ปกขาว
  • Home
  • Home
  • Manga
  • Doujin-TH
  • Manhwa
  • เรื่องเสียว
  • เรื่องเสียวซีรี่ย์
  • Cosplay
  • H-Anime
  • A.I.
  • Onlyfan
Prev
Next
The Dark side_1

การ์ตูนแผ่น (ตอน) เดียวจบ

May 16, 2022
น้องรหัส | [Doujin Sak] Peer Mentee การ์ตูนแผ่นเดียวจบ by Xter
Specials_Vol15_001 (Large)

เปิดบริสุทธิ์

October 8, 2024
061 เปิดบริสุทธิ์ สาวมหาลัย (แหม่ม นันทิชา) 060 เปิดบริสุทธิ์ สาวเพนเฮ้าส์

คฤหาสน์โลกีย์

May 24, 2022
ตอนที่ 38 ตอนที่ 37
Nong Earn – น้องเอิร์น Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน_Page_170

ได้เวลาเปลี่ยนกะ (น้องเอิร์น) (Nong Earn) ตอนที่ 1-9 ตอนพิเศษ 2 ตอน + PDF

May 13, 2022
ตอนที่ 10 ได้เวลาเปลี่ยนกะ Ch.1-9 + พิเศษ 2 ตอน [JPG][PDF] แก้ลิ้งแล้ว ตอนที่ 9 ฝึกงาน

ครอบครัวหฤหรรษ์

February 14, 2023
ตอนที่ 9 ครอบครัวคุณมรกต ตอนที่ 8 ครอบครัวของเรวดี (คุณพิชาญ,เรวดี,ยุ้ย,โจ้ )

เรื่องเสียวจากหนังสือปกขาว/ปกสี

May 1, 2023
106 เสน่ห์ชาย 105 ผัวน้อยผัวหลวง

นางฟ้าน้อย ๆ กับไอ้เฒ่าบ้ากาม ภาค 1 – 2

July 9, 2022
ภาค 2 ตอนที่ 3 เรอิ สาวน้อยผู้ไร้เดียงสา ภาค 2 ตอนที่ 2 หนิง...สาวน้อยผู้เร่าร้อน
Xter My Mother

My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป

August 17, 2024
003 My Mother The Animation พากย์ไทย 002 My Mother เมื่อคุณแม่ผมเปลี่ยนไป ZIP

ครูเจ้าเล่ห์

April 30, 2023
ตอนที่ 40 ตอนที่ 39

รสสวาทแรงหึง (นัฐถิยา ภาค 2)

May 27, 2022
รสสวาทแรงหึง 100 รสสวาทแรงหึง 99
hard36a001

A4U Hard Series 80 Albums

October 15, 2024
80 79

คุณนายผู้น่าสงสาร ตอนที่ 1-21

August 21, 2022
ตอนที่ 21 ตอนที่ 20 เมื่อคุณนายผการับเป็นพรายเสน่ห์

The Paradox บทที่ 3.1 มังกรฟ้า

  1. Home
  2. The Paradox & The Zodiac by Buta
  3. The Paradox บทที่ 3.1 มังกรฟ้า
Prev
Next

The Paradox บทที่ 3.1 มังกรฟ้า

“โอ๊ย…พี่เอจ๋า…เบาๆ หน่อย หีทีน่าจะพังแล้ว..”

เสียงน้องคริสทีน่า เด็กสาววัย 14 ครวญครางด้วยความเสียวระคนความเจ็บ เมื่อถูกแท่งเนื้อของชายหนุ่มวัย 18 ปีเต็มอัดเข้าไปฝังแน่นในเนินนูนที่แม้จะอวบอิ่มเกินอายุ แต่มันก็ยังไม่สามารถรองรับแก่นกายที่ยาวเกือบ 7 นิ้วไว้ได้ทั้งหมด ทำให้ทุกครั้งที่มันกระเด้าเข้าไปจนสุด ส่วนปลายจึงกระแทกปากมดลูกที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่อย่างแรง จนเด็กหญิงต้องร้องขอให้ชายหนุ่มที่กำลังร่วมรักผ่อนการกระเด้าลง

“พี่ขอโทษนะ หีน้องทีน่าทั้งดูดทั้งแน่น พี่อดใจไม่ไหว…… ”

ผมตอบคำขอร้องของเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงหอบเล็กน้อย พร้อมลดแรงกระแทกลงมาเป็นการเคลื่อนที่เข้าออกช้าๆ ร่างงามของเด็กหญิงชาวฟิลิปปินส์นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงหนานุ่มของโรงแรมโอ เรียลเต็ล ซึ่งเป็นห้องพักที่น้องทีน่าพักอยู่ร่วมกับบิดาที่เป็นนักดนตรี แม้ประสบการณ์จะบอกผมว่าเด็กหญิงวัย 14 ผู้นี้ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ แต่ความรัดรึงในร่องหลืบแรกแย้มที่แทบไม่แตกต่างกับเด็กสาวที่ไม่เคยผ่านการ ร่มรัก กริยาอาการตอบสนองที่ไม่ชำนาญ บอกให้รู้ว่าประสบการณ์ทางเพศของน้องทีน่ามีไม่มากนัก และอาจจะเป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงต้องรองรับเกมส์รักกับชายหนุ่มที่ช่ำชอง เช่นผม

“อูวส์…ทีน่าเสียวจัง…พี่เอคลึงหน้าอกทีน่าอีกนะ…”

ใบหน้าหวานโฉบเฉี่ยวของเด็กหญิงผ่อนคลายจากความเจ็บ และเริ่มรับรู้ความเสียวจากการเสียดสีเบื้องล่างมากขึ้น ร่างผมที่อยู่ในท่าคุกเข่า ยกสองขาเรียวสีน้ำผึ้งขึ้นมาซ้อนในวงแขน ทำให้ผมสามารถก้มไปมองภาพแก่นกายที่กำลังผลุบเข้าออกเนินรักของน้องทีน่าได้ อย่างเต็มที่ สองแคมอวบปลิ้นเข้าออกตามแรงกระเด้า ใบหน้าเด็กหญิงส่ายไปมาด้วยอารมรณ์รัก หน้าอกตูมเต่งที่แข็งเป็นไตเต้นไหวอยู่เบื้องหน้า ผมลดขาคู่งามให้ลงมาพักอยุ่บนพื้นเตียงแล้วหันไปเคล้นคลึงความเต่งตึงของ เต้านม สัมผัสแรงสะท้อนที่แข็งเป็นไตจนแทบไม่ยุบตัวตามแรงเคล้นแม้แต่น้อย หัวนมสีน้ำตาลอ่อนปนชมพูเม็ดน้อยชูชันสู้ฝ่ามือผมอย่างไม่กลัวเกรง ขณะที่เจ้าของเต้าส่ายร่างไปมาจนผมต้องเพิ่มแรงกดที่สะโพกเพื่อป้องกันมิให้ เด็กหญิงบิดส่ายจนแก่นกายหลุดจากการกระเด้า

“อื๋ยส์….พี่เอ….ระ เร่งได้แล้ว…ทีน่า…ใกล้แล้ว…”

คำขอของน้องทีน่าทำให้ผมพลิกร่างลงนองเคียงข้างเด็กหญิงในท่าตะแคงข้าง แขนซ้ายสอดเข้าใต้หัวเข่าเด้กหญิงแล้วยกขึ้นสูงจนแทบมาอยู่ระดับเดียวกับอก อีกมือหนึ่งผมโอบหลังนวบเนียนเข้ามาอัดแน่นกับร่างผมจนหน้าอกอวบปลิ้นทะลัก ออกด้านข้าง ผมกระชับร่างน้อยให้แน่นแล้วกระด้าแท่งเนื้อเข้าออกถี่ยิบ ร่องหลืบเด็กสาวที่ถูกท่ายกล้อดันให้สัมผัสกับแก่นกายอย่างเต็มที่เต้นระริก ส่งแรงตอดตอบโต้หัวบานที่ทะลวงเข้าไปในความคับแคบภายใน ดวงตากลมโตของน้องทีน่าเบิกโพงเมื่อรับรู้การกระเด้าที่รุนแรง ปากน้อยๆ อ้ากว้าง ส่งเสียงกระท่อนกระแท่น

“พะ พะ พี่เอ…ลึก…ลึกจัง โอ๊ย…ทีน่า…ไม่ไหวแล้ว อ๊าวส์…. ”

เด็กหญิงร้องลั่นเมื่อจุดสุดยอดมาถึงพร้อมกับที่ผมระดมฉีดน้ำรักเข้าไปใน โพรงรักคับแคบด้วยความแรงจนฉีดอัดเข้าไปถึงมดลุก ร่างเด็กหญิงสั่นระริกฟุบหน้าแน่นกับหน้าอกผม ส่งเสียงครวญคราง

“โอย…ทีน่าไม่เคยถึงแรงขนาดนี้เลย…รักพี่เอจัง….”

ผมลูบไล้แผ่นหลังราบลื่นแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ตามลักษณะของเด็กสาวที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

“น้องทีน่าก็สุดยอดเลยนะ..ไม่บอกไม่รู้เลยว่าน้องทีน่าเคยเย็ดผู้ชายมาก่อน…”

เด็กหญิงส่ายหน้าเบาๆ แสงสว่างที่ส่องผ่านมาจากหน้าต่างทำให้ผมเห็นสองแก้มเด็กหญิงเป็นสีแดงระเรื่อ

“พี่เอเนี่ย…ก็ทีน่าไม่เคยเย็ดกับหนุ่มๆ นี่นา ครั้งแรกของทีน่าก็เป็นครูแก่ๆ ที่หลอกเย็ดทีน่าตอนอายุ 11 ควยมันไม่ทั้งแข็งทั้งยาวเหมือนพี่เอเลย..”
“ว่าแต่ทำไมทีน่ายอมให้พี่เย็ดล่ะ…”

ผมกระซิบถามที่ใบหูน้อยๆ เด็กหญิงยกมือขึ้นลูบไล้หน้าอกผมเบาๆ

“ทีน่าก็ไม่รู้เหมือนกัน .. ตอนเห็นพี่เอมองทีน่าที่ลอบบี้ ไม่รู้ว่าทำไมทีน่าถึงเสียวปลาบไปหมด เหมือนกับทีน่าเคยรู้จักพี่เอมาก่อน..พอที่เอยิ้มให้ทีน่าก็บอกตัวเองว่ายัง ไงก็ต้องหาทางเย็ดพี่เอให้ได้..”
“แล้วทีน่าชอบไหมล่ะ”
“ไม่รู้ไม่ชี้…”

เด็กหญิงตอบอย่างงอนๆ ร่างน้อยเบียดแน่นเข้าหาผม

“พี่เอกอดทีน่าไว้ได้ไหม ทีน่าขอหลับในอ้อมกอดพี่เอหน่อย พรุ่งนี้ทีน่าต้องตามคุณพ่อกลับไปฟิลิปปินส์แล้ว..ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ เจอพี่เออีก….”

