The Paradox บทที่ 3.3 ปราณราหู
The Paradox บทที่ 3.3 ปราณราหู
“อะ อะ อะไรนะ…”
ผมหัน ขวับไปมองเพื่อนรักร่วมแผนกพร้อมอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินคำถาม ที่ไม่ควรจะออกมาจากปากของนังเหมียว ขณะที่ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสายตาอันใหญ่จับจ้องตอบผมเขม็ง ด้วยแววตาที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งผมเองก็แยกไม่ถูกว่ามันเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวหรือ เสียใจกันแน่…
“ข้าถามแกว่าแกเป็นผู้ทรงปราณหรือ..วิธีที่แกส่ง พลังงานเข้ามารักษาแขนข้ามันบอกให้ข้ารู้ว่าแกต้องเป็นบุคคลในกลุ่มพิเศษที่ ทรงอำนาจเหนือคนทั่วไป และเรียกตัวเองว่าผู้ทรงปราณ…”
นังเหมียวถามย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากบุคลิกร่าเริงที่ผมเคยรู้จักมาก่อน ผมถอนใจยาวและพยักหน้ารับ
“ใช่ ..ข้าเป็นผู้ทรงปราณ แต่เหมียว ข้าอยากถามแกบ้างว่าแกรู้จักปราณได้อย่างไร”
แทน ที่นังเหมียวจะตอบ สีหน้าหญิงสาวที่ผมสนิทสนมมากที่สุดในคณะกลับซีดเผือก มือที่วางอยู่บนกระเป๋าเคลื่อนเข้าไปไปภายในช้าๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
“เอ..แกเป็นคนของจักรราศรีใด…”
ผม กลับเป็นฝ่ายตะลึงต่อคำถามที่นังเหมียวเอ่ยคำซึ่งผมได้ยินมาหลายครั้ง ระหว่างการต่อสู้ศัตรูที่ผ่านมา แต่เป็นคำซึ่งผมไม่เข้าใจและไม่มีใครเคยให้ความกระจ่างได้แม้กระทั่งพ่อครู คำแปงและคุณพ่อของผมก็ตาม อย่างไรก็ตามผมรู้ดีว่าจักรราศีต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายผมและน้องๆ ทุกคน ปราณคชสีห์ในร่างกระจายตัวอย่างรวดเร็วไปคุ้มครองทุกส่วนของร่างกาย ผมจะสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อควบคุมสติก่อนผนึกพลังที่ฝ่ามือแล้วถามกลับ
“เหมียว แกเป็นเพื่อนรักของข้า แต่ถ้าแกเป็นผู้เกี่ยวข้องกับจักรราศีที่ทำลายชีวิตของข้ามาโดยตลอด แกก็ต้องเป็นศัตรูที่ข้าไม่สามารถอยู่ด้วยได้ .. ถ้าแกต้องการสังหารข้าก็เชิญ ข้าพร้อมเสมอ แต่ข้าขอบอกแกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่สามารถฆ่าแกได้เพราะแกเป็นเพื่อนรักที่สุดของข้าในคณะ …เราแยกจากกันแบบนี้ต่างคนต่างไปจะได้ไหม…”
“แกไม่ใช่พวกจักราศรี…”
ยังเหมียวอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นสะท้าน ชักมือกลับออกจากกระเป๋าถือแล้วโถมร่างเข้ากอดผมไว้แน่นส่งเสียงสะอื้นเบาๆ..
“เอ… ข้าขอโทษ ข้าไม่ควรจะถามแกเลย..แต่ข้ากลัวเหลือเกินว่าแกจะเป็นหนึ่งในจักราศรีที่ตาม ทำลายข้าจนเหลือเพียงตัวคนเดียวอย่างนี้…..”
ผมนิ่งงันไปกับคำพูดนังเหมียว แต่ทำได้เพียงกอดร่างเพื่อนรักไว้เบาๆ และพยายามปลอบประโลม
“เหมียว..แกเล่าให้ข้าฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น จักรราศีคืออะไร แกเป็นใครทำไมถึงไปเป็นศัตรูกับมัน”
เหมียวยันร่างออกจากอ้อมแขนผม ก้มหน้าแล้วส่งเสียงเบาๆ
“เอ…แกขับรถพาเหมียว เอ๊ย ข้ากลับบ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะอธิบายทุกอย่างให้แกรู้…”
ผม พยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร แล้วเคลื่อนรถออกจากคณะเพื่อไปส่งนังเหมียวที่บ้านย่านพุทธมณฑล โดยที่นังเหมียวคอยบอกทางให้ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตลอดเวลา แต่เมื่อผมขับไปบนถนนพุทธมณฑลที่แทบจะไร้ผู้คนนังเหมียวก็บอกให้หยุดและสั่ง ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยที่แทบจะมองไม่ออกว่าเป็นถนนเพราะมีแต่หญ้าขึ้นปกคลุม เต็มไปหมด ผมขับรถบุกป่าหญ้าเข้าไปจนถึงหมู้ต้นไม้ใหญ่รกครึ้ม นังเหมียวก็ชี้ให้ผมขับผ่านต้นมะขามใหญ่สองต้น และเลื่อนมือเข้าไปในกระเป๋า เบื้องหน้าเป็นต้นไทรมหึมาขวางอยู่แต่ก่อนที่ผมจะถามเส้นทางผมก็ต้องอุทาน ออกมาเมื่อต้นไทรนั้นกลับเลือนหายไปราวกับภาพมายาเผยให้เห็นบ้านสองชั้นขนาด ใหญ่ทรงปั้นหยาสมัยรัชกาลที่ 5 ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่ทอดใบปกคลุมตัวบ้านไว้แทบทั้งหมดนัง เหมียวชี้ให้ผมไปจอดรถที่ข้างตัวอาคาร โดยไม่อธิบายสิ่งใด แล้วออกจากรถไปที่ประตูบ้านเพื่อกดกริ่งแล้วยืนรอผมเงียบๆ
“เหมียว..นี่บ้านแกหรือ…..”
ผมถามเบาๆ เมื่อเดินตามมายืนข้างๆ ขณะนังเหมียวส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“ก่อน นี้มันไม่ใช่บ้านเหมียวหรอก มันเป็นห้องทดลองของคุณพ่อ แต่หลังจากคุณพ่อตายไป เหมียวต้องย้ายมาอยู่ที่นี่กับลุงสิทธิ์ คนสนิทเก่าแก่ของคุณพ่อ เพื่อหลบหนีการตามล่าของจักรราศี”
ก่อนที่ผม จะถามสิ่งใดเพิ่มเติม ประตูเบื้องหน้าก็เปิดออกพร้อมร่างชายชราแก่ผมขาวทั่วศรีษะยืนอยู่ ใบหน้าเหี่ยวย่นแสดงความประหลาดใจเมื่อเห็นผม
“คุณหนูกลับมาแล้ว..แล้วนี่… ”
“เพื่อนเหมียวเอง คุณลุงไม่ต้องกังวล เขาเป็นผู้ถูกจักรราศีทำร้ายเหมือนกัน”
ชาย ชรายักหน้ารับ แววตาทอประกายเห็นใจเลือนราง ขณะหันหลังกลับเปิดมทางให้ผมและนังเหมียวเข้าไปในบ้าน แล้วกดสวิทซ์ไฟข้างประตู ภาพที่ปรากฏให้ผมอดอุทานออกมาเบาๆไม่ได้..
ห้อง โถงใหญ่เบื้องหน้าสว่างจ้าด้วยแสงไฟฟ้า ทำให้เห็นชั้นหนังสือมหึมาที่สุดที่ผมเคยเห็นมาในชีวิตตระหง่านล้อมผนังห้อง โถงทั้งสี่ด้าน กลางห้องโถงบันไดไม้สักขนาดใหญ่ทอดตัวเวียนขึ้นไปชั้นสอง ทุกสิ่งดูสะอาดเอี่ยมขัดต่อสภาพเก่าแก่ภายนอกของบ้านอย่างสิ้นเชิง นังเหมียวเดินนำผมขึ้นบันได้ไปยังชั้นบนที่ทุกด้านมีแต่ชั้นหนังสือเรียงราย ตามทางเดินยาวเหยียด ก่อนหยุดที่หน้าชั้นหนังสือหนึ่งแล้วดึงสันหนังสือออกมาเบาๆ ทำให้เกิดเสียงกลไกเคลื่อนไหวขณะที่ชั้นหนังสือยุบตัวลงเปิดเป็นประตูเข้า สู่ห้องที่ซ่อนไว้เบื้องหลัง
“เอ..เข้ามาสิอย่ามัวแต่งง คุณลุงไม่ต้องห่วงเหมียวนะ ”
นัง เหมียวบอกผม พร้อมหันไปพูดกับชายชราที่ตามมถึงหน้าห้อง ก่อนที่จะพยักหน้าให้ผมตามเข้าไป แล้วกดปุ่มด้านข้างประตูทำให้ชั้นหนังสือเลื่อนกลับขึ้นมา ทิ้งให้ผมอยู่กับนังเหมียวในความมืดสองต่อสอง
เสียงกริ๊กดังขึ้นความ มืด พร้อมแสงสว่างเรืองรอง ทำให้ผมพบว่ากำลังอยู่ในห้องขนาดเล็กที่ปราศจากชั้นหนังสือเรียงรายเหมือน ภายนอก แต่บนผนังตรงข้ามประดับด้วยภาพถ่ายชายหญิงคู่หนึ่ง ด้านซ้ายเป็นเตียงนอนหนานุ่มและโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่มีตำราคอมพิวเตอร์วาง กองระเกะระกะ ส่วนด้านขวาเป็นตู้ไม้หนาหนักที่เปิดอ้าให้เห็นเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ภายใน ลักษณะที่ปรากฏทำให้ผมรู้ในทันทีว่านี่คือห้องส่วนตัวของนังเหมียว
“เอ..รอที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวเหมียวจะเอาอะไรมาให้ดู”
นัง หเมียวชี้มือไปที่ชุดเก้าอี้พักผ่อนกลางห้อง แล้วหันกลับเดินไปที่ห้องเล็กๆ ด้านใน แต่แทนที่ผมจะนั่งลงผมกลับเดินไปหยุดดูรูปชายหญิงที่แขวนอยู่บนผนังตรงข้าม ด้วยความสนใจ เพราะภาพของชายผู้นั้นดูคุ้นตาผมอย่างประหลาด ..สมองผมพยายามทบทวนความทรงจำครู่ใหญ่และทำให้ผมต้องร้องออกมาเมื่อจำได้ว่า เเป็นรูปของผู้ใด…
“ดร.หวังปิง…..”
“ถูกแล้ว…นี่คือ ดร.หวังปิง นักฟิสิกส์ชาวจีนผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์และแต่งตำราให้พวกเราได้เรียนกันจนทุกวันนี้”
เสียงนังเหมียวดังขึ้นข้างตัวทำให้ผมต้องหันไปมองเพื่อนรักร่วมคณะ แล้วถามอย่างประหลาดใจ
“แล้วทำไมถึงมีรูป ดร.หวังปิงที่นี่ เขาเกี่ยวข้องยังไงกับแกวะเหมียว..”
นังเหมียวถอนใจยาว ยกมือขึ้นลูบกรอบรูปเบื้องหน้า
“ดร.หวังปิงคือพ่อของเหมียวเอง..และนี่คือภาพคุณแม่”
ผม เบือนสายตาไปตามมือนังเหมียวเพื่อพบภาพถ่ายของหญิงสาววัยไม่เกิน 20 ปี ที่มีความงามอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้ารูปไข่ดวงตายาวเรียวที่มีแววเศร้าเลือนราง และริมฝีปากได้รูปประกอบเป็นภาพสตรีที่ดูราวกับจะเป็นภาพเขียนจากจินตนาการ จิตรกรฝีมือเยี่ยมมากกว่าจะมีตัวตนจริง แต่แล้วผมก็ต้องหันขวับมาหานังเหมียวทันทีเมื่อนึกถึงข่าวสะเทือนวงการวิทยา ศาสตร์เมื่อสองปีก่อน ซึ่ง ดร.หวังปิงเสียชีวิตพร้อมลูกสาวในเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านพักใจกลางกรุงเทพ
“เหมียว. นี่หมายความว่า ดร.หวังปิงถูกจักรราศีฆ่าใช่ไหม….”
