3942-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-1
เวลา 13.00 น. ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายของผู้คนที่แห่แหนเดินทางเข้าและออกอยู่ตลอดเวลา เฒ่าสิงห์และจันทร์แรมลูกสาวอายุ 16 ปี ช่วยกันหิ้วกระเป๋าเดินทางลงจากขบวนรถไฟ
ทั้ง 2 คนเดินทางจากถิ่นฐานบ้านเกิดที่โคราชหวังมาหางานทำที่เมืองหลวง เพราะเป็นช่วงว่างเว้นจากการทำนา จะว่าไปเรียกว่าเฒ่าสิงห์ก็คงจะไม่ถูกเท่าไหร่นัก เพราะแกเพิ่งจะอายุ 58 เท่านั้น ส่วนจันทร์แรมเป็นลูกสาวคนเล็กในจำนวนลูกทั้ง 5 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 3 คน ทั้งพี่ชายพี่สาวของจันทร์ต่างแต่งงานมีครอบครัวแยกย้ายออกไปทำมาหากินมีลูกมีหลานหมดแล้ว
เหลือเพียงจันทร์ที่เรียนจบแค่ ม. 3 อยู่ช่วยพ่อทำนา และงานบ้านเล็กน้อยๆ แทนดวงตาแม่ของเธอที่เสียไปเมื่อ 2 ปีก่อน เมื่ออยู่กันแค่ 2 คน นายสิงห์ก็ไม่อยากจะทำนาต่อเพราะมีแกกับลูกสาวแค่ 2 คน ครั้นจะจ้างคนอื่นมาช่วยทำมันก็กลัวว่าจะได้ไม่คุ้มเสียจึงตกลงใจให้คนอื่นเช่าที่นาของตน พร้อมกับรวบรวมเงินทองให้เพื่อนบ้านดูแลบ้านช่องแทน แล้วพาลูกสาวเข้ามาหางานทำที่นี่
ทั้ง 2 หยุดยืนที่หน้าทางเข้าสถานีรถไฟ ด้วยความที่เพิ่งเข้ามาที่ กทม. แค่ 2 ครั้งในชีวิต ถนนหนทาง ตึกรามบ้านช่องเปลี่ยนแปลงไปมาก สิงห์ผู้เป็นพ่อควักกระดาษเล็กๆ ออกจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งมันก็คือแผนที่ที่เพื่อนของแกให้มา
“พ่อ คืนนี้เราจะไปพักกันที่ไหนคะ”
“เอ่อ…. เดี๋ยวพ่อขอดูแผนที่ก่อน ตาแสนเพื่อนพ่อให้มา ถ้ามา กทม. ก็ให้ไปพักกับเขาคืนหนึ่งได้เลย”
“แล้วเขาจะมีงานอะไรให้เราทำละพ่อ”
“มีสิ ตาแสนเขาจะช่วยฝากเราให้ทำงานที่นี่”
“งานอะไรหรือคะ”
“พ่อก็ยังไม่รู้หรอก แต่ไว้ไปถึงก็รู้เองแหละ”
…………………………………………………………………………………………………..
2 พ่อลูกลงรถที่ป้ายรถประจำทางแถวย่านบางเขน พากันเดินเข้ามาที่ถนนเล็กๆ มาหยุดยืนที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง แสนเพื่อนของสิงห์ทำงานเป็นยามที่บ้านหลังนี้ พอเห็นหน้าเพื่อน ตาสิงห์ก็สบถออกมา
“แพงฉิบหาย……….นั่งรถเมล์แค่นี้ แม่งเสียเกือบ 40 บาท”
“เบาๆ สิพ่อก็……………….”