ผมลูบไล้เรือนผมยาวสลวยนุ่มมืออย่างปราณี

“หลับซะเถอะสาวน้อยของพี่ ..”

เด็กหญิงปิดตาลงอย่าว่าง่าย เพียงครู่เดียวก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการร่วมรัก ทั้งที่แก่นกายของผมยังคงฝังตัวอยู่ในร่องหลืบ ผมรอให้เด็กหญิงหลับสนิท จึงค่อยๆ ดึงแก่นกายออกมาจากเนินรักที่ให้ความสุขผมอย่างเต็มที่ในห้วงที่ผ่านมา แล้วค่อยๆ พลิกร่างน้องทีน่าให้นอนหงายเพื่อให้หลับในท่าทีสบายขึ้น

ร่างเปลือยงดงงามของเด็กหญิงแรกสาวกระทบสายตาผมกลางแสงสว่างยามบ่ายที่ส่อง ผ่านกระจกหน้าต่างโรงแรมหรู ใบหน้าน้องทีน่ายิ้มน้อยๆ ดวงตากลมโตหลับพริ้ม ร่องหลืบอวบอิ่มเบื้องล่างมีน้ำรักเอ่อล้นออกมาจากสองแคมเปล่งปลั่งที่ปก คลุมด้วยเส้นไหมนุ่มเนียน เรือนร่างของเด็กหญิงที่ยังไม่เติบโตเป็นสาวรุ่นอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นอาจคิดว่าน้องทีน่าเป็นเพียงเด็กหญิงที่มีเสน่ห์ชวนมอง คนหนึ่งเท่านั้น แต่มีเพียงผมเท่านั้นที่รู้ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าเด็กหญิงวัย 14 คนนี้จะเป็นักร้องหญิงที่โด่งดังเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ด้วยบทเพลงเต้นรำที่เร่าร้อนของอัลบัมชุดซามูไร และจะรักษาความนิยมในหมู่แฟนเพลงไว้ได้นับทศวรรษ

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความผิดหวังเล็กน้อยที่รับรู้ว่า ร่างกายของน้องทีน่าไม่ยอมรับปราณคชสีห์ที่หลั่งเข้าสู่ร่าง ทำให้การถ่ายทอดปราณคชสีห์ไปยังบุคคลนอกสายเลือดที่ผมเคยวางแผนไว้ยังไม่ บรรลุผล น้องกิฟท์ (ซึ่งบัดนี้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปราณจากการศึกษากับตำราโบราณที่มี พ่อครูคำแปงสอนภาษาที่จารึกไว้ให้) เคยตั้งข้อสมมุติฐานไว้ว่าการถ่ายปราณคชสีห์ไปสู่สตรีเพศนอกสายเลือดนั้น ผู้รับปราณน่าจะต้องมีอายุไม่เกิน 15 ปี มีกระแสปราณธรรมชาติในร่างและต้องไม่เคยผ่านการร่วมเพศมาก่อน เนื่องจากมีเพียงพลังชีวิตที่ปลดปล่อยออกมาครั้งแรกหลังการร่วมรัก ที่เปลี่ยนสภาพร่างกายจากเด็กหญิงเป็นสตรีที่พร้อมรับการสืบพันธ์เท่านั้น จึงจะสามารถรองรับปราณที่ถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งในกรณีน้องทีน่าที่ผมทดลองแผ่กระแสปราณจนรับรู้ถึงปราณธรรมชาติในร่าง น้องทีน่า และหลังจากที่ทำความรู้จักเด็กหญิงอยู่ไม่ถึงเดือน ผมก็สามารถจับมือและใช้ ปราณกระตุ้นจักรอัคคีตามแนวทางที่คุณแม่เคยใช้กับผม จนสามารถกระตุ้นให้น้องทีน่าร่วมรักกับผมได้ แต่เมื่อน้องทีน่าเคยผ่านการร่วมเพศมาก่อน ปราณคชสีห์จึงไม่สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้แม้น้องทีน่าจะมีเงื่อนไขทาง ร่างกายที่พร้อมสำหรับการรองรับปราณก็ตาม

ผมลุกขึ้นจากเตียงไปยังห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย และแต่งตัว ร่างเปลือยเปล่าของน้องทีน่าที่ยังคงหลับใหลอยู่บนเตียง ทำให้ผมต้องหายใจลึกด้วยความเสียดายรสชาติการร่วมรักที่แสนประทับใจ แต่ก็ตัดสินใจหันหลังเปิดประตูออกจากห้องเพื่อกลับกลับไปบ้านพักที่มีน้อง รินและน้องกิฟท์คอยฟังผลการถ่ายปราณอยู่

——————

เวลาผ่านไปสามปีเต็มหลังจากผมย้อนเวลากลับมาในปี พ.ศ.2520 และผจญเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของผมไปทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปจากโลกที่ผมเคยรู้จักในอดีต หลังผมสามารถสอบเทียบ ม.ศ.5 ได้ในปี 2522 ผมก็สมัครเอ็นทรานซ์สอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผลสำเร็จ ตามมาด้วยน้องรินกับน้องกิฟท์ ที่จบการศึกษา ม.ศ.3 และสามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมได้ตามที่ตั้งใจไว้ คุณพ่อคุณแม่จึงได้ซื้อบ้านพักหลังใหญ่ของอดีตปลัดกระทรวงกลาโหมย่านถนน พญาไทไว้เป็นที่พักของผมและน้องทั้งสองในกรุงเทพ เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปสถานศึกษา

ผมจบการเรียนพื้นฐานปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย และตัดสินใจเรียนต่อในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นภาควิชาที่เปิดใหม่รองรับการก่อตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมและ มินิเมนเฟรมที่กำลังกระจายไปในบริษัทข้ามชาติและหน่วยราชการขนาดใหญ่ แต่ผมรู้ดีว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรก จะถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นเครื่องใช้ประขำบ้านของทุกครอบครัวในเวลาอันสั้น ส่วนน้องรินและน้องกิฟท์ก็ขะมักเขม้นเรียนหนังสือที่ห้องคิงของโรงเรียน เตรียมอุดมอย่างหนัก น้องรินหวังสอบเข้าคณะแพทย์จุฬา ในขณะที่น้องกิฟท์ซึ่งกำลังสนใจภาษาโบราณในจารึก ก็เปลี่ยนความตั้งใจที่จะเป็นแพทบย์มามุ่งหน้าเรียนทางภาษาเพื่อหวังสอบเข้า คณะอักษรศาสตร์จุฬาให้ได้
ชีวิตของเราทั้งสามสงบราบเรียบ ราวกับกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นที่เชียงใหม่เป็นเพียงความฝัน แต่ผมและทุกคนที่เกี่ยวข้องรู้ดีว่านี่เป็นความสงบที่พร้อมจะเกิดการเปลี่ยน แปลงได้ทุกเมื่อ ทำให้ทุกวันผมต้องคร่ำเคร่งฝึกปราณคชสีห์เพื่อหวังจะรวมปราณคชสีห์เข้ากับ ปราณจักรวาลในร่างกายตามคำบอกของกองคำเมื่อสามปีก่อนให้ได้ แต่ดูราวกับว่าผมกำลังพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะกระแสปราณทั้งสองแม้จะประสานเสริมกันและกันในร่างกาย แต่มันยังคงก็เป็นปราณสองสายที่ต่างกันราวกับน้ำกับน้ำมัน อย่าสงไรก็ตามการฝึกอย่างหนักโดยมีน้องรินและน้องกิฟท์ เข้าร่วมตลอดเวลา ก็ทำให้ปราณคชสีห์ของผมเพิ่มความเข้มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับที่น้องรินและน้องกิฟท์ ต่างก็สามารถใช้ปราณเพื่อป้องกันตัวเองได้อย่างชำนาญ

ผมเลี้ยวรถกลับเข้าสู่บ้านคชสีห์ แล้วนำยานพาหนะไปจอดที่โรงรถรวม ก่อนเดินย้อมกลับมาที่ประตูทางเข้าบ้านบานใหญ่ ผมแปลกใจเบล็กน้อยเมื่อพบว่าในห้องโถงและห้องรับแขกไม่มีร่างของผู้ใดอยู่ ที้งที่เป็นเวลาบ่ายวันเสาร์ ซึ่งปกติเป็นวันซึ่งคุณพ่อและคุณแม่จะมาจากเชียงใหม่เพื่อเยี่ยมเยียนแล้ว ค้างคืนที่บ้านก่อนจะเดินทางกลับเชียงใหม่ในวันอาทิตย์ บ่ายวันเสาร์จึงเป็นเวลาที่ทุกคนจะอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อร่วมรับประทานอาหาร ว่าง

“คุณเอกลับมาแล้ว…”