นังเหมียวพยักหน้ารับ แล้วยื่นกระดาษบางๆ สองแผ่นที่เก่าคร่ำคร่ามาให้ผม
“เอ…อ่านจดหมายนี้ก่อน…แล้วเหมียวจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”
ผม รับกระดาษที่นังเหมียวบอกว่าเป็นจดหมายมา แล้วหันกลับมาตามแรงดึงของนังเหมียวที่ดึงแขนผมให้นั่งลงบนโต๊ะทำงาน ที่มีสมุดโบราณหนาหนักจัดวางอยู่ ผมอดสะท้านใจไม่ได้เมื่อเห็นตัวอักษรที่จารึกอยู่บนปกสมุด
“คัมภีร์แห่งปราณราหู ”
ผม อ่านตัวอักษรเบาๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่ง สมองระลึกไปถึงเนื้อความที่จารึกในคัมภีร์ปราณของบ้านคชสีห์ที่มีการเอ่ยถึง ปราณราหูไว้อย่างคร่าวๆ
“ปราณ ราหูเป็นปราณฝ่ายมืดที่มุ่งดูดกลืนปราณอื่นเพื่อหลอมละลายเป็นปราณของตนเอง มีรูปแบบไม่แน่นอนตามแต่ลักษณะของปราณที่ถูกดูดกลืน แต่มีจุดร่วมที่เป็นปราณอ่อนหยุ่นและเย็นเยียบถึงขีดสุด ถูกขนานนามเป็นหนึ่งในสองปราณลี้ลับของโลกคู่กับปราณคชสีห์ แต่ไม่มีผู้รู้ถึงวิธีการฝึกรูปแบบการถ่ายทอดปราณ มีเพียงข้อสัณณิษฐานว่าอาจมีการสืบทอดผ่านสายเลือดเช่นเดียวกับปราณคชสีห์ ผู้ทรงปราณราหูปรากฏครั้งสุดท้ายในห้วงกบฏล้มล้างบัลลังค์สมเด็จพระชัยเชษฐา แห่งอาณาจักรล้านนา และไม่เคยปรากฏอีกเลยจนเชื่อว่าน่าจะสาบสูญจากการถ่ายทอดไปแล้ว”
“เอ อ่านภาษาโบราณได้ด้วยหรือ…”
นัง เหมียวถามเบาๆ ด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล้กน้อยที่ได้ยินผมออกเสียงคำที่จารึกหน้าปกสมุดโบราณ ผมผงกหัวรับก่อนทรุดตัวลงเปิดกระดาษในมือออกอ่าน
26 กุมภาพันธ์ 2509
ลูกแมวลูกเหมียวของแม่
เมื่อ ลูกทั้งสองได้อ่านจดหมายฉบับนี้ก็หมายความว่าแม่ได้จากลูกทั้งสองไปแล้ว หลังจากแม่คลอดลูกเหมียวเมื่ออาทิตย์ก่อน แม่ก็รู้ดีว่าร่างกายของแม่ไม่สามารถต่อสู้ความเสื่อมของร่างที่เกิดจากการ ครอบครองปราณราหูได้อีกแล้ว พลังชีวิตของแม่กำลังมอดดับลงอย่างรวดเร็วแม้ความพยายามของพ่อที่ใช้วิทยา ศาสตร์สมัยใหม่เข้าช่วยจนแม่สามารถยืดอายุมาได้ถึง 18 ปี ก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือแม่ได้อีกต่อไป แต่แม่ต้องรีบเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงลูกทั้งสองเพื่อบอกให้รู้ว่าแม่รักแมว และเหมียวด้วยชีวิของแม่และไม่ยอมให้ลูกทั้งสองต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน กับแม่อีกต่อไป สิ่งที่แม่จะเล่าให้ลูกรับรู้ต่อไปนี้คือความลับที่ไม่มีใครเคยรับรู้แม้แต่ พ่อของลูกทั้งสอง
ก่อนที่แม่จะเล่าทุกสิ่งให้ลูกฟัง ลูกต้องรับรู้ไว้ก่อนว่าโลกของมนุษย์ที่ลูกอาศัยอยู่นั้น เป็นโลกที่อยู่ในความควบคุมจัดการของเทพเจ้าเบื้องบน ผ่านการดูแลของผู้ทรงปราณอันเป็นกลุ่มมนุษย์ที่สามารถเปิดจักรทั้งสี่ในร่าง กายจนสามารถใช้พลังปราณในตนเองเสริมสร้างจิตวิญญานและป้องกันตนเองจากศัตรู ปราณแห่งมนุษย์มีหลายร้อยรูปแบบ แต่มีปราณเพียง 12 แนวทางเท่านั้นที่ถ่ายทอดมาในตระกูลแห่งเทวะดาราที่ขนานนามตามจักรราศรี แม่เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลโรหิณี อันเป็นตระกูลแห่งราศีเมถุนผู้ทรงปราณราหู และได้รับถ่ายทอดสลักราหูจากท่านยายของลูกเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ตำแหน่งเทวะ ดารา ก่อนอายุ 15 ปี
จักรราศีประกอบไปด้วยสตรี 12 นางที่ทรงความงามเป็นเลิศ สืบทอดปราณแห่งตระกูลทั้ง 12 ทำหน้าที่ปกป้องแสงสว่างในโลก ทำลายมารแห่งความมืดตามบัญชาแห่งเทวะมาแต่โบราณกาล โดยมีเทวะนารีแห่งแสงสว่างนามสุรัสวดีเป็นองค์ประธาน ตระกูลโรหิณีของแม่ปกป้องแสงสว่างตามบัญชาเทพมาโดยปราศจากความผิดพลาด และปราณราหูของตระกูลที่ควรจะต้องถือเป็นปราณแห่งความมืด กลับได้รับยกย่องให้อยู่คู่กับปราณทั้ง 12 ก็จากการรับใช้ทวยเทพอย่างเต็มกำลังตลอดมานี่เอง
เมื่อแม่อายุ 7 ปี แม่ก็ได้รับการถ่ายทอดสลักราหูจากท่านปู่ด้วยวิธีโบราณที่ถูกบันทึกไว้ใน คัมภีร์ปราณราหู และเริ่มสร้างพลังหลอมปราณอันเป็นหัวใจของปราณราหูจนแม่อายุได้ 14 ปีก็ถึงกำหนดที่จะต้องดูดรับปราณจากผู้ทรงปราณที่เข้มแข็งเพื่อชักนำปราณภาย นอกมาหลอมละลายเป็นปราณราหูที่แท้จริงต่อไป ซึ่งแม่ถูกส่งไปแฝงตัวเป็นผู้รับใช้ของสำนักฟ้าดินในประเทศจีน เพื่ออาศัยความงามชักนำให้ประมุขแห่งสำนักฟ้าดินหลงรักและร่วมเพศ เพื่อที่แม่จะได้ใช้พลังหลอมปราณดึงดูดปราณฟ้าดินอันเข้มแข็งมาเป็นของตนเอง ซึ่งทุกสิ่งก็น่าจะเป็นไปด้วยดีเพราะเพียงได้เห็นความงามของแม่ทำให้ประมุข แห่งสำนักรีบรับตัวแม่เข้าไปทันที แต่ก่อนที่แม่จะมีโอกาสร่วมรักและส่งสลักราหูเข้าสู่ร่างประมุข เพื่อเป็นเชื้อเตรียมดูดรับพลังปราณ น้องสาวของแม่ซึ่งติดตามไปด้วยก็ทำร้ายแม่จนสลบพื่อแฝงตัวเข้าดูดรับปราณฟ้า ดินไปแทน และเมื่อสามารถดูดรับปราณทั้งหมดได้สำเร็จก็นำร่างแม่ไปถ่วงน้ำเพื่อกำจัด แม่ออกจากตระกูลตลอดไป
แต่ชะตาทำให้แม่หลุดพ้นจากพันธนาการและสามารถ หนีออกมาได้ แต่แม่ก็ต้องต้องเผชิญชะตากรรมปราณแตกดับหากไม่สามารถถ่ายสลักราหูไปได้ก่อน อายุ 15 ปี ซึ่งถึงกำหนดในวันนั้น แม่หนีมาบนถนนและถูกคุณพ่อของลูกที่อยู่ในระหว่างการเดินทางมาเที่ยวประเทศ จีนพบ ทำให้แม่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอให้คุณพ่อของลูกร่วมรักกับแม่ทันที เพื่อปลดปล่อยสลักราหูออกจากร่าง ทั้งที่รู้ว่าการร่วมรักกับผู้ไร้ปราณแม้จะทำให้แม่รอดพ้นจากสภาพปราณแตกดับ แต่แม่ก็จะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้เกิน 3 ปี
แม่มารู้ทีหลังว่าคุณพ่อ ของลูกเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ซึ่งแม้จะไม่รู้ถึงสาเหตุที่แม่ยอมมอบความบริสุทธิ์ให้ในทันทีที่พบหน้า แต่คุณพ่อของลูกก็รักแม่และนำแม่เดินทางออกมาจากจีนอย่างลับๆ และใช้ชีวิตอยู่กับแม่ที่อเมริกาจนแม่คลอดน้องแมว พวกเราจึงเดินทางมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งแม่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของตระกูลโรหิณีอย่างลับๆ และต้องรับรู้ด้วยความทุกข์ว่าน้องสาวแม่กลับเป็นประมุขของตระกูลทั้งที่ เป็นผู้แย่งชิงตำแหน่งไปจากแม่ยิ่งไปกว่านั้นแม่ยังได้รับรู้ถึงความเปลี่ยน แปลงในจักรราศีที่ดูหมือนจะละทิ้งความถูกต้องเที่ยงธรรรมไปอย่างสิ้นเชิง และกลับมุ่งกำจัดศัตรูโดยไม่คำนึงถึงวิธีใช้ ทำให้แม่ไม่กล้าเปิดเผยตัวเพราะเกรงจะนำอันตรายมายังครอบครัวเรา จนมีน้องเหมียวเมื่อเดือนที่ผ่านมา แม่จึงรู้ว่าชีวิตของแม่กำลังใกล้สิ้นสุดแล้ว แม้คุณพ่อของลูกจะพยายามใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ช่วยเหลือแม่อย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้แม่ฟื้นฟูปราณชีวิตขึ้นมาได้
สิ่งที่แม่อยาก บอกลูกที่สุดก็คือให้ลูกลืมทุกสิ่งที่เกิดกับแม่เสีย อย่านำตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาณาจักรของผู้ทรงปราณ เพราะนั่นจะนำลูกไปสู่อันตรายอันใหญ่หลวง จงใช้ชีวิตของลูกอย่างคนธรรมดา เพื่อตัวของลูกเอง และหากลูกบังเอิญได้พบบุคคลในตระกูลโรหิณีก็จงหลีกหนีไปให้ไกลที่สุด เพราะน้องสาวของแม่จะไม่ยอมละเว้นชีวิตของลูกทั้งสองอย่างแน่นอน เนื่องจากแม่เป็นผู้ซุกซ่อนคัมภีร์แห่งปราณราหูเอาไว้ในถ้ำลับก่อนเดินทางไป จีน ทำให้น้องสาวของแม่ไม่สามารถค้นพบ และไม่สามารถฝึกลมปราณชั้นสูงสุดว่าด้วยการสลายปราณได้ หากปราศจากแนวทางสลายปราณผู้ฝึกปรือจะประสบชะตากรรมปราณแตกดับก่อนอายุ 20 ปี แม้จะได้รับปราณจากผู้ทรงปราณมาแล้วก็ตาม ดังนั้นลูกต้องเก็บรักษาคัมภีร์เล่มนี้ไว้เพื่อมอบให้ผุ้สืบต่อตระกูลโรหิณี แต่นั่นต้องเป็นห้วงหลังจากจักรราศีสิ้นอำนาจลงแล้วเท่านั้น
อย่าลืมคำของแม่…จงใช้ชีวิตเช่นคนธรรมดา และจงจำไว้เสมอว่าแม่รักลูกทั้งสองเท่าชีวิต
————————————
ผม เงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษสีน้ำตาลเก่าคร่ำคร่าเบื้องหน้าด้วยความงุนงงและ ประหลาดใจ เนื้อหาบางส่วนของจดหมายเปิดเผยถึงการคงอยู่กลุ่มผู้ทรงปราณลึกลับที่ผมเคย ได้ยินชื่อระหว่างการต่อสู้กับศัตรูที่ถูกส่งมาทำร้าย บางทีกลุ่มผู้ทรงปราณที่จดหมายระบุชื่อว่าจักรราศรี อาจเป็นกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมมาโดยตลอด
สายตา นังเหมียวเพื่อนรักร่วมภาควิชายังคงจับจ้องผมตลอดเวลาที่ผมอ่านจดหมาย แล้วยื่นมือมารับจดหมายไปจากผมเมื่อเห็นว่าผมอ่านเนื้อความทั้งหมดเสร็จสิ้น ลง
” เอ…แกเข้าใจแล้วใช่ไหม”
นังเหมียวถามขึ้น ขณะที่ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับ แล้วเอ่ยถามเบาๆ
“นี่หมายความว่าแกเป็นสายเลือดของตระกูลผู้ใช้ปราณราหู แต่กลับถูกตามล่าเพื่อตามหาคัมภีร์เล่มนี้”
นังเหมียวผงกศีรษะรับแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผม
“หลัง จากท่านแม่เสียชีวิต คุณพ่อก็เลี้ยงดูเหมียวและพี่สาวมาตลอด และพยายามกันพวกเราจากการเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาณาจักรของผู้ทรงปราณ แต่คุณพ่อก็ยังคงใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความร่วมมือกับเพื่อนๆ ชาวจีนที่มีความรู้เรื่องปราณคิดค้นหาทางสร้างเครื่องป้องกันการโจมตีจาก ปราณไปพร้อมกัน แต่โชคร้ายที่เมื่อสองปีก่อน คุณพ่อพาพี่แมวไปงานปาฐกถาทางวิชาการ ทำให้หน้าตาพี่แมวที่คล้ายคุณแม่ถูกถ่ายภาพไปลงในหนังสือพิมพ์ และไม่นานหลังจากนั้นบ้านพักของเราก็ถูกโจมตีโดยกลุ่มผู้ทรงปราณ พวกมันทำร้ายคุณพ่อและพี่แมวจนตายแล้วเผาบ้านทั้งหลังทิ้ง แต่การสืบสวนกลับถูกระงับไปโดยตำรวจไทยที่อ้างว่าเป็นอุบัติเเหตุ ทั้งที่มีพยานเห็นว่ามีคนบุกเข้าไปในบ้าน แต่พยานคนนั้นก็ถุกฆ่าปิดปากในเวลาต่อมา ตอนนั้นเหมียวขอคุณพ่อมาค้นคว้าข้อมูลที่บ้านหลังนี้ ทำให้รอดพ้นการถุกฆ่ามาได้ และคุณลุงสิทธิ์ก็สวมชื่อเหมียวแทนลูกสาวของคุณลุงที่เสียชีวิตพร้อมกับคุณ พ่อและพี่แมวในวันเดียวกัน และพาเหมียวหลบมาอยู่ที่บ้านนี้โดยไม่มีใครรู้”
นัง เหมียวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ผมฟัง ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ทำให้ผมเข้าใจในทันทีถึงปฏิกิริยาของนังเหมียวที่เห็นผมใช้ปราณรักษาอาการ บาดเจ็บ ผมเอื้อมมือไปจับมือนังเหมียวบีบกระชับแน่น
” เหมียว แกไม่ต้องกลัวนะ…ข้า..เอ้อ..เราจะคุ้มครองเธอเอง…”
นังเหมียวเงยหน้าขึ้นสบตาผมแล้วถามอย่างจริงจัง
“เอ…แก เอ้อ…เอเล่าเรื่องของเอให้เหมียวฟังได้ไหม”
ผม รู้สึกขัดหูเล็กน้อยกับคำสรรพนามที่ใช้เรียกระหว่างผมกับนังเหมียวเปลี่ยนไป จากเดิม แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นคำสรรพนามที่เหมาะสมกับบรรยากาศการสนทนาในปัจจุบัน มากกว่าการใช้สรรพนามเอ็งข้าที่เคยใช้มาโดยตลอด
ผมเริ่มเล่าเรื่อง การต่อสู้ขึ้นระหว่างผมกับศัตรูในห้วงที่ผ่านมา พร้อมกับข้อสันนิษฐานถึงความเกี่ยวพันระหว่างศัตรูกับกลุ่มผู้ทรงปราณในนาม จักราศรี รวมทั้งอธิบายความเป็นมาของปราณคชสีห์ให้เหมียวฟังอย่างละเอียด แต่ละเว้นเรื่องที่กองคำใช้อำนาจของปราณจักรวาลในร่าง นำผมย้อนเวลากลับมาในอดีต เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่ต้องการให้ใครรับรู้นอกจากคนในครอบครัวเท่านั้น ตลอดเวลาเหมียวนิ่งฟังอย่างตั้งใจและเอ่ยปากซักถามขัดจังหวะในบางช่วงที่ สงสัย จนในที่สุดผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดจบลง
“เอ..เหมียวอยากรู้ว่าปราณคชสีห์นี่ฝึกอย่างไร แล้วเหมียวจะฝึกบ้างได้ไหม”
ผมส่ายหน้าช้าๆ
“เหมียว อย่าลืมนะว่าในจดหมายของคุณแม่เหมียว ขอไว้ชัดเจนให้เหมียวอยู่ห่างจากอาณาจักรปราณ”
เหมียวหันขวับมาจ้องตาด้วยแววตาแค้นเคือง
“จะ ให้เหมียวทำตามได้ยังไง ในเมื่อพี่แมวที่ไม่เคยฝึกปราณก็ต้องเสียชีวิตไปโดยไม่มีโอกาสป้องกันตัวเลย เอจะให้เหมียวต้องอยู่ในสภาพเดียวกันหรือ”
ผมดึงร่างบอบบางในชุดรุ่มร่ามของเพื่อนรักมากอดไว้เบาๆ เพื่อให้สงบสติอารมณ์
“เรา รู้ ถ้าเราสามารถถ่ายทอดให้เหมียวได้เราจะไม่ลังเลเลย แต่ก็อย่างที่เราเล่าให้เหมียวฟังไปแล้วว่าปราณคชสีห์เป็นปราณฝ่ายมืดที่ ถ่ายทอดผ่านบุคคลในสายเลือด แม้ว่าในเวลาต่อมาเราจะสามารถปรับให้ปราณคชสีห์สามารถถ่ายทอดสู่คนภายนอกได้ แต่มันก็ยังคงมีข้อจำกัดที่ต้องถ่ายทอดผ่านการร่วมรักกับเด็กหญิงพรหมจรรย์ ที่มีปราณธรรมชาติแต่กำเนิดและมีอายุไม่เกิน 15 ปี ดังนั้นแม้ว่าเหมียวเป็นผู้มีปราณธรรมชาติที่เข้มแข็งที่สุดที่เราเคยพบ และไม่เคยร่วมรักมาก่อน แต่เหมียวอายุเกิน 15 ไปมากแล้ว ไม่มีทางที่เราจะถ่ายทอดปราณให้เหมียวได้เลย… ”
ร่างบอบบางของ เหมียวสั่นระริกในอ้อมแขนผมเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเล่าให้ฟัง แต่ก่อนที่ผมจะอธิบายต่อเหมียวก็ดันตัวออกจากอ้อมแขนและหันมานั่งตรงข้ามผม
“เอมีเงือนไขสามข้อเท่านั้นใช่ไหมในการถ่ายทอดปราณ..”
