Home Post 4579-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-72-%e0%b8%9c%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b6%e0%b9%88%e0%b8%87

4579-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-72-%e0%b8%9c%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b6%e0%b9%88%e0%b8%87

ชายหนุ่มค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมองดูหลอดไฟบนเพดานห้องที่อยู่ในความมืดขมุกขมัว ดวงตาคมกล้าคู่นั้นหรี่มองหลอดไฟแบบขดกลมในห้องเนิ่นนานด้วยความรู้สึกหลากหลาย เนื่องจากเขามิได้เห็นสิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่เช่นนี้มาเนิ่นนาน ภายในโลกแห่งจิตที่เขาแวะเข้าไปฝึกฝนนั้นเป็นโลกสมัยเก่าในความทรงจำแต่ปางก่อน สถานที่ในนั้นยังคงเปี่ยมไปด้วยความดิบเถื่อนและความโบราณดึกดำบรรพ์

เขาจ้องมองหลอดไฟอยู่ครู่ใหญ่ราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน ในห้องมีเพียงแสงแดดสาดลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาจนสว่างไสว กระทั่งเมื่อเขาเหลือบมองไปทางนาฬิกาข้างผนังเขาจึงค่อยทราบว่านี่เป็นเวลาเกือบเกือบแล้ว

สิ่งถัดมาที่เขารู้สึกได้ก็คือกลิ่นหอมกรุ่นของเรือนกายสตรีที่ยังตกค้างอยู่ภายในห้อง สัมผัสอันละเอียดบ่งบอกว่านั่นเป็นกลิ่นของหญิงสาวหกคน เพียงแต่เวลานี้ในห้องไม่มีใครอีก นอกจากเขาเพียงลำพัง

‘อยู่ในนั้นนานจนเกือบลืมไปเลย ถึงข้างนอกนี่จะเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง แต่เราก็อยู่ในนั้นตั้งสองปีนี่นะ แต่นี่ก็ห้องเราจริง ๆ นั่นแหละ’

เอกหลับตาอีกครั้งเพื่อปล่อยสัมผัสพลังวิญญาณเพื่อสำรวจรอบด้านตามความเคยชินที่ฝึกฝนมา เขาครุ่นคิดในใจ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา เมื่อพบว่านี่สมควรจะเป็นห้องพักของเขาจริง ๆ เพียงแต่แฟนสาวทั้งหลายของเขาไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว

เขาตรวจพบวิญญาณสังกัดธาตุดินของนางตะเคียนลอยอยู่ในห้องถัดไป ส่วนวิญญาณเด็กสองดวงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วนั้นอยู่ห่างออกไปอีกทาง สองเด็กน้อยทำท่าเหมือนกำลังพยายามจะเล่นซ่อนแอบกับเขาอยู่ ซึ่งเขาขี้คร้านจะสนใจละเล่นในเวลานี้

‘ทำไมรู้สึกเหมือนห้องมันใหญ่ขึ้น?’

เอกถามไถ่ตัวเองในความคิดขณะค่อย ๆ ยันร่างลุกขึ้นยืน ความเมื่อยขบทำให้เขาต้องขยับแขนขาเพื่อยืดกล้ามเนื้อ จากนั้นเขาก็ต้องชะงักไปวูบใหญ่เมื่อพบว่ามุมมองของตนเองดูจะแปลกประหลาดไป ทั้งที่ยืนตรงแล้ว แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองต่ำเตี้ยลง แม้แต่แขนขาที่ขยับเพื่อยืดกล้ามเนื้อก็ดูเหมือนจะหดเล็กลงกว่าปกติ

‘เอ๊ะ … เดี๋ยวนะ!!! อะไรบางอย่างมันแปลก ๆ’

เขาเริ่มขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกตะหงิดในอะไรบางอย่าง แล้วเริ่มครุ่นคิดถึงคำเตือนของนางตะเคียนที่เคยบอกว่า การฝึกปรือโดยขาดสังกัดธาตุใดธาตุหนึ่งอาจจะทำให้เกิดผลกระทบบางอย่างเมื่อ กลับมาจากการฝึก และเขาคิดว่านี่อาจจะเป็นสิ่งที่เธอพยายามบอก

ความรู้สึกแตกตื่นทำให้เขารีบพุ่งโถมร่างเข้าไปในห้องน้ำเพื่อมองดูร่างตนเองผ่านกระจกเงา และวินาทีนั้นเองที่เขาต้องเบิกตากว้าง ปากอ้าตาค้างพูดอะไรไม่ออก!!!

‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า’

‘คิก คิก’

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะทางจิตสามเสียงของวิญญาณเด็กชายสองคนและของหนึ่งหญิงสาวก็ดังลั่นห้องน้ำ เด็กน้อยรักยมมุดโผล่พรวดออกมาจากเพดานห้องน้ำ ในขณะที่ร่างวิญญาณของนางตะเคียนเดินเข้ามาทางประตูอย่างสง่าผ่าเผย แต่ใบหน้าของวิญญาณทั้งสามนั้นล้นแล้วแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกขบขันอย่างที่สุด

‘แบบนี้ไม่ตลกนะ รีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้’

เอกขมวดคิ้วไม่มีอารมณ์จะขบขันด้วย จึงส่งกระแสจิตด้วยอารมณ์เคร่งเครียดไปยังเด็กทะโมนทั้งสองและนางตะเคียน แต่ว่าวิญญาณทั้งสามกลับยังคงหัวเราะร่วนถูกอกถูกใจกันอีกพักใหญ่ แล้วจึงค่อยเริ่มสนทนาด้วย

‘คิก คิก อย่าเครียดนักเลยน่า ข้าชอบออกนะร่างนี้น่ะ น่ารักจุ๋มจิ๋มดี แต่ยกเว้นตรงส่วนนั้นนะ ใหญ่เบ้อเร้อเบ้อร่าเกินตัวไปหน่อย คิก คิก’

‘แหม ๆ แบบนี้พวกหนูก็เรียกว่าพ่อไม่ได้แล้วซิ ตัวโตกว่าพวกหนูแค่นิดเดียวเอง งั้นขอเรียกว่าพี่แทนได้มั้ยจ๊ะ พี่ชายจ๋า’

‘หยุดเลยทั้งสามนั่นแหละ ถ้ายังไม่ยอมบอกดี ๆ จะจับใส่ขวดแล้วไปขังในช่องแช่แข็งสักสิบวัน’

เอกส่งเสียงกร้าวด้วยความหงุดหงิด ขณะที่สายตายังคงมองดูเงาร่างของตนเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกเงาโดยไม่วางตา

‘คิก คิก เอาเถอะ ข้าจะอธิบายให้ฟังก็ได้เจ้าหนุ่มยอดรักของข้า … นี่เป็นเพราะว่าพิธีกรรมที่พวกเราทำขึ้นมามันไม่ครบสมดุลย์ทั้งเจ็ดธาตุ’

‘อืม เรื่องนั้นรู้อยู่แล้ว แต่ไม่เห็นบอกกันเลยนี่ว่าจะส่งผลกระทบกันแบบนี้’

‘ฟังก่อนซิอย่ารีบร้อน … การทำพิธีกรรมของเรานั้น ใช้ฝ้ายเป็นสื่อธาตุวิญญาณ หญิงเป็นสื่อธาตุแสง เมย์เป็นสื่อธาตุความมืด ฟ้าเป็นสื่อธาตุไฟ ฝนเป็นสื่อธาตุลม หนูมายด์เป็นสื่อธาตุน้ำ ซึ่งนี่ถือว่าสมบูรณ์แล้ว แต่ว่าพวกเราไม่มีสื่อของธาตุดินที่แท้จริง ข้าจึงต้องเข้าไปอุดช่องว่างนี้ไว้’

‘แล้วก็อุดไม่สำเร็จ?’

