3792-%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88-2
กรกฏาคมปีนี้เหมือนจะร้อนจัดเป็นพิเศษ กลางวันยาวนานเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด จักรยุทธไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย
“คงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่” จักรยุทธ พูดเสียงเนือย “เราต้องรักษาความชื้นไว้ในดิน ผมจะให้คนงานหาเศษฟางมาคลุมหน้าดินไว้ ดีซะอีก จะได้ให้พวกนคลั่งสารเคมีรู้ว่า ยังมีวิธีอีกมากที่จะไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง”
“แต่จักรคะ ปาเห็นนะว่าผักในไร่เรามีเพลี้ยเกาะเต็มไปหมด”
“ผมเห็นแล้ว” จักรยุทธทำท่าคิด “ปีนี้แมลงมากเหลือเกิน”
“เรียกว่าปีทองของแมลงคงได้นะ” ปริษาพูดติดตลก “เออนี่ จักร ปาเจอเรื่องเแปลกเข้าเรื่องนึง ไม่รู้ปาตาฝาดหรือเปล่า ปาเห็นแมลงวันเข้าตัวนึง โอ้โฮ ขนาดมันใหญ่โตมาก เกือบสองเท่าเลยล่ะ”
“คงคิดไปเองมั๊ง” จักรยุทธหัวเราะเบาๆ
“พ่อคะ” ฟ้ารุ่งพูดขัดขึ้นบ้าง หลังจากนั่งฟังพ่อแม่พูดเรื่องที่เธอไม่สนใจ “ขอฟ้าไปที่บ่อได้หรือเปล่าคะ”
จักรยุทธหันไปมองหน้าปริษาเหมือนจะขอความคิดเห็น ซึ่งก็ได้เห็นรอยยิ้มแสดงถึงการอนุญาตอย่างเต็มที่
“เอาซิ” เขาอนุญาต “เอาปานวาดไปด้วยละกัน จะได้เป็นเพื่อน”
“โธ่ พ่อคะ ฟ้าโตแล้วนะ ฟ้าไปคนเดียวได้ แค่ออกไปวาดรูปเล่นเท่านั้นเอง”
พูดจบฟ้ารุ่งก็ลุกขึ้น หยิบกระดานวาดรูปและตระกร้าเครื่องเขียนวิ่งปร๋อออกไปทันที
สองสามีภรรยาฟังเสียงฝีเท้าของลูกวิ่งออกไป ก่อนที่จักรยุทธจะพูดต่อ
“ผมกะว่าพรุ่งนี้จะให้คนงานเอายาพ่นแมลงที่เราทำเองไปพ่น อยากรู้จริงๆว่านายเริงชัยมันจะมีปัญญาเอาเปลือกไม้มาทำยาเหมือนเราหรือเปล่า”
“ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าบริษัทบ้านั่นกำลังทำอะไรอยู่” ปริษาพูด
“ไร่อื่น ก็มีปัญหาเมือนๆเรานั่นแหละ” จักรยุทธพูดอย่างหนักใจ
* * * * * * * * * *
ฟ้ารุ่งไปถึงบ่อน้ำใหญ่ในเวลาไม่ถึง 5 นาที เธอไปหยุดยืนตรงก้อนหินใหญ่ขอบสระ จากนั้นก็นั่งลงเพื่อเตรียมวาดรูป
เหลือเวลาอีกเพียง 7 อาทิตย์ ฟ้ารุ่งก็ต้องย้ายเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปากร อยู่ถึงกรุงเทพโน่นแหละ คงไม่มีโอกาสที่จะนั่งรถไปพร้อมพ่อกับแม่ทุกเช้าอีก เรื่องนี้ทำให้เธอกลุ้มใจ ไหนจะต้องทำความเข้าใจกับเพื่อนใหม่ อาจารย์คนใหม่ และสภาพแวดล้อมใหม่อีก แต่เธอก็ไม่นึกเสียใจนัก เพราะช่วงหลังๆเพื่อนที่นี่มีปฎิกิริยาที่แปลกไป อาจเป็นเพราะเรื่องที่พ่อของเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในการต่อต้านบริษัทผลิตยาฆ่าแมลงแห่งนั้นก็ได้ ฟ้ารุ่งรู้ว่าพ่อของเธอไม่มีวันชนะในการต่อสู้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่เธอก็ไม่อยากให้พ่อเลิกล้มความตั้งใจ พ่อได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับเธอ สำหรับฟ้ารุ่ง พ่อของเธอคือแชมเปี้ยนที่สู้ไม่ถอย