“ก็มันจริงนี่หว่า รู้งี้กูเดินไปเองซะก็ดีหรอก 40 บาท….เรา 2 คนนั่งรถไป-กลับในอำเภอได้ตั้ง 2 รอบ”
“กรุงเทพมันก็ยังงี้แหละ อะไรๆ มันก็แพง มา มา เข้ามาก่อน” ตาแสนรีบชวนทั้ง 2 เข้าบ้านพาไปแนะนำกับเจ้าของบ้าน ซึ่งเขาก็เมตตาให้ทั้งคู่พักค้างคืน แถมให้ตาแสนจัดหาอาหารเลี้ยงได้เต็มที่
คืนนั้นหลังจากออกเวร สิงห์และแสน 2 สหายก็ตั้งวงกัน จันทร์แรมลูกสาวเข้านอนแต่หัวค่ำ 2 พ่อลูก นอนค้างที่ห้องตาแสน ซึ่งความจริงมีอีกคนที่อยู่ห้องนี้นั่นก็คือคนที่มาเปลี่ยนเวรกับแสน
“เออ แสน…………มึงจะฝากกูกับลูกกูให้ทำงานกับใครวะ”
“ก็เป็นคนรับใช้บ้านนายทหารน่ะ คนรู้จักกับกูเขาบอกว่าเจ้านายเค้าต้องการคนรับใช้เพิ่ม”
“อืม….เหรอ…. กูก็ไม่เคยรับใช้ใครมาก่อน แล้วกูจะทำได้ไหมเนี่ย”
“เฮ้ย อย่าคิดมาก ได้อยู่แล้ว เป็นคนขับรถ คนสวนแบบนี้ มึงทำได้สบายเลยละ…………….พรุ่งนี้ก่อนเข้าเวรกูจะพามึงกับลูกไป”
“ขอบใจมากว่ะ” สิงห์คว้าแก้วเหล้าชนกับแสน พูดคุยสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้
เจอกันมานานหลายเดือน ตาแสนก็เล่าถึงชีวิตในเมืองหลวงให้สหายฟัง ตาสิงห์ฟังอย่างตั้งใจ พอตาแสนถามถึงบ้านช่องไร่นา สิงห์ก็เล่าเรื่องราวแลกเปลี่ยนโดยไม่ปิดบัง กว่าจะนอนกันก็ดึกดื่น
พอรุ่งเช้า แสนพา 2 คนพ่อลูกไปฝากทำงานที่บ้านนายทหารคนหนึ่งย่านดอนเมือง เป็นบ้านส่วนบุคคล แต่หลังใหญ่มีอาณาเขตกว้างมาก
“โห ……..บ้านใหญ่จังเลย พ่อ ดูๆ ไปบ้านของเราอย่างกับโรงรถเขาแน่ะ”
“อือๆ เอ็งพูดจาดีๆ ทำตัวเรียบร้อยนะเว้ย เขาจะได้เมตตาสงสารเอ็ง”
บ้านหลังนี้อยู่กัน 6 คน นพพลคุณผู้ชายเป็นนายทหารชั้นนายพล ท่าทางภูมิฐาน อายุก็พอๆ กับนายสิงห์ วาสนาภรรยาเองก็หน้าตางดงามราศีคุณหญิงจับ แม้จะอายุกว่า 40 แล้วแต่ก็เหมือนอายุแค่ 30 กว่าๆ พิมพ์ผกา ลูกสาวคนโตอายุ 20 ปี เรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังในย่านรังสิต ปี 2 รสลิน อายุ17 แก่กว่าจันทร์แรมปีเดียว ลูกสาวคนกลางเรียนมัธยมปลาย ม. 5
นภดล ลูกชายคนเล็กอายุ 15 ปี เรียน ม. 3 ที่เดียวกับพี่สาว และป้าตวงคนรับใช้เก่าแก่ที่รู้จักกันกับแสน
“อืม…………….. เอาเป็นว่าสิงห์เป็นคนสวนและคนขับรถนะ ขับได้ใช่ไหม”
“ครับ ได้ครับ”
“จันทร์แรมช่วยป้าตวงเขาทำกับข้าว และก็ทำงานบ้านละกัน”
“ค่ะ……..”