เสียงใสๆ ของเด็กหญิงดังขึ้นตรงทางเดินด้านข้าง ผมหันไปพบกับร่างหนูนิดเด็กหญิงวัย 8 ปี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ผมรับมาอุปการะเมื่อ 2 ปีก่อน หลังจากคุณวิเชียรและคุณสายสมรบิดามารดาของหนูนิดที่เป็นวิศวกรในบริษัทของ คุณพ่อเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุตกเขาระหว่างที่คุณพ่อผมส่งไป สำรวจสถานที่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่แม่ฮ่องสอน โดยมีหนูนิดรอดมาอย่างปาฏิหาริย์ คุณพ่อคุณแม่จึงรับอุปากระหนูนิดไว้เป็นบุตรบุญธรรม โดยที่ผมรวมทั้งน้องรินและน้องกิฟท์เองก็ให้ความรักและเอ็นดูเด็กหญิงเช่น เดียวกับน้องสาวแท้ๆ แต่หนูนิดก็ยังคงไม่ยอมเรียกผม น้องริน และน้องกิฟท์ เป็นพี่อยู่ดี หนูนิดจะเดินทางมากรุงเทพฯ พร้อมคุณพ่อคุณแม่ทุกสัปดาห์ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็บอกผมไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อหนูนิดจบชั้นประถมที่ เชียงใหม่ ก็จะส่งให้มาพักอยู่กับผมที่กรุงเทพเพื่อเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนสาธิต ผมมองตามร่างเด็กหญิงที่เดินมาหาผมในชุดว่ายน้ำทูพีซลายดอกสีชมพู ศรีษะที่เปียกชุ่มและผ้าเช็ดตัวที่หนูนิดคล้องคออยู่ทำให้รู้ว่าเด็กหญิง เพิ่งขึ้นจากสระน้ำและเตรียมกลับไปแต่งตัวที่ห้อง ผมยิ้มรับหนุนิดด้วยความเอ็นดู ยกมือขึ้นเขกศรีษะอย่างล้อๆ 1 ครั้ง

“พี่บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกพี่ อย่าเรียกคุณ… หนูนิดเป็นน้องสาวพวกพี่นะจำไว้…”

หนูนิดอมยิ้มรับคำตำหนิของผม ใบหน้าคมคายแบบไทยแท้ยิ้มอย่างสดใส ก่อนเอ่ยถามเบาๆ ด้วยถ้อยคำที่แสดงว่าหนูนิดยังไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียกหาอย่างแน่นอน
“คุณเอจะทานอะไรไหมค่ะ เดี๋ยวนิดจะเอามาให้”
ผมถอนใจ วางกุญแจรถบนเคาเตอร์แล้วตอบอย่างไม่สนใจนัก
“ไม่ต้องหรอก..เออ.ว่าแต่ทุกคนหายไปไหนหมดล่ะ…”
หนูนิดเอื้อมมือมาคว้ากุญแจรถของผมไป แล้วเดินไปแขวนยังที่เก็บพร้อมส่งเสียงตอบอย่างร่าเริง
“คุณลุง คุณป้า ไปซื้อของค่ะ คุณริน กับคุณกิฟท์ ว่ายน้ำอยู่ที่สระใหญ่ มีเพื่อนมาด้วยสองคน…นิดก็เพิ่งว่ายเสร็จเมื่อกี้นี้เอง”

เสียงหนูนิดรายงานแจ้วๆ ยิ้มกว้างก่อนก่อนหันหลังวิ่งตื๋อกลับขึ้นบันไดไปชั้นสอง ผมมองตามหลังร่างผอมบางปราดเปรียวที่ผิวเป็นสีน้ำผึ้ง แล้วต้องอมยิ้มน้อยๆ เมื่อคิดถึงหน้าตาหนูนิดที่ดูจะแก่นแก้วไม่แพ้น้องกิฟท์ในวัยเด็ก แถมยังชอบเลียนแบบท่าทางน้องกิฟท์ทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ทรงผมที่ตัดสั้น แบบทอมบอย แต่นั่นกลับทำให้ใบหน้าคมคายของหนูนิดดูน่ารักมากขึ้นไปอีก สะโพกน้อยๆ ที่สะบัดไปตามการวิ่ง และเรียวขายาวเพรียว ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าในอีกไม่กี่ปี เด็กหญิงสดใสคนนี้น่าจะเติบโตเป็นเด็กสาวที่งดงามไม่แพ้น้องกิฟท์น้อง รินอย่างแน่นอน
ผมเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาดิ่มดับกระหาย ก่อนเดินไปยังสระน้ำใหญ่ด้านหลังบ้านที่ซ่อนตัวอยู่หลังอาคารหลัก และมีรั้วสูงล้อมรอบเพื่อความเป็นส่วนตัว เสียงหัวเราะสดใสของเด็กสาววัยรุ่นค่อยๆ ดังขึ้นเมื่อผมเข้าไปใกล้ และยิ่งดังขึ้นเมื่อผมเปิดประตูกระจกพาตัวเองไปสู่บริเวณสระว่ายน้ำขนาดความ ยาว 15 เมตรของครอบครัว

บนโต๊ะริมสระน้ำ ร่างน้องกิฟท์ในชุดว่ายน้ำบิกินี่ตัวจิ๋วสีชมพูอ่อน กำลังคุยอย่างออกรสอยู่กับเด็กสาวที่ผมไม่รู้จัก ที่อยู่ในชุดว่ายน้ำบิกินี่แบบสปอร์ตสีฟ้า ร่างบอบบางของน้องกิฟท์เติบโตขึ้นอย่างมากในเวลาสามปีที่ผ่านมา หน้าอกที่เคยแบนราบตูมตั้งขึ้นเป็นลูกกลมเต่งตึงขนาดเท่าผลส้มขนาดใหญ่ ที่แม้จะยังไม่เท่ากับน้องรินแต่มันก็ดูดงงามเมื่ออยู่บนร่างที่บอบบางของ น้องกิฟท์ ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นยิ่งทำให้ท่อนขาที่ยาวเรียวของน้องกิฟท์ยิ่งเพิ่มความงด งามชวนมองขึ้นไปอีกหลายเท่า ขณะที่เนินนูนอวบอิ่มเกินวัยก็เติบโตขึ้นจนปรากฏเป็นรูปร่างชัดเจนดันเนื้อ ผ้าบางเบาของบิกินี่ท่อนล่างที่เจ้าของสวมใส่อยู่ เสียงหัวเราะสดใสของเด็กสาวทั้งสองประสานกัน จนทำให้บรรยากาศที่ร้อนระอุของอากาศเดือนเมษายนในกรุงเทพฯ ดูสดชื่นขึ้นมาทันที ไกลออกไปร่างน้องรินและเด็กสาวอีกคนหนึ่งกำลังว่ายในลักษณะแข่งกันไปตามความ ยาวของสระ

เสียงเปิดประตูเลื่อน ทำให้น้องกิฟท์และเพื่อนสาว ชะงักการสนทนาลงทันที ใบหน้าสดใสของน้องกิฟท์ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นผม ร่างบอบบางกระโดดขึ้นจากที่เก้าอี้แล้วโถมเข้ากอดผมไว้แน่น…โดยไม่สนใจสาย ตาเพื่อนสาวที่จับจ้องมาอย่างงุนงง

“พี่เอกลับมาแล้ว…ดีใจจัง…”

ผมระงับความต้องการที่จะกอดรัดเรือนร่างนุ่มนวลในอ้อมแขนอย่างยากเย็น เนื่องจากเห็นสายตาของเด็กสาวอีกคนหนึ่งจับจ้องอยู่อย่างสนใจ ผมยกร่างน้องกิฟท์ขึ้นจากตัวอย่างง่ายดายแล้ววางลงกับพื้น

“เอ้า…โตแล้วนะเรา อายเพื่อนๆ บ้างสิ..”

ผมแกล้งดุน้องกิฟท์อย่างไม่จริงจังนัก…ทำให้น้องกิฟท์ย่นจมูกล้อผม แล้วกรากเข้ามาเดึงมือให้ผมเดินไปหาเพื่อที่โต๊ะริมสระ

“แพรว…นี่ไงพี่เอที่กิฟท์เล่าให้ฟัง…”

น้องแพรวลุกขึ้นพนมมือไหว้ผมอย่างนุ่มนวล แล้วเงยหน้าขึ้นสบตา เบื้องหน้าผมคือเด็กสาวในวัยเดียวกันกับน้องกิฟท์ ในชุดว่ายน้ำแบบสปอร์ตสีฟ้าสองชิ้น ที่แม้จะปกปิดร่างกายส่วนใหญ่แต่ก็ทำให้เห็นรูปร่างที่อวบอัดเกินอายุที่แทบ จะทำให้ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นรูปร่างของเด็กสาววัยนเดียวกับผมมากกว่า ใบหน้าเรียวเป็นวงรีประดับด้วยปลายคางยื่นออกมาเล็กน้อย ริมฝีปากรูปกระจับของเด็กสาวเผยอขึ้นเล็กน้อยด้วรอยยยิ้มบางๆ เผยให้ฟันกระต่ายคู่ใหญ่ขาวเป็นประกายโดดเด่น และยิ่งเพิ่มความน่าสนใจให้ใบหน้าหวานใสนั้น เรือนผมสั้นที่ตัดซอยส่วนส่างสูงจนทำให้เกือบจะเป็นทรงผมของผู้ชาย แต่เมื่อประดับบนในหน้าหวานใสเบื้องหน้า กลับทำให้ยิ่งขับเน้นดวงหน้านั้นให้เด่นขึ้นอีกหลายเท่า

“สวัสดีค่ะพี่เอ กิฟท์เล่าเรื่องพี่เอให้แพรวฟังแทบทุกวันเลย”

เสียงใสแจ๋วที่กังวานอย่างประหลาดปลุกผมให้กลับมาสนใจเด็กสาวเบื้องหน้าก่อนที่มโนภาพจะเตลิดไปไกล ผมยกมือขึ้นรับการไหว้แล้วตอบเบาๆ

“น้องแพรวทำตัวตามสบายนะ…นี่มาว่ายน้ำกันเพราะร้อนหรือเปล่า”

น้องกิฟท์สั่นหน้าและส่งเสียงตอบแทนเพื่อน

“แพรวกับพราวเขามาขอซ้อมว่ายน้ำน่ะพี่เอ.. ทั้งสองคนเขาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนมาแตร์เดอี เพิ่งย้ายมาเตรียมอุดมเดือนที่แล้ว เลยได้เข้าทีมว่ายน้ำของโรงเรียน แต่วันนี้สระจุฬาปิดซ่อม กิฟท์กับพี่รินเลยชวนมาซ้อมที่นี่ พี่เอไม่ว่าอะไรใช่ไหม..”

