แค่นิยาย - ตอนที่ 19 Rampage copyมาฝาก
เวโรนิก้าหยุดยืนหน้ากระจกเพื่อสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้แวมไพร์สาวอยู่ในชุดหนังสีดำสนิททั้งชุด ประกอบไปด้วยชุดเกาะอกที่รัดจนเห็นสองเต้าของเธอเป็นขึ้นมาลูกๆ กางเกงเข้ารูปที่ช่วยเสริมให้สะโพกของเธอให้ดูโค้งมนน่าเย้ายวน ปิดท้ายด้วยรองเท้าบูทหนังอย่างดีและถุงมือหนังที่ยาวถึงข้อศอกสีดำสนิทเช่นกัน ด้วยเครื่องแต่งกายสีดำสนิทเช่นนี้ จึงยิ่งทำให้ผิวของเธอที่ขาวใสอยู่แล้ว ถูกขับให้ขาวขึ้นมาอีก
เมื่อเครื่องแต่งกายเรียบร้อยดีแล้ว แวมไพร์สวยจึงละสายตาออกจากกระจกก่อนจะหันมองไปรอบๆห้องที่พักมาตลอด 3 วัน ห้องนี้เดิมทีถูกจัดเตรียมไว้เพื่อรับรองขุนพลลินคอร์นโดยเฉพาะ มันจึงดูหรูหราสะดวกสบายสมกับฐานะอาจารย์ของเจ้าชายทีโอดอร์อย่างเขา ดังนั้นเมื่อลินคอร์นสิ้นชีพไปแล้ว ห้องนี้ทีโอดอร์จึงยกให้เธอได้ใช้อาศัย แต่นี่ก็ไม่ใช้ครั้งแรกที่เธอได้พักในห้องนี้ เพราะในครั้งก่อนๆที่เธอติดตามลินคอร์นมา เธอก็ได้พักอาศัยในห้องนี้กับเขาด้วยเช่นกัน ห้องนี้จึงเหมือนเป็นห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเธอและขุนพลลินคอร์น
อย่างโต๊ะอาหารที่ทำจากหินอ่อนนี้ก็เช่นกัน เธอเองก็มีโอกาสเคยได้ใช้มันร่วมดื่มเลือดกับลินคอร์นมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นโต๊ะที่เธอและเขาเคยใช้สนทนาต่างๆกันมามากมาย หนึ่งในนั้นที่เธอจำได้ดี ขุนพลลินคอร์นเคยถามเธอขึ้นมาว่า
“ถ้าข้าตาย เจ้าจะแก้แค้นให้ข้าไหม เวโรนิก้า”
“ใครก็ตามที่ทำท่านลินคอร์น ข้าจะสังหารมันให้ได้ !!” เธอตอบไปเช่นนั้น
“เวโรนิก้า …. เจ้าว่าอะไรคือเกียรติสูงสุดของนักรบ” เขาเอ่ยถามเธออีกหนึ่งคำถาม แต่คำถามนี้ ตัวเธอกลับตอบไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ลินคอร์นจึงเอ่ยคำตอบออกมา “การได้ตายในสนามรบยังไงล่ะ”
“เพราะนักรบอย่างเรา มีชีวิตอยู่ก็เพื่ออุทิศตัวให้กับมิดแลนด์ การได้สู้รบเพื่อมิดแลนด์มันจึงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ แม้ในที่สุดเราจะต้องตาย เราก็ยังได้ชื่อทำเพื่อมิดแลนด์จนวาระสุดท้ายของชีวิต …… ดังนั้นเวโรนิก้า ถ้าต่อจากนี้ข้าต้องตาย เจ้าจะต้องภูมิใจในตัวข้า อย่าคิดแก้แค้นให้ข้า เพราะนั่นมันจะทำให้เกียรติของข้าหม่นหมอง”
“ชีวิตของเจ้า มีแต่ความแค้นมากเกินพอแล้ว”
.
.
กึ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!
.
.
เสียงนาฬิกาที่ดังขึ้นปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ เมื่อเธอหันไปมองก็พบว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงเดินไปหยิบดาบซามูไรเล่มหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องรับรองไป โดยมีจุดหมาย เป็นลานกว้างบริเวณหน้าปราสาท แวมไพร์สาวใช้เวลาเดินทางไม่กี่อึดใจก็ไปถึง ก่อนที่เธอจะก้าวขึ้นไปนั่งในที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้เธอ โดยที่ตรงนั้นเป็นที่ที่สงวนไว้เฉพาะนางสนมที่เจ้าชายทีโอดอร์โปรดปรานเท่านั้น เมื่อเธอก้าวไปนั่ง เธอจึงกลายเป็นเป้าสายตาของแวมไพร์แท้ตนอื่นที่มองเธอมาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะคนที่เลือกให้เธอนั่งในจุดนั้น ก็คือตัวเจ้าชายทีโอดอร์นั่นเอง
หลังจากนั้น เจ้าชายทีโอดอร์ ก็ก้าวไปยังเบื้องหน้าทหารหาญของเขา พร้อมกับกล่าวปลุกขวัญเหล่าทหารให้ฮึกเหิม ซึ่งก็ได้ผล เหล่าทหารต่างกระโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่เจ้าชายจะปิดท้ายด้วยการส่งให้เหล่าทหารแยกย้ายจัดกำลังรบตามแผนทางที่วางไว้ ซึ่งแผนนั้นก็ได้แก่การแบ่งกำลังทหารเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกนำโดยแวมไพร์สาวชอลลี่ โดนกลุ่มนี้คัดเลือกจากแวมไพร์ที่ถนัดเวทย์บทใหญ่ที่มีพลังทำลายสูง เมื่อถูกส่งลงไปแล้ว แวมไพร์กลุ่มนี้จะมีหน้าที่ใช้เวทย์สร้างความเสียหายให้กับแซงจูรี่ย์มาที่สุด โดยเฉพาะบริเวณหน้าโบถส์คาดินัลล์ จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างความแตกตื่น และล่อเหล่าพรีสที่อยู่ในเมืองให้ออกมามากที่สุด แล้วหลังจากนั้น กลุ่มที่สองที่นำโดยวิคตอเรียจะถูกส่งลงมาสมทบ พร้อมกับปล่อยอนุภาคลูบินนอฟออกมา ทำให้ในตอนนั้นเวทย์มนต์จะไม่สามารถใช้ได้ แวมไพร์ในกลุ่มที่สอง จึงต้องคัดเลือกจากแวมไพร์ ที่มีทักษะการต่อสู้ด้วยอาวุธและมือเปล่าอยู่ในระดับสูง
“เจ้าชาย ตอนนี้เราลอยอยู่เหนือเมืองแซงจูรี่ย์ในระดับ 10000 เมตรแล้วพะย่ะคะ” หนึ่งในวิศวกรที่ควบคุมการบินติดต่อเข้ามา
“เยี่ยม ไม่มีสัญญาณเตือนของพวกพรีสจริงๆ” เจ้าชายทีโอดอร์ยิ้มขึ้นอย่างยินดี ก่อนเอ่ยสั่งการตอบกลับไป “นับถอยหลังสู้การทิ้งดิ่งได้”
การทิ้งดิ่ง จะเริ่มจากการที่ไอพ่นด้านใต้ปราสาทจะถูกปิดการทำงาน ทำให้ปราสาทยักษ์ ตกลงสู้พื้นเบื้องล่างด้วยความรวดเร็ว ไม่แค่นั้น ไอพ่นเล็กๆรอบปราสาทจะเริ่มทำงาน ไอพ่นนี้ทำมุมตรงข้ามกับไอพ่นใต้ปราสาท ทำให้ปราสาทจะยิ่งตกลงเร็วขึ้น ด้วยวิธีนี้จะทำให้ปราสาทสามารถเคลื่อนลงในแนวตั้งด้วยความเร็วสูง ขนาดที่ว่าในระยะ 10000 เมตรเช่นนี้ สามารถทำเวลาได้ภาย 10 วินาทีเท่านั้น แต่ว่าคนในปราสาทเองก็ต้องพร้อมรับมือกลับแรงอัดมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิงเวโรนิก้า ที่ต้องเผชิญกับแรงอัดนี้เป็นครั้งแรก ก็เล่นเอาเธอทรมานจนแทบอยากจะอาเจียนเลยทีเดียว
แต่ชั่วเสี้ยวขณะที่ปราสาทจะกระแทกลงสู้พื้น ไอพ่นใต้ปราสาทก็จะทำงานทันที ส่งผลให้ปราสาทกลับมาลอยได้อีกครั้ง แถมยังส่งแรงอัดอากาศลงไปกระแทกพื้นเบื้องล่าง จนเบื้องล่างเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ที่สามารถสั่นได้ทั้งเมือง
และเมื่อปราสาทลอยเหนือน่านฟ้าได้เรียบร้อย สัญญาณก็เริ่มทันที เสียงกลองรบดังสนั่นหวันไหวไปทั่ว เหล่าแวมไพร์ที่ถูกจัดในกลุ่มแรก ก็พากันทะยานลงจากปราสาท นำโดยชอลลี่และเหล่าแวมไพร์ที่สามารถใช้ธาตุลม ในขณะที่แวมไพร์อีกหลายส่วนที่ใช้ธาตุลมไม่ได้ ก็ทะยานลงจากปราสาทเช่นกันโดยผ่านทางกระสวยที่เตรียมไว้
“ร่างจำแลงเทพโคงคา”
แต่ก่อนที่ชอลลี่จะถึงพื้น เธอก็ร่ายเวทย์ประจำตัวทันที ร่างเนื้อของเธอกลายเป็นร่างน้ำขนาดยักษ์กลางอากาศ ก่อนจะตกลงมายังพื้นเบื้องล่าง จนบังเกิดเสียงดังสนั่น บ้านเรือนที่อยู่แถบนั้นถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี แวมไพร์สาวธาตน้ำหัวเราะร่างอย่างสะใจ ก่อนที่เธอจะวาดซ้ายป้ายขวา ทำลายอาคารบ้านเรือนที่อยู่รอบตัวให้รอบเป็นหน้ากอง จากนั้นเธอก็เดินย่ำบ้านเรือนเหล่านั้น โดยมีจุดหมายก็คือโบสถ์คาดินัลล์นั่นเอง
“แวมไพร์บุกๆๆๆ” เหล่าพรีสที่อยู่ในบริเวณนั้นร้องขึ้นอย่างตกตะลึง ยิ่งเมื่อเห็นร่างน้ำขนาดยักษ์กำลังตรงเข้ามา พวกพรีสเหล่านั้นก็ยิ่งแตกตื่นหวาดกลัว แต่ยังดีที่มีบางคนตั้งสติได้ ร่ายเวทย์เข้าใส่ร่างยักษ์ตรงหน้าทันที
“มากันแล้วเหรอพวกพรีส” ชอลลี่ยิ้มเหี้ยมอย่างสะใจ ที่เวทย์มนต์เหล่านั้นไม่อาจะสร้างความเสียหายให้กับร่างน้ำขนาดยักษ์นี่ได้เลย เธอจึงเริ่มโต้กลับ ด้วยการกระทืบเท้าอย่างแรง จนมันกลายเป็นคลื่นสึนามิขนาดยักษ์พัดเข้าใส่พรีสกลุ่มนั้นจนกลืนหายไปกลับสายน้ำ
แต่ก่อนที่ชอลลี่จะเข้าใกล้โบสถ์ได้ สายฟ้าสายหนึ่งก็ฟาดใส่ร่างเธอทันที แม้สายฟ้าสายนี้จะไม่รุนแรงพอที่จะสังหารเธอ แต่ด้วยเวทย์ที่แพ้ทางกัน ก็เพียงพอที่จะให้เธอต้องถอยหลังกลับไปได้
“ต้านมันไว้ อย่าให้มันเข้าใกล้โบสถ์ได้” พรีสผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าของสายฟ้าเมื่อครู่ตะโกนสั่ง ดูจากการแต่งกายและยศที่ประดับของเขาบ่งบอกว่าเขาเป็นพรีสระดับสูง พรีสคนอื่นๆจึงรับคำเขาทันที เหล่าพรีสทั้งหมดจึงเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังชอลลี่ ก่อนจะระดมร่ายเวทย์เพื่อหวังจัดการเธอให้ได้
“ไอ้พวกสวะ !!” ชอลลี่ร้องลั่นอย่างเดือดดาด ก่อนจะที่จะเอื้อมมือไปฟาดเอาอาคารบ้านเรือนที่อยู่บริเวณนั้น จนเศษอิฐเศษปูนปลิวกระเด็นเข้ากระแทกเหล่าพรีสเป็นการตอบโต้ มิหนำซ้ำเธอยังสร้างคลื่นสึนามิซัดเข้าใส่อีก เพียงเท่านี้ เหล่าพรีสก็แตกขบวนไม่เป็นท่า นี่ขนาดต้องรับมือแวมไพร์แค่ตนเดียว เหล่าพรีสยังย่ำแย่ขนาดนี้ ดังนั้นเมื่อเหล่าแวมไพร์ที่ทะยานตามลงมาเข้ามาสมทบ สถานการณ์หน้าโบสถ์จึงย้ำแย่ขึ้นเป็นทวีคูณ
.
.
.
แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนของเหล่าแวมไพร์ซะหมด เพราะในหมู่กระสวยที่ทะยานลงมาก็มีไม่น้อยที่พลาดเป้าไปไกล ดังเช่นลูกหนึ่งที่พลาดเป้าจากบริเวณหน้าโบสถ์ ไปตกลงที่เขตเมืองชั้นนอกของแซงจูรี่ย์ แต่ก็เหมือนโชคดีในโชคร้าย เพราะการพลาดเป้าของมัน ทำให้มันได้พบเป้าหมายโดยบังเอิญ
“อาลูคาร์ดดดดดดด” มันเอ่ยขึ้นก่อนจะแยกเขี้ยวอย่างดุร้าย ใช่แล้ว เจ้านี่ก็คือแวมไพร์ที่ปรากฏต่อหน้าวิเวียนนั่นเอง
“หัตถ์อสูรลมสะปั้น !!!” แต่ก่อนที่จะมีใครทำอะไร คนแรกที่ขยับตัวก็คือโบน เข้าจัดการร่ายเวทย์ไม้ตายเข้าใส่เจ้าแวมไพร์ตรงหน้าในทันที แม้เจ้าแวมไพร์ตนนี้จะมีลำดับขั้นถึงชั้นแวมไพร์ขุนพล เมื่อเจอเวทย์ที่ร้ายการเช่นนี้เข้าไป มันก็ทำได้แค่ร้องออกมาหนึ่งคำก่อนจะสูญสลายไป
“อั๊กกกกกกกกกก” แต่ชั่วเสี้ยววินาทีที่เขาจัดการเจ้าแวมไพร์ได้ โบนก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนจะล้มลง “วันนี้…..ใช้เวทย์นี้ไป…..แค่ 3 ครั้งเอง แค่นี้…..ก็ถึงกลับกระอักเลือด…..แล้วเหรอ เกลียด…..ไอ้โรคบ้านี่จัง”
แต่ก่อนที่โบนจะล้มลงหัวฟาดพื้นนายอาร์ตก็เข้าประครองไว้ได้ทัน แต่แม้เขาจะป้องกันการล้มได้ แต่โรคที่พรีสเฒ่าเป็นก็ยังกำเริบไม่หยุด จนนายอาร์ตต้องตระโกนถาม
“วิเวียน รีบใช้เวทย์รักษาเขาสิ !!”
