Home Post 4053-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-7-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88

4053-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-7-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a1%e0%b8%9e%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%98%e0%b9%8c%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88

“สมาคมหมื่นพยัคฆ์” ก่อตั้งโดย “หวางจือชู (ปฐมวงศ์กษัตริย์)” ผู้เป็นหงส์แท้มังกรจริงในพื้นแผ่นดินมังกร แรกเริ่มเดิมที หวางจือชู เป็นหัวหน้าคณะกู้ชาติจีนใต้ดินกลุ่มหนึ่ง เขาได้รวบรวมสมัครพรรคพวกที่รักชาติเข้าต่อต้านการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นได้ใช้กรณีเหตุการณ์มุกเดน (การก่อวินาศกรรมรางรถไฟสายแมนจูเรียในเมืองเสิ่นหยาง) เป็นข้ออ้างในการเคลื่อนพลเข้าบุกยึดแมนจูเรีย หลังจากที่กองทัพญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรียได้สำเร็จ ก็สถาปนาแมนจูเรียขึ้นเป็นประเทศ “แมนจูกัว” และยกจักรพรรดิจีนองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ชิงขึ้นครองราชย์ เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดให้กับกองทัพญี่ปุ่น หวางจือชู จึงนำผู้กล้าเหล่าชาวยุทธ์ร่วมตายจำนวนหนึ่งร้อยคนบุกเข้าไปสังหารผู้บัญชาการทหารของญี่ปุ่นที่ยึดครองแมนจูเรียอยู่ในขณะนั้น แต่ถูกฝ่ายตรงข้ามวางแผนซ่อนกลเข้า จนทำให้พี่น้องชาวยุทธ์ที่ร่วมต่อสู้ด้วยถูกสังหารจนเกือบหมดสิ้น หนึ่งในจำนวนผู้กล้าที่ล้มตายลงมีสหายร่วมศึกที่สำคัญของ หวางจือชู รวมอยู่ด้วย เขาคือ พยัคฆ์อำพัน เจิ้งอี้เหยียน การสละชีวิตของเจิ้งอี้เหยียน ทำให้หวางจือชู เกิดความโกรธแค้นกองทัพญี่ปุ่นเป็นอันมาก จึงหมายมั่นปั้นมือที่จะแก้แค้นกองทัพญี่ปุ่นให้ได้ หวางจือชู ใช้เวลาอยู่นานถึงห้าปี ในการรวบรวมยอดยุทธ์ชั้นแนวหน้าและชาวยุทธ์ผู้กล้าในยุทธภพจำนวนหนึ่งหมื่นคน ก่อตั้งเป็นสมาคมกู้ชาติจีนขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “สมาคมหมื่นพยัคฆ์” เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับเจิ้งอี้เหยียนที่เสียสละชีวิตช่วยเหลือพวกเขาในครั้งนั้น หลังจากก่อตั้งสมาคมมาได้เกือบสองปีก็เกิด “สงครามแปซิฟิก” (สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง) ขึ้น และในเวลาต่อมาสงครามดังกล่าวได้ลุกลามจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่สอง ในช่วงเวลานั้นประเทศญี่ปุ่นสามารถรวบรวมอำนาจภายในประเทศได้อย่างเป็นปึกแผ่นจนกลายเป็น “จักรวรรดิญี่ปุ่น” ที่มีแสนยานุภาพเกรียงไกร จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มจับมือกับฝ่ายอักษะ (นาซีเยอรมนี และอิตาลี) ส่งกำลังพลเข้าทำการเข้ายึดครองประเทศจีนและประเทศในเอเชียที่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกทั้งหมด ทำให้ หวางจือชู หัวหน้าสมาคมหมื่นพยัคฆ์ ซึ่งยังคงนำกำลังพลชาวยุทธ์เข้าต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นอยู่ มองไม่เห็นความหวังที่ประเทศจีนจะสามารถเอาชนะจักรวรรดิญี่ปุ่นได้ เขาจึงเริ่มถอนตัวออกจากการเข้าร่วมในสงคราม เพื่อรอคอยโอกาสในการแก้แค้น หวางจือชู นำสมาชิกสมาคมหมื่นพยัคฆ์ทั้งหมดหลบหนีจากภัยสงคราม แล้วแอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของช่วงรอยต่อในประวัติศาสตร์ จวบจนกระทั่งเมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นได้พ่ายแพ้ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์และพรรคก๊กมินตั๋งในประเทศจีนยุติลง บวกกับความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของประเทศจีนที่เริ่มเฟื่องฟูขึ้นในเวลาต่อมา จึงทำให้สมาคมหมื่นพยัคฆ์ที่เคยหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในเงามืด เริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง หากแต่การกลับมาในคราวนี้ของสมาคมหมื่นพยัคฆ์ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นกลุ่มชุมนุมเหล่าชาวยุทธ์ผู้รักชาติในอดีต กลับปรากฏกายออกมาในฐานะของสมาคมมาเฟียที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนแทน สมาคมหมื่นพยัคฆ์ใช้อำนาจมืดที่มีดำเนินธุรกิจที่ผิดกฎหมาย รับงานลอบสังหารบุคคลสำคัญ ตลอดจนบุกเข้ายึดแย่งชิงสมาคมมาเฟียต่างๆ ในประเทศจีนทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดก็กลายเป็นมาเฟียเพียงกลุ่มเดียวในประเทศจีนขึ้นมา

————————————————————–

“กลับไปซะ อี้หลาง”
เสียงขับไล่ของชาติพยัคฆ์ดังขึ้นภายในห้องรับแขก หลังจากที่เขาเพิ่งจะกลับจากการละเลงเลือดได้ไม่นาน การมาของจางอี้หลาง ทำให้ชาติพยัคฆ์เกิดอาการขุ่นมัวขึ้นในใจอยู่สองประการ ประการแรกไม่สบอารมณ์ในตัวผู้พิทักษ์กฎสมาคมที่จุ้นจ้านบอกเรื่องของเขาให้เอลิน่ารู้ ส่วนในประการที่สองรู้สึกรำคาญจางอี้หลางอยู่ไม่น้อยที่พยายามรบเร้าในเรื่องเดิมๆ ที่เขาเคยตอบปฏิเสธไปแล้วหลายครั้ง
“คุณชายโปรดไตร่ตรองด้วย” จางอี้หลาง พยายามโน้มน้าวชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเขาก็จำไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรจางอี้หลางก็ต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา
“กลับไปบอกคุณตาฉันด้วยว่า ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่ขอรับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมหมื่นพยัคฆ์เด็ดขาด” ชาติพยัคฆ์ กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่น

