามารถชนะถังฮวงได้หรือไม่ แต่ก็เชื่อว่าไม่ถึงกับพ่ายแพ้เช่นกัน”
คำบอกเล่าของอรอุมาทำให้หญิงสาวทั้งสามร้องอุทานออกมา และส่งเสียงแสดงความยินดีกับพ่อเลี้ยงไกรสรที่แม้จะยังคงวางท่าทีปกติ แต่ใบหน้าของประมุขบ้านคชสีห์ก็สะท้อนความภูมิใจออกมาอย่างไม่สามารถปกปิด ได้
“แต่ยังไงเหมียวก็ยังเห็นว่าพี่เอน่าจะเย็ดหนูนิดยู่ดีนั่นแหละคุณแม่”
ปาริชาติเอ่ยขึ้นกับอรอุมาด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความเสียดาย
“นั่นเป็นนิสัยที่แก้ไขไม่ได้ของเอ ที่จะเย็ดกับผู้ที่เอรักและคนผู้นั้นก็รักเอเท่านั้นไม่มีการฝืนใจเด็ดขาด แต่การที่เอได้ยอมเปลี่ยนแปลงโดยร่วมรักกับจานีสและเซี่ยวเล้งก็เป็นสัญญาณ ที่ดีว่า ขุมกำลังของบ้านคชสีห์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เหมียวไม่ต้องกังวลไปหรอก”
อรอุมายิ้มน้อยๆ และตอบปาริชาติอย่างอ่อนโยน ก่อนหันไปทางพ่อเลี้ยงไกรสรผู้เป็นทั้งพี่ชายและสามี
“ยังมีแต่ท่านพี่นี่แหละที่แม้ปราณคชสีห์ในร่างท่านพี่จะถูกปราณจักรวาลที่ อรได้รับจากเอในวันนั้นปรับเปลี่ยน จนสามารถถ่ายทอดไปสู่สตรีอื่นนอกสายเลือดได้เช่นเดียวกับเอ แต่ท่านพี่กลับไม่ยอมทำลายพรหมจรรย์เด็กสาวที่สามารถรับปราณคนใดทั้งสิ้น แม้อรจะพยายามหาเด็กหญิงสวยๆ มาให้เพื่อขยายขุมกำลังของบ้านคชสีห์ แต่ท่านพี่ก็กลับยืนยันที่จะเย็ดอรคนเดียวเท่านั้น..”
คำพูดของอรอุมาทำให้ไกรสรต้องกระแอมออกมาเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณให้เมียรักที่เป็นน้องสาวร่วมสายเลือดหยุดเล่า แต่กริยากระดากกระเดื่องของไกรสรกลับทำให้รินลดา อัจฉริยา และปาริชาติหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน
“ถ้ารินเป็นคุณพ่อ และมีเมียที่ทั้งสวยและน่ารักอย่างคุณแม่ เหมียวก็คงไม่ยอมเย็ดผู้หญิงคนไหนทั้งนั้นเหมือนกันแหละ รินยังจำรูปร่างคุณเม่ในคืนนั้นได้ดีนะ ยิ่งตรงนั้นทั้งอวบทั้งอูม พวกริน กิฟท์ และเหมียวไม่มีทางเทียบคุณแม่ได้เลย”
คำพูดของรินลดาทำให้อรอุมาหน้าแดงระเรื่อ เพราะรู้ดีว่ารินลดาหมายถึงคืนที่ตนเองร่วมรักกับไกรวิทย์ ผู้เป็นบุตรชายเพื่อถ่ายทอดปราณคชสีห์ขั้นสุดท้าย แต่กลับกลายเป็นว่าอรอุมากลับเป็นฝ่ายรับการถ่ายทอดปราณคชสีห์ที่ผสานปราณ จักรวาลมาจากไกรวิทย์ จนในที่สุดก็ส่งผลไปถึงพ่อเลี้ยงไกรสรที่ถูกปราณจักรวาลในร่างของอรอุมาหนุน เสริมจนสำเร็จปราณคชสีห์ขั้นสูงสุด และสามารถถ่ายทอดให้กับสตรีนอกสายเลือดได้ เป็นครั้งแรก
“หนูรินนี่นะ เราน่ะตัวดีเลย เห็นเงียบๆ เรียบร้อย แต่ตอนนี้กลับมาเล่นงานแม่แทนหนูกิฟท์ซะแล้ว งั้นเดี๋ยวแม่ต้องลงโทษ สั่งให้เอเย็ดหนูรินเป็นคนแรกต่อหน้าแม่เลย ดีไหม…”
“ว๊าย..คุณแม่..รินไม่เอานะ..”
เสียงหัวเราะก้องพลันกังวานประสานกันขึ้นในห้องโถงของบ้านคชสีห์ สร้างบรรยากาศครอบครัวที่อบอุ่นแผ่กระจายไปทั่ว แต่ก่อนที่เสียงหัวเราะจะจางหาย ทุกคนในห้องโถงก็ต้องหันไปทางบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่ชั้นสองด้วยเสียงฝีเท้า เล็กๆ สองคู่ที่วิ่งไล่กันตามลงมา พร้อมกับเสียงหัวเราะสดใส
“น้องพิมตามพี่นิดไม่ทัน…พี่นิดชนะแล้วนะ”
“พี่นิดขี้โกง…พิมไม่ยอมด้วย…”
เสียงหัวเราะอย่างเย้าแหย่ด้วยความร่าเริงและเสียงตัดพ้อกระเง้ากระงอดของ เด็กหญิงวัยแรกแย้มดังขึ้นขณะที่เจ้าของเสียงทั้งสองวิ่งลงมาในห้องโถง แต่ต้องชะงักร่างลงเมื่อพบว่าสสามชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ใหญ่กว่าทุกคนอยู่ ในห้องและกำลังจับจ้องมาเป็นตาเดียว
ร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงวัย 5 ขวบ วิ่งตามเด็กหญิงที่โตกว่ามาติดๆ ทำเอาทุกคนในห้องโถงต้องหัวเราะออกมา เพราะรู้ดีว่าหนูนิด หรืออนิตราวัย 12 ปี ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าหวานคมแต่รูปร่างบอบบางราวกับเด็กหญิงวัยไม่เกิน 10 ปี มีความสนิมสนมกับหนูพิมหรือเด็กหญิงพิมพ์มาดาวัย 5 ปี ที่วิ่งตามมาอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่วันแรกที่หนูพิมวัยแรกเกิดได้มาอยู่ร่วม บ้านคชสีห์ และทำหน้าที่เป็นพี่สาวที่หนูพิมใกล้ชิดมากที่สุดตลอดมา
หนูพิมยิ้มกว้างเมื่อเห็นพ่อเลี้ยงไกรสรกับอรอุมา และพี่สาวทั้งสามรวมกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ร่างเล็กๆที่เติบโตกว่าเด็กหญิงรุ่นเดียวกันเล็กน้อย กระโดดเข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างพ่อเลี้ยงไกรสรและอรอุมาผู้ซึ่งหนูพิมยึดถือ เป็นบิดามารดา โดยไม่เคยรู้ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนเอง
“พี่นิดขี้โกง..พี่นิดหลอกพิม..คุณพ่อ คุณแม่ พี่นิดแกล้งพิมอีกแล้ว”
อรอุมาหัวเราะด้วยความเอ็นดู แล้วหอมแก้มยุ้ยที่อยู่บนใบหน้ากลมน่ารักของเด็กหญิงอย่างมันเขี้ยว
“ลูกพิมก็วิ่งให้ทันพี่นิดเขาสิ โตแล้วนะอย่ามันแต่ขี้ฟ้องแบบนี้รู้ไหม เดี๋ยวพี่เอกลับมา พี่เอจะเสียใจนะ”
“เย้..พี่เอจะกลับมาแล้ว…พิมอยู่รอพี่เอได้ไหมคุณพ่อคุณแม่”
ประมุขบ้านคชสีห์พยักหน้ารับน้อยๆ
“ได้สิ…อ้าว แล้วหนูนิดจะไปไหนน่ะ..ไม่อยู่รอพี่เอด้วยกันหรือ”
เด็กหญิงวัย 12 ยิ้มให้บิดาบุญธรรมอย่างอ่อนหวาน
“นิดขอตัวไปหาปาเกอยะก่อนนะคะคุณพ่อ…เดี๋ยวนิดจะกลับมาไม่นานหรอก..”
ขาดคำร่างบอบบางของเด็กหญิงก็วิ่งออกไปจากห้องโถง ภาพสะโพกน้อยๆ ที่อัดแน่นอยู่ในกางเกงขาสั้นผ้ายืดตัวน้อย และเรียวขาเพรียวสีน้ำตาลงดงามที่พ้นจากขอบขากางเกงของน้องนิดยามวิ่งออกไป จากห้องโถง ทำให้ไกรสรที่มองตามไปอดส่ายศีรษะแล้วบ่นเบาๆ ไม่ได้
“เจ้าเอมันคิดอย่างไรของมันก็ไม่รู้ หนูนิดออกจะน่ารักแบบนี้ ถึงรูปร่างจะบอบบางไปสักหน่อยแต่ปราณธรรมชาติในร่างหนูนิดก็พร้อมที่จะรับ การถ่ายทอดปราณจากเอ แต่นี่ดันปล่อยให้หนูนิดไปคลุกคลีกับปาเกอยะ เสียนี่…”
“ท่านพี่ก็น่าจะรู้จักเอดี..เอจะเย็ดกับคนที่เอรักและคนๆ นั้นก็รักเอเท่านั้น..หนูนิดนี่ อรเชื่อว่าเอคงเห็นเป็นน้องสาวแท้ๆ และให้อิสระหนูนิดที่จะเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง แทนที่จะบังคับให้หนูนิดมารับปราณคชสีห์ นอกจากนี้หนูนิดเองก็สนิทสนมกับปาเกอยะมาตั้งแต่เด็ก หากทั้งคู่รักกันจริงๆ เอคงไม่เข้าไปแทรกกลางความสัมพันธ์นี้แน่ๆ..”
อรอุมาพูดขัดความเห็นของพี่ชายผู้เป็นสามีเบาๆ ขณะที่เสียงใสๆ ของหนูพิมดังสอดขึ้น
“พิมก็รักพี่เอ…พี่เอจะเย็ดพิมไหม”
คำถามของหนูพิมที่ดังขึ้นอย่างไม่รู้จัดความหมายของคำว่า “เย็ด” ทำให้ทุกคนในห้องโถงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แล้วหันมามองหนูพิมเป็นตาเดียวจนเด็กหญิงต้องซุกใบหน้าเข้ากับอกอวบอิ่มของ อรอุมาด้วยความอาย
“เย็ดสิ..หนูพิมน่ะสำคัญที่สุด…พี่เอไม่เว้นหนูพิมแน่…พี่กิฟท์รับรองเลย”
อัจฉริยาส่งเสียงปนหัวเราะออกมา ทำให้รินลดาต้องยกมือขึ้นตีแขนเพื่อนผู้น้องร่วมสามีเบาๆ
“กิฟท์นี่..หนูพิมเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง อีกตั้ง 6 ปีกว่าจะมีประจำเดือนครั้งแรก จะเร่งหนูพิมไปถึงไหนกัน”
“ก็กิฟท์อยากให้พีเอรับธารอสุระจากหนูพิมเร็วๆ นี่นา…นี่พี่เอก็ได้รับวารีนาคราชจากน้องทิพย์มาแล้ว ถ้าหากได้รับธารอสุระของน้องพิมอีกคน ปราณพี่เอจะได้ต่อต้านจักรราศีได้อย่างเต็มที่….”
“เหมียวไม่เชื่อกิฟท์หรอก…เหมียวว่ากิฟท์อยากให้น้องพิมมาช่วยแบ่งเบา หน้าที่ปรนนิบัติพี่เอมากว่า ..ใช่ไหมล่ะ… เมื่อคราวก่อนเหมียวได้ยินนะที่กิฟท์ครางลั่นเลยว่า…ว๊าย..กิฟท์ไปห้ารอบ แล้วไม่หวายแล้วววพี่เอ”
“ตายแล้ว….พี่เหมียวได้ยินด้วยหรือเนี่ย….”
อัจฉริยาครางออกมาด้วยใบหน้าแดงสดใส เมื่อได้ยินปาริชาติตอบโต้ด้วยเสียงล้อเลียนเสียงครางของน้องกิฟท์ยามบรรลุ ถึงจุดสุดยอด ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างครื้นเครง รวมทั้งหนูพิมที่หัวเราะตามทุกคนทั้งที่ไม่รู้ว่าหัวข้อที่พี่สาวทั้งสามคน คุยกันนั้นเกี่ยวพันอย่างยิ่งกับตนเอง.. แต่ก่อนที่เสียงหัวเราะจะจางหายไป ร่างก็อนิตราก็วิ่งกลับเข้ามาในห้องโถง แล้วส่งเสียงบอกพ่อเลี้ยงไกรสร
“คุณพ่อ..คุณแม่ ปาเกอยะบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอพบ เห็นบอกว่าอยากหารือกับคุณพ่อคุณแม่เรื่องขอซื้อรีสอร์ทที่โป่งแยงค่ะ…”
คำบอกเล่าของอนิตรา ทำให้ประมุขแห่งบ้านคชสีห์ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“เอ…ใครบอกว่าพ่อจะขายล่ะ…หนูนิดกลับไปบอกให้พ่อหน่อยว่าพ่อไม่เคย ประกาศขายรีสอร์ท…แล้วบอกให้เขากลับไปเสียเถอะ เพราะตอนนี้พ่อ…”
………เปรี๊ยะ…..โครม…………………
ยังไม่ทันที่คำพูดของพ่อเสี้ยงไกรสรจะจบลง ประตูห้องโถงที่ทำด้วยไม้สักบานใหญ่หนาหนักสลักลวดลาย ก็ระเบิดออกตามด้วยชิ้นส่วนที่กระเด็นเข้ามาในห้อง จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงผุดลุกขึ้นยืนจับจ้องไปที่ช่องว่างออันเกิดจาก การระเบิดของประตูเป็นตาเดียว และพบภาพร่างอ้อนแอ้นบอบบางของสตรีสาวในชุดผ้าคลุมสีขาวสะอาดโปร่งบาง ปกคลุมใบหน้าด้วยผ้าแพรเปล่งประกายเรืองรอง เดินเข้ามาภายในห้องโถงช้าๆ ราวกับกำลังเดินชมสวนดอกไม้ส่วนตัว แต่กลับทำให้ผู้อยู่ภายในห้องโถงทุกคนใจสั่นสะท้านเมื่อพบว่าร่างที่กำลังดู เหมือนจะเดินเข้ามานั้น ในความเป็นจริงเป็นการเหยียบย่างอยู่กลางอากาศที่เหนือกว่าพื้นห้อง 4-5 นิ้ว แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของปราณที่ก้าวพ้นขีดจำกัดของแรงโน้มถ่วงของโลก อันเป็นระดับที่ผู้ทรงปราณทุกคนรู้ดีว่าเป็นขอบเขตที่เกินความสามารถของ มนุษย์
ด้านหลังของสตรีสาวมีชายวัยชราสืบเท้าใบหน้าเครียดเขม็ง ตามเข้ามาอย่างกระชั้นชิด ถัดไปเป็นกลุ่มสตรีสาวแรกรุ่น10 นางในชุดผ้าโปร่งบางเช่นเดียวกัน แยกออกเป็นสองแถวขนาบร่างชาย ซึ่งแม้ทั้งหมดจะไม่ได้ลอยตัวจากพื้นห้องเช่นเดียวกับหญิงสาวที่นำหน้า แต่การที่ฝีเท้าของทุกคนไม่ทำให้ฝุ่นที่เกิดจากการระเบิดของประตูปลิวฟุ้ง ขึ้นมาแม้แต่น้อย ทำให้รู้ว่าทุกคนล้วนเป็นผู้ทรงปราณระดับสูงที่ยากจะพบพาน แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดกลับเป็นลักษณะกลุ่มสตรีสาวแรกรุ่นทั้งสิบนางที่ เป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาเป็นพิมพ์เดียวกันห้าคู่ ส่วนด้านหลังตามมาด้วยสตรีงามจำนวนกว่า 50 นางในชุดรัดกุมทยอยเข้ามายืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ปิดกั้นช่องทางออกเอาไว้
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้สมาชิกบ้านคชสีห์ทุกคนโคจรปราณในร่างขึ้นพร้อม กัน ดวงตาทุกคู่จับจ้องร่างของสตรีสาวที่เป็นผู้นำซึ่งค่อยๆ เคลื่อนมาและหยุดนิ่งห่างในตำแหน่งห่างจากประมุขบ้านคชสีห์ 5 เมตร ก่อนส่งเสียงหัวเราะสดใสราวระฆังเงินเบาๆ
“ท่านประมุขแห่งบ้านคชสีห์จะรีบร้อนขับไล่แขกแบบนี้ นับเป็นมารยาทใดของผู้ทรงปราณหรือ”
คำพูดของหญิงสาวที่ใช้ถ้อยคำของผู้ทรงปราณเปิดการสนทนา ทำให้ไกรสรอดสะท้านใจไม่ได้ เพราะตลอดเวลาที่ตระกูลคชสีห์ตั้งตัวอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ไม่เคยมีผู้ใดรับรู้ถึงสถานะแท้จริงของบุคคลในสกุลคชสีห์ว่าเป็นผู้ครอบครอง ปราณอันลึกลับ และเป็นความลับต่อสังคมภายนอกมาโดยตลอด ประมุขบ้านคชสีห์ขบกรามแน่นพยายามสูดลมหายใจปรับปราณในร่างกายที่พลุกพล่าน ก่อนแสร้งทำสีหน้างุนงง
“นี่มันอะไรกัน ทำไมคุณถึงทำลายบุกรุกบ้านผมแบบนี้ หนูรินรีบโทรไปแจ้งตำรวจเร็วเข้า”
รินลดาซึ่งทราบดีว่าไกรสรยังคงต้องการปกปิดสถานะของผู้ทรงปราณ รีบรับคำก่อนหมุนร่างไปคว้าโทรศัพท์ที่โต๊ะรับแขก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสตรีสาวเบื้องหน้าส่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน
“ไม่นึกเลยว่าผู้นำแห่งตระกูลคชสีห์อันยิ่งใหญ่ กลับไม่ยอมรับการมาเยือนของอาคันตุกะ บางทีเราอาจประเมินศักดิ์ศรีของตระกูลคชสีห์สูงเกินไปเสียแล้ว.. ฟ้าใส-ฝนปราย นำเจ้าเด็กคนนั้นเข้ามาเดี๋ยวนี้”
ประโยคสุดท้ายสตรีสาวคลุมหน้าหันไปสั่งกลุ่มหญิงสาวที่ติดตามมา หญิงสาวทั้งสองขานรับทันทีแล้วสาดพุ่งกลับออกไปทางช่องประตู ก่อนกลับมาในชั่วพริบตาพร้อมกับร่างเด็กหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ถูกหญิงสาวทั้งสอง หิ้วร่างเอาไว้ราวปราศจากน้ำหนัก ก่อนที่จะโยนร่างเด็กหนุ่มลงกองกับพื้นห้อง
“ปาเกอยะ…พวกแกทำอะไรกับปาเกอยะ…”
อนิตราร้องลั่นเมื่อเห็นเพื่อนชายผู้รู้ใจถูกลากเข้ามาด้วยอาการสิ้นสติ เด็กหญิงขยับร่างเพื่อจะถลาเข้าไปหาเพื่อนชาย แต่กลับถูกมือที่แข็งแรงของประมุขตระกูลคชสีห์คว้าร่างน้อยๆ เอาไว้ ก่อนที่จะเบือนหน้าไปตวาดยังสตรีสาวผู้บุกรุก
“เราคือไกรสร ประมุขแห่งผู้ครองปราณคชสีห์ แม่นางคือผู้ใด และทำร้ายคนของเราด้วยเหตุใด”
สตรีผู้ลึกลับเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินประมุขแห่งบ้านคชสีห์ใช้ถ้อยคำของผู้ทรงปราณ
“ในที่สุดท่านไกรวิทย์ก็ยินยอมใช้สถานะผู้ทรงปราณกับเราน่ายินดีนัก แต่ท่านไม่ต้องห่วงบริวารของท่านหรอก มันเพียงแต่ถูกสกัดปราณเรารับรองว่าเรายังจะไม่ทำร้ายมัน เพราะว่าไปแล้วมันคือผู้ที่ทำให้เรามั่นใจว่าสถานที่นี้คือที่ตั้งของตระกูล ผู้ทรงปราณคชสีห์ หากสายสืบของเราไม่พบเห็นมันโอ้อวดวิชาปราณมารเอกะกับเด็กหญิงน่ารักนางนั้น เราก็คงยังไม่แน่ใจว่าพวกท่านคือใครกันแน่ และไม่สามารถฝ่าฝืนกฏห้ามข้องเกี่ยวกับปถุชนทั่วไปของจักราศีได้”
คำพูดที่หญิงสาวลึกลับเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เนื้อความกลับทำให้สมาชิกบ้านคชสีห์ทุกคนตื่นตระหนกถึงที่สุด แต่บุคคลแรกที่ไม่สามารถยับยั้งตนเองได้กลับเป็นรินลดา ที่ถลันออกมาขวางหน้าแล้วตวาดหญิงสาวลึกลับด้วยน้ำเสียงเกี้ยวกราด
“ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาบุกรุกบ้านของพวกเรา”
หญิงสาวคลุมหน้านิ่งไปชั่วอึดใจราวกับจะจับจ้องดวงหน้าหวานใสของรินลดา พร้อมกับอัจฉริยากับปาริชาติที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนถอนใจยาว พร้อมส่งเสียงแผ่วเบาราวกับเป็นการรำพึงกับตนเอง
“พวกเจ้าช่างช่างเป็นเด็กสาวที่งดงามนัก หากพวกเจ้ายินยอมสลายปราณและมอบตัวเข้ารับใช้สำนักเรา เราจะละเว้นชีวิตพวกเจ้า มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องสูญสลายไปพร้อมกับตระกูลคชสีห์ในวันนี้..”