ผมสั่นหน้า พยายามหันเหความสนใจจากเรือนร่างอวบอิ่มของน้องแพรว

“ไม่ว่าหรอก..ตามสบายนะ เดี๋ยวพี่จะไปทำรายงานต่อที่ห้องก่อน”

เสียงหวานใสของน้องรินดังขึ้นข้างหลังผม

“พี่เอมาถึงเมื่อไหร่น่ะ”

ผมหันกลับไปพบใบหน้าที่ผมแสนรักทางด้านหลัง น้องรินยิ้มรับผมอย่างสดชื่นแต่ไม่แสดงอาการดีใจจนกระโดดเข้ากอดผมเช่นน้อง กิฟท์ แม้อายุจะห่างกันไม่ถึงปี แต่น้องรินดูจะเป็นผู้ใกหญ่กว่าน้องกิฟท์อย่างเห็นได้ชัด เวลาที่ผ่านไปสามปีทำให้ร่างกายเด็กสาวเติบโตขึ้นทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน้าอกตูมเต่งที่อักแน่นอยู่ในชุดว่ายน้ำบิกินี่สีดำ เอวที่เคยยาวเรียวกลับคอดกิ่วอันเป็นผลมาจากการเติบโตของสะโพกอวบอิ่มที่ผม กับน้องรินร่วมกันขยายขนาดของมันเป็นประจำ ทำให้บัดนี้ร่างน้องรินกลับเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่แสนงดงาม จนเด็กหนุ่มหลากหลายวัยต่างพยายามหาทางเข้ามาทำความรู้จัก

“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง เดี๋ยวพี่จะ เอ๊ะ………”

ผมอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าด้านหลังน้องริน กำลังมีเด็กสาวอีกคนขึ้นจากสระแล้วเดินตามมา ใบหน้านั้นทำให้ผมต้องร้องออกมาด้วยความแปลกใจ และรีบหันกลับไปยังน้องแพรวเบื้องหลัง และหันมายังใบหน้าเด็กสาวที่มายืนคู่กับน้องรินอย่างไม่เชื่อสายตา ทำให้น้องรินหัวเราะกิ๊กออกมา

“พี่เอ นี่พราวเพื่อนริน เขาเป็นฝาแฝดกับแพรวน่ะ…”

เด็กสาวที่ชื่อพราว ไหว้ผมอย่างไม่สนใจอะไรนักแล้วเดินห่างออกไปยังเก้าอี้พักผ่อนที่วางเสื้อ คลุมว่ายน้ำไว้ ผมมองตามเรือนร่างน้องพราวที่ผ่านไปข้างหน้าแว่บหนึ่ง แต่ก็รู้ว่าร่างที่อยู่ในชุดว่ายน้ำแบบสปอร์ตเช่นเดียวกับน้องแพรวนั้นงด งงามไม่แตกต่างกับคู่แฝดแม้แต่น้อย

“พี่เอ แพรวขอโทษนะ น้องพราวเขาไม่ค่อยชอบพูดกับผู้ชายน่ะ”

เสียงใสแจ๋วที่เป็นเอกลักษณ์ของน้องแพรวดังขึ้น ทำให้ผมต้องหันไปยิ้มให้อย่างไม่ถือสา

“เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ…”

ผมบอกน้องๆ ที่ยืนอยู่แล้วหมุนตัวเดินกลับไปยังตัวบ้าน แต่ขณะที่กำลังเดินน้องรินก็เข้ามายึดแขนผมไว้แล้วเดินเข้ามาในตัวบ้านพร้อม กันก่อนกระซิบถามเบาๆ

“พี่เอเจอแม่น้องเขาไหม…”

ผมส่ายหน้าอย่างท้อใจ

“ ไม่เจอหรอก เท่าที่พี่แม่น้องเขานำมาทิ้งไว้ที่โคนต้นไทรริมคลองน้อย ในวันที่ 1 พฤษภา แต่พี่ไปตระเวนชุมชนย่านนั้นบ่อยๆ ก็ไม่เคยพบผ้หญิงท้องที่มีท่าทีว่าจะเป็นแม่ของน้องเขาเลย พี่สงสัยว่าบางทีแม่ของเขาอาจเป็นคนนอกพื้นที่ และคงต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่ 1 นั่นแหละ ถึงจะรู้ความจริงที่เกิดขึ้น”

น้องรินก้มศีรษะอย่างครุ่นคิด

“วันนี้วันที่ 6 แล้วนะพี่เอ… อีกไม่ถึงเดือนก็จะเป็นวันนั้น พี่เอวางแผนช่วยน้องเขาหรือยัง”

ผมยิ้มให้ภรรยาแสนรัก

“รินไม่ต้องห่วงหรอก พี่รู้เวลาและสถานที่ทุกอย่าง และที่สำคัญการช่วยเด็กแรกเกิดไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก…”

น้องรินเงยหน้าขึ้นสบตาผม แล้วยิ้มอย่างเชื่อมั่น

“รินรู้ พี่เอพาน้องเขามาเร็วๆ ก็แล้วกัน รินอยากเจอ”
“คร๊าบคุณแม่…”

ผมตอบอย่างล้อเลียน ทำให้น้องรินหัวเราะออกมาด้วยใบหน้าน่ารักจนผมอดดึงร่างงดงงามเข้ามากอดในอ้อมแขนไม่ได้

“ว่าแต่น้องรินอยากรู้ไหมว่าเมื่อบ่ายนี้พี่ไปทำอะไรมา…”

น้องรินย่นจมูกน้อยๆ กล่าวอย่างแง่งอน

“ไม่ต้องบอกก็รู้ พี่เอไปเย็ดน้องคริสทีน่าที่โรงแรมมาแน่ๆ แล้วน้องเขารับปราณพี่เอได้หรือเปล่า”

ผมสั่นหน้าอย่างเสียดาย

“ไม่ได้หรอก น้องทีน่าไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ แสดงว่าน่าจะเป็นอย่างที่น้องกิฟท์ตั้งสมมุติฐานไว้จริงๆ แม้น้องทีน่าจะมีปราณธรรมชาติในร่าง แต่เมื่อปราศจากพลังชีวิตที่หลั่งออกมาจากากรร่วมรักครั้งแรก ปราณนั้นก็จะสูญสลายไปโดยไม่สามารถรองรับปราณคชสีห์ได้”
“แล้วแพรวกับพราวล่ะพี่เอสนใจไหม……”

น้องรินกระซิบถามอย่างล้อๆ ทำให้ผมอดคิดไปถึงเรือนร่างอวบอัดเกินวัยของทั้งสองสาวไม่ได้

“ยังก่อนล่ะ แล้วเมื่อกี้ใครว่ายน้ำชนะล่ะ น้องรินหรือน้องพราว”

ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด เพื่อหลบเลี่ยงการสนทนาเกี่ยวกับสองสาวฝาแฝด ทำให้น้องรินอมยิ้มออกมาเพราะรู้ดีว่าผมก็สนใจน้องทั้งสองอยู่ไม่น้อย

“พราวชนะน่ะพี่เอ..นี่ถ้าพี่เออนุญาตให้รินใช้ปราณช่วยว่ายน้ำล่ะก็ รินคงชนะไปแล้วล่ะ”

ผมส่ายหน้าช้าๆ กระชับวงแขนที่กอดน้องรินให้แน่นขึ้น

“รินก็รู้ว่าเราจะเปิดเผยตนเองให้คนนอกรับรู้ว่าเราเป็นผู้ทรงปราณไม่ได้ จริงอยู่แม้คนทั่วไปอาจจะไม่สังเกต แต่หากมีผู้ทรงปราณพบเห็นเขาจะรู้ในทันทีว่าน้องรินมีปราณในร่าง และนั่นอาจนำปัญหามาให้พวกเราได้อีก พี่ไม่อยากให้เกิดอันตรายขึ้นกับน้องรินน้องกิฟท์อีกแล้ว น้องรินเข้าใจนะ”

ผมตอบอย่างยืดยาว ขณะที่น้องรินนิ่งฟังแล้วยิ้มให้เมื่อผมพูดจบ

“รินรู้ดีพี่เอไม่ต้องห่วงหรอก….ว่าแต่พี่เอยังไม่ตอบรินเลยว่าพี่เอสนใจ สองสาวข้างนอกนั่นไหม รินไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่รินไม่แน่ใจว่าแพรวบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า เพราะที่โรงเรียนเขาดูกล้าที่จะติดต่อผู้ชายทั้งในโรงเรียนและข้างนอกเยอะ แยะ แต่พราวเนี่ยรินแน่ใจว่ายัง เพราะพราวเป็นเด็กเรียนเก็บตัวไม่ค่อยพูดกับใคร มีแต่รินนี่แหละที่เขาสนิทด้วย…”

“ทั้งสองคนน่ารักนะ..แต่ตอนนี้พี่ยังมีเรื่องอื่นต้องทำก่อน ว่าแต่คืนนี้พี่จะได้ถ่ายทอดประสบการณ์การเย็ดกับน้องทีน่าให้รินรู้ ดีไหม”

ผมก้มลงกระซิบข้างหูน้องริน ขณะที่มือหนึ่งแทรกผ่านของบิกินี่ด้านหลังลูบไล้สะโพกกลมกลึงภายใต้เนื้อผ้าไปมา

“พี่เอบ้า…”

น้องรินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ดึงมือผมออกจากขอบบิกินี่แล้วหันกลับวิ่งออกไปหาน้องกิฟท์ด้านนอก ผมมองตามสะโพกกลมกลึงที่แสนเย้ายวนด้วยความพยายามระงับความต้องการอย่างยาก เย็น แม้น้องรินน้องกิฟท์จะร่วมรักกับผมมาตลอดสามปี แต่ดูเหมือนว่าความรักและความต้องการที่ผมมีต่อภรรยาแสนรักทั้งสองจะไม่เคย ลดลงเลยแม้แต่น้อย

“เอ้า..มีใครอยู่บ้านบ้าง………..”