ผมสบตาที่ทอแววเป็นประกายของเหมียวอย่างุนงงแต่ยังคงพยักหน้ารับ ขณะที่เหมียวเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้อ แรกคือต้องเป็นผู้มีปราณธรรมชาติ ข้อนี้เหมียวมีแน่นอนจากคำยืนยันของเอ ข้อที่สองต้องเป็นพรหมจรรย์ ข้อนี้เหมียวยืนยันด้วยตัวเองว่าเหมียวไม่เคยเย็ดกับใครทั้งสิ้น ส่วนข้อที่สามเรื่องอายุ เอลองดูในจดหมายของคุณแม่อีกทีสิ…”
ผมสบตาเหมียวอย่างแปลกใจแต่ก็หยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาดู สายตาผมกวาดไปที่บันทักแรกและหยุดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนร้องออกมา
“เหมียวเกิดเมื่อ พ.ศ.2509 ปีนี้ปี พ.ศ. 2523..นี่หมายความว่า… ”
เหมียวพยักหน้ารับ
“ใช่แล้ว..เหมียวอายุ 14 ปี 8 เดือน…สอดคล้องกับเงื่อนไขของเอหรือไม่…”
“เหมียว เรางงไปหมดแล้ว นี่เหมียวอยู่ปีสองในมหาวิทยาลัยนะ จะอายุ 14 ปีได้ยังไง.. ”
ผมร้องอุทานออกมา ขณะที่เหมียวยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
“เหมียว บอกเอไปแล้วไงว่าเหมียวสวมชื่อลูกสาวคุณลุงสิทธิ์ที่เป็นเพื่อนของพี่แมว ตอนที่เสียชีวิตลุกสาวคุณลุงอายุ 16 ปี เหมียวใช้หลักฐานการศึกษาของพี่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัย…แล้วเอก็ไม่ต้องถาม นะว่าทำไมเหมียวถึงมีความรู้พอที่จะสอบเข้าได้ ”
ผมพยักหน้ารับอย่าง จำนน เพราะรู้ดีถึงระดับความฉลาดของเพื่อนรักคนนี้ ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าเหมียวเป็นลูกสาวของนักวิทยาศาาสตร์ชื่อก้องโลกอย่าง ดร.หวังปิง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเหมียว และยิ่งเด้กหญิงสวมใส่เสื้อผ้ารุ่มร่ามแบบที่ใช้ประจำ ยิ่งทำให้ไม่มีผู้ใดสังเกตได้ถึงความผิดปกติ นอกจากจะเห็นไปว่าเป็นเด็กสาวที่รูปร่างเล็กคนหนึ่งเท่านั้น
“แล้วนี่เหมียวจะให้เรา…..”
“ใช่ เหมียวขอให้เอเย็ดและให้ปราณคชสีห์กับเหมียว”
ผม พยายามเปล่งคำพูดออกมาอย่างยากเย็น แต่นังเหมียวกลับสอดขึ้นมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาราวกับว่าการร่วมรักเป็น เรื่องธรรมดาที่ปฏิบัติประจำวัน
“ทำไม…เอรังเกียจเหมียวเหรอ..เหมียวไม่สวยพอที่จะให้เอเย็ดใช่ไหม”
เสียง เด็กหญิงที่ผมเพิ่งรับรู้อายุแท้จริงดังขึ้น แต่แฝงความน้อยใจไว้จนรู้สึกได้ ผมสบตาเหมียวแน่วนิ่ง ใบหน้ารูปไข่ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้แว่นสายตาหนาเตอะ ทรงผมกระเซอะกระเซิง ผิวหน้าที่จรุขระไปด้วยรอยสิวกระจายทั่วจนแทบไม่เห็นผิวเนื้อที่แท้จริง ทำให้เป็นใบหน้าที่ห่างไกลจากความงามอย่างที่สุด แต่นี่ก็คือร่างเพื่อนรักที่ผมผูกพันมาตลอด 1 ปีและบัดนี้ก้กำลังตกอยู่ใสภาพที่มีศัตรูร่วมกันอีก ผมถอนใจยาวแล้วดึงร่างบอบบางของเพื่อนรักมากอดไว้
“ไม่หรอก เรายินดี…เราเพียงแต่อยากให้เหมียวตัดสินใจให้ดีก่อนว่าจะมอบความสาวให้เราจริงๆ หรือ”
ใบหน้าเหมียวซุกอยู่กับหน้าอกผม ขณะส่งเสียงแผ่วเบาขึ้นมาให้ผมได้ยิน
“ถ้า เป็นคนอื่นเหมียวไม่ยอมให้หรอก แต่นี่เป็นเอที่เป็นเพื่อนรักที่สุดของเหมียว และเหมียวเองก็ยอมรับว่ารักเอมาตลอด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเอคงไม่สนใจเหมียวหรอก…”
ผมก้มลงจูบเรือนผมกระเซอะกระเซิงเบาๆ
“เหมียว เป็นเพื่อนรักเรานะ…เรายอมรับว่าเราไม่เคยเห็นเหมียวเป็นผู้หญิง แต่บอกได้เลยว่าเรารักเหมียวเช่นกัน เราไม่ได้รักที่รูปร่างหน้าตาของเหมียวแต่เรารักเหมียวที่จิตใจ และพร้อมที่จะดูแลเหมียวไปตลอดชีวิต ถ้าเหมียวไม่รังเกียจว่าเรามี…เอ้อ…”
คำพูดผมสะดุดไปเมื่อนึกถึง น้องรินน้องกิฟท์ที่เป็นภรรยาของผมอย่างสมบูรร์ รวมทั้งน้องพราวที่ผมเพิ่งรับความสาวเมื่อบ่ายและน้องแพรวซึ่งกำลังจะเข้ามา ในชีวิตผมอีกคนในคืนนี้ แต่เหมียวกลับหัวเราะออกมาเบาๆ
“เอจะพูดถึงน้องรินน้องกิฟท์ใช่ไหม….”
ผมพยักหน้าและพยายามอธิบาย
“คืออย่างนี้นะ น้องรินกับน้องกิฟท์อยู่บ้านเดียวกับเรา และ…”
“เป็นเมียของเอทั้งสองคน…ไม่ต้องอายหรอกเหมียวรู้มาตั้งนานแล้ว..”
“เหมียว…เหมียวรู้ได้ยังไง”
ผมอุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหู ขณะที่เหมียวยิ้มรับสบตาผม
“เอ ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีใครรู้นอกจากเหมียว บางทีคงเป็นพราะเหมียวรักเอมั๊ง เหมียวเลยคอยสังเกตปฏิกิริยาของเอเวลาน้องรินน้องกิฟท์มาหา ท่าทีและแแววตาของเอที่มีกับทั้งสองคนทำให้เหมียวแน่ใจ แต่ถ้าเอจะกังวลว่าเหมียวจะไปแย่งเอจากน้องทั้งสองก็ไม่ต้องห่วงหรอก เหมียวรู้ดีว่าเหมียวไม่สวยพอสำหรับเอ ขอเพียงเอมอบความรักให้เหมียวสักครั้งเดียวเหมียวก็พอใจแล้ว และเหมียวจะยังคงเป็นเพื่อนที่ดีของเอแบบนี้ตลอดไป ”
ผมจ้องตาเหมียวแน่วนิ่ง กระชับร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมแขน
“เรารับรองว่าเราจะไม่มีวันทอดทิ้งเหมียวแน่นอน เราสัญญา”
เด็กหญิงในอ้อมแขนผมหัวเราะเบาๆ…
“เอไม่ต้องรักเหมียวหรอก เหมียวรู้ว่าเหมียวไม่สวย ขอให้เหมียวได้รักเอก็พอแล้ว….”
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมดึงร่างเหมียวขึ้นมา
“เอาล่ะ…เหมียวจะให้เราเย็ดเดี๋ยวนี้เลยหรือ”
เหมียวหัวเราะกิ๊กก่อนสะบัดร่างออกจากอ้อมแขนผม
“เอ รอที่นี่ก่อน…เหมียวจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เหม็นสาบแบบนี้เอเย็ดไม่ลงแน่…ว่าแต่ถ้าเออ่านออกจะลองพลิกดูคัมภีร์ปราณ ราหูดูก็ได้นะ เหมียวก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเขียนไว้ว่ายังไง ทำไมแม่ถึงไม่ต้องการให้เหมียวฝึก”
จบคำ ร่างเพื่อนรักที่กำลังจะเป็นเมียผมในอีกไม่กี่นาที ก็ลุกขึ้นหันร่างแล้วมุ่งหน้าหายไปยังห้องน้ำ คำพูดที่เหมียวกล่าวทำให้ผมอดยิ้มออกไม่ไม่ได้เมื่อนึกถึงกลิ่นเหม็นอับที่ ดูจะเป็นเครื่องหมายประจำตัวของเหมียวมาตั้งแต่ปี 1 โดยเจ้าตัวจะด่ากราดเพื่อนทุกคนที่เอ่ยถึงกลิ่นตัวอันรุนแรงอันเกิดจากการ ไม่อาบน้ำของเหมียว จนเป็นที่รู้กันดีว่าเหมียวไม่ชอบอาบน้ำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าทุกคนก็ดูจะเคยชินกับกลิ่นและกลับรู้สึกประหลาดใจ หากวันใดที่เหมียวไม่มีกลิ่นที่เป็นเครื่องหมายทางการค้าประจำตัวติดมาด้วย
ผม หันไปมองคัมภีร์ปราณราหูเบื้องหน้าด้วยความสนใจ และเริ่มเปิดหน้าแรกอ่านโดยตั้งใจที่จะดูอย่างผ่านๆ แต่เมื่อพลิกผ่านบทนำที่กล่าวถึงวิธีฝึกปราณราหู ก็ทำให้ผมต้องชะงักและอ่านอย่างตั้งใจ
“สตรีผู้ฝึกปราณจะต้องเริ่มอย่างช้าที่สุดก่อนครบวันเกิด 8 ปี โดยจะต้องใช้ปากดูดรับน้ำเชื้อของบุรุษที่ปราศจากปราณเป็นประจำทุกวัน และใช้ปราณธรรมชาติในร่างสลายพลังชีวิตที่แฝงมากับน้ำเชื้อสร้างสลักราหู ขึ้น สตรีผู้ถูกเลือกจักต้องสำเร็จสลักราหูก่อนอายุ 10 ปี แต่ต้องไม่เกิดการร่วมรักกับบุรุษใดๆ มิฉะนั้นสลักราหูจะถูกส่งไปผนึกในร่างบุรุษโดยไร้ประโยชน์และจะทำให้สลัก ราหูสลายตัวภายใน 12 ชั่วยาม หลังจากนั้นสตรีผู้ถูกเลือกจึงจะเริ่มฝึกปราณเชื้อราหูอันจะเป็นเครื่องดึง ดูดปราณและพลังชีวิตแห่งบุรุษผู้ทรงปราณ ด้วยการมอบร่างกายให้บุรุษปลุกเร้าอารมณ์เพศทุกวัจนถึงจุดสุดยอดแห่งอิสตรี แต่ห้ามมิให้ร่วมรักด้วยอวัยวะเพศของบุรุษจนสูญเสียพรหมจารีย์ พึงจำไว้ว่าขั้นตอนรวมปราณเชื้อราหูจะต้องสำเร็จก่อนอายุ 12 ปี หลังจากสำเร็จในสลักราหูและเชื้อราหูแล้ว สตรีนั้นจะต้องมอบพรหมจรรย์แก่บุรุษผู้ทรงปราณและฝังสลักราหรูไว้ในร่าง บุรุษนั้น ก่อนร่วมรักครั้งที่สองภายใน 12 ชั่วยาม เพื่อใช้เชื้อราหูควบคุมปราณแห่งบุรุษ และดูดรับปราณนั้นมาหลอมรวมในร่างจนก่อเกิดปราณราหู สตรีนั้นก็จะสามารถดึงดูดสลักราหูกลับมาผนึกปิดการถ่ายปราณ ส่วนบุรุษนั้นจะสูญสิ้นปราณและพลังชีวิตทั้งหมดร่างกายจะสลายเป็นละอองธุลี แต่จงระวังอย่าให้สลักราหูสลายตัวไปก่อนการร่วมรักครั้งที่สอง มิฉะนั้นพลังปราณของสตรีและบุรุษจะไหววนเวียนโดยไม่รู้จบโดยปราศจากการควบ คุมและจะทำให้ร่างทั้งสองสลายตัวเป็นละอองธุลีไปพร้อมกัน..และที่สำคัญที่ สุด สตรีผู้ฝึกต้องร่วมรักกับและดูดรับปราณจากบุรุษผู้ทรงปราณก่อนวันเกิดครบรอบ 15 ปี มิฉะนั้นสลักราหูเชื่อราหูจะหลอมตัวเข้าหากัน ทำลายชีวิตและสังขารทั้งหมดให้สูญไปตลอดกาล”
ผม สูดลมหายใจลึกอย่างหนาวเหน็บกับข้อความที่ระบุถึงการฝึกปราณราหู อันแสดงถึงอันตรายอย่างยิ่งยวดทั้งต่อผู้ฝึกและเป้าหมายของการดูดปราณ และเข้าใจในทันทีว่าทำไมผู้เป็นมารดาของเหมียวจึงเลือกที่จะกันบุตรสาวออก จากอาณาจักรปราณแทนที่จะกำชับให้ฝึกปรือ ผมพลิกหน้าต่อไปของคัมภีร์ซึ่งเป็นภาพเขียนลายเส้นแสดงวิธีเดินปราณเพื่อ สร้างสลักราหูและเชื้อราหูด้วยความอัศจรรย์ในการกำหนดกระแสปราณสวนทางกันโดย ปราศจากการหักล้างกันเอง สมาธิผมจมอยู่กับเส้นทางเดินปราณราหูขณะที่สมองครุ่นคิดถึงความเป้นไปได้ที่ จะปรับวิธีมาใช้กับปราณคชสีห์ ซึ่งหากเป็นไปได้ก็จะทำให้ผมอาจสามารถโคจรปราณคชสีห์ทั้งทางตรงและย้อนกลับ ได้พร้อมๆ กัน แต่เมื่อพิจาณณาดูอย่างละเอียดผมก็ต้องถอนใจออกมาด้วยความผิดหวัง เมื่อพบว่ารุปแบบของปราณราหูเป็นปราณที่ไร้พลังในตัวเองทำให้สามารถผ่านจักร ทั้งสี่ในลักษณะสวนทางกันได้ ต่างจากปราณที่เปี่ยมพลังของปราณคชสีห์อย่างสิ้นเชิง
เสียงลูกบิด ประตูห้องน้ำเปิดดังแกร้ก ทำให้ผมละความสนใจจากเนื้อหาของคัมภีร์มายังผู้ที่ออกมาจากห้องน้ำ แต่ภาพของผู้ที่กำลังออกจากห้องน่ำและเดินตรงมายังผม ทำให้ผมถึงกับต้องอ้าปากค้างแล้วอุทานออกมาอย่างเหลือเชื่อ
“เฮ้ย…เหมียว…นี่..นี่..”
ร่าง เด็กสาวในชุดนอนผ้าฝ้ายที่ประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตแขนหลวมๆ และกางเกงนอนขาสั้น มาหยุดอยู่หน้าผม แต่นี่ไม่ใช่ร่างของเหมียวที่ผมเคยเห็นตลอดเวลาปีกว่าในมหาวิทยาลัย มันกลับเป็นร่างของเด็กสาวสูงโปร่งผิวขาวสะอาด ที่มาพร้อมกลิ่นหอมกรุ่นของสบู่ราคาแพงโดยไม่มีกลิ่นเหม็นของร่างกายที่ห่าง การชำระล้างอีกต่อไป
ใบหน้ารูปไข่ที่ดวงตาเรียวงามจับจ้องดวงตาผม อยู่ เป็นใบหน้าที่คุ้นตาอย่างประหลาด สมองผมระลึกได้มทันทีถึงความคล้ายคลึงกันกับภาพสตรีผู้เป็นภรรยา ดร.หวังปิง แม้จะไม่งดงามอ่อนหวานเท่าสตรีในภาพถ่าย แต่มันก็เป็นดวงหน้าที่น่ารักของเด็กสาววัย 14 ย่าง 15 ผิวอ่อนเยาว์กระจ่างใสจนแทบมองทะลุไปยังเส้นเลือดที่กำลังแผ่สีแดงขึ้นมาสู่ สองแก้มได้นั้นสดใสกระจ่างปราศจากริ้วรอยของสิวที่เคยกระจายอยู่บนใบหน้าของ เหมียว ริมฝีปากเรียวบางที่เคยพร่ำคำด่าและคำหยาบราวกับผู้ชายคนหนึ่ง กลับมีสีชมพูระรื่อและรอยยิ้มน้อยๆ อย่างขบขันที่เห็นอาการตกละลึงของผม ผมจับจ้องใบหน้าที่แม้จะมีเค้าของนังเหมียวลางๆ แต่ผมก็ยังไม่สามารถเชื่อได้ว่าใบหน้าที่แสนน่ารักงดงามนี้จะเป็นคนๆ เดียวกับเพื่อนรักที่ของผม
“เอ้อ…นี่ เหมียว..หรือ..”