คำพูดที่สตรีลึกลับกล่าวแสดงถึงความไม่ใส่ใจในคำถามของรินลดา ทำให้อัจฉริยาและปาริชาติแค่นเสียงออกมาพร้อมกับและขยับร่างวูบมายืนเคียง ข้างรินลดา พร้อมกับส่งเสียงตวาดอย่างโกรธแค้นของอัจฉริยา
“ยายอัปลักษณ์คลุมหน้า แกเป็นผู้ทรงปราณจากไหนไม่สำคัญแต่แกไม่อาจมาอวดเบ่งที่บ้านคชสีห์ของพวกเรา ได้หรอก…บอกชื่อและวัตถุประสงค์ของแกมาเดี๋ยวนี้..”
“อัปลักษณ์…”
หญิงสาวลึกลับทวนคำพูดของอัจฉริยาอย่างขบขัน ก่อนยกมือเรียวงามขึ้นปาดผ้าคลุมหน้าสะบัดปลิวออกไปจากศีรษะ เปิดเผยใบหน้าต่อสมาชิกบ้านคชสีห์ที่ส่งเสียงอุทานออกมาพร้อมๆ กันเมื่อเห็นใบหน้าผู้มาบุกรุกเป็นครั้งแรก
ดวงหน้าที่ปรากฏท่ามกลางแสงสว่างของห้องโถง เป็นความงามที่สามารถสะกดผู้พบเห็นทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย วงหน้ารูปไข่ประดับด้วยดวงตากลมโตสุกใส ริมฝีปากเปิดรอยยิ้มน้อยๆ ให้เห็นแถวฟันซี่เล็กขาวสะอาดเรียงรายราวไข่มุก แต่ความขาวนั้นกลับหม่นประกายเมื่อเปรียบเทียบกับสีผิวที่ขาวผ่องอมชมพูที่ เปล่งประกายราวกับสามารถส่งแสงสว่างออกมาจากภายใน เส้นผมยาวสลวยกระจายปกคลุมหัวไหล่ขาวกลมมนมาจนถึงเนินอกขาวเปล่งปลั่งที่ชู ช่อตระหง่านภายใต้อาภรณ์สีขาวเบาบาง ด้วยสายตาของผู้ทรงปราณระดับสูงของสมาชิกบ้านคชสีห์ ทำให้ความบางของเนื้อผ้าไม่สามารถปกปิดผิวกายและรูปร่างที่งดงามสมบูรณ์เต็ม วัยสาวได้แม้แต่น้อย จนเห็นได้ขัดเจนว่าภายใต้อาภรณ์นั้นมีเพียงแถบผ้าบางๆ รัดปกปิดยอดปทุมไว้อย่างหมิ่นเหม่จนสามารถเห็นสัณฐานสีชมพูเข้มได้เลือนราง เช่นเดียวกับพื้นที่กลางท่อนขาอวบอิ่มด้านล่าง ที่มีผ้าซับเบาบางเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ความนูนเด่นของเนินรักที่มีไรขนสีดำปรากฏรางๆ โดยรอบก็แทรกตัวผ่านผ้าบางๆ ผืนนั้นจนเป็นรูปร่างของรอยผ่ารางๆ ท่ามกลางความเงียบงันต่อความงามที่ปรากฏ สตรีลึกลับเปล่งเสียงไพเราะเบาๆ แต่กลับดังกึกก้องในจิตของทุกคนได้ยิน
“อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของมนุษย์เช่นพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้าผู้เป็นกลุ่มคนใกล้ตายใครรู้ เราก็จะยอมละเมิดกฎบอกกับพวกเจ้าสักครั้ง เราคือมิถุกานารีแห่งจักรราศีเมถุน ผู้นำแห่งตระกูลโรหิณี”
คำพูดของสตรีลึกลับทำให้สมาชิกบ้านคชสีห์ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน ขณะที่รินลดา อัจฉริยาและปาริชาติ พากันผนึกปราณในร่างพร้อมจะพุ่งทะยานเข้าหา
“ลูกริน ลูกกิฟท์ ลูกเหมียว ถอยกลับมาเดี๋ยวนี้”
ก่อนที่หญิงสาวทั้งสามจะเคลื่อนไหว เสียงตวาดก้องของพ่อเลี้ยงไกรสรก็ดังกังวานในห้องโถงจนทั้งสามต้องชะงักเท้า ลงพร้อมกัน ขณะที่ร่างของประมุขแห่งตระกูลคชสีห์สืบเท้าเข้ามาเผชิญหน้ากับเทวะนารีแห่ง จักราศีเมถุนโดยตรง
“เป็นเกียรติแก่ตระกูลคชสีห์อย่างยิ่ง ที่เทวนารีแห่งจักราศีให้เกียรติมาเยือน และประทานโอกาสให้พวกเราได้ต่อสู้กับพลังปราณแห่งเทวะของท่าน แต่ก่อนอื่นเราใคร่ขอทราบถึงเหตุผลที่ท่านบุกรุกเข้ามาในที่นี้ เราไม่เข้าใจว่าเหตุใดที่ทำให้ท่านมิถุกานารีต้องลงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่อง ทางโลก ด้วยการทำลายตระกูลคชสีห์ ทั้งที่ตระกูลของเราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับโลกการแย่งชิงของผู้ทรงปราณ”
ดวงตากลมโตของมิถุกานารีส่งประกายวับวาว ใบหน้างดงามเผยอรอยยิ้มอ่อนหวาน จนหัวใจของพ่อเลี้ยงไกรสรสั่นสะท้าน พร้อมกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศที่ลุกขึ้นชูชันอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ดวงตามิถุกานารีเหลือบลงต่ำไปยังท่อนลำมหึมาของพ่อเลี้ยงไกรสรที่ดันเนื้อ ผ้ากางเกงเป็นรูปร่างอย่างเหยียดหยามแว่บหนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ด้วยเสียงตวาดที่แฝงปราณคชสีห์ของท่าน ทำให้เราหลงคิดว่าประมุขแห่งตระกูลคชสีห์จะมีพลังปราณระดับสูงจนสามารถเป็น คู่มือเราได้สักครู่หนึ่ง แต่จากการที่ท่านไม่สามารถต้านทานอำนาจจิตตัณหาฟ้าของเรา จนไม่สามารถบังคับควยให้สงบได้ ทำให้เรารู้ว่าท่านยังคงเพียงบรรลุขอบเขตชั้นสูงสุดของปราณคชสีห์เท่านั้น แต่ยังไม่สามารถก้าวพ้นขีดจำกัดที่จะนำไปสู่ภาวะกึ่งเทพได้…นับว่าเสีย เวลาที่เราต้องมาด้วยตนเองยิ่ง ”
คำพูดดูหมิ่นของมิถุกานารีไม่ทำให้ใบหน้าประมุขบ้านคชสีห์เกิดอารมณ์เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวตอบอย่างเยือกเย็น
“ท่านเทวะนารีอาจจะมีภูมิรอบรู้กว้างขวาง แต่การที่ท่านตัดสินระดับปราณคชสีห์โดยใช้เพียงภาพของควยของเราที่ตื่นตัว เมื่อเห็นใบหน้าและเรือนกายของท่าน แสดงว่าท่านก็ยังไม่สามารถเข้าใจความลับแห่งปราณคชสีห์ที่ไม่ถูกจำกัดด้วย กรอบประเพณีและไม่เห็นว่าการร่วมรักระหว่างเพศเป็นเรื่องต่ำช้า ดังที่พวกท่านพยายามตัดสิน”
รอยยิ้มบนใบหน้างดงามของมิถุกานารีจางหายไปช้าๆ เมื่อได้ยินการโต้ตอบของพ่อลั้ยงไกรสร แต่ก่อนที่เทวนารีแห่งจักราศีจะโต้ตอบ เสียงหวานใสที่แฝงสำเนียงเย้ยหยันจากปาริชาติก็ดังขึ้น
“วิชาจิตตัณหาฟ้าหาใช่วิชาชั้นสูงอะไรไม่ เป็นเพียงวิชายั่วยวนบุรุษให้หลงใหลในรูปกายและใบหน้าโดยอาศัยการผนึกประกาย ตากดดันจิตร่วมกับการกระะจายกลิ่นกายสตรีของผู้ใช้ จนทำให้เป้าหมายยอมตนเป็นเหยื่อให้ผู้ฝึกปราณราหูร่วมรักรับเอาเชื้อพลังมา เท่านั้น แม้ร่างกายคุณพ่อท่านจะตื่นตัวกับการเร้าอารมณ์เพศด้วยวิชานี้ แต่จิตของผู้ทรงปราณคชสีห์ไม่ได้หวั่นไหวไปกับความงามหลอกลวงของท่านแต่ อย่างใด น่าหัวเราะนักที่เทวนารีแห่งแสงสว่างกลับยินยอมใช้วิชามารอันต่ำช้ากับ ผู้ทรงปราณสามัญเช่นพวกเรา”
ดวงตาคู่งามของมิถุกานารีหันมาจับจ้องปาริชาติอย่างจริงจัง ประกายตาแวววาวสั่นระริกพร้อมกับใบหน้าที่แสดงอารมณ์แปลกใจออกมาเป็นครั้ง แรก ก่อนส่งเสียงตวาดเบาๆ
“เจ้าคือผู้ใดกัน เหตุใดจึงรู้จักวิชาเร้นลับของตระกูลโรหิณี”
ก่อนที่ปาริชาติจะตอบ เสียงสดใสของอัจฉริยาก็ดังขัดขึ้น
“พี่เหมียวไม่ต้องไปตอบ…กิฟท์จะบอกเอง.. ฟังนะท่านเทวะนารี วิชาพวกนี้ไม่เคยเป็นความลับสำหรับตระกูลคชสีห์ที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลมา หลายร้อยปี แต่ท่านกลับมาอวดอ้างว่ารู้จักปราณคชสีห์ ทั้งที่ท่านไม่เคยได้รับรู้แก่นแท้ของมันเลยแม้แต่น้อย เอาล่ะคราวนี้ท่านจะตอบพวกเราได้หรือยังว่าทำไมท่านจึงต้องมาทำลายล้างพวก เราที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก”
ระหว่างที่อัจฉริยาโต้ตอบกับมิถุกานารี รินลดาก็เคลื่อนร่างเข้ามาอยู่ข้างปาริชาติแล้วบีบมือหญิงสาวเบาๆ เป็นสัญญาณให้ปาริชาติสงบอารมณ์กราดเกรี้ยวจากการที่เห็นศัตรูผู้ทำลายล้าง ครอบครัวอยู่เบื้องหน้า จนอาจลืมตัวเปิดเผยสถานะจริงออกไป แต่ดูเหมือนว่าการเตือนจะไม่จำเป็นเพราะเมื่อปาริชาติเห็นอัจฉริยาแทรกการ สนทนาขึ้นมากลางคัน สมองอันชาญฉลาดของปริชาติที่ได้รับมรดกมาจากบิดา ก็รับรู้วัตถุประสงค์ที่อัจฉริยาขวางการสนทนาได้ในทันทีและบีบมือรินลดากลับ เป็นสัญญาณรับรู้
มิถุกานารีแค่นเสียงหนักๆ กับคำพูดของอัจฉริยา ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เรามิจำเป็นต้องบอกเหตุผลใดๆ ต่อพวกเจ้า แต่เพื่อให้พวกเจ้าตกตายอย่างปราศจากข้อสงสัย เราก็ขอบอกว่าปราณคชสีห์เป็นปราณมารที่ทุกเกิดจากการร่วมรักในสายเลือด ไม่สมควรที่จะปล่อยให้ดำรงอย่ในโลกนี้ต่อไป และเป็นหน้าที่ของเทวนารีผู้ปกป้องแสงสว่างที่จะต้องกำจัดผู้สืบทอดปราณ คชสีห์ให้หมดสิ้นตามบัญชาของเทพสุรัสวดีผู้เป็นประมุขแห่งจักราศี”
“ปราณคชสีห์ ดำรงอยู่ในโลกมาตั้งแต่สี่ร้อยปีก่อน เปิดเผยตนเองในโลกแห่งปราณมานับรอยปีเหตุใดจักราศีจึงไม่ทำลายล้าง แต่เมื่อปัจจุบันตระกูลคชสีห์เร้นกายออกจากโลกของผู้ทรงปราณ จักราศีกลับส่งท่านเทวนารีมาสังหารพวกเรา นี่นับเป็นเหตุผลใดกัน”
ประมุขแห่งบ้านคชสีห์ถามกลับอย่างไม่กลัวเกรง ด้วยข้อเท็จจริงซึ่งไม่สามารถโต้แย้งได้ ทำให้ใบหน้าเทวนารีแห่งจักรราศีเมถุนเกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นความกราด เกรี้ยวให้เห็นเป็นครั้งแรก
“เราไม่จำเป็นต้องอธิบายแก่พวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าทุกคนยอมสลายปราณในร่าง เราก็จะให้ความปราณีด้วยการมอบความตายที่ปราศจากความเจ็บปวดเป็นเครื่องตอบ แทน มิฉะนั้นภายใต้พลังน้ำแข็งนิรันดร์ของเรา พวกเจ้าจะต้องตกตายภายใต้ความหนาวเย็นที่กัดกร่อนชีวิตและวิญญานนานนับเดือน ก่อนที่จะสิ้นชีวิต”
“แม้ตระกูลคชสีห์จะเป็นตระกูลเล็กๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะยอมก้มหัวให้กับคำข่มขู่ที่ไร้เหตุผลของท่าน ขอเชิญท่านเทวนารีเข้ามาสังหารเราได้เดี๋ยวนี้”
พ่อเลี้ยงไกรวิทย์สวนกลับคำข่มขู่ของมิถุกานารีอย่างไม่กลัวเกรง พร้อมผนึกปราณคชสีห์ขึ้นเปี่ยมล้นในร่าง แต่มิถุกานารีกลับแค่นเสียงหัวเราะอย่างเหยียดหยาม ก่อนลอยตัวขึ้นเหนือพื้นห้องอย่างรวดเร็วและย้อนกลับไปยังตำแหน่งเหนือกลุ่ม บริวารที่นำมา
“เทวนารีไม่ลงมือกับบุคคลที่ไม่คู่ควร ปราณคชสีห์อันต่ำต้อยเช่นท่าน เพียงองครักษ์ของเราก็สามารถกำจัดพวกท่านทั้งหมดได้ ไม่ต้องให้เราหรือศิษย์สตรีทั้งสิบของเราลงมือแม้แต่น้อย…วายุรักษ์ สังหารคนผู้นี้ให้กับเรา”
กังวานเสียงประโยคสุดท้ายของมิถุกานารียังไม่จางหาย ร่างชายชราที่เดินตามติดหญิงสาวโดยตลอดก็สาดพุ่งเข้าหาพ่อเลี้ยงไกรสรราว ประกายไฟ ใบหน้าชราภาพส่งรอยยิ้มแสยะอย่างโหดเหี้ยมขณะที่สองมือกางเป็นกรงเล็บแหวก อากาศเข้าหาด้วยอุณหภูมิร้อนระอุ พร้อมส่งเสียงตวาดก้อง
“ด้วยบัญชาเทวนารี กรงเล็บอัคคีขอรับชีวิตเจ้า…”
พริบตาที่กรงเล็บจะกระทบร่างประมุขแห่งตระกูลคชสีห์ พลันปรากฏประกายแสงเรืองรองสีเหลืองอ่านแผ่ออกมารอบกายพ่อเลี้ยงไกรสร ร่างสูงใหญ่ทะยานพุ่งขึ้นสู่อากาศราวพลุไฟ จนกรงเล็บอัคคีเฉียดผ่านใต้ฝ่าเท้าไปทันท่วงที
“…….คชสีห์เหินวน………..รับหมัด”
ร่างที่พุ่งทะยานขั้นสู่อากาศของไกรสรหมุนควงเป็นวงเปลี่ยนทิศทางตีวงโค้งใน ตำแหน่งที่ฝืนต่อหลักการเคลื่อนที่ของวัตถุทั่วไป พุ่งกลับลงมายังกลางหลังขององครักษ์แห่งตระกูลโรหิณีที่ถลำร่างจากการโจมตี ที่ผิดพลาด แต่ในทันทีร่างของวายุรักษ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศก็กลับพลิกกายขึ้นแล้วตะกุย กรงเล็บอัคคีขึ้นใส่ประมุขบ้านคชสีห์ที่โถมลงมาจากด้านบน
………………ตูม…………………
กรงเล็บอัคคีและหมัดคชสีห์ปะทะกันกลางอากาศส่งเสียงกัมปนาท คลื่นความร้อนกระจายตัวออกไปทั่วห้องโถงอย่างรุนแรง ขณะที่บุคคลทั้งสองกระเด็นออกจากกัน โดยไกรสรกระเด็นขึ้นไปบนอากาศแล้วพลิกร่างตีวงกลับลงมายืนแน่วนิ่งอยู่ข้าง บุตรสะใภ้ทั้งสามของตระกูลคชสีห์ ใบหน้าประมุขบ้านคชสีห์เปล่งประกายสีแดงจัดวูบหนึ่งก่อนเปลี่ยนกลับมาสู่ ภาวะปกติ แต่องครักษ์วานุรักษ์ซึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับการจู่โจมที่มาจากด้านบนโยปราศจาก หลักทรงกาย กลับถูกพลังปะทะกระแทกอัดกับพื้นห้องดังสั่น จนพื้นไม้กระดานแตกออกเป็นหลุมกว้าง ร่างของวายุรักษ์ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นช้าๆ ใบหน้าชราภาพซีดขาวราวกระดาษ โลหิตไหลซึมออกจากมุมปากเป็นทางยาวลงมาถึงปกเสื้อ สภาพที่เกิดขึ้นเป็นที่แน่ชัดถึงความเหลื่อมล้ำของพลังปราณทั้งสองฝ่ายอย่าง ชัดเจน
“บัดซบ…เสียแรงที่ข้าไว้ใจในฝีมือ ลุกขึ้นมา….”
มิถุกานารีส่งเสียงตวาดกราดเกรียวเมื่อเห็นความเพลี่ยงพล้ำของบริวาร และในทันที่ที่วายุรักษ์ยันกายลุกขึ้นเต็มที่ มิถุกานารีก็โบกสะบัดมือผุดผ่องวูบหนึ่ง ส่งม่านหมอกเป็นประกายเงินยวงระยิบระยับไปยังร่างของวายุรักษ์ที่เลิกตาโพลง ด้วยความตกใจสุดขีด
“ท่านประมุขอภัยให้ข้า………..”