เสียงแจ่มใสราวกับเด็กสาววัยรุ่นดังขึ้นหน้าประตูบ้าน ร่างคุณแม่ที่ดูเหมือนจะอายุเพียง 20 ปีก้าวเข้ามาพร้อมคุณพ่อ ทำให้ผมต้องรีบเดินไปรับหน้าด้วยความคิดถึง และปัดความคิดเรื่องอื่นๆ ออกไปจากสมอง

—————————-

1 มี.ค.2523

ผมนั่งหลับตาเข้าสมาธิโคจรปราณบนคบไม้ของต้นไทรใหญ่ริมคลองน้อย ขนาดของต้นและใบที่หนาทึบกินอาณาเขตกว้างว่า 10 เมตร ทำให้แม้จะมีผู้มายืนอยู่ใต้ต้นไทรก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าผมกำลังสงบนิ่ง เฝ้ามองความเคลื่อนไหวภายใต้ต้นไทรใหญ่ ซึ่งในความทรงจำของผมที่ได้รับจากการร่วมรักกับน้องพิมในปี 2535 บอกว่าเป็นจุดที่ยายเหล็งเก็บน้องพิมที่เพิ่งเกิดได้ และนำมาเลี้ยงไว้เป็นลุกบุญธรรม แสงสว่างยามเย็นบอกให้รู้ว่าผมเฝ้าอยู่ในที่นี้กว่าครึ่งวันแล้ว แต่ยังไม่พบว่าจะมีผู้ใดนำเด็กหญิงแรกเกิดมาทิ้งไว้ ผมลืมตาขึ้นถอนใจเบาๆ เมื่อตระหนักว่าความทรงจำที่ผมมีอยู่มิได้กำหนดเวลาที่ยายเหล็งจะมาเก็บเด็ก แรกเกิดที่ถูกทิ้งอยู่ บางทีผมอาจต้องรอไปตลอดคืนก็ได้

ดวงหน้ากลมน่ารักของน้องพิมในปี 2535 ปรากฏขึ้นในความทรงจำ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าการมุ่งหน้ามารับน้องพิมในวัยแรกเกิดเพื่อนำกลับไปเลี้ยง ดูด้วยตนเองจะส่งผลอย่างไรต่ออนาคต บางทีมันอาจทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปจากที่ควรเป็น แต่ผมก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องพิมต้องเผชิญกับการเลี้ยงดูที่ไม่ใส่ใจของยาย เหล็งได้ ความทรงจำน้องพิมที่ประทับแน่นในจิตใจผมบอกให้รู้ว่าตลอดเวลา 12 ปีที่น้องพิมอยู่ในความดูแลของยายเหล้งเป็นห้วงเวลาที่เด็กหญิงปราศจากความ สุขในชีวิต ความจำนี้เองทำให้ผมต้องตัดสินใจที่จะนำน้องพิมกลับไปให้คุณพ่อคุณแม่ดุแล แทน ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าจะทำให้น้องพิมเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ส่วนเรื่องที่น้องพิมจะรักผมและยอมเป็นภรรยาผมดังเช่นในปี 2535 หรือไม่นั้น ผมตัดสินใจปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต

ตลอดเวลาที่ผมมาอยู่ในกรุงเทพ ทุกเวลาที่ผมว่างเว้นจากการเรียน ผมจะใช้เวลามายังชุมชนคลองน้อยนี้เพื่อสืบหาแม่ของน้องพิมและเตรียมทำความ รู้จักเพื่อขอรับน้องพิมไปอยู่ในความดูแลโดยไม่ปล่อยให้ต้องนำมาทิ้งไว้ตาม ยถากรรม แต่ดูเหมือนทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่ผมสัณณิษฐานไว้ แม่แท้ๆ ของน้องพิมไม่น่าจะคนในพื้นที่นี้ และการนำเด็กแรกเกิดมาทิ้ง น่าจะเป็นกากรระทำของหญิงสาววัยรุ่นนอกพื้นที่มากกว่า

ท่ามกลางความเงียบ ใจผมคิดไปถึงน้องทิพย์วารี ที่ผมมีโอกาสได้พบเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาระหว่างการดักดูหน้าโรงเรียน เซ็นต์โยเซฟคอนแวนต์ ซึ่งพ่อแม่ของน้องทิพย์นำเด็กหญิงวัย 8 ขวบในชุดนักเรียนประถมมาส่งที่โรงเรียนทุกเย็นวันอาทิตย์ เพื่อให้เด็กหญิงพักที่คอนแวนต์แทนที่จะเป็นบ้านอย่างที่ควรจะเป็น ร่างน้อยๆ ที่แสนน่ารักแต่กลับมีกริยาสงบเงียบไม่ร่าเริงอย่างเด็กวัยเดียวกัน จากการที่ครอบครัวน้องทิพย์เชื่อว่าเด็กหญิงเป็นผู้นำโชคร้ายมาให้และพยายาม ผลักดันให้อยู่นอกบ้านในทุกทาง ทำให้น้องทิพย์กลายเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นจนหลงเชื่อคำพูดของเด็กหนุ่มเลว ทรามที่เข้ามาทำความรู้จัก หัวใจผมเต็มตื้นขึ้นมาเมื่อรับรู้ว่าในอีก 8 ปีข้างหน้า เด็กหญิงผู้นี้จะถูกผู้ชั่วช้าทำลายอนาคตทั้งหมดและผลักดันให้เข้าสู่ขุมนรก ทางเพศ ผมสัญญากับตนเองว่าจะไม่มีวันปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับทิพย์วารีอย่าง เด็ดขาด แต่การช่วยทิพย์วารี ยังไม่จำเป็นต้องกระทำเพราะผมรู้ดีว่าแม้ทิพย์วารีจะต้องเผชิญกับการเลี้ยง ดูของครอบครัวที่ไม่ให้ความสำคัญกับเด็กหญิง และเห็นว่าน้องทิพย์เป็นกาลกิณีของครอบครัว แต่นั่นเป็นสิ่งที่น้องทิพย์ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ แม้จะไม่มีความสุขมากนักก็ตาม

แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว รอบข้างผมตกอยู่ในความมืด ถนนเส้นเดียวที่ผ่านมายังบริเวณนี้อยู่ห่างออกไปกว่า 50 เมตร ทำให้เสียงผู้คนที่ใช้เส้นทางกลับบ้านดังมากระทบหูผมเพียงแว่วๆ และในเวลาไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกคนกลับถึงที่พักอาศัย เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่สำหรับผู้ทรงปราณแล้ว ความสงบนี้กลับเป็นสิ่งที่ปรารถนาสำหรับการโคจรปราณในร่างกายให้หมุนเวียน ผมสงบนิ่งบนคบไม้โคจรปราณรอคอยเวลาโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญแม้แต่น้อย

เครื่องยนต์แผ่วเบาและแสงไฟจากรถยนต์ที่สาดแว่บมายังต้นไทร ปลุกผมขึ้นจากโคจรปราณ พรายน้ำที่นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง ผมจับจ้องไปที่รถยนต์ที่ดับไฟหน้าอย่างกะทันหันและหักออกจากถนนมุ่งหน้ามา ยังต้นไทร ก่อนหยุดนิ่งห่างจากต้นไทรเล็กน้อย ประสาททุกส่วนผมตื่นตัวทันที เมื่อได้ยินเสียงประตูรถยนต์เปิดออกพร้อมกับร่างชายกลางคนก้าวลงมา และเดินอ้อมไปยังด้านตรงข้ามเพื่อเปิดประตู

“ เอ้า..มัวรออะไรอยู่ เอามันออกมาทิ้งไว้ตรงนี้แหละ ”

เสียงแหบพร่าของชายอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปีดังขึ้นราวกับกำลังรำคาญ ขณะที่ผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ก้าวลงจากประตูรถที่เปิดอ้า แม้จะอยู่ในความมืดสายตาของผู้ทรงปราณระดับสูงเช่นผมก็สามารถรับรู้ในทันที ว่าเป็นร่างของเด็กสาวอายุไม่ถึง 20 ปี ในอ้อมแขนมีร่างเด็กทารกแรกเกิดกำลังหลับสนิทอยู่

“คุณอา เปิ้ลไม่ทิ้งลูกได้ไหม……. ”

เสียงเด็กสาวดังขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ อ้อมแขนกระชับร่างเด็กทากรไว้ในอ้อมอกแน่น

“เราตกลงกันแล้วนะเปิ้ล เปิ้ลกำลังจะเป็นดาราใหญ่นะ หนังก็กำลังจะเข้าฉายอยู่แล้ว ถ้าแพร่เอานังเด็กคนนี้ไว้ เปิ้ลไม่มีทางดังแน่ๆ เอามานี่ วางทิ้งไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวก็มีคนมาเก็บไปเอง นั่นไงมีคนมาแล้ว”

เสียงชายกลางคนบอกอย่างเร่งร้อน กระชากร่างเด็กจากอ้อมแขนเด็กสาว โดยปราศจากการขัดขืน แล้วนำไปวางทิ้งไว้ที่โคนต้นไทร ผมถอนใจเฮือกเมื่อได้รับรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น สมองผมใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก่อนตัดสินใจที่จะไม่ปรากฏตัวให้คนทั้งสองเห็น เพราะจากถ้อยคำที่ผมได้ยินแสดงให้รู้ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นเพียงเด็กสาวใจแตก ที่อยากเป็นดาราจนทอดทิ้งลูกสาวตนเอง ทำให้ผมไม่ต้องการให้น้องพิมไปเกี่ยวข้องกับทั้งสองอีกในอนาคตไม่ว่าจะเป็น ทางใด เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาแว่บหนึ่ง ใบหน้าที่ปรากฏในความมืดแต่กระจ่างแจ้งในสายตาของผู้ทรงปราณเช่นผมทำให้ผมอด สะท้านใจไม่ได้เมื่อพบว่ามันเป็นใบหน้าของวารุณี ดาราสาวที่จะโด่งดังเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในปี 2535