“ข้าน้อยทราบดีว่าคุณชายไม่พอใจในเรื่องที่ผ่านมาอยู่ไม่น้อย แต่ทุกคนในสมาคมหมื่นพยัคฆ์ล้วนต้องการให้คุณชายขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าสมาคม คุณชายโปรดเห็นแก่ส่วนร่วมด้วย”
หึ….เป็นใครบ้างจะพอใจ? คราวก่อนที่เขาต้องระเห็จออกมาจากประเทศญี่ปุ่นก็เป็นเพราะการบีบบังคับของคุณตา คราวนี้จะยังบีบบังคับให้เขารับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมอีก ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนของสมาคมหมื่นพยัคฆ์สักหน่อย
“อี้หลาง นายก็รู้ฉันไม่ใช่คนของสมาคมหมื่นพยัคฆ์ ถึงแม้เมื่อก่อนฉันจะยอมออกปฏิบัติการในนามของสมาคมหมื่นพยัคฆ์ก็ตาม แต่นั้นก็เป็นเพราะคุณตาฉันบังคับต่างหาก” ชาติพยัคฆ์กำลังบอกว่าตามกฎของสมาคมหมื่นพยัคฆ์แล้วคนภายนอกไม่สามารถขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมได้
“ถึงแม้คุณชายจะไม่ใช่สมาชิกของสมาคมหมื่นพยัคฆ์ แต่ก็เกี่ยวพันกับสมาคมหมื่นพยัคฆ์อยู่ไม่น้อย ข้าน้อยจึงขอให้คุณชายใคร่ครวญให้รอบคอบอีกซักครั้งหนึ่ง หากแม้นคุณชายยอมเปลี่ยนใจรับตำแหน่งหัวหน้าสมาคม ท่านผู้เฒ่าจะจัดการปัญหาข้อนี้เอง”

ด้วยฐานะและศักดิ์ศรีแล้ว ชาติพยัคฆ์ ไม่อาจปฏิเสธในเรื่องนี้ได้ การที่ตัวเองเป็นหลานของ “ซ่งกางโหย่ง (ตระกูลซ่งนิรันดร์)” อดีตหัวหน้าสมาคมหมื่นพยัคฆ์รุ่นที่ห้า แม้เขาไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับสมาคมหมื่นพยัคฆ์ด้วยก็ตาม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขามีเหตุจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับสมาคมอยู่หลายครั้ง ตั้งแต่สมาคมหมื่นพยัคฆ์ก่อตั้งขึ้นมา ปณิธานเดิมของ “หวางจือชู” ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง การที่สมาคมหมื่นพยัคฆ์เข้าไปจัดตั้งสำนักงานสาขาขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ก็เพื่อจะดำเนินการเข้าแทรกแซงระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในจำนวนคนที่ถูกส่งไปปฏิบัติการในครั้งนั้นมีชาติพยัคฆ์ (ไป๋หู่ปี้ หรือ โทระ มารู) รวมอยู่ด้วย ถึงแม้เขาจะยังไม่ใช่คนของสมาคมหมื่นพยัคฆ์ก็ตาม แต่ด้วยฐานะศักดิ์ศรีของหลานชายหัวหน้าสมาคมแล้ว จึงไม่เป็นที่น่าแปลกแต่อย่างใดที่เขาจะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย หรือหากจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือการตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่คุณตาของเขาทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็กลับผันแปรเปลี่ยนไปเกินความคาดหมายของใครต่อใคร เมื่อชาติพยัคฆ์ได้พบกับโกโซ ฮิเด มากิ และมาเรีย อาย่า นั้นคือจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องที่เกินใครจะเข้าใจ จนทำให้ชาติพยัคฆ์เริ่มหันหลังให้กับคุณตา พร้อมทั้งก้าวออกมาคัดค้านและขัดขวางการที่สมาคมหมื่นพยัคฆ์จะเข้ามาปฏิบัติการยึดครองประเทศญี่ปุ่น จนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สมาคมหมื่นพยัคฆ์จำเป็นต้องถอนตัวออกจากประเทศญี่ปุ่นอย่างกะทันหัน แต่ผลลัพธ์ที่เขาได้รับก็หนักหนาสาหัสไม่น้อย เขาถูกคุณตาบีบบังคับให้ออกมาจากประเทศญี่ปุ่นด้วยเงื่อนไขที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ และสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้กลับไปที่ญี่ปุ่นอีก จึงทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณตาจึงไม่ค่อยดีนัก

“ทำไมคุณตา ถึงไม่ดัน จิงเหม่ย ขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าสมาคม อย่างน้อย จิงเหม่ย ก็เป็นลูกสาวของคุณลุง อีกอย่างกฎของสมาคมก็ไม่ได้ห้ามไว้ซักหน่อยนิว่าหัวหน้าสมาคมจะต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น” ชาติพยัคฆ์พูดคล้ายราวกับจะถามจางอี้หลางว่าเขาพูดถูกหรือไม่
“เรื่องนี้คนในสมาคมเองก็เคยพูดคุยกันอยู่หลายครั้ง แต่เสียงส่วนใหญ่ก็ยังคงต้องการให้คุณชายขึ้นมารับตำแหน่งอยู่ดี” จางอี้หลางเข้าใจและตอบคำถามของชาติพยัคฆ์

“ซ่งจิงเหม่ย” เป็นลูกพี่ลูกน้องกับชาติพยัคฆ์ มีศักดิ์เป็นพี่สาว เธอเป็นลูกสาวของ “ซ่งเหว่ยหนาน” คุณลุงของชาติพยัคฆ์ ปัจจุบันแต่งงานกับคนในสมาคมหมื่นพยัคฆ์ชื่อ “ซ่งเสี่ยวหาน” (เดิมชื่อ โจวเสี่ยวหาน เหตุที่เปลี่ยนนามสกุลเพราะแต่งเป็นเขยเข้าตระกูลซ่ง) มีบุตรสาวหนึ่งคน ชื่อว่า “ซ่งชิงเสีย หรือ คาเรน” ซึ่งเป็นหลานสาวของชาติพยัคฆ์