พระอาทิตย์เริ่มลดต่ำลงจนเกือบพ้นแนวภูเขา ช่วงนี้แหละที่สวยมาก และฟ้ารุ่งได้ยินเสียงกบร้องดังเป็นครั้งแรก
มันดังระยะที่ใกล้มาก คิดว่าไม่น่าเกิน 4-5 เมตร แปลกที่ฟ้ารุ่งรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เพราะสียงมันแตกต่างจากที่เธอเคยได้ยินมา มันดังมากกว่าที่เคยได้ยิน
เธอกลั้นใจพยายามทำตัวให้นิ่งสนิทที่สุดเพื่อรอฟังเสียงร้องครั้งที่สองที่อาจจะมีมา
แล้วมันก็ดังขึ้นจริงๆ เป็นเสียงห้าวลึกและดังมาก ที่สำคัญมันไม่ใช่เสียงกบซึ่งฟังไพเราะและเป็นมิตรอีกต่อไป บัดนี้ เสียงนั้น ดูเหมือนจะมีแต่กระแสแห่งความโกรธแฝงอยู่อย่างชัดเจน
พุ่มไม้ข้างๆตัวเริ่มมีการเคลื่อนไหว ฟ้ารุ่งรีบหันไปมอง และก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง เมื่อเห็นกิ่งไม้เล็กๆหักสะบั้นพร้อมๆกับการสั่นพริ้วที่รุนแรง ไม่น่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกบ กบไม่มีทางเดินรุนแรงขนาดนี้แน่ แล้วตัวมันก็เล็กเกินกว่าที่จะทำให้กิ่งไม้ไม่ว่าขนาดไหนหักได้ทั้งสิ้น
ในที่สุดฟ้ารุ่งก็ได้เห็นมัน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เห็นเป็นจริง แน่นอน..สัตว์ที่โผล่พ้นพุ่มไม้ออกมาเป็นกบ อย่างน้อยเธอก็เชื่อว่ามันเป็นกบ ส่วนหัว ลักษณะหน้าตา รูปพรรณไม่มีอะไรแตกต่าง ดวงตากลมโตของมันจ้องเขม็ง ปากอ้าขึ้นแล้วหุบลงอยู่ตลอดเวลา ท่าทางน่าเกลียดน่ากลัว
กบจริงๆ แต่มันเป็นกบที่มีขนาดใหญ่โตอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ฟ้ารุ่งพยายามควบคุมสติและความรู้สึกของตัวเองไว้ เธอยังจ้องมองมัน แต่ไม่ลืมหดขาาขาวๆของเธอซึ่งห้อยพาดกับก้อนหินขึ้นมา ใจนึกกลัวว่าจะถูกมันงับเอา ตอนนี้สายตาของมันยังจ้องเธอ และก็แปลกมากที่เธอคิดไปว่า สายตามันมีแววของความเกลียดชังซ่อนอยู่อย่างเห็นได้ชัด
เด็กสาวไม่รู้เหมือนกันว่า นั่งประสานสายตากับมันนานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆๆฟ้ารุ่งเชื่อว่าถ้ามันพูดได้ มันคงจะพูดว่า
“ฉันเกลียดแก นังเด็กน้อย ฉันจะข่มขืนแก”
เจ้ากบยักษ์กระโดดเข้าใกล้มากขึ้น และตลอดเวลามันไม่ยอมละสายตาไปทางอื่นเลย
ฟ้าุร่งเริ่มได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งซึ่งเพิ่งจะดังขึ้น หรืออาจจะดังนานแล้วแต่เด็กสาวไม่ทันสังเกตุ แน่นอนมันเป็นเสียงของตั๊กแตนตำข้าว แต่แฝงด้วยความเกลียดชังอย่างสุดฤทธิ์