ชายวัยกลางคนหันไปทางถนน แล้วรีบผลักให้วารุณีขึ้นรถ เร่งสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ผมรอให้รถยนต์ลับสายตาไปชั่วครู่ก่อนเตรียมตัวลงจากคไม้เพื่อรับร่างเด็ก หญิง แต่ก่อนที่ผมจะขยับ เสียงสนทนาของผู้ที่กำลังเดินบนถนนก็ดังขึ้นมากระทบหู

“นั่นไง ไปแล้ว…ตรงเวลาตามที่ท่านถังฮวงบอกพอดี.. นังเด็กคนนั้นคงอยู่มี่โคนต้นไม้นั่นแหละ”

“งั้นก็รีบๆ เข้า รีบไปจัดการซะ กูจะได้ไปหานังหมวยเล็กที่ซ่อง แม่งเพิ่งมาใหม่สดๆ ซิงๆ เลย เฮียกวงเพิ่งปิดซิงมันเมื่อวาน เลือดสาดเลย…วันนี้กูจะไปซ้ำมันอีกแผล”
“ไอ้เล็ก..ไอ้เหี้ย มึงจะไปซ้ำเด็กของพี่กวงได้ไง ขออนุญาตพี่เขาก่อนหรือยังวะ ”
“ทำไมต้องขอวะ เฮียกวงไม่เคยเย็ดใครซ้ำสองมึงก็รู้…”

เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นขณะที่ร่างชายฉกรรจ์ 5 คน เดินตรงเข้ามายังต้นไทร ผมชะงักร่างที่กำลังเตรียมลงจากต้นไม้ทันทีที่ได้ยินเชื่อถังฮวง นั่นเป็นชื่อของผู้นำแก๊งค์เก้ายอดที่ศักดิ์แท้จริงเป็นผู้นำสำนักมังกรฟ้า ซึ่งจากคำร่ำลือบอกว่าปราณมังกรฟ้าของถังฮวงเข้าสู่ระดับสูงสุดแล้ว ทำให้ไม่มีผู้ทรงปราณคนใดกล้าท้าทายอำนาจของสำนักมังกรฟ้า แม้กระทั่งผมเองในอนาคต ก็ยังต้องหลบหนีการตามล่าของมังกีรฟ้าทันทีที่ไปช่วยทิพย์วารีออกมาจากซ่อง ในความควบคุมของมัน

“เงียบซะ..ทำงานให้เสร็จแล้วกลับ”

เสียงทุ้มลึกแต่กังวานของชายคนนึ่งในกลุ่มดังขึ้น ทำให้เสียงสนทนายุติลงในทันที บอกให้รู้ว่าบุคคลนี้คือผุ้นำของคนทั้งกลุ่ม กระแสปราณในร่างผมกระจายคลุมร่างในทันทีเมื่อได้ยินเสียง ปราณที่แผ่ออกมาจากน้ำเสียงของคนผู้นี้ทำให้ผมรู้ในทันทีว่านี่คือบุคคลที่ ทรงปราณระดับสูง ที่ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าอยู่ในระดับที่ผมสามารถต่อสู้ได้หรือไม่ สายตาผมจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งของเจ้าของเสียง ซึ่งกำลังก้าวมายืนอยู่มที่โคนต้นไทน สายตาจับจ้องไปที่ร่างน้องพิมวัยแรกเกิดเบื้องหน้า พร้อมส่งเสียงถอนใจยาว

“เด็กทารกคนหนึ่งเท่านั้นเอง ทำไมจักราศีต้องขอให้ท่านอาจารย์ส่งเรามาฆ่าด้วย”

เสียงของชายหนุ่มเบื้องล่างดังขึ้นเบาๆ ทำให้ผมต้องสะดุ้งอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อได้ยินคำ “ฆ่า”

“เฮียกวงรีบๆ จัดการเถอะ ถ้าเฮียไม่อยากทำเดี๋ยวผมทำเองก็ได้”

ชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างผู้ทรงปราณชื่อกวง ดังขั้น พร้อมกับล้วงมีดออกมาจากขอบกางเกง แต่ก่อนที่จะเดินไปยังร่างน้องพิม ก็ถูกผู้เป็นหัวหน้ากุมมือไว้แล้วดึงมีออกจากมือ

“ไม่ต้อง…นั่นเป็นหน้าที่ของข้า แต่ก่อนอื่นข้าต้องกำจัดพวกสอดรู้สอดเห็นก่อน”

มีดพับเล่มเล็กถูกสะบัดออกจากมือ พุ่งตรงมายังผมบนคบไม้ด้วยความเร็วราวฟ้าแลบ ปราณคชสีห์ในร่างผมกระจายออกอย่างรวดเร็ว เบี่ยงร่างหลบมีดอย่างเฉียดฉิวแล้วพลิกร่างร่อนลงมายังพื้นดินหน้าร่างน้อง พิมอย่างแผ่วเบา ขณะที่ชายหนุ่ม 4 คนก้าวออกมารายล้อมผมทันที กระแสปราณที่แผ่ซ่านออกจากร่างทั้งสี่ทำให้ผมรู้ว่าทุกคนเบื้องหน้าล้วนเป็น ผู้ทรงปราณ และยากที่จะหลีกหนีการต่อสู้

“เจ้าเป็นใคร ผู้ทรงปราณเช่นเจ้ามาอยู่ในทีนี่เวลานี้ด้วยเหตุใด”

เสียงแผ่วทุ้มของชายหนุ่มชื่อกวง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา แต่ดวงตาส่งประกายวูบวาบเป็นสัญญานของการผนึกพลังที่ผมรู้สึกได้

“เราเป็นเพียงผู้ผ่านทาง แต่เราไม่อนุญาตให้ท่านฆ่าเด็กทารกคนนี้อย่างแน่นอน”

ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จับจ้องสายตาผู้อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้ประกายตาที่วูบวาบนั้นหยุดนิ่งชั้วครู่ ริมฝีปากยิ้มบางๆ แต่แฝงด้วยความโหดร้าย

“ ปราณที่เข้มแข็งนัก เราคือองครักษ์มังกรที่ 4 นามกวงเม้ง เจ้าเป็นผู้ทรงปราณคงต้องรู้จักว่าเราเป็นใคร ถ้าเจ้าไม่ต้องการดับสูญก็จงหลีกไป มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเป็นศัตรูของมังกรฟ้าทั้งสำนัก”

ผมผนึกพลังกระจายไปทั่วร่าง

“เราเองก็ต้องการรู้เหมือนกันว่าปราณมังกรฟ้าจะมีอานุภาพถึงขั้นใด”

กวงเม้งพยักหน้าช้าๆ..

“เช่นนั้น เจ้าจะได้รู้”

กระแสพลังกราดเกี้ยวสี่สายพลันก่อตัวขึ้นรอบตัวผม ผนึกเป็นพลังทำลายร้างรุนแรงแหลมคมราวกับกรงเล็บมังกร ผมผนึกจิตแน่วนิ่งปล่อยจิตให้เข้าสู่ขอบเขตว่างเปล่าของปราณคชสีห์ แผ่ปราณกระจายออกรอบข้างเพื่อปะทะพลังปราณมังกรฟ้าที่แหลมคมสุดยอดอย่างไม่ กลัวเกรง

……..เปรี้ยง……

พลังสี่สายกระทบม่านพลังของปราณคชสีห์ จนเกิดเสียงสนั่น ต้นไทรใหญ่ไหวเยือกราวต้องพายุ ร่างผู้โจมตีทั้งสี่ถอยกายไปคนละ 2-3 ก้าวขณะจับตามองผมด้วยสายตาตื่นตระหนก

“ที่แท้…ปราณคชสีห์อันลี้ลับ…เจ้าเป็นใครกัน”

เสียงอุทานดังขึ้นจากปากกวงเท้งก่อนเปลี่ยนเป็นเสียงตวาดก้อง พลังปราณที่รุนแรงกว่าการร่วมโจมตีของลูกน้องทั้งสี่ แผ่ซ่านออกมาจากร่างเบื้องหน้าจนรู้สึกได้

“ท่านไม่จำเป็นต้องทราบ แต่เราขอบอกว่าเราไม่อนุญาตให้พวกท่านทำร้ายเด็กคนนี้แม้แต่ขุมขนหนึ่ง”

ผมคำรามก้อง ขณะที่กวงเท้งพุ่งเข้าหา สองมือกางเป็นกรงเล็บ กวัดแกว่งจนดูเหมือนเป็นเงามายา นี่คือวิชากรงเล็บมังกรฟ้าอันเป็นวิชาต่อสู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดของสำนัก มังกรฟ้า กระแสปราณที่แฝงมากับกรงเล็บแหลมคมราวกับจะฉีกร่างกายผมให้แยกจากกัน ผมผนึกพลังปราณไว้กับหมัดเคลื่อนร่างหลบหลีกกรงเล็บไปมา รอจังหวะตอบโต้ ประสบการณ์ในอดีตที่ผมเคยต่อสู้กับกรงเล็บมังกรฟ้าทำให้ผมรู้ว่ากรงเล็บที่ หมายชีวิตจะปรากฏออกมาในท่าสุดท้าย

“มังกรพิฆาตใจ”

กรงเล็บแหลมคมพุ่งวาบผ่านม่านมายามายังหน้าอกผมที่ตำแหน่งหัวใจ ผมสูดลมหายใจลึกปล่อยหมักที่ผนึกปราณคชสีห์เปี่ยมล้นปะทะกับกรงเล็บเบื้อง หน้าเต็มที่

…….บรึม…..