คุณตาของชาติพยัคฆ์มีบุตรชายและหญิงจากภรรยาสองคน ภรรยาคนแรกได้ให้กำเนิดบุตรชาย ส่วนภรรยาคนที่สองได้ให้กำเนิดบุตรสาว ซึ่งก็คือคุณแม่ของชาติพยัคฆ์ในเวลาต่อมา คุณแม่ของชาติพยัคฆ์โตอยู่ที่ฮ่องกงก่อนจะมาพบรักกับคุณพ่อของชาติพยัคฆ์ หลังจากแต่งงานกันแล้วก็ตัดสินใจย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทย คุณพ่อของชาติพยัคฆ์เป็นผู้สืบทอดวิชาเพลงมวยนวอาวุธโบรารณ (มวยไทยโบราณ) ตระกูลเก่าแก่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ส่วน “ซ่งเหว่ยหนาน” คุณลุงของชาติพยัคฆ์ยังคงอยู่ประเทศจีน และเติบโตอย่างมั่นคงอยู่ในสมาคมหมื่นพยัคฆ์ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ตำแหน่งหัวหน้าสมาคมหมื่นพยัคฆ์ในที่สุด สมาคมหมื่นพยัคฆ์แม้ไม่มีกฎห้ามให้ผู้หญิงเป็นหัวหน้าสมาคมก็ตาม แต่คนในสมาคมส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิง “ซ่งจิงเหม่ย” ผู้เป็นพี่สาวจึงไม่ค่อยได้รับแรงสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าสมาคมมากนัก แตกต่างจากชาติพยัคฆ์ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมของสมาชิกในสมาคม แม้จะไม่ใช่สมาชิกของสมาคมหมื่นพยัคฆ์ก็ตาม จึงทำให้คุณตาของเขาตัดสินใจส่ง จางอี้หลาง มาเกลี้ยกล่อมหลานชายเพียงแค่คนเดียว ให้ขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมแทน “ซ่งเหว่ยหนาน” ผู้เป็นลุงที่ใกล้จะลงจากตำแหน่ง

“อย่าพูดให้น่าขำไปหน่อยเลย อี้หลาง เสียงส่วนใหญ่งั้นเหรอ? นายกับฉันก็รู้กันอยู่ว่าถึงแม้คุณตาจะลงจากตำแหน่งหัวหน้าสมาคมแล้ว แต่ก็ยังกุมอำนาจเด็ดขาดอยู่ในสมาคม ที่คุณตาต้องการให้ฉันขึ้นมารับตำแหน่งก็เพียงเพราะว่าฉันเป็นสายเลือดของคนในตระกูลซ่งต่างหาก ถ้าจะให้ฉันพูดตรงๆ ก็คือ ตำแหน่งหัวหน้าสมาคมจะเป็นใครก็ได้ขอให้เป็นคนตระกูลซ่งก็พอมันก็แค่นั้นเอง เรื่องนี้มันควรจะจบลงได้แล้วอี้หลาง หัวหน้าสมาคมหมื่นพยัคฆ์ในยุคนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มาจากตระกูลซ่งหรอก ไม่ว่าใครในสมาคมก็มีสิทธิ์เป็นหัวหน้าสมาคมได้ทั้งนั้น กลับไปบอกคุณตาฉันด้วยว่าเลิกหวังในตัวฉันซักที คนอย่างฉันไม่มีวันยอมเป็นหุ่นเชิดให้ใครเด็ดขาด”

จางอี้หลาง รู้ดีว่าไม่มีทางเกลี้ยกล่อมชาติพยัคฆ์ได้ จึงจำใจลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวคำอำลา หากแต่ในตอนท้ายยังคงอดเป็นห่วงคุณชายอยู่ไม่ได้
“อี้หลาง มารบกวนคุณชายนานแล้ว คงต้องขอตัวลาก่อน แต่ก่อนจากไป อี้หลาง มีคำพูดบางประโยคอยากจะเตือนคุณชายซักเล็กน้อย”
“ว่ามาได้อี้หลาง” ชาติพยัคฆ์อนุญาต
“ครั้งนี้เป็นอี้หลาง หากแต่ครั้งหน้าอาจเป็นนายท่านผู้เฒ่ามาเอง”

คำพูดของจางอี้หลาง สร้างแรงกดดันให้ ชาติพยัคฆ์ ได้ไม่น้อย จนสีหน้าของ ชาติพยัคฆ์ แสดงออกถึงความกังวลใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี คิดไม่ถึงเลยว่าตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา เขากับคุณตาแทบจะตัดขาดออกจากกัน เหมือนต่างคนต่างอยู่ แต่เพียงเพราะตำแหน่งหัวหน้าสมาคมหมื่นพยัคฆ์ คุณตาถึงกลับยอมเปลี่ยนใจไม่ยอมปล่อยวางตัวเขาไปง่ายๆ
“ขอบใจมากอี้หลาง คำเตือนของนายฉันจะระลึกถึงไว้เป็นอย่างดี” ชาติพยัคฆ์กล่าวขอบใจ
“อี้หลางขอลาก่อน ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น อี้หลางยังคงเคารพและนับถือคุณชายเสมอ ขอคุณชายโปรดรับรู้ไว้ด้วย” จางอี้หลาง ประสานมือคำนับ กล่าวคำอำลาแล้วก็จากไป

ถึงแม้จางอี้หลางจะเป็นผู้พิทักษ์กฎสมาคมหมื่นพยัคฆ์ แต่เขาเป็นยอดยุทธ์รุ่นใหม่ที่มีความชื่นชมในตัวของชาติพยัคฆ์อยู่ไม่น้อย ว่ากันตามจริง หากไม่ติดตรงที่ว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์กฎสมาคมเสียเองแล้ว เขาคงเลือกที่จะอยู่ข้างชาติพยัคฆ์มากกว่าที่จะเลือกอยู่ข้างสมาคม

ชาติพยัคฆ์ ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้องรับแขกอยู่พักใหญ่ ข่าวการมาเยือนประเทศไทยของคุณตา ทำให้เขาวุ่นวายใจอยู่ไม่น้อย เพราะคาดหมายได้ในทันทีว่า คุณตา คงพาผู้นำระดับหัวแถวของสมาคมติดตามมาด้วย และการมาในครั้งนี้คงจะต้องบีบบังคับให้เขารับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมหมื่นพยัคฆ์ให้ได้
“กึกๆๆๆ”
ขณะที่กำลังเคร่งเครียดอยู่นั่นเอง มือถือของชาติพยัคฆ์ก็สั่นขึ้น เมื่อล้วงหยิบมือถือออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าปกรณ์เป็นคนโทรมา
“ว่าไงวะ ปกรณ์?” ชาติพยัคฆ์ยกมือถือขึ้นมากดปุ่มรับสายแล้วก็พูดออกไป
“ไอ้เสือ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงตะโกนดังออกมาจากปลายสายจนแทบแสบแก้วหู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปกรณ์กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดไหน

“เออ…ว่าไงวะ ตะโกนซะเสียงดังเชียว” ชาติพยัคฆ์ถาม แต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นเรื่องอะไร
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก…แกไปทำเรื่องอะไรมาซะใหญ่โตวะ…รู้ไหมฉันเหนื่อยแค่ไหน…ที่ต้องมานั่งตามปิดข่าวให้แกอยู่เนี้ยะ” ปกรณ์กำลังกุมขมับหลังจากได้รับข่าวจากลูกน้องคนสนิทว่าพบศพนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่บริเวณอาคารร้างแห่งหนึ่งและที่คฤหาสน์ของเสี่ยเส็งในสภาพที่สยดสยองจนแทบจะทนดูไม่ได้ โชคยังดีที่ปกรณ์รีบปิดข่าวไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นนักข่าวคงได้แห่กันมาถึงสถานีตำรวจแน่
“เอาน่า…ยังไงซะก็มีคนคอยตามไปเก็บกวาดให้เรียบร้อยอยู่แล้วนิ แกก็แค่เหนื่อยนิดๆ หน่อยๆ เอง ทำเป็นบ่นไปได้” ชาติพยัคฆ์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วนี้มันเรื่องกันอะไรวะ แกถึงฆ่าล้างโคตรซะขนาดนี้”
“ไม่รู้เหมือนกันวะ อยู่ดีๆ มันก็ส่งคนมาฆ่าฉัน ฉันก็เลยสั่งสอนพวกมันนิดๆ หน่อยๆ พอหอมปากหอมคอ” ชาติพยัคฆ์ว่า
“สั่งสอนนิดๆ หน่อยๆ บ้านพ่องแกดิ” ปกรณ์ด่ากลับมา
“เล่นงานซะคนตายเกลื่อนไม่รู้กี่ศพ เสี่ยเส็งตอนนี้สติแตกกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบพูดจากับใครก็ไม่รู้เรื่อง ส่วนลูกชายก็แขนขาด หัวกะโหลกร้าว เลือดคั่งอยู่ในสมอง นอนครึ่งเป็นครึ่งตายอยู่ในห้องไอซียู นี้อ่ะนะสั่งสอนนิดๆ หน่อยๆ ของแก…ไอ้บ้าเอย!!!! …แกนี้มันโหดฉิบหาย นี้ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่าทางเบื้องบนกับแกมีข้อตกลงบางอย่างกันอยู่ ฉันคงคิดว่าแกกำลังจะตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อแก๊งค์มาเฟียอยู่แน่ๆ วะ”
“พอเลยไอ้แสบ ถ้าจะโทรมาด่าก็หยุดพูดไปเลย วันนี้ฉันเจอแต่เรื่องเฮงซวยมาทั้งวันแล้ว ขี้เกียจฟังแกด่าอีก แค่นี้นะ”
ชาติพยัคฆ์ซึ่งกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว เมื่อเจอปกรณ์โทรมาด่าก็กดตัดสายแล้วปิดเครื่องไปในทันที แทบอยากจะบอกเพื่อนเหลือเกินว่า ไอ้คำว่า “เจ้าพ่อแก๊งค์มาเฟีย” ในตอนท้ายนะ มันชวนให้รู้สึกหงุดหงิดชะมัด
“อ้าว!!!! เฮ้ยย!!!….ไอ้เสือ…ฮัลโหลๆๆ..เวรล่ะ…ตัดสายซะแล้ว…ยังไม่ทันจะคุยกันรู้เรื่องเลย….อ้าว!!!…ไอ้นี้….ปิดเครื่องอีก…..อะไรของมันวะ……..” ปกรณ์โยนมือถือลงบนโต๊ะ ก่อนจะบ่นราวกับหมีกินผึ้งอยู่ไม่ขาดปาก

————————————————————–

คืนนี้ท้องฟ้าไร้ซึ่งกลุ่มเมฆ เผยให้พระจันทร์ดวงโตที่กำลังสาดส่องทอแสงสว่างให้เห็นอยู่ในยามค่ำคืน ชาติพยัคฆ์ เงยหน้านั่งมองพระจันทร์อยู่บนฟ้าด้วยจิตใจที่รุ่มร้อน บ้านหลังนี้แม้เป็นบ้านทรงยุโรปก็ตาม แต่เขาก็ให้ช่างออกแบบสร้างดาดฟ้าไว้ตรงจุดหนึ่ง เพื่อเอาไว้เป็นที่สำหรับขึ้นมานั่งมองดูพระจันทร์โดยเฉพาะ ทุกครั้งที่เขาขึ้นมานั่งมาดูพระจันทร์ จิตใจของเขาจะรู้สึกถึงความเงียบ สงบ และเยือกเย็น แต่ในเวลานี้ใจและกายของเขากลับรู้สึกร้อนรุ่มราวกับว่ากำลังตกอยู่ในทะเลเพลิงก็มิป่าน
“อยู่ที่นี้เองหรือคะโทระ” เสียงหวานๆ ของเอลิน่าดังขึ้น เมื่อเธอเดินขึ้นมาถึงดาดฟ้าและมองเห็นเขานั่งอยู่บนเสื่อญี่ปุ่นผืนหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเดินมานั่งอยู่ข้างๆ คืนนี้เอลิน่าใส่ชุดยูกาตะ (ชุดที่คล้ายกิโมโนแต่ใช้สำหรับสวมใส่ในงานเทศกาลหรือในช่วงฤดูร้อน) สีชมพูมีภาพลวดลายรูปดอกซากุระสีชมพูผสมกับสีแดงอ่อนๆ ช่วยทำให้จากเดิมที่เธอดูสวยหวานอยู่แล้ว ดูสวยหวานยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมไม่เคยบอกคุณเรื่องนี้มาก่อน” ชาติพยัคฆ์เอ่ยคำขอโทษหลังจากที่เธอมานั่งอยู่ข้างๆ เขา
“ไม่เป็นไรคะ ฉันก็แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ที่รู้ว่า……” เอลิน่าไม่พูดต่อ
“ที่รู้ว่าผมเกี่ยวข้องกับสมาคมหมื่นพยัคฆ์หรือครับ?”
“คะ” เอลินาตอบเบาๆ ลึกๆ แล้วเธอก็ยังอดหวั่นระทึกอยู่ในใจไม่ได้ แม้คุณพ่อของเธอจะเป็นมาเฟียก็ตาม แต่อิทธิพลของคุณพ่อก็ยังจำกัดอยู่แค่ในประเทศญี่ปุ่น แต่ชาติพยัคฆ์ผู้เป็นสามีของเธอกับเกี่ยวข้องกับกลุ่มแก๊งค์มาเฟียที่โหญ่โตขนาดนี้ เธอแทบจะมั่นใจได้ว่าตลอดชีวิตนี้ของเขาและเธอคงจะอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้เป็นแน่ เพราะหลังรอดพ้นจากเงื้อมมือของนารูทากิมาได้ เธอก็หวังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่เมืองไทยโดยไม่คิดจะกลับไปที่ประเทศญี่ปุ่นอีก

“ไม่สงสัยบ้างหรือครับว่าเป็นเพราะอะไรผมถึงไม่บอกคุณ?” ชาติพยัคฆ์ เอ่ยถามพร้อมกับจ้องมองไปที่ตาของเธอ เหมือนเป็นครั้งแรกที่ชาติพยัคฆ์ได้มองเห็นดวงตาและใบหน้าของเอลิน่าแบบเต็มๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าวันนี้เอลิน่าสวยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“สงสัยคะ แต่พอฉันเห็นคุณไม่สบายใจอยู่แบบนี้ ฉันเองก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย เลยคิดว่าไม่ถามคุณจะดีกว่า บางทีการที่คนเราไม่รู้เรื่องอะไรเลยอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าก็ได้คะ” เอลิน่าสบตาและตอบเขา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองดูพระจันทร์บ้าง