‘ไม่เชิง … เพราะพิธีกรรมถือว่าสำเร็จแล้ว พวกเราสามารถส่งเจ้าไปยังโลกนั้นได้ และชักนำให้กลับคืนมาได้ ในนั้นมีมิติกาลเวลาที่บิดเบือนรวดเร็วยิ่ง เจ้าจึงสามารถฝึกฝนวิชาฝีมือได้เป็นปี ทั้งที่เวลาในโลกแห่งกายหยาบเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง’

‘ไม่เชิง ก็แสดงว่ามีข้อผิดพลาด’

‘นี่ไม่ใช่ข้อผิดพลาดหรอกพ่อหนุ่มยอดรัก เพราะพวกเรารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดผลกระทบอะไรบางอย่างชั่วคราว เช่นอาจจะใช้พลังระดับสูงไม่ได้สักระยะหนึ่ง แต่ว่าพวกเราไม่ทันนึกว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น’

‘เอาเถอะ สรุปว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ต้องทำยังไงถึงจะแก้ไขได้?’

‘ในตำราโบราณ กล่าวไว้ว่า หากเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ ก็แค่เพียงไปนอนพักทำสมาธิสักสี่หรือห้าวันเพื่อฟื้นฟูสมดุลย์ในร่างกาย แล้วทุกอย่างจะเป็นเช่นเดิมเอง’

นางตะเคียนตอบพลางพาร่างวิญญาณมาลอยวนสำรวจร่างกายของเอกด้วยแววตาวิบวับ คล้ายขบขัน คล้ายชื่นชม

เอกได้ยินเช่นนั้นก็ทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก การอยู่ในสภาพร่างกายเช่นนี้ยังพอทน แต่ว่าเขาทดลองร่ายผนึกมนตราแล้วกลับไม่สามารถทำได้แม้แต่คาถาที่เป็นระดับกลาง นั่นจึงหมายความว่าเขาจะไม่สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถาระดับสูงในโลกแห่งกายหยาบได้ หากยังไม่ได้คืนสู่สมดุลย์

‘ก็ยังดี … อืม งั้นเดี๋ยวรีบออกไปก่อนดีกว่า ถ้าโดนสาว ๆ เห็นร่างนี้เข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอา … ออกไปแล้วก็หาที่นอน แล้วค่อยส่งข้อความบอกว่าติดธุระด่วนก็น่าจะได้’

‘คิก เจ้าคิดตื้นเกินไปแล้ว อยู่ดี ๆ เจ้าจะหายหน้าหายตาไปตั้งหลายวัน คิดหรือว่าผู้หญิงของเจ้าจะไม่ร้อนรนเป็นห่วง’

‘… อืมมม … เรื่องนั้น … ไม่เป็นอะไรมั้ง ให้พี่แก้ว หรือรักยม ร่ายมนตร์อะไรบางอย่างก็น่าจะได้’

‘นี่ก็ยังคิดตื้นไปอยู่ดี เพราะว่าพวกเราใช้พลังเวทย์ผ่านร่างกายของเจ้า แต่ว่าร่างกายของเจ้ากลายเป็นแบบนี้ พวกเราจึงทำอะไรไม่ได้ และอีกอย่างพวกเราหมดพลังไปกับพิธีกรรมแล้ว คงต้องพักผ่อนสักหลายวัน’

‘งั้นช่างเหอะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยนึกหาข้ออ้างอะไรก็ว่ากันไป น่าจะไม่มีอะไรมาก’

‘อ๊ะ เดี๋ยวก่อน เจ้าลืมอะไรไปอย่างนึงกระมัง’

‘ลืมอะไร?’

‘คิก คิก ก็ตอนนี้เจ้าตัวแค่นี้ จะหาเสื้อผ้าที่ไหนใส่ออกไปข้างนอกล่ะ?’

เสียงทักท้วงกลัวเสียงหัวเราะของนางตะเคียนทำให้เอกชะงักงันไปวูบใหญ่ เพราะนี่เป็นปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ต้องรีบหาทางแก้ไข

เขาหันไปมองดูเงาร่างของตัวเองในกระจกอีกครั้ง แต่ไม่ว่ามองอย่างไร ตอนนี้เขาคงไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าของเขาเข้าไปได้ เพราะว่าตอนนี้เขาตัวเล็กลง ความสูงก็ลดลงไป ใบหน้าก็ดูเด็กกว่าเดิม หรือหากพูดให้ชัดก็คือ ร่างกายของเขาเหมือนจะกลายเป็นเด็กผู้ชายอายุราวสิบสิบสี่สิบห้าขวบนั่นเอง!!!

ปัญหาที่ดูเหมือนไร้สาระนี้สร้างความหนักใจจนเขารู้สึกอับจนปัญญา ทั้งที่อุตส่าห์ผ่านการฝึกนรกโหดหินมาได้ ผ่านสงครามอันโหดร้ายกับพวกอมนุษย์มาอย่างสวยงาม แต่กลับต้องมาตายน้ำตื้นกับปัญหาเล็กน้อยแบบนี้

‘พ่อก็ไปหาเสื้อผ้าของพี่เมย์ซิจ๊ะ ขนาดรูปร่างใกล้เคียงกันเลย’

ยังดีที่รักยมช่วยเสนอทางออกให้ เขาจึงยื่นมือไปลูบหัวแล้วยิ้มออกมาได้ และไม่ต้องรอคอยให้เสียเวลา เขารีบเดินย่องกลับเข้าไปในห้อง หยิบเอากระเป๋าเงิน โทรศัพท์ และพวงกุญแจ แล้วรีบย่องออกไปยังห้องของเมย์และมายด์โดยมีเป้าหมายที่จะหาเสื้อผ้ามาสวมใส่สักตัว

เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้กลับต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ เพราะว่าเสื้อผ้าของเมย์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อแฟชั่นน่ารักเหมาะกับเด็กผู้หญิง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำใจหยิบยืมมาสวมใส่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่จำใจเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง แล้วรื้อควานหาเสื้อยืดสีขาวหม่นเก่าเก็บมีรอยขาดเล็กน้อยขึ้นมาสวมใส่