“2 คนอยู่ที่นี่ให้สบาย ไม่ต้องกังวลอะไร พวกเสื้อผ้าของใช้ถ้าไม่มีก็บอกฉันหรือคุณหญิงได้เลยนะ”
สิงห์และจันทร์แรมลูกสาวจึงได้เข้าทำงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านแห่งนี้ พร้อมกับพักอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยเลย ข้าวปลาก็กินอยู่เสร็จสรรพ นับว่าโชคดีมากสำหรับ 2 พ่อลูกจากชนบท
วันหนึ่งขณะที่สิงห์กำลังเตรียมรถไปรับคุณนพพล มีรถอีกคันขับเข้ามาเป็นรถของพิมพ์ผกาบุตรสาวคนโตของบ้าน จันทร์เห็นคนในรถเปิดประตูออก เป็นพิมพ์ผกากับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลาอย่างกับนายแบบ
“พ่อ………… คุณพิมพ์เขาพาแฟนมาที่บ้าน หล่อด้วยนะพ่อ” จันทร์แอบกระซิบกับนายสิงห์
“เอ็งอย่าไปยุ่งเรื่องของเจ้านายเขา มันไม่ใช่เรื่องของเรา”
“แหม หนูแค่บอกพ่อเอง”
“คุณหนูเขาโตแล้วจะมีแฟนบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เอ็งน่ะ อย่าไปริมีผัวตั้งแต่อายุแค่นี้ละกัน……..” สิงห์กำชับลูกสาวเสียงเข้ม จนจันทร์แอบบ่นอุบอิบ
ทั้ง 2 คนอยู่ทำงานที่บ้านนั่นอย่างปกติสุข คุณชายและคุณหญิงต่างรักใคร่เพราะขยันขันแข็งทำงานกัน ทั้งคู่ ไม่มีบ่นปริปากสักคำ ป้าตวงชมให้คุณวาสนาฟังบ่อยๆ ว่าจันทร์เป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ดื้อดึง พูดจาอ่อนน้อม แถมยังขยันจนบางทีแกแทบไม่ต้องลงมือทำอะไร เด็กสาวทำเองเกือบหมด
วาสนาเคยคุยกับนพพลสามีของเธอว่า อยากจะช่วยส่งเสียให้จันทร์ได้เรียนต่อ จะได้มีความรู้มากขึ้น ซึ่งนพพลก็เห็นด้วย แต่ยังต้องถามความเห็นจากพ่อของจันทร์หรือตาสิงห์ก่อน
“แค่เจ้านายเมตตาให้พวกเราทำงาน มีบ้านอยู่มีข้าวกิน แค่นี้ ผมกับลูกก็ไม่กล้าจะเอาอะไรอีกแล้วละครับ”
“น่า……เกรงใจไปได้ เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ฉันเห็นสิงห์เหมือนคนสนิทชิดเชื้อที่ไว้ใจได้ จันทร์ฉันก็เอ็นดูเหมือนลูกหลาน” คุณนพพลพูด
“แต่…….”
“เอาน่า ไว้ฉันจะหาโรงเรียนให้จันทร์เอง เรื่องค่าใช้จ่ายสิงห์ไม่ต้องห่วง” คุณวาสนาให้สัญญา
ตาสิงห์และจันทร์แรมต่างยกมือไหว้คุณชายและคุณหญิงด้วยความปลาบปลื้ม
……………………………………………………………………………………………………….
2 พ่อลูกทำงานที่บ้านนั่นมาได้เกือบ 3 เดือน อะไรๆ ก็ดูจะเป็นปกติเรียบร้อยดี แต่แล้ว………จนมาวันหนึ่งซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่างๆ ที่สิงห์และจันทร์แรมไม่อาจลืมเลือนได้
“ลุงสิงห์ เอารถออกหน่อย………..”
เจ้าของเสียงนั่นคือพิมพ์ผกา ลูกสาวคนโตของบ้าน เธออยู่ในชุดนักศึกษา เสื้อสีขาวรัดรูปโชว์สัดส่วน กระโปรงสีดำสั้นเหนือเข่า เตรียมตัวจะออกไปเรียนในตอนบ่าย
ตาสิงห์กำลังขุดหลุมปลูกต้นไม้ ด้วยความเคยชินแกจึงมักไม่ใส่เสื้อเวลาทำงานในที่ร่ม ท่อนบนจึงเปลือยหน้าอก ผิว 2 สีคล้ำ คุณหนูพิมพ์มองมาที่นายสิงห์แวบหนึ่งก่อนเดินไปหน้าบ้าน ตาสิงห์รีบทิ้งเสียมแล้วไปล้างมือ เดินไปที่โรงรถ………………………สักพัก
“รถพร้อมแล้วครับ คุณหนู……….”
“อื้อ ลุงขับไปส่งฉันทีนะ”
“หา…” ตาสิงห์แปลกใจ เพราะทุกทีพิมพ์ผกาจะขับรถไปมหาลัยเอง
“งงอะไรล่ะ หรือว่าขับรถให้พ่อได้ แต่ขับให้ลูกไม่ได้”
“เอ่อ………ไม่ใช่อย่างงั้นครับ …….” ตาสิงห์เดินเกาหัวแกรก ก่อนจะไปแต่งตัว
พอสิงห์กลับมาที่รถ คุณหนูใหญ่เธอไปนั่งรอในรถแล้ว ตาลุงคนใช้ รีบเปิดประตูหน้าบ้าน สตารท์รถขับออกไป……………..
