Home Post 4567-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-60-%e0%b8%a8%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%81-2

4567-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-60-%e0%b8%a8%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%a3%e0%b8%81-2

แสงไฟจากกระบอกไฟฉายสี่กระบอกที่หล่นกระจายกราดเกลื่อนในป่าอันมืดมิด แลคล้ายหิ่ง
ห้อยตัวใหญ่ที่ลอยนิ่งเกาะค้างอยู่บนกิ่งไม้และกอหญ้า ชายฉกรรจ์เจ้าของกระบอกไฟฉายทั้ง
สี่บัดนี้ต่างพากันนอนสลบเหมือดหมดสภาพด้วยประสบความพ่ายแพ้ต่อฝีมือของเอกและความ
โชคดีของบอย

ในเงามืดที่แสงไฟฉายมิได้สาดส่องนั้น เอกปล่อยคลายอ้อมแขนที่กอดรัดบั้นเอวอ้อนแอ้นของ
หญิงสาวหุ่นเร้าใจปล่อยเธอลงยืนสู่ผืนหญ้า หากเจ้าของร่างเปลือยเปล่าที่โดนมัดพันธนาการ
ทั้งสองมือเอาไว้ยังคงอิดออดอิงแอบแนบกระแซะร่างเข้าหาเรือนกายอันแข็งแกร่งของชายหนุ่ม
อย่างโหยหา

ใบหน้างามซุกไซร้เข้าหาแผงอกของชายหนุ่มโดยมิเกรงกลัวว่าวงหน้าอันสวยงามจะเปรอะเลอะ
เหงื่อไคลที่เปียกชุ่มไปทั่วร่างของเขา ทรวงอกอวบใหญ่ไซส์โอฬารกดแนบบดเบียดกระแซะถูไถ
เข้ากับผิวกายอันร้อนผ่าวของเขาด้วยอารมณ์รักอันร้อนเร่ารุนแรงยิ่งกว่าไฟกัลป์

ร่างของเธอยังคงสั่นสะท้านเล็กน้อย เพราะกระแสแห่งความซาบซ่านจากจุดสุดยอดที่เพิ่งหยั่ง
เท้าถึงยังคงแผ่ริ้วกระจายไปทั่วร่างเป็นจังหวะ หยาดน้ำรักหลั่งไหลจนเปียกเยิ้มไปทั่วง่ามขา
และย้อยรินไหลลงไปตามท่อนขาขาวสล้าง

ดวงตาคู่สวยที่อิงแอบอยู่แนบอกสามศอกของชายหนุ่มเบิกพินิจมองเงาของใบหน้าอันแสนคุ้น
เคยที่อยู่ในจุดอับแสงไฟด้วยความรู้สึกรักใคร่ลุ่มหลงงมงาย หากน่าน้อยใจอยู่บ้างที่ชายหนุ่ม
กลับเพียงจ้องมองเขม็งไปเบื้องหน้าโดยมิได้ใส่ใจว่าเธอจะออดอ้อนออเซอะเขาเพียงใด

เอก รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันนุ่มนิ่มที่เบียดกระแซะร่างของเขาอยู่ หากกระแสพลังมนตราที่ควบแน่น
อยู่ในร่างของหมอผีชุดดำนั้นกลับทำให้เขาไม่อาจเผลอไผลแบ่งปันสมาธิออกไปสนใจสิ่งอื่นใด
ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาเพียงเพิ่งเรียนรู้การใช้เวทย์มนต์คาถามาแบบเพียงงู ๆ ปลา ๆ และไม่
อาจรู้ได้เลยว่าคาถาที่เจ้าหมอผีชุดดำกำลังท่องบ่นพึมพำอยู่นั้นคือคาถาอะไร

“ไอ้เกลอ พระเอกมาช่วยแล้ว … เอ๊ะ … อ้าว … ไหงพวกมันสลบเหมือดกันหมดแบบนี้”

บอย วิ่งเข้ามายืนข้างเอก พร้อมกับสาดแสงไฟฉายที่เพิ่งยึดมาจากไอ้นักเลงคนหนึ่งไปรอบตัว
เขาแสดงความรู้สึกงุนงงออกมาอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพบว่าไอ้เจ้านักเลงอีกสามคนนอนสลบเหมือด
กระจายออกไปคนละทิศคนละทาง ส่วนเอกที่เขาคิดว่าน่าจะโดนรุมจนย่ำแย่กลับยืนกอดประคอง
หญิงสาวหุ่นดีคนนั้นอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

บอยกราดไฟฉายไปยังร่างของเอกเพื่อตรวจสอบดูว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า หากเมื่อแสง
ไฟฉายกระทบร่างเปลือยของหญิงสาว สายตาของบอยก็โดนความงามของเรือนร่างดึงดูดจนลืม
เลือนความตั้งใจแรกไปเสียสนิท บอยหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่จ้องมองไล้ไปทั่วแผ่นหลัง
และสัดส่วนอันโค้งเว้าเร้าอารมณ์ของเอวและสะโพกอันเปลือยเปล่า ก่อนจะสรุปในใจกับตัวเองว่า
ผู้หญิงคนนี้หุ่นบึ้บบั้บเร้าใจดีจริง ๆ

“ระวังนะ เหลือไอ้เจ้าหมอผีนี่อีกคน”

เอกส่งเสียงร้องเตือนโดยที่ยังคงจับจ้องมองหมอผีชุดดำอย่างไม่ละสายตา

“หมอผีเหรอ ? … อ๋อ ไอ้นี่เป็นเจ้าของผีสาวเมื่อกี๊น่ะเหรอ หนอย เดี๋ยวเหอะ จะเอาไม้ฟาดให้หัว
แตกไม่ต้องห่วงไอ้เกลอ ถ้าเป็นผีล่ะก็ไม่ต้องห่วง ข้ามีตะกรุดสมิงพรายไว้คุ้มกันไล่ผีได้”

บอยที่ได้ยินเสียงเตือนก็หันกระบอกไฟฉายส่องไปทางหมอผีชุดดำ พร้อมกับหวดแกว่งไกวไม้
หน้าสามในมือวูบไหวไปมาด้วยท่าทีข่มขู่ หากไอ้เจ้าหมอผีคนนั้นกลับไม่สนใจมองตอบกลับมา
ด้วยซ้ำ เพราะมันเอาแต่มองพินิจร่างเปลือยของหญิงสาวด้วยสายตาอันหื่นกระหาย แล้วหันมา
มองดูเอกด้วยดวงตาอันโกรธเกรี้ยวแค้นเคือง จากนั้นก็หันกวาดตามองนักเลงทั้งสี่ที่นอนสลบ
เหมือดอย่างเหยียดหยามดูแคลน

“เฮอะ ไอ้พวกนักเลงกระจอก โม้ว่าเก่งนักเก่งหนา มีกันตั้งสี่ตัว แต่เสือกสู้ไอ้ละอ่อนสองตัวนี่
ไม่ได้ ต้องลำบากมาให้ถึงมือกูอีก”

หมอผีชุดดำสบถด่าพร้อมกับล้วงมือลงไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากถุงย่ามที่สะพายอยู่
ขณะที่มันเริ่มบริกรรมคาถา กระแสแห่งมนตราที่คล้ายหมอกควันสีดำก็เริ่มหมุนวนแผ่ฟุ้งออก
มาจากร่างของมัน ก่อนหมุนติ้วกลืนหายเข้าไปในฝ่ามือราวกับถูกสิ่งที่อยู่ด้านในสูบเข้าไป

ดวงตาอันกราดเกรี้ยวของหมอผีชุดดำเขม็งมองเอก พร้อมกับปรากฎกลุ่มแสงสีม่วงดวงเล็ก
จ้อยสี่ดวงพุ่งโผทะยานออกมาจากฝ่ามือที่เปิดแบของมันอย่างรวดเร็ว เอกตั้งจิตและสมาธิ
พร้อมรับเหตการณ์อยู่แล้ว หากแต่แสงสีม่วงดวงเล็กเหล่านั้นกลับพุ่งกระจายไปยังทิศทาง
อื่นที่ไม่ใช่บริเวณที่เอกยืนอยู่

“อ๊ากกกกกกก โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก”

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ที่นอนสลบเหมือดอยู่พลันเด้งสะท้านเฮือกไปทั้งร่าง เมื่อดวงแสงสีม่วงนั้น
พุ่งหายวับเข้าไปในท้องของพวกมัน ถัดจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนสุดเสียง
ด้วยความทนทรมาณจนลั่นไปทั้งป่า ร่างของพวกมันบิดงอกระตุกเกร็งกลิ้งเกลือกไปมาบน
ผืนหญ้าราวกับสัตว์ป่าที่เพิ่งถูกเชือด หากแต่ภายนอกนั้นพวกมันไม่ได้มีบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้น

“เฮ้ย ไอ้หมอผี มึงทำอะไรพวกตัวเองวะ”

บอย ร้องตะโกนถามทั้งที่กำลังหวาดกลัวไปกับภาพที่เห็นจนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เช่นเดียวกัน
กับหญิงสาวในอ้อมกอดของเอกที่ยิ่งสั่นสะท้านระริกหวาดผวาจนเย็นเฉียบไปทั้งตัว เธอยิ่ง
กอดรัดเบียดกระแซะเข้าหาร่างของเอกแน่นขึ้นกว่าเดิม ซึ่งความกลัวที่ว่านั้นก็คือการไม่เข้า
ใจว่าดวงแสงสีม่วงเหล่านั้นคืออะไร และหากโดนเจ้าสิ่งนั้นเข้ากับตนเองจะต้องรู้สึกเจ็บปวด
ทรมาณถึงเพียงไหน

เอก เป็นผู้เดียวที่ยังคงรักษาสติเอาไว้ได้ และไม่แตกตื่นจนลนลาน แม้จะยังไม่เข้าใจนักว่า
ทำไมไอ้เจ้าหมอผีชุดดำถึงเล่นงานพวกพ้องของตัวเองด้วยอวิชชาที่น่ากลัวขนาดนี้ แต่กระ
นั้นเขาก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถรับมือการโจมตีของมันไหว จึงช่วยปลอบประโลมหญิงสาว
ร่างเปลือยในอ้อมกอดด้วยการกอดกระชับและลูบแผ่นหลังเนียนนิ่มของเธอ

“หึ หึ ไอ้กระจอกพวกนี้เลี้ยงไปก็เปลืองข้าวสุก ว่าแต่มึงเหอะไอ้ลูกหมา มึงบอกว่ามึงมีเครื่อง
ลางของขลัง แต่แค่มนต์เสกตะปูเข้าท้องแค่นี้มึงก็ไม่รู้จักเสียแล้วเรอะ”

หมอผีชุดดำ แผดเสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมกับแบมือเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในกำมือออกมา บอย
ส่องไฟฉาย และจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือของมันด้วยใบหน้าอันซีดเผือดกว่าเดิม เพราะในกำมือ
ของมันนั้นคือตะปูสนิมเขรอะสีดำแดงหงิกหงอหลายตัวที่กำลังเต้นเร่าระริกราวกับงูที่แผ่แม่เบี้ย
พร้อมฉกกัดเข้าหาได้ตลอดเวลา ซึ่งแม้จะไม่น่าเชื่อเพียงใด แต่บอยก็มั่นใจว่าที่แท้แล้วไอ้หมอ
ผีคนนี้ใช้วิชาเสกตะปูพวกนี้เข้าไปในท้องของนักเลงพวกนั้นนั่นเอง

เท่าที่เขาเคยได้ยินมานั้น คาถาเสกตะปูเข้าท้องเป็นหนึ่งในอวิชาอันโหดเหี้ยมชั่วช้าแขนงหนึ่ง
สิ่งที่ต้องใช้ก็คือตะปูที่ใช้ตอกปิดฝาโลงผีตายโหง และเมื่อนำมาร่ายกำกับด้วยมนตราคาถาอัน
ลึกลับ ผู้ร่ายคาถาก็จะสามารถเสกให้ตะปูเหล่านั้นทะลวงเข้าไปฝังอยู่ในร่างของเหยื่อได้ ซึ่ง
เขาเคยสงสัยว่าการที่อยู่ดี ๆ ก็มีตะปูแหลมแข็งเข้าไปอยู่ในร่างกายนั้นจะเจ็บปวดถึงระดับไหน
วันนี้เขาก็ได้รับรู้แล้วจากอาการดิ้นกระแด่วของบรรดานักเลงทั้งสี่

“ไอ้สัตว์นรกเอ๊ย พวกเดียวกันก็ยังทำกันได้ แต่กูไม่กลัวมึงหรอกเว้ย กูมีตะกรุดเขี้ยวสมิงพราย
ของปู่คุ้มตัวอยู่ ตะปูเน่า ๆ แค่นั้นจะทำอะไรกูได้”

บอย บีบกระชับตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายที่แขวนอยู่รอบคอ เพื่อปลุกปลอบความกล้า ก่อนเดินออก
มายืนเบื้องหน้าของเอกและหญิงสาว ด้วยท่าทีของผู้พิทักษ์อันองอาจกล้าหาญ ในความคิดของ
เขานั้นตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่จะต่อกรกับเจ้าหมอผีผู้นี้ได้

การกระทำของบอยที่ไร้ซึ่งพลังมนตรานั้นคล้ายเป็นการกระทำที่โง่เง่าอย่างที่สุด หากแต่นั่นกลับ
เป็นการกระทำอีกครั้งหนึ่งที่ตราตรึงประทับเข้าไปในใจของเอก เพราะจะมีใครสักกี่คนที่หาญกล้า
พร้อมจะออกหน้ารับเรื่องเลวร้ายให้คนที่เรียกว่าเพื่อนได้ถึงเพียงนี้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เอก
ตระหนักถึงคำว่าเพื่อนแท้

หมอผีชุดดำมองตะกรุดที่สัมผัสพลังใด ๆ มิได้ในมือของบอยอย่างเหยียดหยาม มันแสยะยิ้มอย่าง
เยือกเย็นก่อนที่ตะปูอันหงิกงอในฝ่ามือดอกหนึ่งจะดีดตัวพุ่งวาบเป็นลำแสงสีม่วงเข้าหาบอยอย่าง
รวดเร็วยิ่งยวดจนบอยแทบมิได้กระดิกตัวรับมือ

“เคร้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

ตะปูอันหงิกหงอดอกนั้นหยุดชะงักอยู่เบื้องหน้าบอยที่ยกตะกรุดขึ้นรับเพียงแค่ไม่กี่นิ้วราวกับปะทะ
เข้ากับกำแพงเหล็กที่มองไม่เห็น เสียงแหลมสูงคล้ายโลหะกระแทกเสียดสีแว่วกังวาลสะท้านไป
ทั่วป่าจนหญิงสาวส่งเสียงวี้ดออกมา ตะปูสนิมเขรอะดอกนั้นเต้นเร่าระริกอยู่ในอากาศด้วยพยายาม
แหวกทะลวงไปเบื้องหน้าอีกครู่ใหญ่ หากสุดท้ายก็ต้องแพ้พ่ายร่วงหล่นตุบลงไปดิ้นแด่วบนผืนหญ้า
พร้อมกับแสงสีม่วงที่อาบไล้อยู่ค่อยแผ่วสลายหายไป

“คาถาเกราะแก้ว !!! ไม่ใช่ … นี่มันคาถาเกราะเพชรแปดทิศ !!! ไอ้หนุ่มมึงเป็นใครกันแน่วะ”