ผมยังคงส่งเสียงตะกุกตะกักขณะที่เด็กสาวน่ารักเบื้องหน้าหัวเราะกิ๊กและตอบด้วยน้ำเสียงของ “นังเหมียว” คนเดิมที่ผมคุ้นเคย
“เหมียวเองแหละ แกคิดว่าเป็นใครวะ”
สรรพนามคุ้นหูที่ใช้เรียกผม ทำให้ผมลดความประหม่าลง และจับจ้องร่างเพื่อนรักที่กำลังนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
“เหมียว นี่แก ไปทำอะไรมา ”
เด็กสาวที่แสนน่ารักสั่นหน้า..
“เหมียวจะทำอะไรล่ะ..ก็นี่แหละตัวเหมียว..แค่อาบน้ำหน่อยเดียวแกก็จำเหมียวไม่ได้แล้วเหรอ..เดี๋ยวเหอะ.. ”
เหมียวเงื้อมือทำท่าเหมือนจะทุบผม แต่ผมรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงกริยาหยอกล้อเช่นที่เห็นจนคุ้นตา
“แต่แกเปลี่ยนไปหมดเลย…แว่นหายไปไหน ทรงผม แล้วก็สิว..เรางงไปหมดแล้วนะ ”
เหมียวถอนใจยาว เอื้อมมือมากุมมือผมไว้จนผมรับรู้ถึงความนุ่มนวลของมือน้อยๆ ที่ไม่เคยสังเกตุ แล้วเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เอ ก็รู้อยู่แล้วว่าเหมียวสวมชื่อของลูกสาวลุงสิทธิ์เอาไว้ หลังจากพี่แมวถูกจักราศีฆ่าเพราะพวกมันจำได้ว่าพี่แมวถอดพิมพ์รูปร่างหน้าตา มาจากคุณแม่ เหมียวจึงต้องแต่งตัวให้สกปรกและใช้เครื่องปลอมตัวที่คุณพ่อทำขึ้นมาแต่ง หน้าตัวเองให้น่าเกลียดเพื่อหลบหลีกไม่ให้ใครเห็นใบหน้าที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นแว่นสายตา ทรงผมกระเซิงสกปรก หรือผื่นสิวที่เต็มหน้า .. ”
“เราไม่นึกเลยว่าเหมียวจะน่ารักขนาดนี้…นี่ถ้าเหมียวแต่งแบบนี้ไปที่คณะคงมีคนฆ่ากันตายแน่ๆ”
ผม จับจ้องใบหน้าขาวผ่องที่ใสปานจะปริออกเมื่อสัมผัสเบื้องหน้าแล้วพึมพำออกมา อย่างลืมตัว ทำให้เหมียวหัวเราะเบาๆ และใช้นิ้วจิ้มหน้าผากผมอย่างแรงทีหนึ่งก่อนพูดด้วยน่ำเสียงดุๆ เช่นที่ผมเคยได้ยินมาตลอด
“ดูแล้วก็ห้ามไปบอกใครนะ…ไม่งั้นเหมียวเล่นงานจริงๆ ด้วย”
“แล้วเหมียวแน่ใจหรือที่จะ….”
ผม ถามอย่างจริงจัง ทำให้รอยยิ้มของเหมียวหายไปและก้มหน้าลงหลบการจับจ้อง ขณะที่ผมลูบไล้ผิวเนื้อนวลของท่อนแขนตรงหน้าอย่างลืมตัว แม้รูปร่างเหมียวจะดูเป็นคนผอมบางแต่ผิวที่ผมสัมผัสมีแต่เพียงความเนียนนุ่ม ที่แทบไม่พบร่องรอยกระดูกสะดุดมือ ท่อนแขนที่ผมสัมผัสสั่นน้อยๆ พวงแก้มใสปรากฏสีแดงระเรื่อ แต่ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถามจนครบประโยค เสียงสั่นๆ ของเหมียวก็ดังขึ้นแผ่วเบา
“เหมียวมั่นใจในสิ่งที่เหมียว ตัดสินใจนะเอ..ถึงเอจะไม่รักเหมียวแต่เหมียวก็เต็มใจที่จะมอบทุกสิ่งให้ ไม่ใช่ว่าเหมียวต้องการปราณคชสีห์ของเอเพียงอย่างเดียวหรอก แต่เหมียวไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง เอบอกเหมียวหน่อยนะ”
น้ำเสียง เด็กสาววัยย่าง 15 ที่แฝงตัวมาเรียนในมหาวิทยาลัย นุ่มนวลอ่อนหวานต่างจากเสียงของนังเหมียวที่ผมคุ้นเคยมาตลอด ผมดึงร่างบอบบางเข้ามากอดไว้หลวมๆ และกระซิบที่ข้างใบหูน้อยๆ ขาววสะอาด
“เรา บอกเหมียวแล้วไงว่าเรารักเหมียว และพร้อมที่จะรับเหมียวเป็นแฟนไม่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ตอนนี้เรากลับลังเลแล้ว เพราะเราไม่แน่ใจว่าเราคู่ควรกับเหมียวหรือเปล่า”
ใบหน้างดงามหันมาหาผมจนจมูกน้อยๆ ชนกับปลายจมูกผม
“ถ้าเอรักเหมียวจริง เอต้องไม่ปฏิเสธที่จะรับร่างกายของเหมียวไว้สิ………”
ลม หายใจอุ่นๆ ที่ส่งกลิ่นหอมจรุงทำให้ผมไม่สามารถยับยั้งความต้องการของตนเองไว้ได้อีกต่อ ไป ผมรวบร่างน้อยบอบบางเข้ามาวงแขนและประทับจูบลงกับริมฝีปากเรียวบางเบื้อง หน้า ร่างเหมียวสั่นสะท้านในทันทีที่ริมฝีปากสัมผัส แต่แขนทั้งสองกลับโอบรอบคอผมแน่นและรับการจูบอย่างเต็มใจโดยเปิดรับลิ้นของ ผมที่แทรกผ่านไรฟันเข้าไปรับความหอมหวานสดชื่นภายใน ลิ้นเรียวเล็กของเหมียวที่ซุกตัวนิ่งอยู่เริ่มเคลื่อนไหวเมื่อได้รับการ สัมผัสและม้วนตัวเกี่ยวรัดลิ้นผมอย่างกลัวๆ กล้าๆ แต่เปลี่ยนเป็นการบิดพันอย่างรวดเร็วเมื่อผมเริ่มลูลูบไล้แผ่นหลังที่ยังถูก ปกคลุมด้วยเสื้อนอนตัวหลวม
มือผมลูบไล้ผ่านแนวหลังราบลื่นมายังสะโพก ที่ซ่อนตัวอยู่ในกางเกงนอนขาสั้น แม้จะไม่อวบอัดหยุ่นไปด้วยเนื้อหนังเช่นน้องพราว แต่สัมผัสของดีดสะท้อนจากสะโพกกะทัดรัดที่กลมกลึงก็ให้ความรู้สึกที่ปลุก เร้าอารมณ์ได้ไม่ต่างกัน มือผมเลื่อนมาตามขอบกางเกงนอนลูบไล้ขาอ่อนเรียวยาวที่พ้นจากการปกคลุมของ เนื้อผ้า ความเนียนเรียบลื่นของเรียวขางามก็ทำให้ความต้องการทางเพศของผมลุกโพลงชั้น อย่างรวดเร็ว แก่นกายแข็งปั๋งที่ขยายตัวขึ้นอักแน่นอยู่ในกางเกงวอร์มผ้ายืด ทำให้มันสัมผัสกับเนินหน้าท้องเหมียวแนบแน่น
“อือ..อาห์…”
เหมียว ส่งเสียงครางตามอารมณ์รักที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ผมถอนจูบออกช้าๆ แล้วดันร่างเหมียวออกจากอ้อมแขน จับจ้องดวงตาสุกใสของเหมียวสบตาผมด้วยความรักและอารมณ์ปรารถนาที่ถูกจุดขึ้น
“เหมียว…เราขอดูร่างกายของเหมียวนะ… ”
ผม กระซิบเบาๆ โดยที่เหมียวยังคงสบตาผมแน่วนิ่ง ใบหน้าเด็กสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มด้วยความอายแต่ยังคงพยักหน้ารับและปล่อย ให้ผมดึงร่างบอบบางขึ้นยืนและเริ่มปลดกระดุมเสื้อนอนช้าๆ โดยไม่ขัดขืน ผมค่อยๆ ปลดกระดุมทุกเม็ดออกจากรังดุม แล้วแยกมันออกจากกันเผยให้เห็นความงามที่แท้จริงของเพื่อนรักคนนี้
ร่าง ท่อนบนขาวโพลนของเหมียวสว่างโพลงท่ามกลางแสดงไฟในห้อง ภายใต้เสื้อนอนไม่มีอาภรณ์ใดๆ ปกปิดร่างกายเด็กสาววัยย่าง 15 ที่เปล่งปลั่งสมบูรณ์ หน้าอกตูมตั้งขนาดเท่าผมส้มชูชันอยู่บนเรือนร่างแบบบางแม้จะไม่ใหญ่โตตื่นตา ตื่นใจ แต่ก็เป็นทรวงอกที่กระทัดรัดงดงามสมกับร่างกายของเหมียวอย่างที่สุด เม็ดยอดสีชมพูเข้มน้อยๆ ซึ่งกำลังแข็งตัว ยิ่งเพิ่มความงามเย้ายวนที่น่าสัมผัสของเต้าคู่น้อย ขึ้นจนผมต้องหยุดการเคลื่อนไหวและจับจ้องภาพเบื้องหน้าอย่างลืมตัว ขณะที่เหมียวพยายามยกสองแขนขึ้นกอดประสานปิดนวลเนื้อทั้งคู่ แต่เมื่อผมจับข้อมือเอาไว้ เด็กสาวก็มิได้ต่อต้าน
“เอ..อย่ามองแบบนั้น เหมียวอายนะ… ”
เหมียว พึมพำด้วยเสียงสั่นๆ ขณะที่ผมคุกเข่าลงเบื้องหน้าเด็กสาวแล้วซุกใบหน้าลงระหว่างสองเต้าคู่น้อย สัมผัสความนิ่มนวลที่แฝงความหยุ่นตึงของหน้าอกวัยสาวด้วยใบหน้าและเลื่อน เป้าหมายมายังเม็ดทับทิมน้อยๆ ปลายยอด เพียงผมเม้มมันเข้าในปาก กร่างเหมียวก็สะท้านไปทั้งตัว สองมือจิกศีรษะของผมแน่น
“อะ..อะ เอ…ยะ อย่าดูด..เหมียว…จะยืนไม่ไหวแล้ว… ”
ร่างบอบ บางเบื้องหน้าสั่นระริกกับการสัมผัส ผมละริมฝีปากออกจากหน้าอกเหมียว ราวกับจะตอบรับคำขอของเด็กสาว แต่กลับเลือนใบหน้าซุกลงมาตามลานหน้าท้องราบเรียบ สองมือเกี่ยวของกางเกงนอนขาสั้นที่สะโพกแล้วออกแรงดึงลงด้านล่างพร้อมกางเกง ในผ้าแพร่นุ่มเนียนจนมันลงไปกองรวมที่ปลายเท้า สายตาผมจับจ้องเนินนูนงดงงามที่กำลังเปิดเผยตนเองอยู่หน้าสายตาผมไม่ถึงคืบ หัวใจผมเต้นถี่ยิบเมื่อได้เห็นสองแคมอิ่มอวบ ประกบปิดร่องรักน้อยๆ ไว้อย่างมิดชิด ไรขนบางๆ ขดเป็นวงแผ่กระจายไปทั่วหัวเหน่า แต่มีปริมาณน้อยจนไม่สามารถบดบังสายตาผมได้ ผมจับสะโพกกลมกลึงไว้แน่นก่อนฉกริมฝีปากเข้าหาความงดงงามเบื้องหน้าอย่างลืม ตัว
“เอ…ยะ อย่าเพิ่ง โอ๊วส์…”
เหมียวร้องครางออกมาอย่าง ควบคุมไม่ได้เมื่อผมซุกหน้าเข้ากับเนินนูน ปลายลิ้นไล้เลียจากรอยผ่าด้านล่างมาตามแนวร่องและเน้นที่ปลายด้านบนซึ่งเป้ นตำแหน่งของติ่งเสียว เพียงใช้ลิ้นดุนดันไปมาครู่เดียวติ่งเนื้อที่เคยหลับมาตลอด 14 ปี 8 เดือน ก็เริ่มขยายตัวจนปลายลิ้นผมสัมผัสได้ ร่างบอบบางสั่นระริกขณะสองมือเหมียวกดบ่าผมไว้เพือทรงตัว น้ำหล่อรื่นแรกสาวเริ่มเอ่อนองออกมาเป็นสายส่งกลิ่นหอมคาวอ่อนๆ แต่กลับยิ่งกระตุ้นให้แท่งเนื้อในกางเกงแทบทะลักน้ำเสียวออกมา
“เอ…เหมียวเป็นอะไรไม่รู้…มัน มัน…”
เหมียว ครางออกมาอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อผมแทรกลิ้นผ่านสองแคมเข้าไปภายใน สเพื่อรับรสหอมหวานของน้ำทิพย์ที่กำลังทะลักออกมาไม่ขาดสาย แต่ก่อนที่ผมจะสามารถนำเหมียวไปถึงจุดสุดยอดได้ ร่างบอบบางนั้นก็ทรุดตัวด้วยความเสียวจนขาไม่สามารถรองรับน้ำหนักตัวได้อีก ต่อไป ทำให้ผมต้องช้อนร่างเปลือยงดงามขึ้นในวงแขนและพาเดินไปที่เตียงนอนหนานุ่ม เบื้องหน้า
ร่างงเปล่าเปลือยงดงงามของเหมียวเปิดเผยทุกสัดส่วนต่อสาย ตา ขณะที่ผมถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างอย่างรวสดเร็วแล้วโคมตัวเข้าทาบทับ ความนุ่มเนียนของเพื่อนรักร่วมแผนก สัมผัสของร่างกายที่แนบกันทุกสัดส่วนทำให้ผมรู้ว่าแม้เหมียวจะมีรูปร่างบอบ บาง แต่มันเป็นความบอบบางที่เกิดจากโครงกระดูกที่เล็กไม่ใช่ความผอมบางที่ไร้ เนื้อหนัง ผมและเหมียวแลกจูบกันอย่างเร่าร้อน สองมือลูบคลำเรือนกายเหมียวทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นแผ่นหลังราบลื่น แก้มก้นกลมน้อยๆ ที่กะทัดรัดแต่สู้มือเมื่อถูกเคล้นคลึง หน้าอกเต่งคู่น้อยแทบจะบี้แบนไปกับหน้าอกผม ขณะที่สองมือเหมียวก็ไขว่คว้าร่างกายผมตามอารมณ์รัก และเมื่อมันผ่านไปถึงแก่นกายแข็งปั๋งที่ทาบอยู่กับร่องรักฉ่ำเยิ้ม เหมี่ยวก็ลืมตาโพลง ถอนจูบและส่งเสียงอุทานออกมา
“เอ..มัน ยะ ใหญ่.จัง…แบบนี้หีเหมียวไม่ฉีกเหรอ…”
ผมควานมือลงไปยังร่องรักฉ่ำเยิ้มเบื้องล่าง ใช้นิ้วคลึงเคล้นสองแคมไปจนสะโพกน้อยๆ บิดไปมา
“เหมียวไม่ต้องกลัวหรอกนะ…เราจะทำเบาๆ รับรองไม่ต้องใช้ไฟฟ้าช่วยแบบแฟรงค์เก้นสตี้หรอก..”
ผมกระซิบตอบพร้อมเย้าแหย่เพื่อให้เหมียวคลายความกังวล ซึ่งก็ได้ผล เมื่อเหมียวหัวเราะออกมาแล้วทุบหลังผมหนักๆ..
“ตาเอบ้า…จะล้อกันไปถีงไหน….”