“อ๊ะ!!!….”
ชาติพยัคฆ์ลอบอุทานอยู่ในใจ เวลานี้เขาเหมือนมองเห็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม เมื่อก่อนเขามักจะมองเห็นเงาร่างของพี่มาเรียครอบทับหรือซ้อนกับตัวของเอลิน่าเสมอ แต่คราวนี้เงาร่างของพี่มาเรียที่อยู่ในห้วงแห่งความคำนึงและคิดถึงนั้น กลับค่อยๆ เลือนลางลงไปทุกขณะ แม้กระทั่งกลิ่นกายของมาเรียที่เขาคุ้นเคยก็พลอยจางหายไปด้วย แม้จะยังไม่หายไปซะทั้งหมดทีเดียวก็ตาม แต่มันก็จางลงไปจนเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเล็กๆ ที่อยู่ในใจเท่านั้น ใบหน้าของเอลิน่ายามที่ต้องกับแสงจันทร์ดูผุดผ่องและส่งประกายราวกับหิมะที่กระทบแสง เส้นผมสีทองที่ปลิวไสวรับกับแรงลมที่พัดมาราวกับว่าเธอคือเทพธิดาแห่งรัตติกาลในยามค่ำคืนราตรี ดวงตาสีฟ้าที่ทอประกายหวานซึ้ง และริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงที่ดูอวบอิ่มนั้น ทำให้เธอช่างดูสวยซะเหลือเกิน ชาติพยัคฆ์ มองดูเธออย่างตะลึงลานราวกับกำลังต้องมนต์ นี้นะหรือเอลิน่าที่เขาเคยรู้จัก ทำไมดูช่างแตกต่างจากที่เขาจำได้ซะเหลือเกินจนเขาอดที่จะโอบกอดเธอเอาไว้ไม่ได้

“โทระคะ!!!!” เอลิน่าตกใจเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ ชาติพยัคฆ์เข้ามาโอบกอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง เธอเอียงใบหน้าหันกลับมามองคนรัก ก่อนที่สายตาของทั้งคู่จะประสานกัน
“ขอโทษนะครับ ที่ทำให้คุณต้องเป็นห่วง แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่เคยคิดจะปิดบังอะไรคุณเลย” ชาติพยัคฆ์เอ่ยขอโทษเธออีกครั้งหนึ่ง
“ฉันเชื่อคะ อย่าทำหน้าไม่สบายใจอย่างนั้นสิคะ ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณซักหน่อย” เอลิน่าตอบเขาอย่างน่ารักและยิ้มให้อย่างเข้าใจ เมื่อเห็นหน้าเขาแล้วก็นึกขำอยู่ในใจ ทำหน้าเสียราวกับกลัวว่าเธอกำลังจะหนีหายจากเขาไปซะอย่างนั้นแหละ

ชาติพยัคฆ์จ้องมองใบหน้าของเอลิน่าด้วยความหลงใหล เธอช่างสวยเสียเหลือเกิน ริมฝีปากที่อวบอิ่มของเอลิน่านั้น ช่างจิ้มลิ้มน่ารักนัก เมื่อใดมันเผยอยิ้มออกมาจนเห็นไรฟันขาว เขาสุดที่ห้ามใจไว้ได้จริงๆที่จะไม่จูบเธอ ชายหนุ่มจุมพิตเข้าที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอ พร้อมกับส่งลิ้นเข้าไปสัมผัสความหอมหวานที่ซ่อนอยู่ข้างใน เอลิน่าสะดุ้งเล็กน้อย เหมือนจะขืนตัวเอาไว้นิดๆ หากแต่พอเริ่มเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบที่เขามอบให้เธอก็สนองตอบจูบเขาอย่างดูดดื่มเช่นกัน ชาติพยัคฆ์ทั้งจูบและกอดรัดร่างของเธออยู่ในท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเริ่มตักตวงความหอมหวานจากตัวของสาวน้อยไปทีละนิดเรื่อยๆ จนเอลิน่าอดรู้สึกสยิวขึ้นมาไม่ได้
“อุ้ย….โท…ระ..อย่า..คะ!!!”
สาวสวยร้องห้ามเสียงหลงและแหบพร่า เพราะริมฝีปากของคนรักเริ่มจูบพรมไปทั่วทั้งใบหน้าของเธออย่างหนักหน่วง ก่อนที่ลมหายใจอุ่นๆ นั้นจะมารดอยู่ที่ต้นคอจนทำให้เธอรู้สึกสยิวและร้อนผ่าวไปทั้งตัวมากขึ้น โดยที่สองมือของชาติพยัคฆ์เข้าไปซุกซนฟอนเฟ้นคลึงเคล้าอยู่ในเสื้อ พร้อมทั้งบีบเค้นสองเต้าอวบอัดที่อยู่ทางด้านในตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ชุดยูกาตะสีชมพูที่เธอสวมใสอยู่เริ่มหลุดลุ่ยลงจนเกือบหมด เผยให้เห็นผิวขาวเนียน หน้าท้องที่แบนเรียบ และเอวที่คอดกิ่วของสาวน้อยวัยขบเผาะ รวมถึงดอกบัวคู่ที่เต่งตึง ริมฝีปากของชาติพยัคฆ์ซุกไซ้อยู่ที่พวงแก้มและติ่งหู เขาขบกัดเม้มมันอย่างเบาๆ ก่อนส่งปลายลิ้นแหย่เข้าไปด้านใน จนทำให้เอลิน่าที่กำลังนั่งอยู่บนตักต้องอ่อนระทวยอยู่ในวงแขนอันกำยำของชาติพยัคฆ์อย่างสุดที่จะระงับความเสียวที่เกิดขึ้นได้
“ไม่เอาคะ โทระ…ที่…นี้มัน….ข้างนอก…บ้าน…ก.ลับ…ก..ลับ..เข้าไป..ข้างในบ้าน..ก่อน..คะ…” เสียงเอลิน่า ขาดหายไปเป็นห้วงๆ ใบหน้าของเธอแดงราวกับลูกตำลึงสุก เธอรู้สึกอายเหลือเกินที่ถูกเขารังแกอยู่ข้างนอกตัวบ้านกลางที่โล่งแจ้งแบบนี้