นั่นเคยเป็นเสื้อตัวเก่งของเขาในวัยเด็กที่เขาชื่นชอบที่สุด เพราะนอกจากจะมีรูปหนุมานบนเสื้อแล้ว มันยังเป็นเสื้อที่เด็กสาวซึ่งเป็นรักแรกเคยซื้อให้สมัยที่เขายังอาศัยอยู่วัดกับหลวงตา นอกจากนี้ก็ยังมีกางเกงขาสั้นที่มาด้วยกัน แต่ที่ย่ำแย่ก็คือเขาไม่สามารถหากางเกงในมาสวมใส่ได้

‘เรื่องกางเกงในช่างมันก่อนล่ะกัน สาว ๆ น่าจะใกล้เลิกเรียนกับเลิกงานแล้วกลับห้องกันแล้ว คงต้องรีบไปล่ะ … ไปนอนที่อพาร์ทเม้นท์เก่าดีกว่า ดีนะที่ยังเช่าทิ้งไว้ ไม่ได้คืนห้องไป’

‘จ้ะ พ่อไปพักผ่อนได้เลย หนูจะกลับไปฟื้นพลังในตุ๊กตาไม้ ส่วนป้าแก้วก็เข้าไปอยู่ในจี้ห้อยคอของพ่อ พวกหนูจะขอนอนฝันหวานสักสองสามวันล่ะนะ’

‘อืม พักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาเยอะแล้ว … เอ๊ะ เดี๋ยวนะ … ฝันงั้นเหรอ ชิบล่ะซิ!!!’

เมื่อพูดถึงเรื่องความฝัน เอกก็ส่งกระแสจิตโพล่งออกมาด้วยความแตกตื่น สองเด็กน้อยรักยม และนางตะเคียนจึงพากันหันมามองด้วยความแปลกประหลาดใจ

ถึงตอนนี้เอกจึงค่อยรู้ว่ารักยมและนางตะเคียนไม่ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่าง ที่เกิดขึ้นขณะเขาฝึกฝน จึงไม่รู้เรื่องของภูติฝันที่ชื่อราตรี และนั่นเองคือปัญหาใหญ่ที่เขาเพิ่งนึกได้

ก่อนหน้านี้เขาอาศัยวิชาอาคมที่แก่กล้ากว่าเอาตัวรอดมาได้เรื่อย ๆ แต่ก็มีอยู่หลายครั้งที่แทบพลาดท่า เพราะการอยู่ในความฝันนั้นทำให้สติไม่ค่อยสมบูรณ์นัก จึงมักจะโดนยัดเยียดหรือปิดกั้นความทรงจำบางอย่างจนสับสนปั่นป่วนไม่สามารถ ป้องกันตัวเองได้

ยกตัวอย่างเช่นครั้งล่าสุด เธอดึงเอาความทรงจำช่วงที่เขายังไม่ได้รับรักยมมาทำให้เขาหลงเชื่อ จึงลืมเลือนว่าสามารถใช้มนตราได้จนเกือบพลาดท่า

ราตรีนั้นมีพลังอำนาจเฉพาะเมื่อเขาอยู่ในสภาวะหลับฝัน แต่ว่าตอนนี้เขากลับมาอยู่ในกายหยาบเช่นเดิม จึงไม่แน่ใจนักว่าจะทำให้เกิดปัญหาต่อการใช้คาถาอาคมในฝันหรือไม่ และหากว่าเขาไม่สามารถใช้ได้ ก็คงไม่แคล้วต้องโดนราตรีจัดการจนหมดทางสู้ … นี่จึงหมายความว่า จนกว่าจะฟื้นพลังกลับมาได้ เขาจะต้องห้ามนอนหลับเด็ดขาด!!!

รักยมและนางตะเคียนแสดงสีหน้าหนักใจเมื่อเอกเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะในตำราเวทย์ระบุให้นอนพักผ่อนเพื่อปรับสมดุลย์ แต่ว่าหากนอนพักผ่อนไม่ได้ แล้วควรจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปัญหา และยังดีที่เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง สองเด็กน้อยรักยมก็ส่งเสียงโพล่งออกมาพร้อมกัน

‘พวกหนูนึกออกแล้ว!!!’

‘นึกอะไรออก’

‘นึกถึงการปรับสมดุลย์ … การนอนเป็นหนึ่งในวิธีปรับสมดุลย์ธาตุ แต่ว่าไม่ใช่แค่วิธีเดียว’

คำบอกเล่าของรักยมทำให้เอกรู้สึกคักคักขึ้นมาอักโข เขาจึงรีบปรี่เข้าไปเพื่อรับฟังคำเสนอแนะ

‘การปรับสมดุลย์นั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย หากขาดธาตุไหน ต้องรีบหาธาตุนั้นมาเสริม เมื่อเสริมจนเพียงพอ ก็ให้เริ่มย้อนทวนสี่ธาตุพื้นฐานตามลำดับ แล้ววกไปที่สามธาตุใหญ่ ห้ามผิดพลาดลำดับเด็ดขาด ไม่งั้นความปั่นป่วนอาจจะรุนแรงกว่าเดิม’

‘… ทำแบบนั้นก็ได้เหรอ?’

‘ใช่จ้ะพ่อ เริ่มจากหาธาตุดินมาเติมเต็มก่อน จากนั้นให้ไล่ย้อนทวนไปที่ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ พอครบสี่ธาตุพื้นฐาน ก็ให้ไปหาธาตุวิญญาณ ความมืด แล้วก็ธาตุแสง ตามลำดับ … พ่อจ๋า พวกหนูเหนื่อย ไม่ไหวแล้วจ้ะ ต้องขอตัวไปพักผ่อนแล้ว’

เอกส่งเสียงอืมคำหนึ่ง แล้วโบกมือลาสองเด็กน้อยรักยม และนางตะเคียน วิธีนี้ดูจะเป็นไปได้ ที่รักยมบอกว่าหาธาตุมานั้น ก็คือการไปร่วมรักกับผู้หญิงที่มีธาตุนั้น ซึ่งความจริงผู้หญิงที่มีธาตุหาได้ไม่ง่ายนัก แต่ว่ารอบตัวของเขามีครบหมดแล้วห้าธาตุ ขาดก็แต่ธาตุดินซึ่งน่าจะพอหาที่มีเล็กน้อยมาชดเชยได้ เพราะแม้จะใช้มนตร์คาถาไม่ได้ แต่ก็ยังมีสัมผัสกับธาตุและมนตราอยู่