หมอผีชุดดำจ้องมองข้ามหัวไหล่ของบอยที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าไปยังเอกที่อยู่เบื้องหลังอย่างมิอาจ
ปิดบังความรู้สึกอันตื่นตะลึงพรึงเพริด ซึ่งแรกทีเดียวมันจับกระแสพลังของชายหนุ่มได้บ้างมิได้บ้าง
เหมือนพลังนั้นไม่เสถียร หายิ่งเวลาผ่านกระแสพลังของชายหนุ่มที่อ่อนกว่าตนมากกว่ายี่สิบปีกลับยิ่ง
ทวีความกล้าแข็งจนแกร่งกร้าวกดข่มพลังที่มันมีอยู่เสียจนมิด

อีกทั้งคาถาที่ชายหนุ่มผู้นั้นใช้กลับมิใช่คาถาป้องกันตัวพื้นฐานอย่างคาถาเกราะแก้ว หากแต่เป็นคาถา
ป้องกันระดับสูงอย่างคาถาเกราะเพชรแปดทิศที่แม้แต่มันเองก็ยังมิอาจร่ายมนตราเสกออกมาได้สำเร็จ
แม้แต่เพียงครั้งเดียว

“เฮอะ เริ่มกลัวล่ะซิไอ้หมอผีกระจอก ตะกรุดนี่ปู่กูที่เป็นหมอผีชื่อดังทางภาคอีสานให้มาเลยนะเว้ย”

บอย เริ่มคุยโอ่ข่มขวัญด้วยความมั่นใจในของขลังของตนเอง เนื่องจากเข้าใจไปเองว่าตะปูของหมอ
ผีชุดดำสิ้นฤทธิ์เพราะตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายของเขา ซึ่งก็คงมิใช่เรื่องผิดอะไรเพราะเหตการณ์ทุกอย่าง
ที่เพิ่งเกิดขึ้นมันชวนให้เขาต้องคิดเช่นนั้นจริง ๆ นับตั้งแต่คิดไปเองว่าเขาไล่ผีสาวได้ ไปจนถึงได้รับการ
คุ้มครองจนเอาตัวรอดจากไอ้เจ้านักเลง และล่าสุดคือสามารถป้องกันตะปูอาถรรพ์ของหมอผีนี่ได้อีก

กระนั้นบอยก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่คิดว่านั่นเป็นการกระทำของเขา เพราะแม้นว่าหญิงสาว
ที่อยู่เบื้องหลังจะมิอาจสัมผัสได้ถึงกระแสพลังมนตราโดยตรง หากแต่เธอก็สังเกตเห็นกิริยาการกระ
ทำของเอกได้อย่างชัดเจน ในจังหวะที่แสงสีม่วงกำลังพุ่งตรงเข้ามานั้น เธอได้ยินเสียงเอกพูดพึมพำ
คล้ายกับการบริกรรมคาถา จากนั้นเขาก็ยื่นมือขวาออกไปเบื้องหน้า แล้วแสงสีม่วงนั้นก็หยุดนิ่งชะงัก
ค้างอยู่กลางอากาศอย่างน่าพิศวง

ลางสังหรณ์ของสตรีเพศบ่งบอกเธอว่านั่นเป็นฝีมือของชายหนุ่มที่กำลังโอบกอดประคองเธออยู่ และ
สิ่งที่ทำให้เธอเชื่อลางสังหรณ์จนสนิทใจก็คือ ดวงตาที่แฝงความมืดอันลึกล้ำสุดหยั่งของชายหนุ่ม
ดวงตานั้นแฝงพลังอำนาจอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเธอจนมิอาจเพิกถอนสายตาออกไปได้ และเมื่อเพ่ง
มองลึกเข้าไปมากเพียงใด ก็เหมือนว่าไฟแห่งความใคร่ในตัวเธอจะยิ่งโดนพัดโหมจนลุกไหม้แผดเผา
ราวกับโดนยาปลุกเร้าอารมณ์เข้าไปขนานใหญ่

“เฮอะ กูไม่เชื่อว่ามึงจะเก่งกว่ากู”

หมอผีชุดดำ ตวาดอย่างกราดเกรี้ยวเมื่อได้เห็นท่าทีอันนิ่งเงียบเฉยเมยของเอก และเมื่อยิ่งผนวก
กับท่าทีอวดโอ่จากเด็กน้อยไม่รู้ประสีประสาอย่างบอย ก็ยิ่งทำให้มันหมดความอดทนยิ่งกว่าเดิม
นิ้วทั้งห้าของมันแบออก พร้อมกันนั้นดวงแสงสีม่วงสิบกว่าดวงพุ่งวาบกระจายออกมาทั่วทุกทิศทาง
ดวงแสงสีม่วงบางส่วนพุ่งดิ่งตรงไปเบื้องหน้า บางส่วนก็ตีวงโค้งอ้อมเข้าไปทางซ้ายและขวา อีก
ทั้งยังมีบางส่วนวนโอบล้อมไปเบื้องหลัง และบางส่วนที่พุ่งหายไปในความมืดของท้องฟ้า แล้วพุ่ง
ดิ่งกลับลงมาจากเบื้องบน

บอยเหม่อมองดวงไฟแห่งความตายที่วิ่งเข้ามาหาจากทุกทิศทางอย่างทำอะไรไม่ถูก ความเชื่อ
มั่นอันล้นเหลือในตะกรุดสมิงพรายเมื่อครู่เริ่มสั่นคลอนโงนเงนจนแทบมลายหายสิ้น หากในห้วง
เวลานั้นเอกที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็กางแขนทั้งสองข้างออกพร้อมกับปลดปล่อยกระแสพลังมนตรา
แผ่พุ่งออกมาผนึกแน่นเป็นเกราะคุ้มกันที่มองไม่เห็นปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง

“เคร้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”

ตะปูหงิกงอหลายสิบตัวกระแทกเข้ากับม่านพลังที่มองไม่เห็นจนมิอาจเดินหน้าต่อ เสียงแหลมสูง
เหมือนโลหะบดกระแทกสะท้านดังอีกครั้งจนลั่นป่า หากครานี้มันกรีดก้องกังวาลยาวกว่าเดิมและ
ดังสั่นหวั่นไหวกว่าเดิมจนสั่นสะท้านสะเทือนเหมือนโลกกำลังจะแตกดับ

หมอผีชุดดำถลึงตามองเหตการณ์อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง หนึ่งในคาถาที่มันทุ่มสุดตัวกลับ
มิอาจกล้ำกลายสร้างอันตรายให้แก่ชายหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าตนเกือบครึ่งแม้เพียงน้อยนิด ตะปูอาคม
ทุกดอกของมันมิอาจเจาะทะลวงทำลายคาถาเกราะเพชรที่ชายหนุ่มเสกสร้างขึ้นมาได้แม้เพียงสัก
เศษเสี้ยว

ซึ่งความจริงแล้วหากหมอผีชุดดำคนนั้นจะลองอ่านพิจารณากระแสพลังมนตราให้ดีแล้วล่ะก็ มันก็
จะพบว่ากระแสพลังที่ฝึกปรือมานานกว่าสี่สิบปีของมันนั้นอ่อนด้อยกว่ากระแสพลังของชายหนุ่มแบบ
เทียบกันไม่ได้ หากกระนั้นด้วยทิฐิยึดมั่นถือดีในอวิชชาที่ฝึกปรือมา ทำให้หมอผีชุดดำมิอาจมองเห็น
และยอมรับความจริงในข้อนี้

หมอผีชุดดำที่มิอาจทำใจยอมแพ้ รีบเร่งเร้าพลัง ร่ายบริกรรมคาถา บีบเกร็งมือจนเส้นเอ็นปูดโปน
ไปทั่วทั้งร่าง ตะปูที่เริ่มอ่อนแสงหมดพลังพลันฉายแสงสีม่วงที่กราดเกรี้ยวอาถรรพ์รุนแรงมากยิ่ง
กว่าเดิมออกมา ตะปูพวกนั้นกระตุกดิ้นเร่าระริกอัดเข้าหาเกราะเพชรที่ไร้รูปอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงทั้ง
หมดที่หมอผีชุดดำจะเค้นเอาออกมาได้

เสียงโลหะเบียดประทะกระหน่ำดังขึ้นอีกครา และครั้งนี้บอยที่ก็ถึงกับทรุดฮวบก้มหน้าเอามือปิดหู
ป้องกันเสียงแหลมเล็กที่อื้ออึงดั่งเสียงกรีดร้องของภูติผีปีศาจจากขุมนรก ส่วนเอกที่ร่ายคาถาเกราะ
เพชรป้องกันอยู่นั้น เมื่อเผชิญเข้ากับแรงกดดันระดับนี้เข้าก็ถึงกับเหงื่อกาฬไหลซิบออกมา ความรู้สึก
ของเขาคล้ายกับกำลังใช้พลังดึงชักเย่ออยู่กับช้างสารที่บ้าคลั่งสักตัวอยู่ก็มิปาน

เสียงแหลมเล็กที่หลุดรอดมาเข้าหูทำให้เอกตระหนักได้ว่าคาถาเกราะเพชรของเขายังมิค่อยสมบูรณ์
เท่าไหร่นัก เพราะหากเขาร่ายออกมาได้สมบูรณ์จริง ๆ แล้ว มิว่าจะเป็นภยันตรายในรูปแบบใดก็จักมิ
อาจกรายใกล้เข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณไสยหรือเสียงประทะที่กำลังดังกระหึ่มดุจดั่งห่าฝนนี้

ชายหนุ่มเร่งรวบรวมสมาธิบริกรรมคาถา พร้อมทั้งรีดเร้นพลังที่อยู่ในกายออกมาอีกครั้ง จนดวงตาที่ดำ
มืดมิดสนิทอยู่แล้วก็ยิ่งมืดหม่นลงยิ่งกว่าเดิม และคราครั้งนี้เสียงที่ดังกระหึ่มอยู่ก็ค่อยเงียบหายลงไป
อย่างช้า ๆ ซึ่งมิใช่ว่าแรงกดดันของตะปูผีจะลดลง หากแต่เป็นเพราะเกราะเพชรไร้รูปที่เขาร่ายนั้นแข็ง
แกร่งกว่าเดิม และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

เสียงที่เงียบซาลงนั้นทำให้เอกและบอยคลายความเคร่งเครียดลงไม่น้อย กระนั้นกระแสพลังมนตรา
ที่หลั่งไหลออกจากร่างของเอกนั้นกลับกำลังส่งผลกระทบกระตุ้นอารมณ์ใคร่ของหญิงสาวในอ้อมกอด
อย่างรุนแรงยิ่งกว่าที่เธอจะทานทนไหว

ภายใต้กระแสพลังอันยิ่งใหญ่นั้นร่างกายอันอวบอิ่มสะคราญกระตุกเด้งสั่นสะท้านไม่ได้หยุด ทั่วทั้งร่าง
บังเกิดความต้องการทางเพศจนร้อนผ่าวดั่งโดนไฟลน ผิวกายทุกส่วนตื่นตัวเต็มที่จนขนลุกชัน ปลายถัน
ที่แข็งเต่งอยู่แล้วก็ยิ่งแข็งเด้งจนแทบปริ ส่วนที่ตรงกลางหว่างขานั้นก็บังเกิดทั้งความร้อนรุ่ม และคันยุบ
ยิบด้วยใคร่ปราถนาอยากได้บางสิ่งมาระบายอารมณ์เดี๋ยวนี้

ด้วยถูกมัดพันธนาการสองมือไพร่อยู่เบื้องหลัง อีกทั้งยังโดนเทปกาวปิดปากเอาไว้ หญิงสาวอารมณ์ร้อน
รักจึงมิอาจกระทำการสนองความใคร่ของตนได้มากนัก เธอทำได้เพียงบิดตัวถูไถสองเต้าไซส์ภูเขาไฟ
และเบียดกลีบกุหลาบอันร้อนฉ่าเข้ากับร่างกำยำของชายหนุ่มด้วยลีลาอันเร่าร้อน หยาดเหงื่อที่เปียกชุ่ม
อยู่บนร่างของเขาจึงชะโลมชุ่มไปทั่วทรวงอกอูมใหญ่ของเธอเป็นแสงมันวาวราวกับอาบไล้ไปด้วยหยาด
น้ำแห่งความใคร่

ความกระสันเสียวที่ครอบงำสติ ทำให้หญิงสาวลืมไปว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นไร เธอระดมใช้จมูก
ซุกไล้ไปทั่วหัวไหล่และลำคอของเขา พลางแอ่นกลีบกุหลาบของเธอบดเบียดเข้ากับท่อนขาของเขา
แล้วขยับโยกสะโพกบดจนน้ำแห่งความใคร่ของหญิงสาวไหลหลั่งชะโลมกางเกงขาสั้นของเอกจนชุ่มฉ่ำ

ภายใต้ลีลาแห่งความใคร่ของหญิงสาวนั้น เอกที่กำลังตั้งสมาธิรับมือก็ถึงกับต้องร้องครางอูออกมาเพราะ
ไม่ได้คาดคิดเลยว่าหญิงสาวในอ้อมกอดจะโดนพลังมนต์ดำของเขาเล่นงานจนเกิดอารมณ์พุ่งพล่านถึง
เพียงนี้ สัมผัสอันนุ่มของเนื้อตัวหญิงสาว และกลิ่นกายอันหอมหวานของเธอ กระตุ้นเร้าจนอารมณ์ของ
เขาพุ่งพรวด จนแทบจะทำให้สติของเขาขาดผึง ความรู้สึกของเขาในตอนนี้คืออยากร่วมรักกับหญิงสาว
หุ่นสะบึมคนนี้ใจจะขาด กระนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ล่อแหลมเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เอกก็มิอาจผ่อนปรน
สมาธิของตนลงได้ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตของพวกเขาทั้งสามคนจะเป็นอันตรายในทันที

บอยมิได้เหลียวกลับมามองเบื้องหลัง จึงมิอาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอกและหญิงสาวนางนั้น กระนั้น
เหตการณ์ก็ยิ่งจะทำให้รู้สึกมั่นใจในตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายที่อยู่ในมือของตนเองมากขึ้น เพราะเสียง
หวีดอื้ออึงเริ่มแผ่วหายไป ผนวกกับภาพของหมอผีชุดดำที่กำลังเกร็งพลังจนเส้นเอ็นปูดโปนมองมา
อย่างโกรธเกรี้ยวเคืองแค้น ด้วยมิอาจส่งตะปูผีแหวกทะลวงเข้ามาทำร้ายพวกเขาได้ สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำ
ให้บอยเชื่อมั่นในของดีที่ปู่มอบให้จนหมดใจเลยทีเดียว

“เฮ้ย ไอ้หมอผีกระจอก บอกแล้วไงว่า ตะกรุดนี่มันของจริง อย่าเหนื่อยเปล่าเลย เดี๋ยวจะหัวใจวายตาย
ซะก่อน”

แค่เพียงความรู้สึกพ่ายแพ้ต่อเด็กหนุ่มรุ่นลูกก็เสียหน้าพออยู่แล้ว ยิ่งมาเจอสุ้มเสียงที่เหมือนจะหัวเราะ
เยาะของบอยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมทำอะไรเลย ก็ยิ่งทำให้หมอผีชุดดำบังเกิดความแค้นเคืองจนคุ้มคลั่งขึ้น
มา ดวงตาของมันทอประกายวาววับขึ้นคราวหนึ่ง ก่อนจะทุ่มพลังแทบจะหมดทั้งตัวออกมาร่ายบริกรรม
คาถา