“โรแมนติกดีออกครับ คุณไม่ชอบเหรอครับ?” เขากระซิบบอกเธอ พร้อมกับจูบไซ้เธอไปเรื่อยๆ
“ไม่…เอา..คะ…อย่าคะ…โทระ…กลับห้องก่อน…ว้ายยย…” สาวสวยสะดุ้งวีดร้องเบาๆ เมื่อเขากับเธอล้มตัวลงไปนอนด้วยกันทั้งคู่ ไม่รู้ว่าชาติพยัคฆ์ถอดเสื้อผ้าออกไปตั้งแต่ตอนไหน หากใครเดินผ่านบ้านของเขาในยามนี้ คงมองเห็นร่างของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังร่วมรักกันอย่างประเจิดประเจ้อท่ามกลางแสงจันทร์อยู่แน่ๆ ชายหนุ่มซุกไซ้ปลุกอารมณ์เธอไปทั่วทั้งตัว ก่อนพลิกร่างของสาวน้อยให้ขึ้นมาอยู่ข้างบนในลักษณะกลับหัวกลับหาง ร่องรักของหญิงสาวฉ่ำเยิ้มไปด้วยธารน้ำกระสันต์ที่หลั่งออกมา หลืบร่องของสาวสวยเผยอออกจนเห็นเนื้อข้างในที่เป็นสีชมพูสดมันทั้งสวย หอมหวาน และส่งกลิ่นยั่วยวน จนเกิดห้ามใจได้ ชายหนุ่มรีบเกร็งลิ้นแข็งห่อเป็นรูปกรวยขึ้นมาแล้วส่งมันเข้าแทงเข้าออกลึกไปในร่องรูรักนั้น ก่อนปาดชิมธารน้ำที่ไหลออกมานั้นอย่างสนุกปากบางครั้งก็ตวัดไปสัมผัสถึงรอยฝีเย็บที่อยู่ด้านบน จนทั้งร่องรักและร่องตูดของสาวสวยขมิบตอดสั่นระริกขึ้นมา เอลิน่า หลับตาพริ้มหน้าแหงนเชิดขึ้นด้วยความเสียว เธอส่ายก้นไปมากดเนินเนื้อแนบลงไปบนใบหน้าของเขาอย่างลืมตัว สาวสวยพยายามข่มความเสียวที่เกิดขึ้นเกินห้ามใจ เผลอใช้สองมือไปคว้าเอามังกรลำยาวแท่งโตเข้าให้
“อุ๊ยย!!!!….”
แม่สาวลูกครึ่งญี่ปุ่นรัสเซียถึงกับอุทานออกมาเมื่อมือทั้งสองของเธอสัมผัสกับความยาวและใหญ่ของมัน สาวสวยปรือตาขึ้นมาก้มมองดูสิ่งที่เธอกำลังคว้าจับอยู่ ด้วยใบหน้าที่แดงซ่านและกำหนัด
“บ้าจัง…โทระ…ดูสิ…ทำไมถึงใหญ่ถึงยาว..แบบนี้…”
สาวสวยอดต่อว่าเขาไม่ได้ เพราะครั้งก่อนเจ้าสิ่งนี้นี้เองที่ทำให้ร่องรักของเธอระบมอยู่เป็นนาน ตอนนี้มังกรแท่งโตลำยาวของเจ้าหนุ่มมันกำลังพองโต ขยายใหญ่ขึ้นมาเต็มที่ ที่ปลายหัวหยักปูนโปนขึ้นมาเป็นเอ็นราวกับว่ามันกำลังจะระเบิด เอลิน่า ไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำอย่างไรกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพียงแต่เธอไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน แม่สาวลูกครึ่งจึงเกิดอาการลังเล กล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆ แล่บลิ้นออกมาแล้วแตะเข้าไปสัมผัสมันเบาๆ
“แผล็บๆๆๆๆ”
“ซี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
ชาติพยัคฆ์ที่กำลังเพลินกับการสำรวจร่องรักของเมียสาวอยู่ถึงกับส่งเสียงร้องครวญครางออกมา เมื่อเกิดอาการเสียวแปล็บที่ปลายหัวหยักขึ้นอย่างทันทีทันใด จนเขาต้องละความสนุกจากร่องรักของเธอ แล้วเพ่งสายตากลับไปมองดูเมียสาวสุดที่รัก ก็พบว่าเธอกำลังใช้ลิ้นดูดดุนมังกรทั้งแท่งโตของเขาอย่างช้าๆ พร้อมโลมเลียดุนดันอยู่ที่รอบๆ คอหยักนั้น มือข้างหนึ่งของสาวสวยกำแท่งมังกรเอาแน่นก่อนจะสาวขึ้นสาวลง ส่วนมือที่ข้างหนึ่งลูบไล้พวงเงาะเบาๆ แต่ขย้ำมันไปมาอย่างเมามันส์ในอารมณ์
“ซี๊ดดดดด …..ดีจังครับ …..เอลิน่า..คุณ..ใช้ลิ้น….เก่งจัง….”
สาวน้อยถึงกับค้อนควักเข้าให้ ถึงแม้จะเป็นคำชมก็จริงอยู่ แต่มันก็เป็นคำชมที่น่าอายไม่น้อยที่ต้องมาทำอะไรกับเขาอยู่อย่างนี้ สองหนุ่มสาวแลกกันรุกผลัดกันรับอย่างสนุกสนาน จนร่องหลืบของแม่สาวลูกครึ่งเต็มไปด้วยน้ำลายของชายหนุ่มและน้ำเงี่ยนของเธอ ทุกครั้งที่ชาติพยัคฆ์รัวลิ้นถี่ยิบ เอลิน่าก็กระดกก้นกระแทกเนินเนื้อลงมาบดจนเกิดเสียดัง “ป้าบๆๆ” อยู่ไม่ขาดระยะ ยิ่งเธอเสียวมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งแก้ลำรัวลิ้นเข้าออกไปที่ปลายหัวมังกรของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะอ้าปากแล้วอมมัน ดูดเข้าออกไปจนแก้มตอบ มือทั้งสองข้างก็รูดสาวแท่งรักขึ้นลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ สลับกับการดูดเลียพวงเงาะของชายหนุ่มเป็นระยะ จนเขาเริ่มยกสะโพกขึ้นกระเด้าแท่งลำเข้าปากสาวสวยอย่างช้าๆ จนกระทั่งมันเริ่มเร็วขึ้นและถี่ยิบขึ้น สวยสวยที่เริ่มใช้ปากจนชำนาญขึ้น เริ่มตะหนกตกใจเมื่ออาการของเขาบ่งบอกให้เธอรู้ว่าเขากำลังจะใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ซึ่งเธอเองก็ไม่ต่างจากเขาเลยแม้แต่น้อย สาวสวยกระดกก้นขึ้นลงกระแทกร่องรักรับลิ้นของชายหนุ่มเร็วขึ้นทุกที จนในที่สุดเอลิน่าก็เป็นคนแรกที่ไปถึงก่อนเขา เธอแอ่นตัวเกร็งหน้าท้องขึ้นเป็นรอน ก่อนหลั่งน้ำรักออกมาอย่างพรั่งพรู สาวสวยกดเนินเนื้อสาวบดลงที่ปากของเขาจนแน่นสนิท ส่วนชาติพยัคฆ์ก็ดูดกลืนหยาดน้ำรักลงคออย่างไม่รังเกียจ เอลิน่า ถึงกับแข็งขาสั่นพับๆ หากแต่ต้องฝืนจนทนเอาไว้ เพราะว่าตอนนี้ลำมังกรแท่งโตยาวของคนรักก็ออกอาการกระตุกแรงๆ ให้เห็นแล้วเหมือนกัน ชาติพยัคฆ์กระเด้าลำมังกรเข้าออกที่ปากของหล่อนเร็วถี่ยิบ ก่อนกระดกก้นส่งมันเข้าไปจนเกือบมิดด้าม