เสียงระเบิดก้องดังขึ้น เมื่อกรงเล็บปะทะหมัดตรงๆ ร่างกวงเม้งกระดอนออกไปอย่างเสียหลัก ในขณะที่ผมหมุ่นคว้าง เสื้อผ้ากระจายเป็นริ้วๆ จากพลังแหลมคมของกรงเล็บ..บริเวณแขนและหน้าอกล้วนมีรอยแผลลึกยาวเป็นทาง แต่กวงเม้งเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีกว่ามากนัก มือขวาตกห้อยกับร่าง เลือดไหลซึมออกมาจากง่ามมือที่ฉีกขาดเป็นสาย

“หมัดเอกะคชสีห์…….ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่นั่นเป็นจะหมัดสุดท้ายที่สามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้”

องครักษ์ที่สี่ของสำนักมังกรฟ้า แสยะยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม ก่อนพยักหน้าให้บริวารทั้งสี่เป็นสัญญานให้ล้อมรอบผมไว้ ผมพยายามระงับสติให้รวมเป็นสมาธิแม้จะรู้ว่าผลการปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แสดงให้เห็นถึงปราณมังกรฟ้าที่เข้มแข็งในระดับเดียวกันกับปราณคชสีห์ของผม ทำให้ผมรู้ทันทีว่าการประเมินระดับฝีมือขององรักษ์สำนักมังกรฟ้าในปี 2535 ที่ผมเคยเชื่อว่าผมสามารถต่อสู้ด้วยได้นั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย เพราะปราณคชสีห์ที่อยู่ในระดับสูงสุดของผมปัจจุบันยังไม่สามารถเอาชนะปราณ มังกรฟ้าของกวงเม้ง ได้อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีบริวารทั้งสี่ที่ล้วนเป็นผู้ทรงปราณล้อมผมอยู่แบบ นี้ โอกาสที่จะชนะมีเลือนรางจนแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ยังพยายามระงับสติกระจายปราณไปทั่วร่างเพื่อเตรียมรับการโจมตี

“เราพร้อมที่จะปกป้องเด็กทารกผู้นี้ด้วยชีวิต แต่ท่านบอกเราได้ไหมว่าเหตุใดจึงต้องการชีวิตของผู้ไร้ความผิดเช่นนี้.”

ผมกัดฟันถามออกไปอย่างไม่หวังคำตอบ แต่ชายหนุ่มเบื้องหน้ากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปแว่บหนึ่ง ก่อนตวาดกลับมาอย่างกราดเกรี้ยว

“เจ้าไม่ต้องถาม…เราไม่สามารถบอกเจ้าได้ ท่านอาจารย์ถังฮวงย่อมมีเหตุผล และเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม….. พยุหะกักอสูร… ”

คำสุดท้ายกวงเม้งส่งเสียงตวดเป็นสัญญานให้บริวารทั้งสี่กระจายตัวออก ผมสัมผัสได้ทันทีถึงปราณมังกรฟ้าที่หนาแน่นประสานกันเป็นตาข่ายรอบตัว ชายทั้งสี่เคลื่อนไหวร่างอย่างรวดเร็วรอบกายผม ผนึกเป็นม่านพลังผสานกันอย่างไร้ช่องโหว่ เสียงหวีดหวือของลมที่ถูกปราณกระแทกกระทั้นดังสนั่น..ผมผนึกปราณใส่ฝ่ามือ แล้วสะบัดออกไปยังม่านพลังด้านหน้าแต่ต้องสะท้านใจอย่างรุนแรงเมื่อพบว่า ปราณทั้งหมดสูญสลายไปดดยไม่สามารถกระทบกับร่างทั้งสี่ทีวนเวียนรอบกายผมแม้ แต่น้อย

“บางทีเจ้าอาจจะได้รับคำตอบในนรก… ”

กวงเม้งหัวเราะอย่างเย้ยหยันร่างสูงโปร่งโผขึ้นกลางอากาศหยุดอยู่เหนือวงกลม ปราณที่ผมถูกกักอยู่ กรงเล็บกระจายเป็นเงาเกลื่อนฟ้า โถมกระแทกลงมา พร้อมกับบริวารทั้งสี่ที่ชะงักร่างหยุดนิ่งแล้วประทับปราณทั้งสี่สายเข้าหา ผมพร้อมกัน ผมกัดฟันแน่นตัดสินใจผนึกปราณทั่วร่างรับการกระแทกด้านข้าง และพุ่งตัวขึ้นไปหากวงเม้งที่กำลังกระจายกรงเล็บลงมาราวสายฟ้า หมัดเอกะคชสีห์พุ่งสวนขึ้นปะทะด้วยพลังโจมตีที่ผนึกไว้ที่จุดเดียว

“หาที่ตาย………”

………..เปรียง………..

พลังปราณที่รุนแรงสี่สายกระทบลำตัวผมทั้งสี่ด้าน ขณะที่หมัดเอกะคชสีห์ปะทะกรงเล็บมังกรฟ้าที่โจมตีจากที่สูง ผมรู้สึกได้ถึงกระดูกฝ่ามือตนเองแตกร้าว พร้อมกับซี่โครงหลายจุด ความเจ็บปวดทะลักเข้าโจมตีสมอง จนไม่สามารถประคองร่างกายให้ยืนอยู่ได้อีกต่อ ร่างผมทรุดฮวบลงกับพื้นปราณในร่างกายแตกซ่าน พร้อมกับที่ร่างของกวงเม้งตกลงมาสู่พื้นอย่างเสียหลักจนล้มคว่ำ บริวสารทั้งสี่รีบกรูกันประคองให้ลุกขึ้นยืน ทำให้สายตาที่พร่ามัวของผมเห็นรอยประทับที่ต้นแขนขวาจากอำนาจปราณคชสีห์ที่ รุนแรงจนเนื้อผ้าบริเวณนั้นกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย แขนขวากวงเม้งห้อยตกลง แต่ร่างนั้นยังคงยืนหยัดอยู่ได้ในขณะะที่ผมกลับไม่สามารถผนึกปราณขึ้น ป้องกันตัวได้อีกต่อไป

“บังอาจนัก….”

กวงเม้งคำรามอย่างกราดเกรี้ยว ร่างสูงตระหง่านสืบเท้าเข้าหาผมช้าๆ ผมพยายามขยับร่างกายอย่างยากลำบากไปยังร่างน้องพิมที่โคนต้นไทร แล้วรวบรวกำลังทั้งหมดยกร่างทารกน้อยขั้นมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ในใจผมคิดถึงคลองน้อยที่ไหลอยู่ บางทีหากผมสามารถผนึกปราณขึ้นได้เพียงอึดใจ ผมก็จะสามารถโผลงไปในน้ำเอาตัวรอดได้ แต่ดูเหมือนปราณในร่างจะสูญสลายไปกับอาการบาดเจ็บ ผมถอนใจยาวกระชับร่างทารกในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แล้วสบตากับกวงเม้งที่ก้าวเข้ามาอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ประกายตากวงเม้งอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นผมพยายามปกป้องน้องพิมในอ้อม แขนอย่างสุดความสามารถ ดวงตาที่ดุร้ายกลับเปลี่ยนเป็นแววตาชื่นชมยกย่อง

“เจ้าเข้มแข็งนัก แม้ความตายมาถึงยังยืนหยัดรับไว้ อภัยให้เราด้วย แต่เราไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของอาจารย์ได้…..”
“ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาใดๆ เราพร้อมที่จะตายกับทารกผู้นี้ ท่านลงมือเถอะ”

ผมส่งเสียงตอบอย่างสงบ กวงเม้งพยักหน้ารับ

“เห็นแก่ความกล้าของเจ้า เราจะให้เจ้าตายโดยปราศจากความเจ็บปวด… มังกรพิฆาตฟ้า”

บริวารทั้งสี่ของกวงเม้งขยับเข้ามายืนด้านข้างเมื่อได้ยินคำพูดท้ายประโยค ร่างทั้งสี่แยกออกเป็นด้านละสอง ประสานมือกันเพื่อถ่ายทอดปราณมายังร่างกวงเม้ง ประกายแสงวูบวาบกระจายออกจากร่างกวงเม้งราวกับสายฟ้าแล่นวนอยู่โดยรอบ ผมสงบใจรอรับความตายที่กำลังจะมาถึง ในใจคิดถึงน้องริน น้องกิฟท์ที่รอคอยอยู่ และน้องพิมที่อยู่ในอ้อมแขน

“น้องพิม น้าขอโทษที่ไม่สามารถปกป้องน้องพิมได้ แต่น้าขอตายพร้อมน้องพิมนะ”

ผมพึมพำกับทารกเบื้องหน้า ทันใดนั้นกระแสพลังมหาศาลพุ่งขึ้นจากพื้นดินที่ผมยืนอยู่ ผ่านฝ่าเท้าขึ้นมาในร่างอย่างรวดเร็ว แล้ววนเข้าหาร่างน้องพิมในอ้อมแขนจนผมรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กระจายออกมา จากร่างทารกน้อย พลังความร้อนแผ่กลับมาจากร่างน้องพิมรวมตัวที่สองมือของผมราวกับจะหลอมละลาย เลือดเนื้อให้เป็นผงธุลี พร้อมกับที่กวงเม้งส่งเสียงตวาดกึกก้อง

“……….พิฆาตฟ้า………”

พลังสายฟ้าที่รุนแรงปานจะฉีกอากาศพุ่งวายจากร่างกวงเม้งเข้าหาผม สองมือผมสะบัดขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ดันร่างทารกน้องให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วเปลี่ยนทิศเข้าปะทะพลังพิฆาตฟ้าของกวงเม้งเบื้องหน้า

………..คว๊าก……………บรึม……………

เสียงกระแสพลังเสียดสีกันดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงระเบิดก้อง มือของผมแผ่พุ่งพลังสีดำสนิทออกไปราวสายน้ำ กระแสพลังสลายประกายสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาทั้งหมด แล้วเข้าครอบคลุมร่างกวงเม้งและบริวารทั้งสี่ไว้

“อะ อะไรกัน…. ”