ตะปูหงิกงอที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศพลันเปล่งแสงสีม่วงเข้มวูบ พร้อมกับลอยคว้างขึ้นไปในความมืด
ด้านบน จากนั้นเมื่อมันสะบัดฝ่ามือที่เกร็งจนเส้นเลือดปูดโปนลงมาเบื้องล่าง ดวงแสงสีม่วงเข้มสิบกว่า
สายก็พุ่งดิ่งลงมาจากด้านบนด้วยความเร็วสูง และเวลาเดียวกันนั้นก็ปรากฎเงาสีแดงเจิดจ้าของวิญญาณ
ผีตายโหงสองตนโผพุ่งวาบออกมาจากถุงย่ามหมายเข้าชนประทะกับเกราะเพชรอย่างหักโหม

ด้วยพลังอันเข้มข้นรุนแรง ผีตายโหงทั้งสองตนจึงปรากฎกายให้บอยมองเห็นในสภาพกึ่งเน่าเฟะกึ่งโครง
กระดูกขาวเหลืองอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก แม้แต่เสียงหวีดร้องโหยหวนของพวกมัน บอยก็ได้ยินอย่างชัด
เจนเต็มสองหู และนั่นทำให้บอยถึงกับยืนนิ่งเหวออ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก พอรู้สึกตัวอีกทีก็ต้องตกใจจน
วิญญาณแทบหลุดจากร่าง เพราะเงาร่างสีแดงก่ำอันสูงใหญ่เกือบสองเมตรทั้งสองร่างพุ่งวาบเข้ามาหาจน
แทบประชิดตัวแล้ว

ในห้วงวินาทีที่หมอผีชุดดำทุ่มหมดหน้าตักนั้น ดวงตาอันดำมืดของเอกกลับมิแสดงอาการหวั่นไหวอันใด
แม้แต่น้อย สัมผัสที่แผ่ขยายออกจนสุดของเขารับรู้ได้ถึงระดับพลังของตะปูหงิกงอทั้งสิบแปดดอกที่กำลัง
โผพุ่งลงมาจากความมืดด้านบนได้อย่างชัดเจน และเขาก็แน่ใจว่าเกราะเพชรของเขาสามารถรับมือได้ไม่
ยาก หรือแม้แต่ผีตายโหงท่าทางน่าเกรงขามทั้งสองตนนั้น ชายหนุ่มก็สามารถสัมผัสได้ถึงระดับของพลัง
และกระแสแห่งความหวาดกลัวขลาดเขลาในแววตาของพวกมันได้อย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งแม้ว่าพวกมันจะมีพลัง
ที่เข้มแข็งกว่าตะปูทั้งสิบแปดดอก แต่ก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรเขาได้อย่างแน่นอน

การสามารถป้องกันตัวเองได้นั้นเป็นเรื่องที่ยินดี แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้เอกรู้สึกปวดหัวมากสุดในตอนนี้
ก็คือ นี่เป็นเพียงคาถาที่เกี่ยวกับการต่อสู้เพียงบทเดียวที่เขารู้จัก !!!

มันเป็นความรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ที่ตนเองไม่มีคาถาอื่นไว้สวนกลับไอ้เจ้าหมอผี จึงได้แต่ตั้งรับและปล่อยให้
มันเป็นฝ่ายรุกกดดันอยู่เพียงฝ่ายเดียว ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหวั่นวิตกอยู่บ้าง เพราะหากว่าไอ้เจ้าหมอผีมันตระ
หนักได้ถึงความจริงที่ว่าเขารู้คาถาป้องกันตัวเพียงบทเดียวแบบนี้ มันอาจจะใช้วิธีนิ่งประหยัดพลังงานรอ
โจมตีอย่างช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าตัวเขาจะหมดพลังร่ายคาถาเกราะเพชร และเวลานั้นเขาก็ไม่มีอะไรจะใช้
ป้องกันตัวเองและหญิงสาวแล้ว

กระนั้นก็เหมือนจะมีโชคช่วยอยู่บ้าง เพราะไอ้เจ้าหมอผีคนนั้นมันเต็มไปด้วยทิฐิที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
อีกทั้งท่าทียั่วยุของบอยก็ทำให้ไอ้เจ้าหมอผียิ่งคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิมจนเอาแต่โหมโจมตีเข้าใส่อย่างหน้า
มืดตามัว และเมื่อนึกถึงตอนนี้ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมา สิ่งที่น่าทำในตอนนี้ก็คือยั่วให้มันโจมตีต่อไป
เรื่อย ๆ นั่นเอง

“โครมมมมม เคร้งงงงงงงงงงงงงงงงง”

เสียงสูงแหลมที่บังเกิดจากตะปูปะทะเข้ากับเกราะเพชร ดังขึ้นในพร้อมกับเสียงทึบหนักที่จิตวิญญาณของผี
ตายโหงทั้งสองตนพุ่งทะยานเข้าชนแบบซึ่งหน้า บอยถึงกับส่งเสียงร้องเหวอทรุดตัวล้มลงนั่งเพราะผีตายโหง
ทั้งสองตนชะงักค้างอยู่กลางอากาศห่างจากใบหน้าของเขาเพียงไม่ถึงเมตร

“อื้ออออออ อื๊ออออออออ อื้มมมมมมมม”

เวลาเดียวกันนั้นหญิงสาวหุ่นสะบึ้มก็ตัวกระตุกส่งเสียงครวญครางสะท้านอยู่ในลำคอ เพราะโดนเอกดึงกระชาก
ร่างไปสวมกอดจากทางด้านหลังพร้อมกับใช้สองมือตะโปมบีบบี้ไปตามเนื้อตัวนุ่มนิ่มเต่งตึงด้วยลีลาอันเร่าร้อน
รุนแรง ด้วยตั้งใจจะอวดยั่วยุให้ไอ้เจ้าหมอผีเห็นว่าเขากำลังแย่งเหยื่อที่มันเล็งเอาไว้ ซึ่งวิธีการนี้ก็ได้ผลเป็นอย่าง
ยิ่ง เพราะไอ้เจ้าหมอผีชุดดำคนนั้นกำลังเบิกตามองเขาอย่างกราดเกรี้ยวจนไฟแทบลุกออกมาจากดวงตาทั้งสอง

“เคร้งงงงงงงงงงงง โครมมมมมมมมมม”

เสียงแหลมสูงยังคงดังสนั่นหวั่นไหวเพราะตะปูทั้งสิบแปดดอกยังคงเต้นเร่าฝืนพยายามแหวกทะลวงเข้ามาใน
เกราะคุ้มกันที่เหมือนจะไม่มีวันพังทลาย และในขณะเดียวกันนั้นร่างวิญญาณสีแดงก่ำของผีตายโหงทั้งสองร่าง
ก็หวีดร้องโอดโอยในความเจ็บปวดเพราะโดนแรงกระแทกสะท้อนกลับจนกระเด็นปลิวถอยไปไกลลิบ

“อื้มมมมมมมมมมมมมมมมม อื๊ออออออออ อื้มมมมมมมม”

หญิงสาวส่งเสียงครางอู้อี้ไม่ขาดปาก ซึ่งหากว่าไม่ได้โดนเทปกาวปิดปากอยู่ล่ะก็ เธอก็คงจะส่งเสียงหวีดร้อง
ออกมาแล้ว เพราะว่าเอกนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาซุกไซร้ซอกคอของเธอ ไปพร้อมกับใช้สองมือบีบขยี้ทรวงอก
อวบใหญ่ของเธออย่างรุนแรงจนก้อนเนื้อเต่งทั้งสองข้างบิดเบี้ยวคล้ายลูกโป่งที่แทบปริแตก

ลีลาการรุกเร้าด้วยอารมณ์หื่นจัดของชายหนุ่มปรนเปรอความเสียวแปลบปลาบที่ทรวงอกจนหญิงสาวทั้งเจ็บ
ทั้งเสียวซ่านสะท้านทรวงแทบขาดใจตาย กระนั้นอารมณ์ใคร่ที่กำลังระเบิดปะทุอยู่ในร่างก็เร่งเร้าให้หญิงสาว
นมโตแอ่นอกอวบตูมเด้งเสนอเข้าหาสองมือของชายหนุ่ม ไปพร้อม ๆ กับ ส่ายเด้งสะโพกผายงอนบดเบียดเข้า
หาแก่นกายที่แข็งผงาดอยู่ที่ด้านหลัง

หมอผีชุดดำที่เร่งเร้าพลังจนเส้นเลือดปูดโปนไปทั้งตัวสั่นหัวเร่า ๆ อย่างเดือดดาลที่ได้เห็นการร่วมรักอย่างย่าม
ใจของเอกและเหยื่อที่มันเล็งไว้เหมือนไม่เห็นมันอยู่ในสายตา เสียงโครมทึบหนักจึงดังขึ้นอีกหลายต่อหลาย
ครั้งเมื่อไอ้เจ้าผีตายโหงทั้งสองตนโดนหมอผีผู้เป็นนายสั่งให้ลงมือจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งแม้ว่าพวกมันจะหวาด
กลัวในพลังของเอกเพียงใด แต่สุดท้ายเมื่อเป็นคำสั่งของผู้เป็นนาย พวกมันก็ได้แต่ต้องกระทำตามในทุกสิ่ง
แม้ว่าการกระทำนั้นจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดจนพวกมันต้องหวีดร้องโหยหวนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม

หญิงสาวหุ่นนางแบบที่อยู่ภายในเกราะป้องกันก็ตัวกระตุกเฮือกสะดุ้งส่งหวีดร้องออกมาเช่นกัน หากแต่นั่นกลับ
เป็นเพราะความหฤหรรษ์อันยาวใหญ่ที่กำลังแหวกทะลวงแทรกเข้าไปในร่างของเธอจากทางด้านหลัง หญิงสาว
ที่โดนชายหนุ่มจับยืนถ่างขาโก้งโค้งรู้สึกจุกแน่นไปทั่วท้องน้อย ความคับแน่นที่กำลังหยั่งลึกเข้าไปในร่องของ
เธอนั้นมาพร้อมกับความซาบซ่านหฤหรรษ์อันเร่าร้อนรุนแรงอย่างที่มิอาจหาสิ่งใดเทียบเทียม เพราะเจ้าแท่งเนื้อ
นั้นอาบไล้ไปด้วยมนตราที่ชายหนุ่มร่ายกำกับไว้ด้วยอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อดุ้นลงอาคมกดลึกเข้าไปในโพรงสวาทร้อนฉ่าของหญิงสาว กระแสมนตราอันดำมืดก็พุ่งพรวดเข้าไปกระตุ้น
เร้าสัมผัสของหญิงสาวจนเธอตัวกระตุกเฮือกราวกับถูกไฟฟ้าช๊อต และวินาทีถัดจากนั้นความหฤหรรษ์ขั้นสุดยอด
ที่รุนแรงมากกว่าการร่วมรักแบบปกติหลายสิบเท่าก็ระเบิดตูมจนหญิงสาวตัวเกร็งสะท้านเพราะถึงจุดสุดยอดอย่าง
ฉับพลัน

น้ำรักของเธอไหลพรากทะลักออกมาราวกับเขื่อนแตก แข้งขาอ่อนแรงจนยืนหยัดไว้ไม่อยู่ กระนั้นชายหนุ่มก็คว้า
จับสองเต้าพยุงยึดร่างของเธอเอาไว้มิให้ล้มลงไป จากนั้นก็ลงมือบีบขยี้ ไปพร้อม ๆ กับการขยับกระหน่ำควงบั้น
เอวกระเด้าเข้าใส่โพรงสวาทที่กำลังขมิบตอดหนุบหนับอย่างถี่ยิบรุนแรง

เสียงหน้าขาของชายหนุ่มที่กระทบกระแทกกับแก้มก้นของหญิงสาวดังมิใช่น้อย หากแต่เสียงเคร้งคร้างของตะปู
และเสียงกระแทกโครมครามของผีตายโหงทั้งสองตนนั้นดังกลบจนบอยที่กำลังนั่งตะลึงอยู่ด้านหน้าไม่ได้ยินและ
ไม่ทันได้รับรู้แม้แต่น้อยว่าเอกกับหญิงสาวนมโตหุ่นนางแบบนั้นกำลังร่วมรักกันอย่างถึงพริกถึงขิงเพียงใด

ความสนใจของเขาโดนผีตายโหงทั้งสองตนนั้นดึงดูดไปจนหมดสิ้น เพราะแม้ว่าเขาจะเป็นพวกชื่นชอบในไสย
ศาสตร์และมีความพยายามค้นคว้าหาความรู้ด้านนี้มาโดยตลอด เพราะอยากเห็นเองสักครั้ง แต่เขาเองก็ไม่เคย
เห็นผีจริง ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว และสำหรับคราครั้งนี้ เมื่อเขาได้เห็นเต็มตาเป็นครั้งแรกสภาพอันเน่าเฟะน่า
สยองขวัญของผีตายโหงทั้งสองตน ก็แทบจะทำให้เขาไม่อยากเห็นพวกมันอีกแล้วเป็นครั้งที่สอง

มันเป็นเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำนับตั้งแต่ที่หมอผีลงมือจู่โจมครั้งสุดท้าย หากแต่หญิงสาวเจ้าของ
เต้าภูเขาไฟก็ทานทนต่อความเสียวซ่านที่รุกเร้าอย่างหนักหน่วงไม่ไหวจนกระตุกเฮือกถึงจุดสุดยอดไปแล้วถึง
สามครั้งติด ๆ กัน

มันเหมือนกับว่าภายใต้การกระหน่ำราวลูกสูบเครื่องยนต์ของเขานั้น อารมณ์ใคร่ของเธอพุ่งทะยานค้างคาอยู่
ที่จุดสุดยอดอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับลง ร่างเลือดเนื้ออันสาวสะพรั่งของเธอจึงได้แต่กระตุก
สะท้านถึงจุดสุดยอดรอบแล้วรอบเล่าด้วยความหฤหรรษ์ที่มีแต่จะทวีรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

เอกเจตนายิ้มเยาะหมอผีชุดดำ ขณะบีบคลึงเต้านมอวบใหญ่เนื้อแน่นอย่างเมามันส์ ไปพร้อมกับกระแทกเอวอัด
ดุ้นลงอาคมเข้าใส่ร่องที่ตอดตุบอย่างหื่นหฤหรรษ์ ความตั้งใจในคราวแรกนั้น เขาเพียงแค่ต้องการจะลวนลาม
หญิงสาวเพียงแค่ภายนอกเพื่อยั่วยุให้หมอผีชุดดำโกรธจนขาดสติ กระนั้นเมื่อลองแตะเนื้อต้องตัวหญิงผู้นี้เข้า
จริง ๆ เขากลับกลายเป็นฝ่ายที่อดกลั้นไม่ไหวต้องสอดใส่ล่วงล้ำเข้าไปในร่างของหญิงสาวจนได้

มนตราอันดำมืดฉุดรั้งสติของเขาให้ดื่มด่ำมัวเมาหลงไหลไปกับเนื้อหนังอันหอมหวานของหญิงสาวหุ่นสะคราญ
จนแทบลืมเลือนสิ้นซึ่งทุกสิ่งอย่าง รวมถึงลืมตัวอย่างสิ้นเชิงว่าไม่ควรใช้ดุ้นลงอาคมอย่างต่อเนื่องยาวนานเกิน
ไป เพราะคาถานี้แม้จะสร้างความสุขหฤหรรษ์ขั้นสุดยอดให้หญิงสาว แต่หากใช้อย่างยาวนานเกินไปก็อาจจะทำ
ให้สติและร่างกายของฝ่ายหญิงทานทนรับไว้ไม่ไหว

หญิงสาวตัวกระตุกเกร็งถึงจุดสุดยอดแห่งความเสียวเป็นครั้งที่สิบโดยมิได้หยุดพัก สติของเธอดับวูบลงไปใน
ทันทีราวกับโดนกดปิดสวิทซ์ ร่างเปลือยอวบอึ๋มเร้าเสน่ห์ที่โดนชายหนุ่มยึดประคองไว้จึงค่อย ๆ ร่วงหล่นลง
ไปกองกับพื้น หากดูเหมือนว่าชายหนุ่มยังไม่สาแก่ใจ เพราะเขาจับหญิงสาวนอนก้มหน้ากระดกก้นโด่งลอยขึ้น
มา แล้วก็ทำการกระเด้าอย่างหื่นกระหายต่อไปอีกพักใหญ่ จนร่างของหญิงสาวที่สลบไปแล้วกระตุกเฮือก ๆ
อีกหลายครั้ง ก่อนที่จะกระดกเอวระเบิดน้ำกามเข้าไนร่องหลืบอันร้อนฉ่าของเธอ

…………………………………………………………………………………..