เอลิน่า ถึงสะดุ้งขึ้นมา เมื่อคนรักของเธอกระเด้ามังกรยาวใหญ่เข้ามาในปากจนเกือบสุดลำ เธอรู้แล้วว่าเขาใกล้จะออก สาวสวยพยายามรีบคลายลำมังกรแท่งยาวใหญ่ออกจากปาก แต่ช้าไปเสียแล้ว น้ำรักขาวขุ่นข้นของเขาก็ถูกขับออกมาจากพวงเงาะอย่างแรงเข้าปะทะกับข้างในปากของเธอเข้าอย่างจัง จนเธอเกือบสำลัก น้ำรักที่ถูกฉีดเข้ามาในโพรงปากมันเยอะซะจนล้นปรี่ออกมาข้างนอก และไหลย้อยหยดลงไปบนหน้าท้องของเขา กลิ่นและรสคาวจากน้ำรักที่เธอได้รับ ปลุกเร้าอารมณ์ดำกฤษณาของสาวน้อยจนทำเธอสุดจะห้ามใจได้ หล่อนดูดกลืนน้ำรักที่อยู่ในโพรงปากผ่านลำคอลงไปจนเธอรู้สึกว่ามันอุ่นวาบอยู่ในท้อง สาวสวยค่อยๆ ดูดกลืนมันเข้าไปจนหมด ก่อนจะถอนปากของเธอออกมาจากแท่งลำมังกรร้ายนั้น จนเกิดเสียงดัง “บ้วบบบบ” แรงดำกฤษณาที่พลุ่นพล่านขึ้นมา ทำให้เธอไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป แม่สาวลูกครึ่งรีบก้มตัวลงตามไปดูดดื่มหยาดน้ำรักที่เหลือ หล่อนใช้ลิ้นไล่เลียดูดดื่มหยาดน้ำรักที่มันหกล้นเหลืออยู่เต็มหน้าท้องของคนรัก ราวกลับกลัวว่ามันจะแห้งเหือดหายไป สร้างความหฤหรรษ์ให้กับชายหนุ่มจนถึงกับครางสยิวเรียกชื่อเธอออกมา
“ซี๊ดดดดด…..ดี…ครับ….เอลิน่า…..”
นี้เป็นครั้งแรกที่เอลิน่าดื่มกลืนน้ำรักของชาติพยัคฆ์ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงได้กล้าทำแบบนี้ เธอรู้แต่ว่าน้ำรักของเขาช่างหอมหวานถูกใจเธอเสียเหลือเกิน แม่สาววัยขบเผาะค่อยๆ ตามเล็มเลียดูดกลืนหยาดน้ำรักนั้นจนหมด ก่อนๆ ไล่โลมเลียกลับมาที่ลำมังกรแท่งยาวจนถึงคอหยักของมันซึ่งยังคงมีน้ำรักของชายหนุ่มเหลืออยู่อีกเพียงเล็กน้อย ในที่สุดน้ำรักของเขาก็ถูกเธอกลืนกินไปจนหมดสิ้น สองร่างนั้นยังคงเล้าโลมกันอย่างอ้อยอิ่งในท่าเดิมอยู่เนิ่นนาน จะกระทั่งชาติพยัคฆ์พลิกตัวกลับมาจุมพิตที่ปากของเธออย่างเอาใจอยู่พักใหญ่ถึงค่อยคลายจูบลง

“ชอบไหมครับ” ชาติพยัคฆ์ถามพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
“..โทระ….บ้า…บอก…แล้วว่า…อย่า…” เธอทุบที่อกเขาเบาๆ เพราะหลังจากได้สติแล้วเธอรู้สึกอับอายในเรื่องที่เธอทำในเมื่อกี้อยู่ไม่น้อยที่ต้องมาร่วมรักและยังมาดื่มน้ำรักของเขาในที่โล่งแจ้งแบบนี้
แต่แท่งมังกรร้ายของชายหนุ่มยังไม่ได้หดตัวลงเลยแม้แต่น้อย มันยังคงแข็งชูชันราวกับต้องการอีก ชาติพยัคฆ์ค่อยๆ อุ้มเธอขึ้นมานั่งบนตักก่อนสอดใส่แท่งรักเข้าไปในร่องรักของสาวสวยในทันที โดยไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว จนทำให้เอลิน่าต้องส่งเสียงหวีดร้องออกมา เมื่อรู้สึกถึงความเสียวซ่านที่แล่นขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
“ว้ายยยยย….ซี๊ดดดดดดดด…..โทระ…บ้าจัง..ทำอะไร…คะ…” สาวสวยส่งเสียงตัดพ้อด้วยความเขินอายและกำหนัด รสรักจากมังกรแท่งยาวใหญ่ที่สอดใส่เข้ามานั้น สร้างความเสียวและสุขสมให้กับเธอได้ไม่น้อย
ชาติพยัคฆ์ไม่ตอบคำถาม หากแต่ค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมา จนทำให้เอลิน่ารู้สึกผวาตกใจก่อนใช้สองแขนกอดไปที่คอของเขา ส่วนขาทั้งสองข้างกลับเกี่ยวกระหวัดรัดสะโพกของคนรักเอาไว้โดยไม่รู้ตัว คราวนี้เธอยิ่งรู้สึกถึงความเสียวมากขึ้นกว่าเดิม เพราะมันแล่นแปล๊บปลาบอยู่ข้างในเมื่อแท่งมังกรยาวใหญ่ของชายหนุ่มยันลึกเข้าไปถึงมดลูก เจ้าหนุ่มใช้สองมือช่วยพยุงที่แก้มก้นและสะโพกของเมียรักเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอหล่นลงมา กลายเป็นว่าทั้งเขาและเธอกำลังอยู่ในท่าลิงอุ้มแตงพอดี
“ซี๊ดดดด…บ้าจัง..โทระ…ทำอะไรก็ไม่รู้….เสียวไปหมดแล้ว…..” สาวน้อยหน้าแดงซ่านด้วยแรงดำกฤษณาและความอาย จนต้องซบหน้าลงที่อกของเขา ก่อนส่งเสียงอู้อี้ออกมา
“เข้าไปต่อกันในห้องนอนดีกว่าครับ” เขากระซิบบอกที่ข้างหูของเธอ
“บ้า…ไม่เอาคะ ….ปล่อย ….ฉันเดินเข้าไปเองได้..” เอลิน่า ตกใจรีบร้องห้าม และเอามือทุบที่อกของเขาเบาๆ
“…ให้ผมพาไปเองดีกว่า…นะๆ” ชายหนุ่มออกลูกอ้อน
“ไม่เอาคะ …ของคุณ…เข้าลึก…ขนาดนี้…กว่าจะถึงห้อง…ฉันก็แย่พอดี…” สาวสวยส่งเสียงตัดพ้ออย่างขวยเขิน ไม่รู้ว่าเขานึกคึกอะไรขึ้นมา วันนี้ถึงได้ทำเรื่องพิเรนท์แบบนี้ก็ไม่รู้ แต่ชายหนุ่มกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแทน
“….แน๊ะ!!!!…ยังจะมาหัวเราะอีก…” สาวสวยค้อนควักเข้าให้ ก่อนจะหยิกไปที่แขนข้างหนึ่งของเขาแรงๆ แต่ขณะเดียวกันก็ชักจะเริ่มสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา
“..เอ๊ะ!!!!….เดี๋ยวนะคะ …..รู้สึกว่าจะชำนาญเหลือเกินนะคะท่านี้…..เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนหรือเปล่าคะ?…” เอลิน่าถาม พลางจ้องตาชาติพยัคฆ์อย่างคาดคั้น
“ไม่เคยครับ ผมเพิ่งเคยทำแบบนี้เป็นครั้งแรก” แม้จะฟังเหมือนไม่ค่อยน่าเชื่อถือซักเท่าไหร่ แต่ก็อดทำให้สาวน้อยยิ้มออกมาอย่างพอใจไม่ได้ หากแต่……

