The Paradox บทที่ 3.2 แพรวพราว
The Paradox บทที่ 3.2 แพรวพราว
“เฮ้ย ไอ้เอ มึงเจาะเสร็จหรือยังวะ เดี๋ยวจะได้ไปดูสตาร์วอร์กัน…”
เสียงดังสนั่นของไอ้ช้างเพื่อนร่วมภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ของผมดังลั่น ขณะที่มืออวบอ้วนฟาดโครมมาที่ไหล่ผมอย่างกันเอง ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นจากกองพันช์การ์ดที่ผมกำลังก้มหยน้าก้มตาป้อนรหัส เข้าเครื่องเจาะเพื่อปรุให้การ์ดกระดาษเป็นรูก่อนที่จะส่งเข้าไปในเครื่อง คอมพิวเตอร์มินิเมนเฟรมที่ตั้งตระหง่านกินพื้นที่ครึ่งห้องเบื้องหน้า
“เออ…พวกมึงไปก่อนเถอะ…กูจะป้อนลงเครื่องเลย พวกมึงไม่อยู่ก็ดีแล้วกูจะได้ไม่ต้องต่อคิวพวกมึง”
ผมเงยหน้าตอบไอ้ช้างอย่างสนิทสนม แม้ว่าในช่าวงที่ผมเรียนปี 1 ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในประเทสแห่งนี้ ผมกับไอ้ช้างจะไม่ค่อยสนิทกันนัก จากากรที่ผมเป็นนักกีฬาประจำคณะในขณะที่ไอ้ช้างผู้มีร่างกายอ้วนใหญ่มุ่ง หน้ากับการทำความรู้จักสาวๆ ต่างคณะมากกว่า แต่เมื่อขึ้นสู่ปีสองที่มีจำนวนผู้ลงทะเบียนในสาขาคอมพิวเตอร์เพียงสิบกว่า คน ทำให้ผมและไอ้ช้างต้องกลายเป็นเพื่อสนิทกันโดยปริยาย
“เวร…เห็นมึงบอกว่าอยากดูไง…ไม่ดูกับเพื่อนแล้วมึงจะดูกับใครวะ……..”
ไอ้ช้างบ่นอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เบื้องหลังกลุ่มเพื่อนร่วมแผนกของผมกำลังเก้บของใช้ส่วนตัวและเดินมารวมกันที่ข้างโต๊ะผม
“กูสัญญาจะไปดูกับน้องสาวว่ะ..”
ผมตอบอย่างไม่สนใจนัก แต่ไอ้ช้างตาโตทันทีที่ผมพูดถึงน้องสาวและถามอย่างกระวนกระสายตามนิสัยของคน “ขี้หลี” ประจำคณะ
“น้องสาวคนไหนวะ…น้องรินหรือน้องกิฟท์..กูขอจีบคนใดคนหนึ่งจะได้ไหมวะ..”
“ไอ้เหี้ย…มึงจะไปไหนก็ไป …”
ผม ด่าอย่างไม่จริงจังนักเพราะรู้นิสัยปากพล่อยของไอ้ช้างดี ที่ผ่านมาน้องรินและน้องกิฟท์มาหาผมที่คณะเสมอหลังเลิกเรียนเพื่อกลับบ้าน ด้วยกัน ความน่ารักของเด็กหญิงวัยแรกรุ่นทั้งสองทำให้หนุ่มๆ ในคณะวิศวกรรมศาสตร์แทบทุกคนกลายเป็นผู้ปรารถนาจะเป็นน้องเขยของผมในทันที ที่เห็น แต่ไม่มีใครรู้ความจริงหรอกว่าน้องรินและน้องกิฟท์คือเมียรักที่ผมนอนร่วม เตียงกันมากว่า 3 ปีแล้ว
“แม่งหวงน้องสาวจริงๆ มึงเนี่ย…..เฮ้ยไปโว๊ย”
ไอ้ช้างบ่นงึมงำท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนรอบข้าง ก่อนหันไปชักชวนทุกคนให้ออกไปชมภาพยนตร์ใหม่ที่เพิ่งเข้าเมืองไทยเป็นครั้งแรก
ความ เงียบกลับมาเยือนห้องคอมพิวเตอร์ขณะที่ผมค่อยๆ ป้อนกระดาษแข็งพันช์การ์ดเข้าสู่เครื่อง ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงการเติบโตของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในอนาคต ที่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเครื่องเล็กๆ จะมีประสิทธิภาพเหนือกว่ามินิเมนเฟรมที่บรรจุในตู้เหล็กขนาดใหญ่กลางห้องที่ ปรับอากาศจนเย็นเฉียบที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าผมขณะนี้ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถจะเล่าให้ใครฟังได้นอกจากเมียรักทั้งสองและ คนใกล้ชิดในครอบครัวเท่านั้น ผมมองกระดาษพิมพ์ผลของการรันโปรแกรมที่ผ่านออกมาจากเครื่องพิมพ์ ด้วยความพอใจที่ไม่มีความผิดพลาดใดๆ ในโปรมแกรมที่ผมเขียนขึ้น สมาธิของผู้ทรงปราณช่วยให้ผมสามารถเรียนรู้วิชาการได้อย่างง่ายดายและ ปราศจากข้อผิดพลาด จนอาจารย์ทุกคนในภาควิชายกให้ผมเป็นนิสิตตัวอย่างของภาควิชาที่เพิ่งเปิด ใหม่แห่งนี้ คู่กับนังเหมียวเพื่อนหญิงร่วมแผนก
เสียงประตูห้อง คอมพิวเตอร์เปิดออก ทำให้ผมต้องละสายตาจากแผ่นกระดาษเบื้องหน้าหันไปยังผู้เข้ามา ใบหน้าของนิสิตสาวร่วมแผนกที่ปรากฏทำให้ผมต้องยิ้มรับและทักทายอย่างกันเอง
“อ้าวเหมียวเหรอ มาหาใครวะ ไม่มีใครอยู่หรอกไปดูหนังกันหมดแล้ว”
ปาริชาติ นิสิตสาวปีสองเพื่อนร่วมภาควิชาของผมยิ้มรับคำทักทายของผมก่อนเดินเข้ามานั่งข้างๆ อย่างถือวิสาสะ
“มาหาเอ็งนั่นแหละ..ดีเลยไม่มีใครอยู่ จะได้เย็ดกันสะดวก…ดีไหม”
ผม หัวเราะออกมากับคำพูดนังเหมียวเพื่อนร่วมคณะที่ผมสนิทกว่าใครๆ ระหว่างที่อยู่ปีหนึ่ง นังเหมียวหรือปาริชาติเป็นเด็กสาวที่ไม่เคยแต่งชุดนิสิตหญิง แต่กลับห่อหุ้มร่างในชุดเสื้อเชิ้ตหลวมโคร่งเป็นประจำ เลือกสอบเอ็นทรานซ์ เรียนวิศวะแทนที่จะเป็นอักษรศาสตร์ตามความต้องการของมารดาที่เป็นศิษย์เก่า ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นพลาสิคหนาเตอะจนคลุมไปครึ่งหนึ่งของใบหน้า ทรงผมกระเซอะกระซิงที่แทบไม่เคยผ่านการหวีสาง เครื่องประดับรุ่มร่ามแบบฮิปปี้ และรูปร่างผอมบางเก้งก้างราวกับเด็กมัธมต้น ทำให้นังเหมียวกลายเป็นเรื่องผิดหวังของนิสิตชายในคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่เฝ้า รอสาวสวยมาร่วมคณะ แต่ด้วยสมองที่เฉลียวฉลาดจนสอบเข้ามาเป็นอันดับหนึ่ง และผลการเรียนเทอมแรกที่ได้ A ทุกวิชา ทำให้เหมียวกลายเป็นที่พึ่งของเพื่อนร่วมชั้นทุกคนยามใกล้สอบ และเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีใครมองเหมียวเป็นผู้หญิงอีกเลย ทำให้เหมียวกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ทุกคนสามารถพูดจาเล่นหัวด้วยคำหยาบเช่น ผู้ชายคนหนึ่ง แถมพกด้วยฉายา “แฟรงค์เก้นสตี้” ทีทำให้เหมียวร้องกรี๊ดและไล่เตะเพื่อนทุกคนที่ล้อเลียนอย่างไม่ไว้หน้า
“ดี เหมือนกัน…ว่าแต่เราจะหลบไปเอากันที่ไหนดีล่ะ….ห้องแลปไฟฟ้าดีไหม ใช้กระแสไฟฟ้าช่วยให้เอ็งกระเด้งจะได้มีฟิลลิ่งหน่อยตื่นเต้นดี ไม่งั้นเสียงชื่อแฟรงค์เก้นสตี้หมด”
ผมหยอกล้อนังเหมียวอย่างกันเอง เพราะรู้ดีว่าเด็กสาวคนนี้แม้จะใช้คำพูดที่ชวนให้ผู้ฟังตีความฟุ้งซ่าน แต่ในความจริงเหมียวไม่เคยสนใจเรื่องชายหญิงแต่อย่างใด และไม่เคยมีใครมองเหมียวเป็นผู้หญิงเช่นกัน
“บ้า…ไฟช๊อตตายห่าเลย…เด๋วหีข้าระเบิดขึ้นมาจะเอาอะไรมามาให้เอ็งกินวะ”
“ไม่เป็นไรหรอก กูไม่กินของดิบอยู่แล้ว… โดนไฟช๊อตสักหน่อยน่าจะหอมน่ากินขึ้นอีกนะ”
“บ้า..ไอ้เอบ้า…ลามกขึ้นเรื่อยๆนะเอ็ง ”
นัง เหมียวทุบหลังผมดังพลัก แล้วลุกขึ้นยืนค้อนให้อย่างงอนๆ จนทำให้ผมหัวเราะก๊ากเพราะน้อยครั้งที่จะเห็นนังเหมียวแสดงอาการงอนแบบ ผู้หญิงอย่างนี้ นังเหมียวหันหน้ามายังผมและเมื่อเห็นสายตาขบขันของผมก็ทำตาเขียวใส่
“มองอะไร..ไอ้เอ..เดี๋ยวเถอะ.. ”
ผมแกล้งหยุดสายตาไว้ที่บริเวณหน้าอกที่ถูกเสื้อหลวมโคร่งปิดบังเอาไว้ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแหบๆ เลียนเสียงไอ้ช้าง…
“ก็มองนมนี่แหละ อยากเห็นจริงๆ ว่าจะใหญ่กว่าขนมครกแค่ไหน”
นัง เหมียวหัวเราะกิ๊กกับการเลียนท่าทางของผม แต่ผมรู้ดีว่าเหมียวไม่คิดว่าผมจะคิดเกินเลยไปในทางอื่นเพราะความสนิทสนมกัน ตลอดปีที่ผ่านมาทำให้เหมียวรู้ว่า ผมให้ความเป็นเพื่อนมากกว่าเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น
“ไอ้ห่าเอ..เลียนแบบซะเหมือนไอ้เหี้ยช้างเชียว เอ้า รีบๆ เข้า ข้าจะจะมาบอกว่ามีสาวมารอที่รถ”
“น้องรินหรือน้องกิฟท์ละ…”
ผม ถามอย่างไม่ใส่ใจนักขณะเก็บของลงกระเป๋าสะพาย ที่ผ่านมาเพื่อนทุกคนในคณะรู้จักน้องรินและน้องกิฟท์ดีจากที่ทั้งสองมาหาผม เป็นประจำ แต่ผมต้องชะงักกับคำตอบที่เหมียวบอกกลับมา
“ไม่ใช่ทั้งสอง คนว่ะ เป็นสาวน้อยน่ารักผมสั้นตาคมนมเบิ้ม เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้ น้องเขามาถามหาเอ็ง พอเจอข้าก็บอกให้ข้าช่วยขึ้นมาตามนี่แหละ เอ็งรีบลงไปลงไปดูเหอะ ตอนนี้หนุ่มๆ ที่ลานจอดรถแทบจะคลั่งตายแล้ว”
ผมครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะกับคำบรรยายจองนังเหมียว แต่เพียงชั่วขณะเดียวก็รู้ว่าผู้มาคือใคร
“น้องแพรว”
นังเหมียวมองหน้าผมอย่าล้อๆ
“จะเป็นใครก็ลงไปเถอะพ่อคนเสน่ห์แรง ว่าแต่เป็นสาวคณะไหนวะ ”
“เด็กเตรียม อยู่ ม.ศ.4 น่ะ เป็นเพื่อนน้องรินน้องกิฟท์…สงสัยจะให้ช่วยอะไรแน่ๆ ”
ผมตอบแล้วลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเพื่อออกจากห้อง พร้อมกับนังเหมียว ที่หันมาโบกมือลาอย่างล้อๆ พร้อมส่งเสียงกระเซ้า
“ช่วยอะไรก็ช่วยเถอะ เอ็งอย่าไปเย็ดน้องเขาล่ะ ม.ศ.4 นี่คุกนะโว๊ย..เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
ผม โบกมือให้เพื่อนสาวอย่างไม่สนใจอะไรนักและเดินลงจากตึกคอมพิวเตอร์เพื่อมา ยังลานจอดรถ พร้อมกับคิดถึงน้องแพราวและน้องพราวซึ่งบัดนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแขกประจำของ บ้านผมไปแล้ว เพราะสองสาวมาขลุกอยู่กับน้องรินน้องกิฟท์ทุกเวลาที่ว่าง จนทำให้ผมเองก็อึดอัดเล็กน้อยที่ ไม่สามารถแสดงความรักกับน้องรินน้องกิฟทืได้อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่มาทดแทนคือบรรยากาศร่าเริงแจ่มใสที่สองสาวฝาแฝดนำมาให้กับบ้าน ทุวันเรื่องของน้องพราวน้องแพรวจะเป็นหัวข้อสนทนาประจำระหว่างผมกับเมียรัก ทั้งสองบนเตียง ซึ่งน้องรินและน้องกิฟท์ต่างพยายามชักชวนให้ผมร่วมรักกับเพื่อนสนิททั้งสอง โดยน้องกิฟท์สนับสนุนน้องแพรว ในขณะที่น้องรินสนับสนุนน้องพราว แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าน้องรินจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจากน้องพราวแม้จะมีท่าทีเป็นมิตรกับผมมากขึ้น แต่เด็กสาวก็ยังคงสงวนคำพูดและมักจะนิ่งเงียบในทันทีทีผมเข้าร่วมวงสนทนา ต่างจากน้องแพรวที่ร่าเริงแจ่มใสไม่ต่างกับน้องกิฟท์ และปล่อยตัวให้คลุดคลีกับผมอย่างสนิทสนมโดยไม่สนใจต่อสายตาน้องสาว
แม้ น้องรินน้องกิฟท์จะแข่งกันให้ผมเลือกเพื่อนสาวคนใดคนหนึ่ง แต่ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาหลังจากผมออกจากโรงพยาบาล อันเป็นผลมาจากการต่อสู้ระหว่างผมกับสำนักมังกรฟ้า ทำให้ผมต้องอุทิศเวลากับการฝึกปราณคชสีห์ให้หนักขึ้น เพราะผมทราบดีว่าระดับปราณปัจจุบันแม้จะเข้มแข็งกว่าในอดีต แต่มันก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูที่ทรงปราณระดับสูงเช่นองครักษ์สำนัก มังกรฟ้าได้ ทำให้แม้น้องพราวเด็กสาวแฝดผู้น้องจะแสดงท่าทีเปิดเผยให้ผมเข้าสานต่อความ สัมพันธ์ก็ตาม แต่สัมผัสของผมบอกว่าน้องแพรวไม่มีปราณธรรมชาติอยู่ในร่าง การร่วมรักจึงไม่สามารถปลูกฝังปราณคชสีห์ให้กับเด็กสาวได้ ดังนั้นผมจึงพยายามระงับความต้องการเอาไว้เพราะไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ กับหญิงอื่นนอกจากน้องรินและน้องกิฟท์ เพราะมันอาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายในชีวิตจนผมไม่มีเวลาฝึกปรือปราณคชสีห์ให้ เข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวน้องรินและน้องกิฟท์ก็รู้ดี ทำให้ระยะหลังๆ ทั้งสองก็ยุติการรบเร้าให้ผมสร้างความสัมพันธ์กับสองพี่น้องไป แต่อย่างไรก็ตามผมเองก็ต้องยอมรับว่าใบหน้าน่ารักและเรือนร่างที่เติบโตเกิน วัยของสองพี่น้อง รบกวนจิตใจผมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะยามที่ทั้งสองอยู่ในชุดว่ายน้ำที่รัดรึงจนเปิดเผยความงดงามของร่าง กายวัยสาวอย่างชัดเจนต่อสายตาผม
ผมผลักบานประตูใหญ่ของอาคารภาควิชา ออกมาด้านนอก รถโฟล์คเต่าอายุกว่า 10 ปีที่เป็นยานพาหนะสุดหวงของผมจอดนิ่งอยู่ข้างอาคารบริหารที่เป็นงานจอดรถของ คณะ สีดำสนิทของรถที่ผ่านการเคลือบสีอย่างดีจนสะท้อนแสงดวงอาทิตย์ยามสายทำให้ ร่างเด็กสาวในชุดเสื้อยืดกีฬาสีขาวและกางเกงขาสั้นครึ่งขาอ่อนสีขาวซึ่งยืน พิงประตูรถอยู่เป็นจุดเด่นที่ดึงดูดสายตานิสิตชายทุกคนที่อยู่ในบริเวณ แต่ก่อนที่ผมจะก้าวขาไปยังรถ มือข้างหนึ่งก็คว้าหมับเจ้าทีต้นแขน พร้อมเสียงกระซิบอย่างตื่นเต้นที่ข้างหู
“เฮ้ย เอ…ใครวะ แฟนหรือเปล่า…”
ผมหันไปพบใบหน้าของพี่ไชยยา รุ่นพี่ปี่สี่ซึ่งเป็นประธานเชียร์ของคณะ แล้วสั่นหน้า
“เพื่อนน้องสาวครับพี่..สงสัยจะมีธุระ..”