และเมื่อนึกถึงปัญหาใหญ่ เขาก็ต้องเคร่งเครียดอีกครั้ง เพราะว่าตอนนี้เขาไม่สามารถใช้มนตราระดับสูงได้ แล้วอยู่ดี ๆ จะให้ไปขอมีอะไรกับใครง่าย ๆ ได้อย่างไร หรือแม้แต่พวกสาว ๆ ในสังกัดก็ใชว่าจะยอมให้ร่างเด็กของเขามีอะไรด้วย เพียงแค่นึกภาพว่าต้องไปหลอกฟันฝ้ายหรือน้องหญิงในร่างกายเด็กแบบนี้แล้วก็ ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเป็นไปไม่ได้ ยิ่งนึกว่าต้องทำเรื่องราวเหล่านี้โดยไม่ให้เผลอนอนหลับไปเสียก่อนก็ยิ่ง เคร่งเครียดจนแทบยอมยกธงขาว

อย่างไรก็ตามนี่กลับเรื่องท้าทายประการหนึ่งที่เขารู้สึกอยากทดลองทำ หากสามารถทำให้พวกเธอยอมมีอะไรกับเขาในร่างเด็กได้คงให้ความรู้สึกที่แปลก ประหลาดออกไป และเมื่อคิดเช่นนี้ พรสวรรค์ทางด้านเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ก็เริ่มทำงาน แผนการณ์อันหลากหลายจึงกลายเป็นพรั่งพรูออกมาจนเขายิ้มกริ่มและส่งเสียง พึมพำแผ่วเบา ก่อนจะเดินออกจากห้องพักไปในสภาพของเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชังคนหนึ่ง

‘ยังดีนะ ที่มีท่าไม้ตายอยู่สองสามอย่าง แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องใช้ของที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือนี่แหละ … คอยก่อนนะน้องหญิง เดี๋ยวจะรีบไล่เก็บให้ครบ แล้วจะรีบกลับมาจัดหนักให้หายคิดถึง’

…………………………………………

“เอาล่ะ อันดับแรกก็หาสาวธาตุดินก่อนซินะ …”

[post] เอกเพิ่งกดส่งข้อความบอกสาว ๆ ว่าเขามีธุระต้องหายไปตัวสามสี่วัน จากนั้นก็หันมาพูดพลางคิดวางแผนการให้แก่ตัวเองขณะเดินออกจากคอนโด แรกสุดนั้นเขาคิดจะขับรถยนตร์ไปเอง แต่เมื่อคิดไปว่าการอยู่ในสภาพของเด็กชายอายุไม่ถึงสิบห้าขวบปีนั้นย่อมทำ ให้เขาไม่มีใบขับขี่ที่ถูกต้อง และคงต้องกลายเป็นเรื่องยุ่งยากพอดูหากต้องเจอเข้ากับด่านตรวจจราจร

เขากำลังครุ่นคิดอยากไปหาหญิงสาวธาตุดินเพื่อทำการปรับสมดุลย์ และในรายการผู้หญิงธาตุดินที่เขารู้จักมักคุ้นนั้นตอนนี้ก็มีอยู่ด้วยกันสาม คนด้วยกัน อันได้แก่น้องเนยเพื่อนของน้องหญิงที่เขาเพิ่งจัดหนักไปหนึ่งรอบ หรือไม่ก็กระแตดาราสาวนมโตที่เพิ่งแยกจากกันตอนไปทะเล และอันดับสุดท้ายก็คือแพรนางแบบสาวนมโตผิวสีน้ำผึ้ง

สามสาวธาตุดินนี้น่าจะพอช่วยเขาปรับสมดุลย์ธาตุได้บางส่วน เพียงแต่เขาทราบดีว่าปริมาณธาตุที่พวกเธอมีนั้นยังไม่มากเทียบเท่ากับระดับ ที่สาว ๆ ในสังกัดของเขามี หรือหากพูดให้ชัดก็คือ นอกจากสามคนแรกแล้ว เขาอาจจะต้องเฟ้นหาสาวธาตุดินอีกสักสองถึงสามคนจึงจะสามารถเสพกามซึมซับพลัง ธาตุดินได้เท่ากับสาว ๆ ในสังกัดของเขาหนึ่งคน แต่นี่ยังมีเวลาให้ครุ่นคิด

สิ่งที่ต้องคิดเป็นอันดับแรกในตอนนี้ก็คือจะพุ่งเป้าไปที่ใครก่อนในสามสาว ซึ่งหากพิจารณาตามนิสัยและความน่าจะเป็นแล้ว แพรน่าจะเป็นคนที่ง่ายที่สุด เขาอาจสามารถวางแผนล่อลวงบางอย่างเพื่อกระตุ้นให้สาวผิวสีน้ำผึ้งคนนี้เกิด อารมณ์อยากมีเซ็กส์กับเด็กชายวัยสิบห้าเช่นเขาได้ไม่ยากนัก เพียงแต่ปัญหาก็คือตอนนี้เธอน่าจะยังไม่กลับมาที่กรุงเทพ

ส่วนกระแตนั้นน่าจะยุ่งยากสักหน่อย เธอไม่ได้เป็นสาวฟรีเซ็กส์อย่างแพร การจะหลอกล่อให้ยอมมีอะไรกับร่างเด็กชายนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องง่าย และเวลานี้เธอก็สมควรจะยังไม่กลับมาที่กรุงเทพเป้าหมายนี้จึงตกลงไปก่อน

ส่วนน้องเนยเพื่อนน้องหญิงที่เขาอาศัยมายามนตร์หลอกล่อจนได้ครอบครองนั้นจะ ว่ายากก็อาจจะยาก หรือจะว่าง่ายก็อาจจะง่าย เพราะเธอนับเป็นสาวยุคใหม่ที่ยึดถือเรื่องเปิดเผยเรือนร่าง แต่การที่เธอยังสามารถครองความบริสุทธิ์ผุดผ่องเอาไว้ได้จนถึงมือเขานั้น ย่อมหมายความว่าเธอไม่ได้เป็นพวกฟรีเซ็กส์เหมือนกับแพร

เมื่อครุ่นคิดไปอีกระยะหนึ่ง เอกก็ตั้งเป้าหมายไปที่น้องเนยก่อน เพราะเขาพอจะจำได้ลาง ๆ ว่าเขาทิ้งให้เธอนอนในห้องของฟ้าที่หอพักมหาลัย และนี่ก็เพิ่งจะฟ้าสาง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่เธอจะยังนอนซมสลบเหมือดอยู่ในนั้น และหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขาก็จะได้ฉวยโอกาสลักหลับไปเสียเลย ส่วนแพรกับกระแตนั้น เขากะว่าจะส่งข้อความนัดแนะพวกเธอให้มาหาเขาเมื่อพวกเธอกลับบ้าน