เสียงอ้อนวอนขององครักษ์โรหิณีขาดหายไปทันทีที่ม่านหมอกกระทบร่าง เพียงพริบตาร่างชายชราที่ยืนอยู่ก็นิ่งราวรูปสลักจากหิน ผิวกายปกคลุมด้วยละอองขาวสะอาด ชั่วอึดใจละอองทั้งหมดก็แปรสภาพเป็นผลึกใส เผยให้เห็นใบหน้าที่แสดงความเจ็บปวดสุดขีดของวายุรักษ์ถูกกักอยู่ภายใน มิถุกานารีจับตามองก้อนผลึกใสอย่างปราศจากอารมณ์ใดๆ ก่อนส่งเสียงกังวานขึ้น
“บริวารแห่งโรหิณีจงดูผลของการปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดเป็นตัวอย่าง ภายใต้พลังน้ำแข็งนิรันดร์ มันจะต้องตกตายอยู่ภายในผลึกน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย กักวิญญาณของมันให้รับความทรมานไปตลอดกาล พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
เสียงขานรับของบริสารโหลรหิณีดังกระหึ่ม ขณะมิถุกานารีหันมายังประมุขบ้านคชสีห์
“นับว่าเราประเมินฝีมือท่านผิด…ปราณคชสีห์กร้าวแกร่งสมคำร่ำลือจริงๆ แต่นั่นเท่ากับบังคับให้เราต้องใช้ศิษย์สตรีทั้งสิบที่เราฝึกอบรมมาจัดการ ท่าน… ก่อตั้งค่ายกลเบญจดาราคู่”
ร่างสตรีสาวทั้งสิบรับคำสั่งเป็นเสียงเดียว พร้อมสาดพุ่งร่างมายังตำแหน่งที่พ่อเลี้ยงไกรสรปักหลักอยู่ แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะลงมายืนหยัดที่พื้น รินลดา อัจฉริยาและปาริชาติ ก็ชิงพุ่งขึ้นประทะและผนึกปราณคชสีห์แยกย้ายโจมตีกลุ่มสตรีทั้งสิบพร้อมๆ กัน บังคับให้ศิษย์สตรีทั้งสิบของสำนักโรหิณีต้องผนึกพลังต่อต้าน
….. บรึม……
มวลปราณทั้งสองกลุ่มประทะกันกลางอากาศ ทำให้ท่าร่างของหญิงสาวทั้งสิบชะงักและทิ้งร่างลงสู่พื้นพร้อมกับกลุ่มสะใภ้ ของตระกูลคชสีห์ทั้งสาม ที่ทิ้งร่างลงมากลางวงล้อมอย่างไม่หวาดหวั่น รินลดาที่เฝ้าจับตามิถุกานารีตลอดเวลา ส่งเสียงราบเรียบต่อเทวนารีแห่งราศีมังกร
“การเปลี่ยนหน้าเข้าโจมตีบุคคลที่เพิ่งเสร็จการต่อสู้นับเป็นฝ่ายแสงสว่างใด กัน พวกเราทั้งสามขอรับหน้าที่รับมือศิษย์ทั้งสิบของท่านไว้เอง ด้วยกฎการร้องขอต่อสู้ของผู้ทรงปราณ เราหวังว่าท่านคงไม่ปฏิเสธคำขอของเราทั้งสาม”
ดวงตาแวววาวของมิถุกานารีเปล่งประกายอำมหิต เมื่อพบเห็นการขัดขวางของหญิงสาวทั้งสาม แต่ขณะเดียวกับเทวานารีแห่งราศีเมถุนก็ทราบดีว่าการที่พ่อเลี้ยงไกรสรยังมิ ได้ตอบรับการต่อสู้ และมีกลุ่มสะใภ้ตระกูลคชสีห์เข้ามาสอดแทรก ทำให้การต่อสู้ต้องเปลี่ยนมาตามคำขอของรินลดาตามกฎแห่งผู้ทรงปราณ ซึ่งแม้มิถุกานารีจะไม่ให้ความสนใจ แต่ตระกูลโรหิณีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโลกของผู้ทรงปราณก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยง การท้ายทายด้วยกฎข้อนี้ได้
“บริวารทั้งสิบฟังเรา ใช้ค่ายกลเบญจดาราคู่สังหารสตรีทั้งสามนางให้หมดสิ้น”
สิ้นคำสั่งของประมุขตระกูลโรหิณี สตรีสาวทั้งสิบส่งเสียงรับคำพร้อมกัน ก่อนกระจายตัวเป็นวงกลมสองวงซ้อนกัน โดยวงแรกมีสตรี 5 นางปักหลักนิ่งอยู่รอบกลุ่มของรินลดาทั้งสาม ขณะที่สตรีอีก 5 นางที่เหลือล้อมอยู่ด้านนอกและเคลื่อนร่างเป็นวงกลมหมุนรอบกลุ่มแรก พร้อมผนึกม่านพลังสีครามกระจายออกจากร่างจนเกิดเป็นหมอกควันรอบวงล้อม…
“ลูกริน ลูกกิฟท์ ลูกเหมียว…ตั้งสติให้มั่น จับตาความเคลื่อนไหวกำหนดศูนย์สั่งการค่ายกลให้ได้”
ประมุขบ้านคชสีห์ส่งเสียงบอกกลุ่มหญิงสาวทั้งสามในวงล้อมอย่างกระวนกระวาย ร้อนรน แต่ก็ไม่สามารถไม่สามารถให้ความช่วยเหลืออืนใดได้ เนื่องจากเป็นการร้องขอการต่อสู้ของรินลดาโดยตรง ด้วยกฎแห่งผู้ทรงปราณ
“เบญจดารา มุ่งศูนย์กลาง”
เสียงกังวานก้องมาจากสตรีงามนางหนึ่งในตำแหน่งวงกลมด้านใน พร้อมกับการบีบรัดของละอองหมอกสีครามพุ่งผ่านเข้ามายังศูนย์กลางค่ายกล สตรีทั้งห้าในวงกลมในพลันเคลื่อนตัวเป็นวงสวนทางกับวงกลมภายนอก ทำให้เกิดพลังปราณหมุนวนละอองหมอกเป็นเกลียวพุ่งเข้าหาร่างรินลดา อัจฉริยา และริชาติที่ใจกลางค่ายกล
“ริน น้องกิฟท์ หันหลังชนเหมียว จับมือผนึกปราณคชสีห์หมุนเวียนเดี๋ยวนี้ ”
เสียงปาริชาติร้องสั่งการด้วยน้ำเสียงมั่นคง ทำให้พ่อเลี้ยงไกรสรอดชื่นชมความเชี่ยวชาญปราณคชสีห์ของปาริชาติมิได้ เพราะการปรับปราณคชสีห์หมุนเวียนให้ถ่ายทอดผ่านมือทั้งสามคู่พร้อมกันจะทำ ให้กระแสปราณโคจรผ่านร่างทั้งสามเป็นหนึ่งเดียว สามารถปกป้องซึ่งกันและกันได้โดยปราศจากช่องโหว่ของม่านพลัง แต่แล้วใบหน้าของไกรสรก็ต้องเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อละอองหมอกสีครามแทน ที่จะพุ่งเข้าโจมตีร่างของรินลดาทั้งสาม ม่านหมอกกลับพุ่งวาบแทรกลงไปในพื้นห้องโดยดูดม่านพลังของปรารคชสีห์ลงไป พร้อมกัน พร้อมกับการทะยานขึ้นสู่อากาศของสตรี 5 นางในวงกลมด้านนอก ที่พุ่งขึ้นมากลางวงแล้วโจมตี
“พี่ริน พี่เหมียว ระวัง…ข้างบน”
………… เปรี้ยง…………………….
สิ้นเสียงร้องเตือนของอัจฉริยา เสียงประทะพลังปราณดังกึกก้อง จนกระแทกผนังห้องเป็นละอองร่วงพรู ร่างของศิษย์สตรีโรหิณีทั้ง 5 นางที่พุ่งลงโจมตีอาศัยพลังกระแทกย้อนกลับไปยืนมั่นที่ตำแหน่งเดิม แต่รินลดา อัจฉริยา และปาริชาติที่ต้องผนึกพลังต้านรับอย่างฉุกละหุกหลังม่านพลังถูกหมอกสีคราม ดูดรั้งลงไปที่พื้นเผยช่องว่างให้โจมตี ล้วนมีสีหน้าซีดขาวและท่อนแขนสั่นระริก แสดงว่าหญิงสาวทั้งสามเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการปะทะครั้งแรก จนได้รับบาดเจ็บ
“เบญจดารา เคลื่อนฟ้า”
ศิษย์สตรีโรหิณีในวงนอกอีกคนหนึ่งเปล่งเสียงสั่งการค่ายกลแทนสตรีคนเดิมที่ อยู่ในวงใน ทำให้ผู้เฝ้าดูภายนอก โดยฌฉพาะประมุขบ้านคชสีห์สะท้านใจเฮือก เพราะนั้นหมายความว่าค่ายกลเบญจดาราคู่ปราศจากศูนย์กลางสั่งการตามหลักการ ค่ายกลทั่วไป และทำให้ผู้ติดอยู่ในค่ายกลไม่สามารถเลือกจุดโจมตีศูนย์กลางเพื่อทำลายค่าย กลได้
“ริน น้องกิฟท์… เป็นอะไรมากไหม”
ปาริชาติส่งเสียงกระซิบถามรินลดาและอัจฉริยาอย่างร้อนรน หลังเสียเปรียบจากการปะทะครั้งแรกจนได้รับบาดเจ็บ
“ปราณของรินติดขัดเล็กน้อยไม่เป็นไรมากหรอกเหมียว รินยังสู้ได้…”
“กิฟท์ ก็ไม่เป็นอะไรมาพี่เหมียว แต่ดูนั่นสิ วงนอกแทรกเข้ามาอยู่ร่วมกับวงในของพวกมันแล้ว และจับมือกันเป็นคู่ๆ สงสัยมันจะผนึกปราณโจมตีเป็นห้าสายแน่ๆ เลยพี่เหมียว”
อัจฉริยากระซิบตอบ ขณะวงล้อมของสตรีทั้งสิบแทรกเข้ามารวมกัน แต่ก่อนที่รินลดาและอัจฉริยาจะผนึกปราณขึ้นเตรียมรับการโจมตี ปาริชาติก็ส่งเสียงอุทานออกมาเบาๆ อย่างลิงโลด และกระซิบกับอย่างร้อนรนกับทั้งสอง
“เหมียวเข้าใจแล้ว…นี่ไม่ใช่ค่ายกลเบญจดารา แต่เป็นค่ายที่ตัดทอนมาจากค่ายกลจตุลักษณ์ที่ต้องใช้กลุ่มคนสิบสองคนแยกออก เป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละสามคน ต่างหาก ริน น้องกิฟท์ รีบสลายปราณป้องกันตัวเดี๋ยวนี้ รอให้พวกมันกระจายออกโจมตีโดยไม่ต้องต่อต้าน… รินผนึกจิตมารน้องกิฟท์ผนึกอัคคีเทพส่งมาที่เหมียว รอให้เหมียวสั่ง”
คำสั่งของปาริชาติ ทำให้รินลดาและอัจฉริยาตะลึงไปอึดใจหนึ่ง เพราะหากสลายการป้องกันตัวด้วยปราณก็เท่ากับการรอรับการโจมตีโดยปราศจากการ ต่อต้าน แต่น้ำเสียงเชื่อมั่นของปาริชาติ และความไว้วางใจที่รินลดาและอัจฉริยามีต่อปาริชาติมาโดยตลอด ทำให้ทั้งสองตัดสินใจสลายปราณป้องกันทันที พร้อมกับกระแสปราณรุนแรงห้าสายของสตรีโรหิณีทั้งสิบจู่โจมเข้ามากระทบร่าง
……………ซ่า…………………
กระแสพลังทั้งหมดกระทบร่างรินลดา อัจฉริยาและปาริชาติ แต่แทนที่ทั้งสามจะถูกพลังกระแทกร่างกายจนสูญสลาย กระแสพลังกลับผ่านร่างไปราวสายลมเบาๆ วูบหนึ่ง ศิษย์โรหิณีทั้งสิบเบิกตากล้างอย่างตื่นตระหนกขณะที่ปาริชาติผนึกพลังจิตมาร และอัคีคีเทพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก่อนแผ่พุ่งม่านพลังสีดำสนิทออกไปยังกลุ่มศิษย์โรหิณีเบื้องหน้า
……..ซ่า……………….
………อ๊าก……………..
“อะ อะ ไร….โอ๊ย….ท่านเทวนารี..ช่วยด้วย…”
“……ร่าง…ร่างข้า….”
ม่านพลังสีดำจากปาริชาติแผ่พุ่งเข้าหาศิษย์โรหิณีสี่นางที่แยกเป็นสองกลุ่ม เบื้องหน้า เพียงกระทบกับร่าง สตรีทั้งสี่นางต่างแผดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผิวหนังทุกส่วนเปลี่ยนเป็นสีดำในทันทีพร้อมกับกล้ามเนื้อทุกส่วนสลายตัวใน ชั่วพริบตา และก่อนที่เสียงแผดร้องจะจางหาย ทุกร่างก็ยุบตัวลงเหลือแต่เพียงเถ้ากระดูกสีดำสนิทสี่กองที่เริ่มปลิวกระจาย ไปตามแรงลม
“……กาฬปราณ…เป็นไปไม่ได้.. พวกเจ้าเป็นใครกัน เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าวิรุณปักขะ”
ร่างมิถุกานารีที่ลอยอยู่เหนือบริเวณต่อสู้ทิ้งตัวลงยืนหยัดอยู่เหนือละออง เถ้าสีดำที่เคยเป็นร่างของศิษย์สตรีโรหิณีทั้งสี่ พร้อมส่งเสียงสั่นสะท้านเมื่อได้รับรู้ว่าทั้งหมดเสียชีวิตด้วยอำนาจของสุด ยอดวิชาปราณที่สาบสูญไปจากโลกกว่าหมื่นปี
“เราไม่ทราบว่าท่านพูดถึงอะไร แต่ที่เราใช้คือวิชาแห่งตระกูลคชสีห์ หากท่านยังคงสงสัยพวกเราก็พร้อมที่จะน้อมรับการต่อสู้กับท่านทุกเมื่อ…ถ้า หาก”
ปาริชาติส่งเสียงตอบอย่างหนักแน่น แต่ก่อนที่หญิงสาวจะกล่าวจบ มิถุกานารีก็หันขวับมาตวาดด้วยพลังปราณแฝงในคลื่นเสียงจนสะท่านแก้วหูทุกคน ในห้องโถง
“หยุดปาก…อย่าบังอาจหลอกลวงเรา นี่คือกาฬปราณอย่างแน่แท้ พวกเจ้าคือใครกันแน่ เหตุใดจึงฝึกปรือวิชาลี้ลับแห่งอดีตกาลที่สาบสูญไปนี้ได้ และทำไมถึงสามารถทำลายค่ายกลเบญจดาราที่ไร้ผู้ต่อต้าน…”
“ค่ายกลเบญจดาราอันใด ที่ท่านใช้คือค่ายกลจตุลักษณ์ของสำนักเมฆฟ้าในอดีต ที่ถูกตระกูลโรรหิณีล้มล้างและยึดคัมภีร์ค่ายกลมาเป้นของตัวเอง แต่น่าหัวเราะที่ท่านกลับใช้จำนวนคนในค่ายกลเพียง 10 คน ทั้งที่หากท่านท่านใช้คน 12 คนก่อตั้งค่ายกลจตุลักษณ์ การดูดดึงพลังของท่านจะไม่ปรากฏช่องโหว่จนเราสามารถฉกฉวยโอกาสทำลายได้เช่น นี้”
ปาริชาติสบตามิถุกานารีและตอบโต้อย่างไม่กลัวเกรง ทำให้ใบหน้ามิถุกานารีบิดเบี้ยวด้วยโทษะก่อนกระชากเสียงตอบ
“หากศิษย์สตรีของเราอีกสองคนไม่สูญหายไปเสียก่อน เราก็ไม่จำเป็นต้องดัดแปลงค่ายกลจตุลักษณ์เป็นค่ายกลเบญจดาราเช่นนี้ แต่เจ้าเป็นใครเหตุใดจึงรู้จักค่ายกลของตระกูลโรหิณี”
คำพูดของมิถุกานารีทำให้รินลดาและอัจฉริยาหันมาสบตา แล้วส่งเสียงอุทานเบาๆ ออกมาว่า “แพรวพราว” ซึ่งทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วแพรวและพราว สองพี่น้องฝาแฝดผู้เคยพยายามแทรกตัวเข้ามาใช้ปราณราหูดูดรับปราณคชสีห์ของ ไกรวิทย์ เป็นศิษย์สตรีที่มิถุกานารีฝึกอบรมขึ้น และการที่ทั้งสองสาบสูญไปก็ส่งผลกระทบให้ค่ายกลจตุลักษณ์ต้องปรับเปลี่ยนจน เกิดข้อบกพร่องให้ทำลายได้
“เรามิเพียงรู้จัก แต่เรายังบอกท่านได้อีกว่าหมอกสีครามที่ศิษย์ท่านปล่อยออกมาล้อมพวกเรานั้น คือพลังปราณราหูดูดรั้ง ที่ดึงพลังปราณห้องกันตัวพวกเราลงสู่พื้นดินและสะสมไว้รอให้อีกกลุ่มหนึ่ง ใช้ปราณดูดรั้งอีกครั้งจากกลางอากาศ ทำให้พวกเราได้รับบาดเจ็บ แต่นั่นไม่ใช่อาการบาดเจ็บจากปราณราหู เป็นการหยิบยืมปราณคชสีห์ของเรามาโจมตี ดังนั้นขอเพียงพวกเราไม่ใช้ปราณป้องกันร่าง ปราณราหูก็ปราศจากที่หยิบยืมพลังและปรากฏช่องโหว่ให้พวกเราทำลายได้…เรา กล่าวถูกต้องหรือไม่”
ปาริชาติตอบคำถามของมิถุกานารีด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ให้ความสำคัญ ใดๆ ต่อเทวนารีแห่งจักราศี แต่รินลดาและอัจฉริยาทีราบดีว่าเพื่อนสนิทร่วมสามีผู้นี้ กำลังจงใจกระตุ้นโทษะมิถุกานารีให้ระเบิดออก จนอาจเป็นช่องทางให้เกิดช่องว่างฉกฉวยโจมตีได้ และก็ดูเหมือนว่าวัตถุประสงค์ของปาริชาติจะบรรลุผล เพราะใบหน้าที่เคยงดงามเหนือโลกของมิถุกานารีกลับแปรเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นจน ประกายตาเจิดจ้าแทบไม่สามารถจับจ้องได้ และตวาดใส่ปราริชาติอย่างลืมตัว
“มีแต่เพียงผู้นำของตระกูลโรหิณีเท่านั้นที่รับรู้ความลับเหล่านี้ เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องใดกับไตรบุปผาแห่งโรหิณีรุ่นก่อน”
“ตระกูลโรหิณีสืบต่อตำแหน่งประมุขจากสายเลือด โดยจะคัดธิดาของประมุขเข้ารับตำแหน่งบุปผาแห่งโรหิณี หากมีธิดาโทนตำแหน่งนี้จะถูกเรียกว่าเอกบุปผา หากมีสองนางก็จะถูกเรียกเป็นทวิบุปผา ทั่วไปแล้วประมุขแต่ละรุ่นจะมีธิดาไม่เกินสองนาง แต่ประมุขรุ่นที่แล้วกลับมีธิดาสามนาง จึงเกิดตำแหน่งเป็นไตรบุปผา แต่ตำแหน่งผู้สืบทอดแท้จริงจะตกอยู่กับธิดาคนโต นอกเสียจากว่านางจะประสบภัยพิบัติในการดูดกลืนปราณ ตำแหน่งจึงจะถูกส่งต่อมายังบุปผาอันดับรองลงมา ครั้งนั้นธิดาคนโตแห่งไตรบุปผานามสารภี ถูกส่งไปดูดกลืนปราณของสำนักฟ้าดินในประเทศจีน โดยมีบุปผาอันดับสองนามเบญจมาศตามไปช่วยเหลือ แต่สารภีกลับถูกน้องสาวแย่งรับปราณฟ้าดินไปและทิ้งนางไว้รอรับการแตกดับ ส่วนเบญจมาศก็กลับไปยังตระกูลและแจ้งต่อประมุขว่าสารภีล้มเหลวในการดูดรับ ปราณจนเสียชีวิต ทำให้นางได้รับแต่งตั้งเป็นทายาทสืบแทน ไม่นานต่อมานางก็ปิตุฆาตประมุขผู้เป็นมารดา ตั้งตนเป็นประมุขพร้อมสั่งให้บริวารข่มขืนน้องสาวสุดท้องนามเอื้องคำเพื่อ ทำลายปราณราหูในร่างและคุมขังไว้ แต่ต่อมาเอื้องคำก็ได้รับการช่วยเหลือจากบริวารคนหนึ่งออกไปได้และสาบสูญไป จนกระทั่งปัจจุบัน อย่างไรก็ตามผลแห่งกรรมก็ได้ตามสนองต่อประมุขแห่งตำหนักโรหิณี เพราะสารภีมิได้สิ้นชีวิตแต่ได้รับการช่วยเหลือจากนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง จนสามารถรอดพ้นการแตกดับและย้อนกลับมาลักคัมภีร์ปราณราหูไปจากตระกูลโรหิณี จนทำให้นางไม่สามารถฝึกปรือปราณราหูขั้นสุดท้ายได้ และต้องประสบชตากรรมปราณแตกดับเมื่ออายุเพียง 25 ปี ท่านเทวนารีก็คือบุตรสาวเบจมาศที่สืบทอดวิชาปราณาหูที่บกพร่องมา โดยไม่สามารถบรรลุแก่นแท้ ที่เรากล่าวมามีอันใดผิดพลาดหรือไม่”
ปาริชาติตอบคำถามของมิถุกานารีด้วยตำนานของตระกูลโรหิณีอย่างละเอียด ทำให้บริวารแห่งโรหิณีทั้งหมดรับฟังด้วยสีหน้าตกตะลึง ขณะที่มิถุกานารีขบกรามแน่นราวกับพยายามระงับอารมณ์จนปาริชาติกล่าวจบ