“จริงหรือ…น้องเขาอยู่คณะไหน มีแฟนหรือยัง…”
พี่ไชยาเพิ่มแรงบีบต้นแขนผม และถามอย่างเร่งร้อน
“ม.ศ.4 โรงเรียนเตรียมอุดมครับพี่…”
ผม ตอบกลั้วหัวเราะ ทำให้พี่ชัยผงะร่างออกอย่างตกใจ อ้าปากค้าง อย่างพูดอะไรไม่ออก ปล่อยให้ผมเดินเข้ามาที่รถ ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมคณะที่จับจ้องมาอย่างสนใจ
น้องแพรวยิ้ม รับและขยับตัวเล้กน้อยเมื่อเห็นผมกำลังเดินเข้าไปหา ผมถอนใจเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าหวานโฉบเฉี่ยวของเด็กสาวที่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางเล็ก น้อย จนดวงตาที่กลมโตดูจะเปล่งประกายออกมา เสื้อยืดไร้แขนที่ฟิตกับเรือนร่างแรกสาว ทำให้ทรวงอกอวบอิ่มดันเนื้อผ่าเป็นรูปร่างกลมกลึงน่าคลึงเคล้น กางเกงผ้าฝ้ายขาบานครึ่งขาอ่อนที่เผยให้เห็นลำขาเรียวตรงขาวเนียนที่ปราศจาก ริ้วรอยใดๆ ทำให้ผมรู้ในทันทีว่าทำไมนิสิตชายทุกคนรอบข้างจึงตื่นตะลึงกับการปรากฏกาย ของน้องแพรว เพราะในปี พ.ศ.2523 ที่แฟชั่นกระโปรงยาวกำลังเติบโต การเปิดเผยผิวกายของน้องแพรวจึงเป็นสิ่งยั่วยวนใจผู้ชายทุกคนและสะท้อนความ เป็นตัวของตัวเองที่ไม่สนใจแฟชั่นของน้องแพรวออกมาอย่างชัดเจน
พอผม เดินไปถึงร่างเด็กสาว ใบหน้าที่โฉบเฉี่ยวก็เงยหน้ายิ้มรับน้อยๆ ทำให้ผมรู้สึกเอะใจ เพราะปกติแล้วน้องแพรวจะเลียนแบบน้องกิฟท์โดยกระโดดเข้ามากุมมือผมไว้อย่าง สนิทสนมทุกครั้งที่ได้พบเห็น แต่เด็กสาวที่ยืนอยู่เบื้องหย้าแม้จะแต่งตัวในไสตล์เปิดเผยผิวกายเช่นเดียว กับน้องแพรว แต่อากัปกริยาอาย เมื่อพบหน้าผมทำให้ผมคิดว่าร่างนี้น่าจะไม่ใช่แพรวแต่อาจจะเป็นพราวที่เคอะ เขินเสมอเมื่อพบหน้าผู้ชาย
“สวัสดีค่ะพี่เอ……”
ร่างเบื้องหน้ายกมือไหว้ผมอย่างอ่อนหวานทำให้ผมแนาใจในทันทีว่านี่ต้องเป็นพราวอย่างแน่นอนเพราะแพรวไม่มีกริยานุ่มนวลแบบนี้
“พราวใช่ไหม…มาหาพี่ถึงนี่มีอะไรหรือเปล่า”
เด็กสาวพยักหน้ารับ ดวงตามีประกายแจ่มใสเมื่อพบว่าผมแยกความแตกต่างระหว่างสองพี่น้องนี้ได้
“ริน กับกิฟท์บอกให้พราวมาหาพี่เอ อยากให้พี่เอช่วยยืมหนังสือจากหอสมุดกลางให้เล่มหนึ่ง เพราะริน กิฟท์ แพรว กับพราว ต้องทำรายงานแต่หนังสือที่โรงเรียนเตรียมหายไปไหนก็ไม่รู้ ”
ผมพยักหน้ารับ แล้วไขกุญแจประตูรถให้น้องพราว
“โอเค ไม่มีปัญหา ขึ้นรถเลย เดี๋ยวพี่จะพาข้ามไปหอสมุดกลาง พวกเราจะเอาหนังสืออะไรล่ะ”
น้องพราวก้าวขึ้นรถมานั่งข้างผม ก่อนตอบเบาๆ ตามนิสัย
“หนังสือไตรภูมิพระร่วงน่ะพี่เอ…”
“อ้าว…ทำไมน้องกิฟท์ไม่เอาจากที่บ้านมาล่ะ…อ้อ..โทษทีพี่ลืมไป..”
ผม โพล่งออกไปทันทีที่นึกได้ว่าในตู้หนังสือที่บ้านมีหนังสือไตรภูมิพระร่วง เก็บรักษาไว้ แต่ต้องรีบเปลี่ยนคำพูดทันทีเมื่อนึดขึ้นได้ว่าหนังสือที่บ้านเป็นหนังสือ โบราณที่จารึกด้วยอักษรขอม ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงน้องกิฟท์ และผมที่ได้รับความรู้เรื่องภาษาโบราณมาจากน้องกิฟท์ ระหว่าง “กิจกรรมถ่ายทอดความทรงจำ” เท่านั้นที่สามารถอ่านออก แม้กระทั่งน้องรินก็ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้เพราะความทรงจำของน้องกิฟท์ที่ ส่งผ่านมายังผมไม่สามารถถ่ายทอดต่อไปให้น้องรินได้ น้องพราวหันหน้ามาดูผมอย่างแปลกใจในคำพูด แต่ไม่ได้ถามอะไรให้ผมต้องหาทางกลบเกลื่อน
ผมพาน้องพราวมายังอาคาร หอสมุดกลางแล้วนำขึ้นไปยืมหนังสือเล่มหนามาให้ ความหนักของหนังสือทำให้เด้กสาวถึงกับตัวเอียงเมื่อบรรจุลงไปในกระเป๋า จนผมต้องแย่งมาถือไว้แทน แล้วพาน้องพราวกลับมาที่รถ
“แล้วนี่พวกน้องริน น้องกิฟท์ น้องแพรวอยู่ที่ไหนล่ะ พี่จะได้ไปส่งให้”
ผมเอ่ยถามขณะขับรถพาน้องพราวออกจากหอาหารหอสมุด
“พวก นั้นแยกไปซื้อเครื่องมือทำรายงานที่เซ็นทรัลสีลมน่ะพี่เอ เห็นบอกว่าจะไปดูหนังต่อด้วย แต่พราวไม่อยากดูเลยรับอาสามาหาพี่เอให้ยืมหนังสือให้ เดี๋ยวทุกคนจะไปรวมตัวทำรายงานที่บ้านพี่เอตอนบ่ายสี่โมง”
น้องพราว ตอบคำถามผมเบาๆ โดยไม่มองหน้า แต่คำตอบก็ทำให้ผมอดสะดุดใจไม่ได้โดยเฉพาะคำพูดที่ว่าน้องพราวรับอาสามาหาผม เอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้น้องพราวบอกว่ารินกับกิฟท์เป็นผู้ขอให้มา ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลา 11.45 น. แล้วอดถามน้องพราวไม่ได้
“นี่ยังไม่เที่ยงเลย แล้วน้องพราวจะให้พี่ไปส่งที่ไหนล่ะ”
น้องพราวหันมามองผมนิดหนึ่งก่อนตอบเบาๆ
“พี่เอส่งพราวที่สยามแสควร์ก็ได้”
น้ำ เสียงเด็กสาวแปร่งเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึก แต่ก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีน้องพราวอาจจะต้องการมาหาผม และเสียใจที่ผมทำท่าเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้น้องพราวอยู่ด้วย
“นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว พราวกินอะไรกลางวันกับพี่ไหม ที่สยามแสควร์ร้านเอสแอนพีที่เพิ่งเปิดอาหารอร่อยมากนะ พราวเคยกินไหม”
ผมเอ่ยปากชวนน้องพราวอย่างไม่แน่ใจ แต่เด้กสาวกลับหันมาสบตาผมแล้วยิ้มน้อยๆ
“เอาสิพี่เอ…พราวเคยได้ยินชื่อร้านนี้หลายครั้งแล้วแต่ยังไม่เคยลองสักที”
ผม ยิ้มตอบแล้วหันหัวรถมุ่งหน้าไปยังสยามแสควร์ พร้อมกับชวนเด็กสาวพูดคุยไปด้วย ทีแรกน้องพราวก็มีท่าทีเคอะเขินในการสนทนา แต่เมื่อเห็นผมพูดคุยอย่างกันเองกริยาของเด็กสาวก็ผ่อนคลายลงทีละน้อย จนผมได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ที่น้องพราวให้กับผมเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่นานนักผมก็มาถึงสยามแสควร์และบังคับรถให้จอดหน้าร้าน
“เอ้าถึงแล้ว…เอสแอนด์พี โชคดีจังที่จอดหน้าร้านว่างพอดีเลย…”
ผม บอกน้องพราวที่ยังคงหัวเราะเบาๆ จากการสนทนาที่ผ่านมา เด็กสาวยิ้มรับและเปิดประตูลงจากรถรอเดินเข้าร้านพร้อมผมอย่าง แต่สายตาผู้อยู่ในร้านที่มองน้องพราวเป็นตาเดียวจากชุดที่เปิดเผยเนื้อหนัง วัยแรกรุ่น ทำให้ผมต้องตัดสินใจพาน้องพราวขึ้นมาที่โต๊ะชั้นสองแทน
“วันนี้พราวแต่งตัวแปลกไปนะ คนมองกันเป็นตาเดียวเลย…”
ผมเปรยขึ้นหลังจากได้ที่นั่งและสั่งอาหารจากบริกรเรียบร้อย คำพูดผมทำเอาน้องพราวหน้าแดงและตอบเสียงอุบอิบ
“ก็ รินนั่นแหละ..ไม่รู้นึกอะไร บังคับให้พราวแต่งชุดนี้ แถมยังไปหาเครื่องสำอางจากไหนไม่รู้มาแต่งหน้าพราวอีก พราวน่าเกลียดมากเลยหรือพี่เอ..”
ประโยคสุดท้ายน้องพราวถามผมอย่างไม่แน่ใจทำเอาผมต้องหัวเราะอย่างกลั้นไม่ได้ แต่ต้องรีบตอบเมื่อเห็นใบหน้าที่สลดลงของน้องพราว
“ใคร ว่าน่าเกลียดกัน วันนี้พราวน่ารักมากเลยนะ รู้ไหมว่าเพื่อนๆ พี่ๆ ในคณะพี่ มองกันเป็นตาเดียวแถมมาขอให้พี่ช่วยนแนะนำพราวให้รู้จักด้วย….”