จิตใจของเขาปรอดโปร่งขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้กำหนดแผนการขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอันบ้างแล้ว กระทั่งฝนเริ่มตกพรำลงมาแผ่วเบา เขาจึงยกมือขึ้นบังศีรษะแล้วรีบจ้ำเท้าตั้งใจจะไปในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน หากทว่าเวลานั้นเองที่เขามองเห็นกระเป๋าสตางค์ใบเล็กใบหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงไปบนพื้น นั่นมาจากกระเป๋าถือของหญิงสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเดินสวนกันไป เขาไม่ทันมองใบหน้าของเธอคนนั้น แต่ก็ยังรีบโผตัวไปคว้ากระเป๋าใบนั้นด้วยความเร็วได้ทันก่อนที่มันจะหล่นลงไปบนพื้น

เอกมองกระเป๋านั้นด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง หากทว่านึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน เขาจึงหันไปมองด้านหลังของนักศึกษาสาวคนนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่รู้ตัวว่าทำกระเป๋าเงินตก และนั่นคงเป็นเพราะว่าเธอกำลังเร่งฝีเท้าเดินจ้ำหลบฝนเข้าไปในคอนโด

“พี่สาวครับ ทำกระเป๋าเงินหล่นแน่ะ”

เขาส่งเสียงเรียกพลางวิ่งเข้าไปใกล้เพื่อยื่นคืน และเมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ร่างโค้งเว้าสวยงามนั้น ความรู้สึกคุ้นเคยก็ยิ่งทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว และกลายเป็นเบิกตากว้างด้วยความคาดไม่ถึงเมื่อหญิงสาวที่สวยงามดุจเทพธิดาจำแลงผู้นั้นหันหน้ามา … เพราะนั่นคือใบหน้าของผู้หญิงที่เขาคิดถึงมากที่สุดในช่วงเวลาอันยาวนานของการฝึกฝน

“… ว้าย หล่นไปเมื่อไหร่เนี่ย … ขอบใจนะจ๊ะ … เอ๊ะ …”

นักศึกษาสาวที่เต็มไปด้วยความเสน่ห์ของความงามและความยั่วเย้านั้นหันมามองดูสิ่งที่เขายื่นให้ ก่อนจะลองค้นดูกระเป๋าถือของตนเองแล้วส่งเสียงร้องว้ายออกมา และเมื่อเธอรับกระเป๋ากลับคืนไปแล้วมองดูใบหน้าของเขา เธอก็เกิดอาการชะงักวูบ เพราะโดนสายตาที่เปี่ยมด้วยอารมณ์หลากหลายลึกซึ้งของเด็กชายคนนั้นสะกดจนนิ่งอึ้งไป

ในความแตกตื่นนั้นเอกแทบจะโผเข้าไปกอดร่างของหญิงสาวเบื้องหน้าให้หายคิดถึง หากยังดีที่สามารถยับยั้งอารมณ์ตนเองลงได้ก่อน เพราะนั่นคือน้องหญิงหนึ่งเดียวที่ประทับตราตรึงอยู่ในไม่รู้ลืม พริบตานั้นอารมณ์ความรู้สึกรัก และโหยหาได้ปรากฎออกมาทางดวงตาที่คมกล้าคู่นั้น นั่นคือแววตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักเท่าที่ชายคนหนึ่งจะพึงมีได้

น้องหญิงย่อมไม่ทราบว่าเด็กชายวัยสิบห้าสิบหกที่อยู่เบื้องหน้าคือใคร หากทว่าแววตานั้นกลับสะกิดอารมณ์จนนึกถึงพี่เอกที่เธอรัก แววตานั้นไม่คล้ายกับแววตาของเด็กชาย หากทว่าเป็นแววตาของชายหนุ่มที่สามารถหลอมละลายหญิงสาวคู่รักได้โดยไม่ต้องกล่าววาจา แม้ว่าเธอจะไม่รู้จักเด็กชายคนนี้ แต่เธอเองก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจจนร้อนผ่าวขึ้นมาจากภายใน

น้องหญิงยกมือขึ้นแนบอกซึ่งกำลังเต้นระรัวเร็ว ยิ่งจ้องมองเด็กชายก็ยิ่งรู้สึกถึงสายใยผูกพันธ์บางอย่าง หากทว่าเธอกลับไม่สามารถนึกออกว่าเด็กชายนั้นคือใคร เธอเพียงรู้สึกว่าใบหน้าและแววตาของเด็กชายดูจะคล้ายคลึงกับพี่เอกของเธออยู่บ้าง หรือหากจะบอกว่าเป็นน้องชายเธอก็อาจจะเชื่อ หากทว่ามันยังมีอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยยิ่งกว่านั้น

เธอเผลอนึกถึงภาพอันลางเลือนของเด็กชายคนหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ทราบว่าเด็กชายคนนั้นคือใคร หรือเคยเจอกันเมื่อไหร่ และเมื่อมองเห็นเสื้อยืดสีขาวโลโก้หนุมานที่ซีดจางบนหน้าอกแล้ว เธอก็ขมวดคิ้วรู้สึกเหมือนเคยเห็นเสื้อตัวนี้มาก่อน เพียงแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เธอจึงยิ้มให้เด็กชายแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา

“เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าจ๊ะ?”

“… เอ่อ … น่าจะไม่เคยนะ”

เสียงหวานใสของน้องหญิงทำให้สติของเอกหวนคืนมา เขายิ้มให้เธออย่างฝืน ๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเหม่อลอย เพราะยังจมอยู่กับความรู้สึกโหยหาที่ไม่อาจแสดงออกมาได้

“… แปลกจัง แต่ว่าพี่รู้สึกคุ้นหน้าน้องมากเลยนะเนี่ย … ว้าย ฝนตกหนักแล้ว”

น้องหญิงนิ่งไปวูบหนึ่ง เธอยังคงไม่คลายจากความสงสัยจึงพยายามถามเพิ่มเติม แต่เวลานั้นฝนที่ตกพรำ ๆ ก็ได้กลายเป็นฝนเม็ดใหญ่หนาหนักราวกับฟ้ารั่ว และยังไม่ทันจะได้คิดอะไร มือของเธอก็โดนเด็กชายคว้าแล้วจูงเข้าไปยืนเบียดกันอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะในสภาพเปียกปอน

เสียงฟ้าร้องกระหน่ำผสานกับเสียงลม และเสียงสาดซัดของสายฝนกลบซึ่งเสียงของทุกสรรพสิ่ง สถานที่ใจกลางเมืองซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คนกลายเป็นขาวโพลนมองไม่เห็นผู้ใด ผู้คนต่างวิ่งหาสถานที่หลบฝนอย่างชุลมุนวุ่นวาย หลงเหลือไว้ก็แต่นักศึกษาสาวและเด็กชายคู่หนึ่งที่รู้สึกราวกับอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในตู้โทรศัพท์แห่งนี้

แม้จะหนาวเย็นจากความเปียกปอน หากทว่าความอบอุ่นจากเด็กชายที่คว้าจับข้อมือทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย นั่นเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับมีคนรู้ใจคอยปกป้องเคียงข้าง เธอรู้สึกราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายหรือโลกแตกสลาย มือข้างนี้ก็จะคว้าจับเธอไว้โดยไม่ยอมปล่อยออกแม้แต่วินาทีเดียว