“โรคของคุณโบน เวทย์มนต์รักษาไม่ได้หรอก มีทางเดียวก็คือต้องพาไปรักษาตัวที่โบสถ์คาดินัลล์” วิเวียนเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหน้าไปทางมาร์กาเร็ต “คุณมาร์กาเร็ตหนีไปยังหลุมหลบภัยก่อนดีกว่า ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวิเวียนเอง”
แม้มาร์กาเร็ตจะยังตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ยังพอมีสติรับฟังคำจากวิเวียนได้ เธอจึงรีบถอยกลับไปบอกคนในร้าน ให้รีบไปรวมตัวยังหลุมหลบภัยที่สร้างขึ้น เมื่อวิเวียนเห็นผู้คนเริ่มทยอยหนีไปที่ปลอดภัยแล้ว เธอก็เบาใจไปได้เรื่องหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขอแรงนายอาร์ตเพื่อให้ช่วยพยุงตัวโบนไปที่รถ
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึง ก่อนจะประครองพรีสเฒ่าไปนั่งเบาะหลัง โดยมีนายอาร์ตนั่งประกบด้านข้าง ส่วนวิเวียนเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็เดินเครื่องก่อนจะพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง แต่นับว่ามีเรื่องโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง เพราะพวกแวมไพร์ถูกเรียกไปรวมตัวหน้าโบสถ์คาดินัลล์กันหมดแล้ว จึงไม่มีแวมไพร์ตนใดเข้ามาขวางทาง
“วิเวียนเลี้ยวขวา” โบนที่อาการพอจะทุเลาลงแล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“แต่ทางนั้นมันคนละทางกลับทางไปโบสถ์นะคะ” พรีสสาวเอ่ยแย้ง
“เข้าโบสถ์ตรงๆ…..ได้เจอพวกแวมไพร์แน่” โบนเอ่ยช้าๆก่อนจะพักหายใจชั่วครู่ “ต้องเข้าทางลับ…..ตามที่ข้าบอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพรีสสาวก็หมดคำถามอีกต่อไป เธอหักรถตามคำสั่งทันที รถเหาะแล่นไปตามทางก่อนจะวกเข้าซอยเล็กๆที่คดเคี้ยวมากมาย จนสุดท้าย เส้นทางเหล่านั้นก็พารถของเธอเข้าไปเจอกับอาคารเก่าหลังหนึ่ง ที่แท้อาคารเก่าหลังนี้ไม่ใช่อาคารธรรมดา เพราะภายในอาคารมีทางลาดลงไปยังถนนใต้ดิน ซึ่งถนนนี้เชื่อต่อไปยังชั้นใต้ดินของโบสถ์แซงจูรี่ย์ได้เลยทีเดียว ซึ่งความลับของอาคารหลังนี้ ผู้ที่ทราบมีเพียงพรีสระดับสูงบางคนเท่านั้น
ด้วยเส้นทางนี้ เธอจึงสามารถเดินทางไปถึงโบสถ์ได้อย่างง่ายดาย และจากการที่เธอวิทยุติดต่อไปยังศูนย์ ทำให้มีทีมแพทย์มารอรับ โบนที่อาการเกิดกำเริบขึ้นมาอีกครั้งจึงถึงมือหมออย่างทันท่วงที
“อาร์ตค่ะ ฝากดูแลคุณโบนด้วยนะคะ” วิเวียนเอ่ยฝากฝังอาจารย์ของเธอกลับชายคนรัก และเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองด้วย
“แล้ววิเวียนล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“วิเวียนจะไปช่วยคนอื่นๆ” เธอหันมาตอบ อันที่จริงเขาก็พอจะเดาคำตอบนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ใจเขาจะห่วงว่าเธอจะมีอันตราย แต่เขาก็รู้ดีว่าคงห้ามเธอไม่ได้แน่ ทำได้แค่อวยพรให้เธอโชคดีเท่านั้น
เมื่อหญิงสาวพุ่งจากไปแล้ว นายอาร์ตก็หันมาหาโบนที่กำลังนอนสลบบนเตียงไปแล้ว ก่อนจะวิ่งตามทีมแพทย์ที่กำลังนำเขาไปห้องพยาบาล แต่เขาก็วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“คุณอาร์ตหยุดก่อน แล้วมากับพวกเราดีกว่า” ผู้ที่พูดเป็นพรีสสาวหน้าตาสะสวยที่แม้จะมีวัยล่วงเข้าไปกว่า 40 ปีแล้ว แม้เขาจะเคยเห็นเธอแค่ครั้งเดียวตอนเข้าเมืองมาช่วงแรกๆ แต่เขาก็เชื่อเขาจำไม่ผิดแน่ พรีสคนนี้เป็นพรีสระดับรองสังฆราชสูงสุดฝ่ายซ้าย ‘แองเจลล่า’
“แต่คุณโบน” นายอาร์ตเอ่ยขึ้นอย่างลังเลใจ
“คุณโบนได้ถึงมือแพทย์ ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว” แองเจลล่าเอ่ยตอบเสียงเย็ยเฉียบ “แต่ตัวคุณต่างหากที่น่าเป็นห่วง คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอที่พวกแวมไพร์มันแห่กันมาเพราะอะไร มากับเราดีกว่า เราจะพาคุณไปที่ปลอดภัยที่สุด”
ทันทีที่แองเจลล่าพูดจบ เหล่าพรีสหนุ่มที่ยืนแวดล้อมเธอก็เข้ามาประกบเขาทันที ทำให้เขาในตอนนี้ไม่เหลือทางเลือกใดๆได้อีก นอกจากจะยอมตามพวกเขาไป ซึ่งเมื่อเห็นชายหนุ่มยอมเดินตามไปแต่โดยดีแล้ว แองเจลล่าจึงละสายตาไปยังทางที่วิเวียนพึ่งจากไป
“นังเด็กเหลือขอ ชักศึกเข้าบ้าน” แองเจลล่าเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างกราดเกรี้ยว ก่อนจะหันไปสั่งพรีสหนุ่มข้างกาย “หาจังหวะเหมาะๆ แล้วสังหารร่างอวตารของอาลูคาร์ดซะ !!”
.
.
.
“มันเป็นแวมไพร์ธาตุน้ำ ให้พรีสทุกคนที่ใช้เวทย์สายฟ้าระดมยิงใส่มันซะ” พรีสชั้นสูงที่บัญชาการรบหน้าโบสถ์เอ่ยเสียงดังลั่น เหล่าพรีสแถมนั้นขานรับคำในทันที ก่อนที่จะแยกย้ายเข้าโจมตี ด้วยเวทย์สายฟ้าที่ตนถนัด เข้าใส่ร่างน้ำขนาดยักษ์ของแวมไพร์สาวชอลลี่
“ทำได้แค่นี้เหรอไอ้พวกกระจอก !! งั้นเจอนี่หน่อย” ชอลลี่คำรามลั่น แม้เวทย์ของเธอจะแพ้ทางสายฟ้า แต่เพราะร่างน้ำมีขนาดใหญ่โตมหาศาล เวทย์สายฟ้าปกติจึงทำให้เธอแค่สั่นสะเทือนเล็กๆเท่านั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ชอลลี่จึงโต้กลับด้วยเวทย์อีกแขนง
“ทัณฑ์พิฆาตอัสนีบาต !!”
ทันทีที่เธอร่ายเวทย์จบ ท้องฟ้าตรงจุดเหนือเธอขึ้นไปก็ร้องคำราม ก่อนที่สายฟ้าหลายสายจะฟาดลงมา แต่เวทย์นี้พิเศษตรงที่สายฟ้าที่ฟาดลงมานั้น จะฟาดลงมาที่จุดเดียว ทำให้แค่พริบตาเดียว มีสายฟ้าฟาดถึง 1,000 ครั้ง นับว่าน่าแปลกไม้น้อย ที่แวมไพร์ธาตุน้ำอย่างเธอเลือกใช้เวทย์สายฟ้า แต่ที่น่าแปลกยิ่งก็กว่าก็คือจุดที่เธอส่งให้ผ่าลงมานั้น ก็คือร่างน้ำยักษ์ของตัวเธอเอง
“ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
พริบตาที่สายฟ้าฟาดใส่เธอจบลง ร่างน้ำของเธอก็เต็มไปด้วยประจุไฟฟ้าขนาดมหาศาล จนร่างของเธอสว่างสไวไปด้วยประกายแสง และหลังจากนั้นเธอก็ฟาดมือกระแทกพื้น เกิดเป็นคลื่นยักษ์มโหฬารยิ่งกว่าในคราแรก มิหนำซ้ำ ประจุไฟฟ้าที่เปี่ยมล้นบนตัวเมื่อเมื่อครู่ ถูกถ่ายเทมาบนคลื่นนี้เสียหมด ดังนั้นเมื่อคลื่นนี้ถูกซัดเข้าใส่เหล่าพรีส ถ้าไม่มีใครตายเพราะโดนคลื่นกระแทก ก็ต้องตายเพราะโดนไฟซ็อตอยู่ดี
“ฮ่าๆๆๆๆ” ชอลลี่หัวเราะสะใจที่สามารถสังหารพรีสไปเป็นจำนวนมาก เหตุที่เธอสามารถใช้เวทย์คอมโบชุดนี้ได้ก็มาจาก ‘ร่างจำแลงเทพโคงคา’ ของเธอสามารถทนเวทย์สายฟ้าระดับเลเวล 9 ได้นานถึง 30 วินาที อีกทั้งยังถ่ายเทกระแสไฟฟ้าได้อีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชอลลี่จึงนำมันมาปรับใช้ จนเกิดเป็นเวทย์ประสานที่มีพลังในการสังหารอยู่ในระดับสูง
เหล่าแวมไพร์ต่างโห่ร้องด้วยความสะใจ การที่พวกมันมีชอลลี่เป็นแนวหน้า พวกมันจึงเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบของศึกนี้อย่างเห็นได้ชัด เหล่าแวมไพร์เปิดเกมส์รุกหนักขึ้นไปอีกด้วยการใช้เวทย์โจมตีขนาบไปทั้งสองด้าน เพื่อหวังจะไล่ต้อนเหล่าพรีสให้ถอยไปกระจุกตัวรวมกัน
“ทัณฑ์พิฆาตอัสนีบาต” และเมื่อชอลลี่เห็นว่าเหล่าพรีสโดนไล่ต้อนจนพอใจแล้ว เธอจึงร่ายเวทย์สายฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะยกเท้าขึ้น เป้าหมายก็คือกลุ่มพรีสที่อยู่เบื้องล่าง แวมไพร์สาวแสยะยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะกระทืบเท้าเข้าใส่อย่างรุนแรง
.
.
“กระจกเงาหมื่นดารา”
.
.
แต่ก่อนที่ฝ่าเท้าจะกระแทกลง ก็มีกระจกเงาบานใหญ่ขึ้นมาขวางกั้น เท้าของชอลลี่จึงกระทืบใส่กระจกบานนั้นอย่างรุนแรง พร้อมๆกับพลังทั้งหมดที่เธอโจมตีไป ได้ถูกสะท้อนกลับมายังร่างตัวเอง ทำให้เกิดระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนแรงระเบิดทั้งหมด จะกระแทกเอาร่างน้ำกระเด็นลอยขึ้นไปเหนือพื้น และตกลงมายังจุดที่เหล่าแวมไพร์ปักหลักอยู่ จนเกิดเป็นคลื่นยักษ์ตีวงกว้างเข้าใส่เหล่าแวมไพร์ ทำให้คราวนี้เป็นฝ่ายแวมไพร์บ้าง ที่โดนล้างบางด้วยเวทย์ของพวกเดียวกัน
“โจมตีเข้าไปอย่าไปหยุด” แวมไพร์ตนหนึ่งตะโกนดังลั่น เพื่อเตือนสติพวกเดียวกันให้หันกลับมาเล่นงานเหล่าพรีสต่อ ซึ่งก็ได้ผล แวมไพร์เหล่านั้นระดมซัดเวทย์เข้าโจมตีทันที แต่พรีสสาวผมสีเงินวาววับนั่นรอท่าอยู่แล้ว เธอจึงหลับตาลงก่อนจะร่ายเวทย์รับมือทันที
“กระจกเงาหมื่นดารา … ต่อเนื่อง”
ทันทีที่เธอร่ายเวทย์มนต์จบ กระจกเงาจำนวนมากนับร้อยบานก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่แต่ละบาน จะตรงเข้ารับเหล่าพลังเวทย์ที่ฝ่ายแวมไพร์โจมตีมา และแทบจะในพริบตาเดียวกัน ทุกบานก็สะท้อนเวทย์เหล่านั้นให้ย้อนศรกลับไปเล่นงานผู้ร่ายในทันที ทำให้การโจมตีในชุดนี้ เหล่าแวมไพร์เป็นฝ่ายโดนสังหารไปเป็นจำนวนมาก
เหล่าพรีสร้องลั่นอย่างสะใจ การปรากฏตัวของวิเวียนส่งผลอย่างมากต่อการต่อสู้ เพราะรูปเกมส์โดนพลิกลับมาเป็นของฝ่ายพรีสเสียแล้ว เหล่าพรีสต่างซัดเวทย์ของตนเข้าใส่เหล่าแวมไพร์อย่างต่อเนื่อง โดยที่ฝ่ายแวมไพร์ทำได้เพียงตั้งรับเป็นพัลวัน แค่พริบตาเดียว ฝ่ายแวมไพร์เริ่มถูกล้มตายเป็นใบ้ไม้ร่วง
“แก …… นังแพศยา !!” เวทย์ ‘ร่างจำแลงเทพโคงคา’ ได้สร้างปาฏิหาริย์ขั้นมาอีกครั้ง ร่างของชอลลี่ที่โดนพลังตัวเองเล่นงานย้อนศรไปเมื่อครู่ พริบตาเดียวก็พื้นตัวขึ้นมาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แถมตัวชอลลี่เองก็ยิ่งเดือดดาด ร่างน้ำยักษ์ที่ขนาดใหญ่โตอยู่แล้ว จึงยิ่งใหญ่โตขึ้นไปอีก
“ชอลลี่ อย่าเข้าไปปะทะ ให้ล่อพรีสธาตุแสงออกมาจากตรงนั้น” แต่ก่อนที่ชอลลี่จะทำอะไร เสียงของเจ้าชายทีโอดอร์ที่มองดูการต่อสู้จากบนแอสการ์ดก็ดังขึ้น ด้วยคำสั่งที่ส่งผ่านโทรจิตมาโดยตรงเช่นนี้ ทำให้ชอลลี่ร้องลั่นอย่างเจ็บใจ ก่อนที่จะล่าถอยจากตำแหน่งทันที
“มันหนีไปแล้ว พวกเราลุยเลย” พรีสชั้นสูงที่บัญชาการรบเอ่ยร้องอย่างลำพองใจ แต่ว่าพรีสสาวกลับไม่เห็นเช่น เพราะทิศทางที่เจ้าแวมไพร์มุ่งไปนั้นนั้น ….