ผมเคลื่อนนิ้วชี้เข้าสู่ภายในร่องหลืบอบอุ่นช้าๆ แล้วค่อยๆ ชักขึ้นลงเพื่อสร้างความคุ้นเคย พร้อมกับบี้คลึงเม็ดเสียวเป็นวงเบาๆ..
“อื๊ยส์…เอ…มัน สะเสียว…”
ผม เพิ่มน้ำหนักบี้คลึงเม้ดเสียวเป็นวงและเร่งความเร็วขึ้นอย่างช้าๆ ขณะที่ร่างเปลือยในอ้อมแขนสั่นระริก ริมฝีปากเหมียวอ้ากว้าง ส่งเสียงครางปนหอบเป็นระยะ..
“เอ..เอ..เอ.จ๋า…ยะ อย่าหยุด…ยะอย่า…เหมียว…โอ๊ย…ตะ ตายแล้วววววว……”
นิ้ว ชี้ผมที่แทรกอยู่ภายในร่องหลืบด้วยความลึกเกือบสองข้อ สัมผัสแรงบีบของร่องรักเป็นจังหวะถี่ยิบ ขณะที่สะโพกอิ่มบิดเป็นวงโค้งยกตัวขึ้นสูง ร่างบอบบางสั่นระริกทั้งตัว เป็นสัญญานของการถึงจุดสุดยอด ผมโหย่งตัวขึ้นดึงนิ้วออกจากร่องรักแล้วแทนที่ด้วยปลายแก่นกายที่ผงกตัวขึ้น ลงด้วยความต้องการ สองแคมอิ่มเปิดทางรับการบุกรุกอย่างเต็มใจในคราวแรก แต่เมื่อส่วนหัวบานพยายามกดตัวลงสู่ความคับแคบภายใน เหมียวก็ลืมตาโพลง ครางออกมาด้วยเสียงสั่นๆ
“เอ…เอจ๋า…จะเย็ดเหมียวเลยหรือ…”
ผมจูบริมฝีปากบางเบาๆ
“เหมียวพร้อมที่จะเป็นเมียเราหรือยัง….”
ใบหน้าน่ารักที่แดงซ่านจากการเพิ่มถึงจุดสุดยอดสบตาผมแน่วนิ่ง ก่อนพยักหน้ารับ
“เอ..เหมียวรักเอนะ.. ”
“เราก็รักเหมียว..ขอเรานะ…”
เหมียว หลับตาแน่นเมื่อผมกดแก่นกายลงไปในความหนึบแน่นรัดลึงทีละน้อย น้ำหล่อลื่นและน้ำรักที่หลั่งออกมาก่อนหน้า ทำให้มันสามารถแทรกผ่านลงไปได้แม้จะถูกต่อต้านจากกล้ามเนื้อนุ่มนวลในร่อง หลืบ ผมกดลงและดึงขึ้นเป็นจังหวะช้าๆ จนสองแคมเริ่มปรับคัวรับการสอดใส่ได้ ขณะที่เหมียวหลับตาแน่น แต่ร้องครวญครงออกมา
“เอ..มันแน่น..แน่นจัง…”
“เหมียวเสียวไหม….ชอบไหมให้เราเย็ดเบาๆ แบบนี้..”
“สะ เสียวจ๊ะ…เอ…มันเสียวด้วยคับด้วย หีเหมียวฉีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ..”
“เหมียวทนนิดนึงนะ…”
“ทนอะไร….อุ๊ยเอ…โอ๊ย….เอ…เหมียวเจ็บ…ยะหยุดก่อน”
เหมียว ร้องลั่นเม ื่อผมฉวยโอกาสระหว่างการพูดคุย อัดแท่งเนื้อฉีกผ่านเยื่อพรหมจรรย์ลงไปจนแท่งเนื้อทั้งหมดจมวูบลงไปอัด แน่นอยู่กับความสาวที่รักษามากว่า 14 ปี ใบหน้าเหมียวบิดเบียวด้วยความเจ็บปวดทำให้ผมต้องรีบพรมจูบที่พวงแก้มใสและ ปลอบโยนด้วยความห่วงใย
” เจ็บมากไหมเหมียว..เราขอโทษนะ หีเหมียวทั้งดูดทั้งรัดจนเราคุมตัวเองไม่ได้เลย”
“เอบ้า…จะเอาเข้ามาก็ไม่บอกให้รู้ตัวก่อน เหมียวเจ็บนะ..”
เหมียว ส่งเสียงตัดพ้อ แต่ใบหน้าเริ่มคืนกลับสู่สภาพปกติหลังจากที่ผมแช่แท่งเนื้อนิ่งไว้โดยไม่ ขยับจนกล้ามเนื้อภายในเริ่มปรับตัวรับการบุกรุก ผมซุกไซร้ใบหน้ากับเนินอกน้อยๆ จนร่างกายเหมียวเริ่มบิดตัวแอ่นอกขึ้นรับการฟอนเฟ้น
“เราไม่อยากเชื่อว่านี่คือเหมียวที่ทุกคนในแผนกเรียกว่าแฟรงเก้นสตรี้เลย เหมียวสวยอย่างไม่น่าเชือเลยรู้ไหม”
ผม พยายามพูดคุยเพื่อให้เหมียวผ่อนความเจ็บปวดจากเนินเนื้อเบื้องล่าง พร้อมกระตุ้นสัมผัสด้านบนเพื่อปลุกให้เหมียวกลับเข้าสู่อารมรณ์รัก
“เอเห็นว่าเหมียวสวยจริงๆ เหรอ……… อูยส์…เอ..อย่าไซร้แบบนั้น…”
“สวยสิ แถมหีเหมียวยังแน่นหนึบสุดๆ แบบนี้ไอ้ช้างคงร้องไห้แน่ถ้าได้เห็นตัวจริงของเหมียว…”
“ไอ้ ช้างลามก…เหมียวไม่สนใจมันหรอก แต่เหมียวก็ไม่นึกนะว่าที่ชวนเอเย็ดเล่นๆ ที่คณะ ไปมาเหมียวก็ถูกเอเย็ดจริงๆ จนได้แบบนี้…อื๋ย…เอจ๋า..โอ๊วส์..”
เหมียวครางออกมาเมื่อผมขยับแท่งเนื้อขึ้นมาจากร่องหลืบคับแน่นช้าๆ แล้วกดกลับลงไปเบาๆ
“แล้วเหมียวเสียใจหรือเปล่าที่มอบร่างกายให้เราแบบนี้.. ”
“ไม่ เลยนะเอ..เหมียวบอกแล้วไงว่าเหมียวรักเอ…อ๊ายส์…เสียว… เหมียวเคยตั้งใจว่าจะให้เอเห็นตตัวจริงเมื่อพวกเราเรียนจบ แต่เมื่อเหมียวรู้ว่าเอกับน้องรินน้องกิฟท์เป็นอะไรกัน เหมียวก็..ก็…อูวส์…เอ..ยาวจังเลย”
เหมียวครางลั่นเหมื่อผมลาก แก่นกายออกมาจนหัวบายเกือบหลุดออกจากสองแคม สะโพกกระทัดรัดรีบยกตามราวกับไม่ต้องการให้มันออกไป แต่กลับต้องเผชิญแรงกระแทกเป็นสองเท่าเมื่อผทกดแท่งเนื้อกลับลงไปจนสุดโคน
“เหมียวไม่ชอบน้องรินน้องกิฟท์หรือ”
“ไม่ ใช่…กิฟท์กับรินน่ารักมาก แต่เหมียวคิดว่าเอคงจะไม่รักเหมียวแน่ เพราะเหมียวสวยสู้รินกับกิฟท์ไม่ได้…เอจ๋า…เร่งอีก…เร่งอีก…เหมียว เสียว…เสียวเหลือเกิน..”
สะโพกเหมียวกระเด้งรับแท่งเนื้อผมที่ เพิ่มความถี่ในการกำลังกระเด้าเนินนูนจนถี่ยิบ สองมือไขว่คว้ามากอดรัดแป่นหลังผมแน่น ขณะที่ผมดึงขาเรียวงามทั้งสองยกขึ้นแล้วดึงหมอนมาหนุนเข้าใต้สะโพกจนเนินนูน แออ่นตัวขึ้นรับการกระเด้าอย่างเต็มที่
“เหมียวไม่ต้องห่วงเรื่อง น้องรินกับน้องกิฟท์นะ เรารับรองว่าน้องทั้งสองต้องยอมรับให้เหมียวมาอยู่ด้วยกันแน่น..เราจะไม่ ทิ้งเหมียวแน่นอนเราสัญญา….อูยส์..เหมียว…เรา…เราจะ…”
ความ เสียวสุดยอดพุ่งขึ้นมาร่วมตัวที่ปลายแท่งเนื้อ ผมกัดฟันสะกดกลั้นความต้องการระเบิดน้ำรักเพื่อให้ยืดออกไปจนกว่าเหมียวจะไป ถึงพร้อมกัน…
“เอจ๋า..เหมียวรักเอ…เหมียวก็…ก็…ใกล้…เอ…ขอเหมียว..ขอเหมียว อ๊าวส์….”
ร่างบอบ บางแอ่นเนินนูนขึ้นสุดเหยียดอัดรับการกระเด้าครั้งสุดท้ายของผม ร่างงามสั่นเทิ้มเป็นระลอกขณะที่ผมก็ไม่สามารถสะกดความเสียวไว้ได้อีกต่อไป น้ำรักที่อัดแน่นกระฉูดเข้าไปในร่างกายเหมียวราวอย่างแรงจนเหมียวผวาเฮือก และดึงร่างผมไปกอดไว้แน่น
กระแสปราณคชสีห์ไหลผ่านแก่นกายเข้าสู่ร่าง เหมียวตามน้ำรัก ผมบังคับปราณให้รวมศูนยืไปยังจักรอัคคีที่ท้องน้อยซึ่งเป็นที่ตั้งของปราณ ธรรมชาติในร่างเหมียว มวลปราณธรรมชาติเริ่มสลายออกทันทีที่สัมผัสปราณคชสีห์ แล้วเข้ารวมกระแสปราณก่อนที่ผมจะเริ่มชักนำไปตามเส้นทางโคจรปราณ
“อะ อะ เอ…อะไรน่ะ…อะไรเคลื่อนในตัวเหมียว นี่คือปราณคชสีห์หรือ”
เหมียวกระซิบถามอย่างแตกตื่นเมื่อรับรู้การเคลื่อนไหวของปราณในร่าง
“เหมียว สงบใจไว้ อย่าเพิ่งถามอะไรแล้วปล่อยให้เราชักนำปราณ…ที่สำคัญเหมียวต้องจำเส้นทางโค จารไว้ให้ดี เพราะนี่คือเส้นทางที่เหมียวจะต้องใช้ต่อไป…เริ่มจากจักรอัคคี..แยกเป็น สองสาย สายหนึ่งผ่านจักรวายุที่หน้าท้อง อีกสายผ่าตามเส้นเลือดเข้าสู่หัวใจ………. ”
ผมกระซิบบอกเส้นทาง โคจรปราณไปเรื่อยๆ ขณะที่เหมียวหลับตาสนิทแต่ผมรับรู้ได้ถึงปราณในร่างเหมียวที่เริ่มก่อตัว ขึ้นและร่วมติดตามเส้นทางปราณคชสีห์ไปอย่างตั้งใจ….ท่ามกลางความเงียบผม โคจรปราณรอบแล้วรอบเล่าผ่านจุดเส้นและจักรทั้งสี่ในร่างกายเหมียว จนรับรู้ถึงปราณคชสีห์ที่ก่อกำเนิดใหม่ในร่างเหมียวก่อนถอนปราณกลับเข้าสู่ ร่างกาย และดึงร่างเปลือยของเหมียวให้กลับขึ้นมาอยู่ในท่าขัดสมาธิก่อนถอนแก่นกายออก จากร่างเหมียว เพื่อปล่อยโคจรปราณด้วยตนเอง น้ำรักที่ผสมเลือดพรหมจรรย์ของเหมียวเริ่มไหลย้อนนอกมาจากร่องหลืบจนเอ่อไป บนผ้าปูที่นอน ขณะที่เหมียวยังคงนั่งอย่างสงบนิ่งเพื่อโคจรปราณ ผมอดดีใจไม่ได้ที่สามารถถ่ายทอดปราณคชสีห์ให้บุตคคลภายนอกได้เป็นครั้งแรก และที่สำคัญผู้ที่รับไปคือเพื่อนรักที่ผมไว้ใจที่สุดคนนี้ แต่ผมก็ยังรู้สึกเสียใจไม่น้อยมที่กระแสจิตไม่สามารถถ่ายทอดความจำทั้งหมด ให้เหมียวได้ดังเช่นน้องรินและน้องกิฟท์
ผมเฝ้ามองภาพงดงามเบื้อง หน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับร่างกายเหมียว ใบหน้าน่ารักของเหมียวเริ่มขาวและเปล่งปลั่งขึ้น ตามมาด้วยผิวกายทั่วร่าง ทรวงอกกะทัดรัดขยายออกเล็กน้อยแต่ยังคงรู้สึกได้ด้วยสายตาผมที่เฝ้ามองอย่าง ใกล้ชิด กล้ามเนื้อในส่วนที่ผอมบางเช่นต้นแขนและต้นขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลาย เป็นลำแขนกลมกลึงและต้นขาที่เต็มแน่นไปด้วยเนื้อหนัง ต่างจากลำขายาวเรียวที่ผมลูบไล้ก่อนหน้าการร่วมรัก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ผมหลังการ ถ่ายปราณ ที่ปราณคชสีห์ผสานกับปราณจักรวาลส่งผลให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่จุดสมบูรณ์ ที่สุด ซึ่งในกรณีของคุณแม่ผมทำให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาพของหญิงสาววัย 18 แต่กลับเกิดผลตรงข้ามกับน้องริน น้องกิฟท์ และเหมียวซึ่งปราณกลับเร่งให้ทำให้ร่างกายที่ยังไม่พัฒนาเปลี่ยนไปสู่วัยสาว เต็มตัว
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ร่างเปลือยเบื้องหน้าผมเริ่มเปล่งประกายสีแดงจางๆ อันเป็นสัญญานสิ้นสุดการโคจรปราณ ผมรีบเอื้อมมือไปกุมข้อมือบอบบางของเหมียวไว้ ขณะที่เหมียวเปิดตาขึ้นช้าๆ ประกายตาสุกใสของผู้ทรงปราณที่จับจ้องผมอยู่บอกให้รู้ว่าการถ่ายทอดปราณ คชสีห์ให้เหมียวเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“เอ๊ะ…ทำไมห้องสว่างอย่างนี้…”
คำ แรกที่เหมียวอุทานขึ้นหลังโครจรปราณทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้ เมื่อนึกถึงภาพที่ปรากฏต่อสายตาผมหลังการโคจรปราณคชสีห์เป็นครั้งแรกในวัย เด็ก สายตาที่สามารถรับภาพในที่มืดได้ดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่า ทำให้ห้องที่มืดสลัวกลับสว่างราวกลางวัน ซึ่งไม่แปลกเลยที่เหมียวจะอุทานออกมาแบบนี้
“เอ้าลุกขึ้นก่อน..เหมียวยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”
ผม ฉุดเหมียวให้ลุกขึ้นก้าวลงจากเตียงมายืนที่พื้นห้อง ใบหน้าเพื่อนรักผู้กลายเป็นเมียผมอย่างสมบูรณ์เปล่งประกายนวลใย ซึ่งทำให้เพิ่มความงามบนใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งขั้นไปอีก เหมียวสบตาผมแล้วสั่นหน้าเบาๆ
“ไม่เจ็บแล้วล่ะ แปลกจัง ตอนที่เอเย็ดมันเจ็บแทบตายนึกว่าหีฉีกซะอีก แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”
ผม ยิ้มให้เพราะรู้ดีว่าการบาดเจ็บของร่างกายจะถูกปราณคชสีห์ที่ผสานปราณ จักรวาลซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับตอนที่ผมร่วมรักกับน้องรินและน้องกิฟท์ ที่แม้ร่องรักของเด็กหญิงวัย 12 จะฉีกขาดจากการบุกรุกของแท่งเนื้อขนาดใหญ่ แต่เมื่อน้องทั้งสองได้รับถ่ายทอดปราณ ร่องรอยฉีกขากท้งหมดก็หายไปและสามารถร่วมรักต่อเนื่องกับผมได้อีกในวันเดียว กัน
“เหมียว ไม่ต้องสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายนะ..นั่นเป็นผลมาจากการรับปราณ คชสีห์ เรารับรองว่าจะไม่เกิดผลเสียใดๆ ทั้งสิ้น เอาล่ะตอนนี้ลองผนึกพลังกระจายไปที่เท้าแล้วดีดตัวขึ้นเบาๆนะ…”
ผม อธิบายให้เหมียวรับรู้ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมกับเริ่มถ่ายทอดการปรับพื้นฐานเคลื่อนไหวด้วยปราณให้ เหมียวพยักหน้าสูดลมหายใจโคจรปราณแล้วขยับปลายเท้าเบาๆ แต่กลับทำให้ร่างเปลือยทะยานขึ้นจากพื้นห้องจนศีรษะชนเพดานดังกึก ก่อนจะตกกลับมายืนที่พื้น เหมียวรีบคลำศีรษะแล้วอุทานออกมา…
“อูย…แค่ขยับเบาๆ ตัวเหมียวก็พุ่งแบบนี้เลย.. ที่แท้ผู้ทรงปราณมีพลังขนาดนี้เชียว..”