“เอ่อ … ขอบใจนะจ๊ะ … ปล่อยได้แล้วจ้ะ”

น้องหญิงส่งเสียงทักท้วงพลางออกแรงดึงให้มือตนเองออกจากการจับกุมของเด็กชาย หากทว่าเวลาเดียวกันนั้นหัวใจของเธอกลับเต้นระรัวเร็วแปลกประหลาด เธอรู้สึกคล้ายกับว่าร่างกายของเธอกำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อโดนเด็กชายจ้องมองดูทรวงอกอวบที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน

ดวงตาคมกริบคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความร้อนแรงแห่งอารมณ์ใคร่ ซึ่งไม่ต่างอันใดกับสายตาของพี่เอกในช่วงแห่งการเล้าโลม … สายตานั้นจุดอารมณ์ใคร่ในตัวของเธอขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด

แม้จะดูน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ก็ยากจะกล่าวโทษเธอได้ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไป จากชายหนุ่มเต็มวัย กลายเป็นเด็กชายที่อ่อนกว่าเดิมเกือบสิบปี หากทว่ากลิ่นกาย จิตวิญญาณ และพลังมนตรานั้นยังคงเอกลักษณ์เช่นเดิม

ร่างกายของสาวสวยจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยและตอบสนอง เลือดลมเกิดการสูบฉีด จิตวิญญาณที่เคยหลอมรวมก็อ้าแขนเปิดรับ ด้านพลังมนตราที่คุ้นเคยโดยไม่รู้ตัวนั้นกำลังทำให้ร่างกายเลือดเนื้อตื่นตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่ นั่นคล้ายกับการการโดนปลุกเราด้วยยาปลุกเซ็กส์อย่างแรงขนานหนึ่ง

“จะ … จะทำอะไรน่ะ … อื๊ออออ อื้อออออ”

นักศึกษาสาวแสนสวยถอยกรูดเมื่อโดนเด็กชายก้าวเข้ามาหา หากทว่าในตู้โทรศัพท์นั้นเล็กแคบเกินไป ถอยได้เพียงก้าวเดียวแผ่นหลังก็ชนกับผนังซึ่งทำจากกระจกใส และพริบตานั้นเองที่ร่างของเด็กชายซึ่งตัวเล็กกว่าเธอไม่ถึงคืบก็ประกบเข้ามาหาพร้อมกับดวงตาอันร้อนแรง

น้องหญิงพยายามจะใช้สองแขนผลักดันให้อีกฝ่ายออกห่าง หากทว่าเด็กชายดูจะมีเรี่ยวแรงมากกว่าที่เธอคิด เพียงพริบตามือทั้งสองข้างก็โดนจับล๊อค และโดนเด็กชายแนบร่างเข้าหาพร้อมกับประกบริมฝีปากบดใส่อย่างดูดดื่ม

เอกในร่างเด็กชายไม่อาจเก็บกดความคิดถึงได้อีกต่อไป ยิ่งได้มาอยู่กันสองต่อสองในสถานที่พิเศษแต่ลับสายตาผู้คนเช่นนี้ก็ยิ่งห้ามใจตัวเองไม่อยู่ เขาดันร่างเบียดเข้ากับทรวงอกอวบอิ่มเนื้อแน่น พลางประกบปากจูบกับริมฝีปากบางสวยอย่างรุนแรงและดูดดื่ม

น้องหญิงแม้จะกำลังตื่นตกใจ แต่ก็ยังพอมีสติที่จะพยายามเม้มปากเอาไว้ การรุกเร้าของเด็กชายจึงยังล่วงล้ำเข้าไปไม่ได้ หากทว่าลีลาของเด็กชายนั้นร้ายกาจเกินไป เขาเพียงแค่ปล่อยข้อมือของเธอออก แล้วขยับมาบีบปลายถันของเธอคราวหนึ่ง สาวสวยก็เผยออ้าปากส่งเสียงครางโดยไม่รู้ตัว และจังหวะนั้นเองที่ลิ้นของเด็กชายได้สอดแทรกเข้ามาพัวพันเสพความหอมหวานในโพรงปากอย่างรวดเร็วยิ่ง

รสจูบที่เต็มไปด้วยความรู้สึกร้อนแรงนั้นทำให้เธอหัวหมุนติ้ว ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับรสจูบของพี่เอกทำให้เธอเผลอยกมือขึ้นกอดรัดรอบคอของเด็กชาย แล้วตวัดลิ้นนุ่มนิ่มสีชมพูอ่อนเข้าพัวพันกระหวัดกับลิ้นของเขา

เสียงครางอือแห่งความสุขสมดังขึ้นทีละน้อย สวนทางกับสติของสาวสวยที่เริ่มหดหายไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะรู้ตัวจูบที่สามารถกระชากวิญญาณนั้น ก็ได้ทำให้ร่างกายของเธอร้อนรุ่มขึ้นมาจนเต็มที่แล้ว

“อืมมมม …. อืออออออ ….. อืมมมมม …. อืออออออ”

น้องหญิงพยายามรวบรวมสติและเรี่ยวแรงเพื่อต่อต้าน หากทว่านั่นเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะร่างกายไม่เชื่อฟังคำสั่งแม้แต่น้อย เพียงแค่โดนจูบปากเรี่ยวแรงก็หดหายหมดสิ้น อย่าว่าแต่เวลานี้หน้าอกอวบอูมที่มีเสื้อนักศึกษาและยกทรงขวางกั้นกำลังโดนเขาบีบขยำขยี้เคล้นคลึงอย่างเมามันอยู่ด้วยอีกทาง

สำหรับเอกแล้วนี่นับเป็นช่วงเวลาแห่งความฝันที่รอคอยมาแสนนาน นี่คือรสจูบแสนหวานของน้องหญิงที่เขารัก นี่คือรสชาติความเนียนนุ่มของเรือนกายที่เขาได้แต่ฝันจินตนาการมาตลอดเวลาที่อยู่ในโลกแห่งจิต และเวลานี้เขาสามารถฟอนเฟ้นมันได้ดั่งที่ใจต้องการแล้ว

สายฝนด้านนอกกำลังกระหน่ำโปรยปรายจนมองไม่เห็นสิ่งใด เอกในร่างเด็กชายครางอืมด้วยความหื่นกระหายขณะบีบขยำความหยุ่นแน่นเด้งสู้มือ เสื้อนักศึกษาที่เปียกปอนจนแนบลู่กับผิวขาวเนียนอยู่แล้วโดนปลดกระดุมออกอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวไม่รู้สึกตัว