ในรถ พิมพ์ผกานั่งไขว่ห้างที่เบาะหลัง มองอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่สายตาเธอมาหยุดอยู่เบื้องหน้า ก่อนออกเสียงดุๆ
“ตาสิงห์มองอะไรฉัน”
“อ่า เปล่าครับเปล่า……”
สิงห์รีบเบือนหน้าหลบพิมพ์ผกา เพราะแกคอยแอบชำเลืองดูหญิงสาวทางกระจกมองหลัง เพราะ คุณพิมพ์เธอแต่งตัวซะ….เหมือนกับจะไม่ได้ไปเรียน ตาสิงห์ถึงแม้จะอายุมากแต่ไม่ได้หมายความว่าไฟราคะจะมอดลงตามวัย กลับกันมันยังไหลเวียนในร่างรอเวลาที่จะปะทุขึ้นอีกครั้ง ขาอ่อนเรียวยาว หน้าอกเต่งตึงได้รูป ใบหน้าหมดจดไม่มีสิวฝ้า ล้วนเป็นตัวก่อกิเลสในใจของตาแก่วัย 58 ทั้งสิ้น
..นั่นลูกสาวเจ้านาย คุณหนูพิมพ์ผกานะโว้ย มึงอยากโดนไล่ออกหรือสิงห์…สิงห์พยายามขจัดความคิดชั่วๆ ก่อนตั้งใจขับรถพาคุณหนูพิมพ์ผกาจนไปถึงมหาลัย
“สิงห์รอฉันที่รถนี่แหละ” พิมพ์ผกาหันมาบอกกับสิงห์ ก่อนจะเดินเข้าตึกเรียน
“เอ๋ …………แต่ผมต้องไปรับคุณนพพลและคุณหนูรสลินกับคุณนพดลนะครับ”
“ฉันรู้แล้ว แต่วันนี้ฉันมีเรียนวิชาเดียว บ่าย 3 ก็เลิก ออกจากนี่ก็แวะรับพวกคุณพ่อต่อได้เลย”
“อ๋อ ครับๆ”
พิมพ์ผกาพูดเสร็จก็เดินถือกระเป๋าเล็กๆ อีกมือถือแฟ้มหนังสือพาร่างสะโอดสะองจากไป ปล่อยให้คนรถยืนงงอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง………………………………
เวลาผ่านไป ตาสิงห์เวียนลุกเวียนนั่งบนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ รอคุณพิมพ์เลิกจากเรียนโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ มองดูนาฬิกาข้อมือ บ่าย 2 .50 แล้ว คงใกล้เวลาเลิกเรียนของเจ้านายสาว
สักครู่ นายสิงห์เห็นพิมพ์ผกาเดินออกมาจากตึกเรียนพร้อมเพื่อนๆ อีก 3 คน สิงห์เดินไปเปิดประตูให้และขับรถออกจากมหาลัย มุ่งตรงไปที่ รร. ของรสลิน และนพดลก่อนแวะรับคุณนพพลเป็นคนสุดท้าย
“นี่ ลุงแวะร้านมินิมาร์ทหน่อย ฉันจะซื้อของ” พิมพ์ผกาบอกตาคนขับรถเมื่อรถจอดติดไฟแดงใกล้ๆ ตลาด
“งั้นผมแวะร้านเซเว่นข้างหน้าให้ครับ” พอถึง.พิมพ์ผกาเดินลงจากรถชะโงกหน้าถาม
“แล้วสิงห์จะเอาอะไรบ้าง ฉันจะซื้อมาให้”
“ไม่หรอกครับ เชิญคุณหนูตามสบายเถอะ”
“ไม่ต้องเกรงใจน่า จะกินอะไรบอกมาเลย ฉันเลี้ยงเอง”
“แต่ผมไม่……..”