ผมดึงร่างเหมียวมากอดไว้อย่างทะนุถนอม
“ต่อ จากนี้ไปเหมียวต้องรับการฝึกกับเราทุกวันนะ..เพื่อให้ร่างกายสามาาถควบคุม การใช้ปราณได้ และที่สำคัญเหมียวต้องเรียนรู้เพลงมวยคชสีห์ ซึ่งจะช่วยให้เหมียวสามารถเคลื่อนไหวร่างกายต่อสู้ศัตรูด้วยปราณได้”
เหมียวพยักหน้ารับ และเบียดร่างมาแนบสนิทจนหน้าอกตูมเต่งอัดอยู่กับหน้าท้องผม
“ตกลง แต่ตอนนี้เหมียวเองก็ไม่รู้จะเรียกเอว่ายังไงดี อาจารย์ หรือพี่ หรือเอเฉยๆ เพราะเอเป็นทั้งสามี เป็นทั้งผู้ถ่ายทอดปราณให้ แถมอายุมากกว่าเหมียวหลายปีอีก”
ผมก้มลงจูบปากเรียวบางเบาๆ ก่อนตอบอย่างเอ็นดู
“ถ้า อยู่ที่คณะเหมียวก็เป็นเหมียวคนเดิมนั่นแหละ เรียกกันเป้นเอ็งข้าตามปกติจะได้ไม่มีใครสงสัย แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เหมียวเรียกชื่อเราตรงๆ ก็พอ เพราะเราไม่ได้เป็นอาจารย์ และไม่คุ้นกับการให้เหมียวเรียกเราเป็นพี่ด้วย ถึงเหมียวจะอายุรุ่นเดียวกับน้องรินน้องกิฟท์ก็ตาม แต่ถ้าตอนเย็ดกันจะเรียกเราว่าผัวก็ได้นะ..”
ประโยคสุดท้ายผมกระซิบแบบล้อๆ ทำให้เหมียวหน้าแดงแล้วทุบผมเบาๆ ก่อนผละร่างออกจากอ้อมกอดผม แล้วยิ้มอย่างล้อเลียน
“งั้นเหมียวจะถามกิฟท์กับรินดูก่อนก็แล้วกันว่าเรียกเอยังไงตอนที่เอเย็ดน่ะ ”
ผมหัวเราะออกมาขยับร่างจะดึงเหมียวเข้ามากอดอีกแต่เด็กสาวกลับโผกายไปทางห้องน้ำอย่างนุ่มนวลด้วยวิธีการโครจรพลัง แล้วส่งเสียงตามมา
“เหมียวขอล้างหีก่อนนะ…น้ำของเอเลอะไปหมดแล้ว”
ผม พุ่งร่างตามเรือนกายยั่วอารมณ์ของเพื่อนรักด้วยความเร็วจนสามารถรวบร่างนุ่ม นวลไว้ในวงแขน ใช้มือเคล้นคลึงเต้านมเต่งตึงอย่างนุมนวล แล้วพุ่งต่อไปในห้องน้ำก่อนกระซิบเบาๆ ข้างหู
“งั้นก่อนจะล้าง เราขอซ้ำในห้องน้ำอีกครั้งนะ..”
“เอบ้า..บ้า…อูวส์…”
————————————————-
นาฬิกา บนหน้าปัดรถโฟล์คเต่าบอกเวลา 22.30 น. เมื่อผมขับรถออกจากบ้านพักของเหมียว หลังจากการร่วมรักครั้งที่สองที่เนิ่นนานแต่ให้ความสุขสุดยอดที่อ่างอาบน้ำ ในห้องพักของเหมียว ผมอดสูดหายใจลึกๆ ด้วยความยินดีไม่ได้ที่ในที่สุดผมก็สามารถถ่ายทอดปราณคชสีห์ให้บุคคลภายนอก ได้สำเร็จ ซึ่งนั้นเป็นเครื่องยืนถึงความถูกต้องของสมมุติฐานที่น้องกิฟท์กำหนดเป็น เงื่อนไขในการถ่ายทอดปราณ แต่ในใจอีกส่วนก็อดเสียดายกับความล้มเหลวในการถ่ายทอดปราณให้น้องพราวในช่วง บ่ายไม่ได้ เพราะผมเองต้องยอมรับว่าประทับใจกับความงามของเรือนร่างที่อวบอัดเกินวัย และความเร่าร้อนในการร่วมรักของน้องพราวจนต้องการให้น้องพราวเข้ามาเป็นส่วน หนึ่งของชีวิต
เมื่อคิดถึงน้องพราวและน้องแพรว แก่นกายผมที่เพิ่งเสร็จสิ้นจากการร่วมรักกับเหมียวก็กลับฟื้นตัวขึ้นโดยไม่ สามารถระงับอารมณ์ไว้ได้ ผมนึกถึงกำหนดนัดหมายที่น้องแพรวจะมาหาในคืนนี้และอาการตอบรับของน้องแพรว เมื่อผมถามย้ำว่าคืนนี้สองพี่น้องฝาแฝดจะมาหาผมพร้อมกันที่ห้องนอน มโนภาพเรือนร่างอวบอัดของสองสาวปรากฏขึ้นในใจจนผมต้องกดคันเร่งบังคับให้รถ พุ่งเป็นข้างงหน้าเร็วขึ้น เพื่อพบกับความสุขที่รออยู่ ผมเลี้ยวรถกลับเข้าบ้านพักเวลา 23.00 น. ด้วยความแปลกใจเล็กน้อยที่ทั่วบ้านปิดไฟมืดสนิท บอกให้รู้ว่าทุกคนเข้านอนแล้ว แม้กระทั่งบ้านพักรับรองแขกหลังเล็กที่ตั้งอยู่ด้านข้างก็มืดสนิทเช่นกัน จนทำให้ผมอดถอนหายใจไม่ได้เพราะนั่นอาจหมายความว่าสองพี่น้องที่นัดกับผมคืน นี้อาจเปลี่ยนความตั้งใจและกลับบ้านไปแล้วผมจอดรถและไขกุญแจประตูเข้าบ้าน ที่เงียบสนิท อย่างเซ็งๆ เล็กน้อย แต่ก็พยายามระงับความต้องการที่จะไปหาน้องกิฟท์และน้องรินเอาไว้ เพราะรู้ดีว่าพรุ่งนี้น้องทั้งสองจะต้องส่งรายงานและสอบย่อยอีก
ผม เดินขึ้นชั้นสองผ่านห้องน้องรินและน้องกิฟท์ที่ปิดไฟมืดสนิทมายังห้องนอน แล้วไขกุญแจเปิดเข้าไปภายใน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะปิดประตูร่างอวบอัดร่างหนึ่งก้โถมเข้ากอดรัดผมทางด้าน หลังไว้แน่น ผมรีบทรงตัวและกดสวิทซ์ไฟทำให้เห็นร่างเด็กสาวที่ผมยังไม่แน่ใจว่าเป็นน้อง พราวหรือน้องแพรวนั่งอยู่บนเตียงในชุดนอนผ้าแพร่เบาบางจนสามารถมองทะลุไปยัง เม็ดยอดของทรวงอกอวบอิ่มภายใต้เนื้อผ้าอย่างชัดเจน ขณะที่ด้านหลังของผมมีร่างอวบอีกร่งหนึ่งกอดรัดไว้แน่นพร้อมส่งเสียงกระซิบ อย่างร้อนรน
“พี่เอไปไหนมา แพรวรอพี่เอมาจตั้ง 5 ชั่วโมงแล้วนะ…”
ผม ดึงร่างเด็กสาวที่ตอนนี้รู้แล้วว่าคือน้องแพรวให้ลงจากกลางหลังผม แล้วดึงตัวมาด้านหน้า แต่ภาพที่ปรากฏทำให้ผมต้องระงับลมหายใจที่เริ่มติดขัดอย่างรวดเร็ว เพราะร่างน้องแพรวเบื้องหน้าเปลือยเปล่าขาวโพลนไปทุกส่วน ใบหน้าเด็กสาวที่จับจ้องสายตามาที่ผมปรากฏแววตัดพ้อและขุ่นเคืองอยู่ลางๆ จนทำให้ผมต้องรีบดึงร่างอวบอิ่มเข้ามากอดไว้แน่น
“พี่ขอโทษนะ พี่ต้องแก้ไขรายงานนานไปหน่อย..แต่นี่ก็เพิ่ง 5 ทุ่มเอง..เรายังมีเวลาเหลือเฟือไม่ใช่หรือ”
ผมปลอบน้องแพรวเบาๆ ขณะที่เด็กสาวกอดรัดผมไว้แน่นแล้วเงยหน้ากระซิบ
“แพรวไม่ต้องการรอแล้ว แพรวต้องการพี่เอเดี๋ยวนี้เลย….”
ผม อดแปลกใจไม่ได้กับอาการกระหายรักของน้องแพรวที่เด็กสาวไม่เคยแสดงออกมาก่อน แต่เรือนร่างที่อบอุ่นนุ่มเนียนในอ้อมแขนทำให้ผมสลัดความรู้สึกทั้งหมดทิ้ง ไป ผมหันไปทางน้องพราวที่นั่งอยู่บนเตียง เพื่อหยั่งท่าที แต่กลับพบว่าน้องพราวกำลังก้มหน้าแต่เขยิบร่างเปิดทางให้เกิดช่องว่างบน เตียง ขณะที่เด็กสาวค่อยๆ ถอดเสื้อนอนตัวบางออกทางศีรษะ จนเรือนร่างงามเปล่าเปลือยเช่นเดียวกับน้องสาว
“แพรว..พราว…”
ผม ครางออกมาอย่างสุดกลั้นกับเรือนร่างเปลือยของน้องแพรวที่แนบสนิทกับร่างผม และร่างน้องพราวที่กำลังเอนกายนอนหงายบนเตียง เผยให้เห็นเนินนูนงดงามที่ผมเพิ่มพรากความสาวไปเมื่อบ่ายที่ผ่านมา แต่ก่อนที่ผมจะทันตั้งตัวน้องแพรวก็ดันร่างผมมาที่เตียงแล้วผลักลงนอนหงาย คู่กับน้องพราวแล้วโถมร่างขึ้นทับทันทีพร้อมประทับริมฝีปากกจูบผมอย่างเร่า ร้อน ลิ้นหอมกรุ่นของน้องแพรวแทรกเข้าหาลิ้นผมและเกี่ยวรัดอย่างชำนาญ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าน้องแพรวน่าจะเคยมีประสบการณ์ทางเพศมาแล้ว แต่รสสัมผัสจากการจูบของน้องแพรวทำให้ความคิดทั้งหมดถูกสลัดออกไปอย่างรวด เร็ว ผมลูบไล้เรือนร่างน้องแพรวอย่างตื่นใจกับความเต่งตึงครัดเคร่งที่ไม่ต่างกับ น้องพราว สองมือเลื่อนไปหาแก้มก้นกลมกลึงบีบเคล้นรับความหยุ่นตึง ขณะที่น้องแพรวถอนปากออกแล้วส่งเสียงกระซิบอย่างร้อนรน
“พราว..ถอดเสื้อผ้าให้พี่เอเร็วเข้า”
ก่อน ที่ผมจะทันพูดอะไร น้องแพรวก็กลับจูบผมอย่างหนัก ขณะที่น้องพราวก็เคลื่อนร่างเข้ามาหาแล้วสอดมือมารูดซิบกางเกงผม โดยที่น้องแพรวซึ่งทาบร่างผมอยู่โก่งสะโพกขึ้นเพื่อปล่อยให้น้องพราวดึงมัน ออกไปทางปลายขาพร้อมกางเกงชั้นใน แก่นกายผมกระดกตัวขึ้นชูชันแต่กลับเอนราบลงเมื่อน้องแพรวลดสะโพกกลับลงมาทาบ ร่องรักที่เปียกเยิ้มกับลำลึงค์ พร้อมกับเสียดส่ายสะโพกไปมา ความเสียวจากการสัมผัสพลุ่งขึ้นจนผมต้องถอนจูบกับน้องแพรวอย่างร้อนรน..
“แพรว…พี่จะทนไม่ไหวแล้ว ขอพี่เถอะ..”