เพียงแค่พริบตาเดียวที่เธอเผลอเคลิบเคลิ้ม สาบเสื้อนักศึกษาก็โดนแบะอ้าออก ตามด้วยตะขอยกทรงที่โดนปลดออกอย่างเงียบงันจนสองเต้ากลมดิกเด้งทะลักออกมา และนั่นก็ทำให้ฝ่ามือหยาบหนาของเขาได้สัมผัสเข้ากับความเรียบลื่นได้โดยตรง

“อื้อออ …. อะ อย่าาา … อืมมมม … ไม่เอา … อูยยยสสสส … อูวววว … ซี้ดดดสสส”

เมื่อเด็กชายถอนริมฝีปากออกไป นักศึกษาสาวแสนสวยก็ส่งเสียงครวญครางสลับกับส่งเสียงทักท้วง ความเสียวแปลบปลาบที่โดนบีบบี้ใส่ปลายถันโดยตรงแบบเนื้อต่อเนื้อทำให้ร่างของเธอกระตุกสั่นราวกับโดนไฟฟ้าช๊อต โดยเฉพาะเมื่อโดนเด็กชายซุกไซร้ใบหน้าลงไปตามซอกคอ แล้วลากไล้ลงไปซุกที่กลางร่องอกขาวโพลน

เสียงดูดจ๊วบ ๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เด็กชายลากลิ้นเลียสลับไปบนเต้าอวบทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะอ้าปากงับแล้วดูดเลียที่ปลายถันสีชมพูอ่อนเน้นระรัวจนสาวสวยตัวกระตุกถี่ยิบ

ความหอมหวานที่มากับอารมณ์ดิบทำให้เอกยิ่งหื่นกระหาย เขาดูดเสพความเต่งแน่นอวบหยุ่น สลับกับใช้สองมือเคล้นขยี้ใส่แรงขึ้นและแรงขึ้น ก่อนจะล้วงมือข้างหนึ่งมุดลงไปใต้กระโปรงนักศึกษาแล้วตะปบขยี้ลงบนเนินสวาทที่เปียกฉ่ำไปด้วยน้ำฝนและน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติ

เอกหน้ามืดตามัวด้วยความกระสัน เขาลงมือกระตุ้นด้วยอารมณ์ใคร่อันดิบเถื่อนอย่างเมามันส์ ความขาวโพลนของหนั่นเนื้อจึงเกิดรอยแดงจ้ำแทบทุกตารางนิ้ว โดยเฉพาะปลายถันที่เต็มไปด้วยรอยงับเบา ๆ และคราบน้ำลาย

น้องหญิงพยายามเรียกสติตัวเองเพื่อผลักไสเด็กชายออกไป หากทว่าความร้อนรุ่มทำให้สองมือที่ควรผลักไสเปลี่ยนเป็นกอดรัดรอบศีรษะของเขาไว้ อีกทั้งยังเผลอแอ่นอกอวบเด้งเสนอเข้าหาปากของเด็กชายด้วยอีกทาง ร่างกายของเธอกำลังทะลักล้นไปด้วยความต้องการอันดำมืด

“ซี้ดดดสสส … อย่านะ … อูยยยสสส … หยุดเถอะ … อ๊ายยยย … ซี้ดดสส”

สาวสวยดิ้นเร่าเมื่อเด็กชายสอดใส่นิ้วเข้าไปในจุดสำคัญ และแทนที่เธอจะแกะมือของเขาออก มือของเธอกลับขยับไปจับที่ข้อมือของเขา แล้วออกแรงกดเข้าหาตัว เหมือนต้องการจะบอกให้เขาแทรกนิ้วเข้ามาให้ลึกกว่านี้

น้องหญิงสะดุ้งผวาเฮือก เมื่อนิ้วของเด็กชายสอดลึกเข้าไปจนสุด เธอจิกมือลงไปที่ข้อมือของเขาสุดแรงขณะที่เขาเริ่มงอนิ้วแล้วลากเข้าลากออก ลีลาปลุกปั่นของเด็กชายช่างคล้ายคลึงกับพี่เอกของเธอราวกับเป็นคนเดียวกัน เสียงครางของเธอจึงยิ่งหนักหน่วงขึ้นตามระดับของความเสียวซ่านที่สาดซัดเข้าใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา

นักศึกษาสาวพยายามนึกถึงคำสอนให้รักนวลสงวนตัว แต่ยังนึกไม่ทันจบนิ้วของเขาก็สะกิดเกาใส่ติ่งแตดแล้วบดบี้แบบเน้น ๆ จนเธอต้องแหงนหน้าเริ่ดสูดปากร้องซี้ดซ้าด และรู้สึกได้ว่าตรงส่วนนั้นของเธอกำลังร้อนรุ่ม เธอแทบอยากเอ่ยปากขอร้องให้เด็กชายที่เธอยังไม่รู้จักชื่อช่วยดับร้อนให้เสียด้วยซ้ำ

เด็กชายราวกับจะเข้าใจความต้องการสีดำมืดของเธอ เขารูดกางเกงในสีดำของเธอลงไปได้อย่างสะดวกง่ายดาย จากนั้นก็จับช้อนข้อพับของขาเรียวยาวข้างหนึ่งขึ้นมาพาดไว้บนสะโพกของเขา แล้วอะไรบางอย่างที่ร่างกายเธอถวิลหาก็ขยับมาจรดจ่อเบียกแทรกยุกยิกอยู่ที่ปากร่องเสียว และเธอสัมผัสได้ว่าขนาดของเด็กชายดูจะใหญ่โตไม่แพ้พี่เอกของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว

“อูยยยสสสส … ซี้ดดสสสส”

ริมฝีปากบางบนใบหน้าแดงก่ำนั้นสูดร้องซี้ดซ้าดยาวนานขณะที่ความใหญ่โตเริ่มกดเบียดแทรกเข้ามาในร่าง สติสัมปชัญญะของเธอเลือนหายไปหมดแล้ว ที่หลงเหลืออยู่มีแต่เพียงสัญชาตญานแห่งการสืบพันธุ์และปลดเปลื้องความใคร่

สาวสวยหลับตาพริ้ม เธอแอ่นเอียงหน้าเปิดทางให้เด็กชายจูบไซร้ซอกคอขณะที่เขาเดินหน้าสอดลึกเข้ามาทีละน้อย เรือนร่างขาวโพลนละลานตากระตุกเกร็งสะท้านถี่ยิบตามระยะทางที่สอดใส่เข้าไปได้สำเร็จ สองมือของเธอขยี้ลูบไล้ไปที่หลังศีรษะของเด็กชายด้วยกิริยาร้อนร่านสุดชีวิต

ความรู้สึกขัดแย้งน่าตื่นเต้นทำให้อารมณ์ของเธอพุ่งทะยานเร็วกว่าที่ควร เมื่อเขาสอดใส่เข้าไปได้เพียงครึ่งลำ ร่างงามก็กระตุกดิ้นเร่าราวกับโดนไฟฟ้าช๊อต เธอกอดรัดร่างของเขาสุดแรง พร้อมกับส่งเสียงวี้ดออกมาดังลั่น เธอถึงจุดสุดยอดไปแล้วหนึ่งครั้งทั้งที่เขายังมิทันได้ลงมือกระเด้าเอวเพื่อเสพกามอย่างจริงจัง