เมื่อได้ปลดปล่อยความใคร่ออกไปหนึ่งยก เอกจึงค่อยได้สติกลับคืนมา เขารีบดึงรั้งถอนแก่นกายออกมา แล้ว
โอบประคองปล่อยให้หญิงสาวนอนหลับไหลสลบเหมือดแน่วนิ่งอยู่บนกอหญ้า ซึ่งแม้ว่าในใจนั้นอยากจะกอด
รัดสมสู่กับเรือนร่างสะคราญของหญิงสาวนมโตคนนี้ต่อไปอีกเนิ่นนานเพียงใด แต่เมื่อระดับความร้อนแรงของ
อารมณ์ที่โดนกระตุ้นเร้าด้วยมนต์ดำลดน้อยถอยลง ชายหนุ่มจึงค่อยได้คิดว่าเขาเผลอตัวทำเกินเลยไปหน่อย
เพราะยังสู้รบปรบมือกับหมอผีชุดดำไม่เสร็จเสียด้วยซ้ำ

เอกรีบดึงกางเกงขึ้นมาสวมใส่ แล้วหันมองสถานการณ์โดยรอบ ยังดีที่บอยกำลังนั่งเหวอเบิกตามองดูผีตายโหง
ที่ลอยวนไปมาจนไม่ได้หันมาสนใจมองฉากเด็ดที่เขาร่วมรักกับหญิงสาวอย่างโจ๋งครึ่ม หากแต่ดูเหมือนว่าฉาก
เด็ดนั้นจะอยู่ในสายตาของหมอผีชุดดำจนหมดสิ้น เพราะมันกำลังเบิกดวงตาอันแดงก่ำจ้องมองมาด้วยความ
เคืองแค้นสุดชีวิตที่ทำอันตรายเขาไม่ได้ อีกทั้งยังโดนเหยียดหยามด้วยการไปร่วมรักกับหญิงสาวที่มันหมาย
ปองในระหว่างการต่อสู้อีกต่างหาก

หมอผีชุดดำพยายามเกร็งพลังมากกว่าเดิม หากแต่ก็เหมือนดั่งแสงตะเกียงที่ไร้ซึ่งเชื้อเพลิง แสงสีม่วงเข้มที่
อาบไล้บนตะปูทั้งสิบแปดตัวค่อยดับวูบลงเมื่อพลังมนตราจากเจ้าของแห้งขอด จากนั้นก็เริ่มร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน
ราวกับแมลงต้องเปลวไฟ และก็เฉกเช่นเดียวกันกับ บรรดาผีตายโหงทั้งสองตนที่ลดขนาดลงเหลือเป็นดวงไฟ
เล็กจ้อยก่อนบินหายวูบกลับเข้าไปในย่ามสะพายของหมอผีชุดดำ และนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแผนการของ
เอกนั้นสำเร็จแล้ว

เกราะเพชรที่ขึงกางไว้ทั้งแปดทิศสลายหายวูบ เอกร่ายคาถาถอนมันออกไปเมื่อมิอาจสัมผัสได้ถึงพลังมนต์ดำ
จากหมอผีที่เพิ่งจะทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง หากดูเหมือนว่ามันกลับส่งเสียงหัวเราะร่วนราวกับคนเสียสติ
ด้วยยังมิอาจทำใจยอมรับความพ่ายแพ้ต่อชายหนุ่มรุ่นลูก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า มึงแน่มากไอ้หนุ่ม แต่ว่ายังไงวันนี้มึงก็ต้องตาย มึงท้าทายกูเอง มึงท้าทายกู มึงทำให้กูต้องใช้มนต์
ต้องห้ามที่กูไม่อยากใช้ มึงหาเรื่องตายแบบศพไม่สวยเองนะไอ้หนุ่ม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า มึงต้องตาย มึงต้องตาย ….”

หมอผีชุดดำตะโกนเสียงแหบพร่าขณะล้วงมือลงไปหยิบหัวกระโหลกเล็ก ๆ ที่ไม่คล้ายเป็นหัวกระโหลกของคน
ขึ้นมาวางไว้บนศรีษะของตน จากนั้นก็เริ่มบริกรรมคาถาพึมพัมด้วยใบหน้าอันบิดเบี้ยวเจ็บปวดทรมาณ

เอกเฝ้ามองสัมผัสกระแสพลังสีดำมืดอันแปลกประหลาดที่ไหลวนเวียนสลับไปมาระหว่างหมอผีและหัวกระโหลก
ที่ดูคล้ายกระโหลกลิงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นสงสัย มันเป็นรูปแบบการผสานของมนตราที่เขาไม่เคยได้ยินจากรักยม
หรือนางตะเคียนมาก่อน เพราะกระแสพลังในครั้งนี้นั้นราวกับกำลังจะหลอมรวมจิตวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในกระโหลก
ลิงเข้ากับจิตวิญญาณมนุษย์ของหมอผีคนนั้นก็มิปาน

เป็นดั่งที่เอกสัมผัสได้ ภายใต้ใบหน้าอันบิดเบี้ยวเจ็บปวดของหมอผีนั้น จิตวิญญาณของมันกำลังรวมตัวผสานกลืน
เข้ากับจิตวิญญาณของสัตว์ร้ายสีแดงโร่จนแทบแยกจากกันมิออก และนี่เป็นอีกครั้งในค่ำคืนนี้ที่เอกต้องรู้สึกขนลุก
เกรียวขึ้นมา

“ไม่ต้องมาขู่กูเลยไอ้หมอผีสัปปะรังเค เห็นอยู่ว่าสู้ตะกรุดสมิงพรายของกูไม่ได้ คราวนี้ขอพ่อเพ่นกะบาลให้หัวแตก
ซักทีเหอะ เอาแต่เสกผีเสกตะปูมาขู่อยู่ได้ กูก็กลัวผีเหมือนกันนะโว้ย”

บอย ตวาดทับพร้อมเดินดุ่ยตรงเข้าหาหมายหวดไม้หน้าสามฟาดเจ้าหมอผีให้หายแค้นที่เสกผีตายโหงให้เขาเห็น
จนแทบฉี่แตก และนี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้เขาเชื่อว่าตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายที่อยู่ในมือนั้นทรงซึ่งอิทธิฤทธ์จนสามารถ
ป้องกันมนต์เสกตะปูและผีตายโหงทั้งสองตนนั้นได้ โดยที่ไม่อาจรู้ความจริงได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เสียงผั๊วะดังขึ้นเบา ๆ คราหนึ่ง เมื่อไม้หน้าสามโดนหวดฟาดไปที่ต้นคอของหมอผีชุดดำเต็มแรง หากแต่หมอผีคน
นั้นกลับเพียงแสยะยิ้มตอบราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เป็นบอยเองซะอีกที่โดนแรงกระแทกสะท้อนกลับจนเจ็บไปทั้ง
ง่ามมือ ในใจเริ่มบังเกิดความตื่นตระหนกเพราะเขาหวดโดนคอของไอ้เจ้าหมอผีชัด ๆ หากแต่ความรู้สึกที่สะท้อน
กลับมานั้นราวกับว่าเขาหวดไม้เข้าใส่แท่งเหล็กก็มิปาน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกมึงต้องตาย ต้องตาย … ตาย … ฮื่ออออออ แฮ่ฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ ฮื่ออออออออออ”

เจ้าหมอผีส่งเสียงหัวเราะลั่น ขณะที่เสียงของมันกลับเริ่มผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปเหมือนเสียงร้องคำรามของสัตว์ร้าย
บอยดึงไม้หน้าสามกลับมาด้วยความตื่นตกใจจากนั้นก็หวดไปที่ศรีษะของหมอผีอีกครั้งด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่มีอยู่
และคราวนี้ไม้หน้าสามท่อนนั้นก็ถึงกับเด้งกระดอนหวือหายวับเข้าไปในความมืดของป่าดงพงไพร ส่วนมือทั้งสอง
ของบอยนั้นก็ถึงกับสั่นสะท้านระริกเหมือนง่ามมือจะฉีกขาด

ความหวาดกลัวที่รุนแรงยิ่งกว่าได้เห็นผีตายโหงทั้งสองตนกำลังเล่นงานบอยอย่าหนักหน่วง เพราะเวลานี้ ร่างผอม
แห้งของหมอผีคนนั้นกำลังบวมเป่งไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นจนเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่คับปริ และ
ขาดผึงออก ผิวกายของมันปรากฏเส้นขนสีน้ำตาลรกรุงรังผุดโผล่ออกมาในแทบทุกตารางนิ้ว ใบหน้าของมันเริ่มบิด
เบี้ยวแปรเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหมือนศรีษะของคน หากแต่กลายสภาพเป็นศรีษะของลิงยักษ์ตัวหนึ่ง

“โฮกกกกกกกกกกกกก แฮ่ ฮื่อออออออออออออ”

หมอผีชุดดำหายไปแล้ว ยังคงเหลือแต่ลิงยักษ์ขนรกรุงรังขนาดสูงใหญ่เกือบสามเมตรยืนตระหง่านส่งเสียงก้องร้อง
คำรามอยู่เบื้องหน้า กลิ่นสาปสางของสัตว์ป่าโชยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ปากของมันอ้าออกจนเห็นฟันสีเหลืองอ๋อยอันคม
กริบที่พร้อมจะอ้างับเคี้ยวกระโหลกของบอยให้แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ในคราวเดียว

บอยขาสั่นพั่บ ๆ เมื่อไอ้เจ้าลิงยักษ์นั้นก้มหน้าจ้องลงมามองดูเขา ความคิดตอนนี้คือต้องรีบวิ่งหนีไปให้ไกล หากแต่
ว่าสองขากลับหยุดนิ่งมิอาจขยับเคลื่อนไหวแม้แต่นิด เจ้าลิงยักษ์หายใจฟืดฟาดสองสามครั้งก่อนสะบัดมือที่เต็มไป
ด้วยมัดกล้ามเนื้อขึ้นไปด้านบน จากนั้นก็ตวัดวูบตบกลับมาที่ร่างของเขา ด้วยเรี่ยวแรงพลังที่ตั้งใจจะบดบี้ให้บอย
กลายสภาพเป็นก้อนเนื้ออันแหลกเละอยู่ตรงนั้นในคราวเดียว

เสียงกระแทกตูมดังสนั่นหวั่นไหว ต้นหญ้าและผืนดินถูกนิ้วมือของลิงยักษ์ขุดเฉาะลงไปจนแตกกระจายเป็นหลุมลึก
ส่วนร่างของบอยก็ลอยหวือละลิ่วไปข้างหลังเพราะโดนเอกกระโจนเข้ามาดึงตัวช่วยเอาไว้ได้ทันฉิวเฉียดแบบเส้นยา
แดงผ่าสิบแปด บอยครางหนัก ๆ คราหนึ่งเมื่อหล่นลงไปกระแทกกับผืนหญ้า ก่อนจะกลิ้งตัวกลุก ๆ ไปอีกสี่ห้ารอบ
แล้วไปนอนคร่อมทับอยู่บนเรือนร่างอันนุ่มนิ่มของหญิงสาวอวบเปลือยที่นอนสลบไสลอยู่

บอยทำท่าจะรีบลุกขึ้นเพราะเกรงว่าจะโดนหญิงสาวต่อว่าเอา หากแต่เมื่อเธอยังคงนอนนิ่งเฉยไม่กระดุกกระดิก
ชายหนุ่มจึงยังคงซุกใบหน้าแนบกับทรวงอกของหญิงสาวเช่นเดิม เสียงหายใจอันสม่ำเสมอที่บ่งบอกว่าหญิง
สาวน่าจะหลับไหลอยู่ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มไม่อยากผละออกจากกลิ่นกายอันหอมหวาน และความนุุ่มนิ่มของ
สองเต้าอวบใหญ่ที่เขากำลังแนบซุกใบหน้า

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าที่สติของบอยจะคลายจากมนต์สะกดของทรวงอกอวบ และเมื่อตระหนักได้ว่าเขาเพิ่ง
จะเฉียดผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหมาด ๆ ดวงตาที่กำลังเคลิบเคลิ้มก็เหลือบมองผ่านเงาของปลายยอด
ปทุมถันที่กำลังแข็งเด้งชูชันอยู่เบื้องหน้าไปทางเงาร่างอันสูงใหญ่ดำมืดของลิงยักษ์ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น
พรั่นพรึง

ความรู้สึกหนาววูบแล่นพล่านไปตามไขสันหลังเมื่อพบว่าเงาของสัตว์ร้ายยังคงอยู่ที่ตรงนั้น หากกระนั้น
บอยก็อดรู้สึกแปลกใจตัวเองไม่ได้ ที่เมื่อเห็นเงาหลังของเอกที่ยืนตระหง่านเผชิญหน้ารับมือเงาดำอันสูง
ใหญ่กว่าเกือบเท่าตัวของลิงยักษ์แล้ว กลับบังเกิดความรู้สึกสบายใจ และเชื่อมั่นว่าเพื่อนใหม่ของเขาจะ
สามารถสู้รบปรบมือกับไอ้เจ้าสัตว์ร้ายที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ตนนั้นได้

“ไอ้เกลอเอ๊ยสู้คนเดียวไปก่อนนะ แกสู้ไหวแน่ … แต่ตอนนี้ไอ้คุณบอยขอแกล้งตายก่อนนะครับ เพราะเขา
บอกว่าถ้าเจอหมีให้แกล้งตาย เอ๊ะ แต่มันไม่ใช่หมีนี่หว่า แต่ช่างมันเหอะ แกล้งตายบนนมนี่แหละกำลังดี …
อูยยย นมใหญ่ชะมัด บึ้บบั้บกว่าของแพรอีก”