เสียงกวงเม้งร้องอุทานอย่างตื่นตระหนก ร่างทั้งห้าเบื้องหน้าผมพยายามพุ่งออกจากอาณาเขตพลังสีดำที่กำลังหดตัวลง ช้าๆ แต่ทั้งหมดกลับไม่สามารถหนีรอดออกไปได้ ร่างที่กระทบของพลังสีดำกลับกระดอนกลับเข้ามายังจุดศูนย์กลาง

ร่างน้องพิมตกกลับมาสู่อ้อมแขนผมที่รอรับอยู่ ทุกสิ่งเกิดขึ้รนในชั่วเสี้ยววินาที แต่พลังวงกลมสีดำยังคงบีบตัวเข้าหากันจนร่างทั้ง 5 ที่ถูกกักไว้เบียดกันแน่น ภายในปรากฏพลังสายฟ้ากระจายแปลบปลาบบอกให้รู้ว่ากวงเม้งและบริวารกำลังผนึก ปราณมังกรฟ้าอย่างเต็มที่เพื่อทำลายปราณทรงกลมที่กักร่างทั้งหมดเอาไว้

“พลังสลายปฐพี…เด็กนี่คือทาริกาอสุระ…อ๊าก……”

เสียงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวของกวงเม้งดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกระดูกหักประสานกันเมื่อวงกลมบีบหดตัวอย่างรวดเร็ว วงกลมสีดำลดขนาดลงอย่างรวดเร็วจนเหลือเท่าลูกฟุตบอล ก่อนตกลงกับพื้นและแทรกตัวผ่านดินลงไป เพียงอึดใจทุกอย่างก็สิ้นสุด ไม่มีแม้แต่ซากร่างของกวงเม้งและบริวาร ทุกสิ่งดูราวกับถูกกลืนหายไปกับพื้นดิน

ความเจ็บปวดจากกระดูกซี่โครงที่หักหลายซี่ปะทุขึ้นมา จนทำให้ผมต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ปราณคชสีห์ในร่างกายเริ่มผนึกตัวอีกครั้ง ผมผนึกปราณให้วนเวียนในร่างกายครู่ใหญ่ ก่อนกัดฟันลุกขึ้นอุ้มน้องพิมในวัยแรกเกิดไปยังรถที่จอดอยู่ ผมก้มลงมองใบหน้าของทารกหญิงที่หลับในอ้อมแขนอย่างงุนงง ใบหน้านั้นหลับพริ้มแต่มุมปากน้อยๆ ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มรางๆ แต่เมื่อผมเพ่งมองให้ชัดรอยยิ้มนั้นก็หายไปจนผมไม่แน่ใจว่าเป็นภาพที่ผมคิด ขึ้นเองหรือไม่ ผมโอบร่างในอ้อมแขนให้แน่นกระชับ แล้วเดินออกจากสถานที่ที่ผมเกือบทิ้งชีวิตเอาไว้ช้าๆ เพื่อกลับไปยังบ้านที่น้องรินและน้องกิฟท์รออยู่ พร้อมกับสมาชิกใหม่ที่จะอยู่ร่วมกับทุกคนต่อไป

—————————————–

สัมผัสของผ้าขนหนูชุบเอดิโคโรญจน์อ่อนๆ ที่ใบหน้า ทำให้ผมลืมตาขึ้นจากการพักผ่อนที่โรงพยาบาล เพื่อพบกับดวงตากลมโตของน้องรินจับจ้องมาอย่างเป็นห่วง มือข้างหนึ่งของผมถูกกุมไว้ในอุ้งมือเล็กๆ ของน้องกิฟท์ ที่กำลังจับจ้องผมอยู่อย่างไม่ยอมละสายตาเช่นกัน

“พี่เอ…เป็นไงบ้าง”

น้องรินถามเบาๆ ด้วยความห่วงใย ผมชำเลืองดูข้อมือที่อยู่ในเฝือก แล้วยิ้มรับคำถามน้องรินเพื่อไม่ให้น้องรินวิตกมากเกินไป

“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ…….อูย….”

ผมคราวออกมาเมื่อพยายามขยับร่างขึ้นนั่ง เพราะความเจ็บปวดจากกระดูกซี่โครงที่หักแล่นขึ้นมากระทบสมอง แม้จะมีเครื่องป้องกันตรึงไว้อย่างแน่นหนาก็ตาม เสียงร้องของผมทำให้น้องทั้งสองรีบเข้ามาประคองหลังเพื่อพยุงให้ผมลุกขึ้น นั่ง

“พี่เอเนี่ย…จะลุกก็บอกกิฟท์สิ เดี๋ยวก็ไม่หายกันพอดี”

น้องกิฟท์บ่นเบาๆ ตามนิสัยช่างโวยวาย แต่สายตาของเด็กหญิงบอกให้รู้ว่าความห่วงใยที่มีต่อผมนั้นไม่ต่างกันกับน้อง รินเลย.. ผมยิ้มให้น้องทั้งสอง

“แล้วนี่คุณพ่อคุณแม่พาน้องพิมกลับเชียงใหม่หรือยัง”

น้องรินพยักหน้ารับ

“กลับไปเมื่อเช้านี้เอง ตอนที่พี่เอยังหลับอยู่ ท่านฝากบอกพี่เอว่าไม่ต้องห่วง น้องพิมจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด อ้อ.. คุณแม่บอกว่าจะเอาน้องพิมไปแจ้งเกิดพรุ่งนี้ให้เป็นลูกสาวคุณแม่อีกคนหนึ่ง เลย…พี่เอแย่แน่คราวนี้”
“อ้าว ก็ดีแล้วนี่ จะแย่ยังไงกัน”

ผมถามน้องรินอย่างงุนงง ขณะที่น้องกิฟท์หัวเราะออกมา แล้วตอบแทนน้องริน

“ก็น้องพิมจะมีฐานะเป็นน้องสาวพี่เอทุกอย่าง ใช้นามสกุลคชสีห์ด้วย ทีนี้อีก 12 ปีข้างหน้า พี่เอจะเย็ดน้องพิมได้เหรอ…”

ผมหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปดึงร่างน้องกิฟท์เข้ามาชิดเตียงแล้วกระซิบข้างหู

“ทำไมจะเย็ดไม่ได้ ก็เย็ดแบบเดียวกับที่เย็ดน้องกิฟท์ไง…”

น้องกิฟท์ทุบหน้าอกผมเบาๆ…

“พี่เอบ้า….”
“ว่าแต่พี่เอเล่าให้รินกับน้องกิฟท์ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่เอถึงถูกทำร้ายขนาดนี้ พวกนั้นเป็นใครกัน ”

เสียงน้องรินถามขึ้นทำให้ผมต้องถอนใจยาว เมื่อคิดถึงประสบการณ์การต่อสู้ที่เฉียดฉิวกับความตายเมื่อวันที่ผ่านมา

“เรื่องมันยาวและสับสน รอให้พี่หายดีก่อน พี่จะถ่ายทอดความจำให้น้องรินกับน้องกิฟท์รู้ดีไหม”

น้องริน น้องกิฟท์ หน้าแดงเข้ม เมื่อรู้ความหมายของการ “ถ่ายทอดความทรงจำ”ที่ผมพูดถึง…แต่ก็พากันพยักหน้ารับอย่างอายๆ

เสียงประตูเปิด พร้อมร่างแพทย์เจ้าของไข้และพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ทำให้การสนทนาของผมกับน้องทั้งสองต้องหยุดลง

“ญาติกรุณาออกจากห้องก่อนนะครับ ผมต้องขอตรวจร่างกายคุณไกรวิทย์ก่อน”

เสียงแพทย์ผู้รักษาผมบอกน้องรินน้องกิฟท์ ทำให้น้องทั้งสองต้องพยักหน้ารับ หันมายิ้มให้ผมแล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมรับการตรวจรักษา ขณะที่คณะแพทย์พยาบาลเฝ้าตรวจสอบเครื่องมือแพทย์นั้น ใจผมคิดไปถึงเหตุการณ์ณ์ที่ผ่ามาเมื่อคืน ที่ผมขับรถนำน้องพิมกลับมาบ้านอย่างทุลักทุเล และเพียงได้พบคุณพ่อ ผมก็สลบไปด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และมารู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาลเมื่อครู่นี้ แต่แม้ร่างกายผมจะบาดเจ็บผมก็ยังโล่งใจที่สามารถรับน้องพิมเข้ามาในครอบครัว เป็นผลสำเร็จ และยังได้รับรู้ว่าสำนักมังกรฟ้าอาจจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นทั้งหมดในชีวิตผม แต่สิ่งที่ทำให้ผมหนักใจที่สุดก็คือผลการปะทะปราณมังกรฟ้าระดับสูงเป้นครั้ง แรก ทำให้ผมรู้ว่าระดับปราณคชสีห์ของผมที่แม้จะเข้าสู่ขอบเขตว่างเปล่าอันเป็น ขั้นสูงของปราณ ก็ยังเพียงสามารถต่อสู้ตัวต่อตัวกับระดับองครักษ์เช่นกวงเม้งได้เท่านั้น ดังนั้นผมจึงรู้ตัวดีว่ายังไม่สามารถเป็นศัตรูกับสำนักมังกรฟ้าอย่างเปิดเผย ได้ แต่ผมก็ยังโล่งใจข้อหนึ่งที่กวงเม้งและบริวารทั้งสี่หายไปจากโลกด้วยอำนาจ พลังที่ผมไม่รู้จัก จนไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้สืบสาวมายังผมได้

“คุณไกรวิทย์ต้องพักผ่อนในโรงพยาบาลอีกสัก 2 สัปดาห์นะครับ ก่อนที่หมอจะอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้”
เสียงนายแพทย์ดังขึ้น ปลุกผมจากภวังค์ความคิด ผมรับคำเบาๆ ท่อนแขนสัมผัสความแหลมคมของเข็มฉีดยาที่เดินยาเข้ามาในร่างกาย ก่อนที่ผมจะหลับสนิทไปด้วยอำนาจของยา

Related

Prev
Next

Comments for chapter "The Paradox บทที่ 3.1 มังกรฟ้า"

MANGA DISCUSSION

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*

*

© 2025 Madara Inc. All rights reserved