“นี่ ………….ลุงอย่าขัดใจฉันได้ไหม” คุณหนูมองหน้าตาสิงห์เขม็ง เอ่ยเสียงเข้ม
..ตายแล้ว กูเอ้ย. เราบอกว่าไม่เอาอะไรก็ยังยัดเยียดอีก ให้ตายสิเด็กคนนี้… สิงห์นึกในใจ ก่อนจะตอบ
“เอ่อ…….งั้นผมขอโค้กกระป๋องหนึ่งละกันครับ”
“ดีมาก” คุณพิมพ์ผกายิ้มอย่างพอใจก่อนจะเดินเข้าร้าน สิงห์มองตามแล้วก็บ่นพึม
..เฮ้อ อยู่กับคุณพิมพ์นี่ เหนื่อยแฮะ…
หญิงสาวหายไปสักพักจึงเดินออกมาพร้อมถุงใบใหญ่มาถึงก็ส่งโค้กให้
“เอ้า นี่”
“ขอบคุณมากครับ” ตาสิงห์ดื่มโค้กไปอึกหนึ่งก่อนจะติดเครื่องรถมุ่งหน้าไปที่ รร. ของน้องสาวและน้องชายคุณพิมพ์ผกา
..ที่ รร. รสลินกับนภดล ยืนรอที่หน้า รร. อยู่แล้ว…
“อ้าว พี่พิมพ์มาด้วยหรือครับ”
“อื้อ ให้สิงห์เขาไปส่งพี่ที่มหาลัย แล้วมารอรับพ่อกับน้องด้วยเลย เอ้านี่………ของกิน”
ทั้ง 3 พี่น้องนั่งกินนั่งดื่มกัน ตาสิงห์คนขับรถของเราก็ขับไปโดยไม่ปริปากอะไรออกมาจน…..
“นี่ ลุงสิงห์คุ้นถนนหนทางในกรุงเทพยังล่ะ” รสลินลูกสาวคนรองเอ่ยถาม
“ก็……พอจะรู้มากแล้วละครับ แต่เสียอย่างเดียวรถติดจริงๆ”
“แต่ก็ขับดีแล้วนี่ครับ ลุง” นภดลเสริมพี่สาว
ว่าไปแล้ว นภดลและรสลิน นี่ทำตัวเป็นกันเองกับนายสิงห์มากกว่าพี่สาวเยอะ ไม่ถือตัว บางทีก็ลงท้ายครับ คะบ่อยๆ เวลาคุยกัน จนตาสิงห์รู้สึกเกรงใจ 2 คนนี้มาก
ส่วนพิมพ์ผกา ตาสิงห์ไม่ค่อยจะคุยด้วยเท่าไหร่ เพราะดูเธอออกจะหยิ่งนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มีพิษสงอะไร คงเป็นเพราะนิสัยของเธอมากกว่า
“ใช่ ขับดีแถมมีสมาธิสูง………….” พิมพ์ผกาเอ่ยปากเป็นคนสุดท้ายด้วยเสียงเรียบๆ
หวาย.. นี่จะประชดที่เราแอบมองเธอหรือเปล่านี่……………………… ตาสิงห์คิดด้วยความหวั่นใจในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้………………………………………………….
“เออ มาพร้อมกันหมดเลยนะ”
คุณนพดลเอ่ยทักทันทีที่รถจอดหน้ากองบัญชาการกองทัพที่ทำงานของเขา
พิมพ์เปลี่ยนไปนั่งเบาะหน้า ให้น้องๆ นั่งกับพ่อข้างหลัง ระหว่างทางกลับบ้านคุณนพพลพูดขึ้น
“อืม……….. พ่อคิดนะ…..เราควรจะหาเวลาไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง”
“ไปเที่ยวที่ไหนละคะพ่อ” พิมพ์ผกาหันหลังไปถาม
“พ่อก็แค่คิดเอาไว้……..แต่ค่อยไปคุยกันที่บ้านต่อละกัน พ่อเองก็อยากจะพักผ่อนบ้าง”
“เย้.. ได้ไปเที่ยวแล้ว” นพดลกับรสลินพูดแทบจะพร้อมกัน
ระหว่างที่พิมพ์ผกาหันหลังไปนั่นเอง หน้าอกของเธอก็เอี้ยวตามจนมาหยุดข้างๆ ตาสิงห์ตาแก่ของเราจึงแอบชำเลืองมองด้วยจิตใจที่ปั่นป่วน อุแม่เจ้า.. นมแม่งใหญ่ฉิบหาย…
คราวนี้ตาสิงห์ไม่เหลือบมองนาน ทั้งที่ใจอยากจะมองเต็มๆ ตา เพราะจะทำให้คุณพิมพ์สงสัยได้ แต่ดูเหมือนพิมพ์ผกาจะรู้การกระทำของตาเฒ่าสิงห์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาจนกระทั่งถึงบ้าน