บอยบ่นพึมพัมกับตัวเองเบา ๆ ก่อนตัดสินใจอยู่ในท่วงท่าแกล้งตายด้วยการซุกใบหน้าเข้าหาร่องอกอันเต่ง
แน่นของหญิงสาว ไปพร้อม ๆ กับใช้สองมือบีบนวดขยำสองเต้าและปลายถันที่เด้งสู้มือของเธออย่างสนุก
สนาน จนร่างของหญิงสาวสั่นสะท้านเบา ๆ ให้กับความเสียวซ่านทั้งที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ

ในห้วงที่ดวงจิตยังคงสลบไสลนั้น ร่างเลือดเนื้ออันอวบอั๋นเต่งตึงของหญิงสาวยังคงอบอวลไปด้วยเพลิงไฟแห่ง
ราคะที่โดนปลุกเร้าด้วยมนตราของเอก ด้วยอิทธิฤทธิ์ของมนตรานั้น แม้ว่าเธอจะสลบไสลไปแล้ว แต่ในห้วงแห่ง
ความฝันนั้นหญิงสาวก็ยังคงร่วมรักสมสู่อยู่กับชายหนุ่มต่อไปอย่างไม่มีหยุดพัก และเมื่อโดนบอยสะกิดกระตุ้นขึ้น
มาร่างกายของเธอก็ตื่นตัวจนร้อนผ่าวสั่นระริกขึ้นมาอีกครั้ง

ปฎิกิริยาตอบสนองของปลายถันที่ตั้งตัวแข็งเต่งขึ้นมาภายใต้ลีลาปลุกเร้าของอุ้งมือตนเอง และความอวบเต่งนุ่ม
นิ่มของเรือนกายหญิงสาว ทำให้บอยเกิดอาการตื่นเต้นจนปวดหนึบที่เป้ากางเกง แรกที่ได้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าของ
หญิงสาวภายใต้แสงไฟฉายก็ทำให้เขารู้สึกตื่นตัวพอดูอยู่แล้ว หากเมื่อได้มาสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อแบบนี้ ทรวง
อกของหญิงสาวก็ดูเหมือนจะอวบอูมใหญ่บึ้มกว่าที่เขาคาดคิดไว้ในคราวแรกไม่น้อย อีกทั้งมันยังแน่นและเด้งเต่ง
ตึงยิ่งกว่าสองเต้าของผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยบีบสัมผัสเสียด้วย

“อูยยยยย … นมใหญ่จัง … แถมยังเด้งสุดยอด”

บอยบ่นพึมพำก่อนอ้าปากงับที่ปลายถันแล้วออกแรงดูดจ๊วบ ๆ อย่างหิวโหย ส่วนสองมือก็ทำการบีบขยำเคล้นคลึง
สองเต้าอวบหยุ่นไปพร้อมกันอย่างเมามันส์สะใจในอารมณ์ ยิ่งได้เห็นร่างของหญิงสาวสั่นกระตุกพร้อมกับเสียงคราง
ด้วยแล้วอารมณ์ของบอยก็ยิ่งบังเกิดความพุ่งพล่านขึ้นมา ทรวงอกอวบทั้งสองข้างจึงทั้งโดนบีบขย้ำ และดูดเลียจน
เปียกชุ่มโชกไปทั่วทุกตารางนิ้ว เวลานี้ไฟราคะได้ทำให้ชายหนุ่มลืมไปเสียแล้วว่าเพื่อนเกลอของเขากำลังจะเปิด
ศึกอยู่กับเจ้าลิงยักษ์อยู่

………………………………………………………………………………

“โฮกกกกกกกกก ”

เจ้าลิงยักษ์ส่งเสียงร้องคำรามอีกครั้งอย่างขัดใจที่พลาดจากการบดขยี้บอยให้แหลกเละเป็นก้อนเนื้อคาอุ้งมือตน
อีกทั้งยังขัดใจอย่างยิ่งที่ชายหนุ่มร่างกระจ้อยร้อยผู้นี้กล้ายืนประจัญหน้ากับมันที่สูงใหญ่กว่าโดยไม่มีท่าทีหวั่น
เกรงอีกต่างหาก

การที่ต้องยืนอยู่เบื้องหน้าลิงยักษ์สูงสามเมตรนั้นไม่ว่าเป็นใครก็คงต้องหวาดผวาจนแข้งขาอ่อนแรง กระนั้นเอก
กลับรู้สึกแปลกใจในตัวเองไม่น้อยที่เวลานี้ความหวาดกลัวมิอาจเล่นงานเขาได้ ดวงตาดำที่ดำมืดมิดดั่งรัตติกาล
จ้องมองลิงยักษ์ด้วยความรู้สึกมั่นใจเจือปนไปกับความเวทนา

ชายหนุ่มมิได้มีภูมิความรู้กว้างขวางเพียงพอว่าไอ้เจ้าหมอผีชุดดำคนนั้นมันทำอะไร จึงได้กลายร่างมาเป็นลิงยักษ์
แบบนี้ หากแต่กระแสพลังที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่แรกนั้นก็พอจะทำให้เขาคาดเดาเรื่องราวได้อยู่บ้าง แรกเริ่มนั้นดวง
จิตของหมอผี และดวงจิตที่สิงสู่อยู่ในกระโหลกลิงนั้นอยู่แยกกันเป็นเอกเทศอย่างที่ควรจะเป็น

หากแต่เมื่อหมอผีร่ายบริกรรมคาถานั้น จิตวิญญาณสีแดงโร่ของลิงยักษ์ก็ย้ายจากหัวกระโหลกมาทาบทับหลอม
รวมกับวิญญาณของหมอผี ซึ่งผลลัพธ์ของการกระทำนั้นก็คือร่างของหมอผีกลับกลายเป็นร่างของลิงยักษ์อัน
ทรงพลัง หากแต่สิ่งที่น่าเวทนาก็คือ จิตวิญญาณทั้งสองที่หลอมรวมนั้นกลับบิดเบี้ยวผกผันขุ่นมัวไปด้วยไอดำ
ราวกับจิตวิญญาณที่วิปลาศใกล้แตกดับ ชายหนุ่มแทบไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าหากจิตวิญญาณของเขาบิดเบี้ยว
เช่นนั้น เขาจะรู้สึกทรมาณเช่นไร และไม่เข้าใจว่าเหตใดหมอผีคนนี้จึงต้องยอมทำถึงเพียงนี้

เจ้าลิงยักษ์ร้องคำรามก้องอีกครั้งเหมือนกับว่ามันจับได้ถึงความรู้สึกสมเพชเวทนาจากดวงตาของชายหนุ่ม มัน
ยกมือขึ้นมาทุบตีแผงหน้าอกของตัวเองเสียงดังทึบราวกับกลองหนังเพื่อขู่ขวัญ กระนั้นเมื่อชายหนุ่มยังคงยืน
แน่วนิ่งอยู่เบื้องหน้า มันก็หวดมือทั้งสองข้างหมายจะบดบี้ร่างของชายหนุ่มให้แหลกเละด้วยโทสะ

เสียงตูมดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับเศษดินและหญ้าที่ถูกอุ้งมืออันทรงพลังของมันขุดจนฟุ้งกระจายไปทั่ว
บริเวณ กระนั้นชายหนุ่มเป้าหมายของมันกลับกระโดดหลบไปข้างหลังด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
การโจมตีครั้งแรกที่พลาด มิได้ทำให้เจ้าลิงยักษ์คิดจะหยุดแต่อย่างใด มันดีดโผพุ่งตัวเข้าหาเอก พร้อมกับตวัดมือ
หวดวูบไปมาอีกหลายครั้ง หากชายหนุ่มก็ว่องไวพอที่จะหลบซ้ายหลบขวาจนอุ้งมืออันทรงพลังของมันทำได้เพียง
หวดไปมาในอากาศ

เสียงตูมดังขึ้นมาอีกหลายครั้งพร้อมเสียงร้องเกรียวกราวของต้นไม้น้อยใหญ่ที่โดนอุ้งมือของลิงยักษ์ฉีกกระชาก
หากเป็นต้นไม้ขนาดเล็กเมื่อโดนอุ้งมือของมันก็จะถึงกับหักโค่นในคราวเดียว แต่หากเป็นต้นใหญ่หน่อย ก็เพียง
โดนกระชากบางส่วนจนขาดวิ่นติดอุ้งมือมันไป ซึ่งคงจินตนาการได้ไม่ยากว่า หากอุ้งมือของมันฟาดเข้ากับร่าง
ของมนุษย์แล้วล่ะก็ เลือดเนื้ออันอ่อนแอก็คงจะแหลกเละเหลวคาอุ้งมือของมันอย่างแน่นอน

บอยที่โดนเสียงการต่อสู้เรียกร้องความสนใจก็อ้าปากปล่อยปลายถันของหญิงสาวให้เป็นอิสระ หากแต่ยัง
คงใช้สองมือคลึงเคล้นมิยอมปล่อยออก บอยหันหน้ามาเหม่อมองเงาร่างของทั้งสองที่ปรากฎวูบวาบในดง
ไม้อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เงาของลิงยักษ์อันน่าหวาดหวั่นนั้นโหมโจมตีอย่างกราดเกรี้ยวรุนแรงถึงเพียง
ใด หากแต่ไอ้เกลอคนใหม่ของเขานั้นกลับหลบเลี่ยงได้ด้วยความเร็วราวกับไม่ใช่มนุษย์ และนี่ก็เป็นอีกครั้ง
ที่ทำให้บอยรู้สึกว่าเอกนั้นไม่ใช่คนธรรมดา

เอกกระโจนหลบอุ้งมือที่ใหญ่เท่ากระด้งของมัน แล้วมุดเข้าไปใกล้ ๆ ก่อนเลียนแบบท่วงท่าเตะต่ำของมวย
ไทยที่เจ้านักเลงได้แสดงให้ดู เสียงตูมดังขึ้นมาคราหนึ่งเมื่อหน้าแข้งของเขาประทะเข้ากับน่องของเจ้าลิง
ยักษ์แรงกระแทกสร้างความเจ็บปวดให้กับมันมากพอดูจนมันร้องคำรามออกมา กระนั้นนั่นก็เป็นเพียงความ
เจ็บปวดเพียงผิวเผินเท่านั้น

“ไม่ใช่ …”

เอก บ่นพึมพำด้วยความผิดหวัง ขณะกระโจนหลบอุ้งมือที่หวดฟาดเข้าใส่แบบฉิวเฉียดที่สุด ชายหนุ่มมุดร่าง
อ้อมหลบไปอยู่ด้านหลังของลิงยักษ์ จากนั้นก็ยืนปักหลักแล้วก็หวดเตะออกไปเต็มแรงอีกครั้ง เสียงตูมที่ดัง
กว่าเดิมดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของลิงยักษ์ หากแต่นั่นก็ยังคงเป็นแค่ความเจ็บปวด
บนผิวกายที่มีขนคลุมรุงรังของมันเช่นเดิม

“ก็ยังไม่ใช่อีก … นี่ก็ยังไม่ใช่ ….”

เอกกระโจนหลบวูบไปมาเหมือนแมลงวันตัวจ้อยหลบไม้ตีแมลง กระนั้นทุกคราที่หลบเลี่ยงก็จะปรากฎเสียง
เท้าเตะตูมเข้าที่แข้งขาของลิงยักษ์ตามมาเสมอ เสียงลิงยักษ์ร้องด้วยความเจ็บแสบเจือรำคาญ และเสียงบ่น
พึมพำอย่างผิดหวังของเอกจึงแว่วดังสลับไปมามิได้หยุด

“ตูมมมม ….. แคร่กกกกกกกกกกก”

เสียงอุ้งมือใหญ่ยักษ์ของสัตว์ร้ายดังขึ้นอีกครั้ง และคราครั้งนี้ต้นไม้เคราะห์ร้ายก็โดนอุ้งมือของมันฉีกกระชาก
จนลำต้นขาดวิ่นแล้วล้มครืนลงไปกระแทกฟาดกับผืนป่า ส่วนเอกผู้เป็นเป้าหมายของลิงยักษ์นั้นได้กระโจนหลบ
ถอยห่างออกไปไกลหลายสิบก้าวแล้ว ไอ้เจ้าลิงยักษ์จึงได้แต่ทุบตีแผงอกตัวเองด้วยความโกรธเกรี้ยวหงุดหงิด
รำคาญใจ

เอกถอยห่างออกมาด้วยต้องการใช้ความคิดบางอย่าง ลูกเตะของเขาโดนเจ้าลิงยักษ์ตัวนั้นเข้าไปหลายครั้งก็จริง
หากแต่ก็ทำได้เพียงแค่สร้างความเจ็บแสบแบบคัน ๆ ให้มันได้เท่านั้น ซึ่งหากคิดจะล้มเจ้าสัตว์ร้ายใหญ่ยักษ์ตน
นี้ให้ได้ เขาจะต้องทำบางสิ่งที่คิดหวังไว้ให้สำเร็จให้ได้

เอกยืนหลับตานิ่งครู่หนึ่ง ในห้วงความคิดนั้น ภาพการเคลื่อนไหวของเจ้านักเลงที่เคยเตะอัดเขาจนเจ็บแปลบฉาย
ซ้ำขึ้นมาอีกหลายครั้ง ซึ่งหากให้เทียบเรี่ยวแรงแล้วกำลังขาของเขามากกว่าเจ้านักเลงนั่นหลายเท่าตัว แต่ท่าเตะ
ของเจ้านักเลงคนนั้นที่กลับเหมือนรีดเร้นเรี่ยวแรงออกมาได้จากทั่วทั้งร่าง แล้วระเบิดออกมาเป็นลูกเตะที่มีอานุภาพ
ร้ายกาจยิ่ง เทียบกับท่าเตะของเขาที่เพียงใช้กำลังขาอย่างเดียวแล้วช่างต่างกันลิบลับเสียเหลือเกิน

‘บิดตัว เหวี่ยงแขน หวดขาสุดแรง !!!!’

ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของความคิดราวกับฟองอากาศลอยล่องสู่ผิวน้ำ นั่นคือความแตกต่างที่เห็น
ได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบระหว่างท่าเตะของเขาและเจ้านักเลงมวยไทย

เอกลืมตาโพลง หันมายืนตั้งเท่าเลียนแบบท่าของมวยไทย ก่อนบิดเอวเหวี่ยงแขนแล้วเตะหวดสุดแรง และครา
ครั้งนี้แข้งของชายหนุ่มก็หวดฟาดตัดผ่านความมืดอันว่างเปล่าส่งเสียงดังฟุ่บราวกับปลายแส้ เสียงที่เกิดขึ้นสร้าง
ความปิติยินดีให้แก่ชายหนุ่มจนเผยรอยยิ้มขึ้นมา และถัดจากนั้นชายหนุ่มก็ทดลองหวดเตะใส่อากาศจนบังเกิด
เสียงฟุ่บฟุ่บดังติด ๆ กัน

สัตว์ป่าอย่างไรก็เป็นเพียงสัตว์ป่า เจ้าลิงยักษ์ยืนเกาหัวแกรกมองการกระทำของชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ มัน
แทบไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำว่าเสียงแหวกอากาศดังฟุ่บที่ค่อยทวีความดังขึ้นเรื่อย ๆ นั้นเป็นสัญญาณอันตราย
ต่อตัวมันอย่างไร สัตว์ป่าอย่างมันเพียงคิดว่าเหยื่อตัวจ้อยตัวนี้ช่างว่องไวเหลือเชื่อจนขี้เกียจจะเสียเวลาไล่
สายตาอันแดงวาวของมันจึงกราดมองหาเหยื่อรายใหม่ที่มันสามารถขบเคี้ยวได้ง่ายกว่าเดิม และเหยื่อราย
ใหม่ที่สะท้อนอยู่ในแววตาของสัตว์ป่าเพศผู้อย่างมันก็คือ หญิงสาวอวบเปลือยที่บอยกำลังจูบซุกไซร้ทรวง
อกอยู่นั่นเอง

“โฮกกกกกกกกกกก”

เจ้าลิงยักษ์ส่งเสียงคำรามก้องข่มขวัญขณะเดินใกล้เข้าไป จนบอยที่กำลังดูดกินนมอย่างเอร็ดอร่อยสะดุ้งตื่น
จากภวังค์แล้วหันขึ้นมามองด้วยใบหน้าอันซีดเผือด เงาร่างดำทะมึนใหญ่ยักษ์กำลังเดินเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า
เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำกิ่งไม้ใบหญ้าดังสวบสาบราวกับจะสะท้อนเสียงหวีดร้องในใจของชายหนุ่มออกมาก็มิปาน
ด้วยมิได้สนใจมองการต่อสู้ระหว่างเอกและเจ้าลิงยักษ์ บอยจึงไม่รู้ว่าเอกหายไปไหน

ความคิดแวบแรกก็คือเอกคงจะเสียท่าเจ้าลิงยักษ์ตนนี้เสียแล้ว และเขากำลังจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป ความ
หวาดผวาแล่นพล่านไปทั่วตัวจนหัวสมองอื้ออึ้งคิดอะไรไม่ออก จะให้วิ่งหนีก็ดูเหมือนจะไม่มีทางทัน จะให้สู้ก็
ยิ่งไม่มีทางรอด สุดท้ายแล้วชายหนุ่มก็ฟุบหน้าลงไปแนบนิ่งบนทรวงอกของหญิงสาว แล้วส่งเสียงคร่อกแกล้งตายออกมาเสียดื้อ ๆ

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาของสัตว์ป่าเพศผู้ก็ยิ่งทอประกายวาววับราวกับอยู่ในฤดูผสมพันธ์ แท่งเนื้อของมันแข็ง
เกร็งตระหง่านขึ้นมาเหมือนตอไม้ขนาดใหญ่ และแม้ว่าจะอยู่ต่างสายพันธ์กัน หากแต่ก็ถือได้ว่าเป็นสายพันธ์ที่
ใกล้เคียง อีกทั้งจิตวิญญาณส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นของหมอผีที่เป็นมนุษย์ เจ้าลิงยักษ์จึงจ้องมองร่างอวบเปลือยของ
หญิงสาวแล้วเลียลิ้นแผลบรอบปากด้วยความต้องการสมสู่อย่างที่สุด

“เฮ้ย ไอ้จ๋อ จะไปไหน”

เอกพุ่งพรวดออกมาจากเงามืดแล้วยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเจ้าลิงยักษ์ไม่ให้มันเข้าใกล้หญิงสาวไปมากกว่านี้
เจ้าลิงยักษ์ที่กำลังอยู่ในอารมณ์ติดสัดจึงหวดอุ้งมือเข้าใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยวรำคาญแบบไม่ต้องเสียเวลา
คิด

เสียงตูมดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่ออุ้งมือของมันขุดผืนดินจนแหลกกระจุย หากแต่ก็เช่นเคยที่เอกสามารถกระโจน
หลบเลี่ยงอ้อมไปได้อย่างไม่ยากลำบากนัก เอกยืนหยัดตั้งท่ามวยไทยใกล้กับขาซ้ายของเจ้าลิงยักษ์ จากนั้นก็
บิดตัวเหวี่ยงแขนส่งเรี่ยวแรงที่มีทั้งตัวหวดส่งหน้าแข้งแหวกอากาศดังฟุ่่บโดยมีเป้าหมายที่น่องขาซ้ายของมัน
คราวนี้เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหวกว่าครั้งที่ผ่านมา

เจ้าลิงยักษ์ที่คุ้นชินกับความเจ็บแสบแบบบางเบาถึงกับทรุดฮวบยืนหยัดค้ำน้ำหนักร่างของมันเอาไว้ไม่อยู่ มัน
ร้องคำรามขึ้นมาอีกครั้ง หากครานี้เสียงร้องของมันกลับเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวเหลือแสน

“ค่อก ค่อก ฮื่ออออออ แฮฮฮฮ่”

เจ้าลิงยักษ์ส่งเสียงครางขณะพยายามใช้มือช่วยยันตัวเองลุกขึ้นยืน หากแต่วินาทีถัดมาก็ปรากฎเสียงตูมดังสนั่น
หวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง และมันก็มาพร้อมกับความเจ็บปวดรวดร้าวที่ขาขวาของมัน จนร่างอันใหญ่ยักษ์ของมันล้ม
กลิ้งเกลือกกระตุกตะกุยวนอยู่บนพื้นด้วยมิอาจยืนขึ้นไหว

ขณะที่มันกำลังดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดอยู่นั้น เบื้องบนหัวของมันก็พลันปรากฎกระแสลมหมุนวูบหนึ่ง ท่อนไม้
หยาบหนาขนาดเท่าตัวคนโดนเอกใช้สองมือจับหวดลงมาจนมันตั้งรับไม่ทัน เสียงตุ้บทึบหนักดังขึ้นเมื่อท่อนไม้
นั้นหวดโดนเข้ากลางหัวอันล้านเลี่ยนของเจ้าลิงยักษ์ ถัดจากนั้นท่อนไม้ใหญ่ก็แตกกระจุยกระจายกลายเป็นชิ้น
เล็กชิ้นน้อยด้วยแรงกระแทกอันรุนแรง ตามมาด้วยเสียงล้มลงกระแทกพื้นดังตึงของเจ้าลิงยักษ์ที่สลบเหมือด
กลางอากาศในทันที

บอยที่แอบหรี่ตามองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ทั้งที่ยังคงซุกอยู่ในทรวงอวบของหญิงสาวถึงกับอ้าปากค้างในภาพที่
ได้เห็นด้วยสองตาตนเอง ไอ้เกลอของเขาเตะกระหน่ำจนไอ้เจ้าลิงยักษ์ที่สูงใหญ่ราวสามเมตรล้มตึงลงกลิ้ง
เกลือกกับพื้น อีกทั้งไอ้เกลอคนนั้นของเขายังจับท่อนไม้ขนาดราวไม้ซุงที่สมควรหนักกว่าร้อยกิโลกระโดดสูง
ขึ้นไปแล้วหวดฟาดเข้าใส่จนน๊อคไอ้เจ้าลิงยักษ์ตัวนั้นลงได้

บอยส่งเสียงร้องเย้ดัง ๆ อยู่ในใจ พร้อมกับบีบกำสองมือที่กำลังโอบประคองสองเต้าของหญิงสาวอย่างแรง
จนหญิงสาวตัวกระตุกสะท้าน ความรู้สึกยินดีที่ได้รอดชีวิตทำให้ชายหนุ่มอยากจะโผพรวดไปกอดกับไอ้เกลอ
คนใหม่ของเขาเสียหน่อย กระนั้นความนุ่มนิ่มของทรวงอกหญิงสาวกลับทำให้บอยมิอาจผละจากไปได้ ชาย
หนุ่มเพียงภาวนาขอให้ตัวเองได้ตักตวงช่วงเวลาแห่งฝันหวานแสนสุขกับทรวงอกที่สวยกระชับที่สุดเท่าที่เขา
เคยแตะสัมผัสมาก่อนต่อไปอีกนานเท่านาน

คำร้องขอภาวนาเหมือนจะได้รับการตอบสนอง เพราะเศษไม้ท่อนหนึ่งที่แตกกระจายออกเมื่อครู่ลอยหมุนหวือ
แล้วร่วงหล่นตุบลงมากระแทกโป๊กกลางกระบาลของบอยอย่างพอดิบพอดี แรงกระแทกนั้นจึงทำให้บอยสะท้าน
ร่าง ส่งเสียงคร่อกออกมาคราหนึ่งแล้วกับสลบเหมือดหลับไหลฝันหวานอยู่ในทรวงอกเต่งของหญิงสาวทันที

เมื่อสิ้นสุดการสู้รบ ความเงียบของป่ายามรัตติกาลก็รุกคืบกลับคืนเข้าครอบคลุมกิ่งไม้ใบหญ้าอย่างรวดเร็ว
เจ้าลิงยักษ์ที่โดนหวดจนสลบไปนั้นนอนแน่วนิ่งสนิท มีเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดของชายฉกรรจ์ทั้งสี่
ที่ทรมาณด้วยคาถาตะปูผีปรากฎแว่วขึ้นบ้างเป็นครั้งคราวก่อนจะสลบเหมือดไปด้วยมิอาจทานทนไหว หญิง
สาวหุ่นนางแบบนมโตผู้นั้นก็ยังคงนอนหลับไหลนิ่งเงียบ โดยมีบอยนอนสลบฝันหวานซุกนิ่งอยู่ในร่องอกอวบ

เวลานี้หลงเหลือร่างสูงโปร่งของเอกยืนตระหง่านอยู่ในความมืดแต่เพียงผู้เดียว ชายหนุ่มดื่มดำยินดีไปกับ
ความรู้สึกที่เรียกว่าชัยชนะเป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่สร้างความพออกพอใจจนไม่ทราบจะ
ระบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร รู้แต่ว่าความยินดีที่แล่นพล่านไปทั่วร่างนั้นเปรียบเทียบได้เหมือนกับ
ตอนที่เขาร่วมรักกับหญิงสาวสวยสุดเซ็กส์หลายคนไปพร้อมกัน แล้วสามารถกำราบพวกเธอจนหมดฤทธ์
หมดเรี่ยวแรงได้ก็มิปาน

ซึ่งก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะเคยใช้เรี่ยวแรงเอาชนะพวกนักเลงหัวไม้มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีครั้งไหนเลย
ที่เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกยินดีของคำว่าชัยชนะเช่นการต่อกรกับไอ้เจ้าหมอผีชุดดำที่กลายร่างเป็นลิงยักษ์ใน
ครั้งนี้ และนั่นก็คงเป็นเพราะว่าพวกนักเลงหัวไม้พวกนั้นอ่อนแอเกินไปจนไม่คู่ควรเรียกว่าเป็นการต่อสู้นั่นเอง
ดังนั้นสำหรับเอกแล้วการสู้รบปรบมือในครั้งนี้เขาถือว่ามันคือศึกแรกของเขา

“รักยม … พี่แก้ว … ออกมาได้แล้ว ผมรู้ว่านะแอบหลบอยู่ตรงนั้นน่ะ”

ชายหนุ่มแหงนหน้ามองฝ่าความมืดขึ้นไปบนต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งพร้อมกับส่งเสียงเรียก เมื่อสิ้นเสียงพูด
ความเงียบก็เข้ามาครอบคลุมครู่ใหญ่ ก่อนที่จะปรากฎร่างวิญญาณของสองเด็กน้อยรักยม และนางตะเคียน
ลอยวูบออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น

“แหะ แหะ พ่อรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ ว่าพวกหนูแอบอยู่แถวนี้”

“ไม่ต้องมาแกล้งทำหน้าทะเล้น เมื่อกี๊เรียกหาแล้วทำไมไม่ยอมออกมา”

“แหม ก็ถ้ารีบออกมา พ่อก็ไม่ได้ลองสู้ด้วยตัวเองซิจ๊ะ เดี๋ยวก็เอาแต่ใช้งานพวกหนูอีก”

“แน่ะ มีย้อนอีก พี่แก้วก็อีกคน เป็นไปกับเจ้าเด็กดื้อสองคนนี่ด้วย”

“โถ โถ อย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลยพ่อหนุ่มน้อยยอดรักของข้า … คราครั้งนี้หากมิใช่เพราะเห็นว่าเป็นโอกาส
อันดีที่เจ้าจะได้ฝึกฝนตนเองแล้วล่ะก็ ข้าคงมิกล้ากัดฟันทนปล่อยให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้หรอก”

“ใช่แล้วจ้ะ พ่อจ๋า พวกหนูเชื่อฝีมือพ่ออยู่แล้ว ก็เลยแค่แอบคุมเชิงอยู่ห่าง ๆ แต่ถ้าพ่อยอมแพ้ หรือเป็นอะไร
ยังไง พวกหนูก็ออกมาช่วยทันอยู่แล้ว เมื่อกี้ก็ยังแอบช่วยเอาไม้หย่อนเคาะหัวไอ้เจ้านักเลงที่จะกระซวกพุง
พี่บอยอยู่เลย แต่สุดท้ายพวกหนูก็ไม่ต้องช่วยอะไรมาก เพราะว่าพ่อของพวกหนูเก๊งเก่งน่ะจ้ะ”

“ยกหางกันใหญ่เชียว รู้มั้ยเมื่อกี้กลัวไอ้เจ้าผีตายโหงจนเกือบจะวิ่งหนีหางจุกตูดอยู่แล้ว”

“แต่สุดท้ายพ่อก็ไม่ได้วิ่งนี่จ๊ะ พ่อเอาชนะความกลัวและควบคุมสติได้ และนั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พ่อ
อยากได้ มันคือส่งที่จำเป็นที่สุดเพื่อปกป้องคนที่พ่อรัก มันคือความกล้า ที่ไม่สามารถฝึกฝนกันได้”

เอกยืนนิ่งครุ่นคิดในถ้อยคำของสองเด็กน้อยรักยม ซึ่งมันก็เป็นความจริงอย่างรักยมว่าเอาไว้ หากเรื่องเพียง
แค่นี้เขายังกลัวจนสติแตก แล้วหากต้องไปเจอเข้ากับสิ่งที่มันเลวร้ายกว่านี้เล่า เขาจะสามารถครองสติต่อสู้
ปกป้องคนที่เขารักอย่างน้องหญิงได้ยังไงกัน

“อืม ๆ งั้นก็ช่างเหอะ … แล้ว … ตอนนี้จะเอาไงต่อดีเนี่ย”

ชายหนุ่มเกาหัวแกรก ๆ เมื่อหันมองไปรอบด้าน เพราะบอยก็สลบเหมือด หญิงสาวคนนั้นก็สลบเหมือด ส่วน
ไอ้เจ้าพวกนักเลงทั้งสี่คน กับหมอผีที่นอนกองอยู่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับพวกมันดี

“รออีกสักครู่ เดี๋ยวพี่บอย กับผู้หญิงคนนั้นก็ตื่นเองล่ะจ้ะ ส่วนไอ้พวกตัวโกงพวกนี้ก็ปล่อยให้มันนอนอยู่นี่แหละ
ให้มันรับผลกรรมของมันบ้าง ยังไงก็ไม่ถึงตายหรอก โดนตะปูเสกเข้าท้องแค่นี้ ไว้พวกมันไปหาพระหรือหมอผี
มีฝีมือแก้ให้เอาเอง แต่ไอ้เจ้าหมอผีลิงกังตัวนี้คงเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เพราะดันฝืนใช้มนต์ร่างทรงกับพญา
วานรทั้งที่ฝีมือตัวเองยังไม่ถึง”

“มนต์ร่างทรง?? พญาวานร??”