“คุณมาร์กาเร็ต !!” วิเวียนร้องอย่างตกใจ ถูกต้องแล้วเพราะทิศทางที่ชอลลี่มุ่งไปนั้นเป็นหลุมหลบภัยที่ชาวเมืองหนีไปหลบซ่อน แม้ชอลลี่จะไม่ร่วงรู้ถึงข้อนี้ แต่ก็นับว่าเธอโชคดีไม่น้อยที่เลือกเส้นทางถูก ในขณะที่พรีสสาวไม่รอช้า เธอร่ายเวทย์ธาตุลม เพื่อเตรียมจะพุ่งทะยานตามไปทันที
“เจ้าจะไปไหนวิเวียน !!!” พรีสระดับสูงคนนั้นร้องสียงหลงเมื่อเห็นวิเวียนกำลังจะตามไป
“เจ้านั่น มันกำลังมุงไปตรงจุดหลุมหลบภัยของชาวเมือง” วิเวียนเอ่ยตอบ
“ช่างมัน !! ชีวิตพวกเราสำคัญกว่า !! นาทีนี้พวกเราต้องปักหลักที่จุดนี้ ไม่ให้พวกมัน ……”
.
.
วิเวียนตกตะลึงแถบไม่อยากเชื่อกับหูตัวเองเลยว่า ว่าคำเหล่านี้จะมีพรีสคนไหนกล้าพูดออกมาได้ “เมื่อกี้ท่านว่าอะไรน่ะ” วิเวียนถามกลับไปอีกครั้ง ก่อนจะสืบเท้าเข้ามาใกล้ๆ
“อะไร !! ….. แค่นี้เจ้าไม่เข้าใจเหรอ ข้าสั่งให้เจ้าอยู่ตรงนี้ คอยช่วยพวกข้า ไม่ต้องไปสนใจพวกชาวบ้าน เพราะยังไง ชีวิตพวกมันก็ไม่มีค่าเท่า ….” วิเวียนไม่อาจทนฟังจนจบประโยคได้อีกแล้ว เธอกำหมัดในมือแน่น ก่อนจะซัดมันเข้าเต็มใบหน้าของพรีสคนนั้น จนมันถึงกับหงายท้องล้มทั้งยืน เสร็จแล้วเธอก็หันหลัง ร่ายเวทย์ธาตุลม พร้อมกับพุ่งทะยานตามร่างน้ำยักษ์ตรงหน้าไปทันที
แม้ร่างน้ำยักษ์ของชอลลี่จะสูงใหญ่เสียดฟ้า หนึ่งก้าวของมันจะก้าวได้ไกลเป็นร้อยเมตร แต่เมื่อเทียบในแง่ความเร็วแล้ว ร่างน้ำนี้ก็ยังเป็นรองเวทย์ธาตุลมอยู่ดี ทำให้ชั่วระยะเวลาไม่นาน วิเวียนก็สามารถบินไปดักหน้านางแวมไพร์ได้ทัน
“กระจกเงาหมื่นดารา” และถัดจากนั้น วิเวียนก็ร่ายเวทย์เฉพาะตนอีกครั้ง กระจกเงาบานยักษ์ถูกกางออกดักหน้าชอลลี่ทันที ทำเอาชอลลี่ที่กำลังพุ่งมา ไม่สามารถเบรกได้ทัน ต้องกระแทกเข้ากับบานกระจกเต็มแรง ก่อนที่แรงทั้งหมดจะย้อนศรกลับมาเล่นงานนางแวมไพร์อีกครั้ง จนร่างของเธอต้องล้มฟาดลงกับพื้น เกิดเป็นคลื่นน้ำซัดกระจาย
“แก ~~~~ นังพรีสชั่ว” ชอลลี่ร้องอย่างเดือดดาด ก่อนที่จะถีบตัวลุกขึ้น จากนั้นนางแวมไพร์ก็ระดมซัดทั้งหมัดทั้งเท้าเข้าใส่เป็นการตอบโต้ แต่วิเวียนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ใช้พลังเวทย์บังคับกระจกเงา ให้รับการโจมตีได้ทั้งหมด ทำให้ทุกการโจมตีย้อนศรเข้าเล่นนางแวมไพร์เสียเอง
เมื่อโจมตีด้วยน้ำไม่ได้ผล ชอลลี่ก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง เธอทั้งทุบทั้งฟาดอาคารที่อยู่บริเวณนั้นจนพังทลาย ก่อนที่นางแวมไพร์จะหยิบเอาซากอิฐซากปูนเหล่านั้นมาขว้างปาแทน แต่การกระทำของชอลลี่ก็เหนื่อยเปล่าเพราะอานุภาพของเวทย์กระจกเงานั้น สามารถสะท้อนกลับได้แม้แต่เศษอิฐเหล่านี้ก็ตาม ทำให้สิ่งของที่ชอลลี่ของขว้างมา จึงโดนสะท้อนกลับไปยังร่างของเธอเอง อย่างหินก้อนยักษ์ก้อนหนึ่ง ก็พุ่งกระแทกเข้าบริเวณใบน้ำ จนร่างน้ำของชอลลี่ทะลุเป็นรู
แต่หินก้อนนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชอลลี่บาดเจ็บแม้แต่น้อย เพราะแค่ชั่วพริบตาเดียว บริเวณใบหน้าที่ทะลุเป็นรูก็กลับมาสนามเช่นดังเดิม แต่ซ้ำร้าย หินก้อนนั้นกลับเรียกสติที่ขาดไปของชอลลี่ให้กลับมา ที่แท้ที่นางแวมไพร์ต้องตกเป็นรองอยู่ชั่วขณะหนึ่งเช่นนี้ ก็เพราะเธอปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำไปนั่นเอง
เมื่อสตินางแวมไพร์กลับมาได้ เธอก็เลิกเข้าโจมตีแบบบ้าระห่ำอย่างเมื่อครู่แล้ว ก่อนจะใช้สายตาจับจ้องเพื่อนอ่านทางเวทย์มนต์ของฝ่ายตรงข้าม และด้วยประสบการณ์ที่โซกโซน แค่ครู่เดียวเธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เวทย์ของพรีสสาวนั้น แม้จะสามารถป้องกันได้ดี แต่ก็ไม่มีพลังที่จะโจมตีเลย ต้องรอให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีก่อนเท่านั้น และที่สำคัญ เวทย์มนต์ประเภทเน้นรับเช่นนี้ย่อมมีข้อจำกัดอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา ที่ไม่สามารถกางได้ตลอด หรือถ้ารับการโจมตีมากเกินไป ก็จะแตกสลายไปเอง
เมื่อคิดได้ดังนี้นางแวมไพร์ก็เผยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมออกมา ก่อนที่เธอจะเริ่มเข้าโจมตีอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอเปลี่ยนจากใช้เศษอิฐเศษปูน มาเป็นของที่ใหญ่กว่า อย่างเช่น อาคารเล็กๆทั้งหลัง และก็เป็นไปตามที่เธอคาด พรีสสาวถึงกลับหน้าตาตื่นตกใจ ที่ต้องรับมือกับอาคารทั้งหลัง เธอกวัดแกว่งบานกระจกขึ้นมาเพื่อสะท้อนเอาอาคารหลังนั้นกลับไป แต่แรงกระแทกที่มีมหาศาลคราวนี้ กระแทกเอาร่างทั้งร่างของเธอลอยกระเด็นไปเช่นกัน
“ท่าทางให้รับทั้งหลังมันคงลำบากสิน่ะ” แวมไพร์สาวยิ้มเยาะอย่างสะใจ เมื่อเธอเห็นกว่าการโจมตีนี้ได้ผล อาคารอีกหลายหลังบริเวณนั้นก็โดนแวมไพร์สาวถอน แล้วเอามาทุ่มใส่ไปที่ร่างวิเวียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพรีสสาวก็ทำได้แค่เพียงกระแทกอาคารเหล่านี้กลับอย่างทุกลักทุเล
“สารรูปทุเรศจริงๆ เวทย์ของเจ้ามันก็แค่นี้สินะ ทำได้แค่คอยรับโดยไม่อาจตอบโต้ได้” ชอลลี่ตะโกนร้องอย่างย่ามใจ ก่อนที่คราวนี้จะทุ่มใส่ทีเดียว 3 อาคาร เล่นเอาวิเวียนไม่อาจจะใช้เวทย์รับได้ไหว ต้องใช้เวทย์ลม พาร่างพุ่งหลบอย่างล้มลุกคลุกคลาน
ชอลลี่หัวเราะอย่างสะใจ ก่อนที่ร่างน้ำนั้นจะก้าวเข้าไปประชิดตัวพรีสสาวที่กำลังค่อยๆลุกขึ้นมา ในมือของเธอก็แบกเอาอาคารขนาดย่อมๆไว้ เพื่อเตรียมฟาดเข้าใส่ศัตรูที่อยู่เบื้องล่าง ในขณะที่วิเวียนเงยหน้ามองขึ้นไปพร้อมกับเอ่ยคำถามคำหนึ่งออกมา
“เจ้ารู้ไหมกระจกมีคุณสมบัติอะไรบ้าง” นางแวมไพร์หน้านิ่วไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ เมื่อนางแวมไพร์ไม่ตอบ วิเวียนก็เลยเอ่ยเฉลย “ 1 สะท้อนแสง และ 2 รวมแสง”
ทันทีที่วิเวียนพูดจบ ชอลลี่ก็รู้สึกถึงอันตรายในทันที เธอจึงเงื้อมือขึ้นเพื่อจะฟาเอาคารหลังนั้นลงพื้น แต่นั่นก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะวิเวียนเงยบานกระจกขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย์ดังลั่น “กระจกเงาหมื่นดารา สาดแสง”
พริบตานั้นแสงสว่างจ้าก็เปล่งออกมาจากกระจกเงาแล้วก็ฉายเข้าไปบริเวณใบหน้าและลำตัวของชอลลี่ทันที นางแวมไพร์ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดก่อนจะผงะถอยหลังไปหลายก้าว แต่วิเวียนก็ยังไม่หยุด ยังตามไปสาดแสงใส่อย่างไม่ปราณี จนเผยให้เห็นร่างแท้จริงของชอลลี่ที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางร่างน้ำ กำลังโดนไฟลุกไหม้ ซึ่งร้อนแรงขนาดที่ทำเอาร่างน้ำที่ล้อมรอบอยู่ใกล้กันนั้นเดือดปุดๆจนร้อนระเหยกลายเป็นไอ
ที่แท้เวทย์กระจกเงายังมีคุณสมบัติอีกอย่างที่ซ่อนอยู่ คือทุกครั้งที่มันรับการโจมตีของศัตรู นอกจากมันจะสะท้อนเวทย์เหล่านั้นกลับไปแล้ว มันยังรวบรวมพลังเหล่านั้นเก็บไว้ด้วย และเมื่อที่มันรวมพลังจนเต็มที่แล้ว มันก็จะเปล่งแสงออกมา แสงนี้เป็นแสงที่เกิดจากเวทย์ธาตุแสงสว่าง จึงมีผลทำลายโดยตรงกับร่างของแวมไพร์ ทำให้ชอลลี่ที่แม้จะได้รับการป้องกันด้วยร่างน้ำ ก็ต้องลุกไหม้กลายเป็นกองไฟอยู่ดี
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!” ชอลลี่หวีดร้องด้วยความเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างทั้งร่างของเธอจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ทันทีที่ร่างจริงถูกทำลาย ร่างน้ำที่ห่อหุ้มโดยรอบก็เกิดปฏิกิริยาเช่นกัน ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มอย่างน่ากลัวก่อนที่จะระเบิดออกอย่างรุนแรง เกิดคลื่นน้ำขนาดยักษ์ซัดทำลายทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านไม่มีเหลือ ไม่เว้นแม้แต่วิเวียนที่โดนคลื่นน้ำซัด จนจมหายไปกับสายน้ำ
.
.
.
ครืนนนนนนนนนนนนนนนนนน !!
เมฆฝนก้อนใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าคำรามลั่น หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจเมฆฝนเหล่านี้ก็กลั่นตัวลงมายังพื้นเบื้องล่าง จนตอนนี้เมืองทั้งเมืองชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดฝน แต่ไม่ว่าฝนจะตกสักเท่าไหร่ ก็ไม่อาจดับไฟสงครามที่กำลังโหมประทุได้เลย ซ้ำร้ายไฟสงครามนี้กลับโหมหนักยิ่งกว่าเก่า เพราะแต่ล่ะฝ่าย ต่างก็เพิ่มกำลังคนมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ฝ่ายพรีสใช้วิธีเรียกระดมพลให้พรีสทั้งหมดมารวมกันที่หน้าโบสถ์ ส่วนฝ่ายแวมไพร์ก็ได้กำลังสนับสนุนจากทหารชุดที่สองมาช่วยเสริม จนตอนนี้ขนาดของวงสงครามขยายตัวยิ่งกว่าเดิมเป็นทวีคูณ
“คร๊อกๆๆๆ” แต่ห่างออกไปจากจุดปะทะ ร่างของพรีสสาวผมสีเงินที่นอนสลบอยู่กลางแอ่งน้ำ ค่อยๆพื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เธอทำก็คือการสำรอกเอาน้ำที่คั่งค้างในลำคอออกมาให้หมด นับว่าคลื่นน้ำเมื่อครู่นี้ก็สร้างปัญหากับเธอไม้น้อย แม้มันจะไม่ร้ายแรงถึงกับทำให้เธอบาดเจ็บหนัก แต่มันก็ทำเธอสลบไปพักใหญ่เลยทีเดียว
“จ๋อมๆๆ” แม้ชอลลี่จะสิ้นชีพไปแล้ว แต่ร่างน้ำที่เกิดจากเวทย์ของเธอก็ยังคงอยู่ แม้มันจะไม่สามารถก่อตัวเป็นรูปร่างได้แล้ว แต่มันก็ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบเจ่อนองไปด้วยน้ำท่วมขัง สูงขึ้นมาประมาณข้อเท้า ซึ่งนี่ก็เป็นตัวส่งสัญญาณชั้นดี ที่บอกพรีสสาวให้รับรู้ว่า กำลังมีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ
“เวโรนิก้า !!” วิเวียนเอ่ยขึ้น ที่แท้ผู้ที่ก้าวเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแวมไพร์คู่ปรับของเธอนี่เอง
“ไม่เจอกันไม่กี่วัน พัฒนาขึ้นเยอะเลยนี่ ถึงขนาดฆ่าแวมไพร์ชั้นขุนพลได้ด้วย” เวโรนิก้ากล่าวขึ้นก่อนที่จะขยับดาบซามูไรในมือเพื่อเตรียมพร้อมที่จะใช้งาน
“กระจกเงาหมื่นดารา” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคู่ปรับที่เคยปะทะกันมา วิเวียนก็ไม่รอช้าที่จะร่ายเวทย์ของตนขึ้นมาทันที ด้วยเวทย์ธาตุแสงสว่างบทนี้ มันทำให้เธอมั่นใจอย่างมาก ไม่ว่าที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นแวมไพร์ที่ร้ายกาจแค่ไหน เพราะถ้าเป็นแวมไพร์ก็ต้องแพ้ทางแก่ธาตุแสงสว่างของเธออยู่ดี …….. แต่แล้ว !!
