The Paradox บทที่ 1.1 ท่ามกลางความเป็นไป
The Paradox บทที่ 1.1 ท่ามกลางความเป็นไป
พุทธศักราช 2535
แสงจันทร์ 14 ค่ำคืนก่อนวันลอยกระทงส่องสว่างจนทางเดินที่ปราศจากไฟถนนเบื้องหน้าดูราวกับ กลางวัน แต่หากเป็นช่วงคืนเดือนมืด เส้นทางสายนี้จะกลายเป็นเส้นทางที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนเล็กๆ ปลายทาง ที่ผ่านมาแม้จะมีการเรียกร้องให้ทางราชการเข้ามาติดไฟถนน แต่ก็ดูเหมือนว่าชุมชนแห่งนี้จะถูกลืมจากโลกภายนอกไปเสียแล้ว..
เงาของผมทอดยาวไปตามแสงจันทร์ เสียงฝีเท้าที่ย่ำเดินไปตามถนนดูจะดังเป็นพิเศษในยามค่ำคืนเช่นนี้ ถ้าหากเป็นย่านชุมชนอื่น เวลานี้คงเป็นเวลาที่ผู้คนกำลังสนุกสนานกับเทศกาลลอยกระทง เสียงประทัดดอกไม้ไฟ และเสียงของความสนุกสนานคงจะดังระงมไปทั่ว แต่สำหรับชุมชนคลองน้อยแห่งนี้ ความสนุกสนานไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนักจากการที่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นคนฐานะ ยากจน และต้องการพักผ่อนเพื่อต่อสู้กับงานหนักในวันรุ่งขึ้น
ลูกน้องผมทั้งสามคนที่คอยติดตามผมเป็นเงาตามตัวแทบจะ 24 ชั่วโมง คงล่วงหน้าไปถึงบ้านพักของแก๊งค์ผมแล้ว ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสายตาของทุกคนที่มองผมอย่างไม่เข้าใจเมื่อผมสั่ง ให้รถล่วงหน้าไปก่อน และขอเดินกลับไปคนเดียวเงียบๆ แน่ละในฐานะหัวหน้าของแก๊งค์คลองน้อยที่มีศัตรูรอบด้านพยายามกำจัดผมเพื่อ ขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ผมต้องคอยระวังตัวตอลดเวลา โดยไม่เคยห้างจากลูกน้องที่รับหน้าที่คุ้มกัน แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่มีแต่เพียงผมเท่านั้นที่รับรู้และไม่ต้องการให้ใครเข้ามามีส่วนเกี่ยว ข้องกับอดีตที่ผมอยากจะลืม แต่ไม่มีวันลืมได้
ความเงียบรอบข้างทำให้ผมได้ยินเสียงเบาๆ มากระทบประสาทรับรู้ที่ไวเป็นพิเศษจากการที่ต้องตกอยู่ภายใต้การต่อสู้แย่ง ชิงระหว่างแก๊งค์มาโดยตลอด มันเป็นเสียงของการต่อสู้กันอย่างไม่ผิดพลาด แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติของย่านนี้ หากไม่กรทบกระเทือนต่อผมและแก๊งค์คลองน้อยผมก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว ใดๆ โดย เฉพาะในคืนนี้ แต่ก่อนที่ผมจะเดินผ่านทางแยกเล็กๆ ที่แยกไปสู่สวนผลไม้ แสงจันทร์ทำให้ผมเห็นล้อหลังของจักรยานเก่าๆ คันหนึ่งซุกอยู่ในพงหญ้า หนังสือเรียน 2-3 เล่มกระจายอยู่ข้างล้อ แม้จะไม่ใช่เวลากลางวันผมก็ยังเห็นตัวหนังสือบอกชื่อโรงเรียนมัธยมสตรีวิทยา อย่างชัดเจน หัวใจผมตกวูบเมื่อตระหนักได้ว่าชุมชนแห่งนี้มีเด็กหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เรียนเก่งจนสามารถสอบเข้าโรงเรียนของรัฐที่มีชื่อเสียงได้ ใบหน้ากลมใสที่ประดับด้วยแว่นสายตาสีแดงอันโต ที่ทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งในอดีต เสื้อผ้าหลวมโคร่ง ร่างเล็กๆ ที่ปั่นจักยานกว่า 3 กิโลไปต่อรถเข้ากรุงเทพฯ ทุกเช้า ปรากฏขึ้นในมโนภาพ ทำให้ผมต้องร้องออกมาในใจ
“น้องพิม”
โดยไม่ต้องหยุดคิด ผมรับรู้ทันทีว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นในพงหญ้าข้างทาง เสียงต่อสู้ที่เงียบหายไปทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมเกลียดชังที่สุดกำลังจะเกิด ขึ้น และผมจะไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ผมดูแลอยู่อย่างแน่นอน สองเท้าพาผมเคลื่อนวูบไปตามรอยหญ้าที่ล้มระเนระนาดเป็นทางไปสู่ด้านลึกของพง หญ้า เสียงพึมพำด้วยความหื่นกระหายเริ่มดังมากระทบหูผม
“แม่ง…ตัวนิดเดียว แต่ซ่อนรูปชิบหายเลยว่ะ..”
“กูบอกมึงแล้ว วันฝนตกมันเปียกฝนเลยเห็นว่าแม่งนมบะเริ่ม”
“เฮ้ย รีบๆ เข้า…เดี๋ยวใครมาเห็น…”
“ไอ้เหี้ยช้าง…ถอยไป กูบอกแล้วไงกูต้องเปิดซิงมันก่อน…”
เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมพ้นพงหญ้ามาถึงลานเล็กๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ภาพเบื้องหน้าทำให้ความโกรธของผมพลุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด..ร่างชายสามคนกำลัง รุมล้อมร่างของน้องพิมที่เปลือยเปล่า เสื้อผ้าชุดนักเรียนมมัธยมต้นถูกกระชากทิ้ง กระจัดกระจายรอบข้าง ชายสองคนกำลังตรึงข้อมือของน้องพิมไว้แน่น ใช้มือที่ว่างขยำหน้าอกเปล่าเปลือยอย่างหื่นกระหาย ส่วนอีกคนหนึ่ง ซึ่งคงเป็นหัวหน้ากลุ่ม คุกเข่าอยู่ที่ด้านหน้าขาของน้องพิม ซึ่งถูกแยกออกโดยหัวเข่า ท่อนเนื้อขนาดใหญ่ชี้เด่อยู่เบื้องหน้าเนินเนื้อของ ร่างน้อยหมดสติโดยมีคราบน้ำตาไหลเป็นทาง ปากถูกอุดด้วยเศษผ้า แสดงให้เห็นว่าก่อนหมดสติ น้องพิมพยายามต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต แต่ไม่สามารถทานแรงของผู้ชายสามคนได้
ชายที่คร่อมร่างของน้องพิมสะดุ้งเฮือก เมื่อรับรู้ว่ามีบุคคลอื่นมาอยู่ตรงหน้า ร่างกำยำลุกขึ้นมองผมด้วยสายตาลังเลชั่วครู่ก่อนเปลี่ยนไปเป็นแววตาดุร้าย เมื่อเห็นว่าผมมาเพียงคนเดียว..