“บ้าจัง…ทีหลังพราวไม่แต่งแบบนี้แล้ว..อายจะแย่……”
น้องพราวบ่นงึมงำ แต่สองแก้มกลับมีสีชมพูระเรื่อทำให้รู้ว่าน้องพราวก็ดูจะดีใจกับคำชมไม่น้อย
“เอ้าอย่ามัวแต่อาย อาหารมาแล้ว ทานซะก่อนเดี๋ยวจะเป็นลมไป อดสวยพอดี…”
ผม กำชับเมื่อเห็นอาหารถูกยกมาตั้งตามค่ำสั่ง แล้วเริ่มทานพร้อมกับชวนน้องพราวพูดคุยตามสบายต่อจากการสนทนาในรถ กริยาของเด็กสาวดูจะผ่อนคลายมากขึ้น และกลับเป็นฝ่ายเริ่มหัวข้อสนทนากับผมเอง จนทำให้ผมตัดสินใจถามคำถามที่อยากรู้มานาน
“พราว…พี่อยากถามอะไรเรื่องหนึ่ง พราวตอบพี่มาตามตรงได้ไหม”
น้องพราวสบตาผมอย่างสงสัย แต่พยักหน้ารับ
“เรื่องอะไรล่ะพี่เอ ”
“พี่ อยากรู้ว่าทำไมก่อนนี้พราวถึงไม่กล้าคุยกับพี่…ทั้งที่พราวก็เป็นคนช่าง พูดคุย รู้ไหมว่าถ้าพราวยิ้มแย้มพูดคุยแบบนี้ แทนที่จะทำตัวเคร่งขรึม พราวจะเป็นเด็กสาวที่น่ารักที่สุดคนหนึ่งเลยนะ…”
น้องพราวหลบสายตาทันทีที่ได้ยินคำถามของผม เด็กสาวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนส่งเสียงตอบเบาๆ..
“ก็ พราวไม่กล้าคุยกับพี่เอนี่…แพรวเขาประกาศตั้งแต่เจอพี่เอแล้วว่าเขาชอบพี่ เอมาก อยากให้พี่เอเป็นแฟน พราวเลยไม่กล้าคุยกลัวแพรวจะเข้าใจผิด….
ผม นึกถึงน้องแพรวที่มักใช้ร่างกายสัมผัสผมอย่างจงใจทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วอดยิ้มในใจไม่ได้เพราะในที่สุดผมก็ทราบเหตุผลที่น้องพราวพยายามทำตัว ห่างจากผม..
“ น้องพราว…พี่จะบอกอะไรให้นะ..”
ผมเอื้อมมือ ไปกุมมือนุ่มนวลของเด็กสาวบนโต๊ะไว้ น้องพราวสะดุ้งนิดหนึ่งแต่ก็ปล่อยให้ผมกุมมือน้อยๆ ไว้โดยไม่ขัดขืน ขณะเดียวกันก็ลอบส่งกระแสปราณแผ่วเบาผ่านเข้าสู่ร่างกายเด็กสาวเพื่อตรวจสอบ ปราณธรรมชาติที่อาจจะมีในร่าง พร้อมกับตอบน้องพราวอย่างนุมนวล
“พี่ รักน้องแพรวน้องพราวเหมือนน้องสาว ไม่ต่างอะไรกับน้องรินและน้องกิฟท์ พราวไม่ต้องกังวลว่าแพรวจะคิดดอย่างไรหรอก เป็นตัวของพราวเอง ทำสิ่งที่พราวต้องการดีกว่า เข้าใจไหม…”
น้องพราวสบตาผมแล้วพยัก หน้ารับอย่างอายๆ สีชมพูระเรื่อของเลือดที่แผ่ซ่านขึ้นไปยังพวงแก้มยิ่งทำให้น้องพราวดูมี เสน่ห์ขึ้นกว่าที่ผมเคยเห็น ผมค่อยๆ ปล่อยมือนุ่นเนียนที่กุมไว้อย่างเสียดาย ซึ่งเกิดจากสัมผัสที่อบอุ่นผสมกับความผิดหวังที่ไม่พบการคงอยู่ของปราณ ธรรมชาติในร่างน้องพราว แล้วพยายามเปลี่ยนบทสนทนา เมื่อเห็นน้องพราวรวบช้อนส้อมในจานอาหาร
“ อ้าว..น้องพราวอิ่มแล้ววหรือ อาหารไม่อร่ยหรือไง”
น้องพราวสั่นหน้าแล้วตอบอย่างเขินๆ
“อร่อยมากเลยพี่เอ..แต่พราวกลัวอ้วนน่ะ..”
“ใครว่าน้องพราวอ้วน พี่ว่ารูปร่างน้องพราวนี่สวยที่สุดแล้ว…จะลดไปทำไมกัน”
“จับได้แล้ว ที่แท้พี่เอแอบมองพราวตอนว่ายน้ำใช่ไหม…”
น้องพราวทำเสียงดุๆ ทำท่างอนแต่ดวงตาเด็กสาวเป็นประกาย
“อ้าว…ก็พี่เป็นผู้ชายนี่ ไม่ดูสาวๆสวยๆ อย่างน้องพราว แล้วจะให้พี่ไปดูอะไรล่ะ..”
“บ้า พี่เอเนี่ย ไม่คุยด้วยแล้ว…”
ใบ หน้าเด็กสาวยิ่งแดงจัดเมื่อถูกผมกระเซ้า ผมรวบช้อนตามแล้วหันไปสั่งกาแฟสำหรับตัวเองและไอศกรีมให้น้องพราว พร้อมกับพูดคุยเย้าแหย่ทำให้น้องพราวส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะ จนผมชำระเงินค่าอาหารแล้วพาน้องพราวกลับมาที่รถ
“นี่เพิ่งบ่ายโมงเอง น้องพราวจะไปไหนต่อหรือเปล่าพี่จะไปส่งให้”
น้องพราวสั่นหน้าปฏิเสธ
“ทีแรกพราวคิดว่าจะไปชอบปิ้ง แต่คิดอีกทีอยากนั่งพักดูหนังมากกว่า พี่เอไปดูเป็นเพื่อนพราวได้ไหม”
ผมอดหัวเราะในใจไม่ได้ ที่วันนี้คงหลีกเลี่ยงการชมภาพยนตร์ไม่พ้น
“เอาสิ…น้องพราวอยากดูเรื่องอะไรล่ะ ”
“พราวอยากดูสตาร์วอร์….”
คำ ตอบของเด้กสาวทำเอาผมหัวเราะออกมา เพราะไม่คิดส่าภาพยนตร์วิทยาศาสตร์แบบนี้จะอยู่ในความสนใจของเด็กหญิงเช่น น้องพราว เสียงหัวเราะทำให้น้องพราวหันมาทุบอกผมอย่างอนๆ
“พราวรู้นะพี่เอคิดอะไร…ทำไมพราวจะอยากดูหนังของผู้ชายไม่ได้”
“โอเคจ้า…ไปขึ้นรถได้แล้วพี่ขะพาไปที่แมคเคนน่าก้แล้วกัน…วันนี้ไม่ใช่วันหยุดคนคงไม่เยอะหรอก”
ผม พาน้องพราวมายังโรงภาพยนตร์แมคแคนน่า ซึ่งก็จริงอย่างที่คาด มีคนจองตั๋วชมภาพยนตร์เพียงเบาบาง จนทำให้ผมสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ แต่ก่อนที่ผมจะเลือกที่ดีที่สุดด้านหลัง น้องพราวก็กระตุกมือผมเบาๆ
“พี่เอ เลือกตรงกลางๆ หน่อยได้ไหม พราวไม่ได้เอาแว่นตามาน่ะ”
“อ้าว..พราวสายตาสั้นด้วยหรือนี่…งั้นเอาที่หน้าจอเลยไหม..”
ผม ล้อเด้กสาวเบาๆ และได้รับคำตอบเป็นการหยิกหนักๆ ที่แขน ทำให้ผมหันไปขอเปลี่ยนที่นั่งเป็นบริเวณกลางโรงที่ปราศจากผู้ชมคนอื่นทั้ง ด้านหน้าและด้านหลัง ผมพาน้องพราวไปซื้อข้าวโพดคั่วและเครื่องดื่มแล้วเดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์ ที่มืดสนิท จนผมต้องคว้ามือน้องพราวมากุมไว้เพื่อพาไปยังที่นั่ง แล้วนั่งลงโดยไม่ปล่อยมือที่กุมไว้ ในความมืดทำให้ผมไม่เห็นใบหน้าน้องพราวแต่อุ้งมือน้อยๆ ที่กุมมือผมตอบแน่นสนิทนั้นบอกให้รู้ว่าน้องพราวมิได้รังเกียจการสัมผัสจาก ผมแต่อย่างใด
ความเงียบเข้ามาปกคลุมระหว่างผมและน้องพราวชั่วขณะ มือน้อยๆ ที่อยู่ในอุ้งมือผมเปียกชื้นและสั่นเล็กน้อย เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเจ้าของมือกำลังตื่นเต้นกับสัมผัสจากเพศตรงข้าม แต่เมื่อผมบีบอุ้งมือนั้นอย่างนุ่มนวล น้องพราวก็กระชับอุ้งมือตอบ ก่อนที่ผมจะตั้งตัวศีรษะน้อยๆของน้องแพรวก็เอนมาซบบ่าผมไว้ พร้อมเสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้น
“พี่เอ..พราวอยากถามอะไรพี่เอได้ไหม”
ผมหันศีรษะไปทางน้องพราว สูดกลิ่นเรือนผมที่หอมกรุ่นของเด็กสาวที่แนบไหล่ผมอยู่
“เอาสิ พราวอยากถามอะไรพี่ล่ะ”
อุ้งมือน้องพราวบีบมือผมแน่นก่อนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
“พี่เอบอกว่าพี่เอรักแพรวและพราวเป็นน้องสาวเหมือนรินกับกิฟท์ใช่ไหม”
ผมพยักหน้ารับในความมืด แต่ก็รู้ว่าน้องพราวรับรู้คำตอบของผมจากสัมผัสของร่างกาย
“พราวไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความหรอกนะพี่เอ…พราวรู้ดีว่าพี่เอกับรินและกิฟท์เป็นอะไรกัน”
“พราว..”
ผมอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิง
“พี่เอจะรักพราวและปฏิบัติกับพราวเหมือนรินกับกิฟท์ได้ไหม”
ผม นิ่งเงียบไปกับคำถามของน้องพราวด้วยความประหลาดใจเด็กสาวที่เงียบขรึมเช่น น้องพราวกลับเป็นฝ่ายรุกเริ่มความสัมพันธ์ แทนที่จะเป็นน้องแพรวซึ่งมีนิสัยปล่อยตัวมากกว่า
“พราว…พี่..เอ้อ…”
ผม พยายามตอบน้องพราว แต่สมองกลับวุ่นวายจนไม่รู้จะเลือกถ้อยคำอย่างไร จริงอยู่ที่น้องรินน้องกิฟท์ไม่ขัดขวางที่ผมจะมีความสัมพันธ์กับสองพี่น้อง ฝาแฝดคู่นี้ แต่ผมเองกลับเป็นฝ่ายที่พยายามหลบเลี่ยงเพราะไม่ต้องการให้น้องแพรวและน้อง พราวเข้ามามีส่วนกับชีวิตที่อาจประสบอันตรายเมื่อใดก็ได้จากศัตรูของผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งสองคนไม่มีปราณธรรมชาติเป็นรากฐานให้ผมถ่ายทอดปราณ คชสีห์ ดังนั้นการร่วมรักจึงเป็นเพียงการสร้างสัมพันธ์ทางร่างกายตามธรรมชาติเท่า นั้น แต่ผมเองก็ยังต้องยอมรับว่าความน่ารักของเด็กสาวฝาแฝดทั้งสองทำให้ผมแทบไม่ สามารถตัดใจที่จะสานต่อความสัมพันธ์ได้
“พี่เอไม่ต้องตอบก็ได้…พราวรู้แล้วล่ะว่าพี่เอไม่ได้คิดอะไรกับพราว….”
เสียง เศร้าๆ ของน้องพราวดังแผ่วเบาเมื่อรับรู้อาการอึกอักของผม มือน้อยๆที่กุมมือผมอยู่คลายแรงบีบและพยายามดึงออกไปจากอุ้งมือผมที่ยังคง บีบมันไว้แน่น ผมสูดหายใจลึกก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“พราว…มองพี่สิ”
น้ำ เสียงเรียบๆ ของผมทำให้น้องพราวเงยหน้าขึ้น ผมก้มลงไปหาดวงหน้าหวานใสนั้นแล้วจูบริมฝีปากน้อยๆ เบื้องหน้าอย่างนุ่มนวลแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความอวบอิ่มของริมฝีปากที่หอม กรุ่นนั้น
“ พี่เอ…”
น้องพราวอุทานเบาๆ ตาลืมโพลง ใบหน้าผงะขึ้นจนทำให้ริมฝีปากแยกออกจากกัน ผมสบตาคู่งามที่ทอประกายอยู่ในความมืดของโรงภาพยนตร์ ก่อนตอบอย่างอ่อนโยน
“ จะให้พี่ทำอย่างไรได้…พี่ก็รักพราวเข้าแล้วเหมือนกันนี่นา….”
ดวง ตาน้องพราวลืมโพลง แสงกระทบจากภาพยนตร์บนจอทำให้ผมเห็นน้ำตาเอ่อเป็นประกายอยู่ในดวงตาใสแจ๋ว นั้น น้องพราวซุกหน้าเข้ากับไหล่ผมแน่น ส่งเสียงปนสะอื้นน้อยๆ
“พี่เอ…พราวดีใที่พี่เอไม่รังเกียจพราว…”
“พี่ต่างหากที่ต้องดีใจ พี่จะรังเกียจพราวได้อย่างไรในเมื่อพราวน่ารักขนาดนี้…”
“พี่เอ…..พี่เอ…”
คราวนี้กลับเป็นน้องพราวที่พูดอะไรไม่ออก ทำได้แต่เรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา
“พี่ไม่รู้เลยนะว่าพราวชอบพี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่…นึกว่าพราวรังเกียจผู้ชายซะอีก”
ผมพยายามชวนคุยเพื่อให้เด้กสาวคลายความประหม่า ซึ่งก้ได้ผล น้องพราวหัวเราะเบาๆ ออกมาแลเวเงยหน้าขึ้นสบตาผม
“พี่ เออย่าดีใจไปนะ ถ้าพราวบอกว่าพราวชอบพี่เอตั้งแต่แรกเห็นแล้ว แต่พอเห็นแพรวเข้าไปสนิทกับพี่ พราวก็ไม่กล้าเข้าไป ทำได้แต่คอยดูพี่เอห่างๆ เท่านั้น…แต่ต่อมาพอพราวสังเกตเห็นว่าพี่เอกับรินและกิฟท์ไม่ใช่พี่น้อง กัน และรินก็พยายามกระตุ้นให้พราวรู้จักพี่เอมากขึ้น พราวก็กลัวว่าพี่เอจะมาทำลายพราว ยิ่งทำให้พราวถอยห่างออกไปอีก แต่เมื่อสนิทกับรินและกิฟท์พราวก็ได้รู้เรื่องของพี่เอมากขึ้น ความกลัวก็ค่อยๆ หายไป และเริ่มชอบพี่เอขึ้นมา แต่พราวก็ยังไม่กล้าที่จะสนิทกับพี่เออยู่ดีจนวันนี้แหละที่พราวตัดสินใจ แต่งตัวแบบนี้มาให้พี่เอเห็น…..”