เอกได้สติกลับคืนมาบ้างเนื่องจากความงุนงง เขารับรู้ได้ว่าน้องหญิงของเขาชิงถึงจุดสุดยอดไปแล้วหนึ่งครั้ง ทั้งที่เขายังไม่ทันได้เริ่มสนุก ซึ่งนี่ก็ออกจะผิดวิสัยร้อนแรงของน้องหญิงไม่น้อย และนี่เป็นเพราะเขาไม่ทันได้นึกว่าแม้จะเรียกใช้มนตราไม่ได้ในเวลานี้ แต่พลังมนตราในร่างของเขานั้นเข้มขึ้นหลายสิบเท่า พลังความมืดนั้นจึงปลุกกระตุ้นอารมณ์ใคร่ของคู่รักได้อย่างร้ายกาจจนนึกไม่ถึง

อย่างไรก็ตามเมื่อสติกลับคืนมา เอกก็เริ่มสำนึกได้ว่าตนเองกำลังจะทำให้เรื่องราวแย่ลง เพราะในร่างของเขาตอนนี้เกิดความไม่สมดุลย์ เขาต้องหลีกเลี่ยงการเพิ่มของพลังธาตุอื่นที่มิใช่ธาตุดินในเวลานี้ และน้องหญิงก็ไม่ได้สังกัดธาตุดิน แต่เป็นธาตุแสงซึ่งสมควรจะเป็นลำดับสุดท้ายในการปรับสมดุลย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงเกิดความลังเลขึ้นมา

ความลังเลนี้ทำให้เขาไม่ได้เดินหน้าบุกต่อให้สุดลำ และเวลานี้น้องหญิงก็ได้สติกลับคืนมาแล้ว เนื่องจากเพิ่งได้ปลดปล่อยอารมณ์ใคร่ออกไปหยก ๆ เธอจึงเบิกตามองไปรอบกาย ก่อนจะรีบออกแรงผลักไสร่างของเด็กชายออกอย่างจริงจัง เนื่องจากฝนเริ่มซาลงเล็กน้อย และนั่นอาจทำให้มีคนเห็นฉากรักในที่สาธารณะของเธอและเด็กชายได้

เมื่อฝ่ายหนึ่งตั้งใจผลักออก ในขณะที่อีกฝ่ายยืนลังเลไม่กล้าเดินหน้า สาวสวยจึงทำได้สำเร็จ เธอรีบสวมใส่เสื้อผ้านักศึกษาอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไปก้มหน้ายืนสูดหายใจด้วยความขัดเขินที่ด้านนอกตู้โทรศัพท์ทั้งที่ฝนยังตกปรอย ๆ

เอกเองก็ได้สติคืนมาเพียงพอที่จะรีบสวมใส่กางเกงของตัวเองให้เรียบร้อยเช่นกัน เขาเดินออกมาจากตู้โทรศัพท์ยืนอยู่ด้านหน้าน้องหญิงด้วยความรู้สึกสับสนปนเป

ความคิดถึงที่เก็บกดไว้ทำให้เขาแทบเผลอละเมิดกฎของไสยเวทย์ หากเมื่อครู่เขาเผลอกระทำต่อจนเสร็จ เขาเองก็ยังไม่ทราบว่าความไม่สมดุลย์ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะส่งผลร้ายแรงเพียงใด

นอกจากนี้เขายังเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า น้องหญิงไม่ได้ร่วมรักกับนายเอก แต่เป็นการร่วมรักกับเด็กชายที่เธอไม่รู้จักด้วยซ้ำ เขาจึงยิ่งสับสนว่าเขาควรหึงหวงตัวเองหรือไม่ที่ทำเรื่องเช่นนี้ แต่ความรู้สึกลึก ๆ นั้นกำลังบอกว่าเขารู้สึกตื่นเต้นเสียมากกว่าทั้งที่เขาเพิ่งทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมลงไป

“ขอโทษ”

เอกในร่างเด็กชายหันไปพูดขอโทษกับน้องหญิงอย่างตรงไปตรงมา เขาตัดสินใจที่จะรีบแยกตัวออกไปเพราะเกรงจะทนรับเสน่ห์ของน้องหญิงไม่ไหว เพราะนั่นอาจจะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ และที่สำคัญเขาคิดว่าน้องหญิงอาจจะรู้สึกเกลียดเด็กชายคนนี้ก็ได้ เพราะเด็กชายคนนี้เพิ่งใช้กำลังปลุกปล้ำเธอไป

เขาพยายามยิ้มอย่างสุดฝืนขณะเงยหน้ามองดูใบหน้าที่ยังคงแดงก่ำด้วยรสรักของเธอ เธอมองเขาตอบด้วยสายตาแปลกประหลาดยากแปลความหมาย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแปลความหมายในสายตาของเธอไม่ออกว่าเธอคิดอะไรอยู่

หากทว่าขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินจากไปนั้น น้องหญิงกลับส่งเสียงเรียก แล้วยื่นมือมาจับข้อมือของเขาไว้ เธอมองเขาด้วยสายตาเอียงอายสับสน ก่อนจะเอ่ยปากเชิญชวนพร้อมด้วยสายตาหวานเยิ้มและร้อนแรงราวเพลิงไฟ

“ตัวเธอเปียกอยู่ไม่ใช่เหรอ … ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างบนก่อนมั้ย คอนโดข้างหน้านี้เอง ตอนนี้ไม่มีใครอยู่หรอก … เธอชื่ออะไรน่ะ? พี่ชื่อหญิงนะ”

เอกมองดูน้องหญิงด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อตัวเอง เพราะเธอกำลังเชิญชวนเด็กชายที่ปลุกปล้ำข่มขืนเธอขึ้นไปบนห้อง แต่มองอีกแง่มุมหนึ่งเธอก็อาจจะแค่เพียงหวังดีไม่อยากให้เด็กชายเช่นเขาเจ็บป่วยก็เป็นไปได้

ทั้งที่ตัดสินใจดีแล้ว ว่าควรรีบปลีกตัวไป เพราะเกรงจะทนเสน่ห์ของเธอไม่ไหว แต่สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ให้กับสายตาร้อนแรงของน้องหญิง และเขาเองก็ยังอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้วน้องหญิงจะทำอะไรกับเด็กชายที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าต่อ เขาจึงพยักหน้าแล้วเดินตามเธอไปทางคอนโดที่เขาเพิ่งเดินออกมา พร้อมกับบอกชื่อใหม่ที่เพิ่งคิดสด ๆ ร้อน ๆ ของตัวเองออกไป

“ผมชื่อเอ … เอ่อ … ผมชื่อหนึ่งครับ”

………………