“ข้ามถิ่นมาทำบัดซบถึงที่นี่เลยนะไอ้ธง”
ผมคำรามออกมาเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่กำลังจะข่มขืนเด็กหญิงที่ปราศจากทาง สู้ ไอ้ธงเป็นหัวหน้าแก๊งค์คลองโคน ที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ราว 2 กิโล ที่ผ่านมาแก๊งค์ของมันพยายามขยายอิทธิพลเข้ามา แต่ไม่สามารถผ่านแก๊งค์คลองน้อยของผมได้..ไอ้ธง ยิ้มแสยะ จ้องตาผมอย่างไม่กลัวเกรง
“แล้วมึงจะทำอะไรกูได้วะ ไอ้วิท มาคนเดียวแบบนี้มึงคงสั่งเสียลูกน้องมึงแล้วใช่ไหมวะ”
เสียงหัวเราะประสานของลูกน้องไอ้ธงด้านหลังดังขึ้น ขณะที่ไอ้ธงเอื้อมมือไปรับมีดเดินป่าจากลุกน้อง แล้วขยับไปมาข้างหน้าผม ผมส่ายหน้าช้าๆ พยายามควบคุมน้ำเสียงให้สั่นเล็กน้อยเพื่อทำให้ไอ้ธงคิดว่ามันเป็นฝ่ายได้ เปรียบ
“กูไม่อยากมีเรื่อง มึงปล่อยเด็กซะ แล้วกลับไป ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
ไอ้ธงหัวเราะลั่น
“ ปล่อยให้โง่สิวะ อีเด็กนี่แม่งน่าเย็ดขนาดนี้ ซ่อนรูปทั้งหีทั้งนม เรื่องอะไรกูจะปล่อยวะ มึงนั่นแหละที่ต้องเป็นผีอยู่ที่นี่ เสือกโง่มาหาที่ตายเอง ช่วยไม่ได้นะโว๊ย”
ขาดคำไอ้ธงโถมเข้าแทงด้านหน้าตรงๆ ระยะ 3 ก้าวแบบนี้หากเป็นคนอื่นคงหลบไม่พ้น แต่สำหรับผู้ที่ฝึกมวยคชสีห์มานานปีเช่นผม เพียงอาศัยเท้าซ้ายเป็นแกนสามเหลี่ยม หมุนตัวเบี่ยงให้คมมีดเฉียดเสื้อไป ศอกที่เตรียมพร้อมกระทุ้งเสยใต้ท่อนแขนของไอ้ธงเต็มแรงเสียงดังกร๊อบ ของกระดูกอ่อนใต้แขนหักดังลั่น ไอ้ธงเซถลา มีดตกลงพื้นทันที ผมเคลื่อนเท้าไปเหยียบไว้ แล้วคำรามใส่ไอ้ธงที่กำลังจ้องผมอย่างไม่เชื่อสายตา
“กูเตือนครั้งสุดท้าย มึงจะกลับไปไหม”
ไอ้ธงหันไปสั่งลุกน้องทั้งสองคนที่กำลังตะลึงเมื่อเห็นหัวหน้าถูกปลดอาวุธภายในอึดใจเดียว
“ไอ้ช้าง ไอ้ยม ฆ่าแม่งเลย..”
ทั้งสองร่างโผเข้าหาผม ไอ้ช้างถือมีดขนาดย่อมพุ่งเข้ามา ในขณะที่ไอ้ยมมือเปล่าแต่ก็โถมเข้าต่อยผมพร้อมกัน ผมนึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ที่บอกว่า การต่อสู้แบบถูกรุมไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความปราณีใดๆ ผมเบี่ยงร่างหลบการแทงของไอ้ช้าง หมุนตัวเข้าศอกกลับใส่ลิ้นปี่ของไอ้ยมเต็มแรง จนร่างไอ้ยมงองุ้ม เปิดทางให็ศอกผมปักลงไปที่คอต่อด้านหลังเสียงกระดูกคอหักลั่น ส่งแรงสะท้อนมาถึงข้อศอก ร่างผมเคลื่อนต่อไปที่ไอ้ธงที่เพิ่งยั้งตัวได้ ขาขวาตะหวัดเข้ากลางหว่างขาไอ้ช้าง จนร่างกำยำทรุดลงงอตัวกับพื้น หางตาผมเหลือบเห็นไอ้ธงลุกขึ้นเก็บมีดติดมือมาพุ่งเข้าแทงผมทางด้านหลัง แต่เพียงใช้เท้าขวาเป็นแกนหมุนตัวเบี่ยงหลบ มือซ้ายที่ถือมีดของไอ้ธงก็ตกอยู่ในอุ้งมือของผม พลิกข้อมือกลับครั้งเดียวคมมีดก็กลับฝังเข้าที่หน้าอกของไอ้ธงจนมิดด้าม เลือดพุ่งกระฉูดออกมา เสียงครอกลั่นดังจากลำคอไอ้ธง แล้วหายไปพร้อมชีวิตชั่วๆ ของมัน ผมก้มตัวลงดึงมีดออกจากร่างไอ้ธง หันไปยังร่างไอ้ช้างที่ยังคงก้มตัวงออยู่กับพื้น กระชากผมให้ใบหน้าหงายขึ้นแล้วปาดคมมีดกับลำคอเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอสำหรับการสำเร็จโทษ