น้องพราวกระซิบให้ผมฟังยาวเหยียดราวกับจต้องการระบายความในใจที่อัดอั้นมานาน ผมเชยคาวงเรียวของเด็กสาวให้เงยขึ้น
“แล้วตอนนี้น้องพราวไม่กลัวว่าพี่จะทำลายพราวหรือ..”
น้องพราวส่ายหน้าเบาๆ
“ริน กับกิฟท์เป็นเพื่อนที่ยิ่งพราวรู้จักก็ยิ่งรักมากขึ้นทุกที..พราวรู้ว่าทั้ง สองคนไม่หวงพี่เอเอาไว้และพร้อมที่จะให้พราวเข้ามาใช้ชีวิตด้วยกัน พราวจะกลัวพี่เอไปทำไมกัน…อุ๊ย…”
ผมขัดจังหวะน้องพราวด้วยการ ประทับจูบซ้ำที่ริมฝีปากที่เชิดขึ้นเป็นรูปกระจับของน้องพราว จนเด็กสาวร้องอุทานออกมา แต่ไม่แสดงอาการตกใจเหมือนที่ผ่านมา ผมค่อยๆ บดเบียดรับความนุ่มนวลของริมฝีปากหอมกรุ่น ก่อนแทรกลิ้นผ่านเรียกปากเข้าไปช้าๆ น้องพราวเผยอกไรฟันออกอย่างลืมตัวเปิดทางให้ลิ้นผมแทรกผ่านเข้าไปกวาดรับ ความหอมกรุ่นภายใน ลิ้นเรียวเล็กค่อยๆ เคลื่อนมาแตะลิ้นผมอย่างช้าๆ และเกี่ยวพันกันอย่างนุ่มนวล ผมซึมซับรับรสจูบของสาวน้อยอยู่นาน จนไม่รับรู้ว่าภาพยนตร์บนจอกำลังดำเนินไปถึงจุดใด แต่เสียงระเบิดของยานอวกาศที่ดังกึกก้องขึ้น ทำให้น้องพราวสะดุ้งและถอนริมฝีปากออกอย่างตกใจเล็กน้อย
“พี่เอ…รังแกพราวแล้วนะ…”
เสียงหวานใสดังขึ้นอย่างตัดพ้อ ทำให้ผมลูบไล้ใบหน้างดงงามนั้นอย่างทะนุถนอม..
“ก็พราวน่ารักนี่นา… ”
เด็กหญิงยิ้มให้ผมอย่างอ่อนหวาน แต่ยกมือขึ้นตีมือผมเบาๆ…
“อย่าเพิ่งรังแกพราวเลยนะ ดูหนังก่อนดีกว่า ถึงไหนแล้วก็ไม่รู้….”
“หมายความว่าเดี๋ยวหนังจบแล้ว พราวจะให้พี่รังแกใช่ไหม ”
น้องพราวหยิกผมที่แขนหนักๆ แต่หัวเราะออกมา
“ใครจะให้พี่เอรังแกกัน…”
น้อง พราวหันหน้าไปชมภาพยนต์ แต่ผมได้ยินเสียงลมหายใจหอบน้อยๆ ของเด็กสาว บอกให้รู้ว่าการจูบเมื่อครู่ปลุกอารมณ์ปั่นป่วนให้น้องพราวจนเด็กสาวต้องขอ ให้ผมหยุดก่อนที่จะควบคุมสติตนเองไม่ได้
ผมเอื้อมมือไปกุมมือน้อง พราวไว้และหันไปให้ความสนใจกับภาพยนต์ที่ปรามาจารย์โยดากำลังสั่งสอนวิชาเจ ได้ให้ลุค สกายวอร์คเกอร์ ลำแขนนุ่มเนียนของน้องพราวเบียดแน่นกับแขนผมจนผมอดไม่ได้ที่จะลูบไล้รับ สัมผัสของมันอย่างแผ่วเบา เพียงชั่วครู่น้องพราวก็ใช้แขนที่นังเป็นอิสระมาลูบแขนของผมบ้าง
มือ ผมลูบไล้ผิวอ่อนเนียนที่ต้นแขนน้องพราว ความละมุนของผิวกายเนียนนุ่มปลุกเร้าความต้องการของผมขึ้นมาอย่างช้าๆ ทำให้ผมค่อยๆ เลื่อนมือสูงขึ้นไปยังหัวไหล่แล้วแทรกผ่านขอบเสื้อยืดเข้าไปสู่ความอบอุ่น ของเนินหน้าอกอิ่ม น้องพราวถอนใจเฮือกดวงตาหลับพริ้ม มือที่ลูบไล้แขนผมอยู่หยุดเคลื่อนไหวแต่กลับมาบีบท่อนแขนผมอย่างแรง แต่ไม่แสดงท่าทีขัดขืนการรุกล้ำของมือผมแต่อย่างใด
มือผมเคลื่อนเข้า กุมเนื้อหน้าอกเต่งตึงภายใต้บราเนื้อแพรเนียนมือไว้ ใจผมเต้นระทึกเมื่อรับรู้ความเต่งตึงของหน้าอกแม้จะถูกปกคลุมด้วยผ้าชิ้น น้อย เพียงผมขยับนิ้วมือกดปุ่มสลักที่ยึดตาขอด้านหน้า หน้าอกเต่งทั้งสองก็ดีดออกจากบราให้ผมเคล้นคลึงความหยุ่นตึงของหน้าอกอย่าง เต็มที่ แม้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่เกินเด็กสาวอายุ 15 แต่ดอกบัวงามทั้งคู่ก้แข็งเต่งสู้มือยามบีบเคล้น อันเป็นผลมาจากการออกกำลังด้วยการว่ายน้ำเป็นประจำ ฝ่ามือผมสัมผัสเม็ดยอดอกขนาดเล้กที่ชูชันรับแรงสัมผัส และเมื่อผมใช้นิ้งบี้คลึงมันเบาก็ทำให้น้องพราวหอบกายใจถี่ ร่างเด็กสาวพลิกตัวหันข้างเข้าหา ทำให้ผมต้องเลื่อนมือออกจากแขนเสื้อและเปลี่ยนมาสอดเข้าใต้ชายเสื้อด้านล่าง แทน โดยที่น้องพราวขยับตัวเปิดช่องให้มือผมเคลื่อนขึ้นไปกุมนวลเนื้อหน้าอกไว้
“พะ พะ พี่เอ…ทะ ทำอะไรพราว…ทำไมพราวเสียวไปทั้งตัวแบบนี้…”
น้อง พราวเงยหน้าขึ้นครางด้วยเสียงสั่นระริก ทำให้ผมต้องดันร่างเข้าเบียดเด็กสาวจนชิดแล้วก้มลงจูบริมฝีปากที่เผยอออกรับ อย่างเต็มใจ ลิ้นน้อยๆเกี่ยวพันลิ้นของผมอย่างเร่าร้อนตามอารมณ์รักวัยแรกสาวที่กำลัง ปะทุขึ้นจนควบคุมไม่ได้ ผมใช้มืออีกข้างสอดเข้าโอบร่างนุ่มเนียนไว้ในวงแขนแล้วถอนมือที่เกาะกุมหน้า อกลงมาลบไล้เรียวขาอวบเนียนที่พ้นของกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายบางเบาไปมา ก่อนเคลื่อนผ่านไปใต้ขอบกางเกงจนสัมผัสความอวบตึงของสะโพกหนั่นแน่นที่ถูกปก คลุมด้วยกางเกงในผ้าฝ้ายนุ่มมือ ผมบีบเคล้นความอวบตึงของแก้มก้นน้องพราวอย่างละลานใจในความกลมกลึงและแรงดีด สะท้อนที่ส่งผ่านผ้าฝ้ายชิ้นน้อย ขณะที่เจ้าของสะโพกงามกำลังบิดกายไปมาอย่างลืมตัวในอ้อมแขนผม
“อูว์…อาห์…”
เสียง น้องพราวครางอืออยู่ลำคอ ทั้งที่กำลังแลกจูบกับผมอย่างเร่าร้อน ผมเปลี่ยนทิศทางของมือมายังด้านหน้าเพื่อปลดตะขอกางเกงขาสั้นแล้วดึงซิบลงไป จนสุดราง เปิดทางให้มือลงไปกุมสัดส่วนลี้ลับของเด็กสาวไว้เต็มมือ หัวใจผมเต้นถี่ยิบเมื่อรับรู้ความอวบเปล่งของเนินรักน้องพราวที่แทบกุมไว้ใน อุ้งมือไม่มิด ใจกลางฝ่ามือผมชุ่มชื้นไปด้วยน้ำหล่อลื่นที่หลั่งออกมาจนชุ่มโชกกางเกงในผ้า ฝ้ายบางเบา เพียงผมเคล้นเนินนูนนั้นหนักๆ ร่างน้องแพรวก็กระตุกเฮือกในอ้อมแขน ทำให้ผมต้องสอดมือฝ่ายของกางเกงในตัวน้อยลงไปกุมเนื้อแท้ไว้เต็มๆ สัมผัสทิวขนอ่อนบางนุ่มนวลที่แนบไปกับสองแคมเปล่งเพราะน้ำเสียวแรกสาวที่ เอ่อท้นออกมาไม่ขาดระยะ
ทันทีที่ผมมือผมกุมเนินเนื้ออูมไว้ ร่างน้องพราวก็สั่นเทิ้มราวกับถูกไฟช๊อตอย่างแรง เด็กสาวคว้ามือผมไว้ทันทีราวกับจะยื้อยุดไม่ให้มีการรุกล้ำมากไปกว่านี้ แต่เมื่อผมขืนมือไว้และเริ่มใช้นิ้วเกลี่ยสำรวจอาณาเขตกว้างใหญ่ของเนินรัก มือน้องพราวกลับเปลี่ยนจากแรงดึงเป็นแรงกดราวกับเด็กสาวต้องการให้ผมเน้น น้ำหนักคลึงเคล้นให้มากขึ้น นิ้วผมค่อยๆ แทรกผ่านร่องรักฉ่ำเยิ้มลงไปช้าๆ กลางสองแคมอวบบดอัดนิ้วผมไว้แน่น ขณะที่เจ้าของร่องรักผงะหน้าออกจากากรจูบแล้วซุกเข้ากับไหล่ผม ปากอ้ากว้างกัดไหล่ผมหนักๆ
ปลายนิ้วผมที่ผ่านเข้าสู่ร่องหลืบน้อง พราวสัมผัสเยื่อบางๆ ที่ขึงปิดกั้นช่องทางเข้าสู่ความสาวไว้ ผมค่อยๆ ถอนนิ้วออกแล้วดันเข้าเป็นจังหวะ จนน้องพราวร่างสั่นระริก ปากน้อยๆกัดไหล่ผมอย่างแรงด้วยความเสียว นิ้วโป้งผมควาานเบาๆไปยังตำแหรน่งเหนือร่องรักและได้สัมผัสติ่งเนื้อน้อยๆ ที่กำลังแข็งตัวจนรู้สึกได้ เพียงนิ้วผมกวาดผ่านมันอย่างแผ่วเบา.. น้องพราวก็ผงะใบหน้าเงยขึ้นอ้าปากกว่างส่างเสียงหอบกระเส่า…
“พะ.พี่เอ…พอ..พอเถอะ พราวไม่ไหวแล้ว…นี่มะ มันในโรงหนัง…ยะ อย่า… ”
ผม เคล้นคลึงความฉ่ำเยิ้มของเนินเนื้อเบื้องล่างด้วยใจเต้นระทึก ความต้องการพลุ่งขึ้นมาจนแท่งเนื้อในกางเกงยีส์พองตัวจนอัดแน่น ผมกระซิบข้างหูน้องพราวด้วยเสียงหอบกระเส่าไม่แพ้เด็กสาว
“อย่าดูหนังเลยนะ…อกไปกับพี่เดี๋ยวนี้เลย….”