“แต่……ถ้าแค่อุ้มอย่างเดียว…..ผมเคยอุ้มผู้หญิงคนอื่นมาก่อนคุณนะ….” เขาแกล้งทำสีหน้าครุ่นคิดแล้วก็บอกเธอ
“เคยอุ้มใครคะ?” เสียงของเอลิน่าเขียวปัดหน้าตึงขึ้นมาในทันที ตาของสาวสวยเป็นประกายระยิบขึ้นมาด้วยความหึงหวง
“คุณแม่ของคุณครับ” ชาติพยัคฆ์บอกออกมาเสียงใส
“เพลี๊ยะ”
ไม่ต้องเดาก็รู้ ไหล่ด้านหนึ่งของเขา โดนมือเธอฟาดเข้าไปเต็มๆ จนเป็นรอยแดงขึ้นมา
“โทระ!!! ….เดี๋ยวเหอะ….ฉันหึงนะคะ” สาวสวยตัวถึงกับสั่นขึ้นมาด้วยแรงโกรธและความหึงหวง มันแล่นพลุ่นพล่านขึ้นมาแทบจะทันทีทันใดจนเธออดใจเอาไว้ไม่ได้จริงๆ

“นอกจากจะเคยอุ้มแล้ว ผมยังเคยกอด ยังเคยจูบ คุณแม่ของคุณด้วยนะ” ชาติพยัคฆ์บอกด้วยสีหน้าทะเล้นแต่มันเขี้ยวยังไงก็ไม่รู้ คราวนี้เอลิน่าแทบจะอยากจะกัดไปที่ไหล่เขาเหมือนคืนนั้นอีกซักทีจริงๆ หากแต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของเขาคู่นั้นที่กำลังจ้องมองดูเธออยู่ เหมือนเขากำลังสนุกหรือสมใจอะไรบางอย่าง

“นี้คุณกำลังแกล้งฉันอยู่ใช่ไหมคะ โทระ…” สาวน้อย ค่อยๆ เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา เพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนเขาหลอกเข้าให้แล้วเต็มๆ
“กำลังโกรธผม หึงผม หวงผม อยู่ใช่ไหมครับ เอลิน่า…รู้ไหม…ผมชอบจัง….ผมชอบเวลาที่คุณโกรธผม หึงผม… หวงผม…แบบนี้…”
“คะ!!!!” เอลิน่า อุทานด้วยความประหลาดใจ เธอเริ่มแน่ใจแล้วว่ากำลังโดนเขาแกล้งอยู่แน่ๆ แต่ที่ไม่เข้าใจมากที่สุดคือประโยคสุดท้ายมากกว่า
ชาติพยัคฆ์จ้องไปที่ตาของเธอก่อนบอกความรู้สึกของเขาออกมา
“ผมรักคุณนะครับ เอลิน่า”
หญิงสาวถึงกับตาโต เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินคำบอกรักจากปากของเขา
“คุณ…ว่าอะไรนะคะ …โทระ!!!!”
“ผมรักคุณครับ เอลิน่า รักคุณในแบบที่คุณเป็น ไม่ได้รักคุณเพราะมองว่าคุณเป็นตัวแทนของพี่มาเรียอย่างที่คุณเข้าใจ จะมีผู้หญิงคนไหนที่ร้ายกับผมแบบนี้ได้บ้าง หึงหวงผมแบบนี้ได้ ก็มีแค่คุณเพียงคนเดียวเท่านั้น” ชาติพยัคฆ์มองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขาทั้งจูบซุกไซ้ไปที่พวงแก้มของเธออย่างทะนุถนอม
“โท…ระ….คะ” เสียงของเธอสั่นเครือสะอื้นออกมา เธอรู้สึกดีใจเหลือเกิน เธอรอเวลานี้มานานแล้ว รอเวลาที่เขาจะยอมรับเธอ และบอกรักเธอแบบนี้

ชาติพยัคฆ์ค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากของเธออย่างดูดดื่ม ก่อนที่เขาจะเดินอุ้มแตงพาเธอลงไปจากดาดฟ้า ก่อนพาเธอเข้าไปยังในห้องนอนของเขา คืนนั้นสองหนุ่มสาวต่างบรรจงจูบพลอดรักกันอย่างอาทร เกี่ยวกระหวัดรัดกันอย่างสุขสม ชาติพยัคฆ์เสร็จสมในอารมณ์หมายไปถึงสามครั้ง ส่วนสาวน้อยวัยแรกแย้มไปถึงฝั่งฝันถึงห้าครั้ง สองร่างต่างกอดก่ายหลับกันไปอย่างมีความสุข โดยลืมความทุกข์ที่มีอยู่จนหมดสิ้น