“มิผิดแม้แต่น้อย นี่แสดงว่าเจ้าก็คือบุตรสาวของเอื้องคำน้องสาวของสารภี และมีศักดิ์เป็นน้องสาวของเรา เห็นแก่ความสัมพันธ์ในสายเลือด เราจะละเว้นชีวิตของเจ้า แต่เจ้าจะต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับแม่ของเจ้าคือต้องเป็นเครื่องสังเวย กามให้บริวารชายของตระกูลไปจนกว่าเจ้าจะหมดสภาพการสืบพันธ์”
มิถุกานารีกล่าวด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว แต่ดูแหมือนปาริชาติจะไม่หวดหวั่นต่อคำตัดสินที่ถูกมอบให้แม้แต่น้อย
“เราทราบว่าเหตุใดท่านจึงคาดว่าเราเป็นบุตรสาวของท่านเอื้องคำ นั่นเป็นเพราะท่านเข้าใจว่าท่านสารภีมีบุตรสาวเพียงคนเดียว และถูกท่านสังหารพร้อมบิดาไปแล้ว แต่ท่านคงไม่รู้ว่านางมีบุตรีอีกคนหนึ่ง และเป็นบุตรีที่เป็นทายาทของประมุขที่แท้จริงของตระกูลโรหิณี อีกทั้งยังครอบครองคำภีร์ปราณราหูอันเป็นสัญญลักษณ์ของประมุข บัดนี้นางได้ยืนอยู่ตรงหน้าท่านผู้เป็นประมุขจอมปลอมของตระกูล บัดนี้เราผู้เป็นบุตรีแห่งท่านสารภี ขออ้างสิทธิ์แห่งทายาทตระกูลโรหิณีและของสั่งให้บริวารของตระกูลยุติการรับ คำสั่งของสตรีนางนี้ในทันที”
สิ้นคำกล่าวของปาริชาติ เสียงอื้ออึงของบริวารแห่งโรหิณีด้านหลังพลันประสานกันเซ็งแซ่ ก่อนที่จะหยุดลงพร้อมกันเมื่อมิถุกานารียกมือขวา
“บริวารเราจงฟัง สตรีนางนี้อ้างสิทธิ์แห่งประมุขตระกูลโรหิณี เราขอให้ท่านผู้เฒ่าคุมกฏแห่งตระกูลมาตัดสินข้ออ้างสิทธิ์ของนางเดี๋ยวนี้”
ขาดคำ ร่างของสตรีชรานางหนึ่งก้าวแทรกผ่านกลุ่มบริวารสตรีด้านหลังออกมายังกลาง ห้องโถง ประสานมือต่อมิถุกานารีครั้งหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างหนักแน่น
“ข้ออ้างสิทธิ์ของแม่นางท่านนี้ถูกต้อง หากนางเป็นทายาทของท่านสารภีผู้เป็นทายาทประมุขรุ่นก่อนจริงและครอบครองคำภี ร์ปราณราหู นางสามารถอ้างสิทธิ์นั้น แต่นางต้องพิสูจน์ตนเองด้วยการใช้ปราณราหูสลายจิตอันเป็นวิชาขั้นสูงสุดของ ปราณราหูต่อหน้าบริวารทั้งหมดก่อน นางจึงจะสามารถรับตำแหน่งประมุขแห่งตระกูลโรหิณีได้ แต่หากนางมิสามารถกระทำได้ ตำแหน่งประมุขจะยังคงอยู่กับท่านเทวนารีดังเดิม เนื่องจากแม้ท่านเทวนารีจะมิได้ครอบครองคัมภีร์ปราณราหู แต่ท่านก็ได้ค้นคว้าปรับปรุงปราณราหูด้วยตนเอง จนสามารถบรรลุวิชาปราณราหูสลายจิตได้”
สิ้นคำตัดสินของผู้คุ้มกฎตระกูลโรหิณี มิถุกานารีส่งเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันต่อปาริชาติ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“เพียงดูจากวิชาฝีมือที่เจ้าใช้ เราก็รู้ว่าเจ้ามิได้ฝึกปรือในแนวทางปราณราหู แต่เป็นการรับถ่ายทอดปราณมาจากบุรุษผู้ครอบครองปราณคชสีห์ แม้เราจะยังคาดเดาเหตุผลที่พวกเจ้าสามารถใช้กาฬปราณไม่ได้ แต่หากพวกเจ้าคาดว่ากาฬปราณจะสามารถต่อต้านเราได้ พวกเจ้าคงจะต้องเสียชีวิตอย่างงมงาย เพราะกาฬปราณของพวกเจ้ายังอยู่ในระดับเริ่มต้นเท่านั้นยังห่างไกลจากการเป็น คู่ต่อสู้ของพลังน้ำแข็งนิรันดร์แห่งราศีเมถุนอีกไกลนัก”
จบคำ เสียงทุ้งก้องกังวานของประมุขบ้านคชสีห์ก็ดังสอดแทรกขึ้นขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นเราขอรับรู้พลังน้ำแข็งนิรันดร์ของท่านด้วยตัวเอง…ลูกริน ลูกกิฟท์ ลูกเหมียวถอยออกมา”
“คุณพ่อ…ไม่นะ ให้พวกรินรับมือมันเองเถอะ”
“เหมียวมั่นใจว่าพลังของพวกเราทั้งสามคนรวมกันไม่เป็นรองพี่เอ…คุณพ่อปล่อยให้พวกเรารับศึกนี้ดีกว่า”
“กิฟท์ขอร้องคุณพ่อนะ…คุณพ่อต้องดูแลทุกคนต่อไป ให้กิฟท์ทำหน้าที่แทนพี่เอเถอะ”
สะใภ้ทั้งสามแห่งบ้านคชสีห์ร้องโพล่งออกมาพร้อมๆ กันเมื่อได้ยินพ่อเลี้ยงไกรสรท้าทายมิถุกานารีเป็นคู่ต่อสู้โดยลำพัง เพราะนั่นเท่ากับเป็นการปิดกั้นโอกาสช่วยเหลือตามกฎแห่งผู้ทรงปราณ และทั้งสามก็ทราบดีจากการท่าร่างและพลังน้ำแข็งนิรันดร์ลงโทษบริวาร ว่าศัตรูผ้นี้มีพลังปราณสูงจนไม่อาจคาดเดาได้ แต่ก่อนที่พ่อเลี้ยงไกรสรจะตอบยืนยันการต่อสู้ มิถุกานารีก็เปล่งเสียงหัวเราะและประกาศอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องถกเถียงกัน พวกเจ้าทุกคนจงร่วมมือกันบุกเข้ามาพร้อมกันเถอะ เราเองก็ไม่ต้องการเสียเวลากับพวกเจ้าให้มากไปกว่านี้ เชื่อสายของตระกูลคชสีห์ทุกคนจะต้องตายตามบัญชาของเทพสุรัสวดียกเว้นพวกเจ้า ทั้งสาม…”
นิ้วเรียวงามของมิถุกานารีชี้มาที่กลุ่มของรินลดา อัจฉริยา และปาริชาติ
“เราจะทำลายพลังปราณของพวกเจ้า และมอบให้บริวารชายแห่งโรหิณีระบายความใคร่กับเรือนร่างที่งดงามของพวกเจ้า โดยไม่มีวันหยุด เรารับรองว่าไม่เกินสามวันจนกว่าพวกเจ้าจะยินยอมบอกที่มาของกาฬปราณเพื่อแลก กับการให้เราสังหารเจ้าให้พ้นจากความทรมาน”
“ต่ำทรามนัก…รับหมัด”
“คุณพ่อ..อย่า……..”
คำพูดดูหมิ่นของมิถุกานารีกลับบังเกิดผลอย่างรุนแรงต่อพ่อเลี้ยงไกรสรที่แม้ ปกติจะเป็นผู้สุขุมรอบคอบ แต่เมื่อมิถุกานารีดูหมิ่นอย่างหยาบคายต่อสะใภ้บ้านคชสีห์ทั้งสามที่ไกรสร รักราวกับลูกตนเอง ทำให้ประมุขบ้านคชสีห์ผนึกปราณคชสีห์ขึ้นเต็มกำลังแล้วโถมร่างพุ่งหมัดโจมตี มิถุกานารีอย่างลืมตัว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องห้ามด้วยความตกใจของรินลดา อัจฉริยา และปาริชาติ ที่พยายามพุ่งร่างเข้าหาแต่ไม่สามารถสกัดร่างที่พุ่งวาบเต็มกำลังปราณของ ไกรสรได้ทัน
“หาที่ตาย..”
ท่ามกลางกระแสปราณรุนแรงของหมัดคชสีห์ที่พุ่งเข้าหา มิถุกานารีแค่นหัวร่อออกมาเบาๆ ก่อนสะบักฝ่ามือผุผ่องราวกับการโบกปัดแมลงที่มาไต่ตอม โดยไม่ปรากฏกระแสปราณแหวกอากาศแม้แต่น้อย
……………บรึม…………………
เสียงระเบิดสนั่นเมื่อพลังหมัดคชสีห์ปะทะกับพลังไร้สภาพที่แม้จะไม่สามารถ รู้สึกได้ แต่กลับส่งพลังสะท้อนรุนแรงจนร่างประมุขบ้านคชสีห์สะท้านเฮือก ปลิวกลับไปราวว่าวขาดป่าน
“คุณพ่อ…”
เสียงร้องด้วยความตกใจสุดขีดของรินลดาทั้งสามดังขึ้นพร้อมกัน ขณะที่อัจฉริยาที่อยู่ใกล้ที่สุดชิงโผร่างขึ้นรับร่างไกรสรไว้ในอ้อมแขนและ ทิ้งร่างลงกับพื้น พร้อมประคองร่างไว้ด้วยความห่วงใย เมื่อพบว่าใบหน้าของพ่อเลี้ยงไกรสรขาวซีดราวกระดาษ โลหิตไหลซึมออกจากมุมปากเป็นสาย
“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บที่ไหน บอกอรหน่อย”
อรอุมาถลาร่างเข้ามากอดพี่ชายผู้เป็นสามีไว้แน่น และระล่ำระลักถาม พร้อมรีบทาบฝ่ามือเข้ากับทรวงอกไกรสรเพื่อถ่ายทอดปราณฟื้นฟูพลังให้ ขณะที่ปาริชาติ รินลดา และอัจฉริยา รีบขยับร่างมาขวางไม่ให้โจมตีซ้ำเติม แต่ดูเหมือนว่ามิถุกานารีจะไม่สนใจติดตามการต่อสู้ สายตาของเทวนารีผู้เลอโฉมจับจ้องอยู่ที่แขนขวาของตนเองที่บัดนี้แขนเสื้อขาด เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากพลังหมัดคชสีห์ที่กระแทกทำลาย จนท่อนแขนเรียวยาวขาวผ่องปราศจากสิ่งปกคลุม มิถุกานารีถอนใจเบาๆ ก่อนเบือนหน้ามายังกลุ่มสมาชิกบ้านคชสีห์
“นี่นับเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เราได้รับหน้าที่เทวนารี ที่มีมนุษย์ธรรมดาสามารถใช้พลังปราณทะลวงม่านพลังไร้สภาพของเรามาทำลายเสื้อ ผ้าของเราได้ นับว่าท่านประมุขบ้านคชสีห์มีฝีมือที่แท้จริง และเราไม่สามารถประมาทพวกท่านได้อีกต่อไป ดังนั้น ต่อจากนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่พวกท่าน เราจะใช้ปราณขั้นสูงสุดในการต่อสู้ จงเตรียมรับมือ…”
สิ้นคำพูด ประกายแสงสว่างจ้าพลันระเบิดกระจายออกจากร่างมิถุกานารี เศษผ้าที่เคยเป็นเครื่องแต่งกายปลิวว่อนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ชั่วครู่ประกายแสงเจิดจ้าค่อยๆ ก็ลดระดับลงจนทุกคนสามารถเห็นร่างมิถุกานารีในร่างที่ถูกปกคลุมไปด้วยเส้นใย สีขาวทอประกายแวววับ ศีรษะปกคลุมด้วยสายใยซึ่งถักทอเป็นรูปบุรุษและสตรีหันหน้าเข้าหากันที่กึ่ง กลางหน้าผาก ปลายเท้าของรูปทั้งสองเชื่อมต่อกับสายใยที่โยงต่อลงมาเป็นร่างแหละเอียดปก คลุมร่างกายทั้งหมดเอาไว้ แต่ความละเอียดของร่างแหไม่สามารถปกปิดผิวกายที่ขาวผ่องปานหิมะไว้ได้ มีเพียงส่วนยอดของหน้าอกซึ่งพุ่งตระหง่าน และบริเวณเนินรักเปล่งปลั่งทางเบื้องล่างเท่านั้น ที่มีสายใยถักทอถี่ยิบบดบังเม็ดยอดหน้าอกและร่องรักอวบอิ่มของเทวนารีเอาไว้ จากสายตาของรินลดาปาริชาติ และอัจฉริยา
“เพื่อให้เกียรติพวกเจ้า เราจึงสวมเกราะใยน้ำแข็งอันเป็นเกราะประจำตัวเทวนารีแห่งราศีเมถุน พวกเจ้าจงรับชะตากรรมแต่โดยดีเถอะ…”
เรือนร่างงดงงามที่ส่งประกายแวววาวจากเกราะใยน้ำแข็งลอยตัวขึ้นช้าๆ จนหยุดนิ่งอยู่กลางห้องโถง ขณะที่เหล่าบริวารโรหิณีทั้งหมดก็ขยับตัวเข้ามาล้อมพื้นที่เอาไว้ทั้งหมด
“เหล่าบริวารโรหิณีจงฟัง จงเฝ้าระวังมิให้มีผู้ใดหลบหนีออกจากวงต่อสู้ ฆ่าได้โดยไม่ต้องละเว้น แต่ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวการต่อสู้ระหว่างเรากับกลุ่มมารคชสีห์เหล่า นี้…”
เสียงรับคำดังกระหึ่ม ก่อนที่ความเงียบจะเข้าปกคลุม มีเพียงร่างของมิถุกานารีที่กำลังส่งประกายเจิดจ้าขึ้นทุกขณะจากากรรวมพลัง ปราณ และกลุ่มของรินลดาทั้งสามที่เรียงรายป้องกันด้วยการผนึกพลังปราณเปี่ยมล้น ทั่วร่างพร้อมรับการจู่โจมที่สะเทือนฟ้าดินของมิถุกานารี
“พี่นิด…พิมกลัว…พวกนี้เป็นใคร…ทำไมต้องมาทำร้ายคุณพ่อ”
“น้องพิมไม่ต้องกลัวนะ พี่ริน พี่กิฟท์ พี่เหมียวจะคุ้มครองพวกเราเอง…อีกไม่นานพี่เอก็จะกลับมาแล้ว”
“พี่เอต้องลงโทษพวกคนเลวนี้แน่ๆ….”
“น้องพิมอย่าเอะอะไป..มาอยู่กับพี่ข้างๆ คุณพ่อคุณแม่ตรงนี้”
เสียงใสๆ ของอนิตราและพิมพ์มาดาดังขึ้นเบาๆ แต่ท่ามกลางความเงียบที่ตึงเครียดนั้น มันกลับดังจนทุกคนได้ยินชัดเจน
“หมู่มารจงสูญสิ้น….น้ำแข็งนิรันดร์สะกดวิญญาณ”
กระแสเสียงหวานใสแต่เกรี้ยวกราดของมิถุกานารีดังกังวาน พร้อมประกายเจิดจ้าแห่งเทวนารีระเบิดออกพร้อมกระแสพลังมหาศาลโถมลงหารินลดา อัจฉริยา ที่ยืนขนาบข้างกุมมือปาริชาติเบื้องล่าง
“พวกเราไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก…”
ปาริชาติส่งเสียงตวาด พลังอัคคีเทพและจิตมารของรินลดาและอัจฉริยาถูกส่งผ่านเข้าสู่ร่างหญิงสาวราว สายน้ำป่าทะลักทะลาย ก่อผสานกับปราณคชสีห์ในร่างปาริชาติสร้างกาฬปราณขึ้นเปี่ยมล้น ก่อนผลักกระแสปราณสีดำสนิทที่เกิดจากการรวมปราณของหญิงสาวทั้งสามเข้าปะทะ กับพลังน้ำแข็งนิรันดร์ที่โถมลงหา
………….เปรี้ยง…………………..
มวลพลังมหาศาลทั้งสองกลุ่มแตกระเบิดออกส่งเสียงกัมปนาท กระแสลมที่ปั่นป่วนรุนแรงกระจายออกรอบด้านจนเครื่อเรือนโบราณของบ้านคชสีห์ ปลิวกระเด็นไปราวกับไร้น้ำหนัก บางส่วนแตกสลายเป็นฝุ่นผงปลิวเวียนว่อนบดบังทุกสายตาจนไม่เห็นสภาพของคู่ ต่อสู้ที่อยู่ใจกลางการปะทะ มีเพียงเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของพิมพ์มาดาที่ไม่เคยพบเห็นสภาพการต่อสู้ ด้วยปราณมาก่อน ครู่ใหญ่หมอกฝุ่นเริ่มจางและลอยตกลงมากับพื้น ทำให้ผู้อยู่รอบข้างเห็นภาพมิถุกานารียังคงลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางประกาย เรืองรองของเกราะใยน้ำแข็ง ใบหน้างดงามยังคงสงบนิ่งปราศจากอารมณ์ใดๆ ราวกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ อย่างไรก็ตามในสายตาของผู้ทรงปราณระดับสูงพอสังเกตได้ว่าประกายแสงที่เคย เจิดจ้าของเกราะแห่งเทวนารีหม่นหมองลงเล็กน้อยจากการปะทะปราณ แต่เบื้องล่างสภาพของกลุ่มรินลดาทั้งสามกลับตรงกันข้าม ร่างของปาริชาติทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้น ร่างบอบบางสั่นระริก ขณะที่รินลดาและอัจฉริยาที่เคยส่งผ่านปราณให้ปาริชาติก็กระเด็นออกไป นอนฟุบอยู่ข้างกายปาริชาติและเริ่มปรากฏละอองขาวละเอียดปกคลุมผิวกายอย่าง รวดเร็ว จนก่อตัวหุ้มร่างของหญิงสาวทั้งสองไว้และเปลี่ยนไปเป็นผลึกใสในสภาพเดียวกับ ที่เคยเกิดต่อองครักษ์โรหิณี
“ลูกริน ลูกกิฟท์ ลูกเหมียว”
“พี่เหมียว พี่ริน พี่กิฟท์….ไม่นะ…”
เสียงอรอุมาและอนิตราร้องกรีดออกมาพร้อมกันเมือพบว่าริรนลดา อัจฉริยาและปาริชาติ พ่ายแพ้การปะทะปราณอย่างยับเยินจนปราศจากความสามรถที่จะต่อสู้อีกต่อไป เช่นเดียวกับไกรสรที่ยังคงไม่ได้สติ ทำให้สมาชิกของบ้านคชสีห์มีเพียงอรอุมา อนิตรา และพิมพ์มาดา เท่านั้นที่ยังคงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เหมือนปราศจากความหมายใดๆ เพราะอรอุมาแม้จะเป็นผู้ทรงปราณคชสีห์ แต่ความเข้มแข็งของปราณห่างไกลกับศัตรูที่สามารถทำร้ายไกรสรด้วยการสะบัดมือ เพียงครั้งเดียว ส่วนอนิตราและพิมพ์มาดาเป็นเพียงเด็กหญิงที่ปราศจากปราณ ทำให้การต่อสู้ในครั้งนี้ดูเหมือนจะจบลงอย่างสมบูรณ์ด้วยความพ่ายแพ้ของบ้าน คชสีห์
“ปราณที่สูงส่งยิ่งนัก เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะต้านทาน…สมแล้วที่เป็นเทวนารีแห่งจักรราศี”
เสียงแหบพร่าของปาริชาติดังขึ้นจากร่างที่ยังคงคุกเข่าอยู่ ใบหน้าหญิงสาวเงยขึ้นสบตามิถุกานารีที่กำลังจับจ้องลงมาเช่นเดียวกัน
“กาฬปราณก็เลิศล้ำยิ่ง หากเราปราศจากเกราะใยน้ำแข็งคุ้มครองร่าง ปราณนี้คงทำให้เราได้รับบาดเจ็บจนต้องพักรักษาร่างกายไม่ตำวกว่า 1 ปี ถึงกระนั้นมันก็ยังสามารถแทรกซึมผ่านเกราะใยน้ำแข็งเข้ามาได้บางส่วน …”
มิถุกานารีส่งเสียงราบเรียบกับปาริชติ พลางยกสองมือขึ้นเพ่งมอง ทำให้เห็นว่าฝ่ามือที่เคยขาวผ่องเป็นประกายถูกปกคลุมด้วยละอองสีดำที่ยังคง พยายามยามแทรกซึมขยายตัวขึ้นไปตลอดเวลา มิถุกานารีสูดลมหายใจลึกเป็นสัญญานของการรวบรวมปราณมุ่งลงมาที่ตำแหน่งมือ ซึ่งถูกกาฬปราณแทรกซึม ทำให้แนวผิวสีดำสนิทหยุดการลุกลามและเคลื่อนต่ำลงมาทีละน้อย จนในที่สุดก็มารวมกันอยู่ปลายนิ้วเนินนาน จนมิถุกานารีถอนใจยาว
“แม้แต่ปราณของเรายังไม่สามารถกำจัดกาฬปราณหมดได้ในคราวเดียว…นับว่าพวก ท่านเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่สามารถทำให้เราบาดเจ็บได้…พวกท่านจงตายอย่าง ภูมิใจเถอะ..”
“ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจเราไม่มีวันยอมแพ้จักรราศี…ท่านเทวนารีอย่าเพิ่งอวดอ้างว่าชนะเลย”
ปาริชาติส่งเสียงแหบเครือโต้ตอบ ขณะพยายามลุกขึ้นยืนหยัดเผชิญหน้ากับมิถุกานารี
“สาเหตุที่เจ้ายังเคลื่อนไหวร่างกายได้ ก็เพียงเพราะพลังปราณน้ำแข็งนิรันดร์ส่งผ่านเจ้าไปยังเพื่อนของเจ้าทั้งสอง ที่ผนึกปราณให้เจ้า มิฉะนั้นตอนนี้เจ้าจะต้องระเบิดเป็นละอองน้ำแข็งไปแล้ว ส่วนเพื่อนเจ้าแม้จะยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้ผลึกน้ำแข็งนิรันดร์ แต่จงรู้ไว้ว่านี่คือความทรมานที่เลวร้ายกว่าความตายมากมายนัก เพราะเพื่อนของเจ้าจะต้องมีสติรับรู้ทุกอย่างไปตลอดกาลภายใต้ความหนาวเย็น ที่แสนทรมาน โดยไม่มีใครในโลกสามารถสลายผลึกน้ำแข็งนี้ได้นอกจากเราและเทพสุรัสวดีเท่า นั้น”
ร่างมิถุกานารีลอยต่ำลงมาจนถึงพื้นและกล่าวขณะเคลื่อนร่างตรงเข้ามาหา ก่อนหยุดยืนอยู่ต่อหน้าปาริชาติ โดยไม่กังวลว่าจะถูกจู่โจมตอบโต้ แสดงถึงความมั่นใจในพลังปราณว่าสามารถทำลายความสามารถในการดิ้นรนเอาชีวิต รอดของปาริชาติไปหมดสิ้น แต่เมื่อมิถุกานารีเข้ามายืนอยู่ในระยะประชิด ปาริชาติหลันขบกรามแน่นและโถมร่างเข้าหา ในเมือหญิงสาวปรากฏวัตถุปลายแหลมส่งประกายแวววับพุ่งใส่ตำแหน่งทรวงอกมิถุ กานารีเต็มกำลัง
“เปล่าประโยชน์ ไม่มีอาวุธใดทำลายเกราะเทวนารีได้หรอก….เอ๊ะ…”
มิถุกานารีส่งเสียงเย้ยหยันขณะเบี่ยงกายหลบการโจมตี แต่ด้วยระยะใกล้ทำให้วัตถุในมือปาริชาติพลาดเป็นทรวงอกมาที่ท่อนแขน แล้วฝังตัวทะลุเกราะใยน้ำแข็งลงไปในท่อนแขน จนทำให้มิถุกานารีส่งเสียงอุทานออกมา แล้วดีดกายออกไปอย่างลานโดยมีวัตถุปลายแหลมในมือปาริชาติติดไปกับท่อนแขน พร้อมโลหิตที่ไหลออกมาเป็นสาย มิถุกานารีเอื้อมมือไปกระชากวัตถุลึกลับออกจากท่อนแขนอย่างขุ่นเคือง และนำมาพิจารณาก่อนอุทานออกมา
“กริชสลายปราณ”
“ถูกต้อง แต่เสียดายที่ท่านเทวนารีเองก็ไม่มั่นใจในเกราะใยน้ำแข็ง มิฉะนั้นหากปล่อยให้กริชสลายปราณแทงทรวงอกท่านตรงๆ ผู้ที่ดับสูญในวันนี้จะเป็นเทวนารีท่านแล้ว”
ปาริชาติส่งเสียงแผ่วเบาก่อนร่างที่ถูกเร่งเร้าปราณเฮือกสุดท้ายเพื่อโจมตีด้วยกริชสลายปราณ ก็ทรุดฮวบลงคุกเข่ากับพื้นอีกครั้ง
“กริชสลายปราณ สมบัติของมหาอาณาจักรโบราณ ตกทอดมาถึงปัจจุบันไม่ถึง 10 เล่ม ทำให้เราคาดไม่ถึงว่าตรถกูลคชสีห์จะครอบครองมันไว้ นับว่าเราได้รับบาดเจ็บอย่างคู่ควรกับการได้เป็นเจ้าของกริชสลายปราณเล่มนี้ แล้ว….ส่วนเจ้า…”
มิถุกานารีขยับร่างเข้ามายังตำแหน่งที่ปาริชาติทรุดตัวอยู่ ก่อนยกมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ ละอองหมอกสีขาวกระจายตัวปกคลุมฝ่ามือเรียวงาม
“เห็นแก่เจ้าที่มีสายเลือดร่วมกันและมีศักดิ์เป็นพี่สาวของเรา วันนี้เราจะมอบความตายที่ทรมาณที่สุดให้เช่นเดียวกับเพื่อนสองคนของเจ้า”
“หยุดนะ…อย่าทำร้ายพี่เหมียวของนิด”
…………….ปัง………………….
เสียงร้องตวาดแหลมเล็กดังขึ้นพร้อมกับเสียงระเบิดของกระสุนปืนดังสนั่นห้อง โถง มิถุกานารีพลันขยับร่างวูบก่อนหมุนตัวกลับมาในตำแหน่งเดิม และแบมือออกเพื่อพบกับภาพกระสุนปืนขนาด .38 ที่วางสงบนิ่งอยู่ในมือ เทวนารีแห่งราศีเมถุนเงยหน้าขึ้นไปยังที่มาของเสียงปืนและพบกับภาพเด็กหญิง วัย 12 ที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความตระหนกทั้งที่สองมือจับปืนที่ยังมีควันกรุ่น บริเวณปากกระบอกชี้มายังมิถุกานารี เพียงแว่บเดียวร่างของเทวนารีก็ถลันวูบราวกับสายฟ้าผ่านเข้าไปยังอรอุมาและ พิมพ์มาดา ที่ล้มลงกับพื้นตามการแผ่ปราณสกัดชีพจร ก่อนโฉบต่อไปสกัดชีพจรอนิตราที่ยังคงตกตะลึง แล้วคว้าตัวเด็กหญิงลอยกลับมายังตำแหน่งเดิมหน้าร่างของปาริชาติที่เงยหน้า ขึ้นมองภาพศัตรูด้วยความเคียดแค้น
“นังเด็กคนนี้เสียทีที่อยู่ในตระกูลผู้ทรงปราณ แต่ยังบังอาจมาใช้อาวุธปืนกับเราโดยไม่รู้เลยว่าอาวุธเช่นนี้ไม่มีทางรวด เร็วไปกว่าปราณได้”
“ปล่อยหนูนิดไป เด็กคนนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกปรือปราณและไม่มีส่วนสัมพันธ์ใดกับตระกูลคชสีห์ คัมภีร์ปราณราหูอยู่กับเราท่านรับไปเถอะ แต่อย่าทำร้ายเด็กหญิงที่ปราศจากทางต่อสู้ ”
ปาริชาติขบกรามพยายามขอร้องอย่างยากเย็น แต่มิถุกานารีกลับหัวเราะเสียงกังวาน
“แสดงว่าเจ้ารักถนอมเด็กหญิงคนนี้ยิ่งนัก ดีแล้วนี่ทำให้เราคิดวิธีลงโทษเจ้าตอบแทนที่บังอาจใช้กริชสลายปราณ ทำร้ายจนเราต้องหลั่งโลหิตแห่งเทวนารีออกมา แต่เจ้าอย่าคิดว่าเราต้องการคัมภีร์ปราณราหูอันคร่ำครึเล่มนั้น เพราะบัดนี้เราสามารถบรรลุข้อจำกัดของปราณราหูได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพี่ งพิงวิชาในคัมภีร์อีกต่อไป … อืมห์…เพื่อให้เจ้าตายอย่างคลั่งแค้นใจไปพบกับแม่ของเจ้า เราจะบอกความลับของเราให้เจ้ารู้…”
มิถุกานารีโบกมือขึ้นข้าๆ แผ่พุ่งพลังปราณอ่อนหยุ่นสายหนึ่งรั้งร่างที่กำลังคุกเข่ากับพื้นของปาริ ชาติให้ลอยขึ้นกลางอากาศก่อนปล่อยร่างหญิงสาวลงกับพื้นในท่านั่งพิงเคาเตอร์ หินอ่อนซึ่งยังคงเป็นเครื่องเรือนชิ้นเดียวในบ้านที่คงสภาพอยู่หลังการปะทะ ปราณที่ผ่านมา
“บริวารแห่งโรหิณีทุกคนจงฟัง ถอยออกไปนอกบ้านหลังนี้แล้วรอเราอยู่ภายนอก”
เสียงรับคำดังกระหึ่มขึ้น และในไม่กี่อึดใจห้องโถงกวางใหญ่ของตระกูลคชสีห์ก้เหลือเพียงร่างสมาชิกบ้าน คชสีห์ที่ปราศจากความสามรถในการต่อสู้กับมิถุกานารีที่ยืนอยู่หน้าร่างของปา ริชาติโดยอุ้มร่างของอนิตราเอาไว้ในวงแขนราวกับเป็นเพียงปุยนุ่นที่ปราศจาก น้ำหนัก
“พี่สาวข้าจงรับฟังไว้ มารดาเราไม่สามารถฝึกปราณราหูขั้นสุดท้ายได้เนื่องจากขาดคัมภีร์ที่บอกแนว ทางโคจรปรารสองสายสวนทางกันโดยไม่ทำลายกันเองได้ แต่สำหรับเราผู้กำเนิดมาจากการกำหนดของฟ้าดิน ร่างกายของเรามีปราณธรรมชาติสองสายมาโดยกำเนิด ทำให้เมื่อเราฝึกปราณราหูเราสามารถดูดรับปราณของชายผู้ทำลายพรหมจรรย์ของเรา มาสลายเป็นพลังปราณของเราเองได้ในทันที ..และหลังจากเราสำเร็จชั้นสูงสุดของปราณราหู เราจึงได้เปลี่ยนแนวทางฝึกปรือมาใช้วิธีคัดเลือกเด็กหญิงฝาแฝดมาแยกฝึกปรือ ปราณสองสาย ก่อนที่จะนำมาผนึกรวมหลังการรับพลังปราณจากบุรุษคนเดียวกัน ทำให้เราสามารถสร้างทางลัดใหม่ให้กับตระกูลโรหิณีได้”
“นั่น..นั่น..เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่มนุย์จะเกิดมาพร้อมกับปราณสองสาย…”
ปาริชาติแค่นเสียงออกมาอย่างยากเย็น ทำให้มิถุกานารีหัวเราะด้วยน้ำเสียงสดใส
“เราจะเปิดเผยให้เจ้ารู้ว่าเหตุใดเราจึงฝึกปรือปราณราหูชั้นสูงสุดได้…จงดู”
มิถุกานารีสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนออกยาวเหยียดในลักษณะการผ่อนปราณที่รวม ศูนย์ พริบตานั้นเกราะใยน้ำแข็งที่ปกคลุมร่างเทวนารีก็สลายวับไป ปรากฏเรือนร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิดของมิถุกานารีต่อหน้าปาริชาติ
“เจ้าคิดว่าเรางามหรือไม่”
มิถุกานารีถามปาริชาติด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ขณะที่ปาริชาติเพ่งมองเรือนร่างเปลือยงดงามที่ขาวสะอาดจนแทบเปล่งแสงออกมา ด้วยตนเองเบื้องหน้า ซึ่งแม้แต่ปาริชาติผู้เป็นศัตรูเองยังต้องยอมรับว่านี่เป็นเรือนร่างของสตรี ที่งามพร้อมทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นทรวงอกกลมกลึงสมบูรณ์ที่ประดับด้วยยอดอกสีชมพูเข้ม มาถึงลานหน้าท้องราบเรียบและช่วงเอวคอดกิ่วก่อนผายออกเป็นสะโพกอวบอิ่มรับ กับโคนขาอ่อนขาวผ่องที่เรียวยาวแต่เต็มไปด้วยเนื้อหนังจนปราศจากช่องว่าง ระหว่างท่อนขาให้เห็นแม้แต่น้อย ความสมบูรณ์ของสะโพกยิ่งขับเน้นให้เนินรักอวบอิ่มที่ปกคลุมด้วยไรขนเบาบางดู นูนเด่นยิ่งขึ้น ร่องรักสีชมพูสดใสราวกับไม่เคยมีแก่นเนื้อของชายใดเคยผ่านเข้าไปมาก่อน ทั้งหมดประกอบเป็นภาพของสตรีงามที่สามารถตรึงสายตาบุรุษทุกคนที่ได้เห็นให้ มาสยบแทบเท้าได้ในทันที
“เทวนารีท่านงามนัก น่าเสียดายที่จิตใจของท่านมืดดำไปด้วยความอำมหิตราวปีศาจร้าย แต่ความงามของท่านเกี่ยวข้องอันใดกับการมีปราณสองสายที่ท่านอ้างถึง ท่านอย่าเสียเวลาโกหกเราอีกต่อไปเลย หากท่านต้องการสังหารเรา เราก็พร้อม แต่หากท่านยังคงมีจิตเมตตาหลงเหลืออยู่ในตัวท่น ก็จงปล่อยเด็กหญิงที่ท่านอุ้มอยู่ไปเสียเถอะ นางไม่มีส่วนใดๆ กับอาณาจักรปราณนี้เลย”
ปาริชาติส่งเสียงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ให้ความสนใจใดๆ กับความงามเหนือโลกที่ปรากฏตรงหน้า ทำให้มิถุกานารีต้องแค่นหัวเราะออกมา
“ถ้าเช่นนั้นเราจะใช้เด็กหญิงนางนี้ทำให้เจ้าเชื่อในสิ่งที่เราพูด”
มิถุกานารีขยับมือปาดไปที่ร่างของอนิตราในอ้อมแขน เกิดเสียงซ่าเบาๆ พร้อมกับเสื้อยืดตัวหลวม กางเกงขาสั้น และอาภรณ์ชั้นในทุกชิ้นของอนิตราสลายตัวเป็นผงธุลี ทำให้ผิวกายสีน้ำตาลอ่อนทุกส่วนสัดบนเรือนร่างอนิตรล้วนเปิดเผยต่อหน้ามิถุ กานารีอย่างสิ้นเชิง มือเรียวงามของมิถุกานารีปล่อยร่างเด็กหญิงออกจากวงแขน แต่ร่างบอบบางนั้นกลับยังคงลอยอยู่กลางอากาศด้วยอำนาจปราณที่มิถุกานารีแผ่ ออกมาจากร่าง มือเรียวงามของมิถุกานารีลูบไล้ผิวกายละเอียดนุ่มบนเนินอกคู่น้อยของอนิ ตรด้วยใบหน้าที่แสดงความพอใจ และเมื่อสายตาเลื่อนลงไปยังตำแหน่งกลางสะโพก ดวงตาของมิถุกานารีก็เป็นประกายเมือพบว่าเนินรักที่ปราศจากเส้นขนของเด็ก หญิงวัย 12 ผู้มีร่างกายแบบบางนี้กลับนูนเด่นออกมาราวกับเป็นเนินรักของสตรีสาวเต็มวัย สองแคมอวบอิ่มเต่งตึงจนมิถุกานารีต้องใช้มือลูบไล้บีบคลึงรับความหยุ่นตึง แฝงแรงดีดสะท้อนของสองแคมบางใสอย่างพอใจ
“ยะ อย่านะ…ท่านทำอะไรหนูนิด…”
ปาริชาติพยายามส่งเสียงขัดขวางกริยาทีมิถุกานารีเล้าโลมอนิตราราวกับชายหนุ่มผู้หื่นกระหาย
“ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อสิ่งที่เราบอก เราก็จะแสดงให้เจ้าดูด้วยตาเจ้าเอง..แต่ก่อนอื่น หากเด็กหญิงผู้งดงามนางนี้ปราศจากสติ การแสดงของเราคงปราศจากรสชาติเป็นแน่”
มิถุกานารีหัวเราะอย่างสดใสแต่ดวงตาทอประกายประหลาดจับจ้องเรือนร่างเปล่า เปลือยของอนิตราเขม็ง ก่อนที่จะปาดมือสลายการสกัดชีพจรบางส่วนของอนิตรา ทำให้เด็กหญิงได้สติลืมตาขึ้นและร้องออกมาด้วยความตกใจ
“อะ อะไรกัน…ทำไมนิดลอยอยู่ตรงนี้ พี่เหมียวนิดขยับตัวไม่ได้เลย เกิดอะไรขึ้น”
“หนูนิด ทำใจดีๆ ไว้ หนูนิดถูกสกัดชีพจร อย่าพยายามเคลื่อนไหว…”
ปาริชาติพยายามปลอบให้อนิตราสงบใจลง แต่ดูเหมือนจะไร้ผล
“แล้วทำไมยายคนนี้ถึงมาบีบหีนิดแบบนี้…ไม่นะปล่อย…ปล่อยนิดเดี๋ยวนี้”
มิถุกานารีหัวเราะเบาๆ ก่อนเพิ่มแรงบีบเคล้นเนินรักอนิตราจนเด็กหญิงร้องลั่น แต่ไม่สามารถขัดขืนหนือขยับร่างกายได้
“ช่างเป็นหีที่งดงามจริงๆ น่าเสียดายที่เจ้ากลับไม่ยินยอมให้ชายคนรักของเจ้าเย็ด ทั้งที่เจ้าเองก็ใช้ปากปรนเปรอคนรักของเจ้าทุกวัน…”
“แกรู้ได้ยังไง…ใครบอกแกว่านิดทำอะไรกับปาเกอยะ..มะ มะ ไม่นะ อย่า…อย่าเอาเข้าไป”
คำพูดของมิถุกานารีทำให้อนิตราอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง และพยายามปฏิเสธ แต่คำพูดของเด็กหญิงชะงักลงเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานด้วยความตกใจในทันที่ที นิ้วเรียวงามของมิถุกานารีแทรกตัวผ่านสองแคมเด็กหญิงลงไปเบาๆ
“ไม่มีใครบอกเรา เราเห็นพวกเจ้าสองคนปรนเปรอร่างกายกันและกันด้วยตาเราเอง เราจะบอกให้ว่าเราและบริวารจับตาดูตระกลคชสีห์มานานแล้วและพบเห็นว่าเจ้ากับ เด็กหนุ่มผู้นี้พากันเล้าโลมร่างกายโดยไม่ยอมร่วมรักกันทั้งที่พวกเจ้าทั้ง สองต่างเกิดความต้องการ ถึงเราจะประหลาดใจแต่ก็คร้านที่จะยุ่งเกี่ยว แต่หากเราไม่พบว่าเมื่อตอนเช้าวันนี้ เจ้าหนุ่มพยายามอวดโอ่วิชาหมัดเอกะมารให้เจ้าดูที่โคนต้นไทรหลังบ้านเจ้า เราก็คงยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าพวกเจ้าคือผู้ทรงปราณของตระกูลคชสีห์”
“พี่เหมียว…นิดผิดไปแล้ว….เพราะนิดจึงทำให้เกิดเรื่อง…อะ อะ ไม่นะ…แกจะทำอะไรนิด”
อนิตราร้องครางออกมาอย่างลืมตัวเมื่อได้รับรู้ว่าการเล้าโลมทางเพศกับปาเก อยะมิได้เป็นความลับระหว่างคนทั้งสองอีกต่อไป อีกทั้งยังสาเหตุที่ทำให้จักรราศีได้รับรู้ถึงการคงอยู่ของปราณมารเอกะ อันนำมาซึ่งการบุกทำลายตระกูลคชสีห์ในครั้งนี้ แต่เสียงของเด็กหญิงเปลี่ยนไปเป็นเสียงร้องด้วยความตกใจอย่างรวดเร็วเมื่อพบ ว่าสองแคมรักเบื้องล่างกำลังถูกรุกรานจากนิ้วของมิถุกานารีที่เคล้าคลึงติ่ง เสียวน้อยๆ ไปมาพร้อมกับแทรกนิ้วผ่านลึกเข้ามาในหลืบรักจนกระทบม่านขวางกั้นความสาวของ เด็กหญิงวัย 12 ปี
“คาดไม่ผิดจริงๆ เจ้ายังคงพรหมจรรย์เอาไว้ นับว่าเป็นโชคดีของเราที่จะได้รับความสาวของเด็กหญิงที่งดงามเช่นเจ้า”
มิถุกานารีส่งเสียงพึมพำเบาๆ ราวกับเป็นการพูดกับตัวเอง แต่เมื่อปาริชาติและอนิตราได้ยิน กลับก่อให้เกิดความตระหนกอย่างรุนแรง เพราะเป็นคำพูดที่ดูราวจะเป็นการแสดงอารมณ์กระหายกามของบุรุษเพศ ในขณะที่ผู้กล่าวกลับเป็นหญิงสาวที่งดงามสะท้านใจ
“อืมห์ หน้าอกของเด็กน้อยเจ้าเต่งตึงยิ่งนัก ร่างกายแม้จะบอบบางแต่ก็งามสมกับอายุน่าแปลกที่เจ้าไม่ฝึกปรือปราณทั้งที่ ร่างเจ้าสะสมปราณธรรมชาติไว้เปี่ยมล้น อืมห์….หัวนมเจ้าแข็งแล้ว หีเจ้าก็เนืองนองไปด้วยน้ำรัก เจ้าคงต้องการแล้วใช่ไหม…”
มิถุกานารียังคงเล้าโลมเรือนร่างอนิตราต่อเนื่อง ทำให้แม้เด็กหญิงจะพยายามต่อต้านแต่ร่างกายที่คุ้นเคยกับการเล้าโลมของ เพศตรงข้ามกลับตอบสนองการกระตุ้นของมิถุกานารี ดวงหน้างามคมคายของอนิตราแดงเข้ม ร่างน้อยสั่นระริกทั้งที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกาย หัวนมสีน้ำตาลอ่อนถูกกระตุ้นไม่หยุดจนชูชันเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น เนินรักโนหกนูนเบื้องล่างถูกสอดใส่ด้วยนิ้วเรียวงามของมิถุกานารี ซึ่งนอกจากจะขยับเข้าออกอย่างนุมนวลแล้วยังกระตุ้นติ่งเสียวของเด็กหญิงจน แข็งตัวรับสัมผัส น้ำหล่อลื่นแรกสาวทะลักทะลายออกมาเนืองนองโดยที่อนิตราเองก็ไม่สามารถบังคับ ได้
“มะ มะ ไม่นะ…เอาออกไป นิดเกลียดแก…นิดไม่ต้องการ ความสาวของนิดมีไว้สำหรับพี่เอเท่านั้น.. อูว์…ยะ อย่า…สะ เสียว…”
“ถ้าพี่เอที่เจ้าพูดเจ้าหมายถึงชายหนุ่มผู้เป็นสามีของคนพวกนี้ เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะมันจะไม่มีโอกาสได้เย็ดเจ้าอย่างแน่นอน ในทันทีที่มันกลับมาถึงมันจะต้องถูกสังหารเช่นเดียวกับทุกคน…”
“พี่เอมีปราณสูงสุดยอด แกไม่มีทางทำร้ายพี่เอได้หรอก…อ๊าย….”