“พี่เอ…จะพาพราวไปไหนก็ได้…เร็วเข้า…พราวไม่ไหวแล้ว…”
มือ ผมถอนออกจากเนินเนื้อทันทีรูดซิบกางเกงขาสั้นน้องพราวอย่างลวก แล้วดึงร่างที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมายืนแล้วกอดไว้ก่อนพาเดินออกจากโรงภาพยนตือ ย่างร้อนรน
น้องพราวโถมร่างเข้ากอดผมทันทีที่ขึ้นรถ ใบหน้าสวยเฉี่ยวของเด็กสาวแดงราวลูกตำลึงสุก ผมสตาร์ททเครื่องเข้าเกียร์พารถออกจากที่จอดรถโรงภาพยนตร์อย่างรวดเร็ว ข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นซอยข้างโรงแรมเอเซีย โดยแทบจะไม่ได้ดูรถที่ผ่านไปมาจนมีเสียงเบรกและแตรส่งเสียงลั่นตามหลัง แต่ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้วนอกจากร่างเด็กสาวด้านข้างที่กำลังซุกหน้ากับแขนผม แน่น ผมหักหัวรถเข้าสู่โรงแรมม่านรูดที่ตั้งอยู่ในซอยเลี้ยวเข้าช่องว่างที่เด็ก เฝ้าชี้ทางให้ แล้วรีบลงจากรถควักเงิน 200 บาทให้เด็กโรงแรมที่มารูดม่านปิด
“ไม่ต้องทอน…”
เด้ก โรงแรมโค้งรับเงินผมอย่างนอบน้อมเพราะ เป็นเงินที่เกินค่าโรงแรมชั่วคราวที่ราคา 80 บาทไปมาก ผมหันกลับไปที่รถเปิดประตูด้านคนนั่งออกแล้วช้อนร่างน้องพราวขึ้นมาในอ้อม แขน น้องพราวกอดคอผมไว้แน่นริมฝีปากเผยออ้าเ,้กน้อย ทำให้ผมต้องจูบเด็กสาวอย่างร้อนแรงขณะก้าวเท้าไปยังประตูห้องที่เปิดรอรับ ผมสะบัดเท้าปิดประตูอย่างไม่แยแสโถมร่างขึ้นบนเตียงหนานุ่มทาบทับร่างอวบ อิ่มของน้องพราวไว้ สองมือลูบไล้บีบคลึงเรือนร่างงดงามพร้อมจูบรับความหอมหวานในปากน้อยๆ
การ จูบที่ร้อนแรงดำเนินไปคณุ่ใหญ่ จนร่างน้องพราวสั่นเทิ้ม ผมรีบผละออกจากร่างที่นอนระทวยอยู่บนฟูก เพื่อถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว แล้วโถมเข้ากอดร่างน้องพราวพร้อมกระชากเสื้อยืดอตัวน้อยออกจากไปทางศีรษะ บราสีเนื้อที่ถูกผมถอดสลักตั้งแต่อยู่ในโรงภาพยนตืก็ปลิวออกจากร่างน้องพราว ไปพร้อมกัน ทรวงอกเต่งงามเผยตัวอยู่ตรงหน้าท่ามกลางความสว่างของแสงไฟ ปลายยอดสีชมพูเข้มเม็ดน้อยสั่นระริกท้าทายสายตา เป็นความงามที่ทำให้ผมต้องหยุดความเตคลื่อนไหวเพื่อจดจำภาพงดงามนี้ไว้
น้องพราวลืมตาขึ้นเมื่อรับรู้ว่าผมหยุดการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นว่าตาผมจับจ้องที่ทรวงอกเปล่าเปลือยน้องพราวก็ร้องอุทานออกมา เบาๆ แล้วพลิกร่างขึ้นโถมกอดผมไว้แน่น
“พี่เอ..อย่ามองแบบนั้น พราวอายนะ”
ผมซุกใบหน้าลงกลางอกงาม สัมผัสความเต่งตึงอย่างละลานใจ
“หน้าอกพราวสวยเหลือเกิน….”
“ อูวส์ พี่เอ…ยะ อย่าดูด…”
น้อง พราวครางเสียงสั่นเมื่อผมอมเม็ดสีชมพูน่ารักนั้นไว้แล้วดูดเบาๆ พร้อมเกลี่ยปลายลิ้นเน้นส่วนปลายที่ไวต่อความรู้สึก สองมือไขว่คว้าร่างกายของผมอย่างลืมตัว จนกระทบแก่นกายผมที่กำลังแข็งตัวจนแทบระเบิด มือน้อยๆของเด็กสาวคว้ามันไปกำไว้แน่น แล้วกระทอกมันเบาๆ ราวกับเด็กสาวที่ชำนาญรัก ทั้งที่ผมรู้ดีว่าน้องพราวยังไม่เคยผ่านการร่วมเพศจากการสัมผัสเยื่อสาวของ น้องพราวในโรงภาพยนตร์เมื่อสักครู่
“พี่เอ…มันใหญ่… แข็งจัง…”
น้อง พราวครางด้วยเสียงสั่นๆ แต่ยังคงกระถอกมันเบาๆ ผมรีบรูดซิบกางเกงขาสั้นน้องพราวออกอย่างรวดเร็วและเกี่ยวมันออกไปพร้อม กางเกงใน ขณะที่น้องพราวยกสะโพกปล่อยให้ผมรูดมันออกไปทางปลายเท้า
“พราว…สวยเหลือเกิน..”
ผทอด ร้องครางออกมาอย่างลืมตัวไม่ได้เมื่อร่างเปลือยของน้องพราวปรากฏอยู่เบื้อง หน้า เรื่อนร่างขาวผ่องที่ปราศจากตำหนิใดๆ สว่างโพลงท่ามกลางแสงไฟในห้อง ใบหน้าหวานโฉบเฉี่ยวที่เคยแสดงท่าทีมึนชากับผมมาตลอด บัดนี้กลับเป็นดวงหน้าของเด็กสาวที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์รัก ริมฝีปากเผยอน้อยๆ รอรับการสัมผัว นมคู่งามที่มีสัณฐานครึ่งวงกลมสมบูรณ์กระเพือมขึ้นลงตามการหายใจถี่กระชั้น ด้วยความต้องการทางเพศที่ถูกปลุกเร้าจนเด็กสาวควบคุมตนเองไม่ได้ เนินนูนดงงามที่ประดับด้วยทิวขนเนียนบางโดดเด่นขึ้นจากเนินหน้าแผ่ขนาดเต็ม หน้าขาอวบอิ่ม น้ำหล่อลื่นที่เนืองนองทำให้ขนอ่อนสีดำสนิทเปียกลู่ลงแนบสองแคมแต่กลับเป้ นการเพิ่มแรงดึงดูดให้สายตาผมจับจ้องไปยังร่องหลืบที่ซุกซ่อนความสาวไว้ภาย ใน สะโพกอวบอิ่มของน้องพราวไหวระริกส่งแรงสะเทือนไปยังโคยนขาที่เต็มไปด้วย กล้ามเนื้อของนักว่ายน้ำ ที่แม้มองด้วยสายก็สามารถรับรู้ถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาที่พร้อมจะ โอบรัดรอบเอวคู่รักยามร่วมเพศ
“พี่เอ…พราว พราว…”
น้อง พราวครางออกมาด้วยเสียงสั่นระริก สองแขนยกขึ้นสูงเป็นสัญญานให้ผมมอบความรัก ทำให้ผมโถมร่างลงทาบทับความเต่งตึงของร่างกายสาว 15 โดยไม่สามารถยับยั้งความต้องการของตัวเองได้ วงแขนน้องพราวโอบกอดผมแน่นจนร่างผนึกเป็นเนื้อเดียวกัน ริมฝีปากน้อยๆ เผยอดรับรสจูบอย่างกระกาย ผมบีบคลึงความตึงเต่งของก้อนเนื้อหน้าอกอวบงามอย่างละลานใจ ซุกไซร้ซอกคอหอมที่ส่งกลิ่นหอมของเด็กสาวออกมาปลุกให้ความต้องการของผมถูก เร้าจนแทบคุมตัวเองไม่ได้
“พราว..พราวสวยเหลือเกิน ”
ผม ครางออกมาขณะร่างกายทุกส่วนบดเบียดกับร่างเปลือยของน้องพราว แก่นกายทาบทับอยู่กับร่องรักที่เอ่อนองไปด้วยน้ำหล่อลื่น เพียงผมขยับร่างไปมามันก็เสียดสีกับสองแคมอวบ เม็ดเสียวน้อยๆ ทีบนร่องหลืบแข็งตัวเสียดสีกับลำลึงค์ผมจนรู้สึกได้…
“พี่เอ…พราว…พราว..เสียว…พราว…ขอ…ขอพราวเถอะ…”
น้องพราวสะบัดหน้าไปมาเมื่อเม้ดเสียวถูกเสียดสี สองมือไขว่หาแก่นกายผมอย่างลืมตัว
“พราวเป็นของพี่นะ…”
ผม กระซิบพร้อมยกสะโพกขึ้นให้ท่อนเนื้อที่วางขนานเสียดสีกับร่องรักกลับมาอยู่ ในแนวดิ่ง ส่วนปลายจรดจ่ออยู่ที่กลางสองแคมที่หลั่งน้ำรักออกไม่ขาดระยะ…
“พี่เอ…พราวจะเป็นของพี่…อ๊าวส์…โอ๊ย…”
น้อง พราวร้องลั่นเมื่อผมไม่สามรรถสะกดกลั้นความต้องการได้อีกต่อไป แท่งเนื้อถูกดพรืดลงสู่ความคับแคบในร่องรักในจังหวะเดียว มันทะลวงแคมที่ปริออกลงผ่านเยื้อพรหมจารีย์บอบบางที่ปกป้องความสาวน้องพราว มาตลอด 15 ปี รวดเดียวลงไปจนมิดโคน ผมกัดฟันแน่นด้วยความเสียวสุดขีดเมื่อรับรู้แรงบีบที่กดอัดรอบลำลึงค์จนไม่ สามารถขยับได้แม้แต่มิลิเมตรเดียว ร่างน้องพราวสะท้านเฮือกเมื่อแก่นกายชำแรกผ่านลงไปจนสุด กล้ามเนื้อทุกส่วนเต้นระริกด้วยความเสียวแและความเจ็บปวดจากการร่วมรักครั้ง แรกในชีวิต
“พะ พี่เอ…พราว….”
เด็กสาวครางออกมาเบาๆ หางตามีน้ำตาซึมออกม่เป็นทางยาว ผมก้มลงจูบซับหยาดน้ำเอาไว้แล้วปลอบประโลมเบาๆ
“หมดแล้วล่ะ พี่ขอโทษพราวด้วยที่เอามันเข้าไปทีเดียวแบบนี้ พี่ต้องการน้องพราวเหลือเกิน”
“พราวก็ต้องการพี่เอ…พี่เอเย็ดพราวเถอะไม่ต้องกลัวพราวเจ็บ….”
ผม จูบน้องพราวอย่างรุนแรงอีกครั้งเพื่อปลุกเร้าความต้องการให้พุ่งขึ้น ก่อนเริ่มขยับแท่งเนื้อที่ถูกร่อง หลืบแข็งแรงของนักว่ายน้ำตัวแทนโรงเรียนบีบรัดไว้แน่น มันขยับออกมาได้ช้าๆ จนทำให้ผมสามารถเริ่มกระเด้าสั้นๆ สร้างความคุ้นเคย น้องพราวหอบหายใจถี่เมื่อผมเริ่มกระเด้า ใบหน้าที่แสดงความเจ็บปวดเริ่มผ่อนคลายลงช้าๆ พร้อมกับการกระด้งสะโพกความเคลื่อนไหวของผม
“พี่เอ…สะ เสียว…”
“พี่ก็เสียว…หีน้องพราวแน่นจริงๆ พี่แทบเย้ดไม่ได้เลยนะรู้ไหม..”
ผม ระซิบตอบด้วยเสียงหอบกระเส่าไม่แพ้กัน รสสัมผัสรัดลึงที่บดอัดท่อนลำซึ่งส่งขึ้นมายังสมองบอกให้รู้ว่าน้องพราวเป็น เจ้าของสิ่งที่ผู้ชายทุกคนใฝ่ฝันถึงแต่น้อยคนจะมีโอกาสครอบครอง
“พี่เอ..พูดจาหยาบคาย…โอย….”
น้อง พราวตัดพ้อคำพูดของผมแต่ก็ต้องร้องครางออกมาเมื่อผมสามารถดึงท่อนเนื้อออกมา ได้จนเกือบหมดลำ และอัดสาวนกลับการแอ่นสะโพกของน้องพราวลงไปจนมิดอีกครั้ง ร่างอวบสั่นระริก สองแขนกอดรัดผมแน่นราวจะไม่ยอมให้ผมกระเด้าอีกต่อไป
“ไม่หยาบหรอกน้องพราว…ใครๆ เขาก็พูดกันเวลาเย็ดทั้งนั้น ……”
“พราว…พราวไม่เคยรู้…โอ๊วส์ พี่เอ..เย้ดพราว เย้ดพราวเร็วๆ….พราวเป็นอะไรไม่รู้… ”
เด็ก สาวครวญครางลั่นเมื่อผมกระเด้าเนินนูนถี่ยิบตามความเสียวที่กำลังพุ่งขึ้น สู่ส่วนปลายลำลึงค์ ผมกอดร่างอวบอิ่มไว้แน่นแล้วยกตัวเองมาอยู่มในท่าคุกเข่าโดยมีสะโพกน้องพราว วางอยู่บนหน้าขา ทำให้น้องพราวโอบรัดท่อนขาแข็งแรงเข้ากับเอวผมไว้แน่น ขณะที่ผมเกาะเอวคอดกิ่วไว้แล้วกระเด้าอย่างไม่ยั้ง
“โอ๊ย…พราว..พราว…พราวเสียว..มันลึก คะ ควยพี่เอลึก…โอ๊วส์…”
“ก็พราวก็ทั้งดูดทั้งรัด…โอย…พี่…พี่ จะมาแล้ว…”
“พราว…พราวก็….มะ ไม่ไหวแล้ว อ๊ายยยยยยยยยยยย”
ผม ระดมกำลังทั้งหมดกระชากำสะโพกน้องพราวเข้าหาตัว กดอัดลำลึงค์เข้ากับเนินรักอวบอิ่มแน่นสนิท ก่อนระเบิดน้ำรักทั้งหมดอัดเข้าสู่มดลูกเด็กสาวแรกแย้ม ร่างน้องพราวกระตุกขึ้นลงลำขาบีบรัดเอวผมแน่นขณะที่ร่องหลืบภายในขมิบรับ น้ำรักถี่ยิบราวกับจะไม่ให้ทันไหลออกมาข้างนอกแม้แต่หยดเดียว…กระแสปราณ คชสีห์พุ่งเข้าไปในร่างน้องพราวและวนเวียนไปตามวงจักรของร่างกายอย่างรวด เร็ว แต่เมื่อไม่พบกระแสปราณธรรมชาติที่จะรองรับกระแสปราณทั้งหมดก็ย้อนกลับเข้า สู่ร่างผมเช่นเดิม ทำให้ผมต้องยอมรับข้อสมุมติฐานของน้องกิฟท์ที่บอว่าหากไม่มีปราณธรรมชาติที่ ก่อขึ้นพร้อมการเกิด ก็จะไม่สามารถรับปราณคชสีห์เข้าสู่ร่างกายได้
“พี่เอ….พราว….โอวววววว”
ร่าง เปลือยเปล่าขาวโพลนของน้องพราวสงลงทีละน้อย ขณะผมปล่อยให้สะโพกเลื่อนลงจากหน้าขามานยังพื้นเตียง พร้อมกับร่างผมแนบตามลงทาบทับไว้โดยที่ลำลึงค์ยังคงผนึกแน่นอยู่ในร่างเด็ก สาว
“พราวมีความสุขไหม…”
ผมจูบหน้าผากหลทหลึงที่เปียกชื้น ไปด้วยเหงื่ออย่างทะนุถนอม และถามเด็กสาวผู้เป็นภรรยาผมไปแล้วด้วยความห่วงใย น้องพราวลืมตาขึ้นมองผมแล้วยิ้มอย่างหนื่อยอ่อน..