“เผล้งงงงงงงงงงงงงงงงงง !!!!!”
แต่ไม่ทันที่กระจกเงาจะก่อตัวสำเร็จ ชั่วพริบตานั้นกระจกเวทย์ก็กลับแตกสลายลงเบื้องหน้าวิเวียน ทำเอาเธอร้องออกมาหนึ่งคำด้วยความตกใจ ส่วมแวมไพร์สาวที่อยู่เบื้องหน้า ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ เธอพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง ก่อนจะชักดาบเข้าฟันใส่ในทันที !! ยังดีที่วิเวียนยังพอมีสติ เธอจึงกระโดดถอยฉากได้ทัน ดาบนี้ของแวมไพร์สาว จึงทำได้เพียงแค่เรียกเลือดจากเธอแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“หึๆๆๆ” เวโรนิก้าหัวเราะออกมาเบาๆ แม้ดาบแรกเธอจะพลาดไปเล็กน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เธอตั้งดาบในท่าใหม่ด้วยการถือดาบด้วยมือขวา ในลักษณะตั้งฉากกับพื้น มือซ้ายเอื้อมไปเบื้องหน้าเพื่อประครองดาบเบาๆ ส่วนเท้าซ้ายก็ขยับเบาไปข้างหน้าเพื่อเตรียมพร้อมจะพุ่งเข้าจู่โจม การตั้งดาบเช่นนี้เป็นการตั้งดาบของท่าทะลวง ซึ่งเป็นกระบวนท่าหนึ่งของเพลงดาบญี่ปุ่นที่เธอได้รับการฝึกฝนมา
‘ทำไมกัน ทำไมเราใช้เวทย์มนต์ไม่ได้’ วิเวีย
‘ทำไมกัน ทำไมเราใช้เวทย์มนต์ไม่ได้’ วิเวียนเอ่ยเบาๆกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ แต่เธอก็ไม่มีเวลามามัวสงสัยอะไรอีกแล้ว เพราะพริบตานั้น แวมไพร์สาวที่อยู่ตรงหน้าก็พุ่งดาบเข้าใส่เธอทันที
.
.
.
ไม่ใช่แค่วิเวียนเท่านั้น แต่พวกพรีสที่อยู่ในจุดปะทะก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน เดิมทีพวกเขากำลังมั่นใจเต็มที่ว่าจะปราบเหล่าแวมไพร์ได้ เนื่องจากฝ่ายตนมีจำนวนมากกว่า แต่เมื่ออยู่ๆเวทย์มนต์ก็ใช้ไม่ได้เช่นนี้ ความมั่นใจเมื่อครู่จึงจางหายไปหมด กลายเป็นความตื่นตกใจระส่ำระสายจน ไม่อาจจะคงรูปกระบวนทัพเช่นเดิมอีกต่อไปได้
ในขณะที่พวกแวมไพร์ แม้พวกเขาจะใช้เวทย์มนต์ไม่ได้เช่นกัน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงมีการเตรียมพร้อมไว้อย่างดี พวกเขาต่างหยิบยกเอาอาวุธต่างๆที่เตรียมมาขึ้นมากวัดแกว่ง พร้อมกับกู่ร้องคำรามลั่น ก่อนที่แวมไพร์เหล่านั้น จะพุ่งกระโจนเข้าหาและไล่ล่าสังหารเหล่าพรีส จนฝ่ายพรีสล้มตายไปตามๆกัน
“พวกแกทำอะไร !!” พรีสชั้นสูงที่เป็นคนบัญชาทัพมาถึงตอนนี้เอ่ยร้องเสียงหลง
“หึ” ฝ่ายแวมไพร์ที่ถูกถามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น วิคตอเรีย นางสนมอันดับหนึ่งของเจ้าชายทีโอดอร์นี่เอง เธอยิ้มเยาะเล็กน้อย กับคำถามที่ได้รับ ก่อนที่นางแวมไพร์จะชักปืนพกออกมา แล้วลั่นไกเข้าใส่ทันที
“เปรี้ยงงงงงงง” เสียงปืนของนางแวมไพร์ดังลั่น แต่เจ้าพรีสชั้นสูงคนนั้นกลับไวกว่า มันคว้าร่างพรีสยศต่ำกว่าที่อยู่ใกล้เขามาบังกระสุนแทน ก่อนจะวิ่งโกยแนบ หนีไปทันที
อันที่จริงด้วยฝีมือของวิคตอเรีย ถ้าเธอจะตามสังหารพรีชั้นสูงคนนั้นก็ไม่เรื่องยากเย็นอะไรเลย แต่ในความคิดของเธอ การที่ปล่อยพรีสขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้เอาไว้ ผลดีน่าจะตกเป็นของฝ่ายแวมไพร์เสียมากกว่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางแวมไพร์ก็เงยหน้าขึ้น แล้วหัวเราะกับสายฝนอย่างสะใจ
ที่แท้สายฝนที่ตกลงทั่วทั้งเมืองนี้ หาใช่สายฝนธรรมดาไม่ แต่เป็นฝนที่เกิดจากอาวุธลับของเหล่าแวมไพร์ ‘อนุภาคลูบินนอฟ’ อนุภาคตัวนี้มีลักษณะพิเศษ คือ เมื่อโปรยไปในอากาศ ตัวอนุภาคจะไปดูดเอาไอน้ำที่อยู่โดยรอบมารวมตัวกัน แล้วก่อตัวเป็นเมฆฝน จนเมื่อก่อตัวได้ที่แล้ว เมฆฝนเหล่านี้ก็จะกลั่นตัวลงมา เป็นหยาดฝนที่ให้คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการยับยั้งการใช้เวทย์มนต์นี่เอง
เพราะที่จริงแล้ว หลักสำคัญของเวทย์ธาตุจักรวาล ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน wonderland นี้ ก็คือการใช้พลังมาน่าที่เป็นพลังภายใน ประสานเข้ากับกระแสธาตุที่เป็นพลังภายนอก และเมื่อประสานจนได้ระดับความรุนแรงที่ต้องการแล้ว ก็จะเกิดเป็นพลังเวทย์แบบต่างๆขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นถ้ามีสิ่งใด ไประงับยับยั้งไม่ให้พลังภายในไปประสานพลังภายนอกได้ ก็จะเป็นการตัดตอน ไม่ให้เวทย์มนต์เกิดขึ้นได้เช่นกัน อนุภาคลูบินนอฟ จึงถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลนี้นี่เอง
.
.
.
ในขณะที่บริเวณหน้าโบสถ์ได้ผลสรุปแล้ว แต่การต่อสู้ของสองสาวอีกด้านกลับยังไม่ได้ผลที่แน่ชัด เพราะทั้งคู่ต่างงัดวิชาการต่อสู้เข้าห่ำหั่นกันอย่างไม่มีใครยอมใคร อย่างจังหวะที่เวโรนิก้าพุ่งเข้าหาแทงวิเวียนด้วยท่าทะลวง พรีสสาวก็ตอบโต้ด้วยการหลบฉากออกด้านข้าง แต่นั่นกลับเป็นการติดกับดักของเวโรนิก้าอย่างจัง เพราะดาบแรกของแวมไพร์สาวเป็นดาบลวง เพื่อบีบให้คู่ต่อสู้หลบไปด้านข้าง ก่อนจะหักดาบ ฟันตามน้ำเข้าใส่ทันที
แต่เหมือนวิเวียนจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เธอหลบฉากออกด้านข้าง เธอก็ทำท่าสะพานโค้ง ทำให้หลบดาบสองที่ตามมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะยืนด้วยมือต่างเท้า แล้วใช้เท้าเตะตวัดเข้าใบหน้าแวมไพร์สาวอย่างจัง จนหน้าของแวมไพร์สาวหมุนหันไปตามแรงเตะ
แต่แวมไพร์สาวก็ไม่ยอมแพ้ เธอใช้วิธีหมุนตัวไปตามแรงเตะนั้น ก่อนจะใช้ดาบซามูไรในมือ หันกลับมาฟันใส่พรีสสาวตรงหน้าอีกครั้ง แต่พรีสสาวก็สามารถแก้เกมส์ได้ทันท่วงที โดยอาศัยจังหวะ คว้าไปที่ข้อมือของแวมไพร์สาว ทำให้หยุดดาบลงได้ ก่อนที่วิเวียนจะใช้มือที่ว่างอยู่กำหมัดแน่น แล้วฮุคเข้ากกหูของแวมไพร์สาวในทันที
แม้หมัดนี้จะยังปราบแวมไพร์สาวตรงหน้าไม่ได้ แต่ก็มากพอที่จะทำให้เธอมึนงงไปช่วยขณะ วิเวียนจึงถือโอกาสนี้ปล่อยหมัดติดๆกันอีก 3 ครั้ง เข้ากกหูที่เดิม ใบหน้า และชายโครง ก่อนจะถีบเท้าอย่างแรง เข้าไปที่ลิ้นปี่ของเวโรนิก้า จนแวมไพร์สาวกระเด็นไปตามแรง ลงไปนอนจุกตรงกลางแอ่งน้ำ
“ทำได้แค่นี้เองเหรอ เวโรนิก้า” วิเวียนร้องยั่วโทสะก่อนจะขยับถอยห่างทิ้งระยะออกไป “ลูกศิษย์ทำได้แค่นี้ ลินคอร์นคงผิดหวังน่าดู”
“นังตัวดี !!” เวโรนิก้าเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนจะบ้วนเลือดที่คั่งในปากทิ้งไป “ไปหัดปากร้ายแบบนี้มาจากไหน”
วิเวียนยิ้มเยาะเล็กน้อย ที่แท้เป็นเพราะวิเวียนดูดกลืนพลังมาน่าของลินคอร์นมาได้ เธอจึงสามารถรับความทรงจำต่างๆของเขามาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาลูคาร์ด หรือวิชาที่เขาใช้ แต่หนึ่งในนั้นก็มีเรื่องของเวโรนิก้าด้วย แม้มันจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะทำให้เธอรู้ว่าแวมไพร์สาวตรงหน้า มีฐานะเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของลินคอร์น ดังเธอจึงคิดใช้จุดนี้เป็นประโยชน์ ในการยั่วโทสะ หลอกล่อให้แวมไพร์สาวตรงหน้าโจมตีเข้าทางเธอ
“รออะไรอยู่ล่ะ …….. คนที่ฆ่าอาจารย์ของเจ้าอยู่ตรงนี้ ไม่เข้ามาแก้แค้นเหรอไง” วิเวียนร้องยั่วอีกครั้ง
“หึ !!” เวโรนิก้าตอบรับคำยั่วนั้นด้วยประโยคสั้นๆ ก่อนจะตวัดดาบซามูไรในมือไปมาแล้วจัดการเสียบเข้าฝัก
“รู้เรื่องวิชาดาบ เลยสามารถอ่านทางข้าออก รู้เรื่องความสัมพันธ์ของเรา เลยเอามาใช้ยั่วข้า” แวมไพร์สาวพูดไปพลาง ก็เอื้อมมือไปปลดตัวดาบออกจากเอว “แต่ในความทรงจำที่เจ้าดูดกลืนของเขามา มันคงไม่มีเรื่องนี้ใช่ไหม เจ้าเลยไม่รู้ว่าท่านลินคอร์นเคยสั่งไว้ ไม่ให้ใครคิดแก้แค้นให้ท่าน เพราะสำหรับท่าน มันคือการหยามเกียรติ”
“จะบอกว่าไม่คิดแก้แค้นงั้นเหรอ แล้วที่เจ้าโผล่มาตรงนี้มันหมายความว่ายังไง” วิเวียนเอ่ยถามพร้อมกับจับจ้องไปที่แวมไพร์สาวตรงหน้า นางทำอะไรอย่างที่ตัวเธอไม่เข้าใจ เพราะอยู่ดีๆนางก็ปลดดาบตัวเอง และกำลังถอดถุงมือหนังทิ้ง
“ไม่เห็นจะต้องคิดเยอะเลยนี่ ข้ามาตรงนี้ก็แค่อยากจะจัดการเจ้าด้วยตัวเองแค่นั้น” หลังจากถอดถุงมือเสร็จแล้ว แวมไพร์สาวก็เอื้อมมือไปปลดรองเท้าบูททั้งสองข้าง
“จะจัดการข้าเหรอ เจ้าลืมไปแล้วเหรอไงว่าข้ารู้ไต๋หมดแล้วว่าเจ้ามีวิชาอะไรบ้าง”
“อ๋อ ข้าไม่ลืมหรอก แต่ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่างน่ะ ข้านะ ไม่ได้มีแค่วิชาที่ท่านลินคอร์นสอน !!” แวมไพร์สาวตะโกนลั่น ก่อนจะขว้างรองเท้าบู๊ทเข้าใส่พรีสสาวตรงหน้าทันที แม้พรีสสาวจะระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว แต่รองเท้าก็ฝ่าอากาศมาเร็วมากจนเธอไม่อาจหลบได้ทัน จนต้องโดนกระแทกอัดเข้ากลางลำตัว
แต่รองเท้านั้นมันก็แค่การโจมตีแรกเพื่อทำลายจังหวะแค่นั้น เพราะทันทีที่แวมไพร์สาวขว้างรองเท้าไปแล้ว เธอก็พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็เอาประชิดตัวพรีสสาวตรงหน้า ก่อนที่เธอจะซัดหมัดเข้าแก้มอย่างจัง จนพรีสสาวถึงกลับเซถาไปตามแรงหมัด
ที่แท้ ที่เธอถอดรองเท้าก็เพราะต้องการใช้มันเป็นอาวุธ อีกทั้งรองเท้าบู๊ทจะมีน้ำหนักมากเกินไปถ้าต้องเดินกลางน้ำ ที่เธอปลดดาบที่คาดเอว เพราะดาบที่เอวมันยาวเกินไป ทำให้ไม่คล่องตัวเวลาวิ่ง ที่เธอถอดถุงมือ เพราะถุงมือหนังมันมีขนาดหนาเกินไป ทำให้ลดทอนแรงต่อยของหมัด ทั้งหมดนี้แม้ไม่ใช่วิชา แต่มันก็คือประสบการณ์การต่อสู้ที่แวมไพร์สาวมีอยู่แล้วอย่างโชกโชน