“มนต์ร่างทรง ก็คือการใช้คาถารวมร่างกับวิญญาณอื่น เพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง ส่วนพญาวานรก็คือพญาลิงในป่าดิบ
ไอ้เจ้าหมอผีคนนี้มันทำตัวเป็นร่างทรงแต่ทำพลาดทำให้วิญญาณของมันกับพญาวานรผสมรวมกันจนแยกไม่ออก
และนับตั้งแต่นี้ไปมันก็ต้องเป็นครึ่งคนครึ่งลิงไปตลอดชาติจ้ะ”

รักยมอธิบายพลางชี้นิ้วให้เอกมองไปยังร่างของลิงยักษ์ที่ค่อย ๆ หดตัวลงจนกลายเป็นร่างครึ่งคนครึ่งลิงนอนคุดคู้
อยู่ตรงนั้น

“น่าสงสาร …. ตอนที่เห็นวิญญาณของพญาวานรมันบิดเบี้ยวเจ็บปวดแล้วน่าสงสารยังไงก็ไม่รู้ …”

“แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้หรอกจ้ะ ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ไปจนกว่ามันจะสิ้นอายุขัยไปข้าง ถ้าพ่ออยากจะช่วย
ก็มีอยู่วิธีเดียว…”

“ช่วยยังไง ?”

“ก็ต้องทำให้มันสิ้นอายุขัย … ถ้าพ่อใจเหี้ยมพอนะจ๊ะ”

“…. ทำให้สิ้นอายุขัย? หมายถึง … ฆ่า … ทำให้ตายน่ะเหรอ ?”

ชายหนุ่มมองร่างครึ่งคนครึ่งลิงด้วยความรู้สึกใจหายวูบ การฆ่าคนไม่เคยอยู่ในความคิดของเขาเลย

“ใช่แล้วจ้ะ … การฆ่า อาจจะทำให้มันหลุดพ้นจากความทรมาณในครั้งนี้ แต่ว่ามันก็จะสร้างบ่วงกรรมระหว่างพ่อ
กับพวกมันไปอีกหลายชาติต่อหลายชาติ … การกระทำที่ดีที่สุดก็คือปล่อยวาง ละความแค้นต่อกัน ปล่อยให้มัน
ไปตามทางของพวกมัน … พ่อจะปล่อยวาง อภัยให้พวกมันมั้ยจ๊ะ”

“….. อืมมม …. ช่างมันเถอะ เรื่องแค่นี้เอง ยังไงก็ยังไม่มีใครเป็นอะไร”

“คิก คิก ต้องเช่นนี้ซิหนุ่มน้อยยอดรักของข้า … เอาล่ะ … เมื่อสิ้นการสู้รบ ก็ถึงเพลาเก็บเกี่ยวสินสงครามแล้วกระมัง”

“สินสงคราม?”

เอกถามด้วยความงุนงง

“สินสงคราม ก็คือ ทรัพย์สินของผู้แพ้ที่ผู้ชนะยึดไว้อย่างไรเล่า … เราลองไปดูย่ามหมอของเจ้าหมอลิงคนนี้สักหน่อย
เป็นอย่างไร ข้าว่าคงมีของขลังดี ๆ ให้เจ้ายึดเอามาใช้อยู่บ้างกระมัง”

ร่างวิญญาณสีเขียวของนางตะเคียนลอยวูบไปทางพงหญ้าด้านหนึ่งพร้อมกับทำนิ้วชี้ไปที่ย่ามสะพายสีดำที่หล่นกลืน
อยู่กับความมืดของกอหญ้า เอกจึงเดินตามเข้าไปหยิบเอากระบอกไฟฉายและนำย่ามสีดำนั้นขึ้นมาค้นสำรวจ

“สายสิญจน์ … ตะปู … ข้าวสาร …. กระดูกผี?”

เอกรื้อเอาสิ่งของในย่ามออกมาสำรวจทีละชิ้น จนมาหยุดความสนใจอยู่ที่เศษกระดูกสีขาวหม่นขนาดเท่านิ้วโป้ง
สองก้อนที่มีเส้นด้ายเหมือนสายสิญจน์พันรัดไว้อยู่

“ก็กระดูกของไอ้เจ้าผีตายโหงทั้งสองตัวนั่นไงเล่า ถึงจะกระจอกไปหน่อย แต่ก็พอใช้เป็นอาวุธได้อยู่บ้าง หาก
เจ้าสนใจข้าจะสอนวิธีทำให้มันเป็นทาสให้”

“ไอ้ผีกระดูกสองตัวนั่นน่ะเหรอ … ไม่เอาดีกว่า ไม่ถูกชะตา”

เอกส่ายหน้าปฎิเสธอย่างไม่ต้องคิดมาก จากนั้นก็หันไปรื้อสิ่งของในย่ามออกมาดูต่อทีละชิ้น

“… เอ๊ะ แล้วนี่อะไร … หลอดแก้ว ? ห้าหลอด …. มีควันอะไรอยู่ด้วย?”

เอกมาหยุดให้ความสนใจเป็นพิเศษกับหลอดแก้วเล็ก ๆ คล้ายหลอดทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่มีผ้ายันต์ปิดจุก
เอาไว้ ซึ่งสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้แก่เขาก็คือควันสีขาวที่ลอยฟ่องอยู่ในหลอดเหล่านั้น หมอกควันสีขาวลอย
พริ้วไปพริ้วมาได้ทั้งที่ไม่มีแรงลมในหลอดแก้วราวกับว่าพวกมันมีชีวิต และเอกก็ถึงกับเบิกตาโพลงเมื่อควันเหล่า
นั้นลอยฟ่องเป็นรูปร่างอันโค้งเว้าของหญิงสาวหน้าตาสะสวยขึ้นมาพร้อมกัน

“นั่นคือเมียผี ที่ไอ้หมอผีลิงมันกล่าวเอาไว้อย่างไร … วิญญาณของหญิงสาวหน้าตาสะสวยจักโดนจองจำผูกมัด
เป็นข้าทาสให้กับผู้เป็นเจ้าของ ไร้อิสระเสรี มิอาจขัดขืนคำสั่ง ต้องเป็นทาสกามให้กับผู้เป็นนายจนกว่าพันธะจัก
ถูกทำลายล้าง”

“… ทาสกาม … แต่ … เดี๋ยวนะ ปกติแล้วคนเราแตะต้องผีไม่ได้ไม่ใช่เหรอ … เอ๊ะ … แล้วเมื่อกี้ ไอ้เจ้าผีตายโหง
กับผีสาวตนนั้นทำไมแตะตัวของผู้หญิงคนนั้นกับบอยได้???”

เอกถามด้วยสีหน้างุนงงเพราะเพิ่งจะนึกเรื่องสำคัญที่รักยมและนางตะเคียนเคยพร่ำสอนขึ้นมาได้ เพราะวิญญาณ
และคนเป็นนั้นถูกขีดคั่นไว้มิให้สามารถสัมผัสเนื้อตัวกันได้ นั่นคือกฎหลักของคนเป็นและคนตาย

“คิก คิก นึกว่าเจ้าจะไม่ไถ่ถามเรื่องนี้เข้าเสียแล้ว … ความจริงแล้วคนเป็นและคนตายจะสื่อสารสัมผัสกันไม่ได้
เพราะมีกายเนื้อและกายจิตที่ต่างกัน … กระนั้นมันก็มีข้อยกเว้นบางอย่างที่ทำให้คนเป็นสามารถสัมผัสคนตาย
และคนตายสามารถสัมผัสคนเป็น …”

นางตะเคียนเล่าพลางแล้วหยุดเว้นช่วงด้วยอยากกลั่นแกล้งเอกที่กำลังแสดงความงุนงงสงสัยอย่างออกนอกหน้า

“ข้อยกเว้นที่ว่าก็คือ … หากมีพลังวิญญาณมากพอ คนเป็นก็จักสามารถสัมผัสคนตาย และคนตายก็จักสามารถสัมผัส
ได้ซึ่งคนเป็น ยกตัวอย่างเช่น บรรดาผีตายโหง ที่เก็บสะสมพลังพยาบาทผ่านวันผ่านปี ก็จักสามารถใช้พลังงานนั้น
สัมผัสทำร้ายผู้คนได้เหมือนที่ไอ้ผีตายโหงตนนั้นจักทำร้ายเจ้า … หรืออย่างเช่น เมียผี ในมือเจ้าก็คล้ายกัน พวก
นางจักถูกกักขังและเร่งให้สะสมพลังงานเพื่อใช้แปลงเป็นกายเนื้อตอบสนองความใคร่ของผู้เป็นเจ้าของ บางคน
อาจต้องสะสมพลังงานนานนับเดือนเพื่อสนองความใคร่ให้เจ้าของเพียงเวลาไม่ถึงชั่วโมง หรือหากบางคนที่มีพลัง
ทางวิญญาณก็อาจจะสามารถแปรวิญญาณเป็นกายเนื้อได้แทบทุกวัน”

“เหมือนที่พี่แก้วเคยทำตอนเราเจอกันครั้งแรกน่ะเหรอ … จะว่าไปตอนนั้นก็เหมือนกับจับเนื้อตัวผู้หญิงจริง ๆ ด้วย
… แต่พี่แก้วเคยบอกว่ามันทำได้ยาก และเปลืองพลังงานมากเลยนี่นา”

“ฮึ จงอย่าได้คิดนำเอาเวทย์สร้างกายาแท้ของเราไปเทียบกับมนต์ชั้นต่ำอย่างมนต์เมียผีเช่นนั้น … มนต์สร้างกายา
แท้ของเรานั้นสิ้นเปลืองพลังงานเวทย์มากมายนัก หากแต่ว่ามันทำให้เราเป็นดั่งสตรีที่มีเลือดเนื้ออย่างสมบูรณ์แบบ
ร่างนั้นมีเลือดเนื้อ มีไออุ่น รับสัมผัสซาบซ่านได้ และสร้างสัมผัสซาบซ่านให้แก่ผู้สัมผัสได้ …. แต่ไอ้เจ้ามนต์เมียผีนั้น
มันเป็นมนต์ที่เห็นแก่ตัว … ผู้เป็นเจ้าของจักสามารถเสพสมสู่กับร่างจำแลงได้ก็จริง หากแต่ว่าวิญญาณที่เป็นเมียผีนั้น
เล่ากลับมิอาจสัมผัสได้ถึงความสุขใด ๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะร่างจำแลงนั้นมิมีความรู้สึกเมื่อโดนสัมผัส เป็นเหมือนซากศพ
ที่ไร้อารมณ์ … เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสงสารหรอกหรือ … โดนบังคับให้ร่วมรักกับผู้ที่มิได้ต้องตาต้องใจ อีกทั้งยังต้องอยู่
อย่างขมขื่นอดสู ไร้สิ้นซึ่งความสุขและความหวัง”

“คิก คิก เพราะอย่างงี้ซินะ ป้าตะเคียนถึงได้ชอบสิงร่างผู้หญิงของพ่อนักหนา สิงทีไรร่อนเอวซะมันส์เชียว”

สองเด็กน้อยรักยมพูดขัดคอนางตะเคียนขึ้นมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

“ฮึ อ้ายพวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เป็นแค่เด็กน้อยมิรู้จักโต ก็มิมีทางเข้าใจความคิดผู้ใหญ่หรอก”

“พอ ๆ ๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน … ตอนนี้บอกมาก่อนว่าควรจะทำยังไงกับผู้หญิงที่โดนทำเป็นเมียผีพวกนี้”

เอกรีบส่งเสียงห้ามปรามเสียก่อน เมื่อเห็นว่ารักยมและนางตะเคียนกำลังจะเปิดศึกน้ำลายกันอีกครั้ง

“ฮึ นั่นก็แล้วแต่ว่าเจ้าอยากจะทำเยี่ยงไร เพราะเจ้าเอาชนะเจ้าหมอผีได้แล้ว เจ้าก็ถือได้ว่าเป็นนายของผู้หญิงเหล่า
นี้แล้ว หากต้องการเก็บไว้เป็นนางบำเรอก็สามารถทำได้ดั่งปราถนา”

เอก ฟังเสียงตัดพ้อของนางตะเคียนก่อนหันมามองควันที่เป็นรูปร่างหญิงสาวหน้าตาสะสวยในหลอดแก้วอย่างพินิจ
พิจารณาอีกครั้ง รูปร่างหน้าตาของแต่ละนางนั้นต้องบอกว่าสวยมิใช่น้อยเลยทีเดียว ในหลอดแก้วแรกนั้นเป็นหญิง
สาวผมสั้นท่าทางเปรี้ยวจี๋ดนางหนึ่งกำลังยืนโพสท์ท่ายั่วยวนเหมือนเจตนาจะเสนอตัวเอง และเขาจำได้อย่างชัดเจน
ว่าเธอก็คือผีสาวที่ออกมากอดลวนลามบอยนั่นเอง ส่วนอีกสี่หลอดที่เหลือนั้นก็เป็นหญิงสาวผมยาวบ้าง สั้นบ้าง อายุ
แตกต่างกันไปตั้งแต่เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้า ไปจนถึงหญิงสาววัยสามสิบ ซึ่งแค่เพียงคิดไปว่าได้พวกเธอมาเป็นข้า
ทาสที่เชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว

หากความฝันอันเพริดแพร้วของบุรุษเพศที่ชื่นชอบครอบครองเพศตรงข้ามก็ต้องหม่นหมองจางลงไป เมื่อพบว่าหญิง
สาวสองคนนั้นกำลังร่ำไห้น้ำตาซึมอย่างทุกข์ทรมาณ ส่วนอีกสองนางนั้นก็ได้แต่ยืนซึมอย่างไร้ความสุข และดูเหมือน
ว่าจะมีก็แต่เพียงสาวผมสั้นนางนั้นเพียงคนเดียวที่แสดงท่าทียั่วยวนอย่างมีความสุข

“ปล่อยพวกเธอให้เป็นอิสระดีกว่า ทำได้มั้ย ?”

เอกพูดด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ หากก็มิอาจทำใจย่ำยีสตรีที่ทุกข์ระทมได้

“เจ้าแน่ใจเช่นนั้นหรือ เจ้าจะปล่อยพวกนางไปจริง ๆ น่ะหรือ? ไม่อยากได้ไว้เป็นข้าทาสหรือไร?”