“พราวมีความสุขที่สุด พี่เอไม่ว่าใช่ไหมที่พราวใจง่ายยอมเสียสาวให้พี่เอแบบนี้”
น้ำเสียงประโยคหลังของน้องพราวสั่นเครือเล้กน้อย ทำให้ผมต้องรีบจูบริมฝีปากที่เชิดชันนั้นเบาๆ
“ความ รักไม่มีคำว่าใจง่ายหรอกน้องพราว…ทุกสิ่งเกิดเพราะความรัก พี่จะไม่ทำให้น้องพราวเสียใจอย่างแน่นอน พราวล่ะพร้อมจะอยู่ร่วมกับพี่ น้องริน และน้องกิฟท์ไหม.. ”
น้องพราวหน้าแดงวูบ ก้มหน้ากระซิบตอบอย่างอายๆ…
“พราวเป็นเมียพี่เอแล้ว…จะให้พราวทำยังไงได้…พี่เอต้องรักพราวให้มากๆ นะ..”
“งั้นพี่จะรักพราวอีกครั้งดีไหม..”
ผมถามอย่างล้อๆ พร้อมเริ่มขยับแก่นกายที่ฝังอยู่ในร่องรักขึ้นมา ทำให้น้องพราวเบิกตาโพลงร้องเสียงหลง..
“มะ มะ ไม่เอา…พอก่อนเถอะพี่เอ…ขอพราวพักก่อน…เดี๋ยววันนี้พราวกับแพรวจะไป ค้างที่บ้านรับรองแขกของพี่เอ คืนนี้พราวจะไปหาพี่เอเอง แต่ตอนนี้พอก่อนเถอะนะ..พราวไม่ไหวแล้ว”
ผมหัวเราะเบาๆ พยักหน้ารับ ก่อนถอนแท่งเนื้อออกจากร่องรักน้องพราวจนหลุดอกมาพร้อมน้ำรักมากมายที่ไหล ตามมาเป็นสาย ผสมเลือดจากการฉีกขาดของเยื่อพรหมจรรย์จนนองพื้นเตียง..
“อูย…แสบจัง…พี่เอเนี่ย..จะเอาออกก็ไม่บอกก่อน..”
น้อง พราวส่งเสียงตัดพ้อด้วยเสียงกระเง้ากระงอด ทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้กับการเปลี่ยนไปของกริยาเด็กสาวที่เคยเงียบขรึมมา เป็นเด็กสาวแรกที่พร้อมรับความรักอย่างเต็มที่
“แต่หีพราวนี่ยอดไปเลยนะ รับของพี่ได้โดยไม่ฉีกขาดเลย ”
ผม โอบร่างอวบอิ่มมากอดไว้แล้วบอกอย่างล้อๆ เมื่อพบว่าภาพเนินรักเบื้องหน้าแม้จะบวมเป่งจากการร่วมเพศแต่มันก็สามารถรอง รับแก่นกายผมได้ทั้งหมดโดยปราศจากร่องรอยการฉีกขาด…
น้องพราวทุบผมอย่างงอนๆ
“บ้า บ้า พี่เอบ้า…ตายล่ะ นี่กี่โมงแล้วเนี่ย”
น้องพราวอุทานเบาๆ ออกมาเหมือนนึกบางสิ่งขึ้นได้ หันไปดูนาฬิกาหัวเตียงนอนที่บอกเวลา 15.30 น.
“พี่เอ…กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวไม่ทันพวกริน กิฟท์ แพรว…”
น้องพราวอุทานออกมาแล้วเขย่าร่างผม..
“ขอรับองค์หญิง แต่งตัวได้เลย แต่ต้องสัญญากับพี่ก่อนนะว่าคืนนี้พราวจะมาหาพี่”
น้อง พราวยิ้มอายๆ แล้วผงกศีรษะรับ กริยาของเด็กสาวแรกรักทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องดึงร่างอวบเข้ามากอดไว้อีก ครั้ง ก่อนปล่อยให้น้องพราวแต่งตัวเพื่อเตรียมเดินทางกลับบ้าน…
———————————–
“พี่เอกับพราวกลับมาแล้ว……..”
เสียง ใสๆของน้องรินดังขึ้นเมื่อผมจอดรถที่ลานข้างสนามหญ้า แล้วลงจากรถพร้อมน้องพราวเพื่อเดินมาที่ลานพักผ่อนใต้ต้นจามจุรีใหญ่ ซึ่งน้องริน น้องกิฟท์และน้องแพรวกำลังขะมักเขม้นกับการทำรายงาน ผมเดินไปหาทุกคนด้วยรอยยิ้มขณะที่น้องพราวเดินตามผมมาเงียบๆ ราวเป็นคนละคนกับเด็กสาวที่ร้อนแรงบนเตียงเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
“หนีไปดูหนังกันมาล่ะสิ ปล่อยให้พราวไปรอพี่ที่คณะตั้งนาน…”
ผม แกล้งทักทายสามสาวที่โต๊ะ เพื่อกลบเกลื่อนความจริงไม่ให้น้องแพรวรู้ว่าผู้เป็นน้องสาวมอบความ บริสุทธิ์ให้ผมเรียกร้องแล้ว แต่ผมรู้ดีว่าไม่สามารถปิดน้องรินน้องกิฟท์ได้เพราะทั้งสองจะต้องรู้ในทันที ที่ผมร่วมรักและถ่ายทอดความทรงจำให้
“แล้วพี่เอกับพราวทานข้าวกันหรือยังเนี่ย ”
น้องรินไถ่ถามอย่างห่วงใย ขณะที่ผมทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้างน้องแพรว โดยน้องพราวหลีกไปนั่งด้านตรงข้าม
“พราวทานแล้วล่ะริน พี่เอพาไปกินที่ร้านเอสแอนด์พี ที่รินบอกว่าอร่อยไง”
น้องพราวตอบด้วยเสียงเรียบเบาดังที่ผมเคยเห็นมาตลอด
“เดี๋ยวพี่เอพาแพรวไปกินบ้างสิ…พาแต่พราวไปคนเดียวแบบนี้ไม่ยุติธรรมนะ..”
น้องแพรวส่งเสียงใสแจ๋วที่เป็นเอกลักษณ์ร้องอุธรณ์อย่างไม่ยินยอม พร้อมดึงแขนผมเขย่าไปมา ทำให้ผมต้องหันไปยิ้มให้อย่างเอาใจ
“งั้นเดี๋ยวพวกน้องๆ ทำรายงานเสร็จแล้วพี่พาทุกคนไปเลี้ยงสุกี้โคคาแก้ตัวดีไหม”
เสียง สาวๆ ทุกคนขานรับกันอย่างร่าเริง ผมเหลือบมองน้องพราวพบว่าสายตาเด็กสาวจับจ้องผมตลอดเวลา และเมื่อสบตากันใบหน้านั้นก็ยิ้มให้บางๆ แต่ผมก็รู้ความหมายดีว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความรักที่น้องพราวมีให้กับผมแต่ ยังวิตกว่าผู้เป็นพี่สาวจะรับรู้
กลุ่มเด็กสาวเริ่มหยุดการสนทนาและ ชักชวนกันเริ่มทำรายงาน หลังจากน้องพราวนำหนังสือไตรภูมิพระร่วงที่ให้ผมยืมจากหอแสมุดกลางออก จากกระเป๋า ทำให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมชั่วครู่ และเป็นโอกาสให้ผมขอตัวเข้าบ้านเพื่อเก็บของและสั่งให้แม่บ้านจัดของว่างมา ให้กลุ่มเด็กสาวทั้งสี่
หลังอาบน้ำเสร็จผมกลับมายังโต๊ะสนามอีกครั้ง โดยสวมใส่เสื้อยือดคอกลมและกางเกงชาวเลหลวมๆ ที่เป็นชุดอยู่กับบ้านของผมตามปกติ พร้อมถาดสาคูไส้หมูใบหญ่มาให้กลุ่มเด็กสาว เสียงถกเถียงกันเกี่ยวกับเนื้อหารายงานที่ดังไม่ขาดระยะทำให้ผมรู้ว่าทุกคน ตั้งใจกับรายงานฉบับนี้อย่างเต็มที่สมกับการที่เป็นนักเรียนห้องคิงของ โรงเรียนเตรียมอุดม
“ดูนี่สิ แปลกจัง มีมารอยู่บนสวรรค์ด้วยหรือเนี่ย”
เสียงน้องพราวดังขึ้นขณะผมยกถาดอาหารมาถึง น้องกิฟท์หันมารับถาดไปจัดวาง พร้อมกับตอบน้องพราวอย่างจริงจัง
“มี สิ นั่นเป็นฑญามารสูงสุดชื่อพระยามาราธิราช ปกครองสวรรค์ชั้นสูงสุดคือชั้นปรนิมมิตสวัสตีภูมิ คู่กันกับท้าวปรนิมมิตสวัสตีเทวราช ”
ผมยแอบยิ้มในใจกับคำตอบของน้อง กิฟท์ เพราะมีแต่ผมและน้องรินเท่านั้นที่รู้ว่าน้องกิฟท์เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษา โบราณที่จารึกในสมุดบันทึกซึ่งตระกูลคชสีห์เก็บรวบรวมไว้ และหนึ่งในนั้นคือตำราอรรถาธิบายเกี่ยวกับนรกสวรรค์ที่รู้จักกันในชื่อ ไตรภูมิพระร่วง ผมหันไปยิ้มให้น้องพราวก่อนเสริมคำตอบน้องกิฟท์
“พราว ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะคนสมัยโบราณบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตำนานที่สืบต่อกันมาจากคำบอก เล่าของผู้ทรงอภิญญาในอดีต ท่านเหล่านั้นรู้ดีว่าจักรวาลไม่ได้แบ่งแยกเป็นดีชั่วอย่างชัดเจนเด็ดขาด แต่เป็นการผสมผสานกันระหว่างความมืดที่พระยามาราธิราชเป็นตัวแทน กับแสงสว่างที่ท้าวปรนิมมิตสวัสตีเทวราช เป็นผู้ควบคุม เทวราชสูงสุดทั้งสองมีอำนาจเท่าเทียมกันและไม่มีการแบ่งแยกว่าฝ่ายใดคือฝ่าย ดีฝ่ายใดคือฝ่ายเลว เพราะด้วยกฎของธรรมชาติแล้วไม่มีสิ่งใดที่ดำรงอยู่ได้โดยปราศจากความมืดและ แสงสว่างเป็นองคืประกอบ เช่นเดียวกับความดีและความชั่ว ที่หากไม่มีความดีก็จะไม่มีความชั่วปรากฏเช่นกัน”
น้องทั้งสี่นิ่งฟังคำพูดของผมจนจบ ก่อนน้องพราวเอ่ยขึ้นเบาๆ
“พี่เอพูดเหมือนคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง…”
ผมและน้องริน น้องกิฟท์ น้องแพรวหันไปมองน้องพราวอย่างแปลกใจ ทำให้เด็กสาวต้องก้มหน้าลงและเอ่ยขึ้นเหมือนแก้ตัวกลายๆ..
“พราวเพิ่งอ่านมาจากห้องสมุดโรงเรียนน่ะ….”
ผมยิ้มให้ทุกคนแล้วรุดตัวลงนั่งข้างน้องแพรว ก่อนเล่าต่อ
“ที่ น้องพราวพูดก็ถูกต้อง คัมภีร์โบราณของมนุษย์ล้วนละท้อนความจริงของจักรวาลแฝงไว้ทั้งนั้น แต่มีการปรับแต่งให้สอดคล้องกับความเชื่อและคำสอนของแต่ละศาสนา เช่นมีการกำหนดให้มารเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายที่เป็นหน้าที่ของผู้นับถือ สาสนานั้นๆ ปกป้องศาสนาโดยอ้างเป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง ในบางสังคมก็แบ่งแยกและต่อสู้กันโดยอ้างเป็นคัวแทนของฝ่านเทพฝ่ายมาร ทั้งที่สองสิ่งนี้แยกจากกันไม่ได้การทำลายสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สิ้นสูญไปจึง เป็นไปไม่ได้ เพราะหากกำจัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสำเร็จอีกฝ่ายหนึ่งก็จะสูญสลายตามไปเป็น กฏธรรมชาติ ”
“พี่เอเรียนวิศวะแน่หรือเนี่ย ทำไมรู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
น้อง แพรวถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอยากรู้ ขณะที่ผมรับรู้ว่ามือของน้องแพรวที่ใต้โต๊ะเอื้อมมาวางที่ต้นขาผมแล้วลูบไล้ ไปมา จนผมอดหันไปสบตาใสแจ๋วที่มองผมอยู่ไม่ได้ แต่ก่อนที่ผมจะตอบเสียงน้องพราวก็ดังขึ้นเบาๆ
“พราวไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลงคิดว่าหน้าที่ของทุกคนคือการทำลายความเลวออกไปจากโลกนี้เสียอีก”
คำ พูดของน้องพราวทำให้สายตาทุกคู่หันไปดูเด็กสาวพร้อมกัน ผมอดแปลกใจไม่ได้เพราะคำพูดน้องพราวบอกให้รู้ว่ามีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่ในใจ ที่ไม่เคยมีผู้ใดรู้แม้กระทั่งผู้เป็นพี่สาวเช่นน้องแพรว แต่ดูเหมือนน้องพราวจะรู้ตัวและหันมาหัวเราะเบาๆกับทุกคน
“พราวคงอ่านนิยายกำลังภายในมากไปแน่ๆ เลย..”