แต่ใช่ว่าวิเวียนจะยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำข้างเดียว ทันทีที่เธอโดนต่อย พรีสสาวก็สวนหมัดกลับไปเป็นการตอบโต้ แต่น่าเสียดาย เพราะหมัดที่เธอปล่อยมาถูกแวมไพร์สาวยกแขนขึ้นมากันได้หมด แถมแวมไพร์สาวยังฉวยโอกาสนี้ โน้มคอเธอลงมา แล้วตีเข่าสวนอย่างแรง แล้วฟันศอกตามน้ำ จนสามารถเรียกเลือดจากหางคิ้วของพรีสสาวได้เป็นทาง
“นี่ … เขาเรียกว่ามวยไทย” ทันทีที่พูดจบ แวมไพร์สาวก็เดินเข้าหาคู่ต่อสู้ของเธอตรงหน้า ที่ตอนนี้กำลังมึนจากฤทธิ์ศอก ก่อนที่เธอจะตั้งท่าเตรียมพร้อม แล้วเหวี่ยงหมัดออกไปอย่างสุดแรง ความแรงของหมัดนี้ขนาดที่ว่า ม่านฝนที่กำลังกระหน่ำตกอยู่นั้น ถึงกับถูกแหวกเป็นสาย เรียกว่าถ้าใครถูกหมัดนี้ซัดเข้าอย่างจังก็คงสิ้นฤทธิ์ หมัดนี้จึงเป็นหมัดเผด็จศึกเลยก็ว่าได้
แต่ชั่วพริบตานั้น พรีสสาวกลับก้มตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด หมัดนั้นจึงพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย มิหนำซ้ำมันยังเปิดช่องโหว่ของแวมไพร์สาวออกมาอีกด้วย ซึ่งวิเวียนก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไปแน่ เธอพุ่งเข้าอัดกระแทกที่กลางลำตัวแวมไพร์สาวอย่างแรง จนร่างของทั้งคู่ล้มลงกระแทกแอ่งน้ำ จนน้ำบริเวณนั้นแตกกระจายเป็นสายออกเป็นวงกว้าง
“ย๊ากกกกกกกก” แต่วิเวียนก็รู้ดีว่าลำพังแค่นี้ยังเอาแวมไพร์สาวไม่ลงเป็นแน่ เธอจึงฉวยโอกาสที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิงขวาตรงเข้าเต็มหน้าเวโรนิก้าสุดแรง ก่อนจะกดหัวแวมไพร์สาว กระแทกพื้นอย่างแรง แล้วจับกดลงไปในใต้น้ำ
ต่อให้เป็นแวมไพร์ที่เก่งกาจมาจากไหน เมื่อโดนจับกดน้ำเช่นนี้ก็ไม่อาจรอดไปได้ เวโรนิก้าจึงดิ้นรนสุดกำลังเพื่อหวังเอาชีวิตรอด สองมือที่ว่างอยู่ก็เหวี่ยงซ้ายป้ายขวา เพื่อหวังจะสลัดพรีสสาวให้หลุดไปจากร่าง แต่การดิ้นรนของแวมไพร์สาวก็ไม่เป็นผลสำเร็จ เมื่อวิเวียนจัดการขึ้นคร่อมร่างเวโรนิก้าทั้งตัว อีกทั้งมือก็เลื่อนมาบีบที่คออย่างแรง เพื่อหวังให้แวมไพร์สาวขาดใจตายในใต้น้ำ
ใครจะไปคาดคิด ว่าสองมือที่เรียวงามของวิเวียน มันจะสามารถกลับกลายเป็นคีมเหล็กที่บีบแน่นไปที่คอของเวโรนิก้า แม้แวมไพร์สาวจะดิ้นรนอย่างไรมันก็ไม่เป็นผล มิหนำซ้ำ วิเวียนยังเพิ่มแรงบีบเข้าไปอีก จนแวมไพร์สาวไม่อาจจะกลั้นหายใจต่อไปได้ไหว จนต้องสำลักน้ำที่ไหลเข้ามาจนเต็มปอด ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เธอจะต้องหมดลมหายใจอย่างแน่นอน
แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น แวมไพร์สาวก็รวยรวมพลังเฮือกสุดท้าย ใช้ทั้งสองมือคว้าจับเอาที่ข้อมือซ้ายของพรีสสาว ก่อนจะออกแรงบิดอย่างแรง ทำเอาพรีสสาวถึงกับร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เวโรนิก้าถึงใช้โอกาสนี้สลัดวิเวียนให้หลุดออกจากร่างไปได้ แต่ถึงแม้แวมไพร์สาวจะสามารถสลัดหลุดไปได้แล้ว เธอก็ยังไม่ยอมปล่อยข้อมือซ้ายของวิเวียนไปง่ายๆ แถมยังใช้ขาทั้งสองข้างช่วยตวัดรัดเพื่อเสริมแรง ก่อนจะออกแรงบิดอย่างรุนแรงอีกครั้ง
“กร๊อบบบบบบบบบบบบบบบ” เสียงกระดูกที่แขนซ้ายของวิเวียนหักดังลั่น ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเธออย่างสุดเสียง เพียงเท่านี้ แขนซ้ายของเธอก็ไม่อาจจะใช้การได้อีกแล้ว แวมไพร์สาวจึงยอมปล่อยมือจากแขนเธอ ก่อนจะถอยห่างออกมา เพราะเมื่อครู่ ตัวเธอเองก็สำลักน้ำเข้าไปไม่น้อย เธอจึงต้องขอโอกาสนี้ พักหอบหายใจอย่างหนัก เพื่อเอาอากาศกลับเข้าไปในปอด
แค่ไม่กี่อึดใจแวมไพร์สาวก็กลับมามีแรงเช่นเดิมอีกครั้ง เธอจึงค่อยๆยันกายลุกขึ้นจากน้ำ ก่อนจะเดินเข้าหาพรีสสาวที่กำลังนอนบาดเจ็บอยู่ตรงหน้า จากนั้นเวโรนิก้าก็เอื้อมมือไปจิกเส้นผมของพรีสสาว เพื่อบังคับให้เธอลุกยืนขึ้น โดยที่พรีสสาวที่กำลังบาดเจ็บอยู่นั้นไม่อาจจะขัดขืนได้เลย สิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ ก็คือการจ้องมองที่แวมไพร์สาวตรงหน้าอย่างโกรธแค้นเท่านั้น
แต่แวมไพร์สาวก็ไม่ได้ยีหระต่อสายตาคู่นี้เลยแม้แต่น้อย แถมเธอกลับยังยิ้มร้ายๆตอบกลับอีกด้วย ก่อนที่เธอจะผลักเบาๆ ให้ร่างของพรีสสาวเซถลาไป 2-3 ก้าว และเมื่อพรีสสาวหันกลับมา เวโรนิก้าก็ตวัดเท้าเตะ ‘จระเข้ฟาดหาง’ เข้าใส่เต็มกรามอย่างจัง เพียงเท่านี้วิเวียนก็สิ้นท่า หมดสติกลางอากาศ เป็นอันว่าตัวเธอพ่ายแพ้แก่เวโรนิก้าอีกครั้งเสียแล้ว
.
.
.
แม้การต่อสู้ของสองสาวจะจบลงไปแล้ว แต่การโจมตีจากแอสการ์ดก็ยังไม่จบ ทันที่ที่ทีโอดอร์เอ่ยคำสั่ง ปืนใหญ่จำนวนมากที่ติดตั้งในปราสาทก็ถูกนำออกมาใช้ กระสุนปืนจำนวนมากถูกยิงออกมาราวกับห่าฝน ก่อนจะพุ่งทำลายบ้านเรือนของนครแซงจูรี่ย์ จนความเสียหายกระจายเป็นวงกว้าง ภาพที่เห็นนี้คงไม่มีผู้คนในเมืองคนไหนเคยจินตนาการถึงแน่ๆ ว่านครแห่งมนตราเช่นนี้ จะต้องมาถูกทำลายเพียงเพราะอาวุธธรรมดาๆเช่นนี้เพียงเท่านั้น
เสียงระเบิดนั้นดังลั่นไปทุกย่อมหญ้า แม้แต่เหล่าชาวเมืองที่หลบซ่อนในหลุมหลบภัย ยังสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้เป็นอย่างดี จนแต่ละคนต่างก็เสียขวัญ ไม่รู้ว่าพวกแวมไพร์จะบุกเข้ามาในตอนไหน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาคงไม่อาจรู้ นั่นก็คือก่อนที่เวโรนิก้าจะส่งมอบแผนผังนครแซงจูรี่ย์นั้น เธอแอบแก้ไขแผนผังบางอย่าง ซึ่งก็คือการลบตำแหน่งของหลุมหลบภัยเหล่านี้นั่นเอง เพียงเท่านี้ เหล่าชาวเมืองก็ปลอดภัยไปได้สักระยะ
แต่เสียงระเบิดที่เกิดขึ้น รวมไปถึงแรงสั่นสะเทือนที่ตามมา ไม่แปลกที่จะดังไปถึงสองสาวที่พึ่งต่อสู้กันจบด้วย ด้วยเหตุนี้วิเวียนที่สลบไปจึงค่อยๆได้สติ แล้วลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ ก่อจะพบว่าตนเองถูกพามาที่ดาดฟ้าอาคารหลังหนึ่ง และเมื่อสำรวจตัวเอง กลับพบว่าตัวเธอไม่ได้ถูกพันธนาการใดๆทั้งสิ้นแม้แต่น้อย แต่เมื่อเธอขยับตัว แผลจากกระดูกที่หักก็ส่งผลไปทั่วทั้งร่าง จนเธอเผลอร้องออกมาหนึ่งคำ และไม่อาจจะขยับเขยื่อนร่างกายใดๆได้อีก
“ตื่นแล้วเหรอ ดีเลย ข้ากำลังกลัวว่าเจ้าจะพลาดฉากเด็ดนะเนี่ย” เสียงใสๆของแวมไพร์สาวร้องออกมาไม่ห่าง
“ไม่จริง” วิเวียนเอ่ยเบาๆกับภาพที่เห็นตรงหน้า เมืองที่เธอใช้เติบโตมากำลังถูกทำลาย
“ตรงนี้วิวดีใช่ไหมล่ะ มันเห็นภาพเมืองนี้กำลังพินาศได้ชัดเจนเลยว่าไหม เจ้าน่าจะขอบใจข้ามั่งน่ะ ที่อุตส่าห์พาเจ้ามาตรงนี้” แวมไพร์สาวเอ่ยต่อพร้อมกับหันไปมองหน้าวิเวียน ซึ่งพรีสสาวก็สะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างโกรธแค้น เมื่อเห็นเช่นนั้น แวมไพร์สาวก็ยิ้มร้ายก่อนจะเอ่ยยั่วต่อไปว่า
“ทำไมไม่ดูหน่อยล่ะ ภาพทั้งหมดที่เจ้าเห็น ข้าภูมิใจนำเสนอมากเลยน่ะ เพราะภาพทั้งหมดน่ะ เกิดจากการวางแผนของข้าเอง !!” ได้ผล เพราะคำพูดเพียงเท่านี้ พรีสสาวก็หันกลับมามองด้วยความโกรธแค้น
“เจ้า …..” วิเวียนเอ่ยร้องอย่างเจ็บใจ “ทำไมเจ้าทำแบบนี้ ตัวเจ้าก็เคยเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงทรยศพวกเดียวกันเอง แล้วไปเข้ากับพวกปีศาจร้าย !!!”
คำพูดนี้แม้มันจะมีแค่ไม่กี่คำกลับทำให้เวโรนิก้าหวีดร้องอย่างเกรี้ยวกร๊าด ราวกับว่าคำทั้งหมดเป็นคำพูดที่เสียดแทงเข้าไปในดวงใจเธอก็ไปปาน ว่าแล้วแวมไพร์สาวก็ระเบิดโทสะ ตรงเข้าไปคว้าที่คอวิเวียนอย่างแรง พร้อมกับเอ่ยเสียงตะคอกดังลั่น
“อย่าเจ้ามันจะไปรู้เรื่องอะไร !!!!”
“ทำไม จี้ใจดำเหรอไง งั้นข้าจะพูดให้เจ้าได้ยินอีกทีน่ะ นังคนทรยศ !!! นังปีศาจจจจจจจ !!!” วิเวียนได้ทีก็พูดตกย้ำเข้าไปอีกครั้ง พร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เพียงเท่านี้สติของแวมไพร์สาวก็ขาดสะบั้นทันที
“หยุดพูดเดี้ยวนี้น่ะ บอกให้หยุดพูดดดดดดดดดดด !!” เวโรนิก้าหวีดร้องดังลั่นยิ่งกว่าเดิม พร้อมกับใช้ฝ่ามือซ้ายขวากระหน่ำตบไปที่ใบหน้าวิเวียนไม่ยั้ง จนตัวเองเริ่มเหนื่อยหอบ
“ถุยยยยย” พอเวโรนิก้าเริ่มเหนื่อยจนหยุดมือ วิเวียนก็พ่นเลือดที่คั่งอยู่เต็มปากเข้าใส่เต็มหน้า แล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น แม้เมื่อครู่ตัวเธอจะโดนตบไปหลายทีจนบาดเจ็บไม่น้อย แต่ตัวเธอกลับสะใจไม่น้อยที่ทำแวมไพร์สาวตรงหน้าคลุ้มคลั่งได้เช่นนี้
“อย่างเจ้ามันจะไปรู้อะไร เจ้ามันจะไปรู้อะไร ใครที่เป็นคนทรยศ ใครที่เป็นปีศาจ พวกเจ้ามันก็แค่หลบอยู่ข้างหลังกำแพงใหญ่ๆ แล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่เคยรับรู้อะไรเลยว่า คนที่อยู่ข้างนอกกำแพงนั่น จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง !!!”
“อ้อ ……. เพราะอย่างนี้ เจ้าก็เลยทรยศเผ่าพันธ์มนุษย์ แล้วไปเข้ากับพวกปีศาจงั้นสิ” วิเวียนเอ่ยยั่วไม่หยุด พร้อมกับหัวเราะอย่างสะใจ นั่นทำให้เวโรนิก้ายิ่งคลุ้มคลั่งกว่าเดิม ก่อนจะตรงเข้าไปบีบปากวิเวียนจนแน่น
“ข้า … บอก … ให้ … หยุด … พูด !!” เวโรนิก้าคำรามลั่น แต่วิเวียนก็ไม่กลัว เธอสะบัดหน้าออกก่อนจะหันไปสบตา
“มีแรงแค่นี้เหรอนังปีศาจ ถ้ามีปัญญาทำแค่นี้ คิดจะให้ข้าหยุดไม่ได้เหรอ ไม่มีทาง !!” วิเวียนเอ่ยท้าทาย
“ท้าใช่ไหม !!!” เวโรนิก้าตะคอกลั่นก่อนจะจิกผมเธอจนหน้าหงาย “คิดว่าที่ตัวเองรอดอยู่นี่เพราะเก่งเหรอไง ที่เจ้ายังรอดอยู่เพราะข้าไว้ชีวิตหรอกน่ะ ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากลงซะ !!”
“รออะไรอยู่ล่ะ นึกว่าข้ากลัวเหรอไง แน่จริงก็ลงมือเลยสิ !!”