นางตะเคียนที่เพิ่งจะแสดงอารมณ์บูดบึ้งเมื่อครู่ ลอยวูบมาอยู่เบื้องหน้าเอกด้วยดวงตาแฝงความยินดีสุดที่จะระงับได้

“อยากได้ซิ … แต่ว่า … ไม่ดีหรอก … น่าสงสาร”

เอกสะบัดหน้าด้วยความเสียดายเล็ก ๆ หากนางตะเคียนก็โถมร่างวิญญาณเข้าหาด้วยท่าทีเหมือนจะโอบกอดด้วย
ความรักใคร่ยินดีอย่างสุดซึ้ง แต่ก็น่าเสียดายที่ร่างวิญญาณของเธอมิอาจจะแตะสัมผัสร่างเนื้อของเอกได้

“มิต้องเสียดายไปหรอก เจ้าตัดสินใจถูกต้องแล้ว อย่าได้สร้างบ่วงกรรมผูกพันธ์กับพวกเธอเหล่านั้นเลย … ข้าจะ
บริการทุกอย่างชดเชยให้เจ้าเท่าที่ข้าทำได้เอง ไม่ว่าเจ้าต้องการเช่นไร ข้าก็พร้อมจะสนองให้”

“สัญญาแล้วนะพี่แก้ว”

“ข้าสาบาน”

เอกถามยิ้ม ๆ แบบล้อเล่น หากแต่นางตะเคียนกลับตอบด้วยแววตาอันรักใคร่จริงจังมากเท่าที่หญิงสาวคนนึงจะ
พึงมีได้ จนเอกต้องกระแอมเสียงพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อลดบรรยากาศความเครียดลง

“อะแฮ่ม ไม่ต้องสาบานหรอกครับพี่แก้ว ทำแค่เท่าที่เราพอใจ ว่าแต่เราจะปลดปล่อยผู้หญิงพวกนี้ได้ยังไงล่ะ”

เอกทำตามที่นางตะเคียนบอก นั่งในท่าขัดสมาธิสำรวมจิตสมาธิ แล้วค่อย ๆ เปิดผ้ายันต์สีแดงที่เป็นฝาปิดออก
มาทีละฝาจนหมดทั้งห้าหลอด กลุ่มควันสีขาวเล็กจ้อยพวยพุ่งออกมาจากหลอดแต่ละใบกอปรขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง
ของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มห้านางนั่งมองเขาอยู่เบื้องหน้า

“เอาล่ะ ในฐานะเจ้านายคนใหม่ … คำสั่งแรกของเราก็คือขอให้พวกเจ้ามีอิสระเสรี จงไปผุดไปเกิดตามกงกรรม
กงเกวียนตามแต่บุญแต่กรรมของแค่ละคนเถิด และหากว่าเราเคยกระทำกรรมใด ๆ กับพวกเจ้าไว้ ไม่ว่าในชาติ
นี้หรือชาติก่อนหน้าใด เราก็ขออภัยไว้ตรงนี้ด้วย”

เอกพนมมือพูดจาตามที่นางตะเคียนได้สอนไว้ ซึ่งวิญญาณสาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้มเหล่านั้นก็ยกมือขึ้นพนมรับ
และยิ้มตอบด้วยความปิติยินดี พวกเธอใช้พลังที่เหลืออยู่แปลงเป็นร่างเนื้อเข้ามาโอบกอดและจูบสัมผัสกับ
เอกพร้อมกันเพื่อแทนคำขอบคุณ ก่อนจะจางสลายหายไปเป็นควันบางเบาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน และ
บัดนี้วิญญาณของพวกเธอก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว

กระนั้นกลุ่มควันที่กอปรเป็นทรวดทรงของหญิงสาวผมสั้นที่สวยน่ารักโดดเด่นกว่าวิญญาณดวงอื่นกลับยังคง
นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมจนเอกและนางตะเคียนต้องหันมามองด้วยความฉงนสงสัย

“คือ … หนูยังไม่อยากไปเกิดใหม่ค่ะ หนูชื่อนิคกี้ เคยเป็นนางแบบนิตยสารมาก่อน เพิ่งตายเมื่อเดือนก่อนนี้
เอง … ก่อนตายอายุสิบเก้าค่ะ สัดส่วน 34-24-34 งานอดิเรก โพสท์รูปเซ็กซี่บนเฟซบุ๊คค่ะ …. หนูยังมีเรื่องที่
ยังปล่อยวางไม่ได้อยากให้เจ้านายช่วยสักสองเรื่องค่ะ”

“มิต้องอวดสรรพคุณก็ได้ย่ะแม่คุณ ต้องการสิ่งใดก็รีบแจ้งมา”

“แหม นายหญิง อย่าเพิ่งโกรธหนูซิคะ คือหนูไม่รู้ว่าหนูเป็นอะไรตาย หนูอยากจะรู้ความจริงค่ะ”

“ฮึ ใครเป็นนายหญิงอะไรที่ไหนกัน ว่าแต่ไม่แปลกไปหน่อยหรือไง ไม่ทราบว่าตัวเองตายได้อย่างไร”

นางตะเคียนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเหมือนจะถูกใจกับคำว่านายหญิง

“ก็นายหญิงเป็นภรรยาผีของเจ้านายนี่คะ หนูก็ต้องเรียกว่านายหญิงซิ … แต่หนูก็ไม่รู้จริง ๆ นี่คะว่าหนูเป็นอะไร
ตาย รู้ตัวอีกทีก็โดนจับมาเป็นเมียผีของไอ้เจ้าหมอผีหน้าเหียกคนนี้แล้ว แต่หนูไม่ยอมทำให้มันหรอกนะ ยอม
โดนเฆี่ยนโดนลงอาคมเอายังดีเสียกว่าเป็นเมียหมอผีหน้าเหียกแบบนั้น”

“โถ โถ น่าสงสารเสียจริง แล้วนี่จะให้สามีของเราช่วยได้อย่างไรล่ะ”

นางตะเคียนถูกใจคำยกยอของผีสาวชื่อนิคกี้จนพูดโอ๋ราวกับลูกกับหลานก็มิปานเลยทีเดียว

“หนูก็ยังไม่รู้ค่ะ … แต่ถ้าทำได้ หนูอยากรบกวนให้สืบดูว่า หนูตายยังไง”

“เรื่องนี้เราพอจะช่วยได้อยู่กระมัง แล้วอีกเรื่องนึงเล่า เหมือนเจ้าจักพูดว่ามีสองเรื่อง”

นางตะเคียนพูดรับปากแทนเอกโดยไม่ได้ถามความเห็นด้วยซ้ำ

“ส่วนเรื่องที่สอง … อืม … คือ หนู ….. หนู ….”

ผีสาวนิคกี้ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ยืนกระมิดกระเมี้ยนแล้วเหลือบตามองเอกอย่างมีความหมาย

“เรื่องราวใดกัน อย่าได้มัวแต่พิรี้พิไร พูดจาชี้แจงออกมาเสียให้ชัดแจ้ง”

“คือว่าก่อนตาย หนู … หนูยังซิงค่ะ … หนูทั้งสาวทั้งสวย แถมยังแอบฝึกวิชาจากในเนตตั้งเยอะ
พวกดูดดมอมเลียพวกนี้หนูฝึกกับของปลอมมาตั้งเยอะ กะว่าจะให้ครั้งแรกกับรุ่นพี่ที่ตัวเองชอบ
เสียหน่อย แต่ว่าหนูดันมาตายเสียก่อนซะนี่ จะให้ไปเกิดใหม่ทั้งที่ยังซิงก็รู้สึกเสียดายยังไงก็ไม่รู้
อุตส่าห์เกิดมาสวยเซ็กส์ขนาดนี้ทั้งที”

ผีสาวนิคกี้ชะม้ายมองเอกพร้อมกับบิดตัวไปมาด้วยความเขินจนตัวแทบจะขันเป็นน๊อตเป็นเกลียว
ซึ่งเมื่อพูดถึงตอนนี้นางตะเคียนก็เริ่มจะรู้ขึ้นมาตะหงิด ๆ แล้วว่า ผีสาววัยรุ่นนางนี้ต้องการอะไรแต่
กระนั้นก็ยังทดลองถามย้ำดูสักครั้ง

“…. งั้นความต้องการของเจ้าคือ อยากเสียความบริสุทธิ์หรือไร”

“ใช่แล้วค่ะ นิคกี้อยากมีเซ็กส์กับหนุ่มหล่อล่ำบึ้กแบบร้อนแรงสุด ๆ เหมือนในหนังซักครั้ง เอาแบบ
น้ำกระฉูดท่วมจอเลยก็ดีค่ะ … แล้วก็ … ถ้าได้หล่อ เท่ห์ เก่ง แล้วก็อึดแบบเจ้านายล่ะก็ … นิคกี้ยอม
ลงนรกเลยเอ้า … ช่วยสงเคราะห์หนูด้วยนะคะเจ้านาย กับ นายหญิง”

ผีสาวพูดพลางก็กระพริบตาปริบ ๆ มองเอกแบบทอดสะพานเสริมใยเหล็กไปพลางเลยทีเดียว ด้าน
เอกนั้นก็ถึงกับอ้าปากเหวอไม่คิดว่าห่วงของผีสาวกลับเป็นเรื่องราวอะไรแบบนี้ ทีแรกก็นึกว่าจะเป็น
เรื่องประมาณห่วงคนในครอบครัว อยากพบเจอกันสักครั้งเสียอีก ไม่เคยนึกคิดเลยว่าจะมีผีสางที่ไหน
อยากเสียซิงก่อนไปเกิดใหม่แบบนี้

“แต่หนูไม่อยากใช้มนต์สร้างกายจำแลงนะคะ มันไม่ได้อารมณ์ จิ้มยังไงก็ไม่ได้เสียว หนูได้ยินว่านาย
หญิงมีสุดยอดคาถาอย่างคาถาสร้างกายแท้ หนูก็เลยอยากเรียนแล้วสร้างร่างกายมามีเซ็กส์กับเจ้านาย
สักครั้งก่อนไปเกิดค่ะ … ”

“เอาซิ ข้าอณุญาติ … เพียงแต่ การใช้มนต์สร้างกายแท้อาจต้องใช้เวลาสะสมพลังงานเป็นปีหรือสิบปี
แต่สามารถใช้มนต์ได้เพียงเวลาไม่นาน เจ้าจะทนรอได้รึ”

คำขอของผีสาวก็ประหลาดพออยู่แล้ว แต่การที่นางตะเคียนยอมอณุญาติด้วยนี่ซิกลับยิ่งดูแปลกกว่า
ผู้เป็นเจ้านายอย่างเอก ก็เลยได้แต่ยืนงุนงงว่าจะเอายังไงดี แต่กระนั้นเมื่อมองรูปร่างทรวดทรงองค์เอว
สุดเอ็กซ์ของผีสาวนิคกี้แล้ว เอกก็นึกหาเหตผลอะไรมาปฎิเสธไม่ได้เลยสักข้อเดียว เพราะลองมีเมียผี
กับเขาบ้างสักตัวก็คงจะสนุกเร้าใจไม่น้อย

“รอได้ค่ะ นิคกี้สู้ตาย … เอ๊ะ ไม่ซิ ก็เราตายแล้วนี่นา ฮิ ฮิ”

“งั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องหาสถานที่เงียบสงบเพื่อฝึกวิชา และสะสมพลังงานธาตน้ำและธาตดิน
อย่างน้อยวันละสิบสองชั่วโมง ซึ่งบังเอิญเหลือเชื่อที่พวกเราบังเอิญมีของขลังที่มีธาตดินแก่กล้าอยู่
พอดีเลยทีเดียว”

“ว้าววว ที่ไหนเหรอคะนายหญิง”

“ก็เจ้าตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายที่เจ้าหนุ่มขี้โอ่นั่นสวมใส่อยู่อย่างไรเล่า นั่นเป็นของขลังที่วิเศษไม่น้อย”

“เอ๊ะ นั่นของจริงเหรอคะ ไอ้หนูก็นึกว่าเอาเขี้ยวหมาที่ไหนมาแขวนคอเล่นเสียอีก ไม่รู้สึกถึงพลังเลย”

“นั่นน่ะของจริงแท้แน่นอน เพียงแต่มันไม่มีประจุมนต์กำกับเอาไว้เท่านั้นเอง หากประจุมนตราเก็บไว้
แล้วล่ะก็ มันก็จะเป็นอาวุธร้ายแรงชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว”

“เอ … แต่ว่า …. หนูอยากอยู่กับเจ้านายมากกว่านี่คะ ก็เจ้านายของหนูทั้งหล่อ ทั้งล่ำ แล้วก็เท่ห์ซะ
ขนาดนี้ จะให้ไปอยู่กับนายขี้โอ่คนนั้นก็รู้สึกเสื่อม ๆ เฟล ๆ ยังไงก็ไม่รู้”

“คิก คิก เจ้านี่มันพูดจาขวานผ่าซากจริงแท้ แต่ว่านะนอกจากเรื่องเขี้ยวสมิงแล้ว การที่เราให้เจ้าไปสิง
สู่อยู่กับผู้ชายคนนั้นเราก็มีอีกเหตผลที่เจ้าจะปฎิเสธมิได้เชียว”

“เอ๋ เหตผลอะไรหรือคะนายหญิง”

ผีสาวนิคกี้ถามด้วยความตื่นเต้นสงสัย แต่นางตะเคียนก็ไม่ยอมพูดจาออกมา เธอเพียงลอยวูบเข้าไปอยู่
ใกล้ ๆ กับนิคกี้แล้วกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกัน ส่วนผีสาวนิคกี้ก็เอาแต่มองเอกสลับกับหันไปมอง
บอยด้วยดวงตาอันลุกวาวระริกระรี้ยินดี จากนั้นก็พยักหน้าเหมือนจะตกลงในข้อเสนอของนางตะเคียน

“เอ่อ … สาว ๆ มีความลับอะไรกันน่ะ”

“คิก คิก เจ้าอย่าได้รู้เลย มันเป็นเรื่องความลับระหว่างผู้หญิงด้วยกัน”

“เจ้านายขา ขอโทษนะคะ หนูยังบอกไม่ได้ แต่หนูสาบานหนูจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้านายค่ะ”

“ใช่แล้วมันเป็นความลับของผู้หญิง เอาล่ะคราวนี้ก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ อันดับแรกจงไปอยู่กับเจ้านาย
ของเจ้าเสียก่อนเพื่อดูดซับพลังเวทย์ จากนั้นเราจักสอนให้เจ้านายของเจ้าปลุกเสกกำกับอาคมลงใน
ตะกรุดเขี้ยวสมิงพราย แล้วเจ้าจึงค่อยย้ายไปอยู่ในตะกรุดนั้น”

“เจ้าค่ะ นายหญิง”

นิคกี้ผีสาวหุ่นเซ็กส์สะบัดพูดจบก็ลอยวูบเป็นวิญญาณดวงเล็กจ้อยหายเข้าไปในจี้ห้อยคอของเอก ปล่อย
ให้เอกได้แต่ยินงงสงสัยว่าสองสาวตกลงอะไรกันไว้

“คิก คิก มิต้องมึนงงสงสัยไป คงอีกมิเนิ่นนานนัก เจ้าก็จะเข้าใจเอง ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรทำคือ ไปดูแลเมีย
น้อยนมโตของเจ้ามิใช่หรือไรกัน ดูซิโดนเจ้าหนุ่มขี้โอ่นั่นนอนทับจนนมช้ำหมดแล้ว”

“เมียน้อยที่ไหนกันพี่แก้ว ก็แค่มีอะไรกันครั้งเดียวเอง”

“ครั้งเดียวที่ไหนกัน นี่เจ้าลืมเมียตัวเองไปแล้วหรือไรกัน จงรีบไปดูแลเธอซะ บัดนี้คงใกล้ได้เวลาฟื้นเต็มที”

ได้ยินอย่างงั้น เอกจึงรีบเดินเข้าไปแล้วผลักร่างของบอยที่นอนสลบทับร่างของหญิงสาวออกไป แสง
จากกระบอกไฟฉายในมือสาดส่องไล้ไปตามปลีน่องอวบเปลือย ไล่ไปทั่วเรือนร่างงามด้วยความรู้สึก
ชื่นชม แล้วค่อยไปหยุดนิ่งอยู่ที่ดวงหน้าแสนสวยที่แลดูคุ้นเคย ก่อนจะเผยออ้าปากเรียกชื่อของหญิง
สาวออกมาด้วยความตื่นตกใจ เมื่อแพขนตาของเธอเริ่มกระพริบปรือฟื้นตื่นขึ้นมา

“กระแต ?!!!”