ผมปล่อยให้ร่างปราศจากชีวิตทั้งสาม ระเกะระกะอยู่บนลาน หันไปหาร่างน้องพิมที่ยังคงนอนหมดสติอยู่บนพื้น เรือนร่างเปล่งปลั่งขาวโพลนของเด็กหญิงมัธยมต้นอายุเพียง 12 ปีปรากฏอยู่เบื้องล่างกลางแสงจันทร์ ใบหน้าเด็กหญิงยังคงริ้วรอยของการถูกทำร้ายอย่างทารุณ ดวงตาบวมเป่งและรอยเลือดที่มุมปากบอกให้รู้ว่าน้องพิมต่อสู้ป้องกันตัวอย่าง เต็มที่ แต่ไม่อาจต้านทานแรงของชายฉกรรจ์สามคนได้ สายตาผมเลื่อนลงมาจับจ้องหน้าอกขนาดเท่าผลส้มขนาดใหญ่ประดับปลายด้วยหัวนม น้อยๆ เนินนูนเบื้องล่างมีขนอ่อนขึ้นประปราย ยิ่งขับเน้นความโหนกนูนเกินวัยของน้องพิมอย่างชัดเจน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้ดีว่าร่างของน้องพิมนี้สามารถกระตุ้นความรู้สึกทางเพศของผู้ชายทุก คนได้ และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ๊เหล็งแม่ของน้องพิมต้องหาเครื่องแต่งกายหลวมๆ ให้น้องพิมเพื่อปกปิดเรือนร่างจากพวกหื่นกาม แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงพ้น อย่างไรก็ตามผมก็ยังโล่งอกเมื่อรับรู้ว่าเรือนร่างงดงามเยาว์วัยนี้ยังไม่ ถูกย่ำยีด้วยน้ำมือทรชนที่ถูกผมลงโทษไปแล้วอย่างสาสม..
ผมทรุดตัวลงข้างร่างน้องพิม ดึงชิ้นผ้าออกจากปากเด็กหญิง และพบว่ามันคือกางเกงในฝ้ายสีขาวราคาถูก ที่ขาดวิ่นจากแรงฉีกกระชาก ผมได้แต่ถอนใจ รวบรวมเสื้อผ้าชุดนักเรียนที่กระจัดกระจายอยู่รอบตัวมากองไว้บนร่างน้องพิม ก่อนอุ้มร่างเด็กหญิงขึ้นในวงแขน แล้วลุกขึ้นพาออกไปจากสถานที่ที่ไม่น่าจดจำแห่งนี้ เพื่อที่หากน้องพิมได้สติจะได้ไม่ต้องตกใจกับภาพศพที่อาจจะเป็นภาพหลอกหลอน จิตใจไปตลอดชีวิต
ผมอ้มร่างเปลือยทะลุผ่านพงหญ้าโดยหลีกเลี่ยงทางถนนเพราะไม่ต้องการให้ใครพบ เห็นและรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นานนักผมก็มาถึงด้านข้างของบ้านพัก ผมรีบกดโทรศัพท์หานังทิพย์ที่ผมรู้ว่ายังคงอยู่ในบ้านทันที ครู่เดียวเสียงแจ่มใสของนังทิพย์ก็ดังขึ้น
“ เฮียวิทย์เหรอ…อยู่ไหนเนี่ย”
“เออ เฮียเอง ทิพย์มาเปิดประตูข้างให้หน่อยเฮียอยู่ตรงนี้ มีเรื่องด่วนให้ช่วย”
“เดี๋ยวนะเฮีย…”
นังทิพย์วางหู โดยไม่ถามอะไรเซ้าซี้ นี่เป็นคุณสมบัติของนังทิพย์ที่ผมชอบ นังทิพย์จะรับใช้ผมทุกเรื่องโดยไม่ปริปากถามเหตุผลอะไรทั้งสิ้น
เสียงถอดสลักประตูดังแกร็ก ร่างเด็กสาวอายุไม่เกิน 20 ปีปรากฏขึ้นตรงหน้า นี่คือนังทิพย์ คนสนิทของผม ใบหน้าแม้จะยังคงสวยโฉบเฉี่ยว แต่ริ้วรอยหยาบกร้านจากประสบการณ์ชีวิตที่โชกโชนไม่สามารถปิดบังได้ อดีตเด็กใจแตกที่หนีออกจากบ้านเมื่ออายุเพียง 11 ปี ถูกข่มขืนปางตายจากเด็กเร่ร่อน ต้องทำงานขายตัวอยู่ที่สวนลุมพินีจนติดโรคงอมแงม ผู้ที่พบเห็นคงไม่เชื่อว่าเด็กสาวคนนี้เกิดในชาติตระกูลดี ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนคอนแวนต์มีชื่อย่านสีลม พรหมลิขิตชีวิตคนช่างโหดร้ายสำหรับบางชีวิตจริงๆ
นังทิพย์อ้าปากค้างเมื่อเห็นผมอุ้มร่างกึ่งเปลือยของเด็กหญิงเอาไว้ เพียงเห็นหน้าแว่บเดียวนังทิพย์ก็ส่งเสียงอุทานเบาๆ
“ยายพิม..นี่…เฮีย…”
“ไม่ต้องถามอะไร ตามมานี่”
ผมพูดสียงเรียบไม่ปล่อยให้นังทิพย์ถามอะไร ทำให้นังทิพย์ปิดปากลงทันที หันไปปิดประตูและตามผมเข้าไปในบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปที่ห้องนอน ผมวางร่างน้องพิมลงบนเตียงนอนแล้วหันไปสั่งนังทิพย์ที่ยังคงมีท่าทางงุนงง
“ทิพย์เช็ดตัวทำแผลให้น้องเขาด้วยนะ เสร็จแล้วก็หาเสื้อผ้าให้ใส่ อย่าเพิ่งถามอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม?”
นังทิพย์พยักหน้ารับ ก่อนหันไปจัดการตามคำสั่ง ผมหันกลับออกมาจากห้องแล้วรีบไปที่ลานด้านหน้าบ้าน ซึ่งลูกน้องผมทั้งสามยังคงยืนคอยผมอย่างกระวนกระวาย ไอ้ชัยเป็นคนแรกที่หันมาเห็นผมแล้วรีบเดินตรงเข้ามารับหน้าทันที..