คำ พุดของน้องพราวทำให้ทุกคนต้องหัวเราะตามออกมา และเริ่มสนทนาในเรื่องอื่น แต่ผมกลับสัมผัสถึงมือน้องแพรวที่เลื่อนจากหน้าขามากุมมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ พร้อมดึงมือผมไปซุกที่หน้าตักใต้โต๊ะจนผมสัมผัสได้ถึงผิวกายบริเวณขาอ่อนที่ นุ่มเนียนราวผ้าไหม น้องแพรวสะกดมือผมให้ทาบทับกับขาอ่อนไว้ โดยที่ยังคงพูดกับทุกคนอย่างไม่ปรากฏอาการผิดปกติ แรงสะท้อนของเนื้อหนังวัยสาวทำให้ผมอดเคลื่อนไหวมือลูบไล้ขาอ่อนคู่งามไว้ ไม่ได้ ขณะที่น้องพราวขยับตัวเบียดมานั่งชิดกับผมจนสะโพกอวบกลมแนบกับสะโพกผมและ ปล่อยให้ผมเคลื่อนไหวมือเบื้องล่างได้อย่างเต็มที่ แต่ผมก็ต้องหยุดชะงักมือที่กำลังไต่สูงขึ้นไปยังขอบกางกเงขาสั้นน้องแพว เมื่อสบตากับน้องพราวที่นังอยู่ตรงข้าม เพราะดูเหมือนดวงตาคูงามของน้องพราวจะทอแววตัดพ้อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนกลับเป็นแววตาปกติและหันไปหารือเรื่องรายงานกับน้องรินน้องกิฟท์ตามเดิม ขณะที่น้องแพรวที่ยังคงแนบร่างชิดกับผมก็ยังพยายามดึงมือผมให้เลื่อนไปยัง โคนขา แต่ปากก็ยังคงพูดเรื่องรายงานโดยปราศจากพิรุธใดๆ ให้ผู้ร่วมโต๊ะรับรู้
น้องแพรวหันหน้ามามองผมแว่บหนึ่งเมื่อรับรู้ ว่ามือผมที่กำลังไต่ผ่านขอบก่งเกงขาสั้นหยุดการเคลื่อนไหว และปล่อยมือผมช้าๆ แต่ก่อนที่ผมจะรู้ตัวมือนั้นก็เคลื่อนมากุมเป้ากางเกงชาวเลที่ผมสวมอยู่ อย่างจงใจ และบีบเคล้นแก่นกายที่ปราสจากกางเกงในเบาๆ จนทำให้แท่งเนื้อผมเริ่มตื่นตัวอยู่ในอุ้งมือน้องแพรว ไม่นานนักมือน้อยๆ ของน้องแพรวก็กุมแท่งเนื้อที่ชูชันเอาไว้ทั้งหมด ซึ่งแม้จะเป็นการสัมผัสนอกกางเกงแต่เนื้อผ้าฝ้ายที่บางเบาทำให้มันแทบไม่ ต่างกับการสัมผัสด้วยเนื้อแท้แต่อย่างใด ผมเหลือบตามมองใบหน้าด้านข้างน้องแพรวที่พยายามแสดงมีหน้าปกติ แต่ลมหายใจที่ถี่ขึ้นจนรู้สึกได้บอกให้รู้ว่าเด็กสาวผู้เปิดเผยคนนี้กำลัง ตื่นเต้นกับการยั่วอารมรณ์รักของผมให้พุ่งขึ้น ผมลอบสังเกตน้องริน น้องกิฟท์ น้องพราว ที่กำลังพูดคุยเรื่องรายงานโดยไม่สังเกตผมและน้องแพรว ก่อนจะตัดสินใจไล้มือที่วางอยู่บนโคนขาอวบเนียนแทรกผ่านขอบกางเกงเข้าไป หัวใจผมเต้นระทึกเมื่อน้องแพรวขยับขาให้หันเอียงมาจนมือผมสามารถผ่านขอบขา กางเกงขาสั้นหลวมกว้างแบบเดียวกับที่น้องพราวใส่ เข้าไปสัมผัสเนินนูนอิ่มอวบไว้ทั้งหมด แม้จะถูกปกคลุมด้วยกางเกงในเนื้อเนียน ผมก็ยังรับรู้ได้ถึงขนาดและสัณฐานของมันว่าแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกันกับน้อง พราวที่ผมสัมผัสในช่วงบ่าย ความชื้นน้อยๆ ส่งผ่านเนื้อผ้าบางเบาขึ้นยังมือผม บอกให้รู้ว่าอารมณ์รักของน้องแพรวกำลังเริ่มปะทุขึ้น แต่ก่อนที่มือผมจะคืบหน้าไปเพื่อสัมผัสเนื้อแท้ภายในกางเกงใน น้องพราวก็ถอนมือจากการกุมแท่งเนื้อของผมมาจับมือผมดึงออกจากการเกาะกุมเนิน เนื้อ ก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ กับรน้องริน น้องกิฟท์ และน้องพราว
“แพรวไปห้องน้ำก่อนนะ..ปวดท้องจังสงสัยท้องเสียแน่เลย”
พูด จบน้องแพรวก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังตัวบ้านอย่างรวดเร็ว ผมนั่งสนทนากับน้องริน น้องกิฟท์ น้องพราวครู่หนึ่ง ก่อนขอตัวกลับมาที่บ้านโดยอ้างว่าต้องไปตรวจผลจากคอมพิวเตอร์ต่อ ขณะที่ผมกลับเข้ามาในตัวบ้านใจก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องแพรวปวดท้องเข้าห้องน้ำ จริงหรือใช้เป็นข้ออ้างให้ผมตามมากันแน่ แต่เมื่อผมผ่านหน้าประตูห้องน้ำแขก ประตูก็เปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างน้องแพรวโถมเข้าหาผมแล้วกอดไว้แน่น ทำให้ผมต้องรีบผลักน้องแพรวเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็ว ขณะที่น้องแพรวส่งเสียงครางออกมาแผ่วเบา
“พี่เอ…กอดแพรวหน่อย…”
ผม กระชับร่างงามในวงแขนเข้ากอดไว้แน่นจนรู้สึกได้ถึก้อนเนื้อหน้าอกอวบแน่น เบียดอยู่กับหน้าท้อง ใบหน้าน้องแพรวแหงนขึ้น ดวงตากลมโตสบตาผมแน่วนิ่งริมฝีปากรูปกระจับเผยอดขึ้นน้อยๆ จนฟันกระต่ายเผยตัวออกมา ผมก้มลงจูบริมฝีปากเย้ายวนนั้นอย่างลืมตัว ความหอมกรุ่นในช่องปากน้องแพรวกระจายซ่านผ่านสิ้นที่ผมส่งเข้าไปเกี่ยวรัด ลิ้นน้อยๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวกระหวัดลิ้นผม ปฏิกริยาตอบสนองที่ดูชำนาญกับการใช้ลิ้นของน้องแพรวทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า บางทีน้องแพรวน่าจะมีประสบการณ์ทางเพศมาแล้ว และนั่นก็ทำให้การร่วมรักกับน้องแพรวไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ ตามมาอย่างแน่นอน
สอง มือผมเกาะกุมแก้มก้นอวบอิ่มไว้แน่น บี้คลึงความแน่นของเนือ้หลังสัยสาว 15 อย่างละลานใจในรสสัมผัส ร่างอวบอิ่มบิดกายในอ้อมกอดผมพร้อมตอบสนองการสัมผัสทุกส่วนของร่างกายอย่าง เต็มใจ มือน้อยๆ ของน้องแพรวเคลื่อนมาที่ปมกางเกงชาวเลของผมและแกะมันออกอย่างรุนแรง จนกางเกงตกไปกรอมข้อเท้า ทำให้แท่งเนื้อแข็งปั๋งของผมกระดกตัวขนานกับพื้นโดยไม่มีสิ่งปกปิด และก่อนที่ผมจะรู้ตัวน้องแพรวก็ถอนจูบแล้วรุดตัวลงไปคุกเข่าด้านล่าง แล้วคว้าแก่นเนื้อผมเข้าสู่ช่องปากและออกแรงดูดมันในทันที
สัมผัส และแรงดูดของเด็กสาวที่บางบอกถึงความชำนาญทางเพศ ทำให้ผมต้องกุมศีรษะน้องแพรวกดอัดเข้ากับหน้าขา ปล่อยให้ความเสียวพุ่งทะยานขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ผมต้องยอมรับว่าน้องแพรวมีความสามารถในการใช้ปากให้ความสุขอย่างยอดเยี่ยม แม้น้องริน น้องกิฟท์จะใช้ปากให้ความสุขกับผมเสมอๆ แต่น้องทั้งสองก็ไม่ชำนาญเทียบเท่าเด็กสาวที่กำลังใช้ความสามารถทั้งหมดที่ มีรีดเร้นน้ำรักจากร่างผมเบื้องล่าง
ความเสียวทะยายนขึ้นมาที่ปลายแท่ง เนื้อ แต่ก่อนที่ผมจะระเบิดน้ำรักออกมาในปากน้องแพรว เด็กสาวก็ปล่อยแท่งเนื้อให้เป้ฯอิสระ แล้วดึงร่างผมให้ทรุดตัวลงกับพื้นห้องน้ำ ก่อนปลดตะขอกางเกงขาสั้นออกแล้วดึงออกจากร่างพพร้อมกางเกงในฝ้ายสีขาว เปิดเผยเนินเนื้อเปล่งปลั่งอยู่เบื้องหน้าผม
“น้องแพรว…”
ผม ครางออกมาอย่างสุดกลั้นเมื่อเห็นเนินนูนอิ่มอูมของน้องแพรวอย่างเต็มตา มันแทบไม่แตกต่างกับน้องพราวแม้แต่น้อย มีเพียงกลุ่มไรขนที่ขึ้นรวมตัวกันเหนือร่องรักเท่านั้นที่ทำให้ผมสามารถแยก ควสามแตกต่างจากร่องรักน้องพราวที่ไรขนกระจายกันปกคลุมทั้วเนิน แต่กลุ่มขนของน้องแพรวที่ไม่คลุมสองแคมกลับทำให้เแคมเสียวทั้งสองข้างเปล่ง ปลั่งเป็นพิเศษ หยาดน้ำเสียวที่เอ่อล้นออกมาจนชุ่มสองแคมเป็นมันวาวบอกให้รู้ว่าเด็กสาว พร้อมสำหรับการร่วมรัก
“พี่เอ…ขอแพรวนะ…”
น้องแพรว ครางกระเส่า ขณะที่ร่างงามที่ปราศจากสิ่งปกคลุมท่อนล่างเลื่อนตัวขึ้นทาบทับผมไว้ แก่นกายที่แข็งจนแทบระเบิดของผมจ่อสัมผัสกับสองแคมเปียกชุ่มที่พร้อมสำหรับ การรุกล้ำ
………ก็อก….ก็อก…ก็อก…..
“แพรว เป็นอะไรมากหรือเปล่า พราวเอายามาให้ไหม”
เสียงน้องพราวดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตูห้องน้ำ ตามมาด้วยเสียงน้องกิฟท์ ที่บอกถึงความห่วงใย
“ถ้าแพรวไม่สบายไปนอนที่เรือนพักแขกก่อนก็ได้นะ…”
เสียงน้องพราวและน้องกิฟท์ ทำให้ผมและน้องแพรวสะดุ้งพร้อมกัน น้องแพรวกัดฟันแน่นอย่างข่มอารมณ์ ก่อนส่งเสียงตอบ
“แพรวไม่เป็นไรหรอก ท้องเสียนิดหน่อย จะเสร็จแล้วล่ะ พราวกับกิฟท์ไปก่อนเถอะ..”
“งั้นพราวกับกิฟท์จะรอที่ห้องรับแขกนะ..”
เสียงน้องพราวตอบมา ผมมองใบหน้าแดงเรื่อของน้องแพรวที่แสดงอาการผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ก่อนดึงน้องแพรวเข้ามากอด และกระซิบเบาๆ
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวคืนนี้พี่จะมาหาน้องแพรวที่ห้อง…ได้ไหม..”
น้องแพรวมองหน้าผมและยิ้มอย่างเสียดาย ก่อนจูบผมหนักๆ
“พี่เอต้องมาหาแพรวนะ…ไม่งั้นแพรวจะบุกไปหาพี่เอที่ห้องเลย”
ผม ยิ้มให้น้องแพรว แล้วรับสวมกางเกงอย่างลวกๆ เปิดประตูให้น้องแพรวที่กลับสวมกางเกงเรียบร้อยแล้วให้ออกไปจากห้องน้ำ แล้วคอยจนสามสาวเดินห่างออกไป จึงผลุบออกมาจากห้องน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังห้องของผม แต่ในใจอดคิดถึงกำหนดการกับสองพี่น้องฝาแฝดที่กำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้ จนทำให้ผมอดแปลกใจตนเองไม่ได้ว่าทำไมผมจึงเกิดความรู้สึกทางเพศที่รุนแรงกับ สองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้อย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน แม้กระทั่งน้องรินและน้องกิฟท์ที่ผมรักสุดหัวใจ ส่วนปลายของแท่งเนื้อผมยังคงรับรู้ถึงสัมผัสหยุ่นตึงของแคมเนื้อน้องแพรวที่ เปิดรับการร่วมรักแต่ถูกขัดจังหวะในวินาทีสุดท้าย แก่นกายผมกระดกขึ้นลงด้วยความต้องการทำให้ผมต้องรีบสวบสติแล้วมุ่งหน้าไปที่ ห้องนอนเพื่อตรวจผลจากคอมพิวเตอร์สำหรับเตรียมสอบไฟนอลของภาคเรียนในวัน พรุ่งนี้ แต่เมื่อผมเข้าไปในห้องและเปิดกระเป๋าเอกสารก็ต้องกระทกตัวเองลงกับเก้าอี้ ด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะในกระเป๋าไม่มีเอกสารที่ต้องการ ผมค่อยๆ ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ณ์ในห้องคอมพิวเตอร์ และรับรู้ในทันทีว่าผมลืมเอกสารทั้งปึกเอาไว้ที่โต๊ะทำงานเพราะใจพะวงกับการ ที่น้องพราวมาหา ผมถอนใจยาวเพราะรู้ว่าหากไม่นำเอกสารนี้มาตรวจผลในวันนี้ผมก็จะไม่สามารถ เข้าสอบได้
“ อ้าว..พี่เอจะออกไปไหนน่ะ..”
น้องรินร้อง ถามจากโต๊ะสนาม เมื่อเห็นผมในเดินผ่านไปยังรถที่จอดอยู่ใกล้ๆ ในเครื่องแต่งกานที่พร้อมออกไปข้างนอก ผมหันไปยิ้มให้แล้วส่ายศีรษะไปมาด้วยความเซ็งในความหลงลืมของตัวเอง
“พี่ลืมงานไว้ที่คณะน่ะ เดี๋ยวต้องกลับไปเอ สำคัญมากเลย”
ผม ตอบน้องรินแล้วเดินไปที่รถ แต่ต้องหันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงวิ่งตามมา และพบว่าเป็นน้องแพรวที่มาหยุดอยู่ข้างๆ สีหน้าของเด็กสาวแสดงความวิตกอย่างเห็นได้ชัด
“พี่เอไม่ไปไม่ได้เหรอ ”
น้องแพรวถามอย่างร้อนรนจนผมแปลกใจ ผมส่ายหน้าปฏิเสธแล้วตอบเบาๆ..