น้อง แพรวยิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวาน ก่อนยกร่างขึ้นนั่งทับท่อนล่างผม โหย่งตัวขึ้นสองมือน้อยๆ จับแก่นกายไว้แน่น แล้วนำไปจ่อที่กลางร่องรักฉ่ำชื้น ด้วยท่าทางที่ราวกับจะเป็นการต่อเนื่องกับเหตุการณ์ในห้องน้ำช่วงบ่ายซึ่ง ถูกขัดจังหวะไป
“พี่เอ…แพรวจะเป็นของพี่เอแล้วนะ…”
น้อง แพรวกระซิบด้วยเสียงหวานใส ทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปกุมเต้านมอวบที่แกว่งตัวอยู่เบื้องหย้าและเคล้นมัน อย่างหนักด้วยอารมณ์ที่พลุ่งขึ้นสูง
“พี่พร้อมแล้ว พี่ก็ต้องการแพรวที่สุด”
“แพรวจะมอบความสุขที่สุดในชีวิตของพี่ให้เดี๋ยวนี้เลย…”
ขาด คำน้องแพรวก็ทรุดร่างลงรับแก่นกายของผมให้ปักลึกเข้าไปในร่องรักอย่างแรง จนมันทะลวงผ่านกลีบเนื้อรัดรึงขั้นไปฝังอยู่ในร่างน้องแพรวทั้งหมด สัมผัสจากส่วนปลายลำลึงค์ที่ไวต่อความรู้สึกบอกผมว่ามันได้ทะลวงผ่านเยื่อ สาวบางๆของน้องแพรวจนฉีกขาดก่อนจะเดินทางไปถึงจุดหมาย ทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ที่น้องแพรวยังไม่เคยร่วมรักกับเพศตรงข้าม ทั้งที่ท่าทีของเด็กสาวระหว่างการปลุกเร้าอารมณ์บอกให้รู้ถึงความชำนาญทาง เพศอย่างยิ่ง
“โอ๊ย. เจ๊บจัง….พี่เอ…พี่เอเป็นอย่างไรบ้างมีความสุขไหม หีแพรวดีไหม…สู้ของพราวได้ไหม”
น้อง แพรวครางลั่นเมื่อรับรู้ถึงการฉีกขาดของเยื่อสาว แต่ยังคงถามผมราวกับว่าต้องการให้ผมรับรู้และบรรยายถึงคุณภาพอันยอดเยี่ยม ของร่องรักอันคับแน่นไม่ต่างกับน้องสาว
“หีน้องแพรวเยี่ยมที่สุด ไม่แพ้น้องพราวเลย”
ผม ตอบจน้องแพรวด้วยเสียวกระเส่าจากความเสียวขณะที่น้องแพรวเริ่มโยกตัวขึ้นลง โดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวด ร่องรักดูดดึงและบดอัดแก่นกายผมทุกสัดส่วนจนผมอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นร่องรัก ที่คับแน่นที่สุดที่สุดซึ่งผมเคยได้ร่วมรัก เพราะนอกจากแรงบีบรัดทุกส่วนแล้ว ภายในยังมีแรงดูดดึงที่แปลกประหลาดระดมส่งแรงดูดมาที่ส่วนปลายแก่นกายที่ไว ต่อความรู้สึกจนผมแทบไม่สามารถควบคุมความรู้สึกต้องการหลั่งน้ำรักได้
“โอ๊วส์ พี่เอ…พี่เอ…”
เสียง คราญครางของน้องแพรวดังลั่น ร่างงามเอนกายไปทางด้านหลัง สองแขนยันท่อนขาผมไว้ ขณะที่สะโพกอวบกลมกระเด้าผมถี่ยิบจนความเสียวผมทะลักขึ้นมารวมตัวที่ปลาย แท่งเนื้อพร้อมระเบิดออกทุกขณะ
“แพรว แพรว พี่ กะ ใกล้แล้ว… ”
ผมครางระล่ำระลักด้วยความสุขสุดยอดจากแรงดูดรัดในร่องรัก
“พี่เอ…แพรว..แพรว…พี่เอ..ขอปราณให้แพรวนะ…”
ผม สะดุ้งเฮือกกับประโยคสุดท้ายของน้องแพรว แต่ไม่สามารถยับยั้งน้ำรักที่กระฉูดเข้าไปในร่างน้องแพรวได้ ในชั่วพริบตาร่างกายผมกลับกลายเป็นแข็งทือโดยไม่สามารถเคลื่อนไหวขณะที่ น้ำรักยังคงหลั่งไหลเข้าไปในร่างน้องแพรวราวกับไม่ามีวันหมด
“พี่เอ…พราวขอโทษ…พราวรักพี่เอที่สุดแต่พราวจำเป็นต้อง…”
ดวง หน้าน้องพราวปรากฏขึ้นในสายตาผม ดวงตายาวเรียวสุกใสมีประกายน้ำตาหลั่งออกมาเป็นสาย แต่ผมไม่สามารถเอ่ยปากหรือเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย ร่างกายทุกส่วนราวกับถูกสูบพลังชีวิตหลั่งไหลออกไปภายในร่างน้องแพรวโดยไม่ สามารถหยุดยั้งได้
“พราว…ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว เตรียมรับปราณเดี๋ยวนี้”
เสียง น้องแพรวที่เคยหวานใสเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในทันที ใบหน้าน้องพราวหายไปจากสายตาทำให้ผมเห็นภาพที่แปลกประหลาดที่สุดซึ่งกำลัง เกิดขึ้นบนร่างกายของผมเอง
ร่างเปลือยของน้องแพรวเปล่งละอองสีดำสนิท ออกมาครอบคลุมร่าง ขณะที่น้องพราวหันกายกลับก้าวขึ้นมาทาบร่างลงกับแผ่นอกผม แล้วยกสะโพกขึ้นสูงจนพลูเนื้ออวบขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าน้องแพรว ในท่านี้ทำให้ใบหน้าน้องพราวมาประกบกับใบหน้าผม ขณะที่ร่องรักเข้าประกบกับปากน้องแพรว ละอองสีดำขยายตัวเข้าปกคลุมร่างน้องพราวและผมไว้ทั้งหมด ในทันทีที่น้องแพรวประกบปากเข้ากับพลูเนื้อน้องพราว ผมรู้สึกถึงพลังที่ส่งผ่านผมออกไปยังน้องแพรวแล้วผ่านต่อไปในร่างน้องพราว ก่อนที่น้องพราวจะก้มใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาประกบจูบที่ปากผมไว้ ทำให้กระแสปราณที่วนเวียนเกิดเป็นวงจรเคลื่อนตัวไปในร่างของผมและสองพี่น้อง
จิตใจที่ยังคงรับรู้การสัมผัสของผมสั่นระริกเมื่อรับรู้ว่าปราณ คชสีห์และปราณจักรวาลในร่างกำลังสลายตัวอย่างรวดเร็วด้วยการดึงดูดจากกระแส พลังที่ไม่รู้จัก และเมื่อมันผ่านเข้าไปในร่างของสองพี่น้องก็เกิดการผสานกับปราณแปลกประหลาด ในร่างทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเคยตรวจสอบแล้วว่าทั้งสองไม่มีปราณใดๆ ปราณประหลาดในร่างทั้งสองสลายปราณของผมอย่างรวดเร็วแล้วดึงดูดเข้าสุ่ร่างใน สภาพปราณอีกชนิดหนึ่งก่อนผลักพลังที่ยังคงค้างจาการสลายกลับเข้ามาในร่างผม ผ่านปากน้องพราวที่ยังคงจูบผมอยู่ พลังที่ตกค้างกลับสู่ร่างกายผมอย่างอ่อนล้าและย้อนกลับไปในร่างน้องแพรวอีก ครั้งผ่านทางร่องรัก จนในที่สุดผมก้ได้รับรู้ถึงพลังชีวิตที่เริ่มสลายตัวเข้าไปในร่างกายของทั้ง สองพี่น้อง
“พราว…ใกล้สำเร็จแล้วนะ”
เสียงน้องแพรวดัง ก้องขึ้น ขณะที่ผมรับรู้ถึงการเคลื่อนพลังชีวิตเข้าไปในร่างน้องแพรว ทิ้งไว้แต่เพียงซากร่างของนายไกรวิทย์ ที่กำลังถูกสูบปราณและชีวิตออกไป
“แพรว..พราวไม่อยากทำแบบนี้เลย…เราหยุดไม่ได้หรือ”
เสียงน้องพราวสั่นระริกจนผมรับรู้ได้ในจิตใจ ขณะพลังชีวิตผมเคลื่อนผ่านร่างน้องแพรวเข้าสู่ร่างน้องพราว
“พราว..ลืมคำของอาจารย์ไปแล้วหรือ เราต้องตัดความรู้สึกทั้งหมดออกเพื่อให้บรรลุถึงปราณราหูระดับสูงสุดให้ได้”
ถ้า พลังชีวิตของผมยังคงอยู่ร่างและหัวใจยังคงทำหน้าที่อยู่ หัวใจของผมคงแทบหยุดเต้นเมื่อได้รับรู้ว่าสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้คือทายาท แห่งปราณราหู และผมกำลังตกอยู่ในสภาพของผู้ถ่ายปราณที่ร่างกายจะต้องสลายเป็นธุลีหลังจาก ปราณและพลังชีวิตถูกสูบออกจากร่างกายทั้งหมด แต่ผมไม่สามารถขัดขืนอำนาจของปราณราหูที่เข้าสู่ร่างกายผมได้แม้แต่น้อย พลังชีวิตของผมวนเวียนอยู่ร่างสองพี่น้องและถ่ายกลับมาในร่างตนเองก่อนถูก ดุดออกไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีเพียงสติที่ริบหรี่ของผมเท่านั้นที่สามารถรับรู้การสนทนาทางจิตของเด็กสาว ทั้งสองได้
“พราวรู้ แต่แพรวไม่สงสารกิฟท์กับรินหรือที่จะต้องเสียคนที่รักที่สุดไปแบบนี้”
กระแสจิตของแพรวดูจะเงียบไปอึดใจต่อคำถามของพราว แต่ชั่วขณะหนึ่งก็กลับดังขึ้นอีกครั้งและดุเหมือนจะแฝงความเสียใจเอาไว้ด้วย
“แพรว รู้ แพรวก็รักรินกับกิฟท์ ไม่ต่างกับพราวหรอก ตั้งแต่เราถูกเลี้ยงมาโดยท่านประมุขพร้อมกับฝาแฝดสิบคู่ แพรวไม่เคยรู้สึกรักและสนิทสนมกับใครเหมือนรินกับกิฟท์เลย และนี่เองทำให้แพรวต้องวางยาสลบทั้งคู่ไว้แทนที่จะกำจัดทิ้ง และเขียนจดหมายบอกไว้ว่าพี่เอ กับเราทั้งสองคนหนีตามกันไป เพื่อไม่ให้รินกับกิฟท์เสียใจมากกว่านี้”
“แพรว…อย่างนั้นทำไมเรา ไม่ดูดปราณอารักษ์ของตระกูลเทพฤทธิ์ตามที่อาจารย์สั่งล่ะ ในเมื่อเราก็สามารถเข้าถึงหัวหน้าของตระกูลผ่านเจ้าพงษ์ชัยที่เรียนอยู่ใน ห้องเราแล้ว”
กระแสจิตของพราวดังขึ้นราวกับขะตัดพ้อ ขณะที่กระแสจิตของแพรวดูดุดันเมื่อตอบกลับ
“พราว จะตัดสินใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว ก็พราวเองไม่ใช่หรือที่พบว่าพี่เอเป็นผู้ทรงปราณคชสีห์ และเปลี่ยนเป้าหมายโดยไม่แจ้งให้ท่านประมุขรู้ พราวบอกกับแพรวไงว่าถ้าเราสามารถดูดรับปราณคชสีห์ที่เหนือกว่าปราณอารักษ์ อันแสนธรรมดามาได้ เราก็มีฐานะในจักรราศีเมถุนสูงกว่าคู่แฝดอื่นๆ แม้กระทั้งคู่แฝดแบม-โบว์ ที่ท่านประมุขกำหนดให้ไปรับปราณมหาจักรที่ธิเบตก็ตาม”
กระแสจิตของพราวนิ่งไปครู่ใหญ่กับสิ่งที่แพรวตอบมา ก่อนตอบอย่างเสียใจ
“ตอนนั้นพราวเกลียดและอิจฉาพี่เอมาก ที่สามารถได้ความรักจากรินและกิฟท์แบบนั้น แต่หลังจากที่พราวรู้จักพี่เอมากขึ้น พราวก็เริ่มรู้สึกว่าพี่เอเป็นคนดี และไม่น่าที่จะทำร้ายพวกเขาเลย พราวพยายามจะหยุดและถอยห่างจากพี่เอ แต่เมื่อบ่ายนี้พราวกลับไม่สามารถควบคุมความรักความต้องการที่มีให้กับพี่เอ ได้ ทำให้พราวต้องเสียพรหมจรรย์ และปลดปล่อยสลักราหูเข้าสู่ร่างพี่เอ…ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้แพรว ต้องร่วมรักกับพี่เอให้เร็วที่สุดก่อนเพื่อใช้เชื้อราหู .. ทุกสิ่งเป็นความผิดของพราวเอง…”
กระแสจิตของแพรวดังขึ้นอย่างปลอบโยน
“พราว ทำสิ่งที่ต้องทำแล้ว อย่าเสียใจไปเลย พยายามตัดใจจากพี่เอเสีย อย่างน้อยก่อนที่พี่เอจะสูญสิ้น พี่เอก็ได้รับพรหมจรรย์ของเราทั้งสอง และได้รับความสุขสุดยอดจากการร่วมรักกับสตรีผุ้ทรงปราณราหู ที่ไม่มีสตรีใดสามารถทัดเทียมได้ หลังจากนี้เราจะกลับไปที่สำนักและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจักรศรี เมถุนโดยไม่มีใครขัดขวางได้อีกแล้ว”
“แต่ถึงเราจะได้เป็นผู้นำ เราก็ยังไม่สามารถฝึกปรือปราณราหูที่สมบูรณ์ได้อยู่ดี เพราะคัมภีร์ที่หายไปเมื่อ 20 ปีก่อน พร้อมท่านหญิงนัฐฐา และการเสียชีวิตของท่านหญิงณัฐริกาผู้เป็น้องสาวในเวลาต่อมา ทำให้ความลับของการโคจรปราณราหูที่มีทั้งทางตรงและย้อนกลับขาดการถ่ายทอด จนท่านประมุขต้องอาศัยความทรงจำปรับแต่งให้เป็นการฝึกร่วมกันของคู่แฝดเช่น เรา โดยให้พราวฝึกสลักราหู และแพรวฝึกเชื้อราหู ทำให้พราวต้องทนสะอิดสะเอียนกับการดูดน้ำรักของชายที่น่ารังเกียจมาตลอด 10 ปี”
“แพรวก็ต้องทนรับให้ชายที่น่ารังเกียจเล้าโลมร่างกายมาตลอดเช่น กันนะพราว..นับตั้งแต่พราวได้สัมผัสผู้ชาย มีเพียงพี่เอเท่านั้นที่ทำให้พราวรู้สึกว่าตนเองกำลังมีความรักและเป็น ผู้หญิงที่แท้จริงอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นความรักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของแพรวเช่นกัน…”
การ สนทนาระหว่างสองพี่น้องที่จิตอันริบหรี่ของผมรับรู้ ทำให้ผมเข้าใจถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที เพราะมับสามารถสานต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจักรราศีเมถุนที่มารดาของเหมียว หลบหนีมาได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ผมรู้ว่าปราณราหูของจักรราศีเมถุนปัจจุบันไม่สมบูรณ์เพราะขาดแนวทาง ลับที่บ่งบอกวิธีควบคุมปราณตามกระแสและย้อนกลับให้โคจรร่วมกัน ทำให้ต้องมีการแยกปราณออกเป็นสองสายและมอบหมายให้พี่น้องฝาแฝดทำหน้าที่แยก ฝึกสลักราหูและเชื้อราหู ก่อนที่จะร่วมกันดูดปราณของผู้ทรงปราณที่เป้นเป้าหมาย ด้วยการให้ผู้ที่ฝึกสลักราหูร่วมรักก่อนเพื่อฝังสลักราหูในร่าง หลังจากนั้นจึงให้ผู้ฝึกเชื้อราหูเข้าดูดสลายปราณและถ่ายทอดกลับไปให้ผู้ฝึก สลักราหูดังเช่นที่สองพี่น้องกำลังทำอยู่ในขณะนี้ จิตใจผมจรดจ่ออยู่กับจุดเส้นและจักรในร่างกายของพราวและแพรว มาพิจารณาประกอบกับความรู้ที่ผมอ่านจากคัมภีร์ปราณราหูที่บ้านเหมียวทำให้ รับรู้ว่าข้อสันนิษฐานของผมไม่ผิพลาดแม้แต่น้อย เพราะลักษณะปราณของน้องแพรวกำลังใช้ร่องรักดึงดูดปราณผมเป็นการโคจรปราณทาง ตรง และเมื่อถ่ายกลับไปให้น้องพราวทางปากผ่านร่องรักน้องพราว ปราณก็เปลี่ยนทิศทางเป็นแนวทางย้อนกลับ แสดงให้เห็นว่าผู้เป็นประมุขแห่งจักราศีเมถุนแม้จะไม่สามารถกำหนดแนวทาง ฝึกปรือปราณราหูที่สมบูรณ์ได้ แต่ก็ยังสามารถใช้ความรู้ที่มีอยู่ปรับแต่งจนเกิดแนวทางใหม่ของการฝึกปราณ ที่ใช้ฝาแฝดซึ่งมีรูปแบบของจุดเส้นในร่างกายเหมือนกันเป็นเครื่องมือ
“พราว…ปราณราหูรวมตัวถึงจุดสุดท้ายแล้ว…เตรียมตัวใช้สลักราหูปิดกั้นได้….”