อนิตราร้องครางออกมาเมื่อรับรู้ว่าร่างของตนถูกมิถุกานารีดันสะโพกให้แอ่น ตัวขึ้นพร้อมกับแยกขาเรียวของเด็กสาวออกจากกัน ก่อนแทรกตัวเข้ามายืนในตำแหน่งที่เนินรักอวบนูนของอนิตราประกบกับเนินนูนมิ ถุกานารี
“ท่าน…ท่านจะทำอะไรหนูนิด…ท่านเป็นสตรีนะ”
ปาริชาติส่งเสียงแผ่วเบาอย่างอ่อนล้าเมื่อเห็นภาพท่วงท่าแปลกประหลาดที่ดู ราวกับมิถุกานารีกำลังจะเริ่มร่วมรักกับอนิตรา ทั้งที่ทั้งสองร่างล้วนเป็นสตรี
“พี่สาวของเราจงดู นี่คือสาเหตุที่ทำให้เรากำเนิดมาพร้อมกับปราณสองสายในร่างกาย…”
มิถุกานารีหัวเราะเบาๆ ก่อนสูดลมหายใจลึก พลันปาริชาติก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่าสองแคมอวบอิ่มที่กำลังฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำรักของมิถุกานารีเริ่มแยก ตัวออกจากกัน โดยมีแท่งเนื้อดำสนิทแหวกออกมาอย่างรวดเร็วจนหยุดนิ่งที่ความยาว 6 นิ้วเศษ ผิวของแท่งเนื้อเปียกชุมไปด้วยน้ำหล่อลื่นภายในร่างมิถุกานารี หัวบานขนาดใหญ่ผงกตัวขึ้นลงราวกับมีชีวิตจิตใจเมื่อส่วนปลายจ่ออยู่ระหว่าง สองแคมอวบของอนิตราที่ถูกแยกขาออกโดยไม่สามารรถป้องกันหรือขัดขืนได้
“ท่าน…ท่านเป็นชาวบัณทารีย์ เป็นไปไม่ได้ เผ่าพันธ์นี้สิ้นสูญไปหลายพันปีแล้ว…”
ปาริชาติอุทานออกมาอย่างแตกตื่นเมือพบว่าแก่นกายเพศชายขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ระหว่างสองแคมอวบอิ่มของมิถุกานารีอย่างไม่น่าเป็นไปได้
“พี่สาวเรามีความรู้กว้างขวางยิ่ง ถูกแล้วบิดาของเราเป็นชาวบัณทารีย์ที่สืบเชื้อสายสองเพศอย่างลับๆ กันมาแต่บรุพกาล ความจริงนี่นับเป็นสิ่งที่ชาวบัณทารีย์ต้องหลบซ่อน แต่สำหรับผู้ปรึกปราณราหูแล้ว เรากลับสามารถแยกโคจรปราณร้อนเย็นได้แต่กำเนิด อีกทั้งยังสามารถใช้ความเป็นชายในร่างดึงดูดเชื้อพลังสตรีบริสุทธิ์มาเสริม เชื่อพลังชายที่เราใช้ความเป็นสตรีรับมา ทำให้เราบรรลุปราณราหูขั้นสูงสุดได้ โดยไม่ต้องอาศัยแนวทางแห่งคัมภีร์ปราณราหู และเดี๋ยวนี้เราจะขอรับพลังสตรีบริสุทธิ์จากเด็กน้อยผู้งดงามคนนี้
“ยะ อย่านะ อย่าทำอะไรหนูนิด ”
“พี่เหมียว…พี่เอ…ช่วยนิดด้วย…..โอ๊ย…ไม่เอา…เจ็บ เอาออกไป… ”
อนิตราร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อมิถุกานารียึดสะโพกกระทัดรัดของเด็ก หญิงไว้แล้วดันแก่นกายเพศชายทะลวงแคมรักที่ฉ่ำเยิ้มเข้าสู่ร่างกายเด็กสาว
“หีเจ้าคับแน่นจริงๆ ยอดเยี่ยมนักน่าเสียดายแทนที่พี่เอของเจ้าไม่มีโอกาสรับรสชาติการทำลาย พรหมจรรย์นี้ มอบความสาวของเจ้ามาเดี๋ยวนี้… ”
มิถุกานารีรั้งสะโพกอนิตราเข้าหัว อัดแก่นกายดำสนิทเข้าไปในเนินรักเด็กหญิงจนสุดทาง
“โอ๊ย…หีฉีกแล้ว…เจ็บ….พี่เอ…พี่เอ…ช่วยนิดด้วย…”
อนิตราร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ร่างบอบบางสั่นระริกเมื่อแก่นกายมิถุกานารีทะลวงเยื่อพรหมจรรย์ที่เด็กหญิง รักษามา 12 ปีเต็มขาดกระจุยในคราวเดียว สองแคมที่แม้จะอวบอิ่มเกินวัยแต่เมื่อถูกท่อนเนื้อขนาดใหญ่บุกรุกเข้าไปเป็น ครั้งแรกในชีวิต กล้ามเนื้อที่ยังไม่เคยขยายตัวก็ฉีกขาดเป็นทางยาว ทำให้เลือดจากเยื่อพรหมจรรย์และเลือดจากแผลฉีกขาดไหลทะลักมารวมกันหยดลงสู่ พื้นไม่ขาดระยะ…แต่เทวนารีสองเพศผู้ทำลายความสาวของเด็กหญิงไม่สนใจความ เจ็บปวดที่อนิตราได้รับแม้แต่น้อย สะโพกกลมกลึงของมิถุกานารีขยับดันแก่นกายเพศชายเข้าไปจนเนินรักทั้งสองผนึก แน่นราวกับเนื้อเดียวกัน ก่อนกระชากกลับออกมาจนเกือบพ้นสองแคมแล้วกระแทกหนักๆ เข้าไปใหม่เป็นจังหวะ
“หีเด็กน้อยเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ ทั้งตอดรัด ทั้งบีบอัดเหนือกว่าหีของบริวารข้าทุกคนที่ข้าเคยทำลายพรหมจรรย์มา อูว์ มดลูกเจ้าตอดหัวควยข้าดีจริงๆ”
“อาห์…มะ มะ ไม่….นิดไม่เอา…เอามันออกไป…นิดเกลียดแก..อูย…สะ เสียว….ออกไป…อ๊า…ยะ อย่า…”
อนิตราร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดผสมกับความเกลียดชังที่ถูกร่วมรักอย่างไม่ เต็มใจ แต่ร่างกายของเด็กหญิงกลับไม่สามารถต้านทานความเสียวที่เริ่มก่อตัวขึ้นกลบ ความเจ็บปวดทุกขณะ ร่างกายบอบบางแม้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แต่กล้ามเนื้อทุกส่วนของเด็กหญิง สั่นระริกตามจังหวะกระเด้าของมิถุกานารีที่เพิ่มความถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ปาริชาติได้แต่จับจ้องภาพเด็กหญิงผู้เป็นเสมือนน้องสาวถูกข่มขืนด้วย สายตาพร่าเลือนจากน้ำตาแห่งความเสียใจและความโกรธแค้นตนเองที่ไม่สามารถช่วย เหลืออนิตราได้ ท่ามกลางเสียงแสดงอารมณ์จากความเสียวของมิถุกานารีและอนิตราที่ดังไม่ขาด ระยะ
“อูว์ อาห์…ยอด…ทั้งหนึบทั้งแน่น…..เราชักติดใจหีเจ้าแล้ว…”
“โอย…นิด…นิด…สะ สะ เสียว….แก…แก…นิด…อ๊าวส์ ละ ลึก จัง….อื๋ย”
“เด็กน้อยเจ้าชอบแล้วใช่ไหม….เราจะเร่งอีก….”
“มะ ม่าย ม่ายเอา…นิด …อ๊า…ทะ ท่าน….นิดเสียว….ยะ อย่าหยุด…อย่าหยุด…”
“เราจะปล่อยเจ้าให้เคลื่อนไหวได้….เจ้าจะได้มอบความสุขให้เรามากกว่านี้…”
มิถุกานารีปาดมือเบาผ่านทรวงอกน้อยๆที่ชูชันของอนิตรา ทำให้เด็กหญิงเคลื่อนไหวร่างกายได้ในทันที แต่แทนที่ร่างกายจะดิ้นรนเพื่อหนีการถูกข่มขืน อารมณ์รักที่พลุ่งพล่านของเด็กหญิงกับทำให้อนิตรากอดกระหวัดร่างเข้าหามิถุ นารีแนบแน่น สะโพกน้อยๆบิดส่ายเป็นวงรับการกระเด้าของแก่นกายอย่างลืมตัว
“ทะ ท่าน…ท่าน เทวนารี…นิด…นิด…โอ๊ย…จะ จะ จะ มาแล้ว…อ๊าย….”
ร่างบอบบางของอนิตรากระตุกเฮือกสองแขนกอดรัดมิถุกานารีไว้แน่น ขณะที่สะโพกกระดัดรัดถูกอัดเข้ากับแก่นเนื้อของมิถุกานารีที่กระตุกร่างขึ้น พร้อมกัน และฉีดน้ำรักมหาศาลเข้าสู่ร่างกายอนิตราจนเนืองนองล้นออกมาเป็นสาย
“เด็กน้อยเจ้าดียิ่ง…ทำให้เรามีความสุขนัก เจ้าจะยินยอมติดตามเรากลับไปตระกูลโรหิณีหรือจะยอมสละชีวิตกับตระกูลคชสีห์ ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้า”
มิถุกานารีถามอนิตราที่ยังคงโอบรัดร่างงดงงามของมิถุกานารีไว้แน่น ก่อนที่เด็กหญิงจะให้คำตอบที่ทำให้ปาริชาตตะลึงงัน
“ไป..ไป นิดจะไปกับท่านเทวนารี นิดมีความสุขเหลือเกิน ชีวิตนี้นิดขาดท่านเทวนารีไม่ได้ พานิดไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย…”
“หนูนิด…”
ปาริชาติร้องออกมาด้วยความตกใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของอนิตราหลังถูกมิถุ กานารีข่มขืน แต่กลับทำให้เด็กหญิงเปลี่ยนแปลงท่าทีไปอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ขณะที่มิถุกานารีส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างลำพองใจ
“เราจะพาเจ้าไปแน่นอน….แต่เจ้าจะทำอย่างไรหากเราจะสังหารคนในตระกูลคชสีห์เหล่านี้…”
“นิดไม่สนใจ พวกมันไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับนิด…ชีวิตนี้นิดขอรับใช้ท่านเทวนารีเท่านั้น”
คำตอบของอนิตราทำให้ปาริชาติต้องก้มหน้าลงหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบงัน ขณะมิถุกานารีถอนแก่นกายออกจากร่างอนิตราช้าๆ จนพ้นออกจากเนินรัก
“เจ้าจงรอให้เราสังหารคนพวกนี้อยู่ที่นี้”
“ท่านเทวนารี อย่าเพิ่งไป นิดมีเรื่องจะบอกท่าน ท่านอย่าเพิ่งสังหารเด็กหญิงที่สิ้นสติอยู่ข้างคุณแม่ เอ้อ…ไม่ใช่ อยู่ข้างๆ เมียของเจ้าบ้านคชสีห์นะ..”
มิถุกานารีจับจ้องอนิตราอย่างงุนงงวูบหนึ่ง…
“ทำไมล่ะ…เจ้าไม่คิดหรือว่าหากปล่อยให้นางโตขึ้นนางอาจจะกลับมาสังหารเจ้าก็ได้”
“นิดไม่กลัว….นิดมีท่านเทวนารีคุ้มครองอยู่ แต่เด็กหญิงนางนั้นชื่อพิมพ์มาดา เป็นเด็กหญิงที่มีธาตุธารอสุระอยู่ในร่าง หากท่านรับพรหมจรรย์ของนางจะยิ่งทำให้ท่านปราณของท่านเข้มแข็งเหนือทุกคน แต่ท่านต้องรออีก 6 ปี ให้นางมีประจำเดือนเสียก่อน”
“หนูนิด…หนูนิดทรยศต่อคุณพ่อคุณแม่ และพี่เอ….ทำไมกัน”
คำพูดของอนิตราทำให้ปาริชาติต้องเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจและร้องเสียงสั่น สะท้าน พร้อมกับที่มิถุกานารีอุทานออกมา แล้วลอยตัวขึ้นไปยังดูดร่างพิมพ์มาดาขึ้นมาในอ้อมแขน ก่อนหัวเราะออกมาด้วยความยินดี
“มิคาดเลย การมาปฏิบัติตามบัญชาท่านเทพสุรัสวดีครั้งนี้ กลับทำให้เรามีโอกาสได้ครอบครองธารอสุระ หนึ่งในพลังในตำนาน ขอเพียงเราได้รับพรหมจรรย์ของเด็กหญิงนางนี้ ปราณของเราก็จะทะยานขึ้นเทียบเทียมเทพเจ้า เหนือกว่าเทวนารีอื่นๆ ในจักรราศี อนิตรา…เจ้ามีความดีความชอบยิ่งนัก”
“แต่น่าเสียดายที่ท่านเทวนารีต้องรอให้น้องพิมเติบโตอีก 6 ปีกว่านางจะมีประจำเดือนครั้งแรกและพร้อมรับการร่วมรัก”
อนิตราส่งเสียงเบาๆ พลางคลานเข้าไปกอดขามิถุกานารีในทันทีที่ลอยกลับมายืนในตำแหน่งเดิม ทำให้มิถุกานารีส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
“เราไม่จำเป็นต้องรอแม้แต่วันเดียว ด้วยอำนาจปราณราหูสลายจิต เราสามารถทำลายข้อจำกัดทางร่างกายของมนุษย์ทุกรูปแบบ สำหรับเด็กน้อยนางนี้ เราสามารถกระตุ้นร่างกายให้เติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ได้ในค่ำคืนเดียวเท่า นั้น แต่อนิตราเจ้าจะคิดอย่างไร หากเราบอกว่าการกระตุ้นร่างกายด้วยปราณสลายจิตนี้ จะทำให้เด็กน้อยผู้นี้พร้อมให้เราทำลายพรหมจรรย์ แต่ก็จะเป็นการเร่งให้ร่างนางเติบโตโดยไม่หยุดยั้งและจะเข้าสู่วัยชราภาพภาย ในเวลาเพียงอาทิตย์เดียว เจ้าจะมีข้อขัดแย้งกับข้าหรือไม่”
คำบอกเล่าของมิถุกานารีที่หมายถึงการเร่งร่างกายพิมพ์มาดาให้พร้อมรับการ ร่วมรักและมอบธารอสุระให้ โดยไม่สนใจว่าจะทำให้เด็กหญิงสิ้นชีวิตภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ทำให้ใบหน้าอนิตราเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวเด็กหญิงก็ขบกรามตอบอย่างหนักแน่น
“จริงอยู่ที่นิดสนิทสนมกับน้องพิม แต่หากน้องพิมสามารถทำให้ท่านเทวนารีบรรลุ ถึงจุดสุดยอดแห่งปราณ นิดก็ไม่มีอันใดขัดขวางทั้งสิ้น.. แต่ตอนนี้…”
อนิตราเคลื่อนร่างเข้าแนบชิดท่อนขามิถุกานารีพลบางลูบไล้แก่นกายที่ยังคงโผ่พ้นจากสองแคมรักอย่างหลงใหล
“นิดอยากขอชิมรสชาติควยท่านเทวนารีที่ทำให้นิดมีความสุขที่สุดอีกครั้ง”
โดยไม่รอคำอนุญาตใดๆ มือน้อยๆ ของอนิตราก็เอมไปจับแก่นกายเทวนารีไว้มั่นก่อนยืดกายนำแท่งเนื้อเข้าสู่ปาก น้อยๆ และเริ่มเลียไล้หัวบานอย่างหลงใหล ทำให้มิถุกานารีส่งเสียงครางออกมาเบาๆ อย่างพึงใจกับการใช้ลิ้นของเด็กหญิงที่ชำนาญการปรนเปรอแก่นกายเพศชาย
“อืมห์..นอกจากเจ้าจะมีหีที่ยอดเยี่ยม ความสามารถในการใช้ปากของเจ้าก็ไม่ย่างหย่อนไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย…อูว์ ดีมาก…”
อนิตราตอบแทนคำชมด้วยการเร่งดูดเคล้นส่วนปลายของแก่นเนื้อที่ไวต่อความ รู้สึก ขณะที่สองมือน้อยๆ ก็ลูบคลำสองแคมอวบอิ่มของมิถุกานารีจนพบตำแหน่งเม็ดเสียวแล้วเคล้นคลึงเบาๆ จนทำให้มิถุกานารีต้องปล่อยร่างพิมพ์มาดาให้ลอยลงมาที่พื้น และใช้มือกุมศีรษะอนิตราไว้ให้ปรนเปรออวัยวะเพศทั้งสองในร่างอย่างเต็ม ที่….
“อนิตราเจ้า …เจ้าเก่งมะ มาก…อูว์…พะ พะพ พอแล้ว…จงหันหีมาให้เราเย็ดเดี๋ยวนี้”
อนิตราถอนปากและมือจากการกระตุ้นอารมณ์ของมิถุกานารีตามคำสั่ง ก่อนที่จะถูกมิถุกานารีใช้ปราณยกร่างขึ้นในท่านอนหงายแอ่นสะโพกให้เนินรัก อวดความโหนกนูนต่อสายตามิถุกานารีอย่างเต็มที่
“หีเจ้างามจริงๆ แยกขาออกให้กว้างข้าจะเย็ดเจ้าอีกครั้ง…”
“ท่านเทวนารีมาเถอะ …มาเย็ดนิด …นิดจะให้ความสุขท่านเทวนารีตามที่ท่านปราถนา”
อนิตราแยกขาเรียวงามออกจากกันเผยร่องรักที่ยังคงฉ่ำเยิ้มจากน้ำรักของมิถุ กานารีที่ผ่านมา ดวงตาเด็กหญิงหรี่ปรือด้วยอารมณ์ปรารถนา สองแขนเรียวยกขึ้นรอรับการสวมกอดจากมิถุกานารี เป็นภาพของสาวน้อยผู้อยู่ในอารมณ์รักที่สามารถกระตุ้นความต้องกายของมนุษย์ เพศขายทุกคน รวมทั้งผู้มีสองเพศในร่างเดียวเช่นมิถุกานารี
“เราจะเย็ดเจ้าเดี๋ยวนี้เจ้าพร้อมหรือไม่”
“นิดพร้อม…พร้อมเสมอ…โอ๊วส์…”
มิถุกานารีขยับร่างเข้ากลางหว่างขาของอนิตราอย่างลืมตัว แก่นกายที่กลับลุกชูชันจ่อเข้ากับร่องรักเปล่งปลั่งก่อนกดวูบลงไปจมมิดใน ร่างของอนิตราในคราวเดียว..