“ไม่ได้หรอก พี่ลืมเอกสารสำคัญมากต้องไปเอาก่อน น้องแพรวเป็นอะไรหรือทำไมทำหน้าอย่างนั้น”
ผมถามเด็กสาวเบื้องหน้าอย่างสงสัย จณะที่แววตาน้องแพรวเปลี่ยนไปเป็นแววตายั่วยวนในทันที แล้วกระซิบเบาๆ
“พี่ เอ ต้องรีบกลับมานะ..พราวบอกแพรวแล้วล่ะว่าเมื่อบ่ายเสียสาวให้พี่เอไปแล้ว แพรวไม่ยอมหรอก พี่เอต้องให้แพรวบ้าง และที่สำคัญห้ามไปเย็ดใครก่อนแพรว…สัญญานะ..”
“เอ้าสัญญาก็ได้…แต่หมายความว่าคืนนี้พี่ต้องเย็ดทั้งพราวและแพรวพร้อมกันเลยใช่ไหมเนี่ย”
ผมตอบอย่างยั่วเย้า ทำให้น้องแพรวหน้าแดงแต่ผงกศรีษะรับอายๆ ก่อนวิ่งตื๋อกลับไปรวมกลุ่มสาวๆที่โต๊ะ
ผม ขับรถออกจากบ้านมุ่งหน้าไปคณะด้วยความสงสัยเล็กน้อยถึงปฏิกิริยาของน้องแพรว ที่แสดงท่าทีร้อนรนให้ผมร่วมรัก แต่ก็รีบปัดความคิดทิ้งไปเพราะแน่ใจว่าเป็นอาการที่เกิดจาการรับรู้ว่าผู้ เป็นน้องสาวได้รับความสุขสุดยอดในชีวิตไปก่อนตนเอง ทำให้น้องแพรวมุ่งมั่นที่จะร่วมรักกับผมเพื่อไม่ให้แพ้น้องพราวเท่านั้น
ผม จอดรถที่ข้างคณะ บริวรณโดยรอบปราศจากผู้คนเพราะเป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว พรึ่งนี้เป้นวันสอบไฟนอลของนิสิตทุกภาควิชา ทำให้ทุกคนคงกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวสอบครั้งสำคัญ ผมรีบล้วงกุญแจห้องคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องคอมพิวเตอร์อย่าง รวดเร็ว แต่ผมต้องแปลกใจเมื่อมาถึงหน้าห้องเพราะไฟในห้องยังเปิดอยู่แสดงว่ามีคนยัง คงใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ภายใน ผมบิดลูกบิดประตูช้าๆ เพื่อแอบเข้าไปหาเพื่อนที่ผมคิดว่าพยายามซุ่มตัวเองเพื่อเตรียมสอบอยู่ภายใน ห้อง
เสียงสะอื้นเบาๆ แว่วเข้าสู่หูผมขณะประตูเปิดออกโดยปราศจากเสียง ภายในห้องแม้จะเปิดไฟสว่างอยู่ แต่ปราศจากภาพเพื่อนร่วมภาควิชาที่โต๊ทำงานอย่างที่ผมคาด เสียงสะอื้นยังคงดังมาจากด้านหลังห้องซึ่งเป็นพื้นที่พักผ่อนของนิสิต ผมเดินไปยังต้นเสียงด่วยความกังวลใจ และต้องร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
“เฮ้ย..ไอ้เหมียว เป็นอะไรไปวะ”
ผม ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นนังเหมียวเพื่อนร่วมคณะกำลังกุมท่อนแขนเอา ไว้ ร้องไห้เบาๆ เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ใส่อยู่มีรอยเลือดที่ท่อนแขนเป็นทางยาว เนื้อผ้ายับย่นราวกับผ่านการต่อสู้อย่างหนัก ผมถลาเข้าไปนนั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าเก้าอี้ทันที จับมือนังเหมียวไว้เพื่อตรวจดูบาดแผลที่เกิดขึ้น แต่นังเหมียวไม่ยอมปล่อยมือมที่กุมท่อนแขนอยู่
“ไม่เป็นไรหรอก เมื่อกี้ข้ากำลังจะกลับผ่านไปเจอพวกเด็กอุเทนมันตีกับช่างกลอยู่ที่ถนนอังรี ย์น่ะ หลบไม่ทันเลยโดนลูกหลง เลือดหยุดแล้วไม่เป็นอะไรมากหรอก เอ็งกลับไปเถอะ”
นังเหมียวก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม แต่ยังคงพยายามไล่ผมให้กลับไปตามนิสัยที่ไม่ชอบรับความช่วยเหลือจากใคร ผมถอนใจยาวกับนิสัยเสียของเพื่อนสาวร่วมแผนก
“แต่แกดูเจ็บมากนะเหมียว..เลือดออกเยอะด้วย ไปโรงพยาบาลกับข้าเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า…”
“ไม่เอาหรอก ข้าไม่อยากไปโรงพยาบาล เดี๋ยวหมอฉีดยา…”
นัง เหมียวเถียงข้างๆ คูๆ ทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปดึงมือที่กุมท่อนแขนอยู่ออกเพื่อตรวจบาดแผล ยังเหมียวพยายามฝืนมือแต่เมื่อสบตาผมที่แสดงความห่วงใยออกมา นังเหมียวก็ระบายลมหายใจยาว
“เอ้าอยากดูก็ดู …บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก แกนี่…โอ๊ย…ไอ้บ้าเอ…ฉีกทำไมวะ..”
นัง เหมียวร้องลั่นเมื่อผมฉีกแขนเสื้อออกเพื่อดูบาดแผลชัดๆ มันเป็นบาดแผลจากเหล็กขูดชาร์ฟที่เป็นอาวุธยอดนิยมของนักเรียนช่างกล โครงสร้างรูปสามเหลี่ยมทำให้บาดแผลผู้ถูกแทงปิดแทบจะในทันที โดยมีเลือดออกไม่มากนัก แต่หากถูกแทงที่อวัยวะสำคัญก็จะทำให้เลือดตกภายในจนเสียชีวิตได้ แผลที่ท่อนแขนนังเหมียวไม่มีเลือดไหลออกมา แต่สีหน้าเจ็บปวดของนังเหมียวยามผมที่ขยับท่อนแขนทำให้ผมอดแผ่ปราณตรวจ สอบกระดูกท่อนแขนไม่ได้ และต้องถอนใจออกมาเมื่อพบว่าคมของเหล้กขุดชาร์ฟกระทบกระดูกท่อนแขนจนปริร้าว ซึ่งแม้มันจะไม่รุนแรงจนทำให้กระดูกหัก แต่การเคลื่อนไหวแขนในระยะเวลาอันสั้นดูจะเป้นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“กระดูกแกร้าวนะไอ้เหมียว ข้าว่าไปหาหมอให้เอ็กซ์เรย์และเข้าเฝือกดีกว่า”
ผมบอกเบาๆ ก่อนเงยหน้าขึค้นมาพบว่านังเหมียวกำลังมองตาผมด้วยแววตาแปลกประหลาด แต่ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงของนังเหมียวคนเดิม
“แกไม่ต้องบอกว่ากระดูกร้าวข้าก็รู้ว่ะ มันเจ็บฉิบหายเลย”
“งั้นก็ลุกขึ้นไปหาหมอกับข้าเดี๋ยวนี้”
“ไป ได้ไงวะ พรุ่งนี้จะต้องสอบแล้ว ขืนเข้าเฝือกข้าจะเอามือที่ไหนเขียน ข้ายังไม่อยากสอบตกนะ เดี๋ยวกินยาแก้ปวดประทังไว้ก่อนก็ได้ พรุ่งนี้สอบเสร็จแล้วค่อยไป”
นังเหมียวยังคงยืนยันที่จะไม่ยอมไปโรง พยาบาล ความสนิทที่มีต่อกันทำให้ผมจับน้ำเสียงนังเหมียวได้ว่าต่อให้ผ่านการสอบ พรุ่งนี้ไป นังเหมียวก็ยังคงไม่ยอมไปพบแพทย์อย่างแน่นอน ผมนึกถึงตลอดเวลาที่เรียนด้วยกันมาในปีหนึ่ง นังเหมียวไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปที่โรงพยาบาลแม้แต่ครั้งเดียว แม้กระทั่งตอนรับการตรวจร่างกายสำหรับนิสิตปีหนึ่งที่เป็นระเบียบปฏิบัติ แต่นังเหมียวก็ขาดการตรวจอ้างว่าป่วย และนำใบรับรองการตรวจร่างกายทั่วไปจากคณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชมาให้คณะ แทน
ผมอดส่ายหัวกับความดื้ดึงของนังเหมียวไม่ได้ และเมื่อคิดถึงการที่นังเหมียวต้องสอบข้อเขียนทั้งที่กระดูกแขนร้าว ทำให้ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน
“เมียว..เอ็งเป็นเพื่อน รักของข้านะ…ข้าจะช่วยให้เอ็งหายเจ็บแต่เอ็งต้องสัญญากับข้าก่อนว่าจะไม่ บอกเรื่องนี้กะบใครเป้นอันขาด…เข้าใจไหม ”
ผมจ้องตานังเหมียวแล้วถามอย่างจริงจัง นังเหมียวมีสีหน้าแปลกใจแต่ก็ผงกศีรษะรับ
“ถ้าไม่ต้องไปโรงพยาบาลเอ็งจะทำยังไงก็ได้ ขอให้หายเจ็บก็พอ…หรือว่าเอ็งจะเย็ดข้าวะ”
ประโยคสุดท้ายนังเหมียวพูดออกมาตามนิสัยแก่นแก้วตามปกติ ทำให้ผมต้องส่ายหัวอย่างระอากับความทะลึ่งที่ไม่รู้จักาละเทศะของนังเหมียว
“เรื่อง เย็ดเอาไว้ชาติหน้าให้เอ็งเกิดใหม่เป็นผู้หญิงปกติก่อนแล้วข้าจะช่วยนะ… ว่าแต่เอ็งสัญญาได้ไหมว่าจะไม่บอกใครเรนื่องที่ข้าจะช่วยให้เอ็งหายเจ็บ เนี่ย”
เมื่อนังเหมียวพยักหน้ารับ
“งั้นเอ็งจงนั่งนิ่งๆ อย่างเคลื่อนไหวใดๆ และที่สำคัญถ้ารู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนอยู่ในตัวก็อย่าตกใจล่ะ”
ผม กำชับก่อนดึงมือนังเหมียวมากุมไว้ แล้วถ่ายปราณเข้าสู่ท่อนแขนเพื่อตรวจสอบรอยร้าวของกระดูกก่อนก่อนส่งไปโคจร ผ่านจักรทั้งสี่ เพื่อกระตุ้นพลังซ่อมแซมร่างกาย อันเป็นวิชาในหใมวดรักษาอาการบาดเจ็บของปราณคชสีห์ ที่สามารถเชื่อมต่อกระดุกได้ในเวลาอันสั้นจากการเร่งวงรอบการเติบโตของเซล กระดูกให้เร็วขึ้นหลายสิบเท่า จนร่างกายสามารถซ่อมแซมกระดูกที่เสียหายในทันที แต่ทันทีที่ผมส่งปรารผ่านจักรอีคีที่ท้องน้อยก็ต้องอุทานออกมาในใจเมื่อพบ ว่าร่างนังเหมียวมีปราณธรรมชาติที่เข้มแข็งอย่างที่ผมไม่เคยพบมาก่อนรวมตัว กันอยู่ที่จุดศูนย์ แต่ยังคงเป็นปราณที่บริสุทธิ์ไม่เคยเคลื่อนไหวตามแนวทางโคจรปราณในทุกรูปแบบ
ผมเงยหน้าขึ้นมองนังเหมียวด้วยความแปลกใจ และพบว่าดวงตาของนังเหมียวกำลังจับจ้องผมด้วยประกายตาที่แสดงความสงสัยเช่นกัน
“ไอ้เอ…นี่แก…”
นังเหมียวพึมพำออกมา
“อย่าเพิ่งถาม สงบใจไว้ ข้าจะรักษาเอ็งล่ะ”
ผม รับตัดบทในทันที แล้วส่งปราณกระตุ้นเซลกระดูกอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วครูเซลกระดุกทั้งหมดในร่างนังเหมียวก็ตื่นตัวเคลื่อนไหวพลุกพล่าน ผมรีบชักจูงเซลจำนวนหนึ่งมาตามไขกระดูกไปที่ท่อนแขนที่มีรอยร้าว เซลกระดูกแทรกผ่านช่องว่างทันทีและเริ่มเกาะตัวประสานปิดร่อยร้าวอย่างรวด เร็ว เพียงครู่เดียวเซลที่หลงเหลือก็ถอนกลับทิ้งกระดูกที่ผ่านการว่อมแซมแล้วเอา ไว้แล้วแทรกตัวกลับเข้าไปในไขกระดูกตามเดิม ผมถอนใจยาวและปล่อยมือนังเหมียว
“เอ้า..ลองขยับดูซิ…”
ดวงตานังเหมียวยังคงจับจ้องใบหน้าผม ขณะทดลองยกแขนขึ้น แล้วอุทานออกมาอย่างประหลาดใจสุดขีด
“เฮ้ย…ไม่เจ็บเลย หายแล้ว…แล้วนี่แผลก็ไม่มี เอ็งทำอย่างไรวะ…”
ผมยิ้มให้เพื่อนรักร่วมภาควิชา
“เป็น ความลับส่วนตัว แต่เอ็งสัญญาแล้วนะว่าจะไม่บอกใคร ข้าไม่อยากกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาทุกคนว่ะ เอาล่ะลุกขึ้นกลับบ้านได้แล้ว ข้าจะไปส่งที่บ้านพรุ่งนี้ต้องมีสอบอีก..”
นังเหมียวลุกขึ้นแล้วเดินตามผมมาที่ห้องคอมพิวเตอร์ เฝ้าดูผมเก็บเอกสารที่ต้องการเงียบๆ และเดินตามผมกลับมาที่รถโดยไม่พูดอะไร
“เอ…ข้าอยากถามเอ็งเรื่องหนึ่งเอ็งจะบอกข้าได้ไหม”
นังเหมียวเอ่ยถามขึ้นเบาๆ หลังจากผมก้าวขึ้นนั่งในรถแล้วสตร์ทเครื่องยนต์
“ถามสิ..ถ้าตอบได้ข้าจะตอบ”
ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่คำถามที่นังเหมียวพูดออกมาทำให้ผมต้องหยุดรถในทันทีด้วยความตกใจ
“เอ…แกเป็นผู้ทรงปราณหรือ”