กระแส จิตของแพรวดังขึ้นในจิตใจที่กำลังใกล้แตกสลายของผม ภาพพร่าเลือนใบหน้าน้องพราวกลับปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตาผมหลังจากน้องพราวถอน ปากออก ใบหน้าที่เด็กสาวเศร้าสร้อยของน้องพราวและหยาดน้ำตาที่ไหลนองแก้มก้มลงมาที่ ข้างหูผมแล้วกระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พี่เอ…พราวขอโทษ กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พราวรักพี่เอที่สุดและสัญญาว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีชายคนใดมาสัมผัสร่างของ พราวอีก พราวเป็นของพี่เอคนเดียวเท่านั้น พี่เอจากไปด้วยความสบายใจเถอะ เมื่อพราวและแพรวได้เป็นประมุขจักรราศีเมถุน เราทั้งสองจะปกป้องรินและกิฟท์อย่างเต็มที่ เป็นการตอบแทนพี่เอ…ลาก่อน”
จิต และพลังชีวิตของผมถูกดูดเข้าวนเวียนในร่างสองพี่น้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้กลับมาสู่ร่างผมดังเช่นที่ผ่านมาก พลังมหาศาลขุมหนึ่งถูกส่งมาในร่างผมและดึงดูดทุกสิ่งออกไป ทำให้ผมรู้ว่าจุดจบของชีวิตกำลังจะมาถึง แต่น่าแปลกที่ในใจผมไม่มีความโกรธแค้นสองพี่น้องเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าการที่พลังชีวิตผมไปวนเวียนอยู่ร่างทั้งสองและรับรู้การสนทนาทาง จิต ทำให้ผมเข้าใจถึงความจำเป็นในสิ่งที่น้องพราวน้องแพรวกระทำ และการรับรองที่จะปกป้องน้องรินน้องกิฟท์ ยิ่งแสดงถึงความรู้สึกผูกพันของของเด็กสาวทั้งสองจนผมสามารถปล่อยวางทุกสิ่ง และเตรียมพร้อมที่จะรับการดับสูญของชีวิตไปตลอดกาล แต่ก่อนที่พลังชีวิตทั้งหมดผมจะสิ้นสูญ กระแสจิตที่ร้อนรนของน้องแพรวก็ดังขึ้น
“พราว….สลักราหูอยู่ที่ไหน……”
“พราวพยายามดึงมันกลับอยู่ แต่ไม่มีร่องรอยเลย…มันหายไปแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไร…พราวส่งไปในร่างพี่เอแล้วไม่ใช่หรือ”
“พราวส่งไปแล้ว หลังจากพี่เอเย้ด พราวยังตรวจสอบดูเลย…มันอยู่ในร่างพี่เอแน่นอน”
“แล้วนี่หายไปไหน พราวกระจายปราณไปให้ทั่งร่างพี่เอเดี๋ยวนี้”
กระ สจิตของสองพี่น้องประสานกันเซ็งแซ่ด้วยลักษณะตื่นตกใจ ขณะที่น้องพราวกลับมาจูบปากผมแล้วถ่ายปราณเข้ามากระจายไปทั่วร่าง พลังชีวิตผมย้อนเข้ามาในร่าวงเดิมทำให้รับรู้ว่าปราณน้องพราวกำลังแทรกซอนไป ตามจุดเส้นและกระแสเลือดทุกจุดอย่างเร่งร้อน แต่กลับไม่พบสิ่งทีต้องการ
“แพรว ไม่มี …ไม่มีสลักราหูในร่างพี่เอเลย…”
“เป็นไปได้อย่างไร…หรือว่า..หรือว่าตอนที่พี่เอออกไปข้างนอก”
“พี่เอไปร่วมเพศกับผู้หญิงอื่น..และส่งผ่านสลักราหูออกไป”
ความ เงียบปกคลุมทันทีที่น้องแพรวบ่งชี้ข้อสัณนิษฐาน ซึ่งก็ตรงกับความเป็นจริงทุกประการ เพียงแต่เด็กหญิงทั้งสองไม่รู้ว่าสตรีที่ผมร่วมรักด้วยคือทายาทที่แท้จริง ของตระกูลโรหิณีและเป็นผู้ครอบครองคัมภีร์ปราณราหู และการ่วมรักที่ป่านมาทำให้ผมส่งผ่านสลักราหูเข้าสู่ร่างเหมียวโดยไม่ตั้งใจ ทำให้สองพี่น้องฝาแฝดปราศจากเครื่องมือสุดท้ายที่จำเป็นสำหรับการดูดสลาย ปราณ แต่แล้วจิตผมก็พลันรับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นเมื่อนึกถึงข้อ ความที่ระบุไว้ในคัมภีร์ปราณราหู
“..แต่จงระวังอย่าให้สลักราหู สลายตัวไปก่อนการร่วมรักครั้งที่สอง มิฉะนั้นพลังปราณของสตรีและบุรุษจะไหลวนเวียนโดยไม่รู้จบโดยปราศจากการควบ คุมและจะทำให้ร่างทั้งสองสลายตัวเป็นละอองธุลีไปพร้อมกัน..”
ห้วง จิตใจผมร่ำร้องอย่างรุนแรงเพื่อเตือนเด็กสาวทั้งสองให้รับรู้ถึงสิ่งที่ กำลังเกิดขึ้น และถ้าหากทำได้ผมยินดีที่จะสละร่างกายตนเองเพื่อปิดกั้นกระแสปราณไม่ให้วน เวียนต่อไป แม้ว่านั่นจะทำให้ร่างผมสูญสาลายและน้องพราวน้องแพรวจะต้องสูญเสียปราณทั้ง หมด แต่ผมก็ไม่สามารถบอกสิ่งใดให้เด็กสาวทั้งสองรับรู้ได้แม้แต่น้อยด้วยร่างกาย ที่ไม่สามารถควบคุมได้นี้
“แพรว ..ทำไงดี…ท่านประมุขบอกไว้หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรหากปราศจากสลักราหู”
กระแสจิตน้องแพรวดังขั้นอย่างร้อนรน ขณะที่กระแสจิตน้องพราวดูจะสงบนิ่งราวกับควบคุมอารมณ์ได้
“ไม่มีทางแก้ไข…นี่นับเป็นชะตาที่ถูกกำหนดไว้ เราไม่สามารถฝ่าฝืนได้…”
“แล้วเราจะทำอย่างไร…จะปล่อยให้ปราณวนเวียนไม่รู้จบแบบนี้หรือพราว”
“ถ้า เราปล่อยให้มันวนเวียนอีกไม่เกินครึ่งชั่วยาม จุดเส้นทั้งหมดของเราและพี่เอจะไม่สามารถทานรับการเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป มันจะระเบิดขึ้นพร้อมกันและสูญสลาย..นี่นับเป็นกรรมของเราที่มุ่งร้ายกับพี่ เอ..”
กระแสจิตทั้งสองเงียบงันลงขณะที่ปราณโคจรผ่านร่างผมและน้องทั้งสองรอบแล้วรอบเล่า ครู่ใหญ่กระแสจิตน้องแพรวก็ดังขึ้น
“ในเมื่อเราทั้งสองไม่มีทางรอดชีวิตได้…แล้วพี่เอล่ะพราว..”
“พี่ เอมีทางเลือกสองทางคือสูญสลายไปพร้อมกับเรา หรือหากเราบังคับปราณและพลังชีวิตทั้งหมดของเราย้อนเข้าไปในร่างพี่เอ เราก็จะดับสูญแต่พี่เอยังคงชีวิตอยู่ได้ เพียงแต่ปราณของเราที่เป็นแนวทางตรงและย้อนกลับหากหลั่งไหลเข้าไปในร่างพี่ เอโดยปราศจากแนวทางโคจรปราณราหูที่แท้จริง จักรทุกส่วนและจุดเส้นทุกแห่งของพี่เอจะระเบิดออก นั่นทำให้พี่เอต้องพบกับสภาพปราณสูญสลายและต้องตกอยู่ในสภาพพิการโดยไม่ สามารถเคลื่อนไหวไปตลอดชีวิต ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตายเลย”
“แต่อย่างน้อยพี่เอก็ยังจะได้อยู่กับรินและกิฟท์ต่อไป เป็นการไถ่โทษพวกเรานะพราว”
“แล้วแพรวแน่ใจที่จะทำหรือ”
“แพรว ตัดใจได้แล้ว…เพียงแต่เสียใจที่พี่เอไม่สามารถรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้ …หากพี่เอยอมยกโทษให้แพรว แพรวก็จะจากไปอย่างไร้กังวล…”
“ตอนนี้พี่เออยู่ในสภาพไร้ชีวิตแล้ว…พี่เอไม่สามารถรับรู้อะไร ทั้งสิ้น ได้แต่หวังว่าพี่เอจะอภัยให้เราเท่านั้น..แพรวพร้อมไหม”
“แพรวพร้อมแล้วพราว…พี่เอแพรวลาก่อน แพรวรักพี่เอนะ…”
“พี่เอ…พราวรักพี่เอที่สุด…ขอเพียงให้พี่เอรับรู้เท่านั้น”
กระแส ปราณทั้งหมดถูกสูบออกจากร่างผม แล้วเริ่มทะลักกลับเข้ามาราวน้ำป่าที่พุ่งออกจากเขื่อนกักกั้น ผมรับรู้ถึงพลังทางตรงที่ถ่ายทอดผ่านแก่นกายเข้ามา และพลังย้อนกลับที่ทะลักเข้ามาทางปาก พลังทั้งสองกระทบกันอย่างรุนแรงที่ศูนย์กลางร่างกาย แล้วแตกระเบิดออก แต่นั่นกลับทำให้ความรู้สึกและการควบคุมกระแสปราณของผมกลับมา ภาพเส้นทางการโคจรปราณราหูในคัมภีร์ปรากฏชัดขึ้นในสมอง ผมรีบปรับกระแสพลังจากน้องแพรวให้แยกเส้นทางกับน้องพราวด้วยแนววิชาหลบ เลี่ยง ประสาน ตามแนวทางของคัมภีร์ ที่แม้ความเจ็บปวดจะเกิดขึ้นในช่วงแรกจนแทบทนรับไม่ได้ แต่เมื่อพลังถูกชัดนำให้โคจรไปตามเส้นทางแยกกัน ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ ลดลงที่ละน้อย สมาธิของผมจรดจ่ออยู่กับการควบคุมกระแสพลังที่เริ่มหยุดการถ่ายทอดจากภายนอก และรวมตัวกันที่จุดศูนย์กลางของร่างกาย จิตผมรับรู้ถึงการคงอยู่ของมวลพลังที่ค่อยๆ ยุบตัวเล็กลงทุกขณะจนเหลือขนาดเท่าปลายเข็มหมุด แต่ก่อนที่ผมจะสามารถทำความเข้าใจกับพลังที่เกิดขึ้น จุดพลังก็ระเบิดออกอย่างรุนแรงจนกระจายไปทั่วร่าง กระแสพลังทะลวงผ่านจักรทั้งสี่ในร่างกายแล้วกระจายยออกสู่ภายนอกทุกรูขุมขน สมองผมลั่นอึงอลไปด้วยกระแสพลังที่ทะลักออกมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้สติและความรู้สึกทั้งหมดของผมก็ดับไปในทันที
——————————–
“พี่เอ…”
มือ น้อยๆของน้องรินกุมมือผมไว้ขณะที่ผมยืนมองไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ ในบริเวณบ้านของเหมียว บนพื้นดินมีแท่งหินแกรนิตมันวับสองต้นปักอยู่ ตัวอักษรสีทองที่สลัดบนแท่งหินเขียนชื่อจริงของเด็กหญิงสองคนที่มีความ สัมพันธ์กับผมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
“แพรว พราว…”
ผมพึมพัมออกมา ขอบตาเอ่อริ้นด้วยน้ำตาที่ไม่สามารถควบคุมได้
“แพรวกับพราวไปสงบแล้ว พี่เอต้องสงบใจและต่อสู้กับจักราศีเพื่อพราวและแพรวนะ..”
น้อง รินซบหน้ากับท่อนแขนผมแล้วบอกผมด้วยเสียงแผ่วเบาแต่มั่นคง ผมก้มลงมองใบหน้าเด็กสาวที่ผุ้พันกับผมมาทั้งชีวิต และพบว่าดวงตากลมโตของน้องรินก็กำลังเอ่อนองด้วยน้ำตาเช่นกัน
“ริน รักพราวกับแพรวมาก..เคยคิดที่จะอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิตกับพี่เอ แต่รินไม่เคยรู้เลยว่าทั้งสองคนจะเป็นคนของจักรราศีที่มุ่งทำร้ายพวกเรามา ตลอด”
ผมโอบเอวอ้อนแอ้นของน้องรินไว้แล้วสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนบอกน้องรินเบาๆ
“พี่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ …รินไปหากิฟท์กับเหมียวเถอะ..เดี๋ยวพี่ขอฝึกพลังตรงนี้อีกหน่อยแล้วจะตามเข้าไปนะ..”
น้องรินพยักหน้ารับ แล้วผละจากร่างผมตรงไปยังประตูบ้าน เพื่อสมทบกับน้องกิฟท์และเหมียวที่กำลังค้นคว้าตำราโบราณร่วมกันอยู่ในห้องสมุด
ผม หันหลังกลับตรงมาที่ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งในบริเวณบ้านของเหมียว ซึ่งผมพาน้องรินน้องกิฟท์มาทุกวันหลังเหตุการณ์ในคืนที่น้องพราวน้องแพรวดับ สูญ ห้วงสมองผมปรากฏภาพตนเองรู้สึกตัวขึ้นท่ามกลางแสงสว่างยามเช้า โดยที่บนร่างกายผมมีฝุ่นขี้เถ้าสองกองใหญ่ตรงตำแหน่งท้องน้อยและหน้าอก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่น้องพราวและน้องแพรวร่วมรักกับผมก่อนการผนึกปราณราหู ภาพที่เห็นทำให้ผมต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อรับรู้ว่าเด็กสาวที่แสนงดงามทั้งสองกลับกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีจากการ สลายปราณในร่างกายเพื่อให้ผมกลับฟื้นชีวิตขึ้นมา ระคนความเสียใจที่ไม่สามารถบอกให้ทั้งสองรับรู้ได้ว่าการถ่ายปราณกลับไม่ได้ ก่อเกิดอันตรายแก่ผมแม้แต่น้อยเพราะเคล็ดการโคจรปราณราหูทำให้ผมสามารถผสาน ปราณและพลังชีวิตของน้องพราวน้องแพรวเข้าเป็นพลังปราณในร่างได้โดยสมบูรณ์ ทำให้ปราณคชสีห์และปราณจักรวาลที่เคยแยกย้ายโคจรในร่างกลับหลอมละลายเป็น ปราณสายเดียวกันด้วยอำนาจของปราณราหู และก่อเกิดปราณใหม่ที่แม้แต่ผมก็ยังหวาดกลัวกับอำนาจของมัน
ผมก้าว เดินมายังต้นไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบที่ชายขอบที่ดินบ้านเหมียว แล้วสูดหายใจลึกเพื่อกระจายพลังปราณ ละอองหมอกสีขาวเรื่อเรืองปกคลุมล้อมร่างผมราวเกราะแห่งเทพเจ้า ขณะที่ผมผลักพลังออกจากฝ่ามือไปยังลำต้นของต้นไม้เบื้องหน้า
ทุกสิ่ง สงบนิ่งราวกับต้นไม้ไม่ได้รับแรงกระทบใดๆ แต่เพียงชั่วอึดใจ ใบดกหนาของต้นไม้ก็หล่นลงทีละน้อยจนร่วงพรูลงมาทั้งหมดสุมเป็นกองอยู่ที่แทบ เท้า ผมก้มลงดูใบไม้สีเหลืองแห้งกรอบที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาทียังคงเป็น ใบไม้สีเขียวสด ด้วยความรู้สึกผสมกันระหว่างความมั่นใจในหลังปราณใหม่ที่บังเกิดขึ้นในร่าง กับความหวากกลัวในอำนาจการทำลายที่เหนือความเข้าใจของมนุษย์
“เอ..ขืนฝึกแบบนี้ เดี๋ยวต้นไม้บ้านเหมียวตายหมดพอดี…”
เสียง ใสๆ ของเพื่อนรักที่กลับเป็นเมียรักของผมอีกคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ผมหันกลับไปยิ้มให้ใบหน้างดงามที่เปล่งประกายเรืองรองกลางแสงแดดยามเช้าด้วย ความรัก และดึงร่างงามที่อยู่ในชุดนอนมาในอ้อมแขน
“งั้นเราฝึกกับเหมียวตอนนี้เลยดีไหม…”
ผมบอกเหมียวด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ ทำให้เหมียวหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก.. แล้วก้มหน้ากระซิบอายๆ
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก่อนแล้วค่อยฝึกได้ไหมเอ..เมื่อคืนเหมียวฝึกพร้อมรินและกิฟท์ จนแทบยืนไม่ได้แล้ว”
ผม หัวเราะแล้วจูบหน้าผากเหมียวเบาๆ ก่อนพาเดินกลับไปที่ตัวบ้าน ร่างน้องรินและน้องกิฟท์ ที่ยืนรอผมอยู่ที่ประตูท่ามกลางแสงสว่างยามเช้าบอกผมให้รู้ว่านี่เป็นวัน ใหม่ ที่ผมต้องกำจัดความกังวลใจทั้งสิ้นออกไป เพื่อปกป้องรักษาผู้เป็นที่รักด้วยชีวิตของตัวเอง….