“อูว์…อนิตรา…หีเจ้าให้ความสุขข้าเหลือล้นจริงๆ…”
“ท่านเทวนารีจงรับความสุขนี้ไว้….เพราะว่า…”
อนิตราตอบด้วยน้ำเสียงที่พลันเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันที…
“นี่จะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายที่ท่านจะได้รับในโลกนี้…”
ดวงตามิถุกานารีเบิกโพลงทันทีที่รับรู้การเปลี่ยนแปลงของน้ำเสียงอนิตรา และรีบดึงแก่นกายออกจากร่องรักของเด็กหญิง แต่กลับราวกับว่าแก่นกายถูกผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับหลืบเนื้อภายใน พลังปราณในร่างถูกสูบออกจากร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมกับความสามารถในการ เคลื่อนไหว ร่างมิถุกานารีล้มหงายไปด้านหลังราวหุ่นยนต์โดยมีร่างอนิตราทาบทับอยู่ด้าน บน
“ ปะ ปะ เป็นไปไม่ได้…นี่คือปราณ…รา……”
เสียงของมิถุกานารีหยุดลงทันทีขณะที่อนิตราเคลื่อนสะโพกน้อยๆขึ้นลงตาม จังหวะของความเสียวที่เกิดขึ้นในร่าง แต่ยังคงส่งเสียงกระท่อนกระแท่นออกมา
“นังหญิงโสโครก นิดรู้นะว่าแกยังคงรับรู้ทุกอย่างที่นิดพูด นิดจะบอกให้แกรู้ก่อนที่จะสูญสลายว่านิดไม่ใช่คนนอกของตระกูลโรหิณี แม่ของนิดที่คุณพ่อไกรสรและคุณแม่อรอุมารู้จักเพียงว่าเป็นลูกจ้างที่ประสบ อุบัติเหตุเสียชีวิตนั้น แท้จริงคือลูกสาวคนสุดท้องแห่งไตรบุปผานามเอื้องคำ ท่านแม่หลบหนีการตามล่าของประมุขอำมหิตแห่งโรหิณี จนมาถึงที่นี่ แต่เคราะห์กรรมทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทำให้นิดได้มาอยู่ในความดูแลของคุณพ่อไกรสร คุณแม่อรอุมาตอนอายุ 8 ปี แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่านิดได้รับรู้เรื่องราวของตระกูลจากท่านแม่มานานแล้ว …อูว์…เสียวจริง… ตอนนี้เจ้าคงมีความสุขกับการได้เย็ดน้องสาวสายเลือดเดียวกันกับเจ้าแล้วสินะ ….อ๊ายส์….”
ร่างอนิตราสั่นระริกเมื่อความเสียวมาถึงจุดสุดยอด เด็กหญิงอ้าปากกว้างสูดลมหายใจลึกยาว ก่อนส่งเสียงคำรามลั่น
“….สลายสลักราหู…”
ประกายแสงสีขาวเจิดจ้าพลันก่อตัวขึ้นรอบกายอนิตราและมิถุกานารี โดยมีสายตาของปาริชาติเฝ้ามองอย่างตกตะลึง เมื่อได้รับรู้ว่าอนิตรามิได้ทรยศต่อตระกูลคชสีห์ตามที่ได้เห็นในครั้งแรก หากแต่เด็กหญิงกลับซ่อนความลับของตนเองไว้กับตัว โดยแอบฝึกวิชาปราณราหูจากคัมภีร์ที่ปาริชาติได้รับตกทอดมาจากมารดาโดยมิให้ ผู้ใดรับรู้ น้ำตาของปาริชาติไหลออกมาอีกครั้งแต่เป็นการหลั่งด้วยความเต็มตื้นหัวใจ เมื่อรับรู้ว่าเด็กหญิงที่ตนเองรักและเอ็นดูที่สุดผู้นื้ แท้จริงแล้วคือน้องสาวร่วมสายเลือดผู้กำลังใช้ปราณราหูประจำตระกูลกำจัด ศัตรูให้กับตระกูลคชสีห์ แม้จะต้องแลกกับการสูญสิ้นพรหมจรรย์ไปก็ตาม
กลุ่มแสงเรืองรองที่ก่อตัวหุ้มร่างของอนิตราและมิถุกานารียังคงสว่างเรือง รองท่ามกลางความเงียบงัน ปาริชาติพยายามสงบใจฟื้นฟูปราณในร่างกายที่ถูกพลังน้ำแข็งนิรันดร์โจมตีจน แทบประสบกับภาวะปราณสญสลาย แต่จิตใจของหญิงสาวยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระคนกับความห่วงใยรินลดาและอัจฉริยาที่ยังคงถูกกักอยู่ในผลึกน้ำแข็งนิรัน ดร์ พ่อเลี้ยงไกรสรที่สิ้นสติไปจากการโจมตี ตลอดจนอรอุมา และพิมพ์มาดาที่ถูกปราณของมิถุกานารีปิดสกัด นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงกลุ่มบริวารโรหิณีจำนวนกว่าครึ่งร้อยที่ยังคงอย่ภ ายนอก รอค่ำสั่งของมิถุกานารีโดยไม่รู้สภาพภายในบ้าน แต่หากเวลาผ่านไปอีกระยะ บริวารทั้งหมดก็อาจอดรนทนไม่ได้จนต้องเข้ามาและพบว่าประมุขแห่งโรหิณีกำลัง ถูกอนิตราดึงดูดปราณในร่างด้วยปราณราหู ซึ่งในสภาพปัจจุบันบ่านคชสีห์ไม่มีทางป้องกันตัวจากการโจมตีของบริวารโรหิณี ได้แม้แต่น้อย ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในสมองทำให้ปาริชาติไม่สามารถรวบรวมสมาธิเพื่อกำหนด ปราณให้โคจรรักษาบาดเจ็บของตนเองได้ แต่ไม่นานนักท่ามกลางความเงียบสงัด จิตของปาริชาติก็รับรู้เสียงประหลาดที่ก่อตัวขึ้นอย่างแผ่วเบาและเริ่ม ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถจับใจความได้…
‘…..นี่เรากำลังดูดปราณของมันอยู่..ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน และไม่รู้ว่าจะช่วยคุณพ่อคุณแม่ พี่ริน พี่กิฟท์ พี่เหมียวได้หรือเปล่า….นี่ถ้าพี่เออยู่ด้วยก็คงจะดี…’
เนื้อหาของกระแสจิตที่จิตของปาริชาติรับรู้และประสบการณ์ที่เคยสื่อสารทาง จิตกับไกรวิทย์บอกให้หญิงสาวทราบว่านี่เป็นจิตของอนิตราที่อยู่ในระหว่างการ ดูดปราณจากร่างมิถุกานารี ทำให้ปาริชาติรีบกำหนดจิตติดต่อในทันที
‘หนูนิด…นี่พี่เหมียวนะเป็นอย่างไรบ้าง’
กระสจิตตื่นเต้นของอนิตราดังกลับมาในสมองปาริชาติทันที
‘พี่เหมียว..พี่เหมียว ทำไมนิดได้ยินเสียงพี่เหมียวในหัวนิด…’
‘หนูนิดไม่ต้องตกใจนะ นี่แสดงว่าจักรในร่างหนูนิดกำลังดูดรับปราณจากมิถุกานารีจนสามารถสื่อสารทาง จิตกับพี่ได้แล้ว…หนูนิดสงบใจไว้ก่อนแล้วโคจรพลังที่รับมาตามแนวทางของ ปราณราหู หนูนิดรู้วิธีไหม’
จิตของอนิตราตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
‘นิดรู้ดี แต่ก่อนอื่นนิดต้องขอโทษพี่เหมียวที่ปิดบังความจริงทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณแม่เอื้องคำ หรือเรื่องการแอบอ่านคัมภีร์ปราณราหูของพี่เหมียว ความจริงนิดรู้มานานแล้วว่าพี่เหมียวคือพี่สาวทางสายเลือดของนิดตั้งแต่วัน แรกที่นิดรู้เรื่องคัมภีร์ปราณราหู แต่ก่อนที่นิดจะทันบอก นิดเผอิญไปเปิดอ่านคัมภีร์เสียก่อน ทำให้ปราณที่คุณแม่ปลูกฝังในร่างนิดตั้งแต่ยังเด็ก กระจายออกตามแนวทางโคจรปราณราหู นิดเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฝึกต่อไป โดยมีเพียงปาเกอยะเท่านั้นที่คอยช่วยนิดในการรับเชื้อพลังบุรุษ ทั้งที่ความจริงความสัมพันธ์ระหว่างนิดกับปาเกอยะเป็นเพียงเพื่อนรักที่สุด ไม่มีความรักเกิดขึ้นระหว่างกัน เพราะนิดมอบหัวใจทั้งหมดสำหรับพี่เอไปแล้ว… แต่นิดก็ไม่สามารถเย็ดกับพี่เอได้ เพราะนั่นจะกลายเป็นการดูดปราณในร่างพี่เอเช่นเดียวกับที่นิดกำลังดูดจาดมิ ถุกานารีอยู่ในตอนนี้’
อนิตราอธิบายทางจิตให้ปาริชาติฟังด้วยความในใจที่อัดอั้นมานาน
‘พี่ไม่มีวันโกรธหนูนิดหรอก โดยเฉพาะในวันนี้หากหนูนิดไม่ตัดสินใจใช้ปราณราหูกับมิถุกานารี ทีแรกพี่เองก็เสียใจอย่างที่สุดที่เห็นหนูนิดบอกความลับเรื่องธารอสุระของ น้องพิมให้ศัตรูรับรู้ แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าหนูนิดต้องการสร้างความไว้วางใจให้มิถุกานารีจนยอม เย็ดหนูนิดอีกครั้ง และทำให้สลักราหูที่หนูนิดฝังไว้หลังจากที่ถูกมิถุกานรีข่มขืนในครั้ง แรกกระจายตัวออกปิดกั้นจักรปราณทั้งหมดในร่าง พวกเราทั้งหมดคงต้องตายโดยไม่มีทางเลือก หนูนิดเป็นผุ้มีพระคุณต่อพวกเราในตระกูลคชสีห์ทุกคนนะ’
ปาริชาติส่งจิตปลอบโยนเด็กหญิงอย่างนุ่มนวล ทำให้จิตของอนิตรที่ส่งกลับมาดูจะสะท้อนความแจ่มใสขึ้น
‘แล้วพี่เหมียวจะรังเกียจไหม ถ้าหลังจากนี้นิดจะขออยู่ร่วมกับพี่เหมียวในฐานะเมียอีกคนหนึ่งของพี่เอ’
‘พี่ไม่มีวันรังเกียจหนูนิดหรอก พี่เอก็รักหนูนิดเช่นกันพี่รับรองได้…’
‘ถึงนิดจะไม่สามารถมอบพรหมจรรย์ให้พี่เอน่ะหรือพี่เหมียว’
‘พี่รับรองว่าพี่เอจะไม่มีวันรังเกียจหนูนิดผู้เป็นน้องสาวร่วมสายเลือดกับ พี่เป็นอันขาด..เชื่อพี่เถอะ แล้วสงบใจโคจรปราณให้เสร็จสิ้น…’
‘แต่ปราณที่นิดรับเข้ามานี้มันไม่ต้องกำหนดจิตโคจรเลยพี่เหมียว มันเคลื่อนตามวิถีปราณราหูด้วยตัวเอง นิดทำเพียงคุมสลักราหูปิดกั้นจักรปราณมิถุกานารีเท่านั้น….เอ๊ะ…พลัง อะไร’
จิตของอนิตราชะงักการสื่อสารกับปาริชาติในทันทีที่พบกระแสพลังแปลกประหลาด กลุ่มหนึ่งกำลังแทรกผ่านร่างกายเข้ามาอย่างรุนแรงโดยไม่สามรรถปิดกั้นได้ ประกายแสงสว่างที่คลุมร่างเด็กหญิงเอาไว้ยิ่งทวีความเจิดจ้าจนปาริชาติที่ เผ้ามองด้วยความห่วงใยไม่สามารถจับจ้องได้อีกต่อไป
‘โอ๊ย..พลังอะไร…นะ นะ นิด รับไม่ไหวแล้ว…พี่เหมียว…ช่วยด้วย’
‘หนุนิด รีบสลายจักรทั้งหมด อย่าดึงดูดปราณต่อไป…พี่เชื่อว่านี่คือพลังของเทวนารีที่เกินกำลังของหน นิดจะรับไว้ ถอนออกมาเร็วเข้า…’
ปาริชาติส่งจิตบอกอนิตราอย่างร้อนรน
‘นิด นิด ถอนไม่ได้…โอ๊ย’
………….บรึม……………..
ประกายแสงเจิดจ้าระเบิดออกดังกึกก้อง ส่งร่างบอบบางของอนิตราปลิวกระเด็นขึ้นสูงถึงเพดาน ก่อนตกลงมากระแทกกับพื้นข้างปาริชาติ ขณะเดียวกันร่างของมิถุกานารีที่เคยถูกสลักราหูตรึงไว้กลับยันกายลุกขึ้นยืน อย่างยากเย็น ทำให้ปาริชาติใจหายวูบเมื่อพบว่าศัตรูที่ต้องการทำลายล้างตระกูลคชสีห์ยังคง ยืนหยัดอยู่ได้แม้จะถูกปราณราหูดูดปราณออกจากร่างไปแล้ว ร่างมิถุกานารีก้าวมายังปาริชาติและอนิตราอย่างยกเย็น ประกายตาลุกโชติช่วงราวกับมีดวงอาทิตย์บรรจุอยู่ภายใน สองมือของเทวนารีเปล่งประกายสีขาวเจิดจ้า ก่อนส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
“พวกเจ้าทั้งหมดต้องดับสูญ ไม่เหบือแม้กระทั่งวิญญาณกลับมาเวียนว่ายอีกต่อไป…น้ำแข็งนิรันดร์สลายสรรพสิ่ง”
สิ้นเสียงตวาดมิถุกานารีผนึกพลังทั้งหมดขึ้นเพื่อทำลายทุกสรรพสิ่งรอบตัว แต่แทนที่ประกายสว่างของพลังน้ำแข็งนิรันดร์จะจู่โจมเป้าหมาย กลุ่มแสงเรืองรองในมือของมิถุกานารีกลับยิ่งทวีความเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ
“อะ อะ อะไรกัน ทำไมพลัง…จึง…… อ๊าก…”
…………….เปรี้ยง…………..
เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นจากตำแหน่งที่มิถุกานารียืนอยู่ เรือนร่างเทวนารีที่เคยงดงามสะท้านวิญญานกับแตกระเบิดออกเป็นฝุ่นมาศาลปลิว ว่อนไปทั่วห้องโถง ชั่วพริบตาเทวนารีที่เคยทรงอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคนกลับกลายเป็นฝงผุ่นที่ ค่อยๆ ตกลงมาปกคลุมพื้นห้องที่เงียบงัน
‘พี่เหมียวเกิดอะไรขึ้น ทำไมมิถุกานารีถึงระเบิดตัวเองแบบนั้น’
จิตของอนิตราส่งมายังปาริชาติอย่างแผ่วเบา ทำให้หญิงสาวถอนใอย่างโล่งอก
‘ทุกอย่างจบแล้วล่ะหนูนิด มิถุกานารีสูญเสียปราณทั้งหมดในร่างให้หนูนิด แต่ปราณราหูสามารถดูดรับพลังแห่งเทวนารีของมิถุกานารีได้เพียงบางส่วน ไม่อาจรองรับมวลพลังมหาศาลทั้งหมดได้ สลักราหูที่หนูนิดฝังไว้จึงระเบิดตัวเองจนหนูนิดกระเด็นออกมา แต่มิถุกานารีที่หลงเลือเพียงพลังเทวนารีในร่างกลับพยายามใช้พลังทำลายนี้ โดยปราศจากปราณในร่างควบคุม จึงทำให้ปราณที่แข็งกร้าวถึงที่สุดในร่างระเบิดออกจนร่างมิถุกานารีแตกสลาย ไป’
‘นี่ใช่ไหมพี่เหมียวที่คุณพ่อคุณแม่เรียกว่ากรรมสนอง’
‘ถูกแล้วล่ะ ว่าแต่หนูนิดตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ปราณในร่างสูญสลายไปหรือเปล่า’
อนิตราขยับร่างลุกขึ้น แต่ต้องอุทานออกมาเมื่อพบว่าการออกแรงเพียงเล้กน้อยกลับส่งร่างเด็กหญิงลอย ขึ้นสู่อากาศจนศีรษะชนเพดานหนักๆ ก่อนที่จะทิ้งร่างลงมายืนกับพื้นห้องอย่างมั่นคง
‘พี่เหมียว…ร่างกายของนิดเบาไปหมด ทั้งห้องสว่างไปทั่วเลย นี่นิดเป็นผู้ทรงปราณแล้วหรือ’
อนิตราอุทานออกมากับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย พร้อมกับบอกให้ปาริชาติรับรู้
‘หนูนิดตั้งสมาธิให้ดี ลองโคจรปราณตามแนวทางของปราณาหูในร่างสักสองรอบ แล้วบอกให้พี่รู้ว่ามีอาการบาดเจ็บที่ไหนหรือเปล่า’
อนิตราเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะเบาๆ
‘ไม่มีการบาดเจ็บเลยพี่เหมียว นิดรู้สึกว่าปราณทั่วร่างเปี่ยมล้นไปหมด และยังมีพลังประหลาดอีกขุมหนึ่งวนเวียนอยู่รอบจักรแยกจากปราณในร่างด้วย’
ปาริชาติอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของอนิตรา พร้อมกับส่งจิตอย่างเร่งร้อน
‘หนุนิด พี่เชื่อว่านั่นคือมวลพลังของเทวนารีที่ปราณราหูดูดรับมาได้ หนูนิดโคจรปราณในร่างด้วยเคล็ดราหูดูดรั้งและส่งพลังไปยังฝ่ามือรวมกับพลัง ขุมนั้นเดี๋ยวนี้เลย’
อนิตรส่งจิตรับคำเบาๆ ก่อนเริ่มโคจรพลังตามคำแนะนำของปาริชาติ เพียงชั่วพริบตาสองมือของเด็กหญิงก็ปรากฏประกายแสงเจิดจ้าก่อตัวขึ้นพร้อม กับความเย็นแผ่ซ่านออกจากวงแสง ทำให้ปาริชาติรีบส่งจิตสั่งการต่อในทันที
‘หนูนิดไปที่พี่รินกับพี่กิฟท์ ใช้มือวางไว้ที่ผลึกแล้วโคจรพลังดูดรั้งนะ’
อนิตราพยักหน้ารับคำ ร่างบอบบางเคลื่นวาบไปที่ร่างของรินลดาและอัจฉริยาที่ถูกผลึกน้ำแข็งนิ รันดร์ปกคลุมไว้ ก่อนยกมือวางลงที่ผิวผลึกและเริ่มโคจรปรารณดูดรั้งตามแนวทางที่ปาริชาติ กำหนด เพียงชั่วอึดใจผลึกที่ห่อหุ้มร่างของรินลดาและอัจฉริยาก็แปรเปลี่ยนจากผลึก ใสเป็นขุ่นมัว และสลายตัวเป็นละอองหมอกสีขาวที่ถูกดูดเข้าสู่มือของอนิตราไม่ขาดสาย จนหมดไปจากร่างของรินลดาและอัจฉริยา
‘หนูนิด..สะกดพลังเทวนารีเอาไว้ภายนอกจักร แล้วโคจรปราณราหูผ่านจักรอัคคี ส่งเข้าสู่ตำแหน่งจักรอัคคีของพี่ริน พี่กิฟท์เดี๋ยวนี้’
อนิตรารับคำ ลางมือลงยังตำแหน่งเนินรักของรินลดาและอัจฉริยาเพื่อเตรียมถ่ายทอดพลังความ ร้อนกระตุ้นร่างกายที่หนาวเหน็บของทั้งสอง แต่ก่อนที่เด็กหญิงจะส่งผ่านปราณ มือของรินลดาและอัจฉริยาก็เอื้อมมือมาจับมืออนิตราเอาไว้คนละด้านก่อนที่ เสียงทางจิตของหญิงสาวทั้งสองจะดังขึ้นใในสมองอนิตราพร้อมกัน
‘หนูนิดไม่ต้องถ่ายปราณให้พี่ พี่ไม่เป็นอะไรมาก ไปช่วยพี่เหมียวก่อน พี่ติดอยู่ในผลึกนี้ก็จริงแต่ระหว่างนั้นพี่ได้รับรู้เหตุการณ์ทุกอย่างที่ เกิดขึ้นแล้ว หนูนิดไปช่วยพี่เหมียว เดี๋ยวพี่จะช่วยพี่กิฟท์เอง’
‘หนูนิด ไปช่วยพี่เหมียวก่อน เดี๋ยวพี่จะช่วยพี่รินเอง’
อนิตราชะงักการถ่ายปราณและยิ้มให้รินลดากับอัจฉริยาอย่างดีใจก่อนรีบเคลื่อน ร่างไปหาปาริชาติที่ยิ้มออกมาเช่นกันที่เห็นว่าทั้งรินลดาและอัจฉริยา ปลอดภัย พร้อมกับพยักหน้าให้อนิตรทาบฝ่ามือกับตำแหน่งจักรวายุที่กลางหลังเพื่อถ่าย ทอดพลังปราณรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ยังไม่ทันที่อนิตราจะถ่ายทอดพลปราณได้ครอบรอบ เสียงอุทานด้วยความแตกตื่นก็ดังขึ้นจากหน้าประตู เมื่อบริวารสตรีโรหิณีสองนางไม่สามารถอดทนรอมิถุกานารีได้ และเกิดความสงสัยกับเสียงระเบิดกึกก้องที่เกิดขึ้น จึงได้แอบเข้ามาสังเกตการณ์และพบว่ามิถุกานารีมิได้อยู่ในห้องโถง โดยมีเพียงสมาชิกบ้านคชสีห์กำลังถ่ายปราณรักษาอาการบาดเจ็บให้กันและกันอยู่
เสียงอุทานของบริวารโรหิณีทั้งสอง ทำให้บริวารทั้งหมดของโรหิณีกรูกันเข้ามาเต็มห้องโถงและจับตามองภาพเบื้อง หน้าด้วยความสงสัย ก่อนที่ผู้เฒ่าคุ้มกฏแห่งโรหิณีจะก้าวออกมาเบื้อหงหน้าและตวาดด้วยน้ำเสียง เกี้ยวกราด
“ท่านเทวนารีประมุขของเราอยู่ที่ใด”
การบุกเข้ามาของกลุ่มบริวารโรหิณี ทำให้รินลดา อัจฉริยา ที่กำลังพยายามข่มกลั้นอาการบาดเจ็บของตนเองไปช่วยเหลือไกรสรและอรอุมา ต้องหันกลับมายืนข้างปาริชาติ เพื่อเตรียมรับการโจมตีของกลุ่มบริวารโรหิณี ทั้งที่ปราณในร่างของรินลดา อัจฉริยา และปาริชาติ ยังไม่ฟื้นตัวถึงระดับที่จะใช้ในการต่อสู้ได้ จึงมีเพียงอนิตราเท่านั้นพร้อมรับสถานการณ์ แต่ขณะเดียวกันเด็กหญิงกลับยังขาดประสบการณ์ในโลกของผู้ทรงปราณทุกด้านไม่ ว่าจะเป็นการทำความรู้จักกับปราณตนเองหรือวิธีใช้ปราณในการต่อสู้ สภาพที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์ซึ่งผ่อนคลายไปชั่วขณะจากการสลายร่างของมิถุ กานารีที่ผ่านมา กลับเป็นความคับขันอีกครั้ง
“มิถุกานารีประมุขของท่านพ่ายแพ้แล้ว ร่างกายของนางสูญสลายเป็นธุลีจากพลังแห่งเทวนารีที่นางไม่สามารถควบคุมได้”
ปาริชาติ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นผู้นำบ้านคชสีห์โดยปริยาย ฝืนร่างลุกขึ้นยืนแล้วแจ้งสิ่งที่เกิดขึ้นต่อบริวารโรหิณีโยไม่ปิดบัง ยังผลให้เกิดเสียงอุทานระงมทั่ว
“ท่านประมุขพ่ายแพ้…เป็นไปไม่ได้”
“ปราณคชสีห์ ถึงกับชนะพลังน้ำแข็งนิรันดร์แห่งเทวนารี…”
“สิ้นท่านประมุข แล้วตระกูลโรหิณีพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป….”