“เฮีย…”
ผมโบกมือเป็นเชิงห้าม แล้วกวักมือเรียกไอ้เชิด กับไอ้วุฒิ เข้ามาหา ก่อนสั่งด้วยเสียงปกติ
“พวกมึงไปเอายางรถยนต์เก่าขึ้นรถสัก 10 เส้น แล้วไปที่ทางแยกเข้าสวนของตาแม้น รู้จักใช่ไหม”
ทั้งสามคนพยักหน้ารับ
“พอไปถึงก็เข้าไปสัก 50 เมตร จะมีลานว่างเล็กๆ มึงไปช่วยกันจัดการซะ แล้วขากลับก็เอาจักรยานและหนังสือเรียนที่ตกอยู่ตรงปากทางแยกกลับมาด้วย..กู จะรอที่นี่”
ไอ้ชัยเอ่ยปากถามเบาๆ..
“ 10 เส้น กี่คนเฮีย..”
ผมชูนิ้ว 3 นิ้วให้ดู ไอ้ชัยพยักหน้าแล้วแยกย้ายไปที่รถ..ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก ทั้งสามคนรู้ดีกว่าการใช้ยางรถยนต์เผาเป็นวิธีที่กำจัดซากศพได้ดีที่สุด ในโลกของผมแห่งนี้มันเกิดขึ้นบ่อยจนแทบจะเป็นเรื่องธรรมดา และผมมั่นใจว่าลูกน้องคนสนิททั้งสามคนที่ตามผมมาหลายปี ต้องทำหน้าที่นี้ได้อย่างไม่ผิดพลาด โดยเฉพาะไอ้ชัย ที่เป็นลูกน้องรู้ใจผมมาตั้งแต่ผมหลบหนีคดีมาถึงกรุงเทพใหม่ๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เด็กชายหน้าใสราวผู้หญิงอย่างไอ้ชัย ไม่มีใครรู้ว่ามันเคยผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายซึ่งน้อยคนจะทนทานได้ไม่ต่าง จากผม และภูมิหลังนี้เองที่ทำให้ไอ้ชัยกับผมผูกพันกันมาตลอด
ผมหันกลับเข้าไปในห้องนอน นังทิพย์เช็ดตัวน้องพิมอย่างตั้งใจ ภายใต้แสงไฟสว่างร่างเปลือยเปล่าของน้องพิมปรากฎร่องรอยฟกช้ำจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าท้อง ต้นขา หรือแม้กระทั่งหน้าอกที่มีร่องรอบฟันกัดย้ำอย่างชัดเจน ผมทรุดกายลงนั่งข้างเตียงเฝ้ามองนังทิพย์เช็ดคราบเลือดที่มุมปากเรียวบาง ด้วยความรู้สึกหดหู่ที่มนุษย์เพศชานสามรรถกระทำกับเด็กผุ้หญิงที่ไม่สามารถ ต่อสู่ได้แบบนี้
“ใครมันทำหนูพิมแบบนี้น่ะเฮีย”
นังทิพย์ถามผมเบาๆ ทั้งที่มือยังสาละวนกับการเช็ดตัวน้องพิม ดวงตานังทิพย์ปรากฏรอยน้ำตาเลือนลาง ผมรู้ดีว่านังทิพย์กำลังคิดถึงอดีตที่เคยถูกชายที่นังทิพย์เชื่อว่าเป็นแฟน พาไปให้เพื่อนทั้งกลุ่มลงมือข่มขืน และพาไปขายซ่องโสเภณีย่านสำเพ็ง ซึ่งกว่านังทิพย์จะพ้นจากนรกได้ด้วยความช่วยเหลือของผม เด็กหญิงที่เคยสดใสร่าเริงราวดอกไม้แรกแย้มก็กลับกลายเป็นซากต้นไม้แห้งที่ ไร้จิตใจ กว่าห้าปีที่นังทิพย์ติดตามผมแม้จะทำให้เด็กสาวคนนี้มีความสุขจึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถลบเลือนรอยแผลทางจิตใจในอดีตได้..
“ไอ้ธงกับเพื่อนอีกสอง”
ผมตอบเบาๆ เหมือนไม่สนใจ นังทิพย์หันมามองหน้าผม..
“แล้วยายพิม..”
ผมส่ายหน้า..
“ยัง…ทันพอดี..”
นังทิพย์ถอนหายใจ…เอื้อมมือลงไปกุมเนินนูนเบื้องล่างของน้องพิม ลูบไล้ไปมา แล้วพึมพำเบาๆ..
“โชคดีจริงๆ เด็กเอ๋ย..”
นังทิพย์หันไปหยิบเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่เตรียมไว้บนเตียง แล้วประคองร่างน้องพิมขึ้นมาสวมเสื้อกับกางเกงให้ ผมมองดูทรวงอกตูมเต่งที่หายไปอยู่ภายใต้เสื้อยืด ตามด้วยเนินเนื้อโหนกนูนที่ถูกบดบังด้วยกางเกงขาสั้นของนังทิพย์ โดยปราศจากความรู้สึกอื่นใดนอกจากความสลดใจ แม้ร่างเปลือยนี้จะงดงามจนสามารถกระตุ้นตัณหาของเพศชายได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่มีผลสำหรับผมแม้แต่น้อย
เสียงครางเบาๆ ดังขึ้นในลำคอน้องพิม นังทิพย์รีบประคองร่างเด็กหญิงให้ลงนอนราบบนเตียง พร้อมกับใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าซ้ำเพื่อกระตุ้นความรู้สึก ทันใดนั้นน้องพิมพก็ทะลึ่งร่างลุกขึ้นพรวด แล้วกรีดเสียงร้องออกมาดังลั่น…
“อย่า…อย่าทำหนู…ช่วยด้วย…”
นังทิพย์รีบกดร่างน้องพิมลงกับเตียง ใช้ฝ่ามือตบหน้าเด็กหญิงเบาๆ หลายครั้ง พร้อมส่งเสียงเรียก..
“พิม พิม ไม่เป็นไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว…ได้ยินไหม..”