“ได้ !!!” เวโรนิก้าร้องลั่นก่อนจะคำรามอย่างดุร้าย เขี้ยวสองข้างของเธอโง้งลงมาจนน่ากลัว ก่อนที่แวมไพร์สาวจะฝังเขี้ยวทั้งสองข้างนั้น ลงบนต้นคอของวิเวียนทันที !!
“เอื๊อกกกกกกกกกกกกก” ร่างของพรีสสาวกระตุกอย่างรุนแรง พร้อมกับโลหิตในกายเธอที่พุ่งทะลักออกมาตามรอยแผล จนอาบลำคอของเธอเป็นสีแดงฉาน ก่อนที่โลหิตเหล่านั้น จะถูกแวมไพร์สาวดูดกลืนผ่านทางคมเขี้ยวทั้งสองข้างอย่างหิวกระหาย
วิเวียนพึ่งจะรู้ในตอนนี้นี่เอง ว่าการโดนแวมไพร์ดูดเลือดมันรู้สึกยังไง เรี่ยวแรงของเธอเลือนหายไปดื้อๆ จนตัวเธอเองไม่อาจจะดิ้นรนใดๆต่อไปได้เลย ที่เธอทำได้ ก็แค่เพียงค่อยๆยกมือขวาที่ว่างอยู่ขึ้นมาช้า แล้วเลื่อนไปที่หน้าอกแวมไพร์สาวตรงหน้า ก่อนที่เปลือกตาของเธอจะค่อยๆปิดลงช้าๆ
.
.
“เคลื่อนตำหนัก !!”
.
.
แต่ฉับพลันนั้น แรงอัดพลังมหาศาลก็ส่งผ่านจากมือของวิเวียน เข้ากระแทกที่หน้าอกของเวโรนิก้าอย่างรุนแรง จนแวมไพร์สาวที่กำลังสนใจอยู่กับการดูดเลือดนั้น ถึงกับกระอักอย่างเจ็บปวด แถมร่างทั้งร่างของเธอก็ถูกผลักจนลอยขึ้นฟ้า แล้วลงมากระแทกพร้อมกับครูดไปกับพื้นเป็นทางยาว จนผิวขาวๆของเธอถลอกปลอกเปลือกเต็มไปด้วยบาดแผล
“เวทย์มนต์ !?” แวมไพร์สาวเอ่ยร้องอย่างไม่เชื่อสายตา เหตุใดกันพรีสสาวตรงหน้าจึงใช้เวทย์มนต์ได้ ทั้งๆที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยอนุภาคลูบินนอฟ
“เคลื่อนตำหนัก” แต่ไม่ทันที่เธอจะได้สงสัยอะไรต่อ วิเวียนก็ร่ายเวทย์ซ้ำไปอีกรอบ คราวนี้แวมไพร์สาวกลับรู้สึกเหมือนถูกตรึงจนไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้ อีกทั้งร่างก็ถูกยกให้ลอยขึ้นกลางอากาศ
“ท่าทางลูกไม้ของพวกเจ้า จะใช้ไม่ได้กับ ‘เวทย์โลกเก่า’ สิน่ะ” วิเวียนเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามาหาช้าๆ ที่แท้ เวทย์มนต์ที่เธอกำลังใช้อยู่นี้ ก็คือเวทย์หนึ่งในหมู่ ‘เวทย์โลกเก่า’ นี่เอง
‘เวทย์โลกเก่า’ ก็คือเวทย์ในยุคเริ่มแรกของ wonderland เป็นเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน อย่าง เคลื่อนตำหนัก ก็มีประโยคเอาไว้ใช้เคลื่อนย้ายสิ่งของไปมา ซึ่งต่อมาก็มีคนนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้บ้างเป็นต้น แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป ได้มีการค้นพบพลังธาตุจักรวาล เวทย์ชนิดใหม่ที่มาการนำพลังธาตุมาใช้จึงถูกนำมาแทนนี่ เนื่องจากเวทย์พวกนี้มีอานุภาพมากกว่า เวทย์โลกเก่า จึงค่อยๆเลือนหายไป
แต่เหมือนโชคเข้าข้าง เพราะเวทย์โลกเก่าเหล่านี้วิเวียนได้บังเอิญมาพบเข้า แล้วได้ลองฝึกดูสนุกๆ และการฝึกสนุกๆของเธอในครั้งนั้น กลับส่งผลดีเกินคาด เพราะมันคือตัวแปลสำคัญที่ทำให้เธอพลิกสถานการณ์ได้ในตอนนี้ เพราะในสถานการณ์ ณ เวลานี้ เวทย์มนต์ชนิดเดียวที่สามารถใช้ได้ ก็คือเวทย์ที่ไม่ต้องพึ่งพลังธาตุเช่นนี้นี่เอง
“ย๊ากกกกกกก” วิเวียนร้องลั่น ก่อนจะกระแทกมือไปข้างหน้า พริบตานั้นแรงกระแทกมหาศาลก็ซัดเข้าร่างของเวโรนิก้าเต็มๆ ร่างของแวมไพร์สาวพุ่งกระเด็นไปในอากาศ ลอยคว้างเลยผ่านยอดดาดฟ้า แล้วปลิวหายไปยังพื้นเบื้องล่าง
“สำเร็จไหม” วิเวียนเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินตามไปเพื่อดูผลงาน แต่เธอก็เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น เพราะฉับพลัน ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวเธอ
“วิเวียนช่วยด้วยยยยยยยยยยยยย !!”
“อาร์ตตตตตตตตตต” วิเวียนร้องขึ้นอย่างตกใจ ที่แท้เสียงที่ส่งมาก็เป็นเสียงของนายอาร์ตที่ส่งผ่านเวทย์เชื่อมจิตมานี่ เอง พรีสสาวงุ่นงงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น นายอาร์ตตกอยู่ในอันตรายอย่างนั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ก็ในเมื่อตอนนี้เขาอยู่ในโบสถ์คาดินัลล์ที่น่าจะปลอดภัยที่สุดในเมืองแล้ว นี่
แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามาสงสัยแล้ว พรีสสาวร่ายเวทย์เชื่อมจิตทันที พริบตานั้น วงกลมสีแดงก็ปรากฏขึ้นเบื้องล่าง ว่าแล้วเธอก็ไม่รอช้า กระโจนเข้าไปกลางวงก่อนที่ร่างของเธอจะหายวับไป
.
.
.
ไม่กี่นาทีก่อนหน้า
“ตูมมมมมมมมมมมมม” เสียงระเบิดที่ดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจของนายอาร์ตให้มองตามไปนอกหน้าต่าง ภาพที่เขาเห็นก็คือ ร่างน้ำขนาดยักษ์ของแวมไพร์ชอลลี่ กำลังอาละวาดอย่างหนัก พร้อมกับมีประกายแสงระเบิดตูมตามอยู่รอบด้าน บ่งบอกให้เขาได้รับรู้ว่า ตอนนี้การปะทะนั้นหนักหน่วงเพียงใด จนตัวเขาอดนึกถึงวิเวียนไม่ได้ เพราะถึงแม้เธอจะเป็นคนเก่ง แต่ถ้าไปอยู่ในวงปะทะนี้ เธอจะปลอดภัยดีไหม
“คุณอาร์ต เดินต่อเถอะครับ” พรีสหนุ่มที่เดินนำอยู่หันมาเอ่ยเตือน นอกจากพรีสหนุ่มตรงหน้าคนนี้แล้ว ด้านหลังนายอาร์ตก็มีพรีสเดิมตามอีก 3 คน ทั้งหมดนี้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของแองเจลล่า ที่ส่งมาคุ้มครองเขาเป็นพิเศษ
“ครับ” นายอาร์ตเอ่ยรับคำ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามไปทันที ในขณะที่พรีสหนุ่ม 3 คนที่อยู่ข้างหลังไม่ได้เร่งฝีเท้าเดินตามมากนัก ทำให้ระยะระหว่างพวกเขากับนายอาร์ตค่อยๆขยายกว้างเรื่อยๆ จนเมื่อเห็นว่าระยะได้ห่างพอสมควรแล้ว 1 ใน 3 ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมต้องยุ่งยากพามันห้องโซนในด้วยว่ะ ก็ฆ่ามันซะตรงนี้เลยสิ !!”
“ไม่ได้” พรีสอีกคนเอ่ยแย้ง “ฆ่าตรงนี้มันประเจิดประเจ้อเกินไป เพราะถึงยังไงมันก็เป็นมนุษย์ พรีสอย่างเราฆ่ามนุษย์ตายมันจะเสียชื่อ ที่ถูกต้องก็คือเราต้องหาที่ลับตาก่อนแล้วฆ่ามันซะ แล้วค่อยจัดฉากว่าเป็นฝีมือของพวกแวมไพร์”
“แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ะ” พรีสคนเดิมยังเอ่ยต่อ “ถ้าเราฆ่ามันจะเป็นอะไรไปว่ะ มันใช่มนุษย์ที่ไหน แต่มันคือร่างอวตารของอาลูคาร์ดน่ะเว้ย”
“พวกเจ้าไม่ต้องพูดมากหรอกน่า” พรีสที่เหลืออีกคนเอ่ยตัดบท “นี่เป็นคำสั่งของท่านแองเจลล่า เราแค่ทำตามก็พอ !!”
เพียงเท่านี้ พรีสทั้ง 3 คนก็ไม่มีสิ่งจะสนทนาต่อ พวกเขาเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อตาม 2 คนหน้าให้ทัน ในขณะที่นายอาร์ตที่เป็นหัวข้อในการสนทนาเมื่อครู่ไม่ได้สังเกตเห็น แถมเขายังเดินตามพรีสคนหน้าต่อแต่โดยดีโดนที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย และไม่นานนัก เขาก็เดินทางมาถึงจุดหมาย มันเป็นบานประตูห้องห้องหนึ่ง โดยที่พรีสที่เดินนำเขามาได้เฉลยให้เขาทราบว่า นี่คือห้องนิรภัย เอาไว้ใช้คุ้มกันบุคคลระดับสูง ซึ่งรับประกันในเรื่องความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน
ว่าแล้วพรีสคนนั้นก็เปิดประตูห้องออก แล้วเชิญนายอาร์ตให้เดินเข้าไป ซึ่งนายอาร์ตก็เดินตามเข้าไปแต่โดยดี โดยที่เขาไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ห้องนี้มันก็เป็นแค่ห้องพักหรูหราธรรมดาๆนี่เอง ไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่าห้องอื่นๆตรงไหนเลย ที่พรีส 4 คนเลือกห้องนี้ ก็แค่เพราะห้องนี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน ตรงตามที่พวกมันวางแผนไว้เท่านั้นเอง
เมื่อส่งนายอาร์ตเข้าไปแล้ว พรีสหนุ่มคนนั้นก็หันมายิ้มร้ายกับพรีส 3 คนที่เดินตามหลังมา ก่อนที่เจ้าพรีสคนนั้นจะค่อยเดินตามนายอาร์ตเข้าไป แล้วค่อยๆปิดประตูลงช้าๆ โดยที่มันจะเป็นผู้รับบทมือสังหารในภารกิจนี้แต่เพียงผู้เดียว
“คุณอาร์ตออกมาจากระเบียงและหน้าต่างดีกว่าไหมครับ มันอันตราย” เจ้าพรีสหนุ่มคนนั้นเอ่ยเตือน
“ครับ” นายอาร์ตหันมาตอบ พร้อมกับขยับเดินห่างออกมาแต่โดยดี โดยที่เขาไม่ได้รู้เลยว่านี่มันกลลวง เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าพรีสหนุ่มตีสองหน้า ได้มีจังหวะเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อที่จะจัดการเขา และเมื่อได้จังหวะ มันก็ลงมือในทันที
“ย่าห์” เจ้าพรีสหนุ่มร่ายเวทย์ประจำตัวเบาๆ พริบตานั้นมือขวาของมันก็ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง มันยิ้มร้ายออกมาอย่างเหี้ยวเกรียม ก่อนจะขยับเข้าหานายอาร์ตจากด้านหลัง แต่ก็ซัดเปลวเพลิงนั้น เข้าใส่ร่างของเขาทันที แต่พริบตานั้นเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เปลวไฟที่ทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ร่างนายอาร์ต อยู่ดีๆก็มอดดับไปเสียเฉยๆ ทำเอาเจ้าพรีสหนุ่ม ถึงกลับตกตะลึงตาค้าง อย่างไม่เชื่อในสายตา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” นายอาร์ตหันมาถามด้วยความสงสัย ที่อยู่ๆพรีสคนนี้ก็ทำท่ายื่นมือยืนไม้แปลกๆ ทำเอาเจ้าพรีสหนุ่มต้องหัวเราะเปล่งๆแก้เก้อไปก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นดุร้าย เมื่อนายอาร์ตหันหลังกลับไป
ที่แท้ที่เจ้าพรีสหนุ่มใช้เวทย์มนต์ไม่ได้ ก็เพราะอนุภาพของอนุภาคลูบินนอฟนี่เอง เพราะอนุภาคนี้มีคุณสมบัติในการปั่นป่วนกระแสธาตุ ไม่ให้นำมาใช้เป็นพลังเวทย์ได้ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในอาคารก็เช่น แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครมาเฉลยข้อสงสัยนี้แก้เจ้าพรีสหนุ่ม มันจึงต้องงุ่นงงกับเหตุการณ์นี้ต่อไป
แต่เจ้าพรีสหนุ่มทั้ง 4 คนนี้ก็ไม่ใช่พรีสธรรมดา เพราะพวกมันเป็นถึงองครักษ์ส่วนตัวของแองเจลล่า พวกมันจึงมีเอกลักษณ์ก็คือ มีดาบอัศวินพกติดตัวกันทุกคน เนื่องจากแองเจลล่าเป็นพวกคลั่งไคล้ผู้ที่ใช้ดาบเก่งกาจ เหล่าองครักษ์เหล่านี้ นอกจากฝึกเรื่องเวทย์ตามปกติแล้ว พวกมันยังต้องฝึกฝนการใช้ดาบอีกด้วย ดังนั้นเมื่อเจ้าพรีสหนุ่มคนนี้ใช้เวทย์สังหารนายอาร์ตไม่ได้ มันก็ชักดาบออกจากฝัก ก่อนจะพุ่งเข้าฟันเขาในทันที
แต่พริบตานั้น อยู่ดีๆก็มีแส้เหล็กฟาดลงมาจากเพดาน ก่อนจะตวัดเข้าที่ลำคอของเจ้าพรีสหนุ่ม แล้วกระชากมันลอยขึ้นไปเหนือพื้น เจ้าพรีสหนุ่ม ถึงกลับดิ้นรนทุรนทุรายอย่างหนักเพื่อเอาชีวิตรอด สายตาก็มองไปยังเบื้องบนเพื่อดูว่าแส้เหล็กนี้ มันเกิดจากฝีมือของใคร