กบยักษ์ยังกระโดดเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุึดนิ่งจนในที่สุึดมันก็อยู่ห่างไม่ถึงสองเมตร ผิวหนังทุกส่วนของมันกระตุกไหวอย่างเห็นได้ชัดเจน คล้ายกับเตรียมกระโดดขึ้นมาบนก้อนหินที่เธอนั่งอยู่
ฟ้ารุ่งไม่ได้ร้องออกมาแม้ปากจะอ้ากว้างด้วยความกลัวที่โถมทับอยู่ในจิตใจ ลำคอทุกส่วนตีบตันไปหมด เธอค่อยๆยืนขึ้น ร่างเซจนเกือบตกไปที่พื้นแต่ยั้งไว้ทัน เสียงแมลงนาๆชนิดร้องระงมไปหมดและทุกเสียงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่ต่างไปจากเจ้ากบยักษ์ตัวนี้เลย
ในที่สุดฟ้ารุ่งก็ตัดสินใจที่จะวิ่งหนี เธอกลั้นใจกระโดดลงจากก้อนหินแล้วออกวิ่ง ปากก็ตะโกนร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว ใจนึกอยากบินได้เหมือนนก จะได้หนีพ้นมันเร็วๆ ขาทั้งสองข้างวิ่งอย่างสุดกำลังและไม่ยอมเหลียวหลังกลับมามองอีก แต่ก็ยังไม่วายเหลือบไปเห็นแมลงมากมายหลายชนิด ซึ่งล้วนมีแต่ขนาดใหญ่ผิดปกติ
ดวงตาที่เบิกกว้างกวาดมองหาเผื่อจะมีคนงานอยู่แถวนั้นบ้าง ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที
จิตใจของเธอสับสนมากขึ้นทุกที มือทั้งสองยื่นไปข้างหน้าแล้วรีบฉวยราวรั้วไว้เพราะรู้ว่าถ้าไมททำอย่างนั้น เธอคงต้องล้มลงกับพื่นแน่ๆ และก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น เสียงเรียกที่เหมือนเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น
“ฟ้า” ปริษาร้องลั่น เมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องมาเห็น เธอรีบตะโกนเรียกจักรยุทธ แล้ววิ่งออกมาหาฟ้ารุ่งซึ่งยืนโงนเงนอยู่ทันที
“ฟ้า” จักรยุทธเรียกเสียงสั่นเมื่อวิ่งมาถึงฟ้ารุ่ง “ให้ตายซิเกิดอะไรขึ้น”
ปริษารวบร่างลูกสาวเข้ามากอดเพื่อปลอบขวัญ แล้วพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“เกิดอะไรขึ้นฟ้า” จักรยุทธถาม
ฟ้ารุ่งพึมพำอะไรออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“กบที่บ่อใหญ่ ตัวมันโต โตมากเกือบเท่าบอนไซ”
“ไม่มีกบตัวไหนโตเท่าบอนไซหรอกลูก มันเป็นไปไม่ได้” ปริษาพูดแล้วอยากหัวเราะแต่ต้องกลั้นไว้
“ไม่” ฟ้ารุ่งตอบเสียงดัง แล้วกอดแม่ไว้แน่น “ฟ้าเห็นจริงๆ แล้วตัวมันก็ใหญ่เท่าเจ้าบอนไซด้วย”
“ก็ได้ เท่าก็เท่า เอาละ แม่เชื่อว่าลูกเห็นกบตัวโตเท่าบอนไซ” เธอกอดลูกสาวไว้แน่น “แต่ตอนนี้แม่ว่าลููกคววรจะขึ้นนอนได้แล้ว”
“พ่อจะไปดูให้” จักรยุทธตัดสินใจที่จะออกไปดูเพื่อความแน่ใจ
“ตามใจ” ปริษาพูดแล้วก็ยิ้ม
“คงไม่นานนักหรอก ปาพาลูกไปนอนก่อนนะ ผมจะให้คนงานช่วยกันดูด้วย จะได้แน่ใจ” จักรยุทธพูด แล้วเดินออกไปจากบ้าน