เสียงร้องของน้องพิมค่อยๆ ลดระดับลง ดวงตาลืมขึ้นอย่างตื่นตระหนก แต่กลับเปลี่ยนไปเป็นความแปลกใจอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าตนเองอยู่ในห้องที่ สว่างจ้า และมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังปลอบอยู่..ริมฝีปากบางเรียวส่งเสียงเบาๆ อย่างไม่แน่ใจเมื่อสติเริ่มรับรู้..
“พี่ทิพย์…นี่..พิม อยู่ที่ไหน…พวกมันจับพิมไป พวกมัน…”
น้องพิมเริ่มส่งเสียงสื่อสาร อย่างไม่ปะติดปะต่อ นังทิพย์รีบเอานิ้วไปกดปากของเด็กหญิงไว้เพื่อหยุดการพูด
“ไม่มีอะไรแล้ว เฮียวิท ไปช่วยพิมไว้ ไม่มีใครทำร้ายพิมแล้ว”
น้องพิมหันมาเห็นผมอยู่ในห้องด้วย ใบหน้าเด็กหญิงซีดเผือกด้วยความตกใจ ร่างเล็กๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที ส่งเสียงสั่นๆ ออกมา..
“เฮียวิท…”
ผมไม่แปลกใจที่น้องพิมตกใจกลัวเมื่อเห็นหน้าผม เพราะทุกคนในชุมชนคลองน้อยล้วนรับรู้ว่าผมคือหัวหน้าแก๊งค์ผิดกฎหมายในชุมชน ที่ทำทุกอย่างเพื่อเงินและอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นการค้ายา ค้าของเถื่อน หรือแม้กระทั่งการเรียกค่าคุ้มครอง ทำให้ภาพของผมในสายตาคนในชุมชนคือคนที่พึงหลีกหนีและไม่สมควรเข้าไปเกี่ยว ข้องด้วย
นังทิพย์ลูบศีรษะน้องพิมอย่างปราณี ก่อนปลอบเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวเฮียวิทหรอก เฮียเขาพาน้องพิมมาที่นี่เอง…”
น้องพิม มีสีหน้าผ่อนคลาย แต่แล้วดูราวกับว่าคิดอะไรได้ สองมือของเด็กหญิงรีบตะปบลงที่กลางหว่างขา ด้วยสีหน้าตกใจ. นังทิพย์รีบจับมือน้องพิม และดึงออกมาก่อนปลอบอย่างนุ่มนวล
“พิมไม่เป็นไร เฮียวิทไปถึงทันพอดี พวกมันยังไม่ได้ทำอะไร ไม่ต้องกลัวนะ…”
น้องพิมมีสีหน้าผ่อนคลายลง ใบหน้าเด็กหญิงเริ่มปรากฏเลือดสูบฉีดขึ้นที่ผิวหน้า เมื่อพบว่าเสื้อผ้าชุดนักเรียนถูกเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ส่วนชุดนักเรียนมัธยมต้นที่ฉีกขาดถูกกองไว้ที่ปลายเตียงในสภาพที่ไม่สามารถ นำมาใช้ได้อีก นังทิพย์ดูเหมือนจะล่วงรู้ความในใจของเด็กหญิง
“พี่เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้องพิมเองแหละ..แต่เฮียวิท เขาเป็นคนอุ้มน้องพิมมาที่นี่ ไม่ต้องอายนะ มันเป็นเรื่องจำเป็น ที่สำคัญที่สุดคือน้องพิมปลอดภัยแล้ว..”
น้องพิมลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง เพียงขากระทบพื้น ร่างเด็กหญิงก็เซถลาด้วยความเจ็บปวด ดีที่นังทิพย์รีบคว้าร่างเอาไว้ทัน และประคอง ให้น้องพิมเริ่มเดิน จนมาถึงหน้าผม และก่อนที่ผมจะตั้งหลักได้ น้องพิมก็ปล่อยมือจากนังทิพย์ ทรุดตัวลงกราบผมที่เท้าทันที เสียงใสๆ ของเด็กหญิงดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“พิมขอบคุณเฮียวิท ที่ช่วยพิมไว้ ไม่งั้นพิมไม่รู้จะเป็นอย่างไร”
ผมก้มลงดึงร่างของน้องพิมขึ้น ให้น้องพิมมองหน้าผมตรงๆ แล้วบอกอย่างจริงจัง
“หนูไม่ต้องขอบคุณ นี่เป็นที่ที่เฮียคุมอยู่ เฮียไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาทำเรื่องเลวๆ ทั้งนั้น แล้วหนูก็ไม่ต้องกลัว ไอ้สามคนนั่นด้วย เพราะมันจะไม่มีทางมาทำร้ายใครในที่นี้ได้อีกแล้ว”
น้องพิมมีสีหน้างงเล็กน้อยกับคำพูกผม มีแต่นังทิพย์ที่พยักหน้าช้าๆ เป็นสัญญานรับรู้ความหมายและเหตุผลในคำพูด ผมหันไปสั่งนังทิพย์
“เดี๋ยวไอ้ชัยกับพวกจะเอาจักรยานและหนังสือของหนูพิมกลับมา เอ็งเอาไปใส่รถกระบะแล้วเอาหนุพิมไปส่งบ้านซะ อ้อ.. แล้วบอกยายเหล็งแม่หนุพิมนะว่า หนูพิมถูกรถเฉี่ยวบาดเจ็บ ไม่ต้องบอกเรื่องอื่นล่ะ..”
ผมหันไปทางน้องพิม
“แล้วหนูพิมก็ไม่ต้องบอกใครเรื่องนี้ทั้งนั้น ไม่งั้นจะกลายเป็นเรื่องนินทาจนเสียชื่อเสียอนาคน เข้าใจไหม”
น้องพิมพยักหน้ารับ ใบหน้าเด็กหญิงแดงจัด แต่ไม่หลบตาผมระหว่างที่ผมพูด แววตาที่ดูคุ้นเคย ประกอบกับแว่นตาที่ประดับใบหน้าน่ารักของน้องพิม ทำให้ใบหน้าหนึ่งปราฏแทรกขึ้นมาแทนที่ หัวใจผมเริ่มเต้นแรง ลมหายใจเริ่มติดขัด มันเป็นอาการที่เกิดกับผมตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมระลึกถึงเหตุการณ์ในสันนั้น วันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง..
ผมหันหลังกลับ เดินออกจากห้องอย่างปุบปับ ส่งเสียงสั่งเป็นครั้งสุดท้าย..
“พรุ่งนี้หยุดเรียนสักวัน นังทิพย์พาหนูพิมไปหาหมอ แล้วพาไปซื้อชุดนักเรียนใหม่ซะด้วย…”
“เฮียวิท…”
เสียงน้องพิมอุทาน..แต่ผมเดินออกมาจากห้องโดยไม่สนใจ มุ่งหน้ามาที่ห้องส่วนตัวของผมที่ชั้นสอง
ถ้าจะใช้คำว่าห้องส่วนตัว ก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะมันเป็นห้องที่ไม่มีเครื่องเรือนชนิดใดแม้แต่น้อย มีเพียงโต๊ะขนาดเล็กความสูงแค่เข่าตั้งอยู่ติดผนังริมหน้าต่าง ผมทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะ กระจกขนาด 1 ฟุตที่วางพิงผนังอยู่บนโต๊ะ สะท้อนให้เห็นภาพของชายหนุ่มอายุใกล้ 30 ปี ที่มีใบหน้ากร้านไปด้วยริ้วรอยของประสบการณ์ชีวิต แม้จะนับได้ว่าเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่หน้าตาดี แต่ริ้วรอยและความนิ่งเฉยทำให้เป็นใบหน้าที่ผู้พบเห็นไม่สบายใจเมื่ออยู่ ใกล้ และพยายามหลีกหนีมากกว่าจะเข้ามาทำความรู้จัด
ผมเอื้อมมือไปที่กล่องไม้ใบเล็กหน้ากระจก มือที่สั่นระริกเปิดฝามันออกอยย่างช้าๆ เผยให้เห็นวัตถุที่ถูกบรรจุไว้ภายใน แว่นสายตาพลาสติคราคาถูกสีแดงนอนสงบนิ่งอยู่เช่นเคย กระจกข้างหนึ่งมีรอยร้าวสะท้อนใบหน้าที่ปวดร้าวของผมให้กลายเป็นภาพที่บิด เบี้ยว น่ากลัว ลมหายใจผมเริ่มติดขัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อผมหยิบแว่นสายตาอันนั้นขึ้นมาลูบ คลำอย่างทะนุถนอม น้ำตาไหลซึมออกมาโดยไม่สามารถกลั้นได้ 15 ปีแล้วที่เข้าของแว่นสายตาอันนี้จากผมไป 15 ปีที่ผมต้องมาใช้ชีวิตห่างจากบ้านเกิดและความอบอุ่นของครอบครัว และมันจะดำเนินต่อไปจนกว่าผมจะสิ้นลมหายใจ..
สายตาที่ฝ้าไปด้วยน้ำตาของผมจับจ้องที่กรอบรูปขนาดเล็กบนโต๊ะ มันเป็นภาพของเด็กชายวัย 15 ที่ขนาบข้างด้วยชายสูงใหญ่ในชุดสากล ใบหน้าสะท้อนอำนาจและความใจดี หญิงที่ยืนอยู่อีกด้านแม้จะมีวัยเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางคน แต่ยังคงความงามเปล่งปลั่งไว้ราวหญิงสาวแรกรุ่น เด็กชายในรูปแต่งกายชุดนักเรียนของโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงที่สุดของ จังหวัดเชียงใหม่ สองมือประคองเกียรติบัตรสีทองด้วยความภูมิใจ แม้ภาพจะเล้กจนไม่สามารถอ่านข้อความบนเกียรติบัตรได้ แต่ผมก็รู้ว่ามันเขียนไว้ว่า
“รางวัลนักเรียนดีเด่นผลการศึกษายอดเยี่ยมประจำปี มอบให้นายไกรวิทย์ คชสีห์”
——————————————————————
พุทธศักราช 2520
“คุณลุง คุณป้า พี่เออยู่ไหมฮะ…”
ชายวัยกลางคนในชุดสากล ยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นร่างเด็กหญิงวัย 12 วิ่งเข้ามาในบ้าน ใบหน้าเด็กหญิงแสดงความตื่นเต้นถึงที่สุด เสียงหอบหายใจน้อยๆ และใบหน้าที่แดงก่ำ ฝ้าไอน้ำที่เริ่มจับเล็นส์แว่นตาที่อยู่ในกรอบกลมสีแดง บอกให้รู้ว่าเด็กหญิงวิ่งมาสุดแรงเพื่อที่จะมาพบลูกชายคนเดียวของพ่อเลี้ยง ใหญ่ในภาคเหนือ
“อ้าว หนูริน มีอะไรรีบด่วนหรือจ๊ะ..ตาเออยู่ในห้องนั่งเล่นน่ะ เข้าไปหาสิ..”
เสียงสตรีวัยใกล้ 30 แต่ยังดูราวกับหญิงสาวอยาวุ 20 ยืนอยู่ข้างพ่อเลี้ยงไกรสร คชสีห์ ทักทายเด็กหญิงอย่างกันเองแกมเอ็นดู ที่เห็นเพื่อนเล่นของบุตรชายกระหืดกระหอบเข้ามาในบ้าน เด็กหญิง รินลดา เป็นลูกสาวคนสุดท้องของพ่อเลี้ยงจักรแก้ว คหบดีใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวคชสีห์มาตั้งแต่ไกรสรย้ายมารับจังหวัด เชียงใหม่เมื่อ 15 ปีก่อน ทำให้ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกัน และเด็กหญิงรินลดา ก็เป็นเพื่อนคนแรกของไกรวิทย์ ลูกชายคนเดียวของตระกูลคชสีห์มาตั้งแต่เกิด
น้องรินวิ่งมาหยุดกึกตรงหน้าบิดามารดาของพี่เอ ที่เด็กหญิงผูกพันมาตั้งแต่จำความได้ จนแทบจะมีเรียกได้ว่าบุคคลทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือบิดามารดาของตนเอง เช่นกัน เด็กหญิงกลืนน้ำลายสูดหายใจลึกๆ ก่อนส่งเสียงอย่างตื่นเต้น
“ลุงสร กับป้า อร รู้หรือยังฮะ ว่าพี่เอ สอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมแล้ว”
ป้าอรของเด็กหญิงรินลดา หันไปสบตาบุรุษที่อยู่ด้านข้างแว่บหนึ่ง เพื่อพบว่าสามีกำลังหลิ่วตาเป็นนัยอย่างล้อๆ อรอุมากระพริบตาตอบอย่างรู้ทัน แล้วหันมาทำเสียงอุทาน…
“จริงหรือนี่ หนูริน ป้าดีใจจริงๆ หนูรินรีบไปบอกตาเอ เร็วๆ เลยนะ….”
เด็กหญิงยืดอกด้วยความภูมิใจที่ได้รับทราบข่าวดีก่อนคนอื่น ก่อนหันหลังวิ่งเข้าไปในตัวอาคารอย่างรวดเร็ว พร้อมส่งเสียงเรียกพี่เอ ดังลั่นไปตลอดทาง อรอุมาหันมาหาบุรุษที่อยู่เคียงข้าง วงแขนแข็งแรงกระชับร่างของสตรีที่ยังคงความงามในวัยสาวไว้อย่างสมบูรณ์แม้จะ มีบุตรชายอายุ 15 ปีที่กำลังจะเตรียมเดินทางไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“ท่านพี่นี่ชอบแกล้งหนูรินเรื่อยเลย..”
อรอุมาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ร่างงามซุกเข้ารับความอบอุ่นในวงแขนสามีที่กอดกระชับไว้แน่น
“หนูรินนี่โตขึ้นมากแล้วนะ เสียแต่ดูจะเป็นทอมบอยมากกว่าเด็กผู้หญิง..”
ผู้เป็นสามีเปรยขึ้นเบาๆ พร้อมกับก้มลงไปดมกลิ่นหอมของเรือนผมภรรยา อรอุมาเงยหน้าขึ้น ส่งเสียงตอบสามีเบาๆ
“หนูรินอายุ 12 แล้วนี่คะ จำไม่ได้หรือ เราเพิ่งไปงานวันเกิดเมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง”
“สิบสองแล้วหรือ”
เสียง พ่อเลี้ยงไกรสร ดังขึ้นเบาๆ เหมือนจะพูดกับตนเอง แต่ทำให้ใบหน้าของอรอุมาแดงจัด ใบหน้างามซุกเข้ากับอกสามีแน่นสนิท ส่งเสียงอู้อี้
“คิดถึงวันเกิดอายุ 12 ของอรจัง..กลัวท่านพ่อจะรู้แทบตาย”
“ก็ใครให้อรกินไวน์เมามานอนในห้องพี่ล่ะ…”
พ่อเลี้ยงไกรสร ตอบอย่างล้อๆ สองแขนโอบกระชับร่างภรรยาสุดที่รักแน่นขึ้น วงแขนแข็งแรงอุ้มร่างโปร่งบางขึ้นมา พาเดินเข้าไปที่บันไดซึ่งทอดตรงขึ้นสู่ชั้นสองของบ้าน ก่อนก้มลงกระซิบเบาๆ ที่ข้างใบหูภรรยา
“ขึ้นไประลึกความหลังกันเถอะนะ..”
อรอุมาหน้าแดงจัด เมื่อรู้ว่าสามีสุดที่รักคิดจะทำอะไร สองแขนยกขึ้นโอบรอบคอสามี ส่งเสียงแผ่วเบา
“พี่ชายกับน้องสาว…อรไม่น่ามาหลงรักพี่ชายตัวเองเลย..”
“รักหรือไม่รัก ก็ทำให้เราต้องอพยพออกมาจากกำแพงพระนคร มาอยู่ที่นี่ จนมีตาเอ แล้วล่ะ”
พ่อเลี้ยงไกรสร ตอบภรรยาแสนรักอย่าล้อๆ ในอ้อมแขนคืออดีตเด็กหญิงวัย 12 ผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา ในตระกูลคชสีห์วัยใกล้ 40 คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองกับอรอุมาผู้เป็นน้องสาว เปิดเผยความในใจที่มีระหว่างกันในคืนวันเกิดของอรอุมา เมื่อ 15 ปีก่อน จนทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดขึ้นเป็นครั้งแรก ผลของมันทำให้อรอุมาเกิดตั้งครรภ์ และทำให้ทั้งสองต้องนำทรัพย์สมบัติของตระกูลส่วนหนึ่งหลบหนีเข้ามายังประเทศ ไทย เพื่อหลบหนีข้อครหาและโทษทัณฑ์ของตระกูล และด้วยทรัพย์สมบัติที่ติดมา ทำให้ทั้งสองสามารถสวมบัตรประชาชนไทย เข้ามาพำนักที่จังหวัดเชียงใหม่ในฐานะพลเมืองไทยอย่างสมบูรณ์ จนอรอุมาคลอดบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของทั้งคู่ 15 ปีที่เป็นสมาชิกของสังคมระดับสูงในเชียงใหม่ ทำให้ทั้งสองได้รับความนับถือในสังคมทั้งในวงการการค้าภาคเหนือและข้าราชการ ระดับสูงของจังหวัด
อรอุมา หลับตาพริ้มส่งเสียงเบาๆ ในใจคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่ร่างบอบบางของเด็กหญิงแรกแย้ม ยอมรับการรุกรานของแก่นกายผู้เป็นพี่ชายด้วยความเต็มใจ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นยามสูญเสียพรหมจรรย์ ถูกทดแทนด้วยความสุขสุดยอดอย่างรวดเร็ว หัวใจของเด็กหญิงวัย 12 เชื่อมั่นในความรักที่ตนเองมีต่อพี่ชาย และไม่ลังเลที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับผู้ที่รัก ในใจหญิงสาวประหวัดไปถึงบุตรชายที่กำลังอยู่กับน้องริน ในห้องรับแขก อรอุมากระซิบถามสามีเบาๆ
“ท่านพี่คิดว่าตาเอ สนใจน้องรินบ้างไหม”
ไกรสรวางร่างของภรรยาลงบนฟูกหนานุ่ม สองมือสอดเข้าใต้เสื้อลำลองลายดอกที่อรอุมาใส่อยู่กับบ้าน ไปยังทรวงอกอิ่มเต็มที่ยังคงความครัดเคร่งไว้อย่างเต็มที่ ฝ่ามือนุ่มนวลของไกรสรคลึงปลายยอดทรวงอกจนรู้สึกถึงความชูชันแข็งตัวที่เป็น เม็ดสู้มือ…
“น้องรินดูจะเป็นทอมบอยมากกว่าผู้หญิงนะ”
ไกรสรตอบคำถามภรรยาเบาๆ มืออีกข้างเลือนไล้ผ่านขอบยางยืดของกางเกงตัวหลวม ประกบเนินเน้ออวบอิ่มของน้องสาวต่างมารดาไว้เต็มฝ่ามือ ไรขนอ่อนนุ่มเริ่มชิ้นแฉะจากกอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า …อรอุมาส่งเสียงหอบแต่ยังคงพยายามแสดงความเห็นตอบสามีเบาๆ
“ท่านพี่ไม่เห็นหรือว่าน้องรินน่ะสวยมากนะ ..ถ้าไม่ใส่แว่นอันนั้น แล้ววันนี้ที่น้องรินวิ่งมาน่ะ อรสังเกตเห็นนะว่าน้องรินมีหน้าอกแล้ว ขนาดก็ไม่แพ้อรตอนอายุ 12 เลย”
ไกรสร ก้มหน้าลงซุกระหว่างหน้าอกตระหง่านคู่งามที่ขาวผ่องราวงาช้างของภรรยา ใจของพ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่คิดถึงหน้าอกเต่งตึงขนาดเท่าผลส้มของน้องสาวที่ตน เองเป็นชายคนแรกที่สัมผัสเคล้นคลึง หน้าอกคู่งามที่กำลังแนบกับใบหน้าขณะนี้ยังคงความเต่งตึงเอาไว้เช่นเดิม แม้เจ้าของจะมีอายุย่างเข้าปีที่ 27 แล้วก็ตาม
“ปัญหาอยู่ที่เจ้าเอมันจะชอบน้องอรแบบไหน เท่าที่ดูมันไม่ค่อยสนใจผู้หญิงที่ไหนเลย เอาแต่เรียนอย่างเดียว นี่ถ้าพี่ไม่ส่งไปเรียนมวยคชสีห์กับท่านครูคำแปงละก็ สุขภาพเจ้าเอคงแย่แน่ๆ”
แม้คำพูดจะดูเหมือนบ่นถึงลูกชาย แต่ความเคลื่อนไหวของไกรสรที่กระตุ้นอารมณ์น้องสาวผู้กลายมาเป็นภรรยายังคง ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ร่างเปล่าเปลือยงดงามสองร่างบิดส่ายไปมาด้วยอารมณ์ความต้องการไกรสรยกร่าง ขึ้นทาบทับร่างงามของภรรยา สองขาเรียวงามของอรอุมาแยกออกอย่างเต็มใจ เมื่อรับรู้ว่าแก่นกายแข็งแรงขนาดกว่า 7 นิ้วกำลังพยายามหาทางแหวกเข้าสู่บ้านที่แสนอบอุ่นรัดรึงเบื้องล่าง
“อ๊าวส์..ท่านพี่…”
อรอุมาครางออกมาเบาๆ เมื่อเนินนูนอวบอิ่มถูกชำแรกเข้ามาอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่นรวดเดียวมาถึง ปลายทาง ความคับแน่นภายในบ้านน้อยเริ่มตอบโต้การรุกรานด้วยน้ำหล่อลื่นหอมจรุงเป็น สาย แต่ดูเหมือนว่าผู้รุกรานยังคงไม่พอใจ และพยายามเรียกร้องให้เจ้าของบ้านต้อนรับเพิ่มขึ้น ด้วยการเร่งการโจมตีขึ้นลงต่อเนื่อง และเพิ่มระดับความเร็วจนเข้าของบ้านต้องยอมแพ้ ร่องหลืบภายในทุกส่วนบีบรัดการรุกรานอย่างเต็มที่ แม้จะมีน้ำหล่อลื่นชุ่มโชก แต่ความอวบนูนของบ้านหลังน้อยทำให้มันยังคงกระชับจนผู้รุกรานต้องสูดปาก เพิ่มแรงมากขึ้นกว่าจะบุกเข้าไปที่หมายได้…
“อร..พี่..พี่ จะ…”
เสียงไกรสร สั่นเครือ สองขาเรียวของอรอุมายกขึ้นโอบรอบเอวพี่ชายไว้แน่น แอ่นเนินนูนขึ้นรับการกระแทกอย่างไม่กลัวเกรง
“ท่านพี่…มา..มา เลย…อร ก็จะ…อ๊ายส์…”
ร่างกำยำของไกรสรฟุบร่างทิ้งตัวลงกับร่างที่สั่นระริกของภรรยาเบื้องล่าง.. น้ำรักจำนวนมากถูกฉีดเข้าสู่ร่างอรอุมาเป็นระลอก เสียงหอบของทั้งสองดังประสานกัน ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงจนเป็นปกติ..
“อรเยี่ยมเสมอเลยนะ…ทั้งตอดทั้งรัด..”
ไกรสรกระซิบข้างหูภรรยา..อรอุมาหน้าแดง ทุบไหล่สามีสุดที่รักเบาๆ
“ท่านพี่บ้า…ใครจะคุมได้ล่ะ มันตอดของมันเอง…”
อรอุมา ขยับร่างออกจากการกดทับของสามี แล้วลุกขึ้นนั่งคว้ากางเกงมาสวม เปิดโอกาสให้ไกรสรได้ชื่นชมทรวงอกคู่งามเต่งตึงที่ยังไม่ท่าทีว่าจะหย่อน คล้อยแม้แต่น้อย..อรอุมาหันมาเห็นสายตาสามีจับจ้องอยู่ ก็คว้าหมอนขึ้นมาโยนใส แล้วดุอย่างไม่จริงจังนัก..
“มองเหมือนไม่เคยเห็น…ท่านพี่รีบแต่งตัวเข้า ลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครอยู่เดี๋ยวตาเอไปปล้ำหนูรินเข้าจะยุ่งนะ”
ไกรสรหัวเราะ อย่างอารมณ์ดี.
“ถ้ามันปล้ำหนูรินละก็..พี่จะไปเสียค่าผิดผีกับพ่อเลี้ยงจักรแก้วเอง..ขอให้มันกล้าเถอะ”