“แวมไพร์” เจ้าพรีสหนุ่มร้องอย่างไม่เชื่อสายตากับภาพที่เห็น เจ้าของแส้นี้ก็คือแวมไพร์ตนนึงที่รอบเข้ามาในห้องนี่เอง ลอบเข้ามาได้อย่างไร ลอบเข้ามานานเมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัว คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวเขา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจมันอีกแล้ว เขารวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายตวัดดาบเข้าใส่ เพื่อหมายจะเอาชีวิตรอด
“ฮ่าๆๆๆ” เจ้าแวมไพร์หัวเราะอย่างขบขันกับการกระทำนั้น นั่นก็เพราะระยะดาบในมือของเจ้าพรีสหนุ่มคนนี้มันสั้นเกินไป จนไม่อาจจะถูกตัวมันได้เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่เจ้าแวมไพร์จะยุติการกระทำที่ไร้สาระนั้น ด้วยการกระตุกแส้อย่างแรง เพียงเท่านี้คอของเจ้าพรีสหนุ่มก็หักสะบั้นขาดใจตายทันที มือทั้งสองข้างก็ไม่อาจจะจับดาบอัศวินที่กวัดแกว่งเมื่อครู่ได้ต่อไป ต้องปล่อยให้ดาบใหญ่เล่นนี้ต้องล่วงลงสู้พื้น
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย” นายอาร์ตร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ สิ้นเสียงนายอาร์ต พวกพรีสทั้ง 3 ที่ดูต้นทางอยู่ด้านนอกก็พุ่งเข้ามาหาทันที ก่อนที่ทั้งหมดจะพบภาพที่ชวนตกใจ อยู่ดีๆก็มีแวมไพร์ปรากฏตัวในโบสถ์ แถมมันยังฆ่าเพื่อนพ้องของเขาไปหนึ่งคนแล้วด้วย แต่ทั้งหมดก็ไม่มีเวลาตกใจแล้ว พวกเขาต่างก็ร่ายเวทย์ประจำตัวก่อนจะซัดเข้าใส่แวมไพร์ที่อยู่บนเพดานทันที
แต่ทั้งหมดก็ให้ผลเช่นเดิม เวทย์มนต์ของพวกเขาไม่ได้ผลเช่นกัน และในขณะที่พวกเขากำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เจ้าแวมไพร์ก็หัวเราะร่าก่อนจะทะยานลงมาจากเพดาน พร้อมตวัดแส้เข้าโจมตีทันที จนพรีสทั้ง 3 ต่างกระเด็นกระดอนไม่เป็นท่า
“แก … เจ้าแวมไพร์ … แกเข้ามาได้ยังไง พวกแกทั้งหมดกำลังอาละวาดทำลายเมืองอยู่ข้างนอกนี่” หนึ่งในพรีสเอ่ยถามในขณะที่ใช้ดาบรับแส้
“ไอ้พวกโง่ !! นี่แกมองไม่ออกเหรอไง” เจ้าแวมไพร์หัวเราะอย่างสะใจ “แกมองไม่ออกจริงๆเหรอ ว่าทั้งหมด มันเป็นแผนลวงของพวกข้า”
“เป้าหมายของพวกข้าก็คือตัวท่านอาลูคาร์ด” เจ้าแวมไพร์พูดเสร็จก็ชี้นิ้วไปที่นายอาร์ตที่อยู่ด้านหลัง “ดังนั้นเราจึงต้องเปิดฉากโจมตีอย่างเอิกเกริก เพื่อดึงความสนใจพวกแกให้มาอยู่ที่สงครามข้างนอก แล้วจังหวะนั้นเราก็ค่อยส่งทีมพิเศษลอบเข้ามาค้นหา โดยเป้าหมายแรกก็คือในโบสถ์คาดินัลล์แห่งนี้ แล้วมันก็ได้ผลเห็นไหมล่ะ”
“ทีมพิเศษ ?? แปลว่ามันไม่ได้มาตัวเดียวงั้นเหรอ ต้องรีบฆ่ามันซะก่อนที่มันจะไปบอกตัวอื่น” พรีสที่เหลือต่างชักดาบออกมาทันที แล้วเข้าโรมรัยกับแวมไพร์ตรงหน้าเป็นพัลวัน
“ช้าไปแล้วเว้ย ข้าบอกคนอื่นๆไปตั้งนานแล้ว” เจ้าแวมไพร์หัวเราะอย่างสะใจก่อนที่จะตวัดแส้อีกเส้นออกมารับมือ ทำให้ศึกนี้ท่าจะจบลงไม่ง่ายเป็นแน่
แต่ในขณะที่พรีสและแวมไพร์ต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด คนที่เป็นเป้าหมายอย่างนายอาร์ตก็ถือโอกาสชิ่งหนีไปก่อนแล้ว โดยเป้าหมายของเขา ก็คือการไปรวมกลุ่มในที่ที่มีพรีสเยอะกว่านี้ เพราะนี่น่าจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด แต่ดูท่าความคิดเขาคงจะไม่ง่ายเป็นแน่ เพราะไม่ว่าเขาจะไปทางไหน เขาก็พบเห็นพรีสและแวมไพร์ กำลังจับคู่สู้กันอยู่ตลอดทาง
“คุณอาร์ต ทำไมมาอยู่ตรงนี้ แล้วพรีสคนอื่นๆที่อยู่กับท่านล่ะ” แต่ชั่วขณะที่นายอาร์ตกำลังสับสนว่าจะไปทางไหนดี เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เมื่อเขาหันกลับไปก็พบว่าคนที่เรียกเขาเป็นพรีสสะพายดาบที่แต่งตัวเหมือนกับ พรีสที่อยู่กับเขาเมื่อครู่ ดูท่า พรีสอีก 4 คนนี้ก็เป็นองครักษ์ของแองเจลล่าเหมือนกัน
“พวกเขากำลังสู้อยู่กับแวมไพร์ทางห้องนู้นนะครับ” นายอาร์ตอบกลับพลางชี้ไปตามทาง
“งั้นเหรอครับ” พรีสหนุ่มคนนั้นเอ่ยตอบ แต่สิ่งที่นายอาร์ตไม่ทันสังเกตุเห็นก็คือ พรีสคนนี้แอบทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาชั่วขณะ ที่เห็นพรีสชุดก่อนทำงานพลาด พวกมันจึงคิดที่จะสานต่องานที่ค้างไว้นี้เสียเอง
“คุณอาร์ตมากับพวกเราก่อนดีกว่าครับ เพราะแถวนี้มีแวมไพร์อยู่ มันอันตราย” พรีสทั้ง 4 เอ่ยบอก ซึ่งนายอาร์ตก็รับคำแต่โดยดี แล้วรีบเดินไปหาพวกเขา โดยไม่รู้เลยว่า ตัวเองกำลังเดินไปสู่อันตราย … แต่ก่อนที่นายอาร์ตจะเดินไปถึงนั้น ฉับพลันก็มีเสียงปืนดังขึ้น
ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง ! ปัง !
เหล่าแวมไพร์ปรากฏขึ้นจากไหนไม่รู้ แต่ทันทีที่มันออกมา พวกมันก็ระดมยิงปืนเข้าใส่ร่างพรีสทั้ง 4 นั้นทันที กระสุนจำนวนมากถูกยิงมาเป็นห่าฝน ซัดเอาร่างที่ไม่ทันระวังตัวของพรีสหนุ่มเหล่านั้น จนพรุนเป็นรังผึ้ง สิ้นใจตายต่อหน้าต่อตานายอาร์ต
“พบตัวท่านอาลูคาร์ดแล้ว” แวมไพร์ตนนึงส่งสัญญาณติดต่อไปยังแวมไพร์ตัวอื่นๆ “มากับพวกเราดีกว่าครับท่านอาลูคาร์ด”
“ไม่ !” นายอาร์ตปฏิเสธในทันที พร้อมกับหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทางหนี แต่ไม่ว่าเขามองไปทางไหนก็มีแต่แวมไพร์เต็มไปหมด
“อย่าพยามเลย ท่านอาลูคาร์ด” เจ้าแวมไพร์ตนนั้นเอ่ยต่อ “พวกเราศึกษาโครงสร้างภายในโบสถ์คาดินัลล์แห่งนี้มาจนหมดแล้ว ขอแค่รู้ว่าท่านอยู่ตำแหน่งไหน พวกเราก็สามารถดักทางหนีของท่านได้หมด”
“มากับพวกเราดีๆดีกว่าท่าน” เจ้าแวมไพร์ตนนั้นพูจบก็ยื่นมือออกมา “จะได้ไม่มีใครเจ็บตัว”
นายอาร์ตหน้าตาตื่นเหงื่อไหลเป็นทาง เนื่องจากมองทางไหนก็ไม่เห็นทางออก ไม่แค่นั้น เจ้าพวกแวมไพร์กลับขยับเข้าประชิดตัวเรื่อยๆ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะต้องถูกพวกมันจับกุมตัวเป็นแน่ เมื่อหาทางออกไม่ได้ ก็ต้องหาคนช่วย นั่นคือสิ่งที่นายอาร์ตคิด และคนเขาคิดถึงเป็นคนแรกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
“วิเวียนช่วยด้วยยยยยยยยยยยยย !!”
สิ้นคำของเขา วงกลมสีแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า แล้วชั่วพริบตา ร่างของหญิงสาวผมสีเงินก็ปรากฏตัวขึ้น ทำเอานายอาร์ตถึงกับยิ้มออกมาทันที แต่เขาก็ต้องรับหุบยิ้มลงเมื่อพบว่าหญิงสาวคนรักของเขาได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่ น้อย ในขณะที่วิเวียนก็งุนงงไม่แพ้กัน เพราะในที่นี้คือโบสถ์คาดินัลล์ แต่เหตุใดจึงมีแวมไพร์เต็มไปหมด แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสงสัย เพราะฉับพลันนั้นเธอก็ร่ายเวทย์ทันที
“เคลื่อนตำหนัก !!” วิเวียนตวาดลั่น เหล่าแวมไพร์ที่ยืนรายล้อมพวกเขาโดนพลังเวทย์ซัดกระเด็นไปคนล่ะทิศล่ะทาง เป็นการเปิดทางให้เธอสามารถหลบหนี ว่าแล้วเธอก็ฉุดแขนชายคนรัก แล้วรีบวิ่งหลบหนีออกไป
.
.
.
ในขณะที่นายอาร์ตหนีไปได้ไกลแล้ว แต่พรีส 3 คนแรกที่อยู่กับเขากลับไม่อาจปลีกตัวได้เลย เพราะเจ้าแวมไพร์ที่อยู่ตรงหน้าเขาฝีมือร้ายกาจมาก แม้พวกเขาจะงัดกลยุทธ์แยกโจมตีจาก 3 ด้านพร้อมกัน แต่เจ้าแวมไพร์ก็สามารถสะบัดแส้ในมือรับการโจมตีได้ทั้งหมด
“ไอ้พวกกระจอก ทำได้แค่นี้เหรอว่ะ” เจ้าแวมไพร์ร้องลั่นอย่างสะใจ ก่อนที่มันจะอาศัยจังหวะตวัดแส้เข้าเข้ารุกไล่ใส่พรีสทั้ง 3 กลับ จนพรีสทั้ง 3 คน ต้องถอยร่นอย่างไม่เป็นท่า แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นระหว่างพวกเขากับศัตรูตรงหน้าแจ่มชัดเข้าไปทุกที แถมตอนนี้ พวกเขาถึงกลับถูกไล่ต้อนเข้ามุมอับจนหมดทางหนีเสียแล้ว
เมื่อได้โอกาสเช่นนี้ เจ้าแวมไพร์ย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปแน่ มันร้องลั่นขึ้นมาหนึ่งคำก่อนที่จะตวัดแส้เข้ารับคมดาบทั้ง 3 แล้วกระชากอย่างแรง เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ดาบทั้งหมดหลุดออกจากมือพรีสทั้ง 3 ไปในทันที
“ฮ่าๆๆๆๆ ตายซะ !!” เจ้าแวมไพร์หัวเราะร่าอย่างสะใจ เพราะทันทีที่พรีสทั้ง 3 ไม่มีดาบอยู่ในมือแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะต่อกรตัวเขาได้อีกต่อไป เจ้าแวมไพร์ควงแส้ไปมาเพื่อเพิ่มกำลังให้มากขึ้น เพื่อหวังจะเผด็จศึกในคราเดียว และทันทีที่มันเพิ่มกำลังแส้ขึ้นถึงขีดสุด เจ้าแวมไพร์ก็เงื้อมือขึ้น เพื่อหมายจะลงแส้ไปให้สุดแรง
“เปรี๊ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!”
แต่ไม่ทันที่เจ้าแวมไพร์จะลงแส้ ชั่วพริบตานั้นก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งยิงปืนซ๊อตไฟฟ้าใส่มันจากด้านหลัง เจ้าแวมไพร์ร้องลั่นก่อนจะชักกระตุกไปตามแรงซ็อตด้วยความเจ็บปวด เมื่อเป็นเช่นนี้ พรีสทั้ง 3 ก็ฉวยโอกาส หยิบดาบที่โดนเจ้าแวมไพร์คร่ากุมไปเมื่อครู่ เข้าเสียบจุดตายของเจ้าแวมไพร์พร้อมกัน เมื่อเจอเข้าไปเช่นนี้ เจ้าแวมไพร์ก็สิ้นใจในทันที
“ท่านแองเจลล่า ขอบคุณมากครับ” พรีสทั้ง 3 เอ่ยขอบคุณ หญิงสาวตรงหน้า ที่แท้ เธอก็คือหนึ่งในผู้นำสูงสุดของเหล่าพรีสนี่เอง
“เป็นไง งานสำเร็จหรือยัง” เมื่อเจอหน้า แองเจลล่าก็ถามถึงเรื่องลวงสังหารนายอาร์ตทันที และเมื่อคำตอบที่เธอได้รับกลับมา กลายเป็นว่างานนี้ล้มเหลว แองเจลล่าก็ถึงกลับระงับอารมณ์ไม่อยู่ ฟาดหน้าพรีสทั้ง 3 คนไปคนละฉากใหญ่
“รีบตามไป ยังไงก็ต้องหามันให้เจอก่อนเจ้าพวกแวมไพร์ให้ได้ !!” แองเจลล่าสั่งเสียงเข้ม ก่อนที่เธอจะพาพรีสพวกนั้นออกตามหานายอาร์ตทันที
.
.
.
กลับมาที่นายอาร์ตและวิเวียนที่กำลังหลบหนี แต่เพราะตัวหญิงสาวเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย วิเวียนจึงไม่สามารถหนีไปได้ไกลนัก เธอจึงต้องหาห้องสักห้องเพื่อหลบซ่อน ก่อนที่จะใช้เวทย์รักษา โชคดีที่เวทย์รักษาก็ไม่เกี่ยวกับพลังธาตุ จึงสามารถใช้ได้ในยามนี้ ทำให้แขนที่หักของเธอนั้น ก็ค่อยๆฟื้นสภาพกลับมาเหมือน
“ข้างนอกมีพวกแวมไพร์อยู่เต็มไปหมด เราคงหลบอยู่ในนี้ได้ไม่นานแน่” วิเวียนเอ่ยด้วยความกังวล “ทางเดียวก็คือเราต้องหาโอกาสหนีออกไปจากโบสถ์ก่อนที่พวกมันจะจับได้”
“วิเวียน”
“ค่ะ ?”