…………..
…………..
ท่ามกลางเสียงแห่งความสับสน ผู้เฒ่าคุ้มกฎแห่งโรหิณีพลันส่งเสียงตวาดก้อง
“เราไม่เชื่อว่าท่านประมุขจะพ่ายแพ้…ศิษย์ท่านประมุขที่เหลืออยู่ทั้ง 6 จงนำบริวารแห่งโรหิณีทุกคนจงล้อมพวกมันเอาไว้…
คำสั่งของผู้มีอาวุโสสูงสุดในตระกูลโรหิณี ทำให้บริวารที่กำลังสับสนทั้งหมดขานรับคำสั่งพร้อมกัน แล้วกระจายตัวล้อมกลุ่มสมาชิกบ้านคชสีห์ไว้ โดยมีศิษย์สตรีฝาแฝดทั้งสามคู่ทำหน้าที่แบ่งแยกกำลังเป็นส่วนๆ รอรับคำสั่งของผู้เฒ่าคุ้มกฎ
“ก่อนที่ท่านจะโจมตี เราขอใช้ฐานะธิดาของหนึ่งในไตรบุปผา กล่าวกับสมาชิกแห่งตระกูลโรหิณีได้หรือไม่”
ปาริชาติพยายามระงับอาการบาดเจ็บของตนเอง และส่งเสียงหนักแน่นถามต่อผู้เฒ่าคุ้มกฎ ทำให้ผู้เฒ่าคุ้มกฏงงงันวูบหนึ่งก่อนตอบอย่างจริงจัง
“เราเชื่อในคำพูดของท่าน มิใช่ว่าเพราะท่านรู้เรื่องของตระกูลโรหิณี แต่เป็นเพราะเรารู้จักท่านสารภีแห่งไตรบุปผาดี หน้าตาของท่านที่มีส่วนเค้าหน้าของท่านสารภีอย่างเด่นชัดบอกให้เรารู้ว่า ท่านคือใคร ท่านจึงมีสิทธิ์ใช้กฏของตระกูลขอกล่าวถ้อยคำได้ แต่เราขอเรียนท่านไว้ก่อนว่า เราได้ตัดสินแล้วว่าท่านไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่ดำรงตำแหน่งประมุขโรหิณี เพราะท่านมิได้ฝึกปรือปราณราหู ถึงท่านจะมีสายเลือดแห่งประมุขและครอบครองคัมภีร์ปราณราหูก็ตาม”
ปาริชาติฝืนยิ้มให้ผู้เฒ่าคุ้มกฎ ก่อนหันไปกวาดสายตามองเหล่าบริวารโรหิณีที่จับจ้องมาเป็นตาเดียว
“เราหาได้อ้างสิทธิ์ในการครองตำแหน่งประมุขโรหิณีไม่ แต่เราอยากถามท่านว่าหากมีผู้ใช้ปราณราหูดูดกลืนปราณของประมุขแห่งโรหิณี จนประมุขแห่งโรหิณีสลายร่างไป ผู้ใช้ปราณราหูนั้นจะถูกลงโทษอย่างไร”
“มันผู้บังอาจทำร้ายท่านประมุขจะต้องถูกสังหารด้วยมหาทัณฑ์แห่งโรหิณี แต่คำถามของท่านเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะประมุขแห่งโรหิณีเป็นสตรีจึงไม่มีทางที่จะถูกดูดกลืนปราณได้”
“แล้วหากประมุขแห่งโรหิณีเป็นบุคคลที่มีเชื้อสายของเผ่าพันธ์บัณฑารีย์ผู้มีสองเพศในร่างเดียวล่ะ”
คำถามของปาริชาติทำให้เกิดเสียงอุทานอย่างลืมตัวในกลุ่มบริวารสตรีโรหิณี
“เรื่องของเผ่าพันธ์บัณฑารีย์ เป็นตำนานโบราณ เราไม่เชื่อว่าเผ่าพันธุ์นี้ยังมีอยู่ในโลก แต่หากท่านยืนยันที่จะถาม เราก็จำเป็นต้องตอบว่า ถ้าประมุขแห่งโรหิณีมีเชื้อสายของเผ่าพันธุ์บัณฑารีย์ และใช้ความเป็นชายในร่างร่วมเพศกับสตรีที่ฝึกปรือปราณราหูจนถูกดูดกลืนปราณจน สูญสลาย สตรีนางนั้นไม่มีความผิดตามกฏแห่งตระกูลโรหิณี ไม่มีใครสามารถลงโทษนางได้เพราะนางปฏิบัติตามวิถีแห่งการดูดกลืนปราณราหู”
ผู้เฒ่าคุ้มกฎตอบอย่างระมัดระวัง ขณะปาริชาติถามต่อ
“แล้วสตรีนางนั้นจะอ้างตำแหน่งประมุขแห่งตระกูลโรหิณีได้หรือไม่”
“ย่อมไม่ได้ เพราะตำแหน่งประมุขแห่งโรหิณีจะถ่ายทอดเฉพาะบุคคลในสายเลือด แต่หากสตรีนางนั้นเป็นทายาทของประมุขแห่งโรหิณี นางก็จะต้องเป็นประมุขคนต่อไปทันทีโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ท่านจะถามเรื่องนี้กับเราไปเพื่อสิ่งใด เพราะท่านมิใช่ผู้ฝึกปรือปราณราหู ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่สามารถเป็นประมุขแห่งโรหิณีได้ หรือท่านต้องการถ่วงเวลาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ หากเป็นเช่นนั้นเราจะยุติการวินิจฉัยกฏกับท่านเดี๋ยวนี้”
ผู้เฒ่าคุ้มกฎตอบคำถามปาริชาติด้วยสีหน้างุนงงในเบื้องต้นก่อนเริ่มเปลี่ยน เป็นความกราดเกรี้ยวรำคาญ เมื่อระลึกขึ้นได้ว่าปาริชาติไม่มีคุณสมบัติของประมุขแห่งโรหิณี แต่ปาริชาติกลับสั่นศีรษะช้าๆ ก่อนตอบ
“เรามิได้หมายถึงตัวเราเอง….สตรีนางนี้ต่างหากคือผู้ใช้ปราณราหูดูดกลืน ปราณของมิถุกานารีผู้สืบเชื้อสายจากเผ่าพันธ์บัณฑารีย์ บัดนี้นางคือผู้ทรงปราณราหูและครอบครองคัมภีร์ประจำตระกูลโรหิณี…ยิ่งไป กว่านั้น…”
ปาริชาติดึงร่างอนิตรามายืนอยู่ด้านหน้าและกล่าวเว้นจังหวะเพื่อบังคับให้บริวารแห่งโรหิณีทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
“นางคือธิดาของท่านเอื้องคำผู้เป็นทายาทลำดับสามแห่งไตรบุปผา….มีผู้ใดจะปฏิเสธสิทธิ์ของนางในฐานะประมุขแห่งโรหิณีหรือไม่”
“พี่เหมียว…”
อนิตราอุทานออกมาอย่างแตกตื่น แต่ถูกเสียงอื้ออึงของบริวารโรหิณีดังกลบไว้ทั้งหมด ขณะที่ผู้เฒ่าคุ้มกฏที่มีสีหน้ากราดเกรี้ยวรีบเดินเข้าหาอนิตราก่อนจับมือ ทั้งสองขึ้นมาเพื่อตรวจสอบปราณครู่ใหญ่ ก่อนหันกลับไปยังกลุ่มบริวารพร้อมกับส่งเสียงแฝงปราณดังสนั่นจนทุกคนหยุดคำ พูดและหันกลับมาให้จับจ้องผู้เฒ่าคุ้มกฏ
“เราได้ตรวจสอบแล้ว เด็กหญิงนางนี้มีปราณราหูของท่านมิถุกานารีที่ยังผสานไม่เสร็จสิ้น เป็นข้อยืนยันว่าทุกสิ่งที่สตรีผู้นี้บอกมาเป็นความจริง และเรายังได้พบว่าปราณดั้งเดิมของนางคือปราณเชื้อราหูแต่กำเนิดอันเกิดจาก การถ่ายทอดทางสายเลือดมิใช่การฝึกปรือภายหลัง เป็นปราณเฉพาะตัวของประมุขแห่งตระกูลโรหิณี ดังนั้นเราขอตัดสินว่า…..”
ผู้เฒ่าคุ้มกฎหยุดวาจาไว้กลางคัน และหันกลับมาตรงหน้าอนิตรา ทันใดก่อนที่เด็กหญิงจะตั้งตัว ร่างชราภาพของผู้เฒ่าคุ้มกฏก็ คุกเข่าลงกับพื้นและส่งเสียงดังกังวาน
“ผู้เฒ่าคุ้มกฎ บริวารแห่งตระกูลโรหิณีขอคารวะท่านอนิตราเทวี ประมุขสูงสุดแห่งตระกูลโรหิณี”
ท่ามกลางความตกตะลึงของอนิตา ผู้ซึ่งบัดนี้ถูกสถาปนาเป็นอนิตราเทวี บริวารแห่งตระกูลโรหิณีทั้งหมดพากันทรุดร่างลงคุกเข่ากับพื้นและเปล่งเสียง กึกก้องพร้อมกันเป็นเสียงเดียว
“เทิดทูลอนิตราเทวี รับใช้โรหิณีด้วยชีวิต”
อนิตราเทวีจับจ้องภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าด้วยความแตกตื่นโดยไม่สามารถทำ อะไรได้ ทำให้ผู้เฒ่าคุ้มกฏรีบลุกขึ้นมาคุกเข่าอยู่ข้างกายแล้วกระซิบเบาๆ
“ท่านประมุขโปรดมีบัญชากับบริวารแห่งโรหิณี”
วงหน้างามคมคายของเด็กหญิงซีดเผือก หันมาหาปาริชาติก่อนถามผ่านกระแสจิตอย่างตื่นๆ
‘พี่เหมียว…นิดจะทำอย่างไรดี’
ปาริชาติยิ้มให้ผู้เป็นน้องสาวอย่างอ่อนโยน
‘ท่านประมุขเข้าสู่โลกแห่งปราณแล้ว ไม่มีหนูนิดอีกต่อไป ท่านประมุขต้องทำสิ่งที่ควรทำ จงถามตนเองว่าท่านต้องการให้ตระกูลโรหิณีของท่านเดินทางไปในทิศทางใดและมี บัญชา เราแม้จะเป็นพี่สาวของท่านแต่เราก็มิได้สังกัดในตระกูลโรหิณี เราจึงไม่สามารถแนะนำสิ่งใดแก่ท่านได้’
อนิตรานิ่งไปชั่วขณะ ก่อนหันหน้าไปถามผู้เฒ่าคุ้มกฎ
“นิดสามารถสั่งการได้แต่ไหนล่ะ ท่านผู้เฒ่า”
“ท่านประมุขสามารถสั่งการได้โดยปราศจากข้อจำกัด แม้ท่านต้องการให้ทุกคนสังหารตนเอง ทุกคนก็จะตายพร้อมกันตามคำสั่ง นี่คือกฎแห่งตระกูลโรหิณี”
“ถ้าเช่นนั้น….”
อนิตราสูดลมหายใจลึกยาว หันไปยังบริวารโรหิณีที่ยังคงคุกเข่ารอฟังคำสั่งอยู่อย่างเงียบสงบ
“เราขอสั่งให้ตระกูลโรหิณีถอนตัวจากการรับใช้จักรราศี และร่วมกับตระกูลคชสีห์ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง”
สิ้นคำสั่งของอนิตราเทวี เสียงรับคำของบริวารโรหิณีกระหึ่มรับกึกก้อง
“ถอนตัวจากจักรราศี ร่วมสู้กับตระกูลคชสีห์….ท่านประมุขมีปฐมบัญชา บริวารน้อมรับด้วยชีวิต”
อนิตราเทวีหันมาถามผู้เฒ่าคุ้มกฎอีกครั้งด้วยน้ำเสียงลังเล
“ท่านผู้เฒ่า นิดจะสั่งอะไรเพิ่มเติมได้ไหม”
ผู้เฒ่าคุ้มกฎเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นประมุขอย่างงุนงง แต่ครู่เดียวใบหน้าที่เคยกราดเกรี้ยวของหญิงชราก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มด้วยความ เอ็นดูในประมุขตัวน้อย พร้อมส่งเสียงตอบอย่างอ่อนโยน
“ท่านประมุขสามารถสั่งการได้ทุกสิ่ง ตามแต่ปรารถนา บริวารแห่งโรหิณีจักปฏิบัติตามคำสั่งของท่านทุกประการ”
“ถ้าเช่นนั้นนิดขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาอาการบาดเจ็บให้ทุกคนในตระกูลคชสีห์ แล้วก็ช่วยทำความสะอาดบ้านของนิดให้หน่อยนะ…”
ผู้เฒ่าคุ้มกฎอมยิ้มน้อยๆ ขณะขานรับคำสั่งและรีบลุกขึ้นไปบัญชาการกลุ่มบริวารโรหิณี เพียงชั่วอึดใจความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มสตรีโรหิณีทุกคนแยกย้ายกันไป ดูแลอาการบาดเจ็บของสมาชิกบ้านคชสีห์ บางส่วนก็รีบขนย้ายเครื่องเรือนที่แตกหักเสียหายและนำเครื่องเรือนชุดใหม่ จากห้องอื่นมาจัดวางแทนที่อย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่นานนักแพทย์ของตระกูลโรหิณีก็พาพ่อเลี้ยงไกรสรและปาเกอยะซึ่ง ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นขึ้นไปที่ห้องชั้นบน โดยมีอรอุมาและพิมพ์มาดาติดตามขึ้นไปช่วยดูแล ขณะที่รินลดา อัจฉริยา และปาริชาติ ได้รับการดูแลเบื้องต้นจากแพทย์จนสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้และพยายามเดิน มาหาอนิตราเทวีที่กำลังสั่งการให้บริวารโรหิณีทำความสะอาดและซ่อมแซมประตู หน้าของบ้านคชสีห์
“พี่ริน พี่กิฟท์ พี่เหมียว อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
อนิตราเทวีเคลื่อนร่างวูบมายังกลุ่มรินลดาทั้งสามทันทีที่เห็นพี่สาวทุกคน เดินตรงเข้ามา พร้อมถามเร่งร้อนด้วยความกังวล รินลดายิ้มให้เด็กหญิงผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่อาณาจักรปราณอย่างอ่อนโยนก่อนตอบ เบาๆ
“พลังน้ำแข็งนิรันดร์รุนแรงยิ่งนัก อาศัยแพทย์สามัญเช่นแพทย์แห่งโรหิณียังไม่สามารรถฟื้นฟูร่างกายพวกเราได้ หรอก คงต้องรอให้พี่เอใช้ปราณรักษาแล้ว แต่ท่านประมุขไม่ต้องวิตกอันใดหรอก”
ใบหน้างามคมคายของอนิตราเทวีแสดงความงุนงงกับคำพูดของรินลดาที่ใช้ถ้อยคำของ ผู้ทรงปราณในการสนทนาแทนที่จะเป็นคำพูดปกติที่ใช้กันในบ้านคชสีห์
ทันใดนั้นกระแสจิตของปาริชาติก็ดังขึ้นในจิตเด็กหญิง
‘หนูนิด พวกพี่รู้ดีว่าหนูนิดมีปราณของเทวนารีจนสามารถสื่อสารทางจิตกับพวกพี่แต่ละ คนได้ แต่พวกพี่ตกลงกันตกลงกันแล้วว่าหนูนิดเป็นประมุขตระกูลซึ่งมีฐานะในอาณาจักร ปราณสูงกว่าพวกพี่ ดังนั้นหากต้องพูดกับหนูนิดต่อหน้าบริวารแห่งโรหิณี พวกพี่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำของผู้ทรงปราณกับหนูนิด แต่หากเมื่อใดที่พวกเราอยู่ด้วยกันตามลำพัง ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมสำหรับครอบครัวเรา..หนูนิดเข้าใจนะ”
อนิตราผงกศีรษะรับจิตของปาริชาติ ก่อนพยายามเรียบเรียงคำพูดของผู้ทรงปราณตอบ
“ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงพักผ่อนรอท่านไกรวิทย์ที่กำลังจะกลับมาเถอะ…เราจะจัดการสถานที่นี้เอง พวกท่านไม่ต้อง…..อะ…อะ…อะไรกัน”
ยังไม่ทันที่อนิตราเทวีจะกล่าวจบ กระแสปราณในร่างเด็กหญิงพลันเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงกระจายไปทั่วทุกจุดเส้น จนเด็กหญิงต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างบอบบางจะทรุดฮวบลงกับพื้นห้องและเริ่มปรากฏกลุ่มควันสีเทากระจาย ออกมาจากขุมขน
“ท่านประมุข…”
“รีบไปดูท่านประมุขเร็วเข้า…”
“เรียกแพทย์แห่งโรหิณีมาที่นี่เร็วเข้า”
เสียงร้องด้วยความตกใจของบริวารโรหิณีดังเซ็งแซ่ ขณะรินลดา อัจฉริยา และปาริชาติรีบประคองร่างอนิตราเทวีไว้ อัจฉริยาประกบฝ่ามือเข้ากับจักรวายุที่กลางหลังเพือ่ตรวจสอบปราณในร่างอนิ ตราเทวี ก่อนร้องบอกรินลดาและปาริชาติอย่างตกใจสุดขีด
“ปราณในร่างอนิตราเทวีกำลังแตกสลาย”