“เหมือนครั้งนั้นเลยน่ะ ที่เราเอากันในห้องน้ำน่ะ ตอนนั้นเอาก็หนีมาหลบแวมไพร์แบบนี้” นายอาร์ตเอ่ยตาเชื่อม
“คนบ้า เวลาแบบนี้ยังมาคิดลามกอีกเหรอ” วิเวียนร้องเสียงสูง
“เอ้า ทีคราวนั้นวิเวียนยังเป็นคนเริ่มก่อนเลยน่ะ” คราวนี้นายอาร์ตไม่พูดอย่างเดียว แต่ดึงร่างของหญิงสาวเข้ามาอีกด้วย
“นี่ ~~~ มันไม่เหมือนกานนนนนนน” วิเวียนออกแรงขัดขืนเล็กน้อย แต่นั่นก็ยิ่งทำให้นายอาร์ตกอดเธอกระชับขึ้น จนเธอไม่สามารถขัดขืนได้อีกแล้ว และในตอนนั้นเองที่นายอาร์ตก้มหน้าลงช้าๆเพื่อหมายที่จะประทับรอยจูบลงบน หน้าเธอ
แกร๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !
“มีคนมา !!” วิเวียนร้องเบาๆพร้อมกับผลักร่างนายอาร์ตออก จากนั้นก็หยิบฉวยเอาเศษไม้แถวนั้นมาเป็นอาวุธ ก่อนจะมองลอดออกไปเพื่อดูเป้าหมาย แต่จากจุดที่เธออยู่มันไกลเกินไป ทำให้เธอมองเห็นไม่ถนัด แต่รู้เพพียงว่า พวกมันมีกัน 4 คน
“อาร์ตอยู่ตรงนี้น่ะ” หลังจากร้องบอกชายคนรักแล้ว วิเวียนก็พุ่งทะยานจากจุดที่หลบซ่อนออกไปทันที โดยเป้าหมายก็คือร่างของกลุ่มคนลึกลับที่แอบเปิดประตูเข้ามา แค่พริบตา พรีสสาวก็สามารถเข้าถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเงื้อไม้ในมือ แล้วฟาดลงไปสุดแรง
“อย่า !!” แต่เสียงที่คุ้นหูก็ร้องขึ้นห้าม
“คุณแองเจลล่า !!” วิเวียนร้องลั่นอย่างตกใจ พร้อมกับชะงักมือกลับได้ทันท่วงที “คุณแองเจลล่ามาได้ยังไง”
“ใช่ …. ข้าเอง” แองเจลล่าเอ่ยตอบ “ตอนนี้พวกแวมไพร์บุกมาเต็มไปหมด ข้าเป็นห่วงพวกเจ้า ก็เลยตามมา”
“วิเวียน” เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาไม่ใช่พวกแวมไพร์ แต่เป็นพรีสชั้นสูงอย่างแองเจลล่าและเหล่าองครักษ์ นายอาร์ตก็เลยค่อยๆก้าวมาจากที่ซ่อน โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์
“ตอนนี้ท่านสังฆราชสูงสุดและเหล่าพรีสอาวุโสไม่อยู่ที่โบสถ์ แบบนี้เหล่าต้านพวกแวมไพร์ไม่อยู่แน่ พวกเราต้องรีบหนีได้แล้ว” ทันทีที่พูดจบแองเจลล่าก็คว้าแขนวิเวียนทันที ก่อนจะหันมาสั่งเหล่าองครักษ์ “พวกเจ้าไปคุ้มกันคุณอาร์ตเร็ว”
แต่อากัปกริยาเช่นนี้ของแองเจลล่า กลับทำให้มองเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะปกติแล้ว แองเจลล่าจะเป็นคนที่ถือตัว และไม่ชอบสัมผัสบุคคลอื่นอย่างมาก ดังนั้นเวลาไปที่ไหนเธอก็มักจะมีองครักษ์รายล้อมคอยกันผู้คนอยู่รอบด้าน ดังนั้นอยู่ดีๆคนถือตัวเช่นนี้จะมาจับตัวเธอก่อนมันจึงผิดวิสัย ประกอบกับเมื่อวิเวียนจ้องสบตาเธอกลับไป สายตาที่เธอส่งมานั้นไม่ใช่สายตาของคนที่มาช่วยเหลือ แต่เป็นสายตาของคนที่วางแผนบางอย่าง
.
.
“เปรี๊ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”
.
.
แต่ทันทีที่แองเจลล่าเห็นว่าวิเวียนสงสัย เธอก็ตัดสินใจชิงลงมือก่อนทันที ปืนซ๊อตไฟฟ้ากำลังสูงยิงเข้าใส่ร่างวิเวียนในระยะประชิด พรีสสาวร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวด ก่อนจะล้มทั้งยืนลงไปนอนเกร็งกระตุกกับพื้น
“วิเวียนนนนนนนนนน !!” นายอาร์ตร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
“รออะไรอยู่ล่ะ ฆ่ามันเลยสิ !!” แองเจลล่าตะโกนสั่งดังลั่น พรีสองครักษ์คนนึงที่อยู่ข้างกายนายอาร์ตจึงชักดาบข้างกายออกมา ก่อนที่จะเสียบเข้าท้องนายอาร์ตอย่างจังจนมิดด้าม และทันทีที่มันชักดาบออก เลือดจำนวนมากก็แตกทะลักออกจากบาดแผล เพียงเท่านี้นายอาร์ตก็สิ้นเรี่ยว ทรุดลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น
“ตายซะ อาลูคาร์ด” เจ้าพรีสองครักษ์คำรามลั่น ก่อนจะเงื้อดาบขึ้นเพื่อบั่นคอนายอาร์ตให้ขาดสะบั้น
“อย่า !!!!!!!!!!!!” วิเวียนร้องเสียงหลง แม้ปืนซ๊อตไฟฟ้าจะสร้างความเจ็บปวดให้เธออย่างมาก แต่มันกลับเล็กน้อยไปในทันที กับความเจ็บปวดที่เธอกำลังเห็นชายคนรักโดนสังหารต่อหน้า แต่เธอในตอนนี้ ก็ทำได้เพียงร้องตะโกนลั่นเท่านั้นเอง
.
.
“ฉึกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!”
.
.
แต่ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ดาบซามูไรเล่มหนึ่งก็พุ่งแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง ก่อนจะเสียบเข้ากลางอกตัดขั้วหัวใจเจ้าพรีสองครักษ์ก่อนที่มันจะลงดาบได้แค่ เสี้ยววินาที และนี่ก็คงเป็นภาพสุดท้ายที่มันได้เห็น เจ้าพรีสองครักษ์กระอักเลือดมา 1 คำ ก่อนที่มันจะล้มลง และสิ้นใจตายคาที่
“นังแวมไพร์ !!!” หลังจากที่เธอมองย้อนกลับไป แองเจลล่าตะโกนลั่นอย่างเดือดดาด เพราะคนที่เข้ามาขวางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแค่เพียงแวมไพร์ตัวเมียผมดำดาดๆตัวหนึ่งเท่านั้น
“ฆ่ามันซะ !!” แองเจลล่าตะโกน พรีสองครักษ์ที่เหลืออีก 2 คนก็พุ่งเข้าใส่ทันที ในขณะที่แวมไพร์สาวไม่มีดาบในมือแล้ว เธอจึงจัดการปลดฝักดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอว มาใช้ต่างแทนดาบซะเลย
กลยุทธ์ของพรีสทั้งคู่นั้นก็เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน คนนึงบุกทางซ้ายอีกคนบุกทางขวา โจมตี 2 ด้านพร้อมกันเพื่อหวังให้แวมไพร์สาวตรงหน้าเกิดความสับสน แต่ดูท่ามันจะไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะแวมไพร์สาวกลับพลิ้วกายหลบหลีกเพลงดาบพวกนี้ได้หมด
แต่เธอจะมาช้าไม่ได้ เพราะนายอาร์ตกำลังเสียเลือดมาก ขืนปล่อยไว้เช่นนี้เขาอาจจะตายจริงๆก็ได้ ดังนั้นในขณะที่กำลังพลิ้วกายหลบหลีก เมื่อได้จังหวะ แวมไพร์สาวก็แทงฝักดาบเข้าไปทันที ปลายฝักดาบที่หุ้มเหล็กนั้น แม้มันจะใช้เป็นอาวุธอะไรไม่ได้นัก แต่ถ้าแทงมันเข้าถูกจุดละก็ มันก็สามารถสังหารคนได้เช่นกัน และจุดที่แวมไพร์สาวเลือกแทง ก็คือลูกกระเดือกนั่นเอง
“อ๊อกกกกกก” เจ้าพรีสองครักษ์ที่ถูกแทงร้องออกมาด้วยความทรมานก่อนจะล้มลง ทำให้พรีสที่เหลืออยู่คนเดียวถึงกับร้องลั่นอย่างเดือดดาด แต่ไม่ทันที่มันจะได้ทำอะไรเลย แวมไพร์สาวก็อ้อมไปด้านหลังแล้วใช้มือทั้ง 2 ข้าง หักคอมันดังกร๊อบ สิ้นใจตายไปในทันที
“แก นังแวมไพร์” แองเจลล่าร้องลั่นอย่างโกรธแค้น ที่เห็นองครักษ์ของเธอ ถูกสังหารไปได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นช่นนี้ก็ควรที่เธอได้ออกโรงเสียที แต่อีกใจหนึ่งเธอก็หวั่นๆ เพราะแวมไพร์สาวตรงหน้าสามารถสังหารพรีสองครักษ์ของเธอได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งในตอนนี้ เธอก็ยังใช้เวทย์มนต์ไม่ได้เสียด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ แองเจลล่าก็ตัดสินได้อย่างเดียว นั่นก็คือหนี
แม้พรีสชั้นสูงจะหนีไปแล้ว แต่แวมไพร์สาวก็ไม่คิดที่จะตามล่า เพราะการช่วยชีวิตนายอาร์ตนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เธอจัดการใช้เวทย์รักษาเขาทันที เพียงไม่กี่อึดใจ บาดแผลที่ช่องท้องของเขาก็ปิดสนิท เลือดที่เสียไปมากจนนายอาร์ตถึงกลับสลบก็กำลังถูกเวทย์มนต์สร้างใหม่ออกมา
“เห็นสันดานพวกพรีสหรือยัง ว่ามันกลับกลอกยังไง” แวมไพร์สาวเอ่ยต่อว่า
“เวโรนิก้า” วิเวียนเอ่ยชื่อแวมไพร์สาวตรงหน้าเบาๆ ความรู้สึกของเธอในตอนนี้กลับแปลกประหลาด เพราะที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นศัตรูแท้ๆ แต่ตอนนี้เธอกลับดีใจมากที่เห็นนางมาช่วยชีวิตนายอาร์ตได้ทัน
“แผลเขาใหญ่มากเลยน่ะ นี่ถ้าข้า ‘ตามรอยเขี้ยว’ มาช้ากว่านี้อีกนิด เขาคงตายไปแล้ว” เวโรนิก้าหันมาต่อว่าอีกหนึ่งคำ
ที่แท้ที่เวโรนิก้าตามมาถูก ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ตามรอยเขี้ยว’ นั่นเอง แท้ที่จริงแล้วการดูดเลือดของพวกแวมไพร์นี้มีลักษณะพิเศษอยู่หลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ ถ้าแวมไพร์ตนใดดูดเลือดเหยื่อแล้ว แต่เหยื่อกลับหนีรอดไปได้ แวมไพร์ตนนั้นก็ยังสามารถตามรอยเหยื่อเข้าไปดื่มเลือดที่เหลือต่อได้ เหมือนกับวิเวียนที่โดนกัดไป เวโรนิก้าก็สามารถหาตัวเธอเจอ เรียกได้ว่า รอยกัดของแวมไพร์ ก็คือเครื่อง GPS ชั้นดีนี่เอง
“เวโรนิก้าเรียกแอสการ์ดๆ ตอนนี้ได้ตัวท่านอาลูคาร์ดแล้ว ดำเนินการล่าถอยได้” แวมไพร์สาวพูดผ่านวิทยุสื่อสารขนาดจิ๋วออกไป และเมื่อแอสการ์ดได้รับสัญญาณ ก็ตอบรับในทันที อนุภาคลูบินนอฟที่ปล่อยอยู่ในอากาศได้หยุดลง ฝนที่กระหน่ำตกอยู่นั้นก็หมดไป ทำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้งหนึ่ง
“ย๊ากกกกกกกกก” เมื่อไม่มีอนุภาคลูบินนอฟแล้ว เวทย์มนต์ก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง เวโรนิก้าจึงไม่รอช้าซัดเวทย์ไฟเข้าใส่ผนังจนระเบิดดังลั่น จนผนังหายไปหมดทั้งแถบ กลายเป็นช่องขนาดใหญ่ พอที่เวโรนิก้าจะแบกร่างชายหนุ่มและทะยานหนีไปได้
“หยุดนะ !!” วิเวียนที่กำลังอ่อนแรงเอ่ยร้องห้าม นึกดูแล้วก็น่าตลกตัวเองไม่น้อย ที่เธอในตอนนี้ทำได้แต่ร้องห้ามเท่านั้น
“มาห้ามข้า แล้วเจ้าดูแลเขาได้หรือเปล่า” เวโรนิก้าหันมาตอบทันที “ถ้าดูแลเขาให้ดีไม่ได้ ก็อย่ามาห้าม !!”
“เพราะตัวเจ้าไม่ใช่เหรอ ที่พาเขามาในเมืองนี้ จนเขาถูกพวกพรีสทำร้ายปางตาย ถ้าขืนปล่อยเขาไว้กับเจ้าแบบนี้ ครั้งต่อไปเขาได้ตายจริงๆแน่” เวโรนิก้าพูดแล้วก็หันหลังกลับไป “ถ้าเจ้าไม่อยากให้เขาถูกฆ่าตาย ก็ปล่อยเขาไปกับข้าดีกว่า”
“ไม่นะ” วิเวียนร่ำร้องอยู่ภายในใจ เมื่อเห็นแวมไพร์สาวตรงหน้ากำลังพาชายคนรักเธอจากไป ถ้าเป็นยามปกติเธอคงพยามขัดขวางเต็มกำลังไปแล้ว แต่คำพูดขอแวมไพร์สาวเมื่อครู่มันเสียดแทงหัวใจของเธอเหลือเกิน มันจริงอย่างที่นางว่าทุกอย่าง เพราะความจริงนั้นเธอก็รู้ดี นายอาร์ตอยู่กับเธอก็อาจจะโดนพรีสคนอื่นทำร้าย และถ้าเขาไปอยู่กับแวมไพร์ เขาอาจจะปลอดภัยมากกว่า
ดังนั้นเธอควรจะทำอย่างไรดี จะขัดขวางหรือปล่อยเขาไป
เธอไม่รู้เลยจริงๆ
หญิงสาว ทำได้แต่เพียงร่ำไห้ด้วยความอัดอั้น และมองดูชายคนรัก ทะยานหายลับตาไป
.
.
.